..หลังจากที่มีแลนด์มาร์คแห่งใหม่อย่าง ICONSIAM เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อปีที่แล้ว ก็ทำให้ย่าน “เจริญนคร” มีความเจริญมากขึ้นสมชื่อเลยครับ ราคาที่ดินก็เพิ่มขึ้น และมีคอนโดระดับ Luxury เกิดขึ้นหลายโครงการ
ใช่ครับ..นั่นคือที่มาของการพัฒนารถไฟฟ้าสายสีทอง เพื่อให้การคมนาคมของย่านนี้สะดวกมากขึ้นนั่นเองครับ
รถไฟฟ้าสายสีทอง เป็นโครงข่ายรูปแบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (โมโนเรล) ย่านฝั่งธนบุรีสายสั้นๆเพียง 4 สถานี มีจุดประสงค์หลักคือ เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่ศูนย์การค้าไอคอนสยามได้สะดวก โดยนับจากรถไฟฟ้า BTS สายสีลม บริเวณสถานี กรุงธนบุรี แล้วขึ้นเหนือไปตามถนนเจริญนคร ผ่านแยกคลองสาน และไปสิ้นสุดตรงก่อนจะถึงถนนประชาธิปก ระยะทางรวมประมาณ 2.8 km. และจะมีการแบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 เฟสคือ
- เฟสที่ 1 จากสถานีกรุงธนบุรี – สถานีคลองสาน รวม 3 สถานี คาดการณ์ว่าจะเปิดให้ทดลองนั่งกันประมาณเดือน มิถุนายน 2563 และมีอัตราค่าโดยสารเพียงแค่ 15 บาทตลอดสายเท่านั้น
- เฟสที่ 2 หรืออีก 1 สถานีที่เหลือนั้น ก็คาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จและเปิดบริการได้ในปี 2566 ครับ
ซึ่งหลังจากที่ผมได้ลองหาข้อมูลโครงการคอนโดมิเนียมในย่านนี้ดู ทั้ง High Rise/Low Rise และทั้งโครงการเก่า/โครงการใหม่ ก็พบว่ามีหลายโครงการเลยทีเดียวครับ โดยผมสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 โซน ตามจำนวนและตำแหน่งของสถานีรถไฟฟ้าสายสีทอง ประกอบด้วย
- โซนที่ 1 สถานีกรุงธนบุรี เป็นสถานี Interchange กับ BTS สายสีลม และเป็นจุดที่มีความหนาแน่นของคอนโดเยอะที่สุด
- โซนที่ 2 สถานีเจริญนคร เป็นสถานีที่เชื่อมต่อเข้ากับศูนย์การค้าไอคอนสยามโดยตรง ซึ่งคอนโดส่วนใหญ่จะได้วิวแม่น้ำ และมีราคาค่อนข้างสูง
- โซนที่ 3 สถานีคลองสาน อยู่เยื้องๆกับโรงพยาบาลตากสิน และมี Sky walk เชื่อมต่อเข้ากับตัวโรงพยาบาลและท่าเรือได้โดยตรง
- โซนที่ 4 สถานีประชาธิปก เป็นสถานีปลายทางที่อยู่ใกล้กับวัดและตลาดสะพานพุทธไนท์มาร์เก็ต รวมถึงยังสามารถเปลี่ยนสายไปขึ้นรถไฟฟ้าสายสีม่วงได้อีกด้วย เพียงแต่อาจต้องเดินต่อสักหน่อย ประมาณ 300 – 400 m.
สำหรับโซนแรกเราจะเห็นว่ามีโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นเยอะมาก นั่นเป็นเพราะบริเวณนี้มีรถไฟฟ้า BTS สถานีกรุงธนบุรี ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2552 หรือประมาณ 10 ปีที่แล้ว ซึ่งคอนโดต่างๆเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นโครงการเก่าที่มีอายุประมาณ 10 ปีแล้วทั้งนั้น
สิ่งที่ผมชอบของโซนนี้ก็คือ เป็นจุด Interchange กันระหว่างรถไฟฟ้า 2 สาย ที่กำลังจะมีสายสีทองแยกออกไปในอนาคต ซึ่งนอกจากจะนั่งไปศูนย์การค้าไอคอนสยามได้สะดวกแล้ว ก็ยังสามารถนั่งเข้าเมืองไปทำงานแถวสีลม-สาทร ลุมพินี หรือสยามก็ได้ และถ้านั่งถัดไปนอกเมืองอีก 2 – 3 สถานี ก็จะไปเดินห้าง The Mall ท่าพระ กับตลาดแถวๆนั้นก็ได้อีกเช่นกันครับ
แต่ความจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไกลถึงขนาดนั้น เพราะทำเลของสถานีนี้ก็ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว เนื่องจากมีคอนโดเกิดขึ้นมาเยอะ และมีคนในพื้นที่เพิ่มขึ้น ร้านรวงต่างๆจึงตามมาเปิดกันเพียบ โดยเฉพาะโซนฝั่งซอยเลขคู่ (ด้านล่างของแผนที่) จะคึกคักเป็นพิเศษ และมีทางลัดให้เดินเลียบคลองไปยังชุมชนด้านหลัง ที่มีร้านสะดวกซื้อและร้านอาหารเยอะเลยครับ
ขอเริ่มจากซอยกรุงธนบุรีฝั่งคี่กันก่อนนะ บริเวณใกล้กับสถานีจะเป็นคอนโด High Rise 2 โครงการ และจะมีคอนโด Low Rise ที่อยู่ในซอยกรุงธนบุรี 5 อีก 2 โครงการด้วยกัน ซึ่งถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลจากรถไฟฟ้าหน่อย แต่ผมมองว่าทำเลอุดมสมบูรณ์และหาของกินได้ง่ายกว่าโครงการที่อยู่ติดถนนใหญ่ของฝั่งนี้ เพราะเซเว่นและร้านอาหารจะอยู่ในซอยนั่นเองครับ
HIVE สาทร
โครงการแรก HIVE สาทร จาก แสนสิริ เป็นคอนโด High Rise 31 ชั้น จำนวน 363 ยูนิต ซึ่งถือว่าค่อนข้างสะดวกและเป็นส่วนตัวดีทีเดียวครับ (สำหรับคอนโดสูงในย่านนี้นะ) รวมถึงมีที่จอดรถอีก 62% ไม่รวมซ้อนคัน ก็เหมาะกับคนใช้รถก็ได้หรือรถไฟฟ้าก็ดี ปัจจุบันสร้างเสร็จมาแล้วประมาณ 10 ปีพอดีเลย (ตั้งแต่ปี 2553)
ข้อดีของโครงการนี้อย่างแรกคือ บริเวณด้านหน้าเป็นที่ตั้งของรถไฟฟ้าทั้ง 2 สาย สามารถเดินมาใช้งานได้ง่าย และยังอยู่ถนนฝั่งขาเข้าเมืองอีกด้วย จึงเหมาะกับคนที่ใช้รถเพื่อขับเข้าเมืองได้สะดวก ไม่ต้องเสียเวลาไปกลับรถเหมือนฝั่งตรงข้าม รวมถึงด้านหน้าโครงการยังมีร้านอาหารเปิดให้บริการอีกด้วยนะ
ตัวโครงการจะได้รับวิวจากทิศเหนือและใต้เป็นหลัก และหันด้านแคบของอาคารไปหาเพื่อนบ้านที่เป็นอาคารสูงทั้ง 2 ข้าง จึงทำให้ได้วิวที่ค่อนข้างเปิดโล่ง (โดยเฉพาะทางทิศเหนือที่เป็นชุมชนแนวราบในซอยครับ)
Facilities ของโครงการจะอยู่ที่ชั้น 7 ถึงแม้ว่าจะไม่ได้หลากหลายและเยอะมากนัก แต่ก็ถือว่ามีฟังก์ชันหลักๆครบครับ ทั้งฟิตเนส สวน และสระว่ายน้ำ โดยบรรยากาศของพื้นที่ส่วนกลางก็จะเป็นสไตล์เรียบๆ ซึ่งหากเทียบกับจำนวนยูนิตที่มีไม่เยอะมากแล้ว ผมว่าเพียงพอต่อการใช้งานอยู่ครับ
จากผังอาคารจะมีจำนวน 16 ยูนิต/ชั้น และถ้าเป็นชั้น 26 – 28 จะมีจำนวนห้องทางฝั่งซ้ายลดลง 4 ยูนิต และชั้น 29 – 31 ก็จะมีห้อง 3 Bedrooms เพิ่มขึ้นมาด้วย ทำให้ยิ่งชั้นสูงๆจะมีความเป็นส่วนตัวขึ้นมาอีกหน่อย โดยผมจะชอบห้องทางปีกตะวันออกครับ เพราะจากผังจะค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากที่สุด มีเพื่อนบ้านร่วมฝั่งน้อยกว่า
ส่วนแบบห้องของโครงการนี้ส่วนมากจะเป็นห้องขนาดใหญ่ครับ เริ่มต้นก็ 1 Bedroom 40 ตารางเมตรแล้ว และด้วยขนาดพื้นที่เยอะแบบนี้ จึงทำให้จัดฟังก์ชันออกมาได้ง่ายและลงตัวสุดๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเค้าจะให้ความสำคัญกับพื้นที่พักผ่อนภายในห้อง มากกว่าพื้นที่ห้องน้ำ ครัว และระเบียงครับ เหมาะกับคนชอบห้องใหญ่ๆใช้งานสะดวกนะ
Villa สาทร
โครงการถัดมาที่อยู่ทางขวาคือ Villa สาทร จาก TCC เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ตั้งอยู่ปากซอยกรุงธนบุรี 5 ติดถนนใหญ่ และใกล้สถานีรถไฟฟ้า มีความสูง 40 ชั้น จำนวน 636 ยูนิต และมีที่จอดรถประมาณ 59% รวมจอดซ้อนคัน อายุโครงการประมาณ 10 ปีเช่นกันครับ
โดยอาคารนี้จะเน้นรับวิวทิศเหนือ-ใต้ เหมือนกับ HIVE ก่อนหน้านี้เลยครับ เพียงแต่ห้องริมสุดทางปีกตะวันออกจะมีโอกาสเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาบางส่วนได้ด้วย เนื่องจากไม่ได้มีโครงการสูงอื่นๆมาบังวิวในระยะใกล้มากนัก (มีอีกทีคือโครงการ Urbano Absolute ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 800 m.)
