..ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเทรนของ “รถยนต์ไฟฟ้า (EV)” ในเมืองไทยกำลังมาแรงทีเดียว หลังจากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ที่รุนแรงในไทย ทำให้หลายคนหันมาสนใจพลังงานไฟฟ้ากันมากขึ้น ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แล้วยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันราคารถยนต์หยิบจับกันได้ง่ายมากขึ้น มีงบล้านต้นๆก็สามารถซื้อมาใช้งานได้แล้ว..
สำหรับใครที่กำลังเล็งจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้า EV กันอยู่ เราต้องเตรียมระบบไฟในบ้านให้รองรับการชาร์จไฟฟ้าได้ด้วย ซึ่งหากใครกำลังงงๆกับข้อมูลที่อ่านมา วันนี้เราได้รวบรวมเนื้อหาเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายๆ รวมถึงความคุ้มค่าในการลงทุน คุ้มหรือไม่? ไปดูกันค่ะ
ทำความรู้จักรถยนต์ไฟฟ้า Electric Vehicle (EV)
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (Electric Vehicle) หรือเราเรียกกันสั้นๆว่า “รถ EV” พูดง่ายๆก็คือรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าแทนการใช้งานของเครื่องยนต์ ที่ทำให้กลไกการทำงานลดลง ไม่ต้องหมั่นดูแลเครื่องยนต์ และไม่มีไอเสีย ควันดำ จากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง โดยรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันมีทั้งหมด 4 ประเภท แต่แบบที่ต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ได้นั้น มีด้วยกัน 2 ชนิดนั้นก็คือ
- Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV)
- Battery Electric Vehicle (BEV)
- รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊ก-อิน ไฮบริด หรือเรียกสั้นๆว่า PHEV รถยนต์ประเภทนี้มีทั้งระบบน้ำมันเชื้อเพลิง และไฟฟ้าแบบเดียวกับรถ Hybrid แต่พิเศษกว่าคือสามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟจากภายนอกได้ ทำให้สามารถใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่าระบบไฮบริดแบบเดิม สำหรับขนาดแบตเตอรี่ 6-14 กิโลวัตต์ (kW) ระยะทางวิ่งด้วยระบบ EV Mode ประมาณ 25-50 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง
- รถยนต์ไฟฟ้า หรือเรียกสั้นๆว่า BEV รถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อน 100% ที่ไม่มีเครื่องยนต์ภายในรถ มีแต่แบตเตอรี่ลูกใหญ่ที่เข้ามาทดแทน ข้อดีคือช่วยลดสารมลพิษจากการเผาไหม้ได้ดี หรือที่เขาเรียกกันว่า Zero Emission แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อยทั้งสถานีชาร์จไฟรถยนต์ และระยะทางในการขับขี่ สำหรับขนาดแบตเตอรี่ 60-90 กิโลวัตต์ (kW) ระยะทางวิ่งประมาณ 300-600 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง
สิ่งที่ต้องรู้ก่อนติดตั้งระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายในบ้าน
สำหรับใครที่เล็งว่ากำลังจะซื้อรถไฟฟ้า เราต้องทำความเข้าใจระบบไฟฟ้าในบ้านของตัวเองก่อนนะคะ มิเช่นนั้นระบบไฟฟ้าภายในบ้านอาจจะมีปัญหาได้ ซึ่งวันนี้เรามี 5 ขั้นตอนการติดตั้งระบบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามาฝากกันค่ะ
- ขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า : สำรวจมิเตอร์ไฟฟ้าของตัวเอง โดยปกติขนาดมิเตอร์ของบ้านพักอาศัยทั่วไปจะใช้เป็น 15(45) 1 เฟส(1P) หมายถึงมิเตอร์ขนาด 15 แอมป์(A) และสามารถใช้ไฟได้มากถึง 45(A) สำหรับคนที่ต้องการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบ้าน ทางการไฟฟ้าแนะนำให้เปลี่ยนขนาดมิเตอร์เป็น 30(100) ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ป้องกันการใช้ไฟฟ้าที่มากเกินไป **สำหรับคนที่คิดว่าต้องเปลี่ยนระบบไฟเป็น 3 เฟสรึเปล่า? คำตอบคือ “ไม่จำเป็น” เนื่องจากถ้าบ้านไม่มีการใช้งานไฟฟ้ามากเกินไป การใช้ไฟ 1 เฟสก็เพียงพอแล้วนะคะ
- เปลี่ยนสายเมน และลูกเซอร์กิต (MCB) : สำหรับสาย Main ของเดิมใช้ขนาด 16 ตร.มม. ต้องปรับให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 25 ตร.มม. และเปลี่ยนลูกเซอร์กิต(MCB) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ป้องกันร่วมกับตู้ MDB ที่แต่เดิมรองรับได้สูงสุด 45(A) เปลี่ยนเป็น 100(A) หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ขนาดมิเตอร์ ขนาดสายเมน และขนาดลูกเซอร์กิต (MCB) ต้องสอดคล้องกัน
- ตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB) : ตรวจสอบภายในตู้ว่ามีช่องว่างสำรองเหลือให้ติดตั้ง Circuit Breaker อีก 1 ช่องรึเปล่า? เพราะการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องมีส่วนตัว แยกใช้งานกับเครื่องไฟฟ้าอื่นๆ หรือถ้าหากภายในตู้หลักไม่มีช่องว่าง ยังไงเราก็ต้องเพิ่มตู้ควบคุมย่อยอีก 1 จุดนะคะ
- เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD) : เป็นเครื่องตัดไฟฟ้าอัตโนมัติที่จะตัดวงจรไฟฟ้า เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าออกมีค่าไม่เท่ากัน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ไฟฟ้าลัดวงจร และเกิดเพลิงไหม้ได้ในอนาคต กรณีที่สายชาร์จไฟฟ้ามีระบบตัดไฟภายในตัวอยู่แล้ว เราก็ไม่ต้องติดตั้งเพิ่ม
- เต้ารับ (EV Socket) : สำหรับการเสียบชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นชนิด 3 รู (มีสายต่อหลักดิน) ต้องทนกระแสไฟฟ้าได้ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 16(A) *แต่รูปทรงอาจจะปรับตามรูปแบบปลั๊กของรถยนต์แต่ละรุ่น
การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีกี่แบบ? ใช้เวลานานเท่าไหร?
สำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าหลักๆมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่
- การชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge) : เป็นการชาร์จไฟฟ้าจากตัวเต้ารับโดยตรง โดยขนาดมิเตอร์ขั้นต่ำที่แนะนำคือ 30(100)A และเต้ารับต้องติดตั้งใหม่เฉพาะการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น โดยเป็นการใช้ไฟบ้านที่เป็นกระแสสลับ (AC) ที่ใช้ระยะเวลาในการชาร์จประมาณ 12-16 ชม.
- การชาร์จแบบรวดเร็ว (Double Speed Charge) : เป็นการชาร์จจากเครื่องชาร์จ EV Charger เป็นตู้ชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charging) ที่ช่วยให้ชาร์จพลังงานไฟฟ้าในแบตเตอรี่รถให้เต็มเร็วยิ่งขึ้น โดยเหลือเวลาชาร์จประมาณ 6-8 ชม.
- การชาร์จแบบด่วน (Quick Charge) : เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) ตรงเข้าแบตเตอรี่โดยตรง ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า จาก 0-80% ได้ภายในเวลา 40-60 นาที นิยมใช้ตามสถานีบริการนอกบ้าน ที่ต้องการความรวดเร็วในการชาร์จ แต่ก็มีข้อเสียคือทำให้ตัวแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วขึ้น ได้แก่ CHAdeMo, GB/T และ CCS เป็นต้น
หัวชาร์จสำหรับรถแต่ละรุ่นแบบด่วน (Quick Charge)
- DC CHAdeMo ย่อมาจากคำว่า CHArge de Move แปลได้ว่า ชาร์จไฟแบบเร็วสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งระบบ CHAdeMO มีการใช้แพร่หลายในประเทศญี่ปุ่น จ่ายกระแสไฟฟ้าขนาด 50 kW
- DC CCS2 ย่อมาจาก Combined Charging System เป็นหัวชาร์จที่นิยมใช้ในแถบทวีปยุโรป จ่ายกระแสไฟฟ้าขนาด 50 kW
เทคนิคการเลือกเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า EV Charger
ความเร็วในการชาร์จไฟรถยนต์นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับไฟ (On Board Charger) ของรถยนต์แต่ละรุ่น หรือก็คือตัวควบคุมการดึงพลังงานไฟฟ้าจากตัวรถ สั่งการไปยังเครื่อง EV Charger โดยทั่วไปขนาดมีตั้งแต่ 3.6kW ถึง 22kW ซึ่งทำให้ตัวเครื่องชาร์จออกแบบมาให้มีทั้งหมด 4 ขนาด คือ 3.7 kW, 7.4 kW, 11 kW, 22 kW (มาตรฐาน) ราคาเครื่องชาร์จหลากหลายมีตั้งแต่ 15,000-100,000 กว่าบาท(แล้วแต่ยี่ห้อ)
ยกตัวอย่าง : สมมุติว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีแบตเตอรี่รับไฟสูงสุด 6.6 kW/h โดยมีขนาดแบตเตอรี่เต็ม 40 kW เราต้องใช้เวลาชาร์จจนเต็มประมาณ 6 ชั่วโมง (หรือเอา 40 หาร 6.6 ได้เลย) โดยเราสามารถเลือกเครื่องชาร์จไฟขนาดไหนมาใช้ก็ได้ แต่ความเร็วในการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มจะไม่เท่ากัน
สำหรับใครที่เลือกเครื่องชาร์จ EV Charger ขนาด 3.7 kW ต้องใช้เวลาชาร์จนานขึ้นเป็น 11 ชั่วโมง ในทางกลับกันหากเลือกเครื่องชาร์จขนาด 11 kW หรือ 22 kW เครื่องชาร์จก็จะลดขนาดไฟลงมาอัตโนมัติให้เหลือเพียงขนาดที่รถสามารถรับไฟได้คือ 6.6kW หมายความว่าแม้เราจะซื้อเครื่องขนาดใหญ่ แต่ถ้า On Board Charger ของตัวรถยนต์ไม่สามารถรับได้ ก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด เพราะตัวรถรับได้แค่นี้ ดังนั้น เครื่องชาร์จที่เหมาะสมคือ 7.4 kW นั่นเอง
การเลือกจุดติดตั้งเครื่องชาร์จ บริเวณพื้นที่จอดรถ
- ระยะทางไม่เกิน 5 เมตร : จากตัวเครื่องชาร์จจนถึงจุดที่เสียบชาร์จกับตัวรถ ไม่ควรวางห่างกันเกิน 5 เมตร เนื่องจากสายเครื่องชาร์จ EV Charger โดยทั่วไปอยู่ที่ 5-7 เมตรเท่านั้น
- วางใกล้ตู้ MDB : เลือกทำเลใกล้ตู้เมนไฟฟ้าในบ้าน ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินสายไฟที่มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
- หลังคาปกคลุม : เลือกจุดที่อยู่ด้านในใต้หลังคา เพื่อป้องกันละอองฝน และเป็นการรักษาให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น
คำนวณค่าไฟในการชาร์จรถไฟเต็ม 1 รอบการใช้งาน
ยกตัวอย่าง : รถยนต์ไฟฟ้าชาร์จสูงสุดที่ 7.4 kW แบตเตอรี่จุได้ 60 kW หรือระยะทางขับขี่ประมาณ 350 กิโลเมตร พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือเวลา 1 ชม. เก็บพลังงานไฟฟ้าได้ 7.4 kW โดยถ้าต้องจุให้เต็ม 60 kW ต้องใช้เวลาถึง 7-8 ชั่วโมง
- สมมุติว่าไฟฟ้า 1 หน่วย = 1 kW สมมุติที่ 4 บาท/หน่วย
– ชาร์จไฟ 1 ชม คิดค่าไฟฟ้า = 7.4 x 4 x 1 = 29.6 บาท
– ชาร์จไฟ 2 ชม คิดค่าไฟฟ้า = 7.4 x 4 x 2 = 59.2 บาท
– ชาร์จไฟ 8 ชม คิดค่าไฟฟ้า = 7.4 x 4 x 8 = 236.8 บาท - สรุป ถ้าเราชาร์จแบตเตอรี่เต็มใช้เงินประมาณ 236.8 บาท ขับรถยนต์ได้ 350 กิโลเมตร หรือตก 1.4 บาท/กิโลเมตร เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง อยู่ที่ประมาณ 3-5 บาท/กิโลเมตร เรียกได้ว่าประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายเท่าตัวเลย
ดังนั้น ก่อนที่เราจะซื้อรถยนต์ต้องศึกษารายละเอียดของตัวรถยนต์ด้วย ว่าแบตเตอรี่ของรถยนต์ขนาดเท่าไร? On Board รับพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดเท่าไหร่? ซึ่งมีผลกับความเร็วในการชาร์จ และค่าไฟบ้าน โดยค่าไฟฟ้าแต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน แนะนำให้ติดต่อการไฟฟ้าของพื้นที่ตัวเองนะคะ ส่วนถ้าใครอยากได้ Tips ดีๆในการประหยัดค่าไฟบ้าน เรามีบทความทำอย่างไรให้บ้านเย็นและประหยัดไฟ มาแนะนำค่ะ
สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีที่ไหนบ้าง?
สำหรับใครที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาแล้ว ต้องการชาร์จไฟนอกบ้าน เวลาขับรถระยะไกล หรือเกิดเหตุฉุกเฉิน สามารถเข้าใช้บริการที่ไหนได้บ้าง? ปัจจุบันการไฟฟ้านครหลวงทำ App มือถือ ที่ชื่อว่า MEA EV ที่บอกตำแหน่งสถานีชาร์จรถไฟฟ้าทั่วประเทศไทย มีที่ไหนบ้าง?
- ปั๊มน้ำมันปตท. และบางจาก : ปัจจุบันมีสถานีให้บริการเฉพาะกรุงเทพและปริมณฑล แต่ในอนาคตมีแผนที่จะเปิดสถานีชาร์จเพิ่มให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
- ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล : มีการติดตั้งที่เซ็นทรัลชิดลม และห้างเอ็มบาสซี ซึ่งมีจุดให้บริการมากถึง 24 จุด และกำลังมีแผนขยายไปติดตั้งที่ห้างเซ็นทรัลสาขาอื่นๆ
การไฟฟ้านครหลวง (MEA) : ปัจจุบันมีสถานีชาร์จไฟฟ้าทั้งหมด 10 สาขา กระจายอยู่ตามเขตต่างๆ บางใหญ่, บางเขน, วัดเลียบ, สามเสน, บางเขน, ราษฏร์บูรณะ, เพลินจิต, บางพูด, ลาดกระบัง และสมุทรปราการ โดยมีทั้งเครื่องชาร์จขนาด 7.2 kW และ 22 kW
การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (EGAT) : มีสถานีชาร์จไฟฟ้าทั้งหมด 23 จุด ภายใน 8 จังหวัด นนทบุรี, ฉะเชิงเทรา, นครราชสีมา, อยุธยา, ขอนแก่น, อุบลราชธานี, สงขลา และลำปาง ภายใต้การดูแลของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต พร้อมเพิ่มเติมจุดชาร์จสำหรับรถบัส, รถเมล์ไฟฟ้า
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) : มีสถานีชาร์จไฟฟ้ามากที่สุด กระจายทั่วประเทศไทย ทั้งหมด 263 สถานี ครอบคุลมพื้นที่ 75 จังหวัด
ข้อดี/ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า EV
ข้อดี
- รถยนต์มาพร้อมความเงียบและอัตราเร่งที่ได้ดั่งใจ
– ตัวรถยนต์ไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน ภายในจึงไม่ก่อให้เกิดการเผาไหม้ ซึ่งทำให้เสียงการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้านั้นเงียบกว่ารถยนต์ทั่วไป และอัตราเร่งได้เร็วกว่ารถยนต์ทั่วไป เนื่องจากไม่มีขั้นตอนการทดเกียร์ - รถยนต์ประหยัดค่าใช้จ่ายและค่าซ่อมบำรุง
– ด้วยความที่ไม่มีเครื่องยนต์นี้แหละ ทำให้ไม่ต้องใช้น้ำมันในการขับเคลื่อน ซึ่งราคาน้ำมันมีความผันผวนพอสมควร ส่วนค่าบำรุงรักษาก็ถูกกว่า เพราะมีอุปกรณ์น้อยชิ้นมากกว่า - รถยนต์ไม่ต้องเสียเวลาไปปั๊มน้ำมัน
– เหมาะสำหรับคนที่อยู่บ้านบ่อยๆ เพราะเราสามารถชาร์จไฟได้ตลอดเวลาที่เราต้องการ ไม่จำเป็นต้องขับหาปั๊มน้ำมันด้านนอก - รถยนต์ไฟฟ้า EV เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
– เนื่องจากไม่มีเครื่องยนต์ในการเผาไหม้ ทำให้ไม่ต้องปล่อยเสียหรือ CO2 ออกมาจากตัวรถ ซึ่งเป็นสาเหตุของ Global Warming ในปัจจุบัน
ข้อเสีย
- รถยนต์มีต้นทุนตั้งต้นที่สูง
– แม้ว่าจะมีอัตราค่าใช้จ่ายเรื่องการเชื้อเพลิงต่ำ แต่กระบวนการผลิตต้องใช้เทคโนโลยีที่มีราคาสูง ทำให้ตัวรถมีราคาสูงตามไปด้วย รวมถึงยังไม่ไปที่นิยมมากนักในปัจจุบัน - ระยะทางจำกัด
– รถไฟฟ้า EV จำเป็นต้องพึ่งพาพลังงานจากแบตเตอรี่เป็นหลัก ซึ่งมีข้อจำกัดในการใช้งานของการใส่ประจุไฟฟ้า ทำให้ระยะทางในการขับขี่น้อยกว่ารถยนต์ทั่วไป - สถานีให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีน้อย
– สำหรับสถานีให้บริการส่วนใหญ่จะมีเยอะในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล แต่ถ้าใครออกไปต่างจังหวัด อาจจะมีตามหัวเมืองใหญ่ที่มีให้ใช้งานเพียงไม่กี่จุด - ระยะเวลาในการชาร์จไฟนาน
– ถึงแม้ว่าจะมีการพัฒนาเรื่องของแบตเตอรี่แล้ว แต่การชาร์จประจุก็ยังกินเวลาเป็นชั่วโมงอยู่ดี ไม่เหมือนการเติมน้ำมันใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็เสร็จ
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า EV ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเรามากๆ โดยยังมีข้อเสีย และข้อจำกัดในการใช้งานอยู่พอสมควร แต่ส่วนตัวเชื่อว่าด้วยเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตข้อจำกัดต่างๆ น่าจะถูกแก้ไขให้ดีมากยิ่งขึ้น และคนเข้าถึงได้ง่ายมากกว่าปัจจุบัน เป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมไปในตัวนะคะ
จุดติดตั้ง EV Charger ภายในโครงการบ้านจัดสรร
สำหรับใครที่ไม่อยากวุ่นวายเดินงานระบบไฟฟ้าใหม่ภายในบ้าน ปัจจุบันหลายๆโครงการเริ่มมีการเพิ่มปลั๊ก สำหรับรองรับการติดตั้งเครื่องชาร์จ EV Charger โดยเราสามารถซื้อเครื่องจากตัวแทนจำหน่าย Dealer เข้ามาติดตั้งได้เลย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินสายใหม่ ช่วยประหยัดทั้งเงินและเวลา ยกตัวอย่างเช่น
ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน
ส่วนตัวมองว่าการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า EV ถือว่าเป็นการลงทุนที่ต้องใช้เงินตั้งต้นสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป ทั้งราคารถยนต์ที่สูงกว่า, งานระบบไฟฟ้า(ใหม่), เพิ่มเครื่องชาร์จ EV Charger ภายในบ้าน แต่ถ้ามองกันในระยะยาวก็ถือว่าคุ้มค่ามากกว่า ทั้งเรื่องค่าซ่อมบำรุง ค่าเชื้อเพลิง เป็นต้น ทำให้เราสามารถกำหนดค่าใช้จ่ายได้แม่นยำมากขึ้น ส่วนเรื่องการใช้งานก็ยังเสียเปรียบเรื่องการชาร์จที่ต้องรอนาน และมีข้อจำกัดในการขับขี่ที่สั้นมากกว่า
บทความนี้ผู้เขียนหวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านที่กำลังคิดว่าอยากเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่ยังไม่แน่ใจว่าต้องรู้อะไรบ้าง? หวังว่าจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย ส่วนใครที่อยากแชร์ประสบการณ์พูดคุยก็สามารถพิมพ์คอมเม้นต์ใต้บทความนี้ได้เลย ทั้งเสนอแนะ แนะนำ ติชม ผู้เขียนยินดีที่จะเรียนรู้ไปพร้อมๆกันค่ะ ขอบคุณผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านเลยนะคะ ^^
ThinkofLiving มี LINE Official Account แล้วนะคะ
ไม่อยากพลาดข้อมูลข่าวสารก็ Add เลย > https://lin.ee/svACOxc