บทความนี้เอาใจคนที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยประเภท ‘บ้านเดี่ยว’ ที่มีช่วงราคาอยู่ที่ 5 – 10 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นราคาที่มีทั้ง Demand และ Supply ในตลาดเยอะที่สุดเลยก็ว่าได้ครับ อีกทั้งในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมานี้ Developer หลายๆเจ้าก็ได้มีการปรับ Brand Segment โปรดักส์ของตัวเองหลายๆอย่างด้วยเหมือนกัน ทำให้มีความน่าสนใจหลายๆอย่างที่ Think of living เราอยากนำมาอัปเดตกับเพื่อนๆในวันนี้ครับ
โดยโครงการที่เราคัดมาวันนี้ จะเป็นบริษัทมหาชนที่ติดอันดับและเรียงตามผลประกอบการภายในปี 2566 ที่ผ่านมา รวมถึงเป็นมีแบรนด์บ้านเดี่ยวที่มีราคาขายเริ่มต้นอยู่ในช่วง 5 – 10 ล้านบาท ซึ่งก็จะมีอยู่ทั้งหมด 12 Developer 24 แบรนด์ดัง ที่มีทั้งเก่าและใหม่รวมๆกันมาให้แล้วในบทความนี้ ประกอบด้วย
- AP Thailand : บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จํากัด (มหาชน)
- Sansiri : บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
- Land & Houses : บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จํากัด (มหาชน)
- Supalai : บริษัท ศุภาลัย จํากัด (มหาชน)
- Pruksa : บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)
- SC Asset : บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)
- Frasers Property : บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน)
- Britania : บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน)
- Property Perfect : บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)
- Q House : บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)
- L.P.N. Development : บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
- AssetWise : บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน)
และสำหรับใครที่อยากอ่านสรุปสั้นๆ ผมก็ได้ทำตารางรายละเอียดต่างๆแยกมาให้แล้ว หรือถ้าใครอยากดูรายละเอียดอื่นๆเพิ่มเติม ก็สามารถเลื่อนลงไปอ่านที่ด้านล่างต่อด้วยตัวเองได้เลยครับ
1. AP Thailand
บริษัทเจ้าใหญ่ที่ใครหลายคนรู้จักกันดี ซึ่งภาพจำอย่างหนึ่งที่เรามักจะรู้สึกเหมือนกันว่า แต่ละแบรนด์ของเค้าพอไปอยู่ทำเลไหนก็ตามจะรู้สึกว่า มีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน Segment เดียวกัน แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเค้ามักจะทำบ้านหลังใหญ่ ที่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะกว่าเพื่อนบ้านรอบๆนั่นเอง แต่ถ้าเมื่อเทียบราคากับขนาดพื้นที่แล้ว ก็ยังถือว่าเป็นอีกเจ้าหนึ่งที่มีความคุ้มค่าพอสมควรครับ
และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของเค้าเลยก็คือ ระบบรักษาความปลอดภัย KATSAN ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยได้ตามมาตรฐาน AP ปัจจุบันนี้เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก แม้แต่เวลาที่ AP ไปบุกเบิกที่ทำเลต่างจังหวัดไกลๆ ก็ยังได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากคนในพื้นที่นั้นๆเลย
ซึ่งนับว่า Security ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของคนที่ได้เลือกซื้อโครงการของ AP เลยก็ว่าได้ครับ เพราะคนเราก็ต้องการความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินมาเป็นอันดับแรกๆอยู่แล้วนั่นเอง โดยแบรนด์บ้านเดี่ยวของ AP ในช่วงราคาเริ่มต้น 5 – 10 ล้านบาท จะมีอยู่ 2 แบรนด์ด้วยกัน ประกอบด้วย
- MODEN (โมเดน)
- CENTRO (เซนโทร)
MODEN (โมเดน)
เริ่มกันด้วยแบรนด์น้องใหม่ล่าสุดในตระกูลอย่าง MODEN (โมเดน) ที่เพิ่งจะเปิดตัวกันเมื่อ 2 – 3 ปีที่ผ่านมานี้เองครับ โดยชูจุดขายเป็นบ้านเดี่ยวสำหรับคน Gen Z ที่สามารถรองรับความต้องการของคนที่หลากหลายได้ทุกรูปแบบ เพราะแต่ละโครงการจะมีแบบบ้านให้เลือกเยอะถึง 5 – 6 แบบ ซึ่งจะเป็นบ้านสไตล์ Modern ที่มีฟังก์ชันเน้นความ Flexible Space มากขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนและใช้งานได้จริงไม่มีอึดอัด
ทำเลที่ตั้งของโครงการแบรนด์นี้ส่วนใหญ่จะอยู่ภายในซอย หรือถนนเส้นรองต่างๆ แต่ก็ยังอยู่ตามโซนรอบๆกรุงเทพที่คึกคักอย่าง รังสิต / พระราม 2 / บางนา / รามอินทรา / ราชพฤกษ์ และเพชรเกษม เป็นต้น โดยปัจจุบันก็เปิดตัวมาแล้วทั้งหมด 7 โครงการด้วยกันครับ
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์ MODEN
- Type IDO : บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 50 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 160 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 2 ที่จอดรถ
เป็นบ้านไซส์เล็กสุดของแบรนด์ ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันเริ่มต้นสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก เหมาะกับการอยู่ด้วยกัน 2 คน ตามเทรนด์ของคนสมัยใหม่ที่มีลูกกันน้อยลง หรือถ้ามีก็มีลูก 1 คนเท่านั้น โดยที่ชั้นแรกก็จะเน้นให้มี Common Area ขนาดใหญ่เลย
ส่วนด้านบนจะเป็นห้องนอนเล็ก 2 ห้องที่จะต้องแชร์ห้องน้ำร่วมกัน แต่เราก็สามารถทุบผนังเชื่อมต่อให้กลายเป็นห้องนอนใหญ่อีกห้องหนึ่งก็ได้ครับ (โครงสร้างผนังก่ออิฐมวลเบา) รวมถึงยังเหมาะกับคนที่ต้องการฟังก์ชันห้องเยอะๆ ไว้ปรับใช้ให้ตรงกับ Lifestyle ส่วนตัวของเรา ในบ้านขนาดไซส์เล็กแบบนี้ก็ได้
- Type YUKI : บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 50 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 185 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 2 ที่จอดรถ
เป็นบ้านที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยใหญ่ขึ้นมาหน่อย และยังมีฟังก์ชันที่โดดเด่นอย่างห้องนอนชั้นล่างเพิ่มเข้ามา รวมถึงห้องนอนชั้นบนก็จะกลายเป็นห้องนอนใหญ่ 2 ห้อง แบบที่มีห้องน้ำส่วนตัว มาพร้อมกับ Family Area ขนาดใหญ่ เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็กที่ต้องการห้องชั้นล่างเอาไว้ใช้งาน เช่น ห้องนอนผู้สูงอายุ หรือห้องอเนกประสงค์อื่นๆก็ได้
- Type HOSHI : บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 50 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 185 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 2 ที่จอดรถ
เป็นบ้านที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยเท่ากับหลังก่อนหน้านี้ แต่ได้ปรับฟังก์ชันห้องนอนด้านบนให้กลายเป็น 2 ห้องเล็ก ซึ่งจะต้องแชร์ห้องน้ำร่วมกันที่ด้านนอก โดยจะลดฟังก์ชัน Family Area ด้านบนออกไป และปรับ Common Area ชั้นล่างใหม่ ให้เชื่อมต่อกันได้ตั้งแต่หน้าบ้าน-หลังบ้านเลยครับ จึงทำให้เป็นบ้านที่เหมาะกับคนต้องการฟังก์ชันห้องที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งชั้นบนและชั้นล่าง โดยอาจใช้เป็นห้องนอนของลูกหรือใช้เป็นห้องทำงานอื่นๆก็ได้นั่นเอง
- Type HAYASHI : บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 52 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 210 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 2 ที่จอดรถ
ฟังก์ชันบ้านก็จะคล้ายกับหลังก่อนหน้านี้เลยครับ แต่จะพิเศษหน่อยตรงที่ห้องนอนชั้น 2 จะมีห้องน้ำเป็นส่วนตัวทุกห้องเลย รวมถึงยังมีห้องอเนกประสงค์เล็กๆ แยกออกมาให้ใช้งานอีกหนึ่งฟังก์ชันด้วย ตอบโจทย์ครอบครัวที่มีลูก 1 – 2 คนมากขึ้น และอยู่ร่วมกันได้แบบจริงจัง ไปพร้อมๆกับมีห้องอเนกประสงค์ให้ใช้งานได้ด้วยนั่นเอง
- Type SHIZEN : บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 54 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 235 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 5 ห้องน้ำ / 3 ที่จอดรถ
เป็นบ้านเดี่ยวไซส์ใหญ่สุดของแบรนด์ และเป็นบ้านแบบเดียวที่จอดรถในร่มได้ถึง 3 คัน เหมาะกับครอบครัวขนาดกลาง-ใหญ่ ที่อยู่อาศัยร่วมกันได้ 4 – 5 คน โดยทุกห้องนอนจะมีห้องน้ำส่วนตัวทั้งหมด (ไม่เว้นแม้กระทั่งห้องนอนชั้นล่าง) อีกทั้งยังมี Family Area ด้านบนขนาดใหญ่ ที่เราสามารถจัดหรือกั้นฟังก์ชันเพิ่มอีกห้องได้สบายๆ
Facilities ของแบรนด์ MODEN
ภาพบรรยากาศส่วนกลางโครงการMODEN บางนา – เทพารักษ์
สำหรับ Facilities ของโครงการแบรนด์ MODEN ต้องบอกก่อนว่าอาจไม่ได้โดดเด่นมากนัก แต่ก็มีฟังก์ชันพื้นฐานหลักๆให้ใช้งานครบ โดยอาคาร Clubhouse ก็จะอยู่ติดกับซุ้มประตูทางด้านหน้าตามสไตล์ของ AP เลยครับ เพียงแต่ว่าจะไม่ได้เป็นอาคาร 2 ชั้นแบบที่เราคุ้นหูคุ้นตากัน ซึ่งจะเป็นอาคารชั้นเดียวที่ใช้งานได้ง่ายตามภาพที่นำมาฝากกันนี้เลย
โครงการแบรนด์ ‘MODEN’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- MODEN รามอินทรา-หทัยราษฎร์ >> ราคาเริ่มต้น 7.59 – 12 ล้านบาท
- MODEN เพชรเกษม 81 >> ราคาเริ่มต้น 5 – 7 ล้านบาท
- MODEN รังสิตคลอง 4-วงแหวน >> ราคาเริ่มต้น 4.99 – 9 ล้านบาท
- MODEN ราชพฤกษ์ 345 >> ราคาเริ่มต้น 5.5 – 9 ล้านบาท
- MODEN พระราม 2 >> ราคาเริ่มต้น 5.59 – 8 ล้านบาท
- MODEN บางนา-ศรีนครินทร์ >> ราคาเริ่มต้น 5.99 – 9 ล้านบาท
- MODEN บางนา-เทพารักษ์ >> ราคาเริ่มต้น 4.89 – 8 ล้านบาท
CENTRO (เซนโทร)
เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีของ AP ที่ปัจจุบันก็มีให้เลือกหลากหลายทำเลมากๆครับ ซึ่งอันที่จริงแล้วบ้านเดี่ยวแบรนด์นี้ส่วนใหญ่จะมีช่วงราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 8 – 15 ล้านบาท ทำให้ถ้าเป็นบ้านที่ราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท ก็จะเป็นตัวไซส์เริ่มต้นที่มีขนาดประมาณ 160 – 200 ตร.ม. (จริงๆแล้วแบรนด์นี้จะมีแบบบ้านใหญ่ 200 – 300 ตร.ม. ด้วยนะครับ)
นอกจากนี้ยังมี Theme บ้านหลักๆที่เห็นได้บ่อยๆอยู่ 3 แบบด้วยกันคือ Modern แบบหลังคาปั้นหยาปกติ / Modern ที่เป็นหลังคา Flat Slab แบบเรียบๆ และซีรีย์ใหม่สุดจะเป็นสไตล์อังกฤษ
อีกสิ่งหนึ่งที่เราชอบของแบรนด์ CENTRO หรือทุกแบรนด์ของ AP ก็คือ วัสดุและงานโครงสร้างของเค้าทุกแห่งจะเป็นระบบ Conventional หรือการก่ออิฐฉาบปูน ที่จะมีความแข็งแรงแต่ยืดหยุ่น สามารถทุบผนังเพื่อต่อเติมได้ง่าย จึงทำให้ตัวบ้านมีความ Flexible ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้พักอาศัยนั่นเอง
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์ CENTRO
สำหรับแปลนบ้านไซส์เล็กของ CENTRO จะมีลักษณะที่คล้ายกับของแบรนด์ MODEN ก่อนหน้านี้เลยครับ แต่จะมีการปรับเปลี่ยน Facade หรือหน้าตาของบ้านที่มีความแตกต่างกันออกไปตาม Theme Concept ของโครงการนั้นๆอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล ใครชอบแบบไหนก็ลองเลือกดูกันได้เลยครับ
แน่นอนว่าสิ่งที่เราจะได้รับจากการซื้อแบรนด์ Centro ที่ถึงแม้แบบบ้านจะคล้ายกับน้องเล็กก็จริง แต่เรื่องคุณภาพและบรรยากาศโครงการ จะดีขึ้นว่าเดิมตาม Segment อย่างแน่นอน โดยที่อาจต้องเพิ่มเงินอีกประมาณ 1 – 2 ล้าน ซึ่งก็แล้วแต่กำลังทรัพย์ของแต่ละคนนะครับ ลองพิจารณากันดูอีกที
Facilities ของแบรนด์ CENTRO
บรรยากาศพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ CENTRO
ในส่วนของพื้นที่ส่วนกลางของ CENTRO จะมีอาคาร Clubhouse ที่อยู่ติดกับซุ้มประตูทางเข้าเหมือนกับที่เราคุ้นเคยกันดี ซึ่งก็จะมีฟังก์ชันหลักๆให้ใช้งานครบเลยครับ แต่สิ่งหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาก็คือ ฟังก์ชันสำหรับเด็กอย่าง Play Ground และ Play Room แสดงให้เห็นว่าเป็นโครงการที่ทำมาเพื่อการอยู่อาศัยเป็นครอบครัวได้จริงจังมากขึ้นนั่นเอง รวมถึงเรื่องของขนาดและความสวยงามก็จะอัพเกรดขึ้นจากแบรนด์รุ่นน้องอย่าง Moden ก่อนหน้านี้ด้วยนะ
โครงการแบรนด์ ‘CENTRO’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- CENTRO ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า >> ราคาเริ่มต้น 8.99 – 15 ล้านบาท
- CENTRO รามอินทรา-จตุโชติ 3 >> ราคาเริ่มต้น 8.99 – 15 ล้านบาท
- CENTRO อ่อนนุช-ลาดกระบัง >> ราคาเริ่มต้น 8.5 – 15 ล้านบาท
- CENTRO ติวานนท์-ศรีสมาน >> ราคาเริ่มต้น 8.99 – 15 ล้านบาท
- CENTRO รามอินทรา 2 >> ราคาเริ่มต้น 8.59 – 13 ล้านบาท
- CENTRO วัชรพล 2 >> ราคาเริ่มต้น 9.5 – 15 ล้านบาท
- CENTRO รัตนาธิเบศร์ 2 >> ราคาเริ่มต้น 7.99 – 17 ล้านบาท
- CENTRO พระราม 2-พุทธบูชา 2 >> ราคาเริ่มต้น 8 – 13 ล้านบาท
- CENTRO ราชพฤกษ์ 3 >> ราคาเริ่มต้น 7.99 – 12 ล้านบาท
- CENTRO พระราม 5-นครอินทร์ >> ราคาเริ่มต้น 8.99 – 15 ล้านบาท
- CENTRO พระราม 9-มอเตอร์เวย์ 2 >> ราคาเริ่มต้น 7.99 – 15 ล้านบาท
- CENTRO เพชรเกษม 69 >> ราคาเริ่มต้น 6.9 – 9.9 ล้านบาท
- CENTRO พหลฯ-วิภาวดี 3 >> ราคาเริ่มต้น 7.99 – 10 ล้านบาท
- CENTRO สะพานมหาเจษฎาบดินทร์ฯ 3 >> ราคาเริ่มต้น 7.99 – 12 ล้านบาท
- CENTRO ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ 3 >> ราคาเริ่มต้น 6.59 – 12 ล้านบาท
2. แสนสิริ (Sansiri)
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า Developer เจ้านี้เค้าถนัดในการทำบ้านระดับ Main – Luxury Calss ขึ้นไป โดยนอกจากดีไซน์และภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูดีมีระดับแล้ว คุณภาพของโปรดักส์ก็ค่อนข้างได้เสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ค่อนข้างมาก
รวมถึงยังมีการนำนวัตกรรม Cooliving Designed Home มาใช้ภายในบ้าน ทำให้บ้านเย็นและช่วยประหยัดพลังงาน อีกทั้งยังมีระบบ LIV-24 ที่เป็นบริการดูแลความปลอดภัยโดยศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชม. จากแสนสิริอีกด้วยครับ
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากของเจ้านี้เลยก็คือ ความสวยงามของบรรยากาศ ส่วนกลาง และหน้าตาของตัวบ้านที่ไม่เป็นสองรองใคร และมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยจะมี Theme Concept ที่ชัดเจนมากๆ ส่วนใหญ่ก็จะได้แรงบันดาลใจมาจากเมืองนอก และมีซีรีย์ที่โดดเด่นก็คือ Dream Destination นั่นเองครับ
โดยแบรนด์บ้านเดี่ยวของ Sansiri ในช่วงราคาเริ่มต้น 5 – 10 ล้านบาท จะมีอยู่ 4 แบรนด์ด้วยกัน ประกอบด้วย
- Anasiri (อณาสิริ)
- Saransiri (สราญสิริ)
- Burasiri (บุราสิริ)
- Habitia (ฮาบิเทีย)
Anasiri (อณาสิริ)
แบรนด์นี้ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่ Mixed กันระหว่างบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด (หรือบางแห่งก็จะเป็นทาวน์โฮมและบ้านแฝด) โดยถ้าเป็นบ้านเดี่ยวก็จะมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 6 – 9 ล้านบาท ซึ่งทำเลส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในแถบชานเมืองใหญ่ๆรอบๆกรุงเทพ เช่น รังสิต / ปิ่นเกล้า / ศาลายา และราชพฤกษ์ เป็นต้น
หนึ่งสิ่งที่น่าสนใจของแบรนด์นี้คือ Theme Concept ที่นำมาใช้ออกแบบในแต่ละทำเล จะมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป โดยหลักๆเราจะได้เห็นอยู่ 3 แบบก็คือ Modern / Mediterranean และ Modern Japanese ขึ้นอยู่กับบริบทและความต้องการของตลาดในพื้นที่นั้นๆ
เช่น ทำเลแถวๆรังสิต-ปทุมธานี จะมีการใช้สไตล์ Modern Japanese เป็นหลัก เพราะมีคนญี่ปุ่นอยู่เยอะ แถมเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ก็ยังไม่ค่อยมีใครใช้ Theme นี้ในการทำโครงการ จึงทำให้มี Demand ในพื้นที่สูง และได้ผลตอบรับค่อนข้างดีมากๆ จนเกิดเป็นโครงการสไตล์นี้ 3 – 4 แห่งติดๆกันเป็นต้นครับ
นอกจากนี้ผมยังชอบเรื่องการจัดผังโครงการในส่วนของบ้านแฝด ซึ่งเค้าจะใช้บ้านแฝดที่ไม่เหมือนกัน 2 หลังมาติดกัน (แบบหน้ากว้างและหน้าปกติ) ทำให้บรรยากาศในโครงการจะดูไม่น่าเบื่อเหมือนกันเป็น pattern นั่นเอง
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์อณาสิริ
- HARU บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 50 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 177 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 2 ที่จอดรถ
เป็นบ้านเดี่ยวหน้ากว้างที่เน้น Common Area และ Family Area บนชั้น 2 ให้มีขนาดใหญ่พิเศษ ทำให้มีความกว้างขวางโปร่งโล่ง โดยจะเหมาะกับครอบครัวที่ต้องการเน้นใช้ชีวิตในพื้นที่ส่วนกลางของบ้านร่วมกัน เช่น กินข้าว ดูทีวี และนั่งพูดคุยกัน เป็นต้น
อีกทั้งยังมีห้องนอนชั้นล่างไว้รองรับการอยู่อาศัยแบบ 3 Generation หรือใครจะปรับเป็นห้องอเนกประสงค์อื่นๆตาม Lifestyle ก็ได้ครับ ส่วนห้องนอนชั้นบนก็จะมีห้องน้ำเป็นส่วนตัวทุกห้องเลย ทำให้เหมาะกับครอบครัวขนาดกลาง-ใหญ่ จะมีลูก 1 – 2 คน หรือจะมีคุณพ่อคุณแม่อาศัยอยู่ด้วยกันก็ได้
ภาพบรรยากาศบ้านตัวอย่างโครงการอณาสิริ รังสิต – คลอง 2
- LECCE (เลชเช่) บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 50 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 161 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 2 ที่จอดรถ
เป็นแบบบ้านที่มีบรรยากาศดูน่ารักเหมือนอยู่เมืองนอก โดดเด่นที่ห้องนอนชั้นล่างจะเป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากตัวบ้าน เหมือนเป็นเรือนรับรองที่เราสามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมาก เพียงแต่จะไม่มีห้องน้ำในตัว ก็เลยจะเหมาะกับทำเป็นห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น หรือห้องอเนกประสงค์อื่นๆก็ได้
ส่วนแปลนชั้นบนจะเน้นไปที่พื้นที่ใช้สอยภายในห้องแทน และห้องนอนเล็กก็จะต้องแชร์การใช้งานร่วมกันที่ด้านนอกนะครับ ทำให้บ้านหลังนี้จะเหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก มีลูก 1 คนกำลังดี หรือจะ 2 คนก็ยังสบายๆ
บรรยากาศบ้านตัวอย่างโครงการอณาสิริ-เวสต์เกต
- Vallvik+ (วัลวิค พลัส) บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 50 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 153 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 2 ที่จอดรถ
อีกหนึ่งตัวอย่างแบบบ้านที่เป็นมาตรฐานของแสนสิริ ที่เราสามารถพบเห็นกันได้บ่อยมากในช่วงหลายปีก่อน (เป็นแบบที่ใช้มาสักพักใหญ่ๆแล้ว) โดดเด่นในเรื่องการแบ่งโซนฟังก์ชันใช้งานอื่นๆ ด้วยโถงทางเดินกลางบ้านแยกออกจาก Common Area ทำให้มีความเป็นสัดส่วนไม่รบกวนกัน ซึ่งฟังก์ชันนี้จะพบเห็นได้บ่อยในบ้านแพงๆ พื้นที่เยอะๆ และต้องมีบ้านหน้ากว้างมากพอ แต่เค้าสามารถทำได้ในบ้านไซส์นี้ถือว่าโอเคมากๆ
โดยแบบบ้านซีรีย์นี้จะเหมาะกับครอบครัวขนาดเล็กที่มีลูกคนเดียว เพราะด้านบนจะมีห้องนอนเพียง 2 ห้อง แต่ก็มีขนาดใหญ่พอๆกัน และยังมีห้องน้ำเป็นส่วนตัวด้วย ทำให้ลูกๆสามารถอยู่อาศัยตั้งแต่เด็ก-โตได้สบายๆ หรือถ้าใครมีผู้สูงอายุด้วยก็ยังมีห้องนอนชั้นล่าง ที่พอจะรองรับได้อีกสักคนนึงครับ (ขนาดพอจะวางเตียง 3.5 ฟุตได้เท่านั้น)
บรรยากาศบ้านตัวอย่างโครงการอณาสิริ ชัยพฤกษ์ – วงแหวน
Facilities ของแบรนด์อณาสิริ
บรรยากาศส่วนกลางของโครงการแบรนด์อณาสิริ
บรรยากาศของส่วนกลางโครงการอณาสิริ จะเน้นไปที่พื้นที่สีเขียวอย่าง Sansiri Backyard สนามเด็กเล่น และพื้นที่สวนต่างๆ ซึ่งก็สามารถทำบรรยากาศออกมาได้สวยงามร่มรื่นดีทีเดียวครับ และเนื่องจากเค้าเป็นโครงการที่มียูนิตเพื่อนบ้านอยู่ในช่วงประมาณ 200 – 300 หลัง ก็เลยทำให้มีพื้นที่ส่วนกลางที่เยอะ (ถ้าเทียบกับเพื่อนบ้านรอบๆในระดับราคาเดียวกัน) ส่วนฟังก์ชันอื่นๆก็ถือว่าให้มาครบเลย
โครงการแบรนด์ ‘อณาสิริ’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- อณาสิริ วงแหวน – ลำลูกกา >> ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท
- อณาสิริ อยุธยา 2 >> ราคาเริ่มต้น 4.29 ล้านบาท
- อณาสิริ ศาลายา – ปิ่นเกล้า >> ราคาเริ่มต้น 5.29 ล้านบาท
- อณาสิริ ปิ่นเกล้า – กาญจนาฯ >> ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท
- อณาสิริพายัพ >> ราคาเริ่มต้น 8 ล้านบาท
- อณาสิริ เวสต์เกต >> ราคาเริ่มต้น 6 ล้านบาท
- อณาสิริ รังสิต – คลอง 3 >> ราคาเริ่มต้น 4.29 ล้านบาท
- อณาสิริ ชัยพฤกษ์ – วงแหวน 2 >> ราคาเริ่มต้น 4.39 ล้านบาท
- อณาสิริ กรุงเทพ – ปทุมธานี 2 >> ราคาเริ่มต้น 5.4 ล้านบาท
- อณาสิริ พระราม 2 – วงแหวน >> ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท
- อณาสิริ ติวานนท์ – ศรีสมาน >> ราคาเริ่มต้น 5.59 ล้านบาท
- อณาสิริ สรงประภา / อณาสิริ รังสิต >> ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท
Saransiri (สราญสิริ)
เป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวแบบเต็มตัว ที่มาพร้อมกับดีไซน์ Concept ที่เป็นเอกลักษณ์ Modern Farmhouse ที่แค่ซุ้มประตูทางเข้าก็ดูสวยงามอลังการสุดๆแล้วครับ ซึ่งถ้าใครที่ชอบโครงการบรรยากาศสวยๆ เหมือนเราได้มาพักผ่อนที่เมืองนอกนี่ก็คงถูกใจไม่น้อย
โดยทำเลที่ตั้งของแบรนด์นี้จะอิงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่เพิ่มมาจากตัวอณาสิริอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นทำเลติดถนนใหญ่ ใกล้ทางด่วนต่างๆ ใกล้ห้างสรรพสินค้า หรือบางแห่งก็ยังใกล้รถไฟฟ้าอีกด้วยนะครับ
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์สราญสิริ
- Cottage บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 50 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 182 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 2 ที่จอดรถ
สำหรับแปลนบ้านนี้จะเน้น Common Area และช่องแสงที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ข้างบ้านครับ โดยจะเป็นแบบบ้านเริ่มต้นของสราญสิริหลายๆแห่ง ที่ฟังก์ชันแบบนี้จะมีในบ้านขนาดตั้งแต่ประมาณ 160 – 200 ตร.ม. ซึ่งจะแตกต่างกันที่ขนาดพื้นที่ใช้สอยในห้องที่กว้างขึ้นตามไซส์บ้าน และถ้าเป็นไซส์ใหญ่ 180 ตร.ม. ขึ้นไป ห้องนอนชั้นบนจะเริ่มมีห้องน้ำเป็นส่วนตัวทุกห้อง แต่ถ้าเป็นไซส์เล็กราคาจับต้องได้ง่ายลงมา ก็จะต้องแชร์ห้องน้ำร่วมกันครับ
แต่ทั้งนี้จุดเด่นอีกอย่างก็คือ ทุกแบบบ้านจะมีห้องนอนชั้นล่างที่สามารถรองรับผู้สูงอายุได้ทุกแบบ หรือเราจะทำเป็นห้องอเนกประสงค์อื่นๆก็ได้เหมือนกัน จึงทำให้เป็นแบบบ้านที่เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก-กลาง ชอบบ้านที่มีความเป็นสัดส่วน และมี Common Area เชื่อมต่อกันขนาดใหญ่อย่างโปร่งโล่ง
บรรยากาศบ้านตัวอย่างโครงการสราญสิริ ราชพฤกษ์ - 345
- Aster A : บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 50 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 184 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 2 ที่จอดรถ
เป็นอีกแปลนหนึ่งที่เราจะเห็นได้บ่อยของสราญสิริ ซึ่งจะเน้นพื้นที่ Common Area ให้อยู่ทางโซนหลังบ้านทั้งหมด ทำให้มีความเป็นส่วนตัวจากหน้าบ้าน และบรรยากาศมีความกว้างขวางโปร่งโล่งดี นอกจากนี้ยังปรับห้องนอนให้อยู่ติดกับสวนทั้ง 2 ด้าน (ไม่ได้อยู่ติดที่จอดรถเหมือนแบบก่อนหน้านี้) จึงมีความน่าใช้งานเพิ่มมากขึ้นเยอะเลย
อีกหนึ่งจุดเด่นของบ้านหลังนี้ก็คือ Master Bedroom ที่จะกินพื้นที่หน้ากว้างทั้งหมดของตัวบ้าน ทำให้เราสามารถจัดแบ่งพื้นที่ได้เป็นสัดส่วน และมีมุมอเนกประสงค์ให้ได้ใช้งานด้วย โดยแบบบ้านซีรีย์นี้จะมีตั้งแต่ขนาดประมาณ 165 – 205 ตร.ม. (ต่างกันที่พื้นที่ใช้สอยและจำนวนห้องน้ำ) และเหมาะกับคนที่ชอบใช้งาน Common Area หรือห้องอเนกประสงค์ชั้นล่างเป็นพิเศษครับ
ภาพบรรยากาศบ้านตัวอย่างโครงการสราญสิริ ประชาอุทิศ 90
นอกจากแบบบ้านหลักๆทั้ง 2 ซีรีย์ที่กล่าวมาแล้ว แบรนด์สราญสิริบางทำเลก็จะมีแบบบ้านหลังใหญ่ที่ราคามากกว่า 10 ล้านให้เลือกด้วยนะครับ หรือบางที่ก็จะเป็นบ้านเดี่ยว 100 ตร.วาขึ้นไปก็มี หากใครสนใจหรือมีงบถึงก็สามารถเลือกชมกันได้นะ
Facilities ของแบรนด์สราญสิริ
ภาพบรรยากาศส่วนกลางของโครงการสราญสิริ
สำหรับส่วนกลางของโครงการก็ถือว่าจัดออกมาได้สวยงามน่าใช้งาน โดดเด่นด้วยการตกแต่งโทนสีและบรรยากาศของอาคาร Clubhouse มาได้แบบ Country และ Cozy แบบสุดๆ ทำให้เหมาะแก่การพักผ่อนในแต่ละวัน และยังสามารถใช้รับรองแขกเพื่อเป็นหน้าเป็นตาได้อีกด้วย
โครงการแบรนด์ ‘สราญสิริ’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- สราญสิริ ศรีนครินทร์ – แพรกษา >> ราคาเริ่มต้น 6.99 ล้านบาท
- สราญสิริ ศาลายา – ปิ่นเกล้า >> ราคาเริ่มต้น 9 ล้านบาท
- สราญสิริ เวสต์เกต >> ราคาเริ่มต้น 8 ล้านบาท
- สราญสิริ ศรีวารี 2 >> ราคาเริ่มต้น 6 ล้านบาท
- สราญสิริ ราชพฤกษ์ – 346 >> ราคาเริ่มต้น 6.99 ล้านบาท
- สราญสิริ ราชพฤกษ์ – 345 >> ราคาเริ่มต้น 7.99 ล้านบาท
- สราญสิริ พระราม 2 >> ราคาเริ่มต้น 8.99 ล้านบาท
- สราญสิริ บางนา >> ราคาเริ่มต้น 6 ล้านบาท
- สราญสิริ รามคำแหง >> ราคาเริ่มต้น 7 ล้านบาท
- สราญสิริ รังสิต >> ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท
- สราญสิริ ประชาอุทิศ 90 >> ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท
- สราญสิริ ศรีวารี >> ราคาเริ่มต้น 7 ล้านบาท
Burasiri (บุราสิริ)
เคยสงสัยกันบ้างมั้ยครับว่าแบรนด์ Saransiri (สราญสิริ) และ Burasiri (บุราสิริ) มีความแตกต่างกันอย่างไร เพราะบางทีเราก็เห็นว่าเค้ามีราคาขายที่อยู่ใน Segment ใกล้ๆกัน ซึ่งส่วนตัวผมเคยมีโอกาสได้พูดคุยกับแสนสิริโดยตรงมาเหมือนกัน โดยเค้าให้นิยามความแตกต่างสั้นๆไว้ว่า
- Saransiri (สราญสิริ) : จะเป็นบ้านที่ดู Modern และมีความสุขุมมากกว่า เหมาะกับคนที่ชอบความเรียบง่าย และเน้นความเป็นส่วนตัวของบ้านเป็นพิเศษ
- Burasiri (บุราสิริ) : จะเป็นบ้านที่เน้นบรรยากาศสบายๆสไตล์รีสอร์ท ซึ่งรอบตัวบ้านจะมีช่องแสงที่เยอะ อีกทั้งยังมีการใช้วัสดุจากธรรมชาติ หรือเป็นโทนสีไม้ดูสบายตามากกว่าแบรนด์อื่นๆ
นอกจากนี้ Burasiri ก็อาจมี Theme Concept ในการออกแบบที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับบริบทและความต้องการของตลาดในย่านนั้นๆ เช่น บ้านสไตล์ New England Colonial ที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่เมืองนอกจริงๆ หรือจะเป็นสไตล์โมเดิร์นล้านนาของบ้านที่อยู่ในเชียงใหม่ เป็นต้น
เรียกได้ว่าแบรนด์ Burasiri แต่ละทำเลจะค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ที่พบเจอได้บ่อยสุดก็คือ ‘สไตล์รีสอร์ท’ ที่เป็นซีรีย์หลักเนี่ยแหละครับ และเนื่องจากแบรนด์ Burasiri จะเป็นตัว Segment ที่เริ่มค่อนไปทางสูงของแสนสิริเค้าแล้ว
ดังนั้นบ้านส่วนใหญ่ของแบรนด์นี้ก็จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 10 ล้านบาทขึ้นไป แต่ก็จะมีอยู่ไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นไม่ถึง 10 ล้านบาท คือ บุราสิริ พระราม 2 และบุราสิริ สันผีเสื้อ เชียงใหม่
ตัวอย่างแบบบ้านแบรนด์บุราสิริ
- Welkin (เวฬคิณ) : บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 50 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 167 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 3 ที่จอดรถ
เป็นบ้านไซส์เล็กสุดที่มีราคาเริ่มต้นไม่ถึง 10 ล้านจากโครงการ บุราสิริ พระราม 2 โดยสิ่งที่โดดเด่นของบ้านหลังนี้คือ ที่จอดรถที่สามารถรองรับได้สูงสุดถึง 3 คัน อีกทั้งห้องนอนด้านบนก็ยังมีห้องน้ำส่วนตัวทุกห้อง โดยจะเน้นพื้นที่ใช้สอยภายในห้องต่างๆมากกว่าโถงกลางบันได ทำให้มีบรรยากาศที่กว้างขวางและใช้งานสะดวก แถมยังสามารถรองรับครอบครัวที่มีลูก 2 คนได้สบายๆอีกด้วย
จุดเด่นอีกอย่างของบ้านหลังนี้คือ Double Balcony หรือระเบียงแบบ 2 ชั้น ที่มีพื้นที่ Semi-Outdoor ให้สามารถออกไปใช้งานได้จริง หรือจะเปิดเชื่อมต่อเพื่อขยายพื้นที่ใช้สอยในห้องให้กว้างมากขึ้นก็ได้ครับ รวมถึงห้องนอนชั้นล่างก็จะใช้เป็นประตูกระจกเชื่อมต่อกับ Common Area ทำให้ตัวบ้านโปร่งโล่งมากขึ้น และฟังก์ชันทั้งหมดจะเชื่อมต่อกับพื้นที่สวนหน้าบ้าน ทำให้มีบรรยากาศที่ผ่อนคลายสไตล์รีสอร์ทตามคอนเซ็ปต์ของแบรนด์นั่นเอง
บรรยากาศบ้านตัวอย่างโครงการบุราสิริ พระราม 2
สำหรับอีกหนึ่งโครงการที่มีราคาเริ่มต้นไม่ถึง 10 ล้านของแบรนด์บุราสิริ ก็จะเป็นโครงการ บุราสิริ สันผีเสื้อ ซึ่งเราอาจไม่ได้พูดถึงในบทความนี้มากนักเพราะเป็นโครงการต่างจังหวัด แต่จะเป็นแบบบ้านไซส์เล็กที่มีราคาจับต้องได้ง่าย หากใครสนใจก็ลองคลิกชมแบบบ้านใน Gallery ด้านล่างนี้ดูได้นะครับ
Facilities ของแบรนด์บุราสิริ
ภาพบรรยากาศส่วนกลางโครงการบุราสิริ พระราม 2
ส่วนบรรยากาศส่วนกลางของโครงการบุราสิริ เรียกได้ว่ามีการอัพเกรดดีขึ้นจากรุ่นน้องก่อนหน้านี้พอสมควร โดยเฉพาะความร่มรื่นของถนนในโครงการ ที่จะเพิ่มอุโมงค์ต้นไม้ขนาดใหญ่เข้ามา ซึ่งเมื่อรวมกับสถาปัตยกรรมสไตล์รีสอร์ทแบบนี้ ก็เลยทำให้รู้สึกถึงความผ่อนคลายและการพักผ่อนได้เป็นอย่างดีเลยครับ
โครงการแบรนด์ ‘บุราสิริ’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- บุราสิริ พระราม 2 >> ราคาเริ่มต้น 8.99 ล้านบาท
- บุราสิริ สันผีเสื้อ เชียงใหม่ >> ราคาเริ่มต้น 5.19 ล้านบาท
Habitia (ฮาบิเทีย)
เราขออนุญาตแปะโป้งไว้สำหรับแบรนด์ Habitia ซึ่งถือเป็นแบรนด์พิเศษที่นานๆทีแสนสิริเค้าจะทำออกมาให้เห็นกัน โดยโครงการล่าสุดที่ Think of Living ได้มีโอกาสเข้าไปรีวิวก็คือ Habitia Prime Ratchapruk (ฮาบิเทีย ไพร์ม ราชพฤกษ์) ที่เป็นบ้านเดี่ยวสไตล์ยุโรปเพียง 10 ยูนิต หรือจะเป็นรุ่นพี่ตัวแรกอย่าง ฮาบิเทีย ออร์บิต หทัยราษฎร์ เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วก็เป็นบ้านเดี่ยวล้วนเหมือนกัน
แต่สำหรับโครงการล่าสุด ฮาบิเทีย พราวด์ ประชาอุทิศ 72 (Habitia Proud Prachauthit 72) จะถูกปรับเป็นบ้านแฝดทั้งโครงการครับ ซึ่งอันนี้เราอาจต้องรอดูกันต่อไปว่าแบรนด์นี้เค้าจะมีแนวทางการพัฒนาต่อไปอย่างไร แต่เท่าที่เคยพูดคุยและสอบถามมา Habitia (ฮาบิเทีย) จะเป็นแบรนด์พิเศษ ที่หลักๆจะเน้นในเรื่องความเป็นส่วนตัวของโครงการ และมียูนิตเพื่อนบ้านที่น้อย เมื่อเทียบกับโปรดักส์เดียวกันนั่นเองครับ
3. Land & Houses
อีกหนึ่งแบรนด์ใหญ่ที่น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน โดยเฉพาะบรรยากาศของพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถทำออกมาได้ร่มรื่นสวยงาม ด้วยการปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่ และบางแห่งก็อาจมีการทำเป็นผืนน้ำขนาดใหญ่ (อารมณ์เหมือนเป็นทะเลสาบ) เพื่อเพิ่มบรรยากาศที่ดีภายในโครงการอีกด้วยครับ
รวมถึงภายในตัวบ้านยังมีการใส่นวัตกรรม เช่น ระบบ Air Plus ที่ช่วยกรองฝุ่นและระบายอากาศภายในบ้านได้ดีมากๆอีกด้วยครับ และอีกหนึ่งสิ่งที่ส่วนตัวผมชอบและเคยสัมผัสมาด้วยตัวเองก็คือ คุณภาพการส่งมอบบ้านของเจ้านี้ จะมีการซีลผนึกวัสดุทุกอย่างภายในบ้าน ให้มีความใหม่อยู่ตลอดก่อนถึงวันส่งมอบ ไม่ว่าจะเป็นพื้น สุขภัณฑ์ หรือวัสดุบิ้วท์อินอื่นๆ โดยแบรนด์บ้านเดี่ยวของ Land & Houses ที่มีราคาขายเริ่มต้นอยู่ในช่วง 5 – 10 ล้าน ได้แก่
- พฤกษ์ลดา
- ชัยพฤกษ์
- สีวลี
- มัณฑนา
พฤกษ์ลดา
เรียกได้ว่าแบรนด์บ้านเดี่ยวของ Land & Houses เข้าเกณฑ์เกือบทุกโครงการเลยก็ว่าได้ครับ แต่หลักๆเราจะเน้นโฟกัสไปที่แบรนด์ ‘พฤกษ์ลดา‘ ที่จะอยู่ในช่วงราคาขายพอดีคือ 5 – 10 ล้านบาท ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวแบรนด์บ้านเริ่มต้นของ LH เลยก็ว่าได้
ส่วนแบรนด์อื่นๆอย่าง ชัยพฤกษ์ / สีวลี และมัณฑนา จะมีแค่บางทำเลเท่านั้นที่บ้านไซส์เล็กสุดของโครงการนั้นๆ ที่จะมีราคาขายเริ่มต้นไม่ถึง 10 ล้านบาท ซึ่งถ้าใครสนใจก็อาจลองเก็บไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือกได้นะครับ เพราะแต่ละแบรนด์ก็จะมี Concept ที่โดดเด่นเฉพาะไม่เหมือนกันเลยนั่นเอง
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์พฤกษ์ลดา
- EARTH บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดิน 53 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 137 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 2 ที่จอดรถ
เป็นแบบบ้านไซส์เล็กสุดของพฤกษ์ลดา ซึ่งถ้าเทียบกับเพื่อนบ้านอื่นๆแล้ว ก็จะมีพื้นที่ใช้สอยที่ค่อนข้างน้อยกว่าพอสมควร แต่ถือว่าจัดแปลนออกมาได้ลงตัวดีมากๆ โดยจะเน้นให้มี Common Area กับห้องนอนชั้นบนขนาดใหญ่ เพราะเป็นฟังก์ชันที่มีการใช้งานจริงที่บ่อยที่สุด
แต่สิ่งที่ผมชอบและประทับใจมากที่สุดคือ การที่มีฟังก์ชันห้องนอนชั้นล่างมาให้ตั้งแต่บ้านไซส์เล็กสุดแบบนี้ครับ แถมยังมีขนาดที่ใช้งานได้จริงสบายๆด้วย แสดงให้เห็นว่าเป็นแปลนบ้านที่จิ๋วแต่แจ๋ว ถือว่าจัดแปลนได้เก่งมากๆ เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็กอยู่ด้วยกัน 2 – 3 คนกำลังดี
- WIND บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดิน 60 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 153 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 2 ที่จอดรถ
แบบบ้านหลังนี้จะเป็นไซส์ที่ขนาดใหญ่ขึ้นมานิดหน่อย โดยพื้นที่ชั้นล่างจะมีลักษณะที่เหมือนกับแบบเล็กเลยครับ แต่บนชั้น 2 จะมีการเพิ่มพื้นที่อเนกประสงค์บริเวณโถงบันไดเพิ่มขึ้นมา ทำให้ตัวบ้านมีความยืดหยุ่น และมีพื้นที่ให้เราได้ใช้สอยเพิ่มมากขึ้นครับ
Facilities ของแบรนด์พฤกษ์ลดา
ภาพบรรยากาศพื้นที่ส่วนกลางของโครงการพฤกษ์ลดา
จุดเด่นของโครงการจาก Land & Houses จริงๆก็คือ พื้นที่ส่วนกลางที่จัดมาได้ดูสวยงาม และยังมีความร่มรื่นน่าใช้งานมากๆอีกด้วยครับ โดยเฉพาะบริเวณถนน Main จะมีการปลูกต้นไม้ใหญ่เพื่อทำเป็นซุ้มต้นไม้ดูเป็นธรรมชาติ และยังมีพื้นที่สวนขนาดใหญ่ให้ใช้งานอีกด้วย ส่วนฟังก์ชันก็จัดมาให้ครบครัน และไม่ลืมฟังก์ชันสำหรับเด็กๆอย่าง Play Room และสนามเด็กเล่น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเค้าให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยแบบครอบครัวมากๆด้วยนั่นเองครับ
ส่วนโครงการแบรนด์อื่นๆของ Land & Houses จะมีบรรยากาศและสไตล์ที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง สามารถเลื่อนชมตัวอย่างได้ใน Gallery ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
บรรยากาศตัวอย่างจากโครงการ CHAIYAPRUEK 2 รังสิต คลอง4
โครงการแบรนด์ ‘Land & Houses’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- พฤกษ์ลดา ทางด่วนรามอินทรา – จตุโชติ >> ราคาเริ่มต้น 6.2 – 10 ล้านบาท
- พฤกษ์ลดา ปิ่นเกล้า – ศาลายา >> ราคาเริ่มต้น 5.99 – 8 ล้านบาท
- พฤกษ์ลดา ราชพฤกษ์-345 >> ราคาเริ่มต้น 5.89 – 8 ล้านบาท
- ชัยพฤกษ์ 2 รังสิต คลอง 4 >> ราคาเริ่มต้น 8.5 – 15 ล้านบาท
- ชัยพฤกษ์ แจ้งวัฒนะ >> ราคาเริ่มต้น 8.8 – 15 ล้านบาท
- ชัยพฤกษ์บางนา กม.15 >> ราคาเริ่มต้น 8.9 – 15 ล้านบาท
- ชัยพฤกษ์ บางนา กม.13 >> ราคาเริ่มต้น 9.2 – 15 ล้านบาท
- ชัยพฤกษ์ เพชรเกษม 69 >> ราคาเริ่มต้น 10 ล้านบาท
- สีวลี ศรีนครินทร์-ร่มเกล้า >> ราคาเริ่มต้น 6.69 – 20 ล้านบาท
- มัณฑนา เพชรเกษม-สาย 4 >> ราคาเริ่มต้น 7 – 12 ล้านบาท
- มัณฑนา 2 มอเตอร์เวย์ – กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ >> ราคาเริ่มต้น 8 – 20 ล้านบาท
- มัณฑนา ราชพฤกษ์-นครอินทร์ >> ราคาเริ่มต้น 8.9 – 18 ล้านบาท
4. ศุภาลัย (Supalai )
ถัดมาจะเป็นอีกหนึ่ง Developer เจ้าใหญ่ที่ใครหลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยจุดเด่นของเจ้านี้หลักๆคือเรื่อง ‘ราคา’ ที่จับต้องได้ง่ายเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านย่านเดียวกัน และในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมานี้ ทางศุภาลัยก็ได้ปล่อยแบบบ้านซีรีย์ใหม่ๆออกมาสู่ตลาด ซึ่งหน้าตาก็เรียกได้ว่าทันสมัยและสวยงามมากขึ้นเยอะเลยครับ
นอกจากนี้ศุภาลัยยังเป็นหนึ่งในแบรนด์ ที่มีชื่อเสียงในต่างจังหวัดค่อนข้างมาก เพราะเค้ามักจะเป็นเจ้าแรกๆที่ได้บุกเบิกในจังหวัดต่างๆมากมาย ทำให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับจากคนไทยทั่วประเทศเลยก็คงจะไม่ผิดนัก อีกทั้งแบบบ้านในแต่ละโครงการก็จะมีให้เลือกเยอะมากๆ (บางแห่งมีเกือบ 10 แบบ แถวยังมีบ้านตัวอย่างให้ดูทุกแบบเลยด้วยนะ สุดยอดมากๆ)
โดยแบรนด์บ้านเดี่ยวของ Supalai ในช่วงราคาเริ่มต้น 5 – 10 ล้านบาท จะมีอยู่เพียง 1 แบรนด์ก็คือ ศุภาลัย พาร์ควิลล์ (Supalai Park Ville) นั่นเองครับ
ศุภาลัย พาร์ควิลล์ (Supalai Park Ville)
เป็นแบรนด์ระดับ Main Class ของทางศุภาลัย จุดเด่นของเค้าก็คือตามชื่อเลยครับ Park Ville โดยจะเป็นโครงการที่เน้นให้มีพื้นที่สีเขียวภายในโครงการขนาดใหญ่ หลายๆแห่งก็มากกว่า 2 – 5 ไร่เลยทีเดียว
สาเหตุที่ทำแบบนี้ได้นั้นก็เป็นเพราะ ส่วนมากโครงการของศุภาลัยจะเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่มีเพื่อนบ้านมากกว่า 200 ยูนิตขึ้นไป จึงเหมาะกับคนที่ชอบใช้ชีวิตและทำกิจกรรมกลางแจ้งครับ สามารถคลิกชมภาพบรรยากาศได้ใน Gallery ที่อยู่ด้านล่างนี้ได้เลย
ภาพบรรยากาศตัวอย่างของสวนส่วนกลางโครงการศุภาลัย พาร์ค วิลล์
อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นมากๆของทุกๆโครงการในเครือศุภาลัยก็คือ ‘แบบบ้าน’ ที่มีให้เลือกเยอะกัน 5 – 8 แบบ/โครงการกันเลยทีเดียว ทำให้เรามีตัวเลือกที่จะมองหาบ้านที่มีขนาด + ฟังก์ชันได้ตรงใจกับเรามากที่สุดได้นั่นเองครับ ซึ่งก็จะมีให้เลือกกันตั้งแต่ 150 จนถึง 330 ตารางเมตรในบางโครงการกันเลยทีเดียว โดยวันนี้ผมจะเลือกนำตัวอย่างแบบบ้านมาตรฐานที่พบเห็นกันได้เกือบทุกๆแห่งมาให้ชมกันดังนี้
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์ศุภาลัย พาร์ควิลล์
ศุภฤทธิ์ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดิน 50 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 178 ตร.ม. – ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 2 ที่จอดรถ
ภาพรวมของแบบบ้านศุภาลัยคือ ทุกๆฟังก์ชันจะมีขนาดพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่ทั้งหมด ทำให้บรรยากาศในการอยู่อาศัยค่อนข้างกว้างขวาง และอยู่สบายมากๆครับ นอกจากนี้ยังมีห้องนอนชั้นล่างทุกแบบบ้านตั้งแต่ไซส์เล็กสุดด้วย
จึงทำให้สามารถรองรับครอบครัวที่อาจมีผู้สูงอายุอาศัยอยู่ด้วยไดสบายๆ หรือจะปรับเป็นห้องอเนกประสงค์อื่นๆก็ได้ตามต้องการ ดังนั้นฟังก์ชันของบ้านโครงการศุาภาลัย พาร์ควิลล์ จึงมีความยืดหยุ่น เหมาะกับการอยู่อาศัยได้ตั้งแต่ครอบครัวเล็ก-ใหญ่
โครงการแบรนด์ ‘Supalai Park Ville’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- ศุภาลัย พาร์ควิลล์ นิมิตใหม่-วงแหวน >> New Project
- ศุภาลัย พาร์ควิลล์ กาญจนาภิเษก-ซ.กันตนา >> ราคาเริ่มต้น 6.25 ล้านบาท
- ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รามคำแหง 174 >> ราคาเริ่มต้น 5.99 – 12 ล้านบาท
- ศุภาลัย พาร์ควิลล์ พัทยา-สุขุมวิท >> ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท
- ศุภาลัย พาร์ควิลล์ ประชาอุทิศ-สุขสวัสดิ์ >> ราคาเริ่มต้น 7.09 ล้านบาท
- ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รังสิต คลอง 4 >> ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท
- ศุภาลัย พาร์ควิลล์ พระยาสัจจา-สุขุมวิท >> ราคาเริ่มต้น 5.59 ล้านบาท
5. Pruksa (พฤกษา)
อีกหนึ่งบริษัทที่ใครหลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยเรามักจะเห็นเค้าจับตลาดกลุ่ม Economy ที่มีราคาจับต้องได้ง่ายหลายแห่งมากๆ นอกจากนี้แบบบ้านส่วนใหญ่ก็มักจะมีการก่อสร้างด้วยระบบ Precast หรือผนังคอนกรีตสำเร็จรูปเป็นหลักด้วยครับ เพราะพฤกษาเป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์เพียงไม่กี่เจ้า ที่เค้ามีโรงงาน Precast เป็นของตัวเองนั่นเอง
ดังนั้น บ้านของโครงการพฤกษาจึงจะมีความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ เพราะเป็นผนังรับน้ำหนักที่ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างบ้านไปด้วยในตัว รวมถึงยังมีความสามารถในการป้องกันเสียงได้ดีอีกด้วย แต่ทั้งนี้ก็แลกมากับข้อจำกัดในการทุบ/เจาะ/ต่อเติม ที่ทำได้ยากกว่าโครงสร้างปกติอยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลยซะทีเดียว และแนะนำให้ปรึกษาช่างหรือวิศวะประจำโครงการก่อนทุกครั้งครับ
PASSORN (ภัสสร)
หนึ่งในแบรนด์บ้านเดี่ยวในตระกูลพฤกษาที่มีราคาเริ่มต้นจับต้องได้ไม่ยาก โดยจะเป็นบ้านสไตล์ Modern ที่มีขนาดให้เลือกกันตั้งแต่ 133 – 200 กว่าตารางเมตร ทำให้เราสามารถเลือกแบบและขนาดบ้าน รวมถึงราคาที่เหมาะสมกับเราได้ง่าย
นอกจากนี้ยังมีพวกนวัตรกรรมเพื่อการอยู่อาศัย PRUKSA LIVING TECH ใส่เข้ามาภายในบ้านด้วย เช่น Home Automation / Smart Switch / Ventilation System และระบบรักษาความปลอดภัยอื่นๆตามมาตรฐาน
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์ PASSORN
- PIXIE บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 50 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 133 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 2 ที่จอดรถ
เริ่มกันที่แบบบ้านไซส์เล็กสุดและมีราคาจับต้องได้ง่ายสุด เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก 2 – 3 คน โดยพื้นที่ชั้น 1 จะเน้นการจัดแบบ Open plan เชื่อมต่อห้องครัวกับห้องอื่นๆเพื่อความกว้างขวางโปร่งโล่ง ส่วนห้องนอนชั้นบนทั้ง 3 ห้อง ก็จะต้องแชร์ห้องน้ำร่วมกันครับ ซึ่งเป็นการออกแบบที่ช่วยประหยัดพื้นที่ใช้สอยได้เป็นอย่างดี และให้ความสำคัญกับพื้นที่ในห้องนอนที่เป็นส่วนใช้งานหลักนั่นเอง
- PROUD บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 50 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 180 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 2 ที่จอดรถ
เป็นแบบบ้านขนาดมาตรฐานช่วงกลางๆของโครงการ โดยเราจะได้ Common Area ขยายเป็นรูปตัว L ที่ใหญ่มากขึ้น อีกทั้งยังมีห้องนอนชั้นล่างให้ใช้งานได้อีกด้วย ส่วนห้องนอนเล็กด้านบนก็อาจยังต้องแชร์ห้องน้ำร่วมกัน เพื่อให้มีพื้นที่ใช้สอยในแต่ละห้องที่ใหญ่และกว้างขวาง ทำให้บ้านหลังนี้ตอบโจทย์คนที่ต้องการฟังก์ชันห้องที่ใช้งานได้เยอะๆหน่อย เพื่อสามารถปรับใช้ได้ตามต้องการ เช่น ทำเป็นห้องนอน หรือทำเป็นห้องทำงานเพิ่มเติม เป็นต้น
ภาพบรรยากาศบ้านตัวอย่างโครงการ ภัสสร รังสิต-อเวนิว
- ATLAS บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 50 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 205 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 3 ที่จอดรถ / 1 ห้องแม่บ้าน
สำหรับบ้านไซส์ใหญ่สุดของแบรนด์จะมีขนาดมากกว่า 200 ตร.ม.ขึ้นไป มาพร้อมกับฟังก์ชันที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และสามารถรองรับครอบครัวขนาดใหญ่ได้สบายๆ เริ่มจากที่จอดรถในร่มแบบ 3 คัน และยังมีห้องนอนชั้นล่างให้เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือห้องนอนชั้นบนทุกห้องจะมีห้องน้ำส่วนตัวทั้งหมดครับ เหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่ หรือคนที่อยากอาศัยอยู่ร่วมกันกับครอบครัวแบบจริงจังไปตลอดได้ยาวๆ
Facilities ของแบรนด์ PASSORN
ภาพบรรยากาศตัวอย่างของส่วนกลางโครงการ ภัสสร จตุโชติ-ทางด่วนรามอินทรา
สำหรับพื้นที่ส่วนกลางของแบรนด์ Passorn จะเป็นสไตล์เรียบหรูทั่วไป แต่มีฟังก์ชันใช้งานครบ และยังมี Space ที่กว้างขวางในทุกๆจุด จึงสามารถใช้งานพร้อมๆกันหลายคนได้สบายๆ เหมาะสมกับโครงการของแบรนด์นี้ ที่ส่วนใหญ่ก็จะมีเพื่อนบ้านค่อนข้างเยอะพอสมควรครับ
โครงการแบรนด์ ‘PASSORN’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- ภัสสร รังสิต-อเวนิว >> ราคาเริ่มต้น 6.29 ล้านบาท
- ภัสสร จตุโชติ-ทางด่วนรามอินทรา >> ราคาเริ่มต้น 6.48 ล้านบาท
- ภัสสร ดอนเมือง-ธูปะเตมีย์ >> ราคาเริ่มต้น 4.79 ล้านบาท
- ภัสสร บางนา-วงแหวน >> ราคาเริ่มต้น 9.69 ล้านบาท
- ภัสสร ร่มเกล้า-รามคำแหง >> ราคาเริ่มต้น 5.89 ล้านบาท
- ภัสสร รามคำแหง-ราษฎร์พัฒนา >> ราคาเริ่มต้น 5.39 ล้านบาท
- ภัสสร บางนา – สุวรรณภูมิ >> ราคาเริ่มต้น 6.59 ล้านบาท
6. SC Asset (เอสซี แอสเสท)
มาถึงอีกหนึ่งแบรนด์ที่ส่วนใหญ่เราก็มักจะเห็นเค้าทำโปรดักส์ Luxury กันเยอะเลยใช่มั้ยครับ ซึ่งจุดเด่นของเจ้านี้คือ การออกแบบดีไซน์ของสถาปัตยกรรม และตกแต่งบรรยากาศโครงการออกมาได้สวยงามเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มโปรดักส์ที่อยู่ใน Segment เดียวกัน
อีกทั้งยังมี Design Concept ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของโครงการเป็นอย่างมาก พูดง่ายๆก็คือ ทุกๆโครงการของเค้าจะดูหรูดูแพงในระดับราคานั้นๆเลยก็ว่าได้
อีกหนึ่งสิ่งที่เจ้านี้ให้ความสำคัญมากคือ ‘ความเป็นส่วนตัวของบ้าน’ ซึ่งจะมีการออกแบบช่องแสงให้เพียงพอ แต่เพื่อนบ้านจะมองเข้ามาไม่ค่อยเห็น และจะเน้นในเรื่อง Ventilation หรือการระบายอากาศภายในบ้านที่ดีด้วยนั่นเอง โดยวันนี้เราจะพามาดูแบรนด์บ้านเดี่ยวราคา 5 – 10 ล้านของเค้ากันครับ ซึ่งจะมีเข้าเกณฑ์อยู่ทั้งหมด 2 แบรนด์ด้วยกันคือ
- Venue ID (เวนิว ไอดี)
- PAVE (เพฟ)
Venue ID (เวนิว ไอดี)
ถือเป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวเริ่มต้นจาก SC Asset โดยในช่วงก่อนหน้านี้เค้าก็จะมาในสไตล์ Modern แบบเรียบๆหรูๆ เหมือนอย่างโครงการทั่วๆไป แต่ทุกวันนี้เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของ Venue ID ในหลายๆโครงการ ที่มีดีไซน์โฉบเฉี่ยวสวยงามมากขึ้นเยอะเลยครับ ส่วนตัวโปรดักส์บ้านของเค้าก็จะเน้นเป็นบ้านไซส์ใหญ่ 180 ไปจนถึง 276 ตร.ม.เลยก็มี จึงเหมาะกับคนที่ชอบพื้นที่ในบ้านเยอะๆ แถมยังมีการแบ่งฟังก์ชันได้เป็นสัดส่วน ใช้งานได้ง่ายอีกด้วย
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์ Venue ID
เริ่มกันด้วยแบบบ้านไซส์เล็กสุดของโครงการ จุดเด่นคือนอกจากจะมี Common Area ขนาดใหญ่แล้ว ห้องนอนทุกห้องก็จะมีห้องน้ำเป็นส่วนตัวด้วย ทำให้เหมาะกับการอยู่อาศัย 3 – 4 คน และสามารถรองรับครอบครัวที่มีลูก 2 คนได้สบายๆ รวมถึงยังมี Family Area ให้เราใช้งานร่วมกันในครอบครัว หรือจะกั้นผนังทำห้องเพิ่มก็ยังได้
สำหรับบ้านพื้นที่ใช้สอยมากกว่า 200 ตร.ม. จะมีห้องนอนชั้นล่างเพิ่มเข้ามาให้ใช้งานครับ จึงสามารถรองรับครอบครัวที่อาจมีผู้สูงอายุอาศัยอยู่ด้วยได้ หรือเราอาจปรับเปลี่ยนเป็นห้องอเนกประสงค์อื่นๆตาม Lifestyle ของผู้อยู่อาศัยก็ดี เช่น ห้องทำงาน ห้องดูหนังเล่นเกมส์ และห้องทำการบ้านของลูกๆ เป็นต้น
ภาพบรรยากาศบ้านตัวอย่างโครงการ VENUE Flow แจ้งวัฒนะ
สำหรับแบบบ้านไซส์ใหญ่สุดเราจะได้ที่จอดรถเพิ่มขึ้นเป็น 3 คัน และมีห้องนอนชั้นล่างเพิ่มขึ้นมากลายเป็น 2 ห้องใหญ่ โดยที่หนึ่งในห้องนั้นจะมีห้องน้ำในตัวให้ใช้งานด้วยครับ ซึ่งเหมาะกับการใช้เป็นห้องนอนของผู้สูงอายุมากที่สุดในบรรดาแบบบ้านทุกแบบ ส่วนห้องนอนชั้นบนก็เรียกได้ว่ามีขนาดพื้นที่ใหญ่หมดทุกห้องเลย ทำให้เป็นบ้านที่เหมาะกับการอยู่อาศัยเป็นครอบครัวใหญ่ 3 Generation ได้สบายๆ
Facilities ของแบรนด์ Venue ID
ภาพบรรยากาศตัวอย่างพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ เวนิว ไอดี วิภาวดี-พหลฯ
ส่วนกลางของโครงการจัดว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่น่าสนใจเอามากๆครับ ซึ่ง Venue ID รุ่นใหม่ๆบางแห่ง จะมีการออกแบบอาคาร Clubhouse และพื้นที่ส่วนกลางต่างๆ โดยได้แรงบันดาลใจมาจากสถานที่สำคัญๆในต่างประเทศ ที่พอทำออกมาแล้วก็ดูสวยงามแปลกตาดีทีเดียว รวมถึงยังมีการออกแบบให้พื้นที่ภายในกับภายนอกอาคาร Clubhouse เชื่อมต่อกัน ทำให้สามารถใช้งานกันได้อย่างต่อเนื่องดีอีกด้วย
โครงการแบรนด์ ‘Venue ID’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- เวนิว ไอดี รังสิต-ปทุมธานี >> ราคาเริ่มต้น 5.79 ล้านบาท
- เวนิว ไอดี ราชพฤกษ์-345 >> ราคาเริ่มต้น 7 – 16 ล้านบาท
- เวนิว ไอดี เพชรเกษม 81 >> ราคาเริ่มต้น 8.99 ล้านบาท
- เวนิว ไอดี วิภาวดี-พหลฯ >> ราคาเริ่มต้น 7.99 – 12 ล้านบาท
- เวนิว ไอดี พหลโยธิน – รังสิต >> ราคาเริ่มต้น 6.89 – 10 ล้านบาท
- เวนิว โฟลว์ แจ้งวัฒนะ >> ราคาเริ่มต้น 6.99 – 10 ล้านบาท
PAVE (เพฟ)
เป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวที่อยู่ในระดับ Segment ใกล้เคียงกับเวนิว ไอดี แต่มีกลิ่นอายและความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือสไตล์บ้านแบบ Modern ที่เป็นหลังคาทรงจั่วอันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงฟังก์ชันภายในบ้านก็มีการปรับเปลี่ยนที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการและมีการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกันเลยครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเคยได้สังเกตตอนไปรีวิวแบรนด์นี้มาก็คือ จะมีบ้านหลายแปลงเลยที่ได้พื้นที่ดินเยอะกว่ามาตรฐาน เช่น ปกติบ้านเดี่ยวคือ 50 ตร.วา และมีพื้นที่รอบบ้าน 2 – 3 เมตร แต่ที่ผมเคยเจอของแบรนด์นี้มาก็คือ จะมีแปลงที่ได้พื้นที่หน้าบ้านเยอะมาก จนสามารถจอดรถซ้อนคันในรั้วตัวเองได้สบายๆ (กลายเป็นจอดได้ 4 – 6 คัน) ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโครงการไม่เหมือนกัน แต่ถ้าใครที่ชอบอะไรแบบนี้ก็ลองสังเกตกันดูดีๆได้นะครับ
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์ PAVE
สำหรับบ้านไซส์เล็กสุดจะเห็นได้ว่าเค้าเน้นพื้นที่ Common Area ขนาดใหญ่ให้ไปอยู่ทางโซนหลังบ้านแทน ทำให้มีความเป็นส่วนตัวและยังได้พื้นที่กว้างขวางมากๆอีกด้วย ส่วนห้องนอนด้านบนจะต้องแชร์ห้องน้ำร่วมกัน เพราะเค้าต้องการให้เป็นบ้านที่มีฟังก์ชันห้องเยอะๆ และมีขนาดเพียงพอต่อการใช้งานจริง ซึ่งถ้าใครที่เป็นครอบครัวขนาดเล็ก 2 – 3 คน ก็น่าจะเหมาะกับบ้านหลังนี้นะครับ
บ้านไซส์กลางจะมีการเพิ่มห้องนอนชั้นล่างเข้ามาให้ใช้งานครับ โดยจะมีขนาดพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ สามารถปรับการใช้งานได้หลากหลายตามต้องการ ซึ่งถ้าใครจะใช้เป็นห้องนอนผู้สูงอายุก็ได้เหมือนกัน เพียงแต่การใช้งานห้องน้ำจะต้องมีการเดินข้ามมาอีกฟากหนึ่งของบ้านเลยอาจไม่สะดวกนัก
ผมเลยคิดว่าน่าจะทำเป็นห้องทำงาน หรือห้องดูหนังเล่นเกมส์จะเหมาะกว่าครับ ส่วนห้องนอนชั้นบนก็ยังคงต้องแชร์ห้องน้ำร่วมกันเหมือนแบบเล็กอยู่เช่นเดิม เพื่อต้องการให้ภายในห้องนอนมีขนาดพื้นที่ใช้สอยใหญ่ๆกว้างๆ และใช้งานได้แบบเต็มที่นั่นเอง
ภาพบรรยากาศบ้านตัวอย่างโครงการ PAVE บางนา
แบบบ้านไซส์ใหญ่สุดจะเป็นบ้านหน้ากว้าง ที่มีฟังก์ชันใช้งานได้สะดวกมากขึ้นหลายจุด ไม่ว่าจะเป็น Living Area ที่เป็นเหมือนส่วนยื่นออกมาจากตัวบ้าน ทำให้มีช่องแสงเชื่อมต่อกับสวนรอบบ้าน แถมยังมีระยะที่สามารถกั้นผนังทำเป็นห้องส่วนตัวเพิ่มได้สบายๆ นอกจากนี้ห้องนอนชั้นล่างก็จะปรับมาอยู่ติดกับห้องน้ำเลย จึงทำให้สามารถมาใช้งานได้สะดวกมากขึ้น ทีนี้จะทำเป็นห้องนอนผู้สูงอายุก็ได้แล้วครับ
ส่วนห้องนอนชั้นบนจะเพิ่มห้องน้ำส่วนตัวในห้อง Master Bedroom เข้ามา โดยที่ห้องนอนเล็กยังคงต้องแชร์ห้องน้ำร่วมกัน และเราจะได้ Family Area เพิ่มมาให้ใช้งานด้วย ซึ่งตรงจุดนี้ก็สามารถกั้นทำเป็นห้องพระเพิ่มได้ครับ ภาพรวมก็นับว่าบ้านหลังใหญ่สุดมีฟังก์ชันที่ลงตัวและยืดหยุ่นอย่างมาก เหมาะกับครอบครัวขนาดกลาง-ใหญ่ หรือจะอยู่ด้วยกันแบบ 3 Generation ก็ได้
Facilities ของแบรนด์ PAVE
ภาพบรรยากาศตัวอย่างส่วนกลางโครงการ เพฟ บางนา
หากพูดถึงโครงการของ SC Asset ทุกคนต่างยกให้เป็นอีกหนึ่งเจ้า ที่สามารถทำบรรยากาศส่วนกลางออกมาได้ค่อนข้างดีเลยครับ โดยถ้าเป็นโครงการเก่าๆก็อาจยังเป็นอาคาร Clubhouse สไตล์โมเดิร์นปกติก็จริง ก็แต่จะมีการจัดบรรยากาศของสวนเข้ามาช่วยทำให้สวยงามร่มรื่นดีมากขึ้น
แต่ถ้าเป็นโครงการใหม่ๆ จะมีการปรับและพัฒนาส่วนกลางให้มีความน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมของอาคาร Clubhouse ที่มีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ไม่แพ้บ้านระดับ Luxury ซึ่งก็จะได้แรงบันดาลใจมาจากเมืองนอก เช่น Provence เมืองแห่งทุ่งดอกลาเวนเดอร์ในทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น
โครงการแบรนด์ ‘PAVE’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- เพฟ รังสิต-วิภาวดี >> ราคาเริ่มต้น 5.89 – 10 ล้านบาท
- เพฟ บางนา >> ราคาเริ่มต้น 4.69 – 8 ล้านบาท
7. Frasers Property Home
เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีประสบการณ์ทำงานด้านอสังหาที่ยาวนาน (ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อว่าโกลเด้นแลนด์) ซึ่งจุดเด่นโปรดักส์ของ Developer เจ้านี้ก็คือ บ้านไซส์ใหญ่สไตล์ยุโรป ที่แต่ละโครงการทำออกมาได้ดูยิ่งใหญ่อลังการ และดูหรูหรามากๆครับ (ให้อารมณ์เหมือนกำลังเข้าไปยังพระราชวังใหญ่ๆเลย)
นอกจากนี้เค้ายังมีอาณาจักรที่ชื่อ The Empire ที่เป็นแหล่งรวมคอมมูนิตี้ และโครงการต่างๆในเครือของ Frasers เอาไว้ด้วยกัน ซึ่งถนนทางเข้าจะมีความเป็นส่วนตัว ร่มรื่น และบางแห่งก็ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น คอมมูนินี้มอลล์ มาเปิดให้บริการแก่ลูกบ้านย่านนั้นๆอีกด้วย โดยแบรนด์บ้านเดี่ยวของ Frasers ที่มีราคาขายเริ่มต้นอยู่ในช่วง 5 – 10 ล้านบาท จะมีอยู่เพียงแบรนด์เดียวเท่านั้นก็คือ Prestige นั่นเองครับ
Prestige (เพรสทีจ)
เป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวสไตล์ยุโรป ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเมืองนอก เช่น Salzburg ที่ออสเตรเลีย ซึ่งเราจะสัมผัสได้ตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าของโครงการ ที่ดูยิ่งใหญ่อลังการ และสวยงามมากๆครับ ราวกับว่าเรากำลังจะเข้าไปในพระราชวัง หรือสถานที่สำคัญหรูๆกันเลยทีเดียว
ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์และภาพจำอย่างหนึ่งไปแล้ว สำหรับโครงการของ Developer เจ้านี้ ที่หากใครชอบบรรยากาศโครงการที่เป็นแบบนี้ และอยากได้บรรยากาศที่เป็นหน้าเป็นหน้า หรือเป็นส่วนต้อนรับไว้อวกแขกได้ ก็จะต้องนึกถึงโครงการของ Frasers Property ออกมาเป็นชื่อแรกๆอย่างแน่นอน
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์ Prestige
สำหรับแบบบ้านของแบรนด์ Prestige จะมีให้เลือกหลักๆอยู่ 4 ขนาดด้วยกันครับ จุดเด่นคือหน้าตา Facade หน้าบ้านที่มีกลิ่นอายของบ้านสไตล์ยุโรปที่ชัดเจนมากๆ ไม่ว่าจะเป็นกรอบประตูหน้าต่างและวงกบต่างๆ รวมถึงยังมีการใช้วัสดุธรรมชาติเข้ามา ทำให้ตัวบ้านมีความสวยงาม มีรายละเอียด และดูโดดเด่นมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งโครงการในรุ่นที่ฉีกออกไปก็คือ Prestige พระราม 2 ที่จะใช้คอนเซ็ปต์ที่แตกต่างออกไปเป็นสไตล์ “นอร์ดิก” ที่ทำให้ดูทันสมัยและสวยงามดีไปอีกแบบ ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่คนชอบนะครับ ว่าเราต้องการบ้านสไตล์แบบไหนมากกว่ากัน
Facilities ของแบรนด์ Prestige
บรรยากาศตัวอย่างพื้นที่ส่วนกลางของบ้านแบรนด์ Prestige
บรรยากาศของพื้นที่ส่วนกลางจะเน้นไปที่ความสวยงาม และความยิ่งใหญ่อลังการของสถาปัตยกรรมตรงซุ้มประตูทางเข้า + อาคาร Clubouse ที่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปขนาดแบบ Overscale และส่วนตัวผมคิดว่าค่อนข้างสูสีกับแบรนด์รุ่นพี่อย่างตระกูล Grandio ที่มีราคาเริ่มต้นระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไปได้สบายๆเลยครับ
โครงการแบรนด์ ‘Prestige’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- Prestige2 พระราม 2 (บ้านสไตล์นอร์ดิก) >> ราคาเริ่มต้น 7.99 ล้านบาท
- Prestige ฟิวเจอร์-รังสิต >> ราคาเริ่มต้น 4.79 ล้านบาท
8. Britania (บริทาเนีย)
เป็นแบรนด์ที่แยกตัวออกมาจากบริษัท Origin อีกที เพื่อมาพัฒนาโปรดักส์แนวราบโดยเฉพาะอย่างเต็มตัว โดยจุดเด่นของโครงการต่างๆในเครือบริทาเนีย ส่วนใหญ่จะเป็นขนาดพื้นที่ส่วนกลาง และฟังก์ชัน Facilities ที่ให้มาเยอะเมื่อเทียบเพื่อนบ้านย่านเดียวกัน
ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะแบรนด์นี้เค้ามักจะทำโครงการใหญ่ๆ 200 – 300 ยูนิตขึ้นไป ก็เลยต้องจัดให้มีส่วนกลางขนาดใหญ่ตามสัดส่วนจำนวนยูนิตไปด้วย เพื่อให้การแชร์การใช้งานร่วมกันของลูกบ้านอย่างเพียงพอครับ
ดังนั้นถ้าใครที่ชอบส่วนกลางใหญ่ๆ ที่มาพร้อมกับแบบบ้านสไตล์อังกฤษแบบนี้อยู่ล่ะก็ มักจะต้องนึกถึงแบรนด์ Britania เป็นอันดับแรกๆอย่างแน่นอนครับ โดยโปรดักส์บ้านเดี่ยวที่มีราคาเริ่มต้นอยู่ในช่วง 5 – 10 ล้านบาท ก็คือแบรนด์ Britania นั่นเอง
Britania (บริทาเนีย)
ชื่อแบรนด์นี้เป็นชื่อเดียวกับบริษัทเลยนะครับ โดยแบรนด์นี้จะมีทั้งโครงการที่เป็นบ้านเดี่ยวล้วน กับโครงการที่มีบ้านแฝดเข้ามาผสมด้วย ซึ่งจุดเด่นของโครงการนี้จะอยู่ที่การออกแบบเป็นสไตล์ English Gable
หรือบางโครงการก็จะเรียกเป็น Modern English ทำให้ได้กลิ่นอายความเป็นอังกฤษ ผสมผสานเข้ากับความเรียบง่ายและความทันสมัย โดยจะมีแบบบ้านให้เลือกค่อนข้างหลากหลายเลยครับ ทำให้เราสามารถเลือกฟังก์ชันและขนาดพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะกับความต้องการของเราได้ง่าย
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์ Britania
จุดเด่นของแบบบ้านแบรนด์ Britania คือจะมีห้องนอนชั้นล่างรองรับทุกแบบ (ตั้งแต่ขนาดเล็กสุด-ใหญ่สุด) ทำให้เหมาะกับคนที่ต้องการฟังก์ชันห้องอเนกประสงค์ไว้ทำงานอดิเรก หรือจะใช้เป็นห้องของผู้สูงอายุ เพื่ออยู่ร่วมกันแบบ 3 Generation ก็ได้ครับ
Facilities ของแบรนด์ Britania
บรรยากาศตัวอย่างของส่วนกลางแบรนด์ Britania
โครงการแบรนด์ ‘Britania’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- บริทาเนีย ประชาอุทิศ 90 >> ราคาเริ่มต้น 7 ล้านบาท
- บริทาเนีย โฮม บางนา กม.17 >> ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท
- บริทาเนีย ราชพฤกษ์-กาญจนาภิเษก >> ราคาเริ่มต้น 4 ล้านบาท
- บริทาเนีย ราชพฤกษ์ 345 >> ราคาเริ่มต้น 4 ล้านบาท
- บริทาเนีย บางนา กม.39 >> ราคาเริ่มต้น 4.29 ล้านบาท
- บริทาเนีย โฮม บางนา – บางปะกง >> ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท
- บริทาเนีย บางนา เทพารักษ์ >> ราคาเริ่มต้น 4.69 ล้านบาท
- บริทาเนีย บางนา – ศรีวารี >> ราคาเริ่มต้น 7 ล้านบาท
- บริทาเนีย วงแหวน – เทพารักษ์ >> ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท
9. Property Perfect (พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค)
สำหรับ Developer เจ้านี้เรามักจะได้เห็นเค้าทำบ้านระดับ Luxury กันค่อนข้างบ่อย แต่จริงๆแล้ว Property Perfect เค้ามีโปรดักส์รองรับอยู่ทุก Segment เลยนะครับ แน่นอนว่าบ้านเดี่ยวราคา 5 – 10 ล้านก็มีให้เราได้เห็นกันมาแล้วหลายโครงการ โดยจะมีด้วยกันทั้งหมด 3 แบรนด์คือ
- Lake Forest (เลค ฟอเรสต์)
- Perfect Park (เพอร์เฟค พาร์ค)
- Perfect Place (เพอร์เฟค เพลส)
Lake Forest (เลค ฟอเรสต์)
เริ่มกันที่แบรนด์แรกกับ Lake Forest (เลค ฟอเรสต์) ตามชื่อเลยก็คือ เค้าจะเน้นการออกแบบให้เราได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่สีเขียวของโครงการ และยังมีวิวทะเลสาบหรือผืนน้ำขนาดใหญ่ให้เราได้ชมกันอีกด้วย
โดยจะมีคอนเซ็ปต์การออกแบบเป็นสไตล์ Modern Minimal Japanese ทั้งในส่วนของพื้นที่ส่วนกลางและตัวบ้าน อีกทั้งยังเน้นในเรื่องระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดอย่าง Double Security Gate ด้วยครับ ทำให้ลูกบ้านมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยได้อย่างแน่นอน
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์ Britania
แบบบ้านโครงการ เลค ฟอเรสต์ เพอร์เฟค เพลส ราชพฤกษ์ตัดใหม่
ปัจจุบันแบรนด์ Lake Forest (เลค ฟอเรสต์) จะมีอยู่ 2 ทำเลด้วยกันครับ ซึ่งทั้งหน้าตาบ้านและฟังก์ชันจะมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก หากใครสนใจก็สามารถเข้าไปชมที่เว็บไซต์ของเค้าต่อกันได้นะ >> https://www.pf.co.th/th/project/single-house/lake-forest
แบบบ้านโครงการ เลค ฟอเรสต์ เพอร์เฟค พาร์ค ราชพฤกษ์ตัดใหม่
Facilities ของแบรนด์ Lake Forest
บรรยากาศตัวอย่างโครงการแบรนด์ Lake Forest (เลค ฟอเรสต์)
โครงการแบรนด์ ‘Lake Forest’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- เลค ฟอเรสต์ เพอร์เฟค พาร์ค ราชพฤกษ์ตัดใหม่ >> ราคาเริ่มต้น 3.99 – 7 ล้านบาท
- เลค ฟอเรสต์ เพอร์เฟค เพลส ราชพฤกษ์ตัดใหม่ >> ราคาเริ่มต้น 6.69 ล้านบาท
Perfect Park (เพอร์เฟค พาร์ค)
สำหรับแบรนด์นี้จะเน้นเป็นบ้านสไตล์ Modern โดยจะเป็นโครงการที่ผสมกันระหว่างบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดครับ รวมถึงจะเป็นบ้านไซส์เล็กขนาดตั้งแต่ 130 – 170 ตร.ม. มาพร้อมกับห้องนอนชั้นล่างทุกแบบ ให้เราได้ปรับการใช้งานได้ตามต้องการ เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก 3 – 4 คน หรือคนที่ต้องการห้องอเนกประสงค์เอาไว้ใช้งานด้วยนั่นเอง
Facilities ของแบรนด์ Perfect Park
ยังคงคอนเซ็ปต์เหมือนกันทุกโครงการก็คือ เน้นพื้นที่สีเขียวและให้ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติครับ โดยแต่ละโครงการก็อาจมีคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจแยกออกไปด้วย เช่น สไตล์ Modern Classic หรือสไตล์ Less is More น้อยแต่มาก และยังดูทันสมัย เป็นต้น
โครงการแบรนด์ ‘Perfect Park’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- Perfect Park แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์ >> ราคาเริ่มต้น 5.39 – 7 ล้านบาท
- Perfect Park พหลโยธิน – จตุโชติ >> ราคาเริ่มต้น 5.39 – 7 ล้านบาท
- Perfect Park กรุงเทพกรีฑา – รามคำแหง >> ราคาเริ่มต้น 5.39 – 7 ล้านบาท
- Perfect Park เวสต์เกต >> ราคาเริ่มต้น 3.99 – 6 ล้านบาท
- Perfect Park ราชพฤกษ์ – 346 >> ราคาเริ่มต้น 3.99 – 8 ล้านบาท
Perfect Place (เพอร์เฟค เพลส)
สำหรับแบรนด์นี้จะมีการอัพเกรดเพิ่มขึ้นจาก Perfect Park ค่อนข้างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นขนาดบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะขึ้น ฟังก์ชันตอบโจทย์การอยู่อาศัยแบบครอบครัวใหญ่ หรือครอบครัวแบบ 3 Generation ได้มากขึ้น รวมถึงยังมีการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ เช่น Active Airflow System ที่จะช่วยเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้าน และทำให้บ้านเย็นสบายประหยัดพลังงานได้ครับ
นอกจากนี้ยังรวมถึงบรรยากาศของพื้นที่ส่วนกลาง ที่มีคอนเซ็ปต์สวยเด่นชัดและน่าสนใจขึ้นด้วยครับ โดยจะมีการใช้คอนเซ็ปต์ใหม่ๆเพิ่มเข้ามา เช่น Minimalist Collection หรือสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปต่างๆ เป็นต้น
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์ Perfect Place
Facilities ของแบรนด์ Perfect Place
บรรยากาศส่วนกลางของแบรนด์นี้เรียกได้ว่าทำได้ถึงบรรยากาศจริงอยู่นะครับ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบสถาปัตยกรรมของอาคาร Clubhouse การเลือกใช้วัสดุเทียบเคียงของจริงที่ไม่ใช่แค่การทาสี และบางแห่งยังลงทุนทำกังหันลมขนาดใหญ่เพิ่มมาเพื่อเป็น Icon ของโครงการอีกด้วย ทำให้ได้บรรยากาศเหมือนอยู่เมืองนอกเลยทีเดียว
โครงการแบรนด์ ‘Perfect Place’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- Perfect Place รามอินทรา – วงแหวน >> ราคาเริ่มต้น 5.59 – 9 ล้านบาท
- Perfect Place รามคำแหง – สุวรรณภูมิ 3 >> ราคาเริ่มต้น 5.49 – 9 ล้านบาท
- Perfect Place แจ้งวัฒนะ >> ราคาเริ่มต้น 6.99 – 12 ล้านบาท
- Perfect Place รังสิต – ทางด่วนบางพูน >> ราคาเริ่มต้น 4.99 – 10 ล้านบาท
- Perfect Place สุขุมวิท 77 – สุวรรณภูมิ >> ราคาเริ่มต้น 7.79 – 13 ล้านบาท
10. Q House
มาต่อกับอีกหนึ่ง Developer ที่โดดเด่นด้านการทำโครงการแนวราบโดยเฉพาะ (บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม) โดยจุดเด่นของเจ้านี้ผมคิดว่าเป็นทำเล ที่มักจะตั้งอยู่ในย่านที่ค่อนข้างคึกคัก และใช้ชีวิตได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นใกล้ตลาด และไม่ไกลจากทางด่วน ซึ่งแลกมากับการที่เค้ามักจะขยับเข้ามาในซอยอยู่สักหน่อยนั่นเอง
และแน่นอนว่าถ้าพูดถึงผู้ประกอบการเจ้านี้ ก็จะต้องนึกถึง Q District ที่เป็นเหมือนอาณาจักรของ Q House ในแต่ละทำเลเด่นๆ และมีบ้านตระกูล Casa ต่างๆ ได้แก่ Casa Ville / Casa Premium / Casa Grand และ Casa Legend รวมถึงจะมีแบรนด์ วรารมย์ ที่เข้าเกณฑ์บ้าน 5 – 10 ล้านบาทของเราในวันนี้ด้วยนะครับ
ตัวอย่างแบบบ้านแบรนด์ Casa Ville
หลังนี้จะเป็นบ้านไซส์เล็กสุดนะครับ ซึ่งตัวแปลนจะมีลักษณะเป็นทรงจัตุรัส เน้นพื้นที่ใช้สอยบริเวณ Common Area ที่อยู่กลางบ้าน อีกทั้งยังมีห้องอเนกประสงค์ชั้นล่างให้ใช้งานด้วย โดยจะเป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากตัวบ้าน ทำให้มีความน่าใช้งานและได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติข้างบ้านได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่แปลนชั้นบนจะเน้นพื้นที่ภายในห้องนอนให้มีขนาดใหญ่ สังเกตจากการที่เค้าเว้นโถงบันไดไว้แค่พอใช้งานสะดวกพอดีๆเท่านั้น และห้องนอนเล็กก็จะต้องแชร์ห้องน้ำร่วมกัน ซึ่งเป็นวิธีออกแบบเพื่อประหยัดพื้นที่ส่วนกลางของบ้าน และนำไปเพิ่มให้กับภายในห้องนอนให้กว้างขวางใช้งานง่ายแทนครับ โดยรวมก็เป็นบ้านที่เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก 2 – 3 คนกำลังดี
หลังนี้จะเป็นบ้านไซส์กลางของโครงการ ซึ่งตัวที่เป็นพื้นที่ใช้สอย 180 – 220 ตร.ม. ขึ้นไปแบบนี้ จะมีความโดดเด่นตรงที่สามารถจอดรถได้มากถึง 3 คัน แถมยังมีพื้นที่ Common Area ที่ใหญ่โปร่งโล่ง และน่าใช้งานมากๆอีกด้วยครับ
โดยบ้านขนาด 220 ตร.ม. หลังนี้จะโดดเด่นตรงชั้น 2 ของบ้าน ที่ห้องนอนจะมีห้องน้ำเป็นส่วนตัวทุกห้อง อีกทั้งยังมีพื้นที่ Family Area ตรงกลางให้ใช้งานร่วมกันอีกด้วย (แต่ถ้าเป็นบ้านขนาด 180 ตร.ม. จะยังต้องแชร์ห้องน้ำร่วมกัน และไม่มี Family Area นะครับ)
Facilities ของแบรนด์ Casa Ville
สำหรับพื้นที่ส่วนกลางของ Casa Ville ภายในจะมีฟังก์ชันที่จัดมาให้ตามมาตรฐานครบ แต่จะเน้นให้แต่ละฟังก์ชันมีขนาดใหญ่กว่าปกติสักหน่อย โดยอาคาร Clubhouse ทุกแห่งจะเป็นลักษณะของอาคารชั้นเดียวสไตล์ Modern ทำให้สามารถใช้งานได้สะดวก และยังเชื่อมต่อกับพื้นที่สวนธรรมชาติได้ง่าย ซึ่งโครงการของแบรนด์นี้ก็ให้ต้นไม้มาค่อนข้างเยอะดีทีเดียวครับ
โครงการแบรนด์ ‘Casa Ville’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- Casa Ville ปิ่นเกล้า-วงแหวน >> ราคาเริ่มต้น 6.59 – 8.9 ล้านบาท
- Casa Ville ประชาอุทิศ 90 >> ราคาเริ่มต้น 5 – 6 ล้านบาท
- Q District บางนา-กิ่งแก้ว >> ราคาเริ่มต้น 5.6 – 10 ล้านบาท
- Casa Ville เทพารักษ์-ธนสิทธิ์ >> ราคาเริ่มต้น 6 – 12 ล้านบาท
- Casa Ville วงแหวน-รามอินทรา >> ราคาเริ่มต้น 6 – 10 ล้านบาท
- Q District สุขสวัสดิ์-วงแหวนพระราม 3 >> ราคาเริ่มต้น 6 – 8 ล้านบาท
- Casa Premium ราชพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ >> ราคาเริ่มต้น 6 – 15 ล้านบาท
- Q District คาซ่า เพรสโต้ ดอนเมือง-สรงประภา >> ราคาเริ่มต้น 6 – 14 ล้านบาท
- Casa Ville วงแหวน-จตุโชติ >> ราคาเริ่มต้น 6 – 9 ล้านบาท
- Casa Legend พระราม 5-ราชพฤกษ์ >> ราคาเริ่มต้น 7.5 – 15 ล้านบาท
- Casa Premium พระราม 2 >> ราคาเริ่มต้น 7 – 15 ล้านบาท
- Casa Ville รามคำแหง-วงแหวน 2 >> ราคาเริ่มต้น 7 – 15 ล้านบาท
วรารมย์ (Vararom)
อีกหนึ่งแบรนด์บ้านเดี่ยวที่มีการอัพเกรดขึ้นมา โดยเฉพาะบรรยากาศโครงการตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้า และอาคาร Clubouse ที่จะมีสไตล์ English Cottage ให้อารมณ์เหมือนได้อยู่บ้านพักตากอากาศที่เมืองนอกมากขึ้น ซึ่งถ้าใครกำลังมองหาโครงการบ้านเดี่ยวที่มีบรรยากาศดีๆอยู่ล่ะก็ แบรนด์นี้ของ Q House ก็ค่อนข้างตอบโจทย์ไม่น้อยเลย
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์ วรารมย์
ส่วนแบบบ้านจะมีแปลนและฟังก์ชันที่คล้ายกับของ Casa Ville เลยครับ แต่พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านจะมีขนาดไซส์ที่ใหญ่มากขึ้น จึงทำให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ภายในบ้านได้ง่าย และมีบรรยากาศบ้านที่กว้างขวางโปร่งโล่งมากขึ้นตามไปด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นเลยก็คือ Facade หรือหน้ากากของตัวบ้าน ที่จะมีบรรยากาศสอดคล้องกับพื้นที่ส่วนกลาง อย่างโครงการนี้ก็จะเป็นบ้านสไตล์ English Cottage ให้ความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนเราได้อยู่เมืองนอกเลยนั่นเองครับ
โครงการแบรนด์ ‘วรารมย์’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- วรารมย์ ราชพฤกษ์-ตัดใหม่ >> ราคาเริ่มต้น 6 – 12 ล้านบาท
- วรารมย์ วัชรพล-เพิ่มสิน >> ราคาเริ่มต้น 6 – 12 ล้านบาท
- วรารมย์ สุขสวัสดิ์ 76 >> ราคาเริ่มต้น 7 – 12 ล้านบาท
11. L.P.N. (แอล.พี.เอ็น.)
หากพูดถึง Developer เจ้านี้ เชื่อว่าหลายๆคนก็คงจะนึกถึงคอนโด ทาวน์โฮม หรือไม่ก็การบริการจัดการนิติบุคคลใช่มั้ยครับ แต่จริงๆแล้ว LPN เค้าก็มีโปรดักส์บ้านเดี่ยวให้เราได้เห็นกันอยู่บ้าง โดยจะเป็นแบรนด์ใหม่ที่มีชื่อว่า Haus24 / Villa 168 และ Residensece 168 ซึ่งแบรนด์บ้านเดี่ยวที่มีราคาขายอยู่ในช่วง 5 – 10 ล้านจะมีแค่แบรนด์เดียวเท่านั้นคือ Haus24 นั่นเองครับ
Haus24 (เฮ้าส์24)
ความน่าสนใจของแบรนด์นี้ที่ผมเห็นอย่างแรกเลยก็คือ โปรดักส์บ้านเดี่ยวจะเป็นแบบหน้ากว้าง แถมยังมี Courtyard ให้สามารถปลูกต้นไม้และทำสวนได้อีกด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในคอนเซ็ปต์การออกแบบของบ้านแบรนด์นี้ ‘Box & Court’ ที่ต้องการเน้นให้มีช่องแสงเชื่อมต่อกับธรรมชาติเยอะๆ และยังสามารถเปิดระบายอากาศได้อีกด้วย
โดยแบรนด์ Haus24 จะเป็นโครงการที่ Mixed กันระหว่าง บ้านแฝด + บ้านเดี่ยว และมีทำเลอยู่ตามชานเมืองต่างๆรอบกรุงเทพ ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้า ทางด่วน หรือรถไฟฟ้ามากนัก จึงกลายเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ครบเครื่องและน่าจับตามองไม่น้อยของ LPN ที่คาดว่าน่าจะมีเปิดใหม่เพิ่มอีกเรื่อยๆในอนาคต
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์ Haus24
- บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 50 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 191 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 1 ห้องอเนกประสงค์ / 2 ที่จอดรถ
ถือว่าเป็น Highlight หลักของแบรนด์นี้เลยก็ว่าได้ครับ โดยจะเป็นบ้านหน้ากว้างทรง L-Shpae ที่มี Courtyard ด้านหลังบ้าน ซึ่งเราสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ส่วนนี้ได้อย่างเต็มที่ เช่น ปลูกต้นไม้จัดสวน หรือทำเป็นพื้นที่นั่งเล่น เชื่อมต่อกับพื้นที่ในบ้านได้แบบไม่ต้องกลัวเสียความเป็นส่วนตัว (เพราะอยู่ด้านหลังบ้าน)
อีกทั้งยังช่วยเพิ่มช่องแสงให้เข้าสู่ใจกลางบ้านได้ดีมากขึ้น ทำให้บ้านมีความสว่างโปร่งโล่ง สามารถถ่ายเทอากาศได้ดี และสามารถมองเห็นสวนได้เกือบทุกฟังก์ชันเลยครับ ซึ่งฟังก์ชันบ้านแบบนี้ เราไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นกันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับบ้านที่ราคาไม่ถึง 10 ล้านแบบนี้ครับ
บรรยากาศบ้านตัวอย่างโครงการ Haus 24 Khukhot Station
โครงการแบรนด์ ‘Haus24’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- Haus24 เวสต์เกต >> ราคาเริ่มต้น 4.59 – 5.99 ล้านบาท
- Haus24 บางใหญ่ >> ราคาเริ่มต้น 5.xx ล้านบาท
- Haus24 คูคตสเตชั่น >> ราคาเริ่มต้น 4.29 – 5.9 ล้านบาท
- Haus24 แก้วอินทร์ >> ราคาเริ่มต้น 5.19 ล้านบาท
12. AssetWise (แอสเซทไวส์)
ปกติเราจะคุ้นเคยกับ Developer เจ้าหนี้กับโปรดักส์ประเภทคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศ แต่น้อยคนที่จะทราบว่า AssetWise เค้าก็มีโปรดักส์บ้านเดี่ยวด้วยเหมือนกัน แถมส่วนใหญ่ก็จะเป็นบ้านระดับ Luxury หลายสิบล้านบาทขึ้นไปด้วยครับ เช่น The Honor และ The Arbor เป็นต้น
แต่สำหรับบ้านเดี่ยวที่มีราคาอยู่ในช่วง 5 – 10 ล้านบาท จะเป็นแบรนด์ชื่อว่า ESTA ซึ่งเป็นแบรนด์น้องใหม่ล่าสุดที่ปัจจุบันเปิดตัวมาเพียง 2 แห่งเท่านั้น จัดเป็นอีกหนึ่งโปรดักส์ที่มีความน่าสนใจไม่น้อย
โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่ส่วนกลางที่ทาง AssetWise มีชื่อเสียงที่จัดหนักจัดเต็ม Facilities มาตั้งแต่ตอนทำเป็นคอนโดมิเนียม ดังนั้นพอมาหยิบจับโครงการประเภทแนวราบแบบนี้ หลายๆคนก็คาดหวังไว้พอสมควร เพราะแบรนด์รุ่นพี่ที่เป็นระดับ Luxury อย่าง The Honor เรียกได้ว่าทำไว้ดีเกิดคาดมากทีเดียวครับ (เคยเข้าไปดูของจริงมา ส่วนกลางใหญ่และสวยมาก)
ESTA (เอสต้า)
สำหรับแบรนด์บ้านเดี่ยวน้องใหม่ล่าสุดจาก AssetWise มาในคอนเซ็ปต์ Modern Scandi Living โดยได้แรงบันดาลใจมาจากที่อยู่อาศัยในแถบประเทศสเกนดิเนเวียน ทำให้บรรยากาศโครงการมีความสวยงาม ดูอบอุ่น และผ่อนคลายมากๆครับ ซึ่งแบรนด์นี้จะเป็นโครงการที่ Mixed กันระหว่าง บ้านเดี่ยว + บ้านแฝด และปัจจุบันก็เพิ่งจะเปิดตัวออกมาแค่ 2 ทำเลเท่านั้น
ตัวอย่างแบบบ้านของแบรนด์ ESTA
- Bryggen (บริกเก้น) บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 51 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 197 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 2 ที่จอดรถ
โครงการของ ESTA จะมีบ้านเดี่ยวเพียงแค่แบบเดียวเท่านั้น ลักษณะจะเป็นบ้านหน้ากว้าง เน้นพื้นที่ Common Area เชื่อมต่อมุมมองกับด้านข้างบ้าน อีกทั้งยังมีการดีไซน์ห้องอเนกประสงค์ชั้นล่างให้กั้นด้วยประตูกระจก ทำให้มีพื้นที่เชื่อมต่อกับส่วนอื่นๆ บรรยากาศในบ้านจึงยิ่งกว้างขวางโปร่งโล่งมากขึ้นครับ
นอกจากนี้ทุกๆห้องและทุกๆฟังก์ชัน ยังมีขนาดพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่มากๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องครัว และห้องน้ำ ซึ่งห้องนอนของบ้านหลังนี้จะมีห้องน้ำส่วนตัวทั้งหมดเลย จึงเหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก-กลาง อยู่ด้วยกัน 3 – 4 คนกำลังดี
ภาพบรรยากาศบ้านตัวอย่างโครงการ เอสต้า รังสิต – คลอง 2
Facilities ของแบรนด์ ESTA
ภาพบรรยากาศส่วนกลางโครงการของแบรนด์ Prestige
บรรยากาศส่วนกลางเรียกได้ว่าทำออกมาได้ดีไม่น้อยครับ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดูหรูหราเหมือนเพื่อนบ้านหลายๆแบรนด์ แต่จำนวนฟังก์ชันนี่ถือว่าจัดเต็มเกินต้านจริงๆ แค่บริเวณสวนด้านหน้าแบบกลางแจ้งก็เค้าก็เคลมเอาไว้ว่าจะมีเยอะถึง 17 ฟังก์ชันแล้ว ยังไม่รวมฟังก์ชันหลักในอาคารอย่าง Swimming Pool / Fitness และ Co-Working Space คือมีครบเลย
โครงการแบรนด์ ‘ESTA’ โปรดักส์บ้านเดี่ยวที่ยังมีขายอยู่ในปัจจุบันได้แก่
- ESTA รังสิต – คลอง 2 >> ราคาเริ่มต้น 4.69 – 7 ล้านบาท
- ESTA Serenity บรมราชชนนี (โครงการใหม่ล่าสุด) >> ราคาเริ่มต้น 4 – 7 ล้านบาท
..เป็นอย่างไรบ้างครับ กับรายชื่อบ้านเดี่ยวช่วงราคา 5 – 10 ล้านบาท จากทั้งหมด 12 Developer 24 แบรนด์บ้าน ที่ผมได้รวบรวมมาให้วันนี้ ซึ่งแต่ละโครงการเค้าก็จะมีจุดเด่นและความน่าสนใจที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงเหมาะกับคนที่มีความต้องการ หรือความชอบที่ไม่เหมือนกันด้วย หวังว่าพออ่านจบก็น่าจะมีแบบบ้านหรือโครงการที่ถูกใจกันนะครับ
และครั้งหน้า Think of Living จะมีบทความอะไรดีๆมาฝากกันอีก หรืออยากให้เรารวบรวมข้อมูลโปรดักส์ไหน ช่วงราคาอะไรอีก ก็ลองคอมเม้นต์พูดคุยกันมาได้นะครับ เผื่อจะได้เป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่กำลังหาข้อมูลอยู่เหมือนกัน สำหรับวันนี้ขอบคุณมากคร้าบบบบ 🙂