บรรยากาศภายในโครงการจะออกแนวสไตล์โรงแรม/รีสอร์ทสมัยก่อน ซึ่งพื้นที่ในแต่ละฟังก์ชันจะมีขนาดใหญ่ และจัดวางเฟอร์นิเจอร์แบบหลวมๆ ไม่ได้ฟิคแน่นเหมือนคอนโดสมัยนี้ ทำให้ได้บรรยากาศสบายๆ เน้นเรียบๆ ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากนัก
ส่วนผังอาคารจะเป็นแบบขั้นบันได ไม่ได้เป็นผนังอาคารเรียบตรงเหมือนเพื่อนบ้าน ซึ่งทำให้ห้องขนาดเล็กที่อยู่บริเวณกลางๆจะถูกห้องใหญ่ด้านข้างบังวิวไปบางส่วน เน้นรับวิวด้านหน้าแบบตรงๆมากกว่า แต่กลับกันห้องที่เป็นห้องมุม/ริมอาคาร จะเหมือนกับว่าห้องนั้นยื่นออกมาจากตัวตึก ทำให้ได้ผนังกระจกหรือระเบียงเข้ามุมทั้ง 2 ด้าน และรับวิวได้ทั้ง 3 ทิศเลยครับ ซึ่งห้องเหล่านี้ก็จะมีราคาสูงด้วยเช่นกันนะ
แบบห้องของโครงการนี้จะมีแบบให้เลือกเยอะเลยครับ ตั้งแต่ Studio – 3 Bedrooms แต่ก็มีขนาดพื้นที่เริ่มต้นที่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว หากใครที่ชอบฟังก์ชันที่โปร่งโล่งเชื่อมต่อกันของห้อง Studio ที่มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ ได้ระเบียงแบบเข้ามุมยื่นออกมาจากตัวห้อง รวมถึงพื้นห้องครึ่งหนึ่งจะปูด้วยกระเบื้องแล้วล่ะก็ โครงการนี้ค่อนข้างเหมาะเลยครับ
Bangkok Feliz Sathorn-Taksin
ถัดมาจะเป็นโครงการ Bangkok Feliz Sathorn-Taksin จาก CMC เป็นคอนโด Low Rise 8 ชั้น ที่อยู่ในซอยกรุงธนบุรี 5 หรือซอยข้างๆ Villa สาทร เมื่อสักครู่นี้ครับ ซึ่งจะค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากกว่า เนื่องจากเป็นทำเลในซอย มีจำนวนยูนิตเพียง 200 ยูนิตเท่านั้น และมีที่จอดรถประมาณ 46% ครับ
ตัวอาคารมีโถงทางเดินเป็นรูปตัว H ซึ่งห้องที่อยู่ทางทิศตะวันออกและตะวันตกจะค่อนข้างได้ความเป็นส่วนตัว เนื่องจากโถงทางเดินหน้าห้องเป็น Single Corridor ไม่ต้องเปิดประตูมาเจอกับห้องฝั่งตรงข้าม
พื้นที่ส่วนกลางจะอยู่บริเวณชั้น 2 ซึ่งมีฟังก์ชันหลักๆครบ ทั้งฟิตเนสและสระว่ายน้ำ แต่จะไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก จึงเป็นโครงการที่เหมาะกับคนไม่เน้นใช้งานส่วนกลางครับ นอกจากนี้ที่ห้องชั้น 3 – 4 ทางทิศเหนือ ก็จะเหมาะกับคนที่อยากได้วิวสระว่ายน้ำอีกด้วย
และข้อดีอีกอย่างของโครงการในซอยนี้คือ ด้านในจะมีร้านสะดวกซื้อและร้านอาหารอยู่ด้วยครับ ซึ่งจะค่อนข้างอุดมสมบูรณ์กว่าโครงการที่อยู่ติดกับถนนใหญ่ทางฝั่งซอยเลขคี่นี้ ชดเชยกับระยะทางที่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้ามากกว่าหน่อย และถนนนี้ก็สามารถไปทะลุออกถนนเจริญนคร จากซอยเจริญนคร 14 ได้ด้วยนะ
Bangkok Feliz @ Krungthonburi Station
และอีกหนึ่งโครงการที่อยู่ในซอยนี้ก็คือ Bangkok Feliz @ Krungthonburi Station จาก CMC เช่นกัน เป็นโครงการที่เล็กกว่า เพราะมีจำนวนยูนิตเพียง 79 ห้องเท่านั้น ถือว่าเป็นโครงการที่มีความเป็นส่วนตัวมากที่สุดในย่านนี้เลยครับ
พื้นที่ส่วนกลางจะมีสระว่ายน้ำอยู่ชั้น 1 บริเวณด้านหน้าเลยครับ แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัวนะ เพราะจะมีรั้วโครงการช่วยบังสายตาไว้ให้ส่วนหนึ่งแล้ว ส่วนฟิตเนสจะอยู่ชั้น 2 และชั้น 3, 4, 7 และ 8 จะมีห้องบางส่วนหายไป และทำเป็นพื้นที่อเนกประสงค์เล็กๆแทนครับ ทำให้ชั้นนั้นๆ จะมีความเป็นส่วนตัวและโปร่งโล่งมากขึ้น
ส่วนแบบห้องของโครงการนี้หลักๆจะมี 2 Type คือห้อง 1 Bedroom และ 2 Bedrooms แต่จะมีหลายขนาด และมีรูปแบบฟังก์ชันที่ต่างกันไปตามตำแหน่งของห้องนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัส และเป็นห้องหน้ากว้างไปเลย รวมถึงจะได้ห้องครัวปิดหรือไม่ก็ครัวจะอยู่ติดกับระเบียง และกั้นทำเป็นครัวปิดได้อีกเช่นกัน เหมาะกับคนที่ชอบทำอาหารมากเลยครับ
กลับมาที่สถานีรถไฟฟ้าอีกครั้ง ซึ่งเราก็ยังคงอยู่ทางฝั่งซอยเลขคี่เหมือนเดิมนะ แต่คราวนี้เราจะมาดูอีกฝั่งของสถานีกันบ้าง เพราะยังคงมีคอนโดอีก 2 โครงการด้วยกันครับ
Q House Sathorn
เริ่มที่โครงการ Q House Sathorn จาก ควอลิตี้ เฮาส์ เป็นคอนโด High Rise ติดถนนใหญ่ และใกล้รถไฟฟ้า มีความสูง 35 ชั้น จำนวน 533 ยูนิต โดยจุดเด่นที่สุดของโครงการนี้ผมมองว่าคือ จำนวนที่จอดรถซึ่งให้มามากถึง 96% (รวมจอดซ้อนคัน) ถือว่าเยอะที่สุดในย่านสถานีนี้แล้วครับ เหมาะกับคนที่มีรถยนต์ส่วนตัวมากๆ
และนอกจากนี้เรายังเดินไปใช้รถไฟฟ้าได้สะดวกอีกด้วย เพราะโครงการจะมีประตูทางเข้า-ออกของคน แยกออกมาอยู่ใกล้ๆกับทางขึ้นสถานีนั่นเองครับ
ส่วนภายในโครงการก็ออกแบบดูหรูหราเหมือนโรงแรมสมัยก่อนดีครับ และฟังก์ชันส่วนใหญ่จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งสวน ศาลานั่งเล่น ฟิตเนส สระว่ายน้ำ พื้นที่เด็กเล่น และห้องสมุด เหมาะกับการอยู่อาศัยแบบครอบครัวหลาย Generation โดยรวมถือว่ามีพื้นที่ส่วนกลางเพียงพอต่อการใช้งานนะครับ
ผังอาคารโครงการนี้จะเป็นรูปตัว T ครับ ซึ่งมีหลากหลายทิศให้เลือกตามความชอบเลยนะ แต่ถ้าเป็นทิศที่ผมคิดว่าชอบที่สุดก็คงจะเป็นทิศเหนือ เพราะด้านหลังโครงการเป็นซอยเล็กๆและชุมชนแนวราบเยอะ โอกาสที่จะขึ้นตึกสูงมาบังวิวในอนาคตจึงเป็นไปได้ยากกว่าครับ
ส่วนแบบห้องของโครงการนี้ก็มีให้เลือกหลากหลายอีกเช่นกัน และเนื่องจากเป็นโครงการที่ค่อนข้างเก่า แปลนห้องต่างๆจึงไม่มีให้ดู ผมเลยขออนุญาติวาดให้ดูคร่าวๆนะ ซึ่งจะเห็นว่าห้องของโครงการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสและหน้ากว้าง ซึ่งทำให้ฟังก์ชันทุกส่วนจะอยู่ติดกับหน้าต่าง มีความโปร่งโล่งมากขึ้น ที่สำคัญคือ มีห้อง Walk in closet เล็กๆอยู่ภายในห้องนอนด้วยนะ เหมาะกับการอยู่อาศัยได้จริงจัง และมีพื้นที่เก็บของเยอะมากๆครับ
The Master Sathorn Executive
สุดท้ายคือโครงการ The Master Sathorn Executive จาก เดอะ มาสเตอร์ แอสเซท แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นคอนโด Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 199 ยูนิต ซึ่งจะโอบล้อมพื้นที่ส่วนกลางอย่างสระว่ายน้ำเอาไว้ มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก จึงอาจว่ายออกกำลังกายจริงจังไม่ได้ แต่ถ้าเด็กๆเล่นหรืออยากแช่น้ำ ดูวิวเอาบรรยากาศก็พอได้อยู่ครับ เชื่อมต่ออาคารด้วยทางเชื่อมเล็กๆ และยังมี Lobby กับฟิตเนสแยกออกไปด้วย
โดยโครงการนี้มีห้องตั้งแต่ 1 Bedroom 30 ตารางเมตร ไปจนถึง 3 Bedrooms 127 ตารางเมตรให้เลือก เหมาะกับการอยู่แบบครอบครัวครับ เพราะซอยข้างๆกันนี้ก็มีโรงเรียนนานาชาติอยู่ด้วย ตอนเย็นหลังเลิกเรียนผมเห็นน้องๆเดินกลับเข้ามาในโครงการนี้กันหลายคนอยู่นะ ซึ่งแต่ละห้องจะมีราคา Resale ปี 2020 ดังต่อไปนี้
- 1 Bedroom ขนาด 32 – 47 ตารางเมตร ราคา 2.7 – 4.4 ล้านบาท
- 2 Bedrooms ขนาด 55 – 70 ตารางเมตร ราคา 5.2 – 6.6 ล้านบาท
- 3 Bedrooms ขนาด 127 ตารางเมตร ราคา 11.98 ล้านบาท
ยังอยู่กับที่สถานีกรุงธนบุรีเหมือนเดิมนะครับ แต่คราวนี้เรามาฝั่งตรงข้ามหรือซอยฝั่งเลขคู่กันบ้าง ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีความคึกคักมากกว่าฝั่งที่แล้วมาก เพราะบริเวณทางขึ้นบันไดจะเป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงานไทยศรี มีเซเว่น ร้านกาแฟ และร้านค้าแผงลอยต่างๆตั้งอยู่ครับ
Ideo สาทร-ตากสิน
เดินมาทางซ้ายก็จะเจอกับคอนโดแรกเลยคือ Ideo สาทร-ตากสิน จาก Ananda ที่ตั้งอยู่ติดกับอาคารไทยศรี เป็นคอนโด High Rise 27 ชั้น จำนวน 349 ยูนิต และมีที่จอดรถประมาณ 50% สร้างเสร็จมาประมาณ 10 ปีพอดี
ซึ่งในวันที่ผมเข้าไปชมโครงการนั้นก็กำลังมีการ Renovate กันอยู่พอดีเลย (โดยปกติคอนโดจะ Renovate ครั้งใหญ่ก็ประมาณ 5 ปีสักครั้งหนึ่ง ถือว่าเป็นโครงการที่มีความสม่ำเสมอ และนิติยังดูแลดีอยู่ครับ)
ข้อดีอย่างแรกที่ผมเห็นตั้งแต่ตอนเดินมาหน้าโครงการคือ จะมีประตูเข้า-ออกคนเดินแยกออกมาอยู่ตรงจุดขึ้นลิฟต์ของสถานีรถไฟฟ้า BTS ด้วยครับ ถือว่าช่วยอำนวยความสะดวกได้ดีทีเดียวนะ
ส่วนผังอาคารจะเป็นรูปตัว U และมีการเปิดรับวิวเกือบทุกทิศเลย แต่ด้านฝั่งทิศตะวันตกที่อยู่ติดกับอาคารไทยศรีจะเว้าอาคารเข้ามาหน่อย เพื่อสร้างระยะห่างเพิ่มความเป็นส่วนตัวอีกเล็กน้อย และจะเน้นวิวสระว่ายน้ำที่ชั้นล่างๆมากกว่าครับ
ส่วนด้านฝั่งทิศตะวันออกจะเป็นฝั่งที่มีห้องพักหันไปเยอะที่สุด ทั้งๆที่เป็นฝั่งที่ถูกโครงการรุ่นพี่อย่าง Ideo Mobi สาทร บังวิวอยู่ก็จริง เพราะเนื่องจากโครงการนี้ถูกสร้างมานาน ก่อนที่จะมีโครงการ Ideo Mobi เกิดขึ้นนั่นเองครับ (ตอนนั้นยังเป็นวิวที่เปิดโล่งอยู่เลย) คนที่ซื้อยุคหลังๆ ก็อาจต้องทำใจเล็กน้อย
สำหรับ Facilities ชั้นแรกจะมีพวกสวน ล็อบบี้ และห้องสมุดเล็กๆครับ จะมีอีกทีก็คือที่ชั้น 7 เป็นสระว่ายน้ำ และมีบันไดเดินต่อเนื่องมาที่ชั้น 8 ที่มีฟิตเนสอยู่ได้ด้วย ซึ่งห้องที่ผมคิดว่าวิวดีและโอเคสุดก็จะเป็นทิศเหนือ-ใต้นะ
ในเรื่องแบบห้องของโครงการนี้จะแตกต่างจากทุกโครงการที่ผ่านๆมา ในเรื่องของขนาดพื้นที่ห้องเริ่มต้นเป็น Studio 21 ตารางเมตร ถือว่าเล็กมากๆ ถ้าคิดเป็นเงินก้อนหรือราคาปล่อยเช่าก็จะทำได้ถูกกว่าโครงการเพื่อนบ้านด้วย ซึ่งก็เป็นที่นิยมสำหรับคนวัยทำงานที่พัก 1 – 2 คนมากๆครับ
ส่วนฟังก์ชันห้องที่ผมอยากให้สังเกตคือ จะได้เป็นครัวเปิด และมี Walk in closet ในห้องน้ำด้วย ซึ่งเรามักไม่ค่อยเห็นฟังก์ชันนี้ในยุคปัจจุบันนัก อาบน้ำเสร็จก็แต่งตัวได้เลย ไม่เสียพื้นที่ในห้องนอน แต่ก็ต้องระวังเรื่องความชื้นและกลิ่นด้วยเช่นกัน อีกจุดหนึ่งคือพื้นที่เก็บ Condensing Unit ตรงระเบียง ที่ถึงแม้จะทำให้ดูเรียบร้อยและเป็นสัดส่วนดี แต่ก็ทำให้เสียพื้นที่ช่องเปิดของหน้าต่างไปเช่นกันครับ โครงการนี้จึงเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยทำอาหารในห้อง และไม่เน้นชมวิวหรือความโปร่งโล่งมากนัก
มีรูปบรรยากาศโครงการบางส่วนมาฝากกันด้วยครับ โดยสระว่ายน้ำชั้น 7 จะมีทางเดินตรงกลางมาคั่นกลาง จึงถูกแบ่งออกเป็น 2 สระ ทำให้มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็แยกการใช้งานออกเป็น 2 ส่วน เพิ่มความเป็นส่วนตัวได้บ้างครับ และที่ชั้น 8 เมื่อเดินขึ้นบันไดมา ก็จะมีพื้นที่นั่งเล่นกับห้องฟิตเนสขนาดไม่ใหญ่มากนัก โครงการนี้จึงอาจไม่เหมาะกับคนที่เน้นส่วนกลาง แต่ถือว่ามีฟังก์ชันหลักๆให้ใช้งานครบ
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบคือ สวนบนชั้น 14 – 16 ที่เชื่อมต่อกันแบบนี้ ซึ่งนอกจากจะทำให้โถงทางเดินโปร่งโล่ง มีแสงสว่างเพียงพอ และถ่ายเทอากาศได้ดีแล้ว ยังทำให้ห้องพักที่อยู่ในตำแหน่งนี้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นจาก Single Corridor อีกด้วยนะ
แน่นอนว่าแลกกับราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าตำแหน่งอื่นเช่นกัน และเราก็ไม่ค่อยได้พบเห็นฟังก์ชันแบบนี้แล้วในคอนโดยุคปัจจุบัน (ถ้าไม่ใช่ระดับ Luxury หรือโครงการที่มี Concept เด่นชัดจริงๆครับ) ถือเป็นอีกหนึ่ง Value ที่สำคัญของโครงการยุคก่อนนะ
ซึ่งผมก็ต้องขอบคุณทาง Akando Real Estate (เอเจ้นท์ประจำโครงการ) มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ที่ได้พาผมเข้าไปอัพเดทและเดินชมโครงการ เพื่อมาบอกเล่าประสบการณ์ให้ทุกคนได้ฟัง (ถ้าใครสนใจก็สามารถติดต่อไปได้เลยครับ)
โครงการต่อมาที่อยู่ถัดมาก็คือ Ideo Mobi สาทร ซึ่งแต่ก่อนที่จะเข้าไปชมโครงการต่อไป ผมอยากให้สังเกตตรงกลางระหว่างโครงการทั้ง 2 จะมีทางเดินเลียบคลองให้ลัดเลาะไปยังซอยกรุงธนบุรี 6 ที่อยู่ด้านหลังได้ครับ
ซึ่งจุดนี้ถือเป็นจุดสำคัญที่อุดมสมบูรณ์มากๆ มีทั้งวินมอไซค์ เซเว่น Lotus Express ร้านค้าแผงลอย และร้านอาหารอีกเยอะแยะเลย รวมถึงยังเป็นทำเลที่เหมาะกับคนที่ทำงาน หรือใช้ชีวิตเกี่ยวกับกรมที่ดินด้วยนะครับ เพราะซอยนี้สามารถลัดเลาะไปออกซอยข้างๆกรมที่ดิน(ซอยเจริญกรุง 28)ได้เลย โดยไม่ต้องไปเสียเวลารถติดบนถนนใหญ่ครับ
Ideo Mobi สาทร
มาต่อกันที่โครงการ Ideo Mobi สาทร จาก Ananda เป็นแบรนด์รุ่นพี่ที่อยู่ในระดับ Segment ที่สูงกว่าโครงการ Ideo ปกติอยู่เล็กน้อยครับ อีกทั้งยังเป็นโครงการขนาดค่อนข้างใหญ่ ซึ่งมีความสูงอยู่ที่ 31 ชั้น กับจำนวนยูนิต 529 ห้อง มีที่จอดรถ 39% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน) และมีอายุโครงการน้อยกว่า Ideo ข้างๆครึ่งหนึ่ง คือเพิ่งสร้างเสร็จมาประมาณ 5 – 6 ปีครับ
และอีกสิ่งหนึ่งที่มักจะมาพ่วงกับโครงการแบรนด์นี้คือ MaxValu ที่เปิด 24 ชม. ซึ่งภายในนอกจากจะมีสินค้าทั่วไปเหมือนร้านสะดวกซื้อแล้ว ยังมีอาหารปรุงสำเร็จ และของสดให้ซื้อไปประกอบอาหารเองได้อีกด้วย ถือว่าช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านได้ดีทีเดียวครับ กลับบ้านมาไม่ต้องไปไหนไกลเลย ซื้อของที่ใต้ตึกเนี่ยแหละ แล้วเดินขึ้นห้องไปชิลๆ
ตัวโครงการวางผังเป็นรูปตัว U ซึ่งเน้นรับวิวทางฝั่งทิศใต้ด้านหลังโครงการที่เป็นชุมชนแนวราบในซอย ทำให้ได้วิวที่เปิดโล่ง โอกาสถูกตึกสูงบังวิวในอนาคตก็มีน้อย หรือจะเป็นห้องทางทิศตะวันออกชั้นสูงๆ จะสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาบางส่วนในระยะไกลได้อีกด้วยครับ
Main Facilities จะอยู่ที่ชั้น 6 เป็นหลักครับ มีทั้งพื้นที่นั่งพักผ่อน สระว่ายน้ำ ฟิตเนส และห้องอ่านหนังสือ แต่จุดที่ผมอยากให้สังเกตของชั้นนี้จริงๆคือ “พื้นที่หน้าห้อง” ของห้องพักในชั้นนี้ จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป และเราจะไม่ค่อยได้พบเห็นฟังก์ชันแบบนี้ในโครงการทั่วไปครับ ประกอบด้วย
- กรอบสีแดง : เป็นห้องที่ไม่อยู่ติดกับใครเลย และยังมีเหมือนเป็นสวนส่วนตัวหน้าห้องอีกด้วยครับ แลกกับเป็นตำแหน่งที่มีคนเดินผ่านเยอะหน่อย เพราะอยู่ใกล้กับโถงลิฟต์นะ
- กรอบสีน้ำเงิน : เป็นห้อง Duplex ที่มีทางเข้าจากริมสระว่ายน้ำ ทำให้เหมือนมีสระว่ายน้ำส่วนตัว เดินออกมาใช้งานกระโดดลงสระได้เลย แลกกับความเป็นส่วนตัวที่ลดลงจากคนอื่นๆที่มาใช้งานสระ และเดินผ่านได้เช่นกันครับ
- กรอบสีม่วง : เป็นห้อง Duplex ที่มีทางเข้าจากระเบียงทางเดินส่วนกลาง ให้ความรู้สึกเหมือนเดินเข้าบ้านแนวราบเลยล่ะครับ จะขาดความเป็นส่วนตัวก็ต่อเมื่อมีคนเดินผ่านนานๆทีนะ
- กรอบสีเหลือง : เป็นห้องที่มีระเบียงหรือช่องเปิดอยู่ติดกับสวนเช่นกัน แต่ผมว่าเป็นตำแหน่งที่เป็นส่วนตัวมากสุดแล้ว เพราะสวนส่วนกลางตรงนี้เป็นทางตัน ไม่มีใครเดินมาเว้นแต่แม่บ้านหรือคนสวนครับ
และนี่คือภาพบรรยากาศตัวอย่าง Corridor หน้าห้องของโครงการนี้ ซึ่งผมคิดว่าค่อนข้างแปลกกว่าโครงการอื่นมากๆ และหาไม่ค่อยได้แล้วในคอนโดยุคปัจจุบัน ให้ความรู้สึกเหมือนมีสวนหน้าบ้านเป็นของตัวเอง ซึ่งสิ่งที่แลกมาคือความเป็นส่วนตัวที่ลดลงอยู่บ้าง เพราะคนอื่นๆก็มีโอกาสเดินผ่านได้เช่นกัน
โชคดีที่ห้องเหล่านี้เป็นแบบ Duplex จึงนำห้องนอนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวไว้ชั้นบน และนำฟังก์ชันที่ไม่ค่อยได้ใช้งานอย่างครัวหรือ foyer มาไว้ติดกับโถงทางเดิน ซึ่งมักจะมีการปิดผ้าม่านกันอยู่ตลอดเวลาก็จะช่วยได้ครับ
ส่วนบรรยากาศ Facilities ในโครงการก็จะเรียบง่าย ยังไม่ได้มี Concept แรงๆเหมือนโครงการของ Anandaในสมัยนี้มากนัก และทุกคนจะรู้สึกว่าส่วนกลางมีขนาดค่อนข้างใหญ่ซึ่งก็แปรผันกับจำนวนยูนิตที่มากนั่นเองครับ
ส่วนผังอาคารชั้นพักอาศัยจะเป็นรูปตัว U ยิ่งชั้นสูงขึ้นก็จะกลายเป็นห้องใหญ่ขึ้น และมีเพื่อนร่วมชั้นลดลง เพราะห้องบางตำแหน่งจะลดลงไป ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้นครับ ส่วนตัวผมจะชอบห้องฝั่งปีกขวา เพราะมีเพื่อนร่วมฝั่งน้อยกว่านั่นเองครับ
ในเรื่องแบบห้องของโครงการนี้ หากเทียบกับตัว Ideo ข้างๆ ก็ยังจะได้เป็นห้องหน้ากว้าง และมีห้องขนาดเล็กอย่าง Studio 21 ตารางเมตรให้เลือกอยู่ครับ เพียงแต่สิ่งที่หายไปคือ Walk in closet ในห้องน้ำ และจัดตำแหน่งช่องเก็บ Condensing Unit ไม่ให้รบกวนหน้าต่างหรือระเบียงได้ดีขึ้น รวมถึงห้องครัวจะมีการคิดเผื่อ ให้สามารถกั้นห้องทำเป็นครัวปิดเพื่อทำอาหารจริงจังได้แล้วครับ ซึ่งก็พอดีกับที่ด้านล่างโครงการมี MaxValu ให้ซื้อของสดขึ้นมาทำอาหารได้นั่นเอง
นอกจากนี้ผมก็มีภาพแต่ละทิศมาฝากกันด้วยครับ ซึ่งทิศเหนือกับใต้จะมีระยะเปิดโล่งมากหน่อย ส่วนทิศตะวันออกก็จะมองเห็นโครงการเพื่อนบ้านอย่าง Ideo แต่ก็ไม่ได้ประชิดมากนัก (ห่างประมาณ 30 m.) และทิศตะวันตกถ้าเลือกห้องที่อยู่สูงกว่าชั้น 12 – 13 ขึ้นไป ก็จะได้วิวที่เปิดโล่ง อาจมองเห็นวิวแม่น้ำได้บางส่วนไกลๆ และไม่ถูกโครงการ Low Rise เพื่อนบ้านข้างๆบังวิวครับ
ซึ่งก็ต้องขอบคุณทาง Success Square (เอเจ้นท์ประจำโครงการ) มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ที่ได้พาเข้าไปชมโครงการ และให้ผมได้เก็บภาพเหล่านี้มาฝากกัน (ใครที่สนใจสามารถติดต่อไปได้ครับ)
Bangkok Sathorn-Taksin
โครงการสุดท้ายของสถานีนี้คือ Bangkok Sathorn-Taksin จาก แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งอยู่ติกับ Ideo Mobi เมื่อสักครู่เลยครับ เป็นคอนโด Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 214 ยูนิต พร้อมที่จอดรถอีก 77% โดยจุดเด่นอย่างแรกที่ผมเห็นคือ Concept การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และมีอายุโครงการมากที่สุดในย่านสถานีนี้ สร้างเสร็จมาแล้วประมาณ 13 ปี แต่ยังดูสภาพดีอยู่เลยครับ นั่นหมายความว่านิติและลูกบ้านที่นี่ดูแลโครงการเป็นอย่างดีเลยนั่นเอง
โดยตัวโครงการจะไม่ได้อยู่ติดกับถนนใหญ่ แต่จะมีที่อยู่ด้านในโดยต้องข้ามคลองต้นไทรเข้ามาหน่อย ทำให้ค่อนข้างเงียบสงบและเป็นส่วนตัวมากขึ้นครับ
ตัวโครงการมี Concept ในการออกแบบร่วมสมัยสไตล์ไทยประยุกต์ และเน้นส่วนกลางให้มีอารมณ์สไตล์รีสอร์ท สังเกตได้ง่ายๆจากหลังคาทรงจั่วสีขาว พร้อมลายฉลุตามพื้นและผนังต่างๆในโครงการ ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สวยงาม และแตกต่างจากเพื่อนบ้านในย่านเดียวกัน แลกมากับจะต้องดูแลรักษาให้ดีเป็นพิเศษกว่าโครงการที่เค้าตกแต่งแบบเรียบๆ ทำความสะอาดง่ายๆ ซึ่งโครงการนี้ก็ทำได้ดีเลยล่ะครับ
รวมถึงบรรยากาศพื้นที่ส่วนกลางก็จะสบายๆครับ ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่และหลากหลายมากนัก แต่ก็มีครบน่าใช้งานทีเดียว
ส่วนผังอาคารจะเป็นรูปตัว L เหมือนกันทั้ง 2 ตึกเลยครับ และส่วนใหญ่ก็จะเป็นห้องหน้ากว้างที่มีขนาดใหญ่ทั้งหมด เริ่มต้นก็ 1 Bedroom ขนาด 49.5 – 59.5 ตร.ม. ราคา 7 – 16.9 ล้านบาท และ 2 Bedrooms ขนาด 89 – 89.5 ตร.ม. ราคา 8.2 – 10.3 ล้านบาท
และเนื่องจากเป็นโครงการที่เก่ามากแล้วจึงไม่มีแปลนให้ดู ผมเลยเป็นถ่ายภาพและวาดรูปห้องมาให้ดูเป็นตัวอย่างกันครับ จะเห็นได้ว่าฟังก์ชันค่อนข้างเป็นสัดส่วนดีทีเดียว และจะเน้นพื้นที่ห้องนั่งเล่นให้มีขนาดใหญ่ ได้ระเบียงค่อนข้างกว้าง มีครัวปิดทำอาหารจริงจังได้เลย และถ้าเป็นห้อง 2 Bedrooms ก็จะมีห้องน้ำถึง 2 ห้อง ไม่ต้องแย่งกันใช้งาน เหมาะกับการอยู่อาศัยเป็นครอบครัวจริงจังเลยล่ะครับ
สำหรับโซนนี้จะเป็นช่วงของสถานี “เจริญนคร” ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าศูนย์การค้าไอคอนสยาม ถือเป็นสถานีหลักที่สำคัญที่สุดของการสร้างรถไฟฟ้าสายสีทองเส้นนี้ เพื่อให้คนสามารถเดินทางมาห้างใหญ่แห่งนี้ได้สะดวกนั่นเองครับ
และอีกหนึ่งความพิเศษของโครงการคอนโดในโซนนี้คือ ส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดริมแม่น้ำที่มีราคาแพง หรือถ้าเป็นคอนโดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับไอคอนสยาม ก็จะยังมีโอกาสได้วิวแม่น้ำอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ราคาไม่สูงมากครับ
เริ่มกันที่โครงการ Urbano Absolute Sathorn – Taksin เป็นคอนโด High Rise สูง 40 ชั้น จำนวน 593 ยูนิต ที่สร้างเสร็จมาแล้วประมาณ 5 – 6 ปีครับ จุดที่แปลกของโครงการคือ ทำเลที่อยู่บริเวณเชิงสะพานตากสิน ซึ่งทำให้วิธีการเดินทางอาจต้องวนรถอ้อมนิดหน่อย และถึงแม้จะไม่ใช่คอนโดที่อยู่ฝั่งเดียวกับแม่น้ำเลย แต่ก็ยังเป็นคอนโดที่ได้วิวแม่น้ำอยู่ด้วยนะครับ
และนอกจากนี้ยังมีการกระจาย Facilities แยกไว้ 2 จุด มีทั้งอาคาร Clubhouse แยกออกมาที่ชั้น 1 และ Sky Facilities บนชั้น 40 ซึ่งจะได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยนะ โดยโครงการนี้มีฟังก์ชันที่แปลกและไม่ค่อยเห็นโครงการไหนมีกันก็คือ Sky Bowling Lanes นั่นเองครับ
ลักษณะตัวอาคารจะเป็นรูปตัว I และหันด้านข้างไปทางแม่น้ำ ดังนั้นห้องที่จะได้วิวแม่น้ำแบบเต็มๆจริงๆ คือห้อง 2 Bedroom ขนาด 74.4 ตร.ม. ที่อยู่ริมสุดนั่นเองครับ เป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ และจุดที่แปลกคือ การนำห้องน้ำมาไว้ในตำแหน่งมุมอาคารเพื่อเปิดรับวิวแม่น้ำ อาจจะเหมาะกับคนที่ให้ความสำคัญกับฟังก์ชันนี้เป็นพิเศษก็ได้นะครับ แต่ห้องนี้จะไม่ได้มีครัวปิดนะ
โดยราคา Resale จะอยู่ที่ 8 – 14 ล้านบาท หรือประมาณ 110,000 – 180,000 บาท/ตร.ม. ครับ ส่วนห้องในตำแหน่งอื่นๆ ก็พอจะมองเห็นวิวแม่น้ำได้เหมือนกัน เพียงแต่อาจจะต้องมองเฉียงๆหน่อย และมีราคาดังต่อไปนี้
- Studio ขนาด 33 ตร.ม. ราคา 3.6 ล้านบาท (Resale 2020)
- 1 Bedroom ขนาด 48 ตร.ม. ราคา 5.5 – 5.9 ล้านบาท (Resale 2020)
- 2 Bedroom ขนาด 69 – 80 ตร.ม. ราคา 5.9 – 14 ล้านบาท (Resale 2020)
- 3 Bedroom ขนาด 119 ตร.ม. ราคา 14.4 ล้านบาท (Resale 2020)
และผมก็มีภาพจากห้องตัวอย่างที่ทาง ThinkofLiving เคยเข้าไปทำรีวิวกันมาเมื่อหลายปีก่อนมาฝากกันด้วยครับ โดยห้องมีขนาดค่อนข้างใหญ่ บรรยากาศก็โปร่งโล่งดีทีเดียว โดยเฉพาะในห้องน้ำที่ได้ทั้งอ่างอาบน้ำและกระจกเข้ามุมด้วยครับ สามารถอาบน้ำไปและชมวิวไปด้วยได้เลย
The Light House สาทร-เจริญนคร
โครงการ The Light House สาทร-เจริญนคร จาก รสา พร็อพเพอร์ตี้ เป็นคอนโด High Rise สูง 30 ชั้น อายุโครงการประมาณ 10 ปีพอดี มีจำนวน 322 ยูนิต ซึ่งถือว่าเพื่อนบ้านไม่เยอะมากนัก และห้องมุมทางทิศตะวันออกก็ยังจะได้รับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาอีกด้วย ส่วนห้องอื่นๆก็อาจต้องมองแบบเฉียงๆเอานะครับ
อีกหนึ่งความพิเศษของโครงการนี้ก็คือ ที่ด้านล่างทำเป็นคอมมูนิตี้มอลล์เล็กๆ มีร้านค้าและร้านอาหารมาเปิด เพราะแต่ก่อนถนนเจริญนครยังไม่ได้มีห้างใหญ่ๆมาเปิดใกล้ๆ หรือพวกร้านค้าร้านอาหารตามถนนใหญ่ก็จอดรถได้ลำบาก การที่มีร้านค้าอยู่ใต้โครงการเลยจึงทำให้คนที่อยู่อาศัยในโครงการนี้ได้รับความสะดวกมากขึ้น กลายเป็นโครงการออกแนวกึ่งๆ Mixed-use แบบนี้ครับ
ส่วนตัวห้องพักก็มีหลากหลายขนาดให้เลือก จัดแบ่งฟังก์ชันค่อนข้างเป็นสัดส่วน และจะให้พื้นที่ระเบียงมาเยอะเหมือนกัน โดยปัจจุบันจะมีราคา Resale 2020 ดังต่อไปนี้
- Studio ขนาด 30 – 33 ตารางเมตร ราคา 2.99 – 3.6 ล้านบาท
- 1 Bedroom ขนาด 48 ตารางเมตร ราคา 5.5 – 5.9 ล้านบาท
- 2 Bedrooms ขนาด 69 – 80 ตารางเมตร ราคา 5.9 – 14 ล้านบาท
- 3 Bedrooms ขนาด 100 – 129 ตารางเมตร ราคา 13.9 – 19 ล้านบาท
ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามกันครับ กับโครงการ The River จาก Raimon Land ซึ่งตั้งอยู่บนถนนเจริญนคร ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เป็นหนึ่งในโครงการที่ได้วิวแม่น้ำแบบเต็มๆ และยังสามารถเดินไปใช้สวนป่าเฉลิมพระเกียรติที่อยู่ข้างๆได้อีกด้วย
ตัวโครงการเป็นคอนโด High Rise 2 อาคาร สูง 41 และ 71 ชั้น รวมทั้งหมด 826 ยูนิต สร้างเสร็จมาแล้วประมาณ 7 – 8 ปี ซึ่งถ้าใครที่ต้องการเป็นห้องมือ 1 ทางโครงการก็ยังพอจะมียูนิตขายอยู่นะครับ (ปัจจุบันเหลือแค่ 16 ห้องเท่านั้น)
อาคารด้านหน้าเป็น Commercial ของโครงการ ซึ่งปัจจุบันมีการปรับแบบและ Renovate เปลี่ยนชั้นบนเป็นโรงแรม แต่ชั้นล่างๆจะยังคงเป็นร้านค้า เช่น MaxValu เหมือนเดิมนะครับ ถือว่าช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านได้ดีทีเดียว สามารถซื้อของเข้าบ้านได้ง่าย และมีที่พักสำรองไว้รับรองแขกในอนาคตด้วยครับ
และถัดจาก Commercial ที่อยู่ด้านหน้าเข้ามาถึงจะเป็นโซนอาคารพักอาศัย ที่มีโพเดี้ยมขนาดใหญ่ร่วมกัน ทำให้ชั้น Facilities มีขนาดใหญ่และกระจายหลากหลายจุด และแยกอาคารพักอาศัยออกเป็น 2 Tower ครับ ซึ่งลักษณะการวางอาคารแบบเหลื่อมกันแบบนี้จะช่วยไม่ให้บังวิวกันเอง และมีโอกาสมองเห็นวิวแม่น้ำได้ทุกห้องเลย
โดยเฉพาะ South Tower ที่จะอยู่ใกล้แม่น้ำกว่าหน่อย ซึ่งปัจจุบันได้ขายหมดแล้วนะครับ ตอนนี้จะเหลือห้องมือ 1 เฉพาะตึก North Tower ที่ชั้นบนๆเท่านั้น รวมถึงจะมีท่าเรืออยู่ริมแม่น้ำ ที่จะคอยรับส่งลูกบ้านไปยังท่าเรือ BTS สะพานตากสิน (ซึ่งปัจจุบันเพิ่งประกาศปิดปรับปรุงสถานีนี้เป็นเวลา 40 เดือน (3 ปี) ตั้งแต่ต้นปี 2563 เพื่อขยายชานชลาเป็น 2 ฝั่งครับ) ดังนั้นถ้าใครจะใช้ BTS เข้าเมืองในช่วงนี้ก็อาจต้องไปใช้ที่สถานีกรุงธนบุรีไปก่อนนะ
บรรยากาศภายในโครงการค่อนข้างได้อารมณ์ผ่อนคลาย สไตล์โรงแรม/รีสอร์ทมากๆเลยล่ะครับ เหมาะที่จะซื้อเป็นบ้านพักตากอากาศหลังที่ 2 ริมแม่น้ำเจ้าพระยามากๆ ตรงล็อบบี้ก็มี Concierge บริการ 24 ชม. เหมือนโรงแรมเลย และ Main Facilities ที่อยู่ชั้น 5 จะมีสระว่ายน้ำหลายสระ กระจายออกเป็นหลายโซนหลายมุมให้เลือกใช้งานเป็นส่วนตัวได้
ทีเด็ดอยู่ตรงสระว่ายน้ำด้านหลังโครงการที่จะได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นสระไร้ขอบแบบ Infinity Edge Pool ที่จะเหมือนกับว่าพื้นที่ของสระว่ายน้ำและแม่น้ำจะเชื่อมต่อกัน เป็นผืนน้ำขนาดใหญ่กว้างๆแบบนี้เลยครับ
โดยแบบห้องของโครงการนี้ที่เหลืออยู่จะเป็นห้อง Penthouse ขนาด 138 ตารางเมตรขึ้นไป จนถึง 231 ตารางเมตรก็มีครับ และจะเป็นห้องแบบ Duplex อีกด้วยนะ ดังนั้นคนที่ซื้อโครงการนี้ก็อาจต้องมีเงินในกระเป๋าอยู่พอสมควร สิ่งที่ได้ก็คือพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ และวิวแม่น้ำสวยๆที่ชั้นสูงๆนั่นเองครับ
ภาพบรรยากาศภายในห้องตัวอย่างครับ ซึ่งการทำเป็นห้อง Duplex แบบ 2 ชั้นนี้จะทำให้ได้พื้นที่โปร่งโล่ง มีผนังกระจกขนาดใหญ่ Take View แม่น้ำภายนอกได้เต็มที่ และยังทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้านอีกด้วย
อีกสักห้องหนึ่งครับ ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงข้อดีของคอนโดริมแม่น้ำแบบนี้ ที่ตื่นนอนมาก็จะมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาสวยๆ หรือแม้แต่ตอนนอนแช่อ่างอาบน้ำด้วยเช่นกันครับ ถ้าได้อยู่ห้องแบบนี้ทุกๆวันคงจะฟินดีไม่น้อยเลยทีเดียวนะ
ปิดท้ายกันที่วิวของห้องตัวอย่างทางทิศตะวันตกชั้น 69 ที่จะมองเห็นโค้งแม่น้ำไปทางเจริญกรุงและเอเชียทีคครับ
อีกด้านหนึ่งก็จะมองเห็นวิวไปทาง ICONSIAM ได้ด้วย ซึ่งเวลามีการจัดงานเทศกาลใหญ่ๆ ก็จะสามารถชมพลุสวยๆได้จากห้องของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องไปเสียเงินเช่าโรงแรมหรูๆ ไปร้านอาหารแพงๆ หรือออกไปเบียดกับคนเยอะๆให้เหนื่อยเลยครับ
มาถึงสถานีที่ 2 ของรถไฟฟ้าสายสีทองกันแล้วนะครับ โดยสถานี “เจริญนคร” จะตั้งอยู่ด้านหน้าศูนย์การค้าไอคอนสยาม และจะมีทางเชื่อมจากตัวสถานีเข้าสู่ตัวห้างได้โดยตรงเลยครับ ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนที่เดินทางมาใช้งานได้ดีทีเดียว เหมือนแถวสยามพารากอนเลย
สำหรับใครที่ยังไม่เคยมาเดิน ICONSIAM ผมก็อยากให้ลองมาลองเดินกันสักครั้งครับ ซึ่งผมว่าเป็นห้างที่สวยมากๆนะ โดยเฉพาะชั้น G ที่เรียกว่า “โซนสุขสยาม” ที่จะจัดเป็น Theme Park แบบไทยๆในแต่ละภาค ซึ่งจะมีตลาด ร้านค้า ของกิน และสินค้าพื้นบ้านขายอยู่เยอะเลย
หรือถ้าใครเป็นสายช้อปปิ้งก็จะมีร้านค้าแบรนด์เนมอื่นๆ อยู่ที่ชั้นบนด้วยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..จะมีบางแบรนด์ที่มาเปิดตัวที่นี่เป็นสาขาแรกในไทยด้วยนะ อย่าง Takashimaya ที่เป็นห้างสรรพสินค้าจากประเทศญี่ปุ่น, JD Sport ที่เป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย รวมถึงมี Apple Store ด้วยครับ
นอกจากห้างสรรพสินค้าแล้ว โครงการ ICONSIAM ยังแบ่งพื้นที่การพัฒนาในส่วนของ Residences แยกออกมาอีก 2 โครงการด้วยกันครับ จะเป็นตึกสูงคู่ที่ดูภายนอกแล้วจะมีลักษณะการออกแบบที่เหมือนกัน ซึ่งตรงกลางคือ Magnolias Waterfront Residences จาก Magnolias ที่มีความสูงมากถึง 70 ชั้น จำนวน 379 ยูนิต มีห้องขนาดเล็กให้เลือกตั้งแต่ 1 Bedroom 60 ตารางเมตร ไปจนถึง Duplex Penthouse 346 ตารางเมตร
และอีกโครงการคือ The Residences At Mandarin Oriental Bangkok คอนโดสูง 52 ชั้น จะเน้นเป็นห้องขนาดใหญ่ และมีจำนวนแค่ 146 ยูนิต ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า และจับมือร่วมกับแบรนด์โรงแรมอย่าง Mandarin Oriental จึงกลายเป็นคอนโดที่มี Service Hotel มาตรฐานเครือแมนดารินและสิทธิพิเศษอื่นๆอยู่ภายใน เหมาะกับคนที่ชอบความสะดวกสบาย ทั้งเรื่องการบริการต่างๆ รวมถึงการมาใช้งานห้างสรรพสินค้าได้ง่ายครับ
และอีกหนึ่งจุดเด่นของโครงการทั้ง 2 คือ ผังอาคารจะเป็น Single Corridor มีลิฟต์ส่วนตัวทุกห้อง และจะเห็นวิวแม่น้ำได้แบบเต็มๆ ไม่บังวิวกันเองเลยครับ
มีภาพบรรยากาศภายในโครงการ The Residences At Mandarin Oriental Bangkok มาให้ดูครับ นับว่าสวยงามและดูหรูหราดีทีเดียว ซึ่งหากเทียบกับโครงการ The River ก่อนหน้านี้หลายคนอาจคิดว่าที่นี่ดูเล็กกว่าก็จริง
แต่ก็อย่าลืมว่าโครงการนี้มีลูกบ้านเพียงแค่ 146 ยูนิตเท่านั้น ส่วนตัวผมจึงคิดว่าโครงการนี้ให้ส่วนกลางมาค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว (เมื่อเทียบกับจำนวนยูนิต) จึงค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากกว่า เพียงแต่จะไม่ได้มีบรรยากาศผ่อนคลายสไตล์รีสอร์ทแบบ The River เท่านั้นครับ ซึ่งตรงนี้ก็แล้วแต่คนชอบนะ
ส่วนแปลนห้องตัวอย่างนี้ก็จะมีขนาดพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ครับ โดยสิ่งที่ผมค่อนข้างชอบคือ ทุกฟังก์ชันจะติดกับช่องแสง ทำให้ภายในห้องสว่างและโปร่งโล่ง รวมถึงช่วยในเรื่องการระบายอากาศ และรับวิวได้ดีทีเดียวนะ แถมระเบียงก็มีขนาดใหญ่และกว้างอีกด้วย เหมาะที่จะออกไปใช้งานมากๆครับ
ในห้องตัวอย่างของโครงการมีบรรยากาศค่อนข้างโปร่งโล่งดีทีเดียว ซึ่งห้องนี้จะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่คอนโดหรือโรงแรมตากอากาศหรูๆมากกว่า ต่างจากห้องของ The River ก่อนหน้านี้ที่ผมพาไปดู ซึ่งพอเป็นห้อง Duplex ที่มีบันไดขึ้นชั้น 2 แบบนั้นแล้ว กลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบ้านมากกว่านี้ครับ (ตรงนี้ก็แล้วแต่คนชอบอีกเช่นกันนะ)
และอีกอย่างคือ โครงการนี้มีขายแบบทั้ง Fully Fitted และ Fully Furnished ให้เลือกครับ ปัจจุบันราคาขาย Resale 2020 จะอยู่ที่
- 2 Bed 2 Bath ขนาด 127.87 – 165.4 ตารางเมตร ราคา 47.95 – 65 ล้านบาท
- 3 Bed 4 Bath ขนาด 222.21 – 229 ตารางเมตร ราคา 87 – 94.5 ล้านบาท
- 4 Bed 5 Bath ขนาด 380.93 ตารางเมตร ราคา 228 ล้านบาท
โซนต่อมาผมจะขอรวบทั้ง 2 โซน เข้าไว้ด้วยกันแล้วพูดทีเดียวเลยนะ อย่างที่ผมบอกไปในตอนแรกว่าสถานีสุดท้ายจะยังไม่ก่อสร้าง และเปิดใช้งานพร้อมกับสถานีอื่นๆ รวมถึงโครงการ Ciela ที่ถึงแม้จะอยู่ใกล้กับสถานี “ประชาธิปก” มากกว่า แต่ก็ตั้งอยู่บนถนนฝั่งขาเข้าเมือง ดังนั้นจึงสามารถใช้รถยนต์หรือรถสาธารณะมายังสถานี “คลองสาน” ได้ง่ายด้วยเช่นกันนะ
จุดเด่นของสถานีนี้คือ จะตั้งอยู่บริเวณจุดตัดของถนนหลัก 2 เส้นได้แก่ ถนนเจริญนคร และถนนลาดหญ้า ที่สามารถตรงไปยังวงเวียนใหญ่ได้โดยตรง รวมถึงมีเส้นทางลัดเลาะของถนนเส้นรองต่างๆ ให้เชื่อมถึงกันได้อีกด้วยครับ ซึ่งคอนโดในโซนนี้ก็จะมีทั้งโครงการใหม่ที่ยังไม่ก่อสร้าง โครงการที่อยู่ติดถนนใหญ่ หรืออยู่บนถนนรองก็มี และมีโครงการที่อยู่ติดริมแม่น้ำอีกด้วย
เริ่มกันที่โครงการ ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร จาก ศุภาลัย เป็นคอนโด High Rise สูง 26 ชั้น จำนวนยูนิต 578 ยูนิต ที่ขายหมดอย่างรวดเร็วหลังจากเปิดตัวไม่นาน เพราะนอกจากตัวโครงการจะมีทำเลที่ดี เดินทางสะดวก รวมถึงมีความคุ้มค่าของราคาแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งคือ “ทำเล” นั่นเองครับ
เพราะในโซนถนนเจริญนครตอนเหนือแบบนี้ ส่วนใหญ่เป็นชุมชนแนวราบดั้งเดิม และไม่เคยมีโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นมาก่อนเลย นี่จึงถือเป็นโครงการแรกที่มาบุกเบิกและทำห้องพักขนาดใหญ่ เหมาะกับคนที่เพิ่งเปลี่ยนจากการอยู่บ้านแนวราบมาเป็นคอนโด ซึ่งจะได้ทั้งวิวและมีส่วนกลางให้ใช้ ในราคาที่จับต้องได้ไม่ยาก จึงได้เสียงตอบรับจากคนในพื้นที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียวครับ
ตัวโครงการจะตั้งอยู่ใกล้กับแยกคลองสาน และมีที่ดินติดกับถนน 2 ฝั่ง ด้านหน้าเป็นถนนลาดหญ้าที่ตรงไปวงเวียนใหญ่ได้ง่าย ด้านหลังมีทางออกไปสู่ถนนสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งมีรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีคลองสาน ที่จะมาเปิดในอนาคต
รวมถึงยังเป็นโครงการที่ห้องพักส่วนใหญ่ยังสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้อีกด้วยครับ หลักๆจะมีแค่โรงพยาบาลตากสินที่เป็นอาคารสูง กับคอนโดริมแม่น้ำอีก 2 แห่งที่อาจบังวิวไปส่วนหนึ่งบ้าง ซึ่งก็ยังมีพื้นที่อื่นที่สามารถขึ้นตึกสูงมาบังวิวอาคารนี้ได้ในอนาคตนะ แต่เอาเป็นว่า ณ ปัจจุบันยังได้วิวแม่น้ำอยู่ครับ
โดยตำแหน่งห้องที่จะได้วิวในปัจจุบันคือ ห้องทางฝั่งทิศเหนือและทิศตะวันออกครับ ซึ่งก็มีหลากหลาย Type เลยนะ รวมถึงห้องขนาดเล็กที่สุดของโครงการด้วยคือ 1 Bedroom ขนาด 34.5 ตร.ม. ซึ่งข้อดีอย่างหนึ่งของโครงการศุภาลัยก็คือ มีขนาดห้องเริ่มต้นที่ใหญ่ แต่ราคาไม่แรงครับ Resale ตอนนี้คือ เริ่มต้นยังไม่ถึง 5 ล้านบาท หรือถ้าเป็นห้องขนาดมาตรฐานส่วนใหญ่(สีน้ำตาล) จะเป็นขนาด 48 ตร.ม. ซึ่งก็จะอยู่ในช่วง 5 ล้านกว่าบาท
แต่ถ้าเป็นครอบครัวใหญ่ อยากอยู่ห้องมุม ได้วิวเต็มๆ 2 ด้าน ก็จะมีห้อง 2 Bedrooms ขนาด 76.5 – 85.5 ตร.ม. ราคา 8.5 – 10 ล้านบาทให้เลือกครับ โดยราคาของโครงการตอนนี้คือประมาณ 100,000 – 140,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าสนใจสำหรับทำเลใกล้รถไฟฟ้า ใกล้โรงพยาบาล ใกล้ห้างสรรพสินค้า และยังได้วิวแม่น้ำแบบนี้นะครับ
ส่วนเรื่อง Facilities หลักๆจะมีอยู่ที่ชั้น 10 และ 28 ซึ่งถ้าห้องไหนที่วิวอาจไม่ดีนัก หรือมองไม่เห็นแม่น้ำจริงๆ ก็สามารถขึ้นมาชมวิวได้ที่บน Sky Lounge ได้เช่นกันครับ
และอย่างที่บอกว่าโครงการนี้ SOLD OUT ไปแล้วนะครับ ซึ่งถ้าใครที่ต้องการห้องหลุดดาวน์มือ 1 ก็อาจรอตอนช่วงวันโอนกลางปีหน้าก็ได้ครับ ถึงเวลานั้นก็ลองโทรสอบถามกับทางศุภาลัยดู อาจมีห้องตำแหน่งดีๆราคางามๆหลุดมาก็ได้นะ
และนี่ก็เป็นภาพบรรยากาศบริเวณสถานี “คลองสาน” ในปัจจุบันที่กำลังก่อสร้างอยู่ ซึ่งด้านขวาจะเป็นคอนโดของศุภาลัย ที่จะเรียกว่าอยู่ติดกันเลยก็ได้ครับ ส่วนฝั่งตรงข้ามทางซ้ายมือก็จะเป็นโรงพยาบาลตากสิน ซึ่งจะมี Sky Walk เชื่อมต่อจากตัวสถานีเข้าสู่โรงพยาบาลโดยตรงได้อีกด้วย
ดังนั้นคนที่จะมาลงสถานีนี้บ่อยๆ ก็อาจเป็นคุณหมอคุณพยาบาล หรือคนไข้ และคนที่จะมาขึ้นท่าเรือก็ได้เช่นกันครับ หรือถ้าเราอาศัยอยู่ที่คอนโดศุภาลัยอยู่แล้ว และต้องการมาโรงพยาบาล ก็เพียงแค่ข้ามสะพานลอยมาเท่านั้นเอง นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลที่อากงอาม่าที่อยู่ในย่านนี้ดั้งเดิม เลือกที่จะซื้อคอนโดนี้ เพราะความสะดวกและปลอดภัยแบบนี้นั่นเองครับ
นอกจากนี้ถ้าเราข้ามมาฝั่งตรงข้าม ก็จะมีร้านสะดวกซื้อและร้านอาหารอยู่ใต้ตึกแถวเยอะแยะเลยนะ ถือว่าอุดมสมบูรณ์ใช้ได้ครับ โดยเฉพาะบริเวณหน้าปากซอยวัดทองนพคุณ (ซอยสมเด็จเจ้าพระยา 17)
และภายในซอยวัดทองนพคุณก็ยังเป็นที่ตั้งของคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการด้วยกันครับ คือ Baan Chao Praya Condo และ Banyan Tree Residences Riverside Bangkok ซึ่งเป็นคอนโดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งคู่เลย
สำหรับโครงการ Banyan Tree Residences Riverside Bangkok จาก เนอวานา ไดอิ เป็นคอนโด Luxury รูปทรงครึ่งวงกลมที่ดูแปลกตากว่าโครงการทั่วไปในย่านนี้ สูง 45 ชั้น และมีห้องพักอาศัย 133 ยูนิต ถือว่าเป็นส่วนตัวมากๆครับ อีกทั้งยังจอดรถได้มากถึง 200% และมี Concierge Service เสมือนอยู่โรงแรม ซึ่งเป็นมาตรฐานของคอนโดระดับนี้ใน 3 – 4 โครงการที่ผมได้พาไปชมกันมาก่อนหน้านี้ครับ
หากดูจาก Master Plan จะเห็นได้ว่า ด้วยลักษณะที่ดินที่เป็นตอนลึก สามารถทำอาคารสูง 2 Tower ได้สบายๆ แต่เค้าเลือกที่จะทำออกมาเพียงแค่อาคารเดียว เพราะต้องการไม่ให้ตึกบังวิวกันเอง อีกทั้งยังได้พื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ จัดเป็นชั้นจอดรถและพื้นที่ส่วนกลางได้อย่างเต็มที่
แต่ต้องบอกก่อนว่าส่วนกลางของโครงการนี้ที่มีค่อนข้างเยอะ จะให้ความสำคัญกับพื้นที่รับรองภายในเป็นพิเศษ ทั้ง Lounge, ห้องหนังสือ, ห้องประชุม, ห้องอาหาร, ฟิตเนส ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ที่อาคารหลักติดกับแม่น้ำได้วิวเต็มๆ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่หวังจะว่ายน้ำไปแล้วชมวิวแม่น้ำไปด้วย โครงการนี้อาจไม่ได้ตอบโจทย์ในส่วนนั้นครับ (แต่มี Jacuzi ปรับอุณหภูมิที่นั่งชมวิวแม่น้ำให้แทนนะ)
ภาพบรรยากาศพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ เน้นความเรียบหรูและมีพื้นที่กว้างขวางทีเดียว โดยรวมค่อนข้างน่าใช้งาน และเหมาะกับการอยู่อาศัย หรือใช้รับรองแขกมากๆครับ
มาดูชั้นพักอาศัยกันบ้างครับ ซึ่งถือว่ามีการออกแบบที่แปลกมากๆ เพราะรูปทรงอาคารจะเป็นครึ่งวงกลม โดยจะหันด้านเรียบที่เป็นกระจกไปทางแม่น้ำเพื่อรับวิวได้เต็มที่ และในหนึ่งชั้นจะมีห้องพักมากสุดแค่ 4 ห้องเท่านั้น ยิ่งถ้าเป็นชั้นสูงๆขึ้นไป ห้องก็จะรวมกันเป็นห้องใหญ่ และมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
แต่ละห้องจะมีลิฟต์ส่วนตัวเป็นของตัวเอง และอีกสิ่งที่ผมชอบคือ การจัดฟังก์ชันภายในของห้องพัก ที่ผนังโค้งไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาฟังก์ชันแปลกประหลาดในห้องเลยครับ ทุกอย่างดูลงตัวและเป็นสัดส่วนดี ซึ่งอาจเป็นเพราะห้องมีขนาดพื้นที่ใหญ่มากก็เป็นได้ โดยเฉพาะห้องมุมจะได้ผนังกระจกขนาดใหญ่ มองชมวิวได้แบบ 180 องศาเลยครับ
ซึ่งผมมีภาพบรรยากาศภายในห้องตัวอย่างมาให้ชมกันด้วยนะ ภายในตกแต่งแบบเรียบหรู และมีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่โปร่งโล่ง บรรยากาศเหมือนกับพื้นที่ส่วนกลางของโครงการเลยครับ เหมาะกับคนที่ชอบห้องกว้างๆและได้ผนังกระจกเยอะแบบนี้
มีภาพวิวมาฝากกันด้วยนะ ซึ่งทุกห้องถ้ามองออกมาตรงๆก็จะได้วิวแม่น้ำระยะใกล้ และฝั่งตรงข้ามคือฝั่งพระราม 4 – หัวลำโพงครับ
แต่ถ้าเราเลือกเป็นห้องมุม ก็จะได้วิวฝั่งที่ห้องของตัวเองนั้นๆอยู่ อย่างเช่นห้องตัวอย่างนี้จะอยู่ทางทิศใต้ จะสามารถมองเห็น ICONSIAM ได้นะ เวลามีงานฉลองทีเราก็สามารถชมพลุได้จากในห้องได้เลย เพียงแต่อาจโดนโรงแรม Millennium Hilton บังไปบ้างส่วนหนึ่ง
ติดๆกันทางซ้ายคือโครงการ Baan Chao Praya Condo เป็นอาคาร High Rise สูง 31 ชั้น จำนวน 478 ยูนิต และเป็นโครงการที่ค่อนข้างมีอายุมากแล้วนะ สร้างมาตั้งแต่ปี 2537 หรือมีอายุประมาณ 26 ปีครับ
ตัวอาคารจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวยาวที่สร้างเต็มพื้นที่ และหันด้านแคบมาทางแม่น้ำ จึงทำให้ห้องพักส่วนใหญ่จะได้วิวแม่น้ำก็ต่อเมื่อ ต้องมองเฉียงๆเอาครับ สำหรับห้องทางฝั่งทิศใต้หรือฝั่งเดียวกับ Banyan Tree ก็อาจจะโดนบังวิวแม่น้ำไปส่วนหนึ่ง แต่ยังคงได้วิวที่เปิดโล่งอยู่นะ และตัวห้องพักจะมีขนาดใหญ่ ตามแบบฉบับของคอนโดสมัยก่อน และมีราคา Resale 2020 ดังนี้ครับ
- 1 Bed 1 Bath ขนาด 69 – 95 ตารางเมตร ราคา 5.8 – 8 ล้านบาท
- 2 Bed 1 Bath ขนาด 100 ตารางเมตร ราคา 13 ล้านบาท
- 3 Bed 2 Bath ขนาด 137 ตารางเมตร ราคา 14 ล้านบาท
โครงการสุดท้ายคือ CIELA เจริญนคร จาก Grand Unity เป็นน้องใหม่ที่เพิ่งปล่อยข้อมูลบางส่วนออกมาเมื่อไม่นานมานี้ครับ ตั้งอยู่ใกล้กับแยกท่าดินแดง ห่างจากสถานีคลองสานประมาณ 600 m. เป็นคอนโด Low Rise 8 ชั้น 1 อาคาร 105 ยูนิต และมีที่จอดรถให้ประมาณ 44.8% ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปีนี้ และจะแล้วเสร็จในปีหน้าครับ
ปัจจุบันทางโครงการยังไม่ได้ปล่อยข้อมูลออกมามากนัก แต่หลักๆจะมีพื้นที่ส่วนกลางเป็น Lobby, Garden, Fitness, Co-Working Space และสระว่ายน้ำ ถือว่าครบครัน และจากรูปภาพก็ดูมิดชิดและเป็นส่วนตัวดีนะครับ
แบบห้องของโครงการนี้มีอยู่ 2 แบบด้วยกัน แต่แปลนห้องจะเป็นอย่างไร มีการเปลี่ยนแปลงจากตัวเก่าๆหรือไม่ อันนี้ต้องรอติดตามชมกันอีกทีนะครับ
- 1 Bedroom 30 ตร.ม. จำนวน 72 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.29 ล้านบาท
- 2 Bedrooms 43.5-47.5 ตร.ม. จำนวน 33 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.90ล้านบาท
- ราคาต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 111,000 บาท/ตร.ม.
ส่วนโครงการ Impression เจริญนคร ก็เป็นโครงการใหม่ ที่ยังไม่เปิดเผยข้อมูลออกมาเช่นกันครับ ตอนนี้คือทราบเพียงแค่โครงการตั้งอยู่บนถนนเจริญรัถ ที่เป็นถนนคู่ขนานกับถนนลาดหญ้า ห่างจากรถไฟฟ้าสถานีเจริญนครและ ICONSIAM ประมาณ 600 m. สูงประมาณ 20 กว่าชั้น และมีราคาเริ่มต้นประมาณ 9.9 ล้านบาท ส่วนข้อมูลที่เหลือก็ต้องรอติดตามกันต่อไปครับ
สรุป
…หลังจากที่ได้ชมโครงการกันมาทั้งหมดแล้วจะเห็นได้ว่า แต่ละโครงการมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป และเหมาะกับคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องไหนเป็นพิเศษมากกว่ากันครับ ซึ่งผมสามารถสรุปโดยแยกเป็นแถบสีให้แบบง่ายๆได้ดังนี้
- สีเหลือง : หากคุณเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องความคุ้มค่าและราคา จะมีอยู่ 2 โครงการที่น่าสนใจคือ The Master Sathorn Executive และ Q. House Condo Sathorn ทำเลดีใกล้รถไฟฟ้า Interchange 2 สถานี เดินทางสะดวก และถ้าหาดูดีๆจะเจอห้องที่ราคา 70,000 – 90,000 บาท/ตร.ม. ด้วยนะครับ (ในขณะที่เพื่อนบ้านในทำเลเดียวกันส่วนใหญ่จะเกิน 1 แสนกันไปหมดแล้ว) โดยเฉพาะ Q. House ผมว่าโครงการนี้ตกแต่งได้ดูดีเกินราคา เหมือนโรงแรมหรูๆสมัยก่อนเลยล่ะครับ ที่จอดรถก็เยอะ เหมาะกับการอยู่อาศัยเป็นครอบครัวจริงจัง
- สีเขียว : คอนโดที่มีขนาดพื้นที่ห้องเล็กที่สุดในย่าน (Studio 21 ตร.ม.) คือโครงการ Ideo Sathorn-Taksin และ Ideo Mobi Sathorn จาก Ananda ซึ่งส่งผลให้ราคาเงินก้อนจะค่อนข้างถูก และจับต้องได้ง่าย ต่างจากเพื่อนบ้านที่ส่วนมากจะเป็นห้องขนาดใหญ่ (ตามแบบฉบับของคอนโดยุคเก่า 10 ปีก่อน) ดังนั้นโครงการที่มีห้องเล็กแบบนี้จึงเหมาะกับการลงทุนปล่อยเช่าให้กับมนุษย์เงินเดือน ที่ทำงานในเมืองด้วยรถไฟฟ้ามากๆครับ
- สีฟ้า : The River เป็นคอนโดริมแม่น้ำ ที่ส่วนตัวผมคิดว่าเค้าเด่นเรื่อง “วิว” มากที่สุดครับ เพราะจากตัวโครงการจะได้ทั้งวิวแม่น้ำเจ้าพระยา และมองเห็นพลุหรือแสง/สี/เสียงได้ทั้งจากด้าน ICONSIAM และเอเชียทีคได้ โดยไม่มีอะไรมาบังสายตาเลย (เพราะถ้าเป็น Banyan Tree ก็ยังโดนโรงแรม Millennium Hilton บังอยู่บ้าง) รวมถึงส่วนกลางเค้าก็มีขนาดใหญ่ ให้อารมณ์สไตล์รีสอร์ท เหมาะแก่การซื้อไว้เป็นบ้านพักตากอากาศหลังที่ 2 แบบสุดๆ แต่ก็แลกมากับเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่มีจำนวนยูนิตเยอะที่สุดในย่านด้วยเช่นกันครับ
- สีแดง : เป็นโครงการ Luxury ที่มีราคาแพงมากๆในย่านนี้ ซึ่งจะเป็นโปรเจคที่มี Service Hotel ช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆภายในโครงการเต็มที่ โดยถ้าคุณเป็นคนชอบความเป็นส่วนตัว และอยากมีพื้นที่ส่วนกลางเยอะๆล่ะก็ อาจจะเหมาะกับ Banyan Tree ก็ได้ แต่ถ้าคุณชื่นชอบในแบรนด์ และอยากอยู่ใกล้ห้างล่ะก็ อาจจะเหมาะกับอีก 2 โครงการที่เหลือมากกว่าครับ
- สีส้ม : สำหรับ Supalai Premier เจริญนคร ส่วนตัวผมมองว่าเป็นโครงการค่อนข้างโอเค และเป็นมาตรฐานที่สุดในภาพรวมของย่านนี้ จุดที่เด่นที่สุดของเค้าคือ “ทำเล” ที่ติดถนน 2 เส้น ใกล้รถไฟฟ้า โรงพยาบาล ท่าเรือ และห้างไอคอนสยาม มีห้องพักหลายขนาดให้เลือก ตั้งแต่ 30 – 104 ตร.ม. แต่ราคาไม่ได้สูงมากนัก แลกมากับจำนวนยูนิตที่ค่อนข้างเยอะ ไม่เน้นส่วนกลางมากนัก และเหมาะกับคนยังไม่รีบเข้าอยู่ทันทีนะครับ
..ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับบทความ “คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสีทอง” หวังว่าจะเป็นประโยชน์และช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อคอนโด ที่เหมาะกับตัวเองได้ไม่มากก็น้อยนะครับ และคราวหน้าอยากให้ผมพาไปชมคอนโดในทำเลไหนอีก ก็สามารถ Comment มาบอกกันได้นะ แล้วเจอกันใหม่คร้าบบ ^^