รีวิวฉบับที่ 1807 … สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะพาไปชมตึกเสร็จกับโครงการ The Tree สุขุมวิท 71-เอกมัย จาก พกฤษา เป็นโครงการ High Rise 33 ชั้น บนถนนสุขุมวิท 71 ใกล้แยกคลองตัน ภายใต้คอนเซ็ป “ธรรมชาติจรดฟ้า” โดยการยก Facilities ขึ้นไปที่ชั้นดาดฟ้า มีจุดเด่นคือ Observation Deck เป็นระเบียงกระจกบนดาดฟ้า ที่มองเห็นพื้นชั้น 1 ทำให้เห็นวิวในมุมมองใหม่ นอกจากนี้ยังมี Facilities อื่นๆ ที่ครบครันทีเดียว ในราคาเริ่มต้น 2.20 ล้านบาท

Fact @ 12 February 2019

  • The Tree Sukhumvit 71 – Ekamai (เดอะทรี สุขุมวิท 71 – เอกมัย)
  • บริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)
  • UPPER CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ในเขต : เขตสวนหลวง
  • คอนโด High Rise 33 ชั้น 1 อาคาร 883 ยูนิต และร้านค้า 1 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 34 ยูนิต
  • ที่จอดรถประมาณ 37%
  • ที่ดินประมาณ 3-2-52 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง : พฤกษาคม 2560
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ : เมษายน 2562
  • 1 Bedroom 24.10-35.35 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.80 ล้านบาท
  • 2 Bedrooms 49.15 – 56.45 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 5.94 ล้านบาท
  • Loft สูง 5 เมตร
  • ฝ้าเพดานสูง 2.7 เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้น 2.2 ล้านบาท
  • ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ AVERAGE ประมาณ 97,000 บาท/ตร.ม.
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่ 
  • Call Center : 1739

เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วค่ะ

สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างค่ะ


เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

พิกัด : 13.740640, 100.600157

แผนที่จากทางโครงการ The Tree สุขุมวิท 71-เอกมัย ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 71 ฝั่งขาออกมุ่งหน้าไปทางรามคำแหง ใกล้กับแยกคลองตัน และมีระยะห่างจาก Airport Rail Link รามคำแหงไปเพียง 350 ม.

สำหรับทำเลโครงการ The Tree สุขุมวิท 71-เอกมัย หากมองในแง่ของคนที่ทำงานในเมือง หรือเดินทางเข้าเมืองบ่อยๆ แต่มีงบประมาณไม่มากนัก และสู้ราคาโครงการใกล้เมือง บริเวณถนนเพชรบุรี เรื่อยมาจนถึงเอกมัย-ทองหล่อไม่ไหว ที่ราคาปัจจุบันก็ดีดขึ้นหลักแสนกันเป็นส่วนใหญ่ไปแล้ว โครงการนี้มาตอบโจทย์ในเรื่องราคาที่พอหยิบจับได้ แต่จะแลกกับระยะที่ไกลออกมาหน่อย แต่ก็ถือว่าเดินทางไม่ลำบาก เนื่องจากโครงการอยู่ติดถนนสุขุมวิท 71 หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “ถนนปรีดีพนมยงค์” ใกล้แยกคลองตันที่ตัดกับอีก 3 ถนนใหญ่ด้วยกัน คือ

  • ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ – ที่เดินทางไปเอกมัย-ทองหล่อได้ง่าย โดยห่างจากตัวโครงการประมาณ 1.2 กิโลเมตร ถ้ารถไม่ติดสามารถเดินทางถึงภายใน 5 นาทีเท่านั้น แต่ถ้ารถติดก็ต้องบวกเวลาเพิ่มกันหน่อยนะคะ
  • ถนนพัฒนาการ – ที่ไปขึ้นทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ได้ ความพิเศษคือจะมีทางขึ้น 2 ฝั่งทำให้มีตัวเลือกในการเดินทางมากขึ้น นอกจากนี้ยังเชื่อมไปออกถนนศรีนครินทร์ ที่มีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆอย่าง ซีคอน ศรีนครินทร์, ตลาดนัดรถไฟ และพาราไดซ์ พาร์ค ซึ่งเป็นห้างใหญ่ของคนในย่านนี้ มีความคึกคักมาก
  • ถนนรามคำแหง – บนเส้นรามคำแหงนั้นมีแหล่งความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างมาก ทั้งห้างสรรพสินค้า ตลาด สนามราชมังคลากีฬาสถาน มหาวิทยาลัยและโรงเรียน เป็นอีกตัวเลือกสำหรับใครที่ไม่อยากวิ่งเข้าเมือง หรืออยากช็อปปิ้ง กินข้าวในเรทราคาที่ย่อมเยาลงมาหน่อย

