..บทความนี้เอาใจคนที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยประเภท ‘บ้านเดี่ยว’ ที่มีช่วงราคาอยู่ที่ 20 – 40 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นราคาที่มี Demand ในตลาดอยู่เสมอ และในช่วงราคา Segment นี้ก็ยังเป็นบ้านแบรนด์ Top สุดของ Developer บางเจ้าอีกด้วย รวมถึงยังมักจะเป็นโปรดักส์ที่มีคอนเซ็ปต์ที่ความโดดเด่นชัดเจนต่างจากโครงการบ้านทั่วๆไปด้วย ทำให้มีความน่าสนใจหลายๆอย่างที่ Think of living เราอยากนำมาอัปเดตกับเพื่อนๆในวันนี้ครับ

โดยโครงการที่เราคัดมาวันนี้ จะเป็นบริษัทมหาชนที่ติด 10 อันดับแรก และเรียงตามผลประกอบการภายในปี 2567 ที่ผ่านมา รวมถึงเป็นมีแบรนด์บ้านเดี่ยวที่มีราคาขายเริ่มต้นอยู่ในช่วง 20 – 40 ล้านบาท ซึ่งก็จะมีอยู่ทั้งหมด 10 Developer 24 แบรนด์ดัง ประกอบด้วย

  1. Supalai : บริษัท ศุภาลัย จํากัด (มหาชน)
  2. Sansiri : บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
  3. AP Thailand : บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จํากัด (มหาชน)
  4. Land & Houses : บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จํากัด (มหาชน)
  5. Q House : บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)
  6. Britania : บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน)
  7. AssetWise : บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน)
  8. SC Asset : บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)
  9. Frasers Property : บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน)
  10. Pruksa : บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)


และสำหรับใครที่อยากอ่านสรุปสั้นๆ ผมก็ได้ทำตารางรายละเอียดต่างๆแยกมาให้แล้ว หรือถ้าใครอยากดูรายละเอียดอื่นๆเพิ่มเติม ก็สามารถเลื่อนลงไปอ่านที่ด้านล่างต่อด้วยตัวเองได้เลยครับ

1. ศุภาลัย

เริ่มต้นกันที่ ‘ศุภาลัย’ หลายๆคนน่าจะรู้จัก Developer เจ้านี้กันเป็นอย่างดี ว่าขึ้นชื่อในเรื่องของ ‘ราคา’ ที่จับต้องได้ง่ายเป็นอันดับต้นๆของย่านนั้นๆ ซึ่งไม่เพียงแต่ในโซนกรุงเทพเท่านั้นนะครับ ต่างจังหวัดไกลๆเค้าก็ไปทำตลาดไว้เหมือนกัน จึงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายเลยทีเดียว

อีกทั้งในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา หลายๆคนน่าจะสัมผัสได้ว่า บ้านหรือคอนโดของศุภาลัยมีความทันสมัยและสวยงามมากขึ้น ซึ่งก็เป็นความตั้งใจของเค้าที่อยากจะพัฒนา ให้โปรดักส์สามารถเข้าได้กับทุกยุคทุกสมัย รวมถึงคนรุ่นใหม่ด้วยนั่นเอง

โดยโปรดักส์ระดับ 20 ล้านขึ้นไปแบบนี้ ..นานน้านนน~ เค้าจะทำออกมาให้เราได้เห็นกันสักทีครับ ซึ่งแบรนด์บ้านที่เป็นระดับ Luxury ของเค้าเลยก็คือ Supalai Elegance นั่นเอง

ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121 บ้านเดี่ยว 3 ชั้น แบรนด์ใหม่ บนถนนบรมราชชนนี จาก ศุภาลัย [PREVIEW] | thinkofliving.com

Supalai Elegance

สำหรับ ‘Supalai Elegance’ เป็นแบรนด์บ้านเดี่ยว 3 ชั้น (ในบางทำเลจะมีบ้านแฝดให้เลือกด้วย) ซึ่งแตกต่างจากบ้านเดี่ยวโครงการอื่นๆในทำเลเดียวกัน ที่มักจะเป็นบ้านแบบ 2 ชั้นปกติ ทำให้จุดเด่นหลักๆของเค้าคือ เป็นบ้านที่เน้นให้มีพื้นที่ใช้สอยภายในเยอะๆ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและมีประโยชน์ใช้สอยมากที่สุด

นอกจากนี้ยังจัดเต็มในเรื่องฟังก์ชันบ้าน 4 – 6 ห้องนอน 3 – 4 ที่จอดรถ ทำให้สามารถรองรับครอบครัวขนาดใหญ่แบบ 3 Generation ได้สบายๆ มาพร้อมกับแนวคิด Green Concept Design มีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ติดตั้ง Solar Roof และเตรียมจุดรองรับ EV-Charger, ระบบ Home Automation ให้กับบ้านทุกแบบ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็จะช่วยให้การอยู่อาศัยมีความสะดวกสบาย และครบครันมากขึ้นครับ

แต่ถ้าใครที่ชอบส่วนกลางสวยๆใหญ่ๆ ดูดีและอลังการ โครงการแบรนด์นี้อาจไม่ได้ตอบโจทย์นัก เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่เค้าเน้นหรือให้ความสำคัญครับ และเรามองว่ามีแบรนด์อื่นๆที่เค้าโดดเด่นมากกว่าเยอะเลย แต่ถ้าใครเน้นที่ตัวบ้านเป็นหลักล่ะก็คุณมาถูกทางแล้ว

Image 1/14

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘ศุภาลัย เอเลแกนซ์’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 2 โครงการคือ :

  • ศุภาลัย เอเลแกนซ์ พหลโยธิน 50 >> ราคาเริ่มต้น 11.9 – 30 ล้าน

  • ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121 >> ราคาเริ่มต้น 20 – 30 ล้านบาท

2. แสนสิริ

ถ้าพูดถึงบ้านหรูระดับ Luxury จะขาด Developer เจ้านี้ไปไม่ได้เลยนะครับ สิ่งที่โดดเด่นเลยก็คือ ‘บรรยากาศ’ ของพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการ ที่จะมีความสวยงามและหรูหราเป็นพิเศษ ยิ่งโครงการเปิดใหม่ช่วงหลังๆต่อให้เป็นบ้านระดับ 10 ล้าน ผมก็ได้เห็นว่าเค้าจัดหนักจัดเต็มเรื่องนี้มากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นอันดับต้นๆของแบรนด์อสังหาฯเลยทีเดียว และโดยส่วนใหญ่ก็จะได้แรงบันดาลใจมาจากสถานที่สวยๆในเมืองนอกครับ

นอกจากนี้ยังมีเรื่อง ‘ความเป็นส่วนตัว’ ที่สูงมากๆ เพราะถ้าเทียบกับโครงการ Segment เดียวกันหลายๆเจ้า โครงการของแสนสิริมักจะมียูนิตที่น้อยกว่ามาก (เฉลี่ยส่วนใหญ่ไม่เกิน 50 หลัง มีหลายๆโครงการไม่ถึง 10 หลังเลยด้วยซ้ำ) ซึ่งถ้าใครที่ชอบอยู่อาศัยแบบสังคมส่วนตัว โครงการของแสนสิริก็จะตอบโจทย์ได้ดีเลยครับ

อย่างที่เราเกริ่นไปแล้วว่าบ้านของแสนสิริที่อยู่ในช่วงราคาเริ่มต้น 20 – 40 ล้านบาท จะมีหลายแบรนด์มากๆ และบางแบรนด์ก็ยังถือเป็นหนึ่งใน Sansiri Luxury Collection อีกด้วย รวมแล้วก็มีเยอะถึง 6 แบรนด์ ดังนี้ :

  • Bugaan (บูก้าน)
  • Narasiri (นาราสิริ)
  • Narinsiri (ณริณสิริ)
  • ELSE (เอลซ์)
  • The River (เดอะ ริเวอร์)
  • Setthasiri (เศรษฐสิริ)

Bugaan (บูก้าน)

นี่เป็นหนึ่งใน Sansiri Luxury Collection ที่จริงๆแล้ว Segment ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 65 – 100 ล้านบาทขึ้นไปครับ แต่ก็จะมีบางทำเลที่เปิดตัวมาอยู่ในช่วงราคาที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ก็คือ 20 – 40 ล้านด้วย โดยจะมีอยู่ 2 ทำเลคือ Bugaan โยธินพัฒนา ที่เปิดตัวเป็นแห่งแรกและปิดการขายไปแล้ว กับอีกโครงการคือ Bugaan กรุงเทพกรีฑา ที่กำลังขายอยู่นั่นเอง

คือเราจำได้ว่าตอนสมัยเปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 3 – 4 ปีก่อน แบรนด์นี้เป็นที่ฮือฮามากๆ เพราะด้วยหน้าตาและการออกแบบบ้านมีความ Unique เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร เรียกได้ว่าฉีกกฎการออกแบบเดิมๆที่แสนสิริเคยทำมาทุกโครงการเลยครับ ซึ่งไม่ใช่แค่ Facade ภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งต่างๆ ที่ล้วนเป็นของนำเข้าจากแบรนด์ชั้นนำทั้งสิ้น

Image 1/12
Bugaan โยธินพัฒนา

Bugaan โยธินพัฒนา

โดยเราเคยไปงานข่าวเปิดตัวของแบรนด์นี้หลายครั้ง ก็เลยได้มีโอกาสเจอกับพี่เกน (วทัญญู ตันติวงศ์) Interior Designer ของแสนสิริอยู่บ่อยๆ เลยทำให้ได้ทราบว่าเขาใส่ใจในทุกๆรายละเอียดมากๆจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันทุกจุด และเฟอร์นิเจอร์ทุกชินในบ้าน ดังนั้นใครที่กำลังมองหาบ้านเดี่ยวที่มีดีไซน์โดดเด่น และใช้วัสดุคุณภาพดี ในสังคมที่เป็นส่วนตัวแบบนี้ รับรองไม่ผิดหวังกับแบรนด์นี้แน่นอน

และด้วยความที่เป็นโครงการขนาดเล็ก ที่ส่วนใหญ่จะมีเพียง 20 กว่าหลัง (เต็มที่ก็ไม่เกิน 50 หลัง) ก็เลยทำให้โครงการแบรนด์นี้ไม่ได้โดดเด่นเรื่อง Facilities นะครับ บางโครงการคือจะมีแค่สวนเฉยๆเท่านั้นเลย และจะไปเน้นที่ตัวบ้านมากกว่านั่นเอง

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘Bugaan’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 2 โครงการคือ :

  • Bugaan กรุงเทพกรีฑา >> ราคาเริ่มต้น 38 – 70 ล้านบาท

  • Bugaan พัฒนาการ >> ราคาเริ่มต้น 65 – 130 ล้านบาท

Narasiri (นาราสิริ)

อีกหนึ่งใน Sansiri Luxury Collection ซึ่งหลายๆคนต้องเคยได้ยินชื่อกันมาแล้วแน่นอน เพราะถ้าคิดๆดูแล้วบ้านแบรนด์นี้ก็มีมากว่า 20 ปีแล้วครับ โดยจะเป็นบ้านไซส์ใหญ่สไตล์ Timeless Design ที่สามารถเข้าได้กับทุกยุคทุกสมัย ภายใต้แนวคิด “A Matter of Refinement งดงามในรายละเอียด”

โดยเราจะสังเกตได้ว่า งานดีไซน์ของบ้านโครงการนี้มีรายละเอียดที่เยอะมากๆ ซึ่งมักจะได้แรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมของเมืองนอก ในยุคสมัยรุ่งเรืองของมหานครต่างๆ เช่น นิวยอร์กปี 1850 – 1900 ซึ่งเป็นยุคที่เศรษฐกิจของอเมริกากำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด หรือแม้กระทั่งส่วนกลางเองก็ไม่ได้แค่จำลองสถาปัตยกรรมมาตั้งเฉยๆ แต่ยังใส่ใจถึงขนาดว่าชนิดของวัสดุ และงานประกอบฝีมือต่างๆที่เอามาติดตั้ง ก็ต้องใกล้เคียงกับของจริงมากที่สุดอีกด้วยครับ

ต้องบอกก่อนว่าแบรนด์นี้ทำออกมากี่ครั้ง ก็มักจะ Sold Out ในเวลาไม่นาน อย่างตอนสมัย Narasiri กรุงเทพกรีฑา เราจำได้ว่าขายหมดภายใน 2 เดือนเท่านั้นครับ ปัจจุบันก็จะมีขายอยู่ 2 ทำเลด้วยกัน ซึ่งโครงการล่าสุดอย่าง Narasiri บางนา กม.10 จะมีราคาเริ่มต้นที่ปรับตัวสูงมากขึ้นกว่าทำเลอื่นๆ ส่วนหนึ่งเรามองว่าเป็นเพราะราคาที่ดินที่สูง และแสนสิริก็น่าจะกำลังจะยกระดับแบรนด์นี้ให้มีความ Luxury มากขึ้นไปอีกขั้นก็เป็นได้ ซึ่งนี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าติดตามไม่น้อยครับ ว่าอนาคตจะมีอะไรเจ๋งๆให้เราได้เห็นกันอีก

Image 1/13

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘นาราสิริ’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 2 โครงการคือ :

  • นาราสิริ พหล – วัชรพล >> ราคาเริ่มต้น 35 – 90 ล้านบาท

  • นาราสิริ บางนา กม.10 >> ราคาเริ่มต้น 50 – 100 ล้านบาท (โครงการเปิดใหม่ล่าสุด)

Narinsiri (ณริณสิริ)

เป็นแบรนด์น้องใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวปีนี้เลยครับ โดยจะมีอยู่ 2 ทำเลด้วยกัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘The Private Luxury ความสงบที่สง่างาม’ และถ่ายทอดความงดงามของบ้านในสไตล์ Georgian Revival ตอบโจทย์ชีวิตคนรุ่นใหม่กับสังคมคุณภาพที่มีความส่วนตัว ซึ่งในอนาคตก็คาดว่าน่าจะมีโครงการแบรนด์นี้ออกมาให้เราได้เห็นกันอีกเรื่อยๆ โดยแต่ละทำเลก็จะมีคอนเซ็ปต์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่างกันออกไปครับ

อีกสิ่งหนึ่งที่เราคิดว่าเป็นจุดเด่นมากๆของแบรนด์นี้ก็คือ ‘ทำเล’ ซึ่งจะอยู่ใกล้กับสถานที่สำคัญๆ เช่น โรงเรียนนานาชาติ คอมมูนิตี้มอลล์ หรือทางด่วน โดยห่างออกไปแค่เพียงไม่กี่ร้อยเมตร หรือใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ 1 – 2 นาที ทำให้มีความสะดวกสบายมากๆครับ ซึ่งนี่เป็นข้อมูลที่เราอ้างอิงและสังเกตจาก 2 โครงการที่เพิ่งเปิดตัวมาเท่านั้น แต่อนาคตแบรนด์นี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เราน่าจะมองเห็นกันได้ชัดเจนมากขึ้นในโครงการต่อๆไปอย่างแน่นอน

Image 1/6

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘ณริณสิริ’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 2 โครงการคือ :

  • ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา >> ราคาเริ่มต้น 40 – 100 ล้านบาท

  • ณริณสิริ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา >> ราคาเริ่มต้น 40 – 100 ล้านบาท

ELSE (เอลซ์)

อีกหนึ่งบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่จากแสนสิริที่เพิ่งเปิดตัวในปีนี้เช่นกัน โดยจะมีทั้งหมด 5 ทำเล ซึ่งจุดเด่นที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ ‘ความเป็นส่วนตัว’ เพราะยูนิตแต่ละโครงการน้อยมากๆเพียง 1 – 7 ครอบครัวเท่านั้น ลักษณะตัวบ้านจะเป็น Private Pool Residence มีเนื้อที่ดินบ้านเยอะ 70 – 150 ตร.วาขึ้นไป พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว และสามารถจอดรถซ้อนคันหรือจัดสวนสวยๆรอบบ้านได้ตามต้องการ เรียกได้ว่าเป็นรูปแบบบ้านในอุดมคติของใครหลายๆคน

ส่วนแบบบ้านจะเป็นสไตล์ Modern Classic พร้อมออกแบบบ้านที่ตอบโจทย์สำหรับคนทุกช่วงวัยด้วยหลัก Universal Design และ Green Living Design สรุปแล้วก็เป็นบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ด้วยกันได้แบบ 3 Generation ในสังคมแบบส่วนตัวสุดๆ แต่ด้วยจำนวนยูนิตที่น้อยมากๆ ถ้าใครสนใจก็คงต้องรีบๆกันหน่อยครับ เพราะบางโครงการคือ Sold Out ไปอย่างไวเลยทีเดียว

Image 1/4

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘ELSE’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 4 โครงการคือ :

  • ELSE รามอินทรา 34 >> ราคาเริ่มต้น 35 ล้านบาท

  • ELSE สุคนธสวัสดิ์ 26 >> ราคาเริ่มต้น 29.9 ล้านบาท

  • ELSE พระราม 9 >> ราคาเริ่มต้น 59 ล้านบาท

The River (เดอะ ริเวอร์)

อีกหนึ่งบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ของแสนสิริที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้ นำร่องกันทำเลแรกในโซน Bangna – Lake 26 Community ของแสนสิริ ออกแบบภายใต้แนวคิด Feels Like A Holiday Home เป็นบ้านเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง โดยเน้นบรรยากาศสไตล์ Modern Resort บนที่ดินบ้านขนาดใหญ่กว่า 140-224 ตร.วา และได้ความเป็นส่วนตัวสูงด้วยจำนวนยูนิตน้อยเพียง 8 หลัง พร้อมบรรยากาศริมน้ำและใกล้ชิดธรรมชาติ ดังนั้นหากใครกำลังมองหาบ้านเดี่ยวไซส์ใหญ่สไตล์รีสอร์ท ไม่ต้องไปหาไกลถึงต่างจังหวัดครับ The River ของแสนสิริสามารถตอบโจทย์ได้แน่นอน

Image 1/7

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘The River’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 1 โครงการคือ :

  • The River (เดอะ ริเวอร์) >> ราคาเริ่มต้น 25 – 40 ล้านบาท

Setthasiri (เศรษฐสิริ)

เป็นแบรนด์ที่หลายๆคนน่าจะคุ้นเคยกันดี แต่ภาพจำของเราคือ เศรษฐสิริส่วนใหญ่จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านขึ้นไปไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมถึงมาอยู่ในลิสต์นี้ได้ล่ะ คือต้องบอกอย่างงี้ครับว่า ปัจจุบันเค้าได้มีการขยับราคา และปรับ Segment ของโปรดักส์ใหม่ ให้มีความ Luxury มากขึ้น ดังนั้นในอนาคตเราก็อาจได้เห็นบ้านของเศรษฐสิริในระดับ 20 ล้านขึ้นไปมากขึ้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทำเลและ Demand ของตลาดด้วยครับ

สำหรับโครงการของเศรษฐสิริ ส่วนตัวเรามองว่าที่เป็นแบรนด์มาตรฐานที่สื่อความเป็นแสนสิริขั้นต้นออกมาได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศส่วนกลางที่สวยงาม เรียกได้ว่าถ้าบ้านในระดับ Segment เดียวกัน แสนสิริจะกินขาดมากโดยเฉพาะเรื่องความหรูหรา กับสไตล์บ้านที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์แบบ Georgian / Modern Classic ที่เพิ่มลูกเล่นและรายละเอียดแบบจัดเต็ม เช่น ขอบบัวปูนต่างๆ เสาทรงยุโรป และฝ้าเพดานสูง Double Volume เป็นต้น

Image 1/13

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘เศรษฐสิริ’ (เฉพาะโครงการที่มีราคาเริ่มต้น 20 ล้านบาทขึ้นไป) ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 3 โครงการคือ :

  • เศรษฐสิริ บางนา กม.10 >> ราคาเริ่มต้น 25 – 40 ล้านบาท

  • เศรษฐสิริ ดอนเมือง >> ราคาเริ่มต้น 20 – 40 ล้านบาท

  • เศรษฐสิริ ราชพฤกษ์ – พรานนก >> ราคาเริ่มต้น 30 – 40 ล้านบาท

3. AP Thailand

บริษัทเจ้าใหญ่ที่ใครหลายคนรู้จักกันดี ซึ่งภาพจำอย่างหนึ่งที่เรามักจะรู้สึกเหมือนกันว่า แต่ละแบรนด์ของเค้าพอไปอยู่ทำเลไหนก็ตามจะรู้สึกว่า มีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน Segment เดียวกัน แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเค้ามักจะทำเป็นบ้านหลังใหญ่ ที่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะกว่าเพื่อนบ้านรอบๆด้วยนั่นเอง แต่ถ้าเมื่อเทียบราคากับขนาดพื้นที่แล้ว ก็ยังถือว่าเป็นอีกเจ้าหนึ่งที่มีความคุ้มค่าพอสมควรครับ

และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของเค้าเลยก็คือ ระบบรักษาความปลอดภัย KATSAN ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยได้ตามมาตรฐาน AP ปัจจุบันนี้เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก แม้แต่เวลาที่ AP ไปบุกเบิกในทำเลต่างจังหวัดไกลๆ ก็ยังได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากคนในพื้นที่นั้นๆไม่น้อย

ซึ่งนับว่า Security ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของคนที่ได้เลือกซื้อโครงการของ AP เลยก็ว่าได้ครับ เพราะคนเราก็ต้องการความปลอดภัยของชีวิต และทรัพย์สินมาเป็นอันดับแรกๆอยู่แล้วนั่นเอง โดยแบรนด์บ้านเดี่ยวของ AP ในช่วงราคาเริ่มต้น 20 – 40 ล้านบาท จะมีอยู่ 2 แบรนด์ด้วยกัน ประกอบด้วย

  • บ้านกลางกรุง
  • The City

บ้านกลางกรุง

ตามชื่อเลยครับก็คือ เค้าจะเลือกทำเลที่อยู่ใจกลางเมืองมากที่สุด ที่พอจะสามารถทำบ้านแนวราบได้ โดยเป็นแบรนด์บ้านระดับตำนานที่นานๆ AP จะทำออกมาให้เราได้เห็นกัน เพราะต้องใช้เวลาเฟ้นหาทำเลที่เหมาะสมกับแบรนด์นี้มาลงก่อน และโครงการล่าสุดคือ บ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์ – พระราม 3 ที่เปิดตัวไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นก็เป็นการกลับมาครั้งแรกในรอบ 10 ปีเลยทีเดียวครับ โดยเป็นบ้านเดี่ยวสไตล์ Modern ที่รองรับครอบครัวไซส์ใหญ่ได้สบายๆ

และมีความแตกต่างจากโปรดักส์เดิม ที่เรามักจะเคยเห็นแบรนด์นี้ว่าเป็นทาวน์โฮมครับ นั่นก็เลยทำให้ Segment ของราคาขยับพุ่งสูงขึ้นมากๆเช่นกัน แต่ก็ต้องยกให้เค้าแหละครับ เพราะทำเลที่มาเปิดตัวมักจะเป็น Rare Item ที่หาโครงการบ้านเดี่ยวในโซนนั้นได้ยาก หรือแทบจะไม่มีเลยในรอบหลายปี ทำให้มี Demand ค่อนข้างสูง แถมยังไม่ค่อยมีคู่แข่งเลยด้วย

สิ่งที่โดดเด่นของแบรนด์นี้คือ ทำเลบ้านแนวราบใจกลางเมือ อย่างตรงโซนพระราม 3 เราก็สามารถเชื่อมต่อเข้าเมืองไปสีลม-สาทร พระราม 4 และสุขุมวิทได้สบายๆ แถมยังมีความเป็นส่วนตัวมากๆเพียง 10 กว่ายูนิตเท่านั้นอีกด้วย ถ้าใครที่มีงบและกำลังมองหาโครงการบ้านแนวราบทำเลเจ๋งๆ บ้านกลางกรุงของ AP สามารถตอบโจทย์ได้ดีเลยครับ

สำหรับโครงการ บ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์ – พระราม 3 ปัจจุบันได้ Sold Out ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ หากใครสนใจจริงๆก็อาจต้องรอโครงการใหม่ของเค้าในอนาคตอีกทีนะ หรือถ้าอยากทราบรายละเอียดว่าโครงการนี้น่าสนใจอย่างไร Think of Living ก็เคยเข้าไปรีวิวมาแล้ว สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมกันได้เลย

The City

อีกหนึ่งแบรนด์คู่บุญของ AP ซึ่งแบบบ้านซีรี่ส์ใหม่ที่เปิดตัว 1 – 2 ปีที่ผ่านมาเป็นอะไรที่เราชอบมากๆ คือปกติจุดเด่นของแบรนด์นี้เค้าจะเป็นเรื่องของบ้านหน้ากว้าง มีพื้นที่ใช้สอยเยอะ และทำเลใกล้เมืองเป็นพื้นฐานใช่มั้ยครับ แต่พอมาเป็นบ้านแบบใหม่เค้าได้เพิ่มดีไซน์สไตล์ English Modern Classic เข้ามาด้วย จึงทำให้บ้านดูโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น (ต่างจากบ้านแบบเดิมที่จะเป็น Modern ปกติ)

อีกทั้งยังเริ่มมีการกลับมาใช้โครงสร้างแบบก่ออิฐฉาบปูน ในหลายๆทำเลกันแล้วด้วยครับ ซึ่งทำให้สามารถรองรับการต่อเติมฟังก์ชันได้สะดวกมากขึ้น (คือช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าบ้าน Segment นี้มีการใช้โครงสร้าง Precast กันเยอะพอสมควร และหลายๆคนก็ยังมองหาบ้านก่ออิฐกันอยู่ ทาง AP ก็จัดให้เลยครับ)

ฟังก์ชันบ้านเหมาะกับครอบครัวขยาย หรือครอบครัวขนาดใหญ่ 3 Generation มีห้องนอนชั้นล่างทุกแบบ และมีพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับครอบครัวหลายจุดมาก แต่ลักษณะจะเป็นบ้านที่สร้างเกือบเต็มที่ดินบ้าน เพื่อเน้นพื้นที่ใช้สอยภายในเป็นหลัก และให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุดนั่นเอง ดังนั้นบ้านแบรนด์นี้อาจไม่ได้เหมาะกับคนที่อยากมีพื้นที่สวนรอบบ้านเยอะๆนะครับ หรือไม่ก็อาจต้องมองหาเป็นบ้านแปลงมุมพิเศษต่างๆแทน

Image 1/14

อีกสิ่งหนึ่งที่มีการปรับครั้งใหญ่เลยก็คือ Facilities ที่ไม่ใช่แค่เป็นอาคารตรงซุ้มประตูทางเข้าแบบที่เราคุ้นตาแล้วเท่านั้น แต่จะเป็นอาคารแยกเดี่ยวออกมา และมีการใช้งานที่จริงจังมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยครับ โดยแบรนด์ The City จะมีระดับราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 10 ล้านกลางๆ ไปจนถึง 40 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นโครงการใหม่ๆและทำเลในเมืองหน่อย ก็จะเริ่มต้นที่ 20 ล้านบาทขึ้นไปครับ

สุดท้ายคือ ปกติเราจะมีภาพจำว่าโครงการบ้านหรือคอนโดของ AP ส่วนใหญ่จะมีขนาดใหญ่ และจำนวนยูนิตเยอะๆใช่มั้ยครับ แต่สำหรับแบรนด์ The City ส่วนใหญ่จะมีเพื่อนบ้านไม่เกิน 100 หลัง ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ดังนั้นใครที่ชื่นชอบบ้านของ AP แต่ก็อยากได้บ้านที่เงียบสงบเป็นส่วนตัวด้วย แบรนด์ The City ก็น่าจะตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียว

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘The City’ (เฉพาะโครงการที่มีราคาเริ่มต้น 20 ล้านบาทขึ้นไป) ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 7 โครงการคือ :

  • THE CITY บางนา 2 >> ราคาเริ่มต้น 25 – 45 ล้านบาท

  • THE CITY กาญจนาฯ-บางแค >> ราคาเริ่มต้น 25.9 – 50 ล้านบาท

  • THE CITY ปิ่นเกล้า-พรานนก >> ราคาเริ่มต้น 25.9 – 40 ล้านบาท

  • THE CITY ติวานนท์-งามวงศ์วาน 2 >> ราคาเริ่มต้น 19.9 – 30 ล้านบาท

  • THE CITY จรัญฯ-ปิ่นเกล้า >> ราคาเริ่มต้น 29.9 – 40 ล้านบาท

  • THE CITY สุขุมวิท-อ่อนนุช 2 >> ราคาเริ่มต้น 19.9 – 40 ล้านบาท

  • THE CITY พระราม 9-รามคำแหง >> ราคาเริ่มต้น 19.9 ล้านบาท

4. Land & Houses

อีกหนึ่งแบรนด์ใหญ่ที่น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน โดยเฉพาะบรรยากาศของพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถทำออกมาได้ร่มรื่นสวยงาม ด้วยการปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่ และบางแห่งก็อาจมีการทำเป็นผืนน้ำขนาดใหญ่ (อารมณ์เหมือนเป็นทะเลสาบ) เพื่อเพิ่มบรรยากาศที่ดีภายในโครงการอีกด้วยครับ

รวมถึงภายในตัวบ้านยังมีการใส่นวัตกรรม เช่น ระบบ Air Plus ที่ช่วยกรองฝุ่นและระบายอากาศภายในบ้านได้ดีมากๆ และอีกหนึ่งสิ่งที่ส่วนตัวเราชอบและเคยสัมผัสมาด้วยตัวเองก็คือ คุณภาพการส่งมอบบ้านของเจ้านี้ จะมีการซีลผนึกวัสดุทุกอย่างภายในบ้านมาอย่างดี ให้มีความใหม่อยู่ตลอดก่อนถึงวันส่งมอบ ไม่ว่าจะเป็นพื้น สุขภัณฑ์ หรือวัสดุบิ้วท์อินอื่นๆ

แน่นอนว่า Land & House เค้าเคยทำบ้านระดับ Luxury มาหลากหลายโครงการมากๆ และมักจะเป็นเจ้าแรกๆที่มาก่อนกาล เข้าไปตีตลาดบ้านหรูในทำเลใหม่ๆอยู่เสมอ โดยจะเป็นบ้านไซส์ใหญ่บนพื้นที่ดินมากกว่า 100 ตร.วาขึ้นไป อีกทั้งยังมีดีไซน์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมของเมืองนอกอีกด้วย ซึ่งบ้านระดับราคา 20 – 40 ล้านบาท ก็จะมีอยู่ด้วยกัน 3 แบรนด์ดังนี้

  • LADAWAN (ลดาวัลย์)
  • NANTAWAN (นันทวัน)
  • VIVE (วีเว่)

LADAWAN (ลดาวัลย์)

สำหรับแบรนด์ LADAWAN ถือว่าเป็นแบรนด์ระดับ Top สุดจากแบรนด์บ้านแนวราบทั้งหมดของ Land & Houses และผมเชื่อว่าหลายๆคนน่าจะตรึงตาตรึงใจกับภาพประติมากรรมของฝูงม้า 8 ตัวที่อยู่หน้าโครงการ LADAWAN กันแน่นอนครับ ซึ่งก็มีความหมายที่ดีด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความมั่งคั่ง ความมีพลัง และความเจริญรุ่งเรือง

ส่วนตัวบ้านจะเป็นหลังใหญ่แบบคฤหาสน์ และมีสไตล์บ้านส่วนใหญ่เป็นแบบ Spanish Colonial ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมที่เมืองนอก มีความสวยงามแปลกตา และสามารถเก็บรายละเอียดได้ดีสุดๆ โดยส่วนมากบ้านแบรนด์นี้จะเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่แบ่งการพัฒนาออกเป็นหลายๆเฟส และทำให้กลายเป็นโครงการที่มีส่วนกลางขนาดใหญ่ และจัดตกแต่งมาได้อลังการสมฐานะสุดๆไปเลยครับ รับรองว่าใครได้เข้ามาโครงการจะต้องประทับใจอย่างแน่นอน

ปัจจุบันต้องบอกก่อนว่า บ้านแบรนด์นี้ได้ Sold Out ไปหมดทุกทำเลแล้วนะครับ ซึ่งโครงการล่าสุดที่ Think of Living มีโอกาสได้เข้าไปรีวิวก็คือ LADAWAN พระราม 2 เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว หากใครอยากจะชมรายละเอียดของโครงการนี้ก็สามารถเข้าไปชมในลิ้งค์กันได้เลย

NANTAWAN (นันทวัน)

อีกหนึ่งแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับ Top ของ Land & Houses ที่บอกเลยว่าส่วนตัวแล้วผมชอบโปรดักส์แบรนด์นี้ของเค้ามากๆ เริ่มจากหน้าตาของตัวบ้านนี้จะเป็น Facade ดีไซน์ใหม่สไตล์ French Eclectic มีความยุโรปโทนสีสว่างตา แต่ก็ยังดูร่วมสมัยและสวยงามมากๆครับ ซึ่งเราก็น่าจะได้เห็นบ้านซีรี่ย์ใหม่นี้ในหลายๆทำเลกันมากขึ้น

นอกจากนี้ตัวบ้านยังมีที่ดินขนาดใหญ่ หลายๆแปลงสามารถจอดรถซ้อนคันกันได้เป็น 6 – 8 คันสบายๆ รวมถึงยังมีการคิดเผื่อช่วยลูกบ้านประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายด้วย ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้จัดสวนสวยๆมาให้ ติดมุ้งลวดทั้งหลัง ทำเคาน์เตอร์ครัว จัดเต็มระบบรักษาความปลอดภัยและ Home Automation เป็นต้น รวมถึงยังมักจะใช้ระบบก่อสร้างแบบ Conventional หรือก่ออิฐฉาบปูน ทำให้ง่ายต่อการต่อเติมด้วยครับ

Image 1/9

อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ‘บรรยากาศส่วนกลาง’ อย่างที่รู้ๆกันว่า Land & Houses มักจะมีทั้งพื้นที่สีเขียวและผืนน้ำขนาดใหญ่ในโครงการ ทำให้มีบรรยากาศที่สวยงามร่มรื่น แต่สำหรับนันทวันจะพิเศษกว่านั้นครับ เพราะเค้าจะให้ส่วนกลางที่คิดเป็นสัดส่วนเกินกว่าขั้นต่ำที่กฎหมายจัดสรรกำหนดเยอะมาก แถมยังมักจะเอาสายไฟลงใต้ดินด้วย จึงทำให้บรรยากาศในโครงการดูสวยงามและสะอาดตามากๆ

สำหรับใครที่ชอบความเงียบสงบเป็นส่วนตัว โครงการแบรนด์นี้ก็สามารถตอบโจทย์ได้ดีนะ เพราะถึงแม้ว่าจำนวนยูนิตอาจไม่ได้น้อยเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านก็จริง แต่ถ้าคิดเป็นสัดส่วนต่อขนาดที่ดินทั้งหมด บวกกับที่ดินที่ให้มาใหญ่เกิน 100 – 150 ตร.วาขึ้นไป ก็เลยทำให้บ้านแต่ละหลังมีระยะห่างจากกันเยอะมาก สามารถปลูกต้นไม้ทำสวนเพิ่มความเขียวขจีและบรรยากาศในโครงการที่ดีได้เข้าไปอีกครับ

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘นันทวัน’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 4 โครงการคือ :

  • นันทวัน บางนา กม.15 >> ราคาเริ่มต้น 50 – 80 ล้านบาท

  • นันทวัน พระราม 9 กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ >> ราคาเริ่มต้น 40 – 65 ล้านบาท

  • นันทวัน ปิ่นเกล้า-กาญจนา >> ราคาเริ่มต้น 30 – 80 ล้านบาท

  • นันทวัน พูลวิลล่า พระราม 9-กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ >> ราคาเริ่มต้น 100 ล้านบาท

5. Q House

มาต่อกับอีกหนึ่ง Developer ที่โดดเด่นด้านการทำโครงการแนวราบโดยเฉพาะ (บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม) โดยจุดเด่นของเจ้านี้ผมคิดว่าเป็นทำเล ที่มักจะตั้งอยู่ในย่านที่ค่อนข้างคึกคัก และใช้ชีวิตได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นใกล้ตลาด และไม่ไกลจากทางด่วน ซึ่งทำเลโครงการของเค้าส่วนใหญ่จะอยู่ภายในซอยย่อย จึงได้ความเงียบสงบและเป็นส่วนตัว โดยปกติถ้าพูดถึง Developer เจ้าหนี้ก็จะนึกถึงตระกูล Q District หรือบ้านระดับ Main Class เป็นส่วนใหญ่ใช่มั้ยครับ แต่จริงๆแล้วเค้าก็มีตัวระดับ Luxury อยู่เหมือนกันนะ

Prukpirom (พฤกษ์ภิรมย์)

เป็นแบรนด์ระดับ Top สุดของ Q House บอกได้เลยว่าเราไม่ได้เห็นแบรนด์นี้กันมานานแล้วนะครับ โดยโครงการล่าสุดที่เพิ่งเปิดใหม่และ Think of Living ได้มีโอกาสเข้าไปรีวิวเมื่อไม่นานมานี้ก็คือ พฤกษ์ภิรมย์ ราชพฤกษ์-ตัดใหม่

ซึ่งผมอยากจะลองถามทุกคนครับว่า เราเคยเจอบ้านจัดสรรที่ดินหลังละ 1 ไร่ครั้งสุดท้ายเนี่ยเมื่อไหร่กัน? เพราะโครงการนี้เราคิดว่าจุดเด่นที่ชัดเจนของเค้าก็คือ ขนาดพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่ในทุกๆส่วน ตั้งแต่พื้นที่ส่วนกลาง ขนาดที่ดินบ้าน และขนาดพื้นที่ใช้สอยสูงสุดกว่า 1,000 ตร.ม. เอาง่ายๆว่าในย่านเดียวกันบ้านราคาเท่าๆกัน ไม่มีใครที่จะได้พื้นที่ใช้สอยเยอะกว่าที่นี่อีกแล้ว

Image 1/17

อีกหนึ่งจุดเด่นก็คือ พื้นที่ส่วนกลางที่มีบรรยากาศร่มรื่น มีการปลูกต้นไม้ใหญ่ในโครงการค่อนข้างเยอะ แต่ที่เราประทับใจสุดก็คือ โซนของ Sport Park ที่เป็นสนามกีฬาบาสเกตบอลและสนามเทนนิสแบบ Full Court ซึ่งปกติเราแทบจะไม่เคยเห็นในโครงการทั่วไปในสมัยนี้กันแล้ว เรียกได้ว่า Facilities ครบครันไม่ต้องออกไปไหนให้เสียเวลา หรือจะชวนเพื่อนชวนแขกมาทำกิจกรรมร่วมกันก็ได้

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘พฤกษ์ภิรมย์’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 1 โครงการคือ :

  • พฤกษ์ภิรมย์ ราชพฤกษ์-ตัดใหม่ >> ราคาเริ่มต้น 25 – 100 ล้านบาท

6. Britania (บริทาเนีย)

เป็นแบรนด์ที่แยกตัวออกมาจากบริษัท Origin อีกที เพื่อมาพัฒนาโปรดักส์แนวราบโดยเฉพาะอย่างเต็มตัว ซึ่งภาพจำของคนทั่วไปก็คือ เป็นโครงการบ้านสไตล์อังกฤษ สีขาวสะอาดตา โครงการใหญ่ ส่วนกลางเบิ้มๆ เพื่อนบ้านเยอะๆกันใช่มั้ยครับ

แต่ในส่วนของแบรนด์ระดับ Top ของเค้าจะไม่ได้มีอะไรแบบนั้นเลย กลับกันจะมีความเป็นส่วนตัวต่างจากแบรนด์ระดับปกติที่เราคุ้นเคย อีกทั้งยังมีดีไซน์ของบ้านที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์มากๆอีกด้วย ซึ่งเดี๋ยววันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักแบรนด์บ้าน Luxury ของเค้าให้มากขึ้นกันครับ

Belgravia (เบลกราเวีย)

นี่คือแบรนด์บ้านระดับ Luxury ตัว Top สุดของบริทาเนียครับ ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง คอนเซ็ปต์คือ เป็นบ้านเดี่ยวสไตล์รีสอร์ทแบบ Pool Villa และมีหน้าตาบ้านแบบ Modern British ดูเรียบหรูแต่แฝงไว้ด้วยดีไซน์ที่เรายังไม่อยากให้ตัดสินกันแต่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น เพราะความเจ๋งจะอยู่ตรงช่องแสงของเค้าที่ให้มาเยอะมากครับ

โดยเฉพาะผนังบริเวณฝั่ง Private Pool ที่อยู่ด้านข้างบ้าน จะถูกออกแบบให้เป็นผนังกระจกทั้งหมด ทำให้มีความสว่างโปร่งโล่ง สามารถมองเชื่อมต่อพื้นที่ภายในกับภายนอกตัวบ้านได้เต็มที่ รวมถึงภายในห้องนอนต่างๆก็จะมีช่องแสงขนาดใหญ่เยอะมากๆเหมือนกัน คือเรามองว่าคนที่ชอบทั้งมีสระส่วนตัวในบ้าน และมีช่องแสงสว่างเยอะๆ น่าจะถูกใจโครงการนี้อย่างแน่นอน

Image 1/11

อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ก็คือ โครงการนี้เป็นบ้านที่สร้างแบบเต็มที่ดิน เพราะเค้าต้องการเน้นพื้นที่ใช้สอยในบ้านเยอะๆเป็นหลัก อย่างบริเวณโซนสระว่ายน้ำก็จะมีพื้นที่พอดีๆ ไม่ได้มีพื้นที่รอบสระให้ใช้งานมากนัก ดังนั้นคนที่จะเหมาะกับบ้านแบรนด์นี้ ก็จะมุ่งเน้นไปที่การใช้งานในบ้าน มองชมวิวจากหน้าต่าง หรือไปลงใช้สระว่ายน้ำเลยเป็นหลัก ไม่ได้เหมาะกับคนอยากปลูกต้นไม้ทำสวนเหมือนบ้าน Pool Villa ทั่วไปครับ

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘Belgravia’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 2 โครงการคือ :

  • เบลกราเวีย บางนา – พระราม 9 >> ราคาเริ่มต้น 30 – 45 ล้านบาท

  • เบลกราเวีย ราชพฤกษ์ – พระราม 5 >> ราคาเริ่มต้น 39 ล้านบาท (เร็วๆนี้ Think of Living กำลังจะไปรีวิวพอดี ใครที่สนใจก็รอติดตามกันได้เลยนะครับ)

7. AssetWise

ปกติเราจะคุ้นเคยกับ Developer เจ้าหนี้กับโปรดักส์ประเภทคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม และโฮมออฟฟิศ แต่น้อยคนที่จะทราบว่า AssetWise เค้าก็มีโปรดักส์บ้านเดี่ยวด้วยเหมือนกัน แถมส่วนใหญ่ก็จะเป็นบ้านระดับ Luxury หลายสิบล้านบาทขึ้นไปด้วยครับ เช่น The Honor และ The Arbor เป็นต้น ซึ่งจัดเป็นโปรดักส์ที่มีความน่าสนใจไม่น้อย

โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่ส่วนกลางที่ทาง AssetWise มีชื่อเสียงที่จัดหนักจัดเต็ม Facilities มาตั้งแต่สมัยตอนทำเป็นคอนโดมิเนียม ดังนั้นพอมาหยิบจับโครงการประเภทแนวราบแบบนี้ หลายๆคนก็คาดหวังไว้พอสมควร ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นเลยครับ เพราะเราเองเคยมีโอกาสได้เข้าไปชมแบรนด์ที่เป็นระดับ Luxury อย่าง The Honor ของเค้ามาแล้ว บอกตามตรงว่าสวยจริงเกิดคาดมากๆ โดยแบรนด์บ้านระดับ 20 – 40 ล้านของ AssetWise ก็จะมีดังต่อไปนี้

  • The Honor (ดิ ออเนอร์)
  • CHANN The Riverside (ฌาน เดอะ ริเวอร์ไซด์)

The Honor (ดิ ออเนอร์)

นี่เป็นแบรนด์ระดับ Top สุดของ AssetWise มีความโดดเด่นในเรื่อง ‘ส่วนกลาง’ อย่างที่ผมเกริ่นไปก่อนหน้านี้เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการแยก Clubhouse ออกเป็น 2 อาคาร 2 โซน แบ่งเป็นจุดสำหรับรับรองแขก และจุดที่ให้ลูกบ้านใช้งาน เพิ่มความเป็นส่วนตัวด้วย Double Gate Security แบบ 2 ชั้น มาพร้อมกับ Concierge & Butler Service แบบ Full Option เหมือนเราอยู่ที่โรงแรมรีสอร์ทเลยครับ ซึ่งปกติเราไม่ค่อยได้เห็นอะไรแบบนี้ในบ้านจัดสรรทั่วไปอย่างแน่นอน

แบบบ้านจะเป็นสไตล์ Modern Tropical Residence with Private Pool Villa มีสระว่ายน้ำส่วนตัวและลิฟต์โดยสารทุกยูนิต โดยจะเป็นบ้านสร้างเต็มพื้นที่ดินตามลักษณะของบ้านในเมืองเลย เน้นพื้นที่ใช้สอยภายในที่เยอะ และถึงแม้ว่าด้านหน้า Facade จะดูทึบเพราะต้องการความเป็นส่วนตัวก็จริง แต่ภายในบ้านจะมีการเปิดช่องแสงขนาดใหญ่บริเวณด้านข้าง และด้านหลังบ้านเพิ่มเข้ามาแทน ก็จะช่วยทำให้บรรยากาศในบ้านไม่ได้ทึบตันหรืออึดอัดต่างกับที่เห็นภายนอกเลยครับ

Image 1/17

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘The Honor’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 1 โครงการคือ :

  • The Honor โยธินพัฒนา >> ราคาเริ่มต้น 40 – 70 ล้านบาท

CHANN The Riverside (ฌาน เดอะ ริเวอร์ไซด์)

บ้านเดี่ยวหน้ากว้างแบรนด์ใหม่จาก AssetWise ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำท่าจีน ถือเป็นแบรนด์พิเศษที่โครงการตั้งใจทำออกมาเพื่อให้เป็นเหมือนบ้านพักตากอากาศหลังที่ 2 ของคนกรุงเทพที่อยากจะมาพักผ่อนช่วงสุดสัปดาห์ หรือจะเป็นคนในพื้นที่ที่กำลังมองหาบ้านหลังใหญ่ในโครงการจัดสรรลักษณะนี้ก็ได้

ตัวโปรดักส์ได้แรงบันดาลใจมาจาก’บ้านริมน้ำ’ ในสมัยก่อน ที่มีการนำองค์ประกอบต่างๆมาปรับใช้ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการยกพื้นสูง การทำชานบ้านพักผ่อน และหน้าตาบ้านที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยจะเป็นบ้านหน้ากว้างไซส์ใหญ่ เหมาะกับการอยู่อาศัยแบบ 3 Generation ได้สบายๆ

Image 1/21

หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือ ‘ส่วนกลาง’ อยู่ติดริมแม่น้ำท่าจีน ตกแต่งสไตล์รีสอร์ทเพื่อให้เหมาะแก่การพักผ่อน พร้อมกรุด้วยวัสดุลายไม้ที่ปกติเราไม่ค่อยจะได้เห็นกันแน่ๆในโครงการแถวๆกรุงเทพ โดยรวมมีความสวยงามและบรรยากาศดีสุดๆครับ เรียกได้ว่าทาง AssetWise สามารถดึงเอาจุดเด่นของทำเล และปรับใช้กับคอนเซ็ปต์ได้ตรงกับที่ต้องการจะสื่อออกมามากๆ

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘CHANN The Riverside’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 1 โครงการคือ :

  • CHANN The Riverside บรมราชชนนี >> ราคาเริ่มต้น 15 – 35 ล้านบาท

8. SC Asset

มาถึงอีกหนึ่งแบรนด์ใหญ่ ที่ส่วนมากเราก็มักจะเห็นเค้าทำโปรดักส์ Luxury กันเยอะเลยใช่มั้ยครับ ซึ่งจุดเด่นของ Developer เจ้านี้คือ การออกแบบดีไซน์ของสถาปัตยกรรม และการตกแต่งบรรยากาศโครงการออกมาได้สวยงามเป็นอันดับต้นๆ ในกลุ่มโปรดักส์ที่อยู่ใน Segment เดียวกันเลยครับ อีกทั้งยังมี Design Concept ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของโครงการเป็นอย่างมาก พูดง่ายๆก็คือ ทุกๆโครงการของเค้าจะดูหรูดูแพงในระดับราคานั้นๆเลย

อีกหนึ่งสิ่งที่เค้าให้ความสำคัญมากคือ ‘ความเป็นส่วนตัวของบ้าน’ ซึ่งจะมีการออกแบบช่องแสงให้เพียงพอ แต่เพื่อนบ้านจะมองเข้ามาไม่ค่อยเห็น และจะเน้นในเรื่อง Ventilation หรือการระบายอากาศภายในบ้านที่ดีด้วยนั่นเอง โดยแบรนด์บ้านของ SC Asset ที่มีระดับราคา 20 – 40 ล้านบาทจะมีหลายแบรนด์มากๆดังนี้

  • Grand Bangkok Boulevard (แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด)
  • Bangkok Boulevard Signature (บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์)
  • The Gentry (เดอะ เจนทริ)

Grand Bangkok Boulevard (แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด)

นี่คือหนึ่งในเป็นแบรนด์ระดับ Top ของ SC Asset ที่เค้าจะนิยามไว้ว่าเป็น ‘บ้านสไตล์คฤหาสน์’ เพราะด้วยความเป็นบ้านหน้ากว้าง และมีพื้นที่ใช้สอยเยอะ ทำให้เหมาะกับการอยู่อาศัยเป็นครอบครัวใหญ่แบบ 3 Generation โดดเด่นด้วยสไตล์บ้านทรงยุโรป ส่วนใหญ่ได้แรงบันดาลใจมาจากพระราชวังของกษัตริย์ต่างๆ เลยทำให้ตัวบ้านดูสวยงามเป็นพิเศษครับ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Facade ซึ่งเราชอบที่เค้าจะนำเส้นสายทรงโค้งมาใช้มาก ประกอบกับการทำขอบบัวและซุ้มบ้านแบบ Over Scale ก็ช่วยทำให้มีความโอ่อ่าหรูหรามากขึ้น

สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นของแบรนด์นี้อีกอย่างก็คือ ‘บรรยากาศโครงการ’ ที่มีความสวยงาม เรียบหรูสมราคา โดยเฉพาะ Clubhouse จะมีการเก็บ Element ต่างๆของสถาปัตยกรรมที่นำมาใช้อย่างครบถ้วน และสอดคล้องเป็น Story เดียวกันกับตัวบ้านมากๆ รวมถึงยังมีการนำสายไฟลงใต้ดินทั้งโครงการ ทำให้ดูเรียบร้อยสะอาดตาอีกด้วย นอกจากนี้ยังโดดเด่นในเรื่อง ‘ทำเล’ ที่มักจะอยู่ติดถนนใหญ่ ใกล้ห้างสรรพสินค้า ใกล้โรงเรียนนานาชาติ และใกล้ทางด่วนให้ใช้เข้าเมืองได้สะดวกครับ

Image 1/12

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘Grand Bangkok Boulevard’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 10 โครงการคือ :

  • Grand Bangkok Boulevard บางนา-กม.15 >> ราคาเริ่มต้น 30 – 50 ล้านบาท

  • Grand Bangkok Boulevard ปิ่นเกล้า-กาญจนา >> ราคาเริ่มต้น 40 – 70 ล้านบาท

  • Grand Bangkok Boulevard State Bangna >> ราคาเริ่มต้น 35 – 60 ล้านบาท

  • Grand Bangkok Boulevard กรุงเทพกรีฑา >> ราคาเริ่มต้น 30 – 50 ล้านบาท

  • Grand Bangkok Boulevard ราชพฤกษ์ – ปิ่นเกล้า >> ราคาเริ่มต้น 30 – 60 ล้านบาท

  • Grand Bangkok Boulevard ณ อุทยาน >> ราคาเริ่มต้น 35 – 60 ล้านบาท

  • Grand Bangkok Boulevard ปิ่นเกล้า–บรมฯ >> ราคาเริ่มต้น 35 – 60 ล้านบาท

  • Grand Bangkok Boulevard เพชรเกษม–กาญจนา >> ราคาเริ่มต้น 35 – 50 ล้านบาท

  • Grand Bangkok Boulevard สุขสวัสดิ์ – พระราม 3 >> ราคาเริ่มต้น 40 – 70 ล้านบาท

  • Grand Bangkok Boulevard แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ >> ราคาเริ่มต้น 30 – 70 ล้านบาท

Bangkok Boulevard Signature (บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์)

เป็นแบรนด์บ้านที่มีระดับ Segment รองลงมาจาก Grand Bangkok Boulevard สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ บ้านแบรนด์นี้จะเป็นสไตล์ Modern Luxury และซีรี่ส์ใหม่ล่าสุดที่ใช้ในปัจจุบันจะเป็นสไตล์ Modern Colonnade แน่นอนว่าจะให้อารมณ์ที่แตกต่างจากแบรนด์รุ่นพี่มากๆ เพราะจะมีความทันสมัยและถูกจริตกับคนรุ่นใหม่มากขึ้นเยอะเลยครับ

นอกจากนี้ตัว Facade หรือส่วนกลางยังมักจะได้รับแรงบันดาลใจมาจาก สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆทั่วโลก เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รู้สึกถึงการพักผ่อนเหมือนเราได้ไปเที่ยวอยู่ต่างประเทศ ดังนั้นเราจะเห็นว่าส่วนกลางของโครงการ มักจะจำลองมาจากสถานที่สำคัญๆต่างๆมากมาย เช่น Baroque Museum จาก Mexico หรือ BLED CASTLE จาก Slovenia เป็นต้น

โดยทำเลแต่ละแห่งของบ้านแบรนด์นี้ จะมีคอนเซ็ปต์และได้แรงบันดาลใจมาจากสถานที่ที่ไม่เหมือนกันเลยครับ ซึ่งนี่แหละคือความ Signature ตามชื่อแบรนด์ ก็คือเป็นเอกลักษณ์และมีแค่แห่งเดียวไม่เหมือนใคร หากใครสนใจก็สามารถเข้าไปเยี่ยมชมบ้านของจริงได้ทุกโครงการเลยนะครับ รับรองว่าเราจะรู้สึกสนุกและตื่นตาตื่นใจ เหมือนเวลาที่เราได้ไปเที่ยวหลายๆแห่งอย่างแน่นอน

Image 1/10

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘Bangkok Boulevard Signature’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 8 โครงการคือ :

  • Bangkok Boulevard Signature รามอินทรา – พระยาสุเรนทร์ >> ราคาเริ่มต้น 25 – 40 ล้านบาท

  • Bangkok Boulevard Signature แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ >> ราคาเริ่มต้น 21 – 40 ล้านบาท

  • Bangkok Boulevard Signature รามอินทรา-วัชรพล >> ราคาเริ่มต้น 20 – 40 ล้านบาท

  • Bangkok Boulevard Signature บางแค >> ราคาเริ่มต้น 23 – 35 ล้านบาท

  • Bangkok Boulevard Signature แจ้งวัฒนะ >> ราคาเริ่มต้น 19 – 55 ล้านบาท

  • Bangkok Boulevard Signature พระราม 2 >> ราคาเริ่มต้น 27.9 – 40 ล้านบาท

  • Bangkok Boulevard Signature ปิ่นเกล้า-บรมฯ >> ราคาเริ่มต้น 20 – 35 ล้านบาท

  • Bangkok Boulevard Signature สาทร – ปิ่นเกล้า >> ราคาเริ่มต้น 22.9 – 30 ล้านบาท

The Gentry (เดอะ เจนทริ)

อีกหนึ่งแบรนด์บ้านจาก SC Asset ที่มีช่วงระดับราคา 20 – 40 ล้านบาท โดยคราวนี้จะเป็นรูปแบบของบ้านเดี่ยว 3 ชั้น เพื่อเน้นพื้นที่ใช้สอยแนวตั้งให้เยอะที่สุด และสร้างบ้านแบบเต็มผืนที่ดินตามสไตล์ของบ้านแนวราบในตัวเมือง ที่มีราคาที่ดินแสนแพง และเราต้องใช้ให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุดนั่นเองครับ

เห็นลักษณะภายนอกจะดูเหมือนว่าทึบตัน แต่จริงๆแล้วภายในค่อนข้างสว่างโปร่งโล่งเลยครับ เพราะเค้าจะมีการเจาะช่องแสงเยอะมาก โดยเฉพาะแบบบ้านซีรี่ส์ใหม่ๆจะมีระเบียงส่วนตัวแทบจะทุกห้องนอนเลย รวมถึงยังมี Poket Garden สอดแทรกพื้นที่สีเขียวตามจุดต่างๆของตัวบ้าน ทำให้บรรยากาศภายในมีความโปร่งโล่ง และเรายังสามารถใกล้ชิดกับธรรมชาติรอบบ้านได้ด้วยครับ

นอกจากนี้การที่เป็นบ้าน 3 ชั้น หลายๆคนอาจคิดว่าเหมาะกับเฉพาะคนหนุ่มสาวหรือเปล่า? แต่จริงๆแล้วแบบบ้านเกือบทั้งหมดมีจะลิฟต์โดยสารมาให้ใช้งาน (หรือไม่ก็จะมีการเตรียมพื้นที่ให้เพิ่มลิฟต์ได้) ดังนั้นบ้านของ The Gentry จึงเป็นบ้านที่เหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่ 3 Generation และมีห้องนอนชั้นล่างสำหรับผู้สูงอายุไว้รองรับทุกแบบด้วยครับ

Image 1/18

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นมากๆก็คือ ‘ความเป็นส่วนตัว’ เพราะด้วยที่ดินในเมืองหายากและไม่ค่อยจะมีเป็นผืนใหญ่ๆสักเท่าไหร่ จึงทำให้เป็นโครงการขนาดเล็ก และกลายมาเป็นจุดเด่นที่ถูกอกถูกใจคนในเมืองที่ไม่ชอบความวุ่นวายมากๆครับ

ปัจจุบันต้องบอกก่อนว่า The Gentry ทุกทำเลตอนนี้ Sold Out ไปหมดแล้วนะครับ เห็นมั้ยครับว่าได้รับการตอบรับดีขนาดไหน เพราะแค่ทำเลที่มักจะเอาแบรนด์นี้มาลงก็ Rare Item สุดๆแล้ว ไหนจะมีเรื่องความคุ้มค่าของพื้นที่ใช้สอย และความยืดหยุ่นของฟังก์ชันที่รองรับได้ทุกช่วงวัยอีก ดังนั้นใครที่สนใจบ้านแบรนด์นี้ก็คงต้องรอติดตามข่าวสารการเปิดตัวของ SC Asset กันให้ดีๆนะ หรือจะลองไปชมรีวิวเก่าๆของ Think of Living ก่อนก็มีเยอะเลยครับ

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘The Gentry’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 5 โครงการคือ :

  • The Gentry พัฒนาการ >> ราคาเริ่มต้น 35 – 59 ล้านบาท (Sold Out)

  • The Gentry เกษตร-นวมินทร์ >> ราคาเริ่มต้น 25 – 60 ล้านบาท (Sold Out)

  • The Gentry Cultivar พระราม9 >> ราคาเริ่มต้น 28 – 50 ล้านบาท (Sold Out)

  • The Gentry สุขุมวิท – บางนา >> ราคาเริ่มต้น 40 – 75 ล้านบาท (Sold Out)

  • The Gentry พัฒนาการ 2 >> ราคาเริ่มต้น 40 – 80 ล้านบาท (Sold Out)

9. Frasers Property

เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีประสบการณ์ทำงานด้านอสังหาที่ยาวนาน (ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อว่าโกลเด้นแลนด์) ซึ่งจุดเด่นโปรดักส์ของ Developer เจ้านี้ก็คือ บ้านไซส์ใหญ่สไตล์ยุโรป ที่แต่ละโครงการทำออกมาได้ดูยิ่งใหญ่อลังการ และดูหรูหรามากๆครับ (ให้อารมณ์เหมือนกำลังเข้าไปยังพระราชวังใหญ่ๆเลย)

นอกจากนี้เค้ายังมีอาณาจักรที่ชื่อ The Empire ที่เป็นแหล่งรวมคอมมูนิตี้ และโครงการต่างๆในเครือของ Frasers เอาไว้ด้วยกัน ซึ่งถนนทางเข้าจะมีความเป็นส่วนตัว ร่มรื่น และบางแห่งก็ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น คอมมูนินี้มอลล์ มาเปิดให้บริการแก่ลูกบ้านย่านนั้นๆอีกด้วย โดยบ้านระดับราคา 20 – 40 ล้านก็จะมีหลายแบรนด์ดังนี้

  • The Grand (เดอะ แกรนด์)
  • Alpina (อัลพีน่า)
  • De Pine (เดอ ไพน์)

The Grand (เดอะ แกรนด์)

เป็นแบรนด์ที่เราน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดีที่สุดของเค้าเลยครับ ซึ่งความโดดเด่นของบ้านแบรนด์นี้อย่างที่เกริ่นไปแล้วก็คือ มีบรรยากาศของโครงการที่เป็นสไตล์ยุโรปทั้งโครงการ อีกทั้งยังมีความยิ่งใหญ่ดูหรูหราเป็นพิเศษ เพราะเค้ามักจะใช้สถาปัตยกรรมแบบ Over Scale เกือบทั้งหมด ตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้ามาจนถึง Clubhouse ดังนั้นใครที่ชอบความหรูหราอลังการสไตล์ยุโรปน่าจะถูกใจแบรนด์นี้กันไม่น้อย

ส่วนตัวบ้านก็มีความน่าสนใจมากๆครับ หน้าตาคือจะเป็นสไตล์ Modern European แบบ Pool Villa และมีการเก็บรายละเอียดของเส้นสายต่างๆได้ครบถ้วนมาก แต่จุดเด่นจริงๆของเค้าคือ ‘ฟังก์ชัน’ ที่ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะ Sunken Lounge พื้นที่นั่งเล่นริมสระน้ำในบ้านที่เป็น Gimmick เล็กๆ ซึ่งเราจะมองเห็นใต้สระว่ายน้ำได้ด้วยครับ

Image 1/11

ถ้าพูดถึง ‘สระว่ายน้ำ’ นี่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของโครงการนี้เลย เพราะบ้านทุกหลังตั้งแต่ไซส์เล็กสุดจะมีสระส่วนตัวในบ้าน ซึ่งต่างจากโครงการอื่นๆใน Segment เดียวกันที่ถ้าจะมีสระก็มักจะเป็นบ้านไซส์ใหญ่ที่ราคาเริ่มต้นก็จะสูงขึ้นไปด้วย แต่สำหรับบ้านแบรนด์ The Grand เราสามารถเป็นเจ้าของ Pool Villa ได้ตั้งแต่ราคาเริ่มต้นเลยนั่นเองครับ

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘The Grand’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 3 โครงการคือ :

  • The Grand แจ้งวัฒนะ-เมืองทอง >> ราคาเริ่มต้น 27 ล้านบาท

  • The Grand Lux บางนา-สวนหลวง >> ราคาเริ่มต้น 19 ล้านบาท

  • The Grand ปิ่นเกล้า – วงแหวนกาญจนา >> ราคาเริ่มต้น 40 – 80 ล้านบาท

Alpina (อัลพีน่า)

เป็นอีกหนึ่งแบรนด์บ้าน Luxury จาก Frasers Property ส่วนตัวเรามองว่าลักษณะแปลน ฟังก์ชันบ้าน และการออกแบบต่างๆ ก็จะมีความคล้ายกับแบรนด์ The Grand ก่อนหน้านี้ประมาณ 70 – 80% เลยครับ แต่จะต่างกันตรงขนาดพื้นที่ใช้สอยที่เล็กกว่าหน่อย และมีราคาที่จับต้องได้ง่ายมากขึ้น จึงช่วยมาเติมเต็มความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในอีก Segment ราคาหนึ่งได้นั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีคอนเซ็ปต์ที่มาแตกต่างกันด้วย โดยแบรนด์นี้จะได้แรงบันดาลใจจาก Alpine Valley ใน Switzerland ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Refined Style of Elegant Living’ ซึ่งแน่นอนว่ายังคงความหรูหราอลังการเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือพื้นที่สีเขียวและความร่มรื่นที่มากขึ้นนั่นเองครับ

Image 1/13

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘Alpina’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 2 โครงการคือ :

  • Alpina พระราม 2 >> ราคาเริ่มต้น 19 – 32 ล้านบาท

  • Alpina ปิ่นเกล้า >> ราคาเริ่มต้น 30 – 80 ล้านบาท

De Pine (เดอ ไพน์)

เป็นบ้านที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยที่เล็กลงมาจาก Alpina และใช้คอนเซ็ปต์ส่วนกลางที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Alpine Valley ใน Switzerland เหมือนกัน แต่จะต่างกันมากๆตรงที่ หน้าตาของตัวบ้านจะเป็นสไตล์ Modern ไปเลยนั่นเอง ดังนั้นใครที่ชื่อชอบบ้านของ Frasers Property แต่อยากได้บ้านที่มีความทันสมัยไม่เหมือนแบรนด์อื่นๆในเครือ De Pine ก็จะตอบโจทย์มากๆเลยครับ

Image 1/4

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘De Pine’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 1 โครงการคือ :

  • De Pine ปิ่นเกล้า >> ราคาเริ่มต้น 19.9 ล้านบาท

10. Pruksa (พฤกษา)

อีกหนึ่งบริษัทที่ใครหลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี โดยเรามักจะเห็นเค้าจับตลาดกลุ่ม Economy ที่มีราคาจับต้องได้ง่ายในหลายๆแห่ง นอกจากนี้แบบบ้านส่วนใหญ่ก็มักจะมีการก่อสร้างด้วยระบบ Precast หรือผนังคอนกรีตสำเร็จรูปเป็นหลักด้วยครับ เพราะพฤกษาเป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์เพียงไม่กี่เจ้า ที่เค้ามีโรงงาน Precast เป็นของตัวเองนั่นเอง

ดังนั้น บ้านของโครงการพฤกษาจึงจะมีความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ เพราะเป็นผนังรับน้ำหนักที่ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างบ้านไปด้วยในตัว รวมถึงยังมีความสามารถในการป้องกันเสียงได้ดี แต่ทั้งนี้ก็แลกมากับข้อจำกัดในการทุบ/เจาะ/ต่อเติม ที่ทำได้ยากกว่าโครงสร้างปกติอยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลยซะทีเดียว และแนะนำให้ปรึกษาช่างหรือวิศวะประจำโครงการก่อนทุกครั้งครับ

The Palm (เดอะ ปาล์ม)

สำหรับบ้านแบรนด์ The Palm นี้เราเคยได้เห็นสไตล์บ้านมาหลากหลายซีรีส์เลยนะครับ เช่น Modern Tropical และ French Haussmann แต่ภาพรวมก็จะเป็นบ้านหน้ากว้างไซส์ใหญ่ เหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่อยู่ร่วมกันได้แบบ 3 Generation โดยจะมีห้องนอนชั้นล่างพร้อมห้องน้ำที่ถูกออกแบบมาเพื่อผู้สูงอายุโดยเฉพาะทุกแบบ อีกทั้งยังจัดฟังก์ชันแบบ Open Plan แต่สามารถใช้งานได้แบบไม่รบกวนกันเลยด้วย ซึ่งตรงจุดนี้เรามองว่าเจ๋งมากๆ

อีกหนึ่งลักษณะเด่นที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ‘ส่วนกลาง’ เพราะขึ้นชื่อว่าแบรนด์ The Palm และอยู่ในเครือของพฤกษา ก็เลยจะให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวเป็นพิเศษมากขึ้น แต่ที่เราชอบจริงๆคือ ฟังก์ชันส่วนกลางที่นอกจากจะแบ่งโซนสำหรับแขก และโซนใช้งานของลูกบ้านได้ดี และยังไม่ลืมที่จะใส่ใจในรายละเอียดของการอยู่แบบครอบครัวจริงๆด้วย เช่น โซนสนามเด็กเล่น หรือโซนสำหรับน้องๆสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ เป็นต้น

Image 1/19

นอกจากนี้ ‘ความเป็นส่วนตัว’ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ The Palm ด้วยครับ เพราะทุกๆทำเลเค้าจะทำซุ้มประตูแบบ Doble Gate 2 ชั้น แยกโซนรับแขกตรง Clubhouse และโซนพักอาศัยออกจากกันชัดเจน ทำให้มีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยมากขึ้นครับ

สำหรับบ้านแบรนด์ ‘The Palm’ ปัจจุบันจะมีอยู่ด้วยกัน 4 โครงการคือ :

  • The Palm แจ้งวัฒนะ-ชัยพฤกษ์ >> ราคาเริ่มต้น 20 ล้านบาท

  • The Palm ทวีวัฒนา >> ราคาเริ่มต้น 19 – 30 ล้านบาท

  • The Palm บางนา-วงแหวน 2 >> ราคาเริ่มต้น 16 – 25 ล้านบาท

  • The Palm Residences Watcharapol >> ราคาเริ่มต้น 30 – 40 ล้านบาท

..เป็นอย่างไรบ้างครับ กับรายชื่อบ้านเดี่ยวช่วงราคา 20 – 40 ล้านบาท จากทั้งหมด 10 Developer 24 แบรนด์บ้าน ที่ผมได้รวบรวมมาให้วันนี้ ซึ่งแต่ละโครงการเค้าก็จะมีจุดเด่นและความน่าสนใจที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงเหมาะกับคนที่มีความต้องการ หรือความชอบที่ไม่เหมือนกันด้วย หวังว่าพออ่านจบก็น่าจะมีแบบบ้านหรือโครงการที่ถูกใจกันนะครับ

และครั้งหน้า Think of Living จะมีบทความอะไรดีๆมาฝากกันอีก หรืออยากให้เรารวบรวมข้อมูลโปรดักส์ไหน ช่วงราคาอะไรอีก ก็ลองคอมเม้นต์พูดคุยกันมาได้นะครับ เผื่อจะได้เป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่กำลังหาข้อมูลอยู่เหมือนกัน สำหรับวันนี้ขอบคุณมากคร้าบบบบ 🙂