ผ้าม่านเป็นอีกส่วนสำคัญของบ้าน ทำหน้าที่ปกป้องแสงแดด กันความร้อน กันฝุ่น และช่วยทำให้เกิดความเป็นส่วนตัวในการใช้ชีวิตของสมาชิกในบ้าน รวมถึงเสริมสร้างบรรยากาศที่ดี ช่วยตกแต่งบ้านให้สวยงาม แต่ผ้าม่านก็มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นผ้าม่านสั่งตัด หรือผ้าม่านสำเร็จรูป
คนส่วนใหญ่มักเลือกใช้บริการสั่งตัดผ้าม่าน ซึ่งง่าย สะดวก รวดเร็ว และไม่ยุ่งยาก แต่ข้อเสียก็คือมีราคาค่อนข้างสูง ยิ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ มีช่องแสงเยอะ ราคาค่าช่างเหมารวมทั้งหลัง ราคาจะตกอยู่ที่ราว 2 หมื่นอัพ ไปจนถึง 3-4 หมื่นบาทเลยทีเดียว
อีกหนึ่งทางเลือกในการประหยัดงบประมาณ คือการติดตั้งผ้าม่านสำเร็จรูปค่ะ ปัจจุบันมีผ้าม่านสำเร็จรูปมากมายวางขายตามร้านค้าชั้นนำ รวมไปถึงตามร้านค้าออนไลน์ ราคาถูกกว่าสั่งตัดพอสมควรเลย เริ่มต้นที่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันบาทเท่านั้น บทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักผ้าม่านสำเร็จรูปแต่ละแบบ เพื่อที่จะได้เลือกซื้อให้เหมาะสม เผื่อเป็นอีกตัวเลือกให้กับคนที่กำลังจะแต่งบ้านใหม่ แต่มีงบประมาณจำกัดได้เลือกสรรกันค่ะ
ผ้าม่านสั่งตัด VS ผ้าม่านสำเร็จรูป
ผ้าม่านสั่งตัด
ปัจจุบันมีร้านตัดผ้าม่านเปิดให้บริการมากมาย อย่างที่บอกไปค่ะว่าวิธีนี้ง่ายและสะดวกมากๆ เพียงให้ช่างเค้ามาวัดขนาดประตู หน้าต่าง ส่วนเราก็เลือกแบบ เลือกเนื้อผ้าที่ต้องการ พอถึงเวลาช่างตัดเสร็จ ก็จะกลับมาติดให้เรียบร้อย เราแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย แต่รู้หรือไม่คะ? เรทราคาสั่งตัดผ้าม่านติดบ้านนั้นสูงหลายหมื่นบาทเลยทีเดียว
หากเป็นคอนโดมิเนียม ช่องแสงไม่เยอะมาก มีเพียงประตูบานเลื่อนตรงระเบียง ราคาก็อาจจะอยู่ที่ 4,000-6,000 บาทต่อจุดเข้าไปแล้ว หากเป็นทาวน์โฮม บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ขนาดพื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้น และมีช่องแสงหลายจุดทั้งชั้นบน ชั้นล่าง ผ้าม่านก็จะต้องตัดหลายจุดตามไปด้วย โดยระดับราคาจะขึ้นอยู่กับขนาดของช่องแสงว่าเล็กหรือใหญ่ นอกจากนี้แพ็กเกจตัดผ้าม่านที่พบส่วนใหญ่ จะเป็นการคิดราคาเหมารวมทั้งหลังหรือเฉพาะชั้นไป เช่น บ้านเดี่ยว 2 ชั้น มีช่องแสง ประมาณ 12-15 จุด ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ราว 20,000-30,000 บาท ขึ้นอยู่กับวัสดุผ้าที่ใช้และประเภทม่านที่เลือกด้วย
ประเภทม่านสั่งตัดที่ได้รับความนิยม คือม่านจีบและม่านลอน (รายละเอียดจะกล่าวในหัวข้อต่อไป) เนื่องจากต้องอาศัยความประณีตในการตัดเย็บ เพื่อให้ได้รูปทรงที่สวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย เสริมให้บ้านดูเรียบหรู ปิดช่องแสงขนาดใหญ่ได้ดี ซึ่งโดยปกติแล้วราคาม่านสั่งตัดจะบวกรวมราคาอุปกรณ์ติดตั้งไปด้วย เช่น รางม่าน โซ่ล็อคระยะ ที่รองราง ด้ามจูง เป็นต้น บางร้านอาจรวมค่าแรงช่าง แต่บางร้านอาจจะคิดแยก โดยเรทค่าจ้างติดตั้งของร้านจะอยู่ที่ 1,000-2,000 บาทเลยทีเดียว ทำให้แพ็กเกจราคาม่านสั่งตัดค่อนข้างสูงกว่าม่านสำเร็จรูป
ยกตัวอย่างเรทราคาที่เราสอบถามมาจากร้านค้าตัดผ้าม่านแห่งหนึ่ง ม่านจีบแบบทึบสำหรับปิดประตูบานเลื่อน (บริเวณทางเข้าบ้านหรือตรงระเบียง ) ขนาดประมาณ 2.5×3 เมตร ราคาจะอยู่ที่ 3,500-4,000 บาทต่อผืน หากเป็นม่านโปร่ง ราคาจะอยู่ที่ 3,000 บาทต่อผืน ส่วนม่านลอนราคาจะสูงกว่าเล็กน้อย แบบทึบราคา 4,000-4,500 บาท ผ้าโปร่งอยู่ที่ 3,500 บาท ค่าแรงติดตั้งคิดแยก 2,000 บาท รวมๆแล้วติดผ้าม่านไซส์ใหญ่เพียงจุดเดียว ต้องเตรียมเงินราวๆ 8,500-10,000 บาทเลยทีเดียว
ผ้าม่านสำเร็จรูป
สำหรับม่านสำเร็จรูป เป็นสินค้าที่พบวางขายทั่วไปตามร้านค้าขายเฟอร์นิเจอร์ ร้านวัสดุก่อสร้าง อาทิเช่น Home pro, Index Living Mall, IKEA, FB Furniture, ไทวัสดุ เป็นต้น รวมถึงในห้างสรรพสินค้า ตามแผนกของตกแต่งบ้าน และร้านค้าออนไลน์ก็มีจำหน่ายเช่นกัน โดยมีให้เลือกหลายรูปแบบ หลายสไตล์ ทำขนาดออกมารองรับช่องแสงทั้งไซส์เล็กไปจนถึงใหญ่ ตัดมาสำเร็จพร้อมขาย มีอุปกรณ์ติดตั้งมาให้ด้วยหรือบางรุ่นก็จะขายแยก เรียกได้ว่าซื้อไปติดตั้งที่บ้านได้เองเลยโดยไม่จำเป็นต้องจ้างช่างมาติดก็ได้ ส่วนราคาขายนั้นก็ไม่แพง เริ่มต้นหลักร้อยบาทเท่านั้น ซึ่งราคาจะแปรผันไปตามขนาดของผ้าม่าน อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับรูปแบบและวัสดุเนื้อผ้าด้วย
การติดผ้าม่านสำเร็จรูป จำเป็นที่จะต้องรู้ขนาดช่องแสงให้แน่ชัด เนื่องจากเป็นการซื้อสินค้าที่ผลิตออกมาตามขนาดมาตรฐาน แม้จะทำออกมาหลายไซส์แต่ก็ใช่ว่าจะพอดีกับช่องแสงที่บ้านของเราเสมอไป ดังนั้นก่อนซื้อจึงควรวัดขนาดประตูหรือหน้าต่างที่ต้องจะติดม่านให้ดีเสียก่อน เพื่อป้องกันการซื้อไปผิดไซส์หรือขนาดไม่พอดี บางร้านค้าอาจไม่รับคืน นอกจากนี้การติดผ้าม่านสำเร็จรูปต้องมีอุปกรณ์ในการติดตั้งด้วย ซึ่งจะพูดถึงในหัวข้อต่อไป
ซื้อผ้าม่านสำเร็จรูปต้องรู้อะไรบ้าง
บางคนอาจคิดว่าติดผ้าม่านสำเร็จรูปนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่จะว่าไปแล้วก็มีหลายขั้นตอนพอสมควร ทั้งนี้ก็ไม่ได้ยากจนเกินไปค่ะ ….ก่อนซื้อ จำเป็นต้องรู้อะไรบ้างมาดูกัน
1. จำนวนช่องแสง
เป็นเรื่องแรกที่ต้องรู้ สำรวจดูจำนวนช่องแสงภายในบ้านก่อนว่าจุดไหนบ้างที่จำเป็นต้องติดผ้าม่านบ้าง เช่น ประตูทางเข้า (กรณีเป็นประตูกระจกบานเลื่อน), หน้าต่างห้องนั่งเล่น, หน้าต่างห้องนอน, ประตูกระจกบานเลื่อนที่ระเบียง เป็นต้น ทั้งนี้ไม่ได้แปลว่าทุกจุดภายในบ้านจะต้องติดผ้าม่านนะคะ บางจุดอาจติดเป็นมู่ลี่หรือฟิล์มฝ้าติดกระจกแทนก็ได้ ส่วนช่องแสงในห้องครัวหรือในห้องน้ำ อาจไม่จำเป็นต้องติดผ้าม่านเช่นกัน เพราะเป็นบริเวณที่ต้องเปิดระบายอากาศอยู่เสมอ อาจเปลี่ยนมาใช้วัสดุกระจกฝ้าแทนหรือจะติดเป็นมุ้งลวดก็ได้ค่ะ
ปกติแล้วจำนวนช่องแสงของที่อยู่อาศัยแต่ละประเภทนั้นมีจำนวนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ใช้สอยและการวางตำแหน่งหน้าต่าง ประตูของแต่ละโครงการ ยิ่งบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยมาก พื้นที่ภายในกว้าง ก็อาจจะมีช่องแสงที่มากขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มความสว่างและช่วยระบายอากาศ เช่นเดียวกันกับทาวน์โฮมแปลงมุม จำนวนช่องแสงก็อาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าทาวน์โฮมแปลงกลาง โดยบริเวณด้านข้างอาจได้หน้าต่างเพิ่มมา อย่างน้อย 1-2 จุด
อย่างไรก็ตามเราขอยกตัวอย่างรูปแบบที่อยู่อาศัยแต่ละประเภท หากเป็นโครงการที่พัฒนาโดย Developer มักใช้เป็นประตูและหน้าต่างกระจกบานเลื่อนเกือบทั้งหมด จำนวนช่องแสงที่มักพบ เฉลี่ยอยู่ในช่วงต่อไปนี้ค่ะ
- คอนโดมิเนียม Studio และ 1 Bedroom ขนาดประมาณ 30 ตารางเมตร จำนวนช่องแสง 2-4 จุด (ส่วนใหญ่จะเป็นช่องแสงบานใหญ่)
- ทาวน์โฮม 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 130 ตารางเมตร จำนวนช่องแสง 5-10 จุด
- บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 150 ตารางเมตร จำนวนช่องแสง 10-15 จุด
- บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอยมากกว่า 150 ตารางเมตรขึ้นไป จำนวนช่องแสง 15-20 จุด
ทั้งนี้บ้านแต่ละหลัง ห้องแต่ละแบบ อาจมีพื้นที่ใช้สอยแตกต่างกัน จำนวนช่องแสงอาจมากหรือน้อยกว่านี้ก็เป็นไปได้ แต่เราขอใช้ช่วงเฉลี่ยข้างต้นเป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบราคาผ้าม่านสั่งตัดสำหรับบทความนี้ค่ะ
2. ขนาดช่องแสง
ขั้นตอนต่อมาคือการรู้ขนาดช่องแสงที่จะติดม่าน ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่างหรือประตู ก็ควรวัดขนาดให้เรียบร้อย โดยใช้อุปกรณ์ง่ายๆคือตลับเมตร วัดขนาดความกว้าง x ความยาว โดยอาจเริ่มจากด้านซ้ายไปด้านขวาก่อน จากนั้นจึงวัดจากด้านบนลงด้านล่าง ที่ถูกต้องควรวัดที่ขอบวงกบด้านนอกเสมอ โดยอาจเผื่อระยะสักเล็กน้อยสำหรับติดรางม่านด้วย ปกติแล้วเราจะติดรางม่านเหนือวงกบกรอบหน้าต่างประมาณ 15 เซนติเมตร และเผื่อระยะรางออกไปด้านข้างซ้ายขวา อีกข้างละ 15 เซนติเมตร ส่วนหน่อยที่ใช้วัดควรเป็น เซนติเมตร เนื่องจากเป็นหน่วยที่ใช้กันเป็นมาตรฐานของการวัดผ้าม่านค่ะ
ช่องแสงส่วนใหญ่ เช่น หน้าต่างของบ้านหลังหนึ่งๆ มักจะมีขนาดมาตรฐานอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องวัดทุกบานก็ได้ ลองใช้สายตาประเมินความแตกต่างของหน้าต่างแต่ละบานดู ก็จะพอรู้ว่าบานไหนจัดเป็นแบบเดียวกันบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะมีหน้าต่างที่ไซส์หมือนกันอยู่ 2-3 ไซส์ เป็นต้น
3. วัสดุเนื้อผ้าม่าน
เนื้อผ้าม่านมีหลากหลายแบบ ทำมาจากวัสดุธรรมชาติและสังเคราะห์ ซึ่งจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เนื้อผ้าม่านสำเร็จรูปที่วางจำหน่ายปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ ได้แก่
- ผ้าจากเส้นใยธรรมชาติ (จากใยสัตว์และใยพืช) เช่น ผ้าฝ้าย ฝ้าไหม ผ้าปอป่าน และผ้าลินิน
- ผ้าจากใยสังเคราะห์ เช่น ไนลอน โพลีเอสเตอร์ PVC และอะคริลิค นอกจากนี้ยังมีผ้าที่เคลือบผิวด้วยซิลิโคน โฟมและปรอท เพิ่มความแข็งแรงคงทนและมีคุณสมบัติกันแสงแดดได้ดีอีกด้วย
เนื้อผ้าม่านที่ทำมาจากวัสดุที่หลากหลายนี้ คุณสมบัติก็แตกต่างกันด้วย ควรเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละห้อง เช่น ผ้าเนื้อบาง ทำมาจากผ้าฝ้ายหรือผ้าใยสังเคราะห์ Polyester อาจนำมาใช้เป็นม่านโปร่ง (Sheer) ช่วยให้แสงพอเข้ามาได้ ให้ความนุ่มนวล บรรยากาศสบายๆ มีความพริ้ว หรือถ้าเป็นผ้าหนา ทำมาจากใยสังเคราะห์ Polyester ชนิดหนา ถูกเคลือบด้วยสารโฟมหรือซิลิโคน ให้ความแข็งแรงและทิ้งตัวเป็นทรงสวย สามารถนำมาทำเป็นผ้าม่านกันแสง หรือ Blackout ได้ความเป็นส่วนตัวและตกแต่งบ้านได้อย่างสวยงาม โดยเนื้อผ้าม่านแต่ละแบบ จะมีหลายเกรด ซึ่งจะมีราคาขายที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน
4. อุปกรณ์ที่ใช้ติดตั้งผ้าม่าน
เมื่อวางแผนจะซื้อผ้าม่านสำเร็จรูปมาติดเองที่บ้าน ก็ควรเตรียมอุปกรณ์การติดตั้งให้พร้อม โดยอุปกรณ์ที่ต้องใช้ร่วมกับผ้าม่านสำเร็จรูป หลักๆประกอบไปด้วย
รางม่านและแขนจับรางผ้าม่าน : เป็นรางยาวๆติดเหนือช่องประตูหรือหน้าต่าง ไว้สำหรับแขวนผ้าม่าน ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ รางผ้าม่านระบบลูกล้อ เหมาะสำหรับช่องแสงที่ต้องเปิดปิดบ่อยๆ ใช้ลูกล้อเล็กเป็นตัวเลื่อนโดยจะติดกับส่วนของผ้าม่าน อาจปิดเปิดโดยใช้ด้ามจูงหรือจะไม่ใช้ก็ได้
และอีกแบบคือรางม่านแบบรางโชว์ เป็นรางที่ใช้กับผ้าม่านแบบหูกระเช้าหรือตาไก่ ส่วนบนของม่านจะมีลักษณะเป็นห่วงหรือรูไว้ใส่ตัวรางแขวน สามารถเลื่อนปิดเปิดได้ง่ายโดยไม่จำเป็นต้องใช้ด้ามจูงก็ได้ โดยรางแบบนี้จะมาพร้อมกับที่รองรางม่านสำหรับเป็นฐานไว้วางรางบริเวณหัวท้ายด้วยค่ะ
วัสดุรางม่านก็ทำมาจากไม้ พลาสติก อะลูมิเนียมและเหล็ก ปกติแล้วจะมีมาให้พร้อมกับตัวม่านที่ขายเลยค่ะ หากไม่ถูกใจสามารถซื้อแยกได้ ราคาเริ่มที่หลักร้อยต้นๆไปจนถึง 400-500 บาท มีดีไซน์หลากหลาย และบางรุ่นสามารถปรับระดับสั้นยาวได้ภายในตัว
ด้ามจูง : เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เลื่อนเปิดปิดผ้าม่าน ส่วนใหญ่มักจะใช้กับรางม่านระบบลูกล้อ เพราะสะดวกต่อการใช้งาน วัสดุทำมาจากไม้ พลาสติก อะลูมิเนียม และอะคริลิค ความยาวตั้งแต่ 60 เซนติเมตร ไปจนถึง 150 เซนติเมตร สำหรับบางคนอาจเห็นว่าการใช้ด้ามจูงม่านนั้นไม่จำเป็น สิ้นเปลืองงบประมาณ อีกทั้งยังรู้สึกเกะกะเวลาใช้งานด้วย ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ผู้ใช้แต่ละคน อาจมีสไตล์การใช้งานไม่เหมือนกัน ยังไงลองดูความต้องการของตัวเองเป็นหลัก ดีที่สุดค่ะ
อุปกรณ์ติดตั้ง : อุปกรณ์ติดตั้งผ้าม่านสำเร็จรูปที่บ้าน ควรเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้ด้วย ได้แก่ สว่านไฟฟ้าเจาะผนัง, พุกสำหรับผนังคอนกรีต, สกรู, ตลับเมตร, ดินสอ, บันไดช่าง เป็นต้น หากใครยังไม่ถนัดติดตั้งเอง สามารถจ้างช่างมาติดให้ได้นะคะ โดยจ่ายเพียงค่าแรงรายวันตกอยู่ประมาณวันละหลักร้อยบาทเท่านั้นเอง
5.รูปแบบผ้าม่าน
ขั้นตอนต่อมาคือของการเลือกผ้าม่านค่ะ ซึ่งถ้าเราไปเดินดูที่แผนกขายผ้าม่าน จะเจอม่านสำเร็จรูปวางขายอยู่อย่างมากมาย หลายๆคนอาจสงสัยว่าควรจะเลือกแบบไหนให้เหมาะกับบ้านดี ซึ่งจริงๆเราสามารถเลือกตามความชอบและการใช้งานที่ถนัดได้เลย แต่บางจุด บางตำแหน่งก็ควรใช้ผ้าม่านเจาะจงประเภทหน่อยเพื่อความเหมาะสม เช่น ประตูหน้าบ้านที่เป็นบานเลื่อน ผ้าม่านที่เหมาะก็น่าจะเป็นม่านจีบ ม่านตาไก่หรือม่านหูกระเช้า สามารถเลื่อนไปซ้ายขวาเพื่อเปิดปิดได้ง่าย รวบเก็บได้สะดวก หรือหากเป็นหน้าต่างบานเล็กๆที่อยู่ในห้องชั้นบน ก็อาจใช้แบบม่านพับหรือมู่ลี่แทนได้ ก็จะช่วยประหยัดงบประมาณ แถมติดตั้งไม่ยากด้วยค่ะ
เลือกผ้าม่านสำเร็จรูปอย่างไรให้เหมาะกับบ้าน
ต่อไปนี้จะเป็นประเภทของม่านสำเร็จรูปที่เราได้รวบรวมมาให้ผู้อ่านได้พิจารณากัน แต่ต้องบอกก่อนว่าราคาและขนาดที่เราได้สำรวจมานี้ เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น สามารถใช้เป็น Guideline ได้ หากต้องการสนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถไปเลือกดูสินค้าจริงได้ที่ร้านค้า หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์ของร้านค้าก็ได้ค่ะ
***หมายเหตุ : ราคาและขนาดเริ่มต้นมาจากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นในร้านค้าชั้นนำ อาจมีรุ่นหรือขนาดที่ราคาถูกหรือแพงกว่า สำหรับขนาดที่ใช้เป็นตัวอย่างในการสำรวจราคา อยู่ในช่วงความกว้าง 125-150 เซนติเมตร ความยาว 200-250 เซนติเมตร ส่วนภาพประกอบบางภาพเป็นตัวอย่างที่ใช้อธิบายลักษณะผ้าม่านแต่ละประเภท อาจไม่ได้เป็นผ้าม่านสำเร็จรูปเสมอไป
1. ม่านจีบ
เป็นม่านที่ตัดเย็บให้มีการจับจีบที่ส่วนบนของม่าน ประมาณ 3 จีบ โดยเว้นระยะการจับจีบเท่าๆกัน ทำให้ได้ได้ผ้าม่านที่ดูเรียบหรู ได้ลอนพับที่สวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย ม่านนี้ได้รับความนิยมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่ามีความคลาสสิกและร่วมสมัย
วิธีการติดตั้งม่านจีบ โดยปกติมักใช้คู่กับรางเลื่อน โดยใช้ตะขอเกี่ยวกับลูกล้อที่อยู่ในราง แล้วจึงเลื่อนเปิดปิดม่าน แต่หากไม่ติดกับรางเลื่อนยังสามารถใช้ได้กับห่วงคล้องไปกับรางม่านได้เลย เวลาติดและถอดออกก็จะง่ายขึ้น ทั้งนี้สามารถทำได้ทั้งกับม่านโปร่งและม่านทึบ ติดคู่กันได้ 2 ชั้นเลยค่ะ
เหมาะกับ : หน้าต่างและประตูทุกแบบ ทั้งขนาดกลาง-ใหญ่ เข้ากับบ้านได้ทุกสไตล์ ใช้ได้ในห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก โดยสามารถติดรางม่านแบบซ่อนบนฝ้าเพดานได้ด้วย เพื่อเพิ่มความเรียบหรูยิ่งขึ้น
ราคาเริ่มต้น : 800-1,000 บาท
2. ม่านลอน
ลักษณะคือจะมีการเย็บส่วนบนของม่าน 1 จีบหลัก ไม่มีจีบย่อยเหมือนม่านแบบแรก โดยเว้นระยะที่เท่าๆกัน มุมเย็บจึงสลับกันไปคล้ายกับตัว S ทำให้ได้ส่วนบนของม่านล็อคเป็นลอน เป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนชายม่านนั้นจะปล่อยลงมาเป็นคลื่น ดูสบายๆ ไม่น่าเบื่อ และไม่เป็นทางการจนเกินไป เป็นการผสมผสานรูปแบบม่านจีบและม่านตาไก่เข้าไปด้วยกัน เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่ชอบตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอล
วิธีการติดตั้งม่านลอน สามารถใช้ห่วงคล้องไปกับรางม่านได้เลย ติดได้ 2 ชั้น ทั้งม่านโปร่งและม่านทึบค่ะ หรือบางแบบจะติดเป็นลูกล้อกับรางเลื่อนก็ได้เช่นกัน
เหมาะกับ : หน้าต่างและประตูทุกแบบ ทั้งขนาดกลาง-ใหญ่ เข้ากับบ้านสไตล์มินิมอล ดูทันสมัย เรียบง่าย ใช้ได้ในห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก
ราคาเริ่มต้น : 800-1,000 บาท
3. ม่านตาไก่
เป็นม่านสำเร็จรูปที่มักเจอวางขายเป็นจำนวนมาก ลักษณะจะคล้ายม่านลอน แต่ส่วนบนของม่านจะถูกเจาะรูในระยะที่เท่าๆกันและติดทับด้วยห่วงตาไก่ ไม่จำเป็นต้องใช้ห่วงแยกเวลาคล้องกับรางม่าน แต่สามารถใช้ตัวม่านสอดไปกับรางม่านผ่านรูด้านบนได้เลย น้ำหนักเบา ได้ความพริ้วและยังคงรูปทรงเป็นลอนสวย ขณะเดียวกันม่านตาไก่จะโชว์ส่วนของรางม่านด้วย ดังนั้นเราสามารถเลือกรางม่านสวยๆ สีที่ชอบมาติดได้ค่ะ
เหมาะกับ : หน้าต่างและประตูทุกแบบ ทั้งขนาดเล็ก – กลาง-ใหญ่ มีหลายไซส์ให้เลือก สามารถใช้ตกแต่งบ้านที่ต้องการบรรยากาศเรียบง่าย สบายๆ ทันสมัย เหมาะกับการปรับเปลี่ยนได้สะดวก เช่น ถอดออกไปซัก หรือจะใส่ม่านลายใหม่เปลี่ยนบรรยากาศก็ทำได้ง่าย ราคาไม่แพง
ราคาเริ่มต้น : 400-500 บาท
4. ม่านหูกระเช้า
ลักษณะคล้ายม่านลอน โดยลอนที่ได้จะมาจากการเย็บหูม่านเป็นห่วงคล้อง โดยตัวห่วงจะเป็นชิ้นส่วนเดียวกันกับผ้าม่าน ได้ความเป็นธรรมชาติ กลมกลืนเป็นผืนเดียวกัน อาศัยความชำนาญในงานฝีมือพอสมควร ส่วนบนของตัวม่านจะไม่ได้ถูกเย็บล็อคเป็นลอน ดังนั้นเวลาเลือกผ้าต้องใช้ผ้าเนื้อแข็งหน่อย เพื่อให้ได้ทรงสวย เวลาทิ้งตัวลงมาจะเป็นลอนคลื่นสวยงาม หรือถ้าใครอยากได้แนวพริ้วไหว สไตล์ Homie หน่อย ก็สามารถใช้ผ้าเนื้อบางได้ ลอนจะคลายลง จะได้บรรยากาศสบายๆ น่ารักๆ ไม่เป็นทางการมากนัก
วิธีการติดตั้งม่านหูกระเช้า สามารถใช้หูม่านสอดเข้าไปกับรางม่านได้เลย ควรเลือกขนาดรางม่านที่เหมาะสมกับหูของม่านด้วย โดยไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป
เหมาะกับ : หน้าต่างและประตู ขนาดเล็ก-กลาง ให้ความเรียบง่าย สบายๆ ดูอบอุ่น โดยอาจติดในห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องทำงานได้ ใส่และถอดออกค่อนข้างง่าย แต่เวลาเลื่อนเปิดปิดอาจจะฝืดๆหน่อย เพราะส่วนของเนื้อผ้าสัมผัสกับรางม่านโดยตรง
ราคาเริ่มต้น : 400-500 บาท
5. ม่านม้วน
เป็นม่านสำเร็จรูปที่เราเห็นวางขายอยู่เยอะเหมือนกัน ด้วยดีไซน์ที่จัดเย็บมาพร้อมใช้งาน สามารถติดตั้งตัวม่านเข้ากับผนังได้เลย โดยด้านบนจะมีแผงเก็บม่านและมีสายสำหรับดึงม่านม้วนขึ้นหรือลงได้อย่างสะดวก ไม่ต้องใช้รางม่าน ให้ความทันสมัย ทำความสะอาดง่าย ไม่ค่อยเก็บฝุ่น ไม่จำเป็นต้องถอดซักก็ได้ มีทั้งรูปแบบทึบกันแสง และแบบโปร่งที่สามารถกรองแสงได้ระดับนึง
วิธีการติดตั้งม่านม้วน ให้ติดแผงม่านเหนือขอบบนของช่องแสง ทั้งนี้สามารถเลือกใช้ม่านม้วนที่ขนาดยาวกว่าช่องแสงก็ได้ เพราะสามารถปรับระดับม่านได้ตามความต้องการ โดยส่วนยาวที่เหลือจะถูกเก็บอยู่ในกล่องแผงม่านด้านบนอย่างเรียบร้อย ลักษณะของม่านจะยาวจะบนลงล่าง
เหมาะกับ : หน้าต่างขนาดเล็ก-กลาง หากเป็นหน้าต่างขนาดกว้าง สามารถใช้ม่านม้วน 2 ชิ้นติดไว้ข้างๆกันได้ เหมาะสำหรับห้องที่มีหน้าต่างขนาดเล็ก รวมถึงใช้ในคอนโดหรืออาคารสำนักงานได้ ให้ความทันสมัย โมเดิร์น ใช้งานสะดวกสบาย แต่บ่อยครั้งสายดึงม่านอาจะเสียง่าย ไม่สามารถดึงม่านขึ้นลงได้ เวลาเลือกควรซื้อรุ่นหรือแบรนด์ที่ดี มีการตัดเย็บที่มีคุณภาพ
ราคาเริ่มต้น : 500-600 บาท
6. ม่านพับ
ลักษณะการทำงานของม่านพับคล้ายกับม่านม้วนเลยค่ะ ความยาวจากบนลงล่าง ลักษณะของตัวม่านจะพับเป็น 2-3 ตอน ดึงสายขึ้นลงเพื่อปรับความยาวของม่านได้ โดยจะพับเป็นชั้นๆ ใช้งานค่อนข้างง่าย มีให้เลือกหลายแบบ ติดตั้งสะดวกเหมือนม่านม้วนเลยค่ะ ไม่ต้องใช้รางม่าน โดยจะมาเป็นแผงให้ติดเหนือขอบช่องแสง พร้อมใช้งาน ไม่ยุ่งยาก สามารถปัดเช็ดทำความสะอาดได้ วัสดุส่วนใหญ่ไม่กักเก็บฝุ่น กรองแสงได้
เหมาะกับ : บ้านหรือคอนโดที่มีช่องแสงขนาดเล็ก-กลาง ต้องการความทันสมัย เรียบง่าย ใช้งานสะดวก เหมาะกับคนรุ่นใหม่ ใช้กับหน้าต่างในห้องทำงาน ห้องแต่งตัว หรือห้องนอน ที่มีขนาดไม่กว้างมากนัก หรือถ้ากว้างหน่อยสามารถใช้ม่านพับ 2 ชิ้นติดคู่กันได้เช่นกันค่ะ ราคาไม่แพง หาซื้อง่าย ระวังเรื่องสายอาจชำรุดได้ง่าย
ราคาเริ่มต้น : 500-600 บาท
7. มูลี่
เป็นม่านอีกประเภทที่ได้รับความนิยม ให้ความทันสมัยและโมเดิร์น มีลักษณะที่แตกต่างจากม่านประเภทอื่นพอสมควร โดยตัวม่านจะมาเป็นซี่ๆ ร้อยเรียงกันเป็นแถบยาวจากบนลงล่าง วัสดุทำมาจากพลาสติกและไม้ ไม่กักเก็บฝุ่น ยิ่งมู่ลี่สมัยนี้มีดีไซน์ใหม่ๆที่น่าสนใจ เช่น ทำมาจากผ้าผืนเดียว แต่สามารถดึงสายปรับความยาวแล้วผ้านั้นจะหดพับเก็บด้านบนได้ เป็นต้น ใช้งานได้สะดวก ใช้กรองแสงและกั้นพรางสายตา ทำให้เกิดความเป็นส่วนตัว
วิธีติดตั้งคล้ายกับม่านม้วนและม่านพับ สามารถติดตั้งแผงมู่ลี่เหนือช่องแสง และดึงสายขึ้นลงใช้งานได้เลย แต่ระวังเรื่องสายชำรุด รวมถึงวัสดุที่เป็นซี่พลาสติกอาจบิดหรือหักได้ง่าย
เหมาะกับ : บ้านหรือคอนโดที่มีหน้าต่างขนาดเล็ก-กลาง เช่น หน้าต่างบางจุดในห้องนอน ห้องแต่งตัว ห้องทำงาน หรือกระทั่งให้ห้องครัวก็ได้ เนื่องจากวัสดุมีที่ทำมาจากพลาสติกและไม้ด้วย จึงทำความสะอาดง่าย ใช้งานสะดวก นอกจากนี้ยังให้ความทันสมัย เรียบง่าย เหมาะกับบ้านสไตล์โมเดิร์น และยังเหมาะกับติดตั้งในอาคารสำนักงานด้วยค่ะ
ราคาเริ่มต้น : 400-500 บาท
นอกจากม่านทั้ง 7 ประเภทที่กล่าวไปแล้ว ยังมีม่านโปร่งที่มักใช้คู่กับม่านทึบประเภทต่างๆข้างต้น ลักษณะการตัดเย็บม่านโปร่งนั้นมีหลากหลายแบบเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นแบบจีบ แบบลอน แบบพับ แบบม้วน เป็นต้น สามารถใช้กั้นเป็นม่านอีกชั้นที่สามารถควบคุมแสงสว่างภายในบ้านได้ ไม่ให้สว่างจ้าจนเกินไป ให้ความเป็นส่วนตัวและเพิ่มความสวยงามให้กับบ้านอีกด้วยค่ะ
หรือใครที่อยากประหยัดงบประมาณ ไม่อยากติดผ้าม่านที่ช่องแสงทุกจุดภายในบ้าน อาจใช้แผ่นฟิล์มฝ้าติดกระจกแทนได้นะคะ โดยเลือกติดบนช่องแสงที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน เช่น หน้าต่างตามมุมห้อง ทั้งนี้สามารถติดได้ทั้งช่องแสงเล็กและใหญ่ตามความต้องการเลยค่ะ แผ่นฟิล์มฝ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับใช้ติดกับกระจกบ้านโดยเฉพาะ เพียงแค่ใช้น้ำยาทา
จากนั้นนำแผ่นฟิล์มไปวางทับไปบนกระจกได้เลย แผ่นฟิล์มจะติดแน่น ช่วยกันแสงและช่วยให้เกิดความเป็นส่วนตัว หากต้องการแกะแผ่นฟิล์มออกก็สามารถลอกออกและเช็ดคราบบนกระจกได้เลย โดยไม่ทำให้เกิดรอย แถมราคายังถูกกว่าผ้าม่านอีกด้วย
เปรียบเทียบผ้าม่านสั่งตัด VS ผ้าม่านสำเร็จรูป ราคาเท่าไร?
เนื่องจากบ้านแต่ละหลังมีจำนวนประตูหน้าต่างที่ไม่เท่ากัน อีกทั้งสไตล์ความชอบ และงบประมาณของแต่ละคนก็ล้วนแตกต่างกัน แต่เพื่อให้เห็นข้อแตกต่างด้านราคาของผ้าม่านทั้ง 2 แบบ เราจึงขอยกกรณีตัวอย่าง ค่าใช้จ่ายผ้าม่านสั่งตัดและผ้าม่านสำเร็จรูป สำหรับตกแต่งบ้านเดี่ยว 1 หลัง โจทย์คือพื้นที่ใช้สอย 150 ตารางเมตร มีจำนวนช่องแสงประมาณ 14 จุด มาจำแนกรายการให้ดูเป็นตัวอย่างคร่าวๆค่ะ
จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่า ถ้าเราเลือกติดผ้าม่านทุกๆจุดในบ้าน ผ้าม่านสำเร็จรูปจะราคาถูกกว่าเท่าตัวเลยทีเดียว และยังสามารถเลือกผ้าม่านสไตล์อื่นๆได้ด้วย เช่น แบบพับ แบบม้วน และมู่ลี่ เนื่องจากผ้าม่านสำเร็จรูปที่วางขายในร้านค้าเฟอร์นิเจอร์นั้นมีให้เลือกค่อนข้างหลากหลายกว่า ราคาถูกหลักร้อยไปจนถึงหลักพันบาทก็มี สำหรับเรื่องของขนาด อาจหาผ้าม่านสำเร็จรูปในรุ่นที่มีขนาดพอดีกับช่องแสง 100% ไม่ได้ทั้งหมด ส่วนเรื่องความสวยงาม และความประณีต ผ้าม่านสำเร็จบางรุ่นก็อาจจะสู้ผ้าม่านแบบสั่งตัดไม่ได้ ในจุดนี้ผู้ซื้อต้องลองชั่งน้ำหนักให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อ หรืออาจเลือกสั่งตัดผ้าม่านเฉพาะบางจุด ร่วมกับซื้อสำเร็จรูปใช้ด้วยก็ได้ตามความเหมาะสมค่ะ
ผ้าม่านสำเร็จรูปแต่ละแบบล้วนมีข้อดีและข้อจำกัด ผู้ที่สนใจอยากติดม่านสำเร็จรูปควรศึกษาให้รอบด้านและควรเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน สิ่งที่ควรคำนึงถึงก็เช่น การวัดขนาดประตูหน้าต่างให้ถูกต้องแม่นยำ เพราะบางร้านซื้อผิดไซส์มาอาจเปลี่ยนคืนไม่ได้ รวมถึงการเลือกซื้อผ้าม่านสำเร็จรูปที่มีคุณภาพดี อย่าเห็นแก่ราคาถูกอย่างเดียว ควรดูที่เนื้อผ้าและรูปแบบการตัดเย็บด้วยว่ามีคุณภาพหรือไม่ จะได้ใช้งานได้นานหลายปี ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ
นอกจากผ้าม่านจะถือเป็นของตกแต่งห้องที่สำคัญแล้วยังช่วยกันแสงแดด กันความร้อนให้บ้านเราด้วย แต่จะเลือกผ้าม่านกันร้อนยังไงนั้นสามารถรับชมวิดีโอ Living Idea เพิ่มเติมได้ที่ 3 ขั้นตอน…เปลี่ยนบ้านร้อนให้น่าอยู่
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังวางแผนตกแต่งบ้านนะคะ ใครมีความคิดเห็นหรือไอเดียเพิ่มเติม สามารถแชร์ความคิดเห็น แบ่งปันกันได้เลยค่ะ 🙂
อ่านข้อมูลดีๆเพิ่มเติมได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving
ThinkofLiving มี LINE Official Account แล้วนะคะ
ไม่อยากพลาดข้อมูลข่าวสารก็ Add เลย > https://lin.ee/svACOxc