เรื่องของกินในย่านนี้ไม่ต้องห่วง ไม่มีอดแน่นอนใกล้ทั้งระยะเดินและขับรถเลยนะคะ โดยฝั่งตรงข้ามโครงการจะมี Tops Daily ที่เป็น Hyper Market ใกล้กับโครงการมากที่สุด รวมถึงยังมีตลาดขายของตั้งแต่เช้ายันเย็น นอกจากนี้โดยรอบจะเป็นตึกแถวที่ชั้นล่างทำเป็นร้านค้าพาณิชย์ มีทั้งร้านอาหาร ผลไม้ ยา และอื่นๆอีกมากมาย หรือถ้าใครอยากกินอาหารร้านดังที่เปิดกันมานาน ก็สามารถเดินไปฝั่งพัฒนาการ มีทั้งร้านห่านพะโล้และข้าวมันไก่ (ฉั่วคิมเฮง), ร้านเย็นตาโฟแหลมผ่าฟ้า, ร้านเฮงหูฉลาม เป็นต้น จัดเป็นร้านชื่อดังในละแวกนี้ทีเดียว หรือใครที่ต้องข้ามแยกคลองตันไปฝั่งรามคำแหงบ่อยๆ เพื่อจะไปขึ้น Airport Link รามคำแหงก็มีตลาดนัดและ A Link ที่มีร้านอาหารในเต้นท์ และร้านแฟรนไชส์ต่างๆ รองรับพนักงานตึก UM Tower นี้ ซึ่งแถบฝั่งรามคำแหงช่วงต้นๆ จะคึกคักพอสมควรในช่วงกลางวันนะ ส่วนตัวกลางคืนก็ค่อนข้างเงียบอยู่เหมือนกันค่ะ

หรือถ้าใครต้องการขับรถไปแนะนำให้ขับไปเอกมัย-ทองหล่อ ภายในมีความคึกคักมากทีเดียว ทั้งร้านค้า ร้านอาหาร คอมมูนิตี้มอลล์ และร้านนั่งชิลล์ ซึ่งจะผลัดกันเปิดตลอดทั้งวัน หรือถ้าใครไปแถวถนนรามคำแหงก็มีห้างต่างๆมากมาย ทำให้มีตัวเลือกในการใช้บริการมากยิ่งขึ้นนะคะ

การเดินทางโดยรถยนต์ ติดถนนใหญ่สุขุมวิท 71ใกล้แยกคลองตัน ที่จัดกับถนนใหญ่ 3 เส้น ที่ห่างจากแยกเอกมัยเหนือ ประมาณ 1.2 กม. ทำให้การเดินทางด้วยรถยนต์นั้นมีความสะดวก แต่ไม่นับรวมกับเรื่องรถติดนะ เพราะตรงนี้เป็นอีกจุดที่ติดมากทีเดียว รวมทั้งเส้นเพชรบุรีก็ด้วยเช่นกัน ควรเผื่อเวลาในการเดินทางเข้าเมืองพอสมควรเลยค่ะ

ส่วนใครที่เน้นเดินทางอิงไปทางถนนสุขุมวิทนั้นจะค่อนข้างเสียเวลาอยู่ซักหน่อย เพราะฝั่งที่ตั้งโครงการอยู่ฝั่งขาออก ดังนั้นจึงต้องไปกลับรถบนถนนพัฒนาการช่วงก่อนถึงจุดขึ้น-ลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ก่อนจะเลี้ยวเข้าสุขุมวิท 71 อีกทีนะคะ

นอกจากนี้ใครที่อาศัยการเดินทางด้วยทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์เรียกว่าสะดวกมาก เพราะมีจุดขึ้น-ลงอยู่ไม่ไกลจากโครงการ อย่างขาลงก็สามารถลงและตรงเข้าสุขุมวิท 71 ไปกลับรถใต้สะพาน ส่วนขาขึ้นนี่ง่ายเลยแค่เลี้ยวขวาเข้าถนนพัฒนาการแล้วตรงไปอีกหน่อยก็มีจุดขึ้นทางด่วนแล้วค่ะ

การเดินทางโดยไม่ใช้รถยนต์ ที่ตั้งโครงการอยู่บนถนนสุขุมวิท 71 ใกล้แยกคลองตัน ที่จะใช้ถนนเพชรบุรีตัดใหม่เดินทางเป็นหลัก โดยใกล้กับโครงการจะมี Airport Linkรามคำแหง ที่ห่างจากโครงการ 350 เมตร ซึ่งจะเชื่อมไป BTSพญาไท หรือถ้าใครต้องการนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ก็สามารถลง ARLมักกะสัน ที่เชื่อมต่อ MRTเพชรบุรีได้ นอกจากนี้ยังเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิได้สะดวก แต่ถ้าใครอยากนั่ง BTS ไปทางบางนา ขอแนะให้นั่งรถกะป้อหรือรถมอเตอร์ไซค์ไปบริเวณหน้าปากซอย ซึ่งด้านหน้าจะมี BTSพระโขนงที่ใกล้ที่สุด รวมถึงตัวโครงการยังติดกับถนนสุขุมวิท 71 ทำให้มีสองแถว วินมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ ครบครัน ไม่ต้องห่วงเรื่องการเดินทางเลยค่ะ

วันนี้เราลองทำแผนที่การเดินทางด้วยเท้า ที่ไป Airport Linkรามคำแหง และท่าเรือคลองตัน มาให้ดูกันนะคะ

โครงการใกล้กับ Airport Link รามคำแหง รถไฟฟ้าที่ใกล้กับโครงการมากที่สุด โดยอยู่ห่างจากหน้าโครงการไปประมาณ 350 ม. ถือว่าระยะไม่ไกลสำหรับการเดิน แต่ด้วยความที่ต้องข้ามแยกคลองตันก็จะเดินลำบากหน่อย เมื่อเทียบกับโครงการใกล้เคียงที่ไม่ต้องข้ามแยกหรือข้ามถนนใหญ่นะคะ

อีกตัวเลือกนึงสำหรับใครที่ทำงานในเมืองและไม่อยากทนรถติดบนท้องถนน เราจะมีทางเลือกให้นั่งเรือด่วนคลองแสนแสบไปทำงานได้ โดยท่าเรือที่ใกล้กับโครงการมากที่สุด คือท่าเรือสะพานคลองตัน มีระยะห่างประมาณ 400 ม. อาจจะเดินลำบากสักนิดเพราะว่าต้องข้ามถนนหลายต่อ ถ้าใครขี้เกียจก็โบกพี่วินไปได้ค่ะ

แผนที่สำหรับเดินทางจากโครงการไปขึ้นทางด่วนพิเศษรามอินทรา-อาจณรงค์ (ทางด่วนฉลองรัช) เส้นนี้จะเดินมาทางเดียวกัน แต่จะแยกทางขึ้นซ้าย-ขวา ถ้าเลี้ยวซ้ายจะมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปแยกลาดพร้าว แยกเกษตรนวมินทร์ หรือไปรามอินทราได้ และถ้าเลี้ยวขวาจะมุ่งหน้าขาออกไปทางบางนาได้

  • เส้นทางที่ 1 – ไปขึ้นทางด่วน ด่านเก็บเงินพัฒนาการ 1 โดยเริ่มจากหน้าโครงการ เลี้ยวขวาบริเวณแยกคลองตัน ขับตรงไปเรื่อย ประมาณ 500 เมตร ให้ลอดใต้สะพานไปแล้วเลี้ยวขวาเข้าด่านเก็บเงินได้เลยค่ะ
  • เส้นทางที่ 2 – ไปขึ้นทางด่วน ด่านเก็บเงินพัฒนาการ 2 จะอยู่ตรงข้ามกับจุดขึ้นทางด่วนเส้นแรก ซึ่งทางขึ้นด่านนี้จะต้องเลี้ยวซ้ายก่อนลอดใต้สะพานนะคะ มีระยะทางประมาณ 450 เมตรค่ะ

แผนที่สำหรับเดินทางจากโครงการไปขึ้นทางด่วนพิเศษศรีรัช ที่มุ่งหน้าเข้าเมือง ไปทางดินแดน พระราม 4 ซึ่งด่านรามคำแหง จะเสียค่าทางด่วน 2 ต่อค่ะ

  • เส้นทาง – ไปขึ้นทางด่วน ด่านรามคำแหง เริ่มจากโครงการ ผ่านแยกคลองตันเข้าถนนรามคำแหง ขับตรงไปจนถึงแยกรามคำแหง ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพระราม9 ขับตรงไปเรื่อยๆ เราจะเห็นทางขึ้นด่านอยู่ฝั่งซ้ายมือนะคะ มีระยะทางประมาณ 2 กม.

สำหรับเส้นทางที่จะพาไปวันนี้ เราจะเริ่มจากถนนเพชรบุรีผ่านแยกทองหล่อเหนือ เอกมัยเหนือ จนมาถึงสะพานคลองตัน โดยจะมีทั้งฝั่งซ้ายและขวา ถ้าไปทางขวาจะข้ามแยกคลองตันไป แต่สำหรับทางไปโครงการให้ชิดฝั่งซ้าย เพื่อข้ามไปลงบริเวณแยกคลองตัน พอลงสะพานมาให้เราชิดขวา เตรียมตัวเลี้ยวขวาบริเวณแยกคลองตันเพื่อเข้าถนนสุขุมวิท 71 หลังจากนั้นให้ขับตรงไปแต่พยายามชิดซ้ายไว้เพื่อไปกลับรถใต้สะพานเพื่อข้ามไปฝั่งโครงการ ขับไปสักพักเราจะเห็นโครงการอยู่ฝั่งซ้ายมือค่ะ

หลังจากกลับรถมา เราจะผ่านแยกทองหล่อเหนืออีกรอบนะคะ  ข้อดีของแยกนี้คือเลนซ้ายสุด จะผ่านตลอดค่ะ

ผ่านแยกทองหล่อเหนือมาเจอแยกเอกมัยเหนือ ถ้าเลี้ยวซ้ายจะสามารถเข้าเอกมัยได้ ที่เลนซ้ายของแยกนี้ก็ผ่านตลอดเช่นเดียวกันค่ะ

ขับตามทางมาเรื่อยๆ ฝั่งซ้ายมือมีโรงพยาบาลเพชรเวช ที่ติดกับปั๊ม Shell ซึ่งถ้าใครน้ำมันจะหมด สามารถเติมได้จากบริเวณนี้เลยค่ะ

ขับตรงมาอีกนิดเราจะเจอสะพานข้าม 2 ฝั่งซ้ายขวา ซึ่งถ้าจะไปโครงการต้องใช้ฝั่งซ้ายที่ข้ามไปแยกคลองตัน ส่วนฝั่งขวาจะข้ามแยกไปลงบริเวณถนนพัฒนาการ หรือถ้าใครอยากจะไปถนนพระราม 9 สามารถเลี้ยวซ้ายเข้าซอยเพชรพระรามไปทะลุออกได้เลยค่ะ

ข้ามสะพานมาให้เราชิดขวา เนื่องจากบริเวณแยกคลองตันเราจะเลี้ยวขวาเข้าถนนสุขุมวิท 71 กันค่ะ

เข้าถนนสุขุมวิท 71 เราจะเห็นโครงการอยู่ฝั่งตรงข้ามเลย ให้เตรียมชิดซ้ายเพื่อจะกลับรถใต้สะพานค่ะ

พอมาถึงบริเวณสะพาน เลนซ้ายสุดจะสามารถกลับรถใต้สะพานได้ค่ะ

หลังลอดใต้สะพานมา เราจะอยู่ฝั่งเดียวกับทางโครงการแล้วนะคะ

ขับตรงมาเรื่อยๆ บริเวณใกล้แยกคลองตัน จะมีทางเข้าโครงการอยู่ฝั่งซ้ายมือ สามารถเลี้ยวซ้ายเข้าโครงการได้เลยค่ะ

สำหรับวันนี้เราจะพาเดินเท้าไปยังบริเวณรอบๆโครงการด้วย เพื่อให้เห็นบรรยากาศโดยรอบของโครงการว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

ด้านหน้าโครงการจะเป็นถนนสุขุมวิท 71 ที่เป็นถนน 6 เลน ส่วนฝั่งตรงข้ามจะเห็นเป็นตึกแถวเรียงกันที่ชั้นล่างทำเป็นร้านค้าพาณิชย์นะคะ

เราจะเลี้ยวขวา ผ่านหน้าโครงการไป โดยในอนาคตจะมี 7-11 มาเปิดด้านหน้าโครงการทำให้หาของกินได้ง่ายเลยทีเดียว นอกจากนี้บริเวณด้านหน้ายังมีที่จอดรถให้สำหรับแวะซื้อของก่อนเข้าบ้านได้อีก สำหรับทางเดินเท้าจะมีขนาดค่อนข้างกว้าง สามารถเดินได้สบายเลยค่ะ

เดินถัดมาด้านข้างฝั่งเดียวกับโครงการ จะมีร้านค้า ร้านอาหาร พอสมควรสามารถเดินมาใช้บริการได้ค่ะ

ตรงไปอีกนิดจะมีทางม้าลายข้ามไปฝั่ง Tops Daily ซึ่งถนนเส้นนี้จะมีปริมาณรถมากตลอดทั้งวัน และมีมอเตอร์ไซค์เยอะ เวลาข้ามอาจจะต้องระวังสักเล็กน้อยนะคะ

ภายใน Tops Daily ที่เปิดให้บริการ 24 ชม. มีตลาดอยู่ภายในโครงการ ซึ่งช่วงเช้าจะเป็นตลาดเล็กๆที่ขายอาหารบริเวณด้านหน้า หรือถ้าใครมาตอนเย็นข้างในจะมีร้านค้า ร้านอาหารมากมาย รวมถึงมีที่จอดรถให้ด้วย ถือว่าใช้งานได้สะดวกทีเดียว

ส่วนบริเวณหน้า Tops Daily จะมีป้ายรถเมล์และมีรถกะป้อให้บริการด้วยนะคะ

บรรยากาศริมถนนฝั่งเดียวกับ Tops Daily นั้นจะค่อนข้างคึกคักพอสมควรทั้งช่วงกลางวันไปถึงเย็น มีร้านค้า ร้านทอง ร้านรถเข็นต่างๆ ตลอดทางเดิน ซึ่งยาวตั้งแต่ช่วง Tops ไปถึงแยกคลองตันเลยนะคะ

มาดูบรรยากาศบริเวณแยกคลองตันกัน เราจะเห็นสะพานที่ข้ามจากถนนพัฒนาการไปลงบริเวณถนนเพชรบุรีตัดใหม่ โดยไม่ต้องผ่านแยกคลองตันที่มีปริมาณรถค่อนข้างเยอะตลอดทั้งวันนะคะ

เดินกลับมาฝั่งตรงข้ามบริเวณ ที่ติดกับซอยจะเป็นถนนส่วนบุคคลค่ะ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะคะ

บรรยากาศโดยรอบโครงการติดกับอาคารพาณิชย์เป็นส่วนใหญ่ และอยู่ในบริเวณชุมชนเก่าแก่ ซึ่งจะมีความคึกคักในช่วงกลางวันและเย็น รวมทั้งมีความเงียบสงบในตอนกลางคืน ไม่มีเสียงดังรบกวน ด้านหลังโครงการฝั่งทิศตะวันตกนั้นติดกับคลองตัน ซึ่งเป็นคลองใหญ่ที่เชื่อมกับคลองแสนแสบและคลองพระโขนงนะคะ สภาพน้ำคลองตันนี้ไม่ได้เน่าเสียหรือส่งกลิ่นเหม็นและอีกอย่างคือมี Buffer เป็นพื้นที่สวนเว้นระยะห่างจากตัวอาคารไประยะนึงด้วย ดังนั้นลูกบ้านที่สนใจทิศใต้ฝั่งด้านหลัง หรือห้องมุมฝั่งทิศตะวันตกนั้นก็หมดปัญหาเรื่องของกลิ่นไปค่ะ

ทิศตะวันออก –หันหน้าออกไปถนนสุขุมวิท 71 ใกล้แยกคลองตัน ที่ยังไม่มีตึกสูงในระยะประชิด แต่จะเห็นโครงการอยู่ไกลๆ ที่เป็นตึกสูง แต่จะไม่มีผลกับวิวของโครงการ ถัดไปจะเจอทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ (ทางด่วนฉลองรัช) ที่เป็นจุดขึ้น-ลงทางด่วน ที่ใกล้กับโครงการมากที่สุด หรือถ้ามองในมุมกดเราจะเห็นที่จอดรถขนาดใหญ่ ของตลาดและ Tops Daily ทำให้ใช้งานได้สะดวกค่ะ

ทิศใต้ – หันหน้าออกไปถนนสุขุมวิท 71 (ฝั่งสุขุมวิท) ส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบแทบจะไม่มีตึกสูงในวิวฝั่งนี้เลย ทำให้ทุกห้องฝั่งนี้จะได้วิวเปิดโล่ง ถ้ามองออกไปไกลๆจะเห็นเป็น City View นะคะ

ทิศตะวันตก – หันหน้าออกไปทางถนนเพชรบุรีตัดใหม่ที่จะวิวไปย่านเอกมัย ทิศนี้ยังไม่มีตึกสูงในระยะประชิดเช่นเดียวกัน แต่ด้านล่างจะมีแมนชั่นสูง 8 ชั้น นอกจากนี้ยังได้เห็นวิวคลองตันที่สวยงามอีกด้วย

ทิศเหนือ – หันหน้าออกไปทาง Airport Link รามคำแหง ฝั่งนี้จะมีตึก UM Tower บังวิวอยู่บางแต่ก็ไม่มากนัก มีระยะห่างพอสมควรเลยทีเดียว นอกนั้นก็จะเป็นที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ ทำให้ได้วิวเปิดโล่งเช่นเดียวกัน สรุปคือทุกทิศของทางโครงการยังไม่มีตึกสูงในระยะประชิดเลยค่ะ

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • A-Link รามคำแหง ~350 ม.
  • รพ.เพชรเวท ~750 ม.
  • เดอะมอลล์ รามคำแหง ~1.7 กม.
  • Food Land รามคำแหง ~2.1 กม.
  • Big C หัวหมาก ~2.9 กม.
  • The Nine พระราม 9 ~3.3 กม.
  • Naiipa Art Complex ~3.7 กม.
  • ม.เกษมบัณฑิต ~3.8 กม.
  • สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ~3.9 กม.
  • W District ~4.3 กม.
  • รพ.พระราม 9 ~4.8 กม


เจาะลึกตัวโครงการ

โครงการ The Tree สุขุมวิท 71 – เอกมัย คอนโด High Rise สูง 33 ชั้น บนเนื้อที่ดิน 3 ไร่กว่า ด้วยจำนวนยูนิตทั้งหมด 883 ยูนิตและร้านค้าด้านหน้าโครงการอีก 3 ยูนิต แต่ปัจจุบันจะทาง 7-11 ได้รวบเหลือ 1 ยูนิตใหญ่ค่ะ ชั้นที่ 1 จะมี Lobby และ Recreation Room พร้อมพื้นที่สวนหย่อมด้านหลังให้เดินเล่น ในชั้น 2-6 จะเป็นชั้นที่จอดรถทั้งหมด และเริ่มชั้นพักอาศัยตั้งแต่ชั้น 7 โดยชั้นนี้จะเพิ่ม Co-working Space มาให้ ถัดมาที่ 8 – 31 จะเป็นห้องพักอาศัยเต็มชั้น ส่วนชั้นที่ 32 นี้เป็นชั้นพิเศษที่มีห้อง Loft ฝ้าเพดานสูง 5 เมตร ที่มีเพียง 9 ยูนิตพิเศษเท่านั้นค่ะ ในส่วนของ Facilities โครงการนี้จะถูกยกชั้นขึ้นไปบนดาดฟ้าทั้งหมด ถือเป็นจุดเด่นและตัวชูโรงของโครงการที่ให้ Facilities มาจัดเต็มค่ะ

โครงการนี้ก็ได้รับการออกแบบจากบริษัทสถาปนิกไทยชื่อดังอย่าง Plamer & Turner ที่ออกแบบอาคารตึกสูงต่างๆ มาแล้วในหลายประเทศ สำหรับโครงการนี้นั้นมี Inspiration มาจาก ป่าสน หรือที่เราเรียกกันว่า Pine Forest ตามแนวความคิดหลักของแบรนด์ The Tree ที่เน้นเรื่องธรรมชาติโดยออกแบบให้กลมกลืนกับทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่ชั้นที่ 1 จนถึงดาดฟ้า ซึ่งจะมี Gimmick (ลูกเล่น) ที่ใช้เส้นสายสีน้ำตาลออกทองทั่วโครงการ ทำให้ตัวโครงการมีจุดเด่นและน่าสนใจมากยิ่งขึ้นด้วยค่ะ

ในส่วน Master Plan โครงการ แบ่งออกเป็น 3 โซน คือส่วนร้านค้าด้านหน้า ตัวอาคาร และพื้นที่สวนด้านหลัง ตามลำดับ โดยจากจุด Drop Off ของโครงการนั้นเค้าออกแบบเป็นโถงทางเดินยาวก่อนจะเข้าสู่ Main lobby ภายใน หรือเรียกว่า Pine Tunnel Lobby ที่เป็นทางเดินธรรมชาติแบบ Open Air พร้อม Water Feature และฉากกั้น Pattern เดียวกันกับ Facade อาคาร โดยจะบังวางเป็นแนวเฉียงบังสายตาจากด้านนอกอาคารแต่ยังได้แสงสว่างและเป็นช่องลมระบายอากาศส่วนภายในโถงทางเดินได้ เข้าส่วน Main Lobby นี้จะเชื่อมต่อกับโถงลิฟต์เลยไปถึงห้อง Recreation Room ที่จัดให้เป็นพื้นที่นั่งเล่นสำหรับลูกบ้านแยกส่วนกับ Main Lobby ที่ไว้สำหรับต้อนรับแขกมาติดต่อด้วย ส่วนด้านหลังโครงการให้พื้นที่สวน On Ground Background ไว้ให้เดินเล่นในพื้นที่สีเขียวชิลๆ รวมถึงมีบ้าน Tree House Garden ให้เด็กๆมานั่งเล่นกันอีกด้วยนะคะ

กลับมาที่ทางเข้าโครงการ ด้านหน้าจะเป็น Shop ของโครงการ ที่ 7-11 กำลังจะมาเปิดในอนาคต โดยออกแบบ Shop ให้ใกล้เคียงกับการออกแบบตัวอาคารเลย ด้านบนของร้านค้า จัดเป็นพื้นที่นั่งเล่นแบบ Outdoor ให้ด้วยก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ เราจะขอแวะขึ้นไปข้างบนเล็กน้อยค่ะ

ด้านหลัง Shop จะมีบันไดทางขึ้นไปชั้น 2 ที่จะมีพื้นที่นั่งเล่น Outdoor ด้านบน โดยด้านบนตกแต่งคล้ายป่าสนตามคอนเซ็ปต์ของโครงการเลย คาดว่าในอนาคตจะมีเก้าอี้ให้นั่งเล่นชมวิวในมุมสูงกันดูบ้างนะคะ

ทางเข้าโครงการ ฝั่งซ้ายมือจะมีรปภ.นั่งเฝ้า 1 จุดที่ดูแลตลอด 24 ชม. ระบบการเดินรถที่นี่จะเป็นแบบไม้กั้น โดยใช้ Key Card แบบระยะไกล ทางเข้า-ออกจะเดินรถแบบเลนเดียว ซึ่งถ้ามีรถมากๆอาจจะทำให้รถติดออกมานอกโครงการได้

สำหรับผู้มาติดต่อ ขาเข้าจะต้องกดปุ่มเขียวเพื่อรับบัตร ส่วนขาออกก็มีที่สอดบัตรคืนค่ะ หรือในกรณีฉุกเฉินก็กดปุ่มสีแดง เพื่อคุยกับเจ้าหน้าที่ได้ ซึ่งบริเวณนี้จะไม่มีหลังคาบังกรณีฝนตกอาจจะเปียกได้ค่ะ

สำหรับลูกบ้าน จะมี Key Card Access แบบระยะไกลมาให้ ทำให้ไม่ต้องเปิดกระจกมาทาบบัตร นอกจากนี้ยังมี CCTV ดูแลความปลอดภัย 24 ชม. ด้วยค่ะ

หลังจากผ่านไม้กั้นเข้ามา จะเป็นทางบังคับเลี้ยวซ้ายค่ะ

สำหรับลูกบ้านที่ต้องการขึ้นชั้นจอดรถ ให้ขับตรงไปจะมีทางขึ้นอยู่ด้านหลังอาคาร ส่วนถ้าใครมาส่งคนสามารถเลี้ยวขวาเข้าพื้นที่ Drop Off ได้เลย

ด้านข้างอาคารบริเวณ โถงทางเดินระหว่างทางไป Main Lobby จะเป็นที่จอดรถของ Visitor นะคะ

ตรงมาอีกนิดจะมีทางเข้า Main Lobby ที่สามารถเข้าจากทางด้านข้างอาคาร โดยไม่ต้องผ่านโถงทางเดิน ซึ่ง Main Lobby จะต้องใช้ Key Card ในการเข้า-ออกนะคะ

ส่วนด้านข้างอาคารมีทางเดินเท้าที่มีต้นไม้ปลูกตามทาง ทำให้ร่มรื่นและสัมผัสถึงกลิ่นอายของพื้นที่สีเขียวอย่างเต็มที่

สำหรับชั้นที่ 2-6 จะเป็นชั้นจอดรถ ก็มีการตกแต่ง Facade ที่เจาะเป็นช่องๆคล้ายหน้าต่างของบ้านที่เล่น pattern ไปมาเพื่อเพิ่มความสวยงามโดยใช้โทนสีเดียวกับตัวอาคารทำให้กลมกลืนกัน นอกจากนี้ยังรับแสงและลมจากภายนอกได้อยู่ ช่วยทำให้อาคารดูเรียบร้อยมากยิ่งขึ้นค่ะ

มาที่ด้านหลังอาคารมีสวนหย่อม On Ground Backyard ที่มีขนาดกว้างถึง 1 ไร่ ซึ่งลูกบ้านสามารถใช้บริการพร้อมๆกันหลายคนได้ เป็นพื้นที่พักผ่อนที่ให้เด็กมาวิ่งเล่น และผู้ใหญ่ที่มาเดินเล่นชมสวนกันชิลๆได้

บริเวณสนามหญ้าจะทำเป็นเนินเล็กๆให้เด็กๆมาปีนเล่นกัน นอกจากนี้ยังมีโซฟาขนาดใหญ่ ที่สามารถมานอนดูดาวในเวลากลางคืนได้อีก ถัดเข้าไปจะมี Tree House Garden ให้เด็กขึ้นมานั่งเล่นชมวิวกันในมุมสูง หรือเป็นที่นั่งทำกิจกรรมก็ได้ บรรยากาศโดยรอบถือว่าสงบ เงียบ น่าใช้งานมากทีเดียว

มาที่บริเวณด้านหลังจะมีทางขึ้น-ลงชั้นจอดรถ ซึ่งตอนที่ผู้เขียนไปยังอยู่ในช่วงเก็บงาน ทำให้ไม่ได้เก็บบรรยากาศชั้นจอดรถมาให้ดูค่ะ

สำหรับทางขึ้น-ลงชั้นจอดรถมีขนาดกว้าง สามารถใช้งานได้ง่ายค่ะ

ขับตรงมาอีกนิดจะเป็นทางคดเคี้ยวสักเล็กน้อย ซึ่งมีทางเข้า-ออกจาก Main Lobby บริเวณนี้ได้ ส่วนด้านข้างจะเป็นห้อง Recreation Room ที่สามารถมานั่งชมวิวสวนในแอร์ หรือมานั่งอ่านหนังสือก็ได้นะคะ

ถัดมาด้านข้างอาคารฝั่งนี้เป็นที่จอดรถ Visitor ยาวเลย นอกจากนี้ยังมีถนนที่กว้าง สามารถจอดรถบริเวณริมรั้วเพิ่มเติมได้อีกค่ะ

กลับมาที่ทางเข้า Drop Off ด้านหน้า มีขนาดกว้างรองรับรถวิ่ง 2 เลน ทำให้ถ้ามีคนมาจอดรอรับผู้โดยสาร จะไม่มีผลกระทบกับการเดินรถนะคะ

สำหรับการตกแต่งบริเวณนี้ยังคงคอนเซ็ปต์ของโครงการไว้ โดยจะใช้เส้นสีน้ำตาลออกทอง ที่ทำเป็นลายตารางกล่องๆ ที่เชื่อมตั้งแต่ด้านบนผ่านพื้นที่ Drop Off และเชื่อมไปยังบริเวณโถงทางเดิน จนถึงทางเข้า Main Lobby เลยนะคะ

มาดูกันตรงภายในพื้นที่ Drop Off ด้านบนเราจะเห็นเส้นสายสีน้ำตาลออกทอง ที่เหมือนเป็นจุดนำสายตาพาคนเดินไปยัง Main Lobby ค่ะ

สำหรับโถงทางเดิน “Pine Tunnel Lobby” จากจุด Drop Off มาถึงส่วน Lobby ซึ่งเป็น Gimmick ในการออกแบบที่แตกต่างจากโครงการทั่วไป ที่จะวาง Lobby อยู่ด้านหน้าติดกับ Drop Off เลย แต่นี่มี “Pine Tunnel Lobby” สำหรับปรับเปลี่ยนอารมณ์ก่อนเข้าโครงการ น่าสนใจดีค่ะ

สำหรับทางเข้า Main Lobby จะต้องใช้ Key Card ในการเข้า-ออกนะคะ

เข้ามาภายใน Lobby ความสูงแบบ Double Volume ทำให้พื้นที่ดูกว้างมากยิ่งขึ้น สำหรับตกแต่งมาในสไตล์ Modern Luxury โดยใช้พื้นกระเบื้องลายหินอ่อน บริเวณเสามีการตกแต่งด้วยสี Rose Gold พร้อมกระจกเงาสะท้อนขนาดใหญ่ ทำให้ภายในดูหรูหรามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีโซฟาหลายตัว เพื่อรองรับการใช้งานหลายคนได้อีกด้วย

ระหว่างทางเดินไปโถงลิฟต์ เราจะเจอกับห้อง Mailbox ของลูกบ้านที่แยกซ้าย-ขวาตามเลขที่ห้อง เราแวะไปดูบรรยากาศภายในสักเล็กน้อยนะคะ

ห้อง Mailbox ของที่นี่ ทำผนังเป็นกระจกสะท้อนสี Rose Gold ทำให้ห้องดูโอ่โถง รวมถึงทางเดินหน้าตู้กว้าง สามารถใช้งานหลายคนในเวลาเดียวกันได้

บริเวณโถงลิฟต์ที่นี่จะตกแต่งหรูหราเลยทีเดียว มีการนำพื้นกระเบื้องลายหินอ่อน ขอบลิฟต์ตกแต่งด้วยสี Rose Gold ฝ้าเพดานมีลูกเล่น ทำให้บรรยากาศดูน่าใช้ง่านคล้ายโรงแรมเลยนะคะ สำหรับลิฟต์โดยสารจะมี 4 ตัว และมีลิฟต์ Service แยก 1 ตัว โดยมีอัตราส่วนลิฟต์ 220 : 1 คน ถือว่ามีความหนาแน่นสูงอยู่เหมือนกัน อาจจะมีช่วงเวลารอลิฟต์นานหน่อยในช่วงเช้าเวลาที่ทุกคนออกจากบ้านไปทำงาน

ถัดออกมามีประตูทางออกไปบริเวณสวนหย่อมด้านหลัง รวมถึงด้านข้างมีห้อง Recreation Room สำหรับลูกบ้านที่สามารถมาพักผ่อนในบริเวณนี้ได้

ห้อง Recreation Room ชั้นแรกจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีทั้งโต๊ะทำงาน และมีโซฟานอนเล่น รวมถึงมีที่นั่งริมหน้าต่างที่สามารถชมวิวสวนและรับแสงภายนอกได้ ส่วนบริเวณชั้นวางของทางโครงการจัดหนังสือมาให้ สามารถหยิบมานั่งอ่านภายในห้องได้เลยค่ะ

ฝั่งตรงข้ามห้อง Recreation Room จะมีห้องน้ำแยกชาย-หญิง ที่สามารถใช้บริการตรงนี้ได้

สำหรับห้องน้ำชั้น Lobby เปิดประตูไปจะมีโถสุขภัณฑ์อย่างละอัน เหมาะสำหรับใช้งานคนเดียวมากกว่า ถ้ามีคนใช้หลายคนอาจจะต้องรอกันนิดนึงนะคะ

ขึ้นมาชั้น 7 เป็นชั้นเริ่มต้นห้องพักอาศัยนะคะ โดยชั้นนี้ก็จะมี Facilities อยู่เล็กน้อยแต่ไม่ใช่ชั้น Facilities หลัก โดยจะอยู่ฝั่งทิศใต้ มีห้อง Co-Working Space และ Life Loft Garden ส่วนห้องพักอาศัยนั้นจะแบ่งเป็น 2 ฝั่ง แยกด้วยโถงลิฟต์โดยสาร โดยห้องส่วนใหญ่จะเน้นเป็นห้อง 1 Bedroom ขนาด 26 และ 30 ตร.ม. อยู่ตรงกลาง และวางห้องขนาดใหญ่เป็นห้องมุมทั้งหมด

ตัวลิฟต์จะมีขนาดค่อนข้างกว้าง ที่สามารถจุคนได้ถึง 14 คน หรือน้ำหนักไม่เกิน 1050 kg. ซึ่งลิฟต์จะเป็นแบบล็อคชั้น ทำให้ต้องใช้ Key Card แตะขึ้น-ลงตลอด เพื่อความปลอดภัยของลูกบ้านเองค่ะ

ขึ้นมาบริเวณโถงลิฟต์ชั้นพักอาศัย หน้าลิฟต์มีขนาดค่อนข้างกว้างสามารถใช้งานหลายคนพร้อมกันได้ ส่วนทางเดินจะได้ช่องแสงภายในน้อย ทำให้ทำให้ต้องเปิดไฟช่วยตลอดเวลา ซึ่งจะมีผลกับเราก็ตรงค่าส่วนกลางนี่แหละ

สำหรับชั้นนี้จะได้แสงธรรมชาติจากบริเวณพื้นที่ส่วนกลางอยู่บ้าง ส่วนห้องพักอาศัยจะไม่มีประตูกั้นแยกจากพื้นที่ส่วนกลาง ทำให้คนที่มาใช้งานบริเวณนี้ สามารถเดินไปหน้าห้องพักอาศัยได้เลย ซึ่งไม่ค่อยมีความเป็นส่วนตัวมากนัก

หลังจากเดินเลี้ยวซ้ายมา เราจะเจอประตูทางออกไปยังบริเวณสวน ส่วนด้านข้างจะเป็นห้อง Co-working Space ที่เป็นตัวเลือกให้ลูกบ้านมาใช้งานกันได้ค่ะ

ห้อง Co-working Space ที่ชั้น 7 จะมีขนาดไม่ใหญ่มาก อาจจะต้องแบ่งใช้งานกับลูกบ้านคนอื่นด้วยนะคะ สำหรับห้องนี้จะเป็นกระจกล้อมรอบและมีความสูงตั้งแต่พื้นถึงฝ้า ทำให้เห็นวิวและได้รับแสงภายนอกได้เต็มที่ รวมถึงยังมีโต๊ะทำงานที่หันหน้าเข้าหากัน สามารถทำเป็นห้องประชุมขนาดเล็กได้ค่ะ

ถัดมาที่พื้นที่ Life Loft Garden จัดให้มีพื้นที่นั่งเล่น Out Door ได้ ซึ่งพื้นที่นี่จะเชื่อมกับห้อง Co-Working Space ด้านในอาคารค่ะ เป็นโซนสงบสำหรับคนมานั่งเล่น อ่านหนังสือหรือทำงานเงียบๆ ซึ่งแต่ต่างจาก Facilities ในชั้นบนที่มีความคึกคักมากกว่าด้วยฟังก์ชันอย่างสระว่ายน้ำ ฟิตเนสและสวน ที่เป็นฟังก์ชันแบบ Active มีกิจกรรม ซึ่งการแบ่ง Facilities ที่มีการใช้งานต่างกันก็ดีนะคะ ช่วยให้การใช้งานในฟังก์ชันนั้นๆ ตรงกับการใช้งาน

ชั้น 8-32 เป็นชั้น Typical Floor Plan โดยมีจำนวนยูนิตต่อชั้นสูงสุดที่ 34 ยูนิต ส่วนตำแหน่งห้องนั้นจะเห็นว่าโซนฝั่งทิศใต้ที่หันเข้าถนนสุขุมวิท 71 นั้นมีจำนวนยูนิตน้อยเพียง 6 ยูนิต และอยู่ใกล้กับลิฟต์โดยสารด้วย ทำให้มีความเป็นส่วนตัวพอสมควรเพราะไม่มีคนเดินผ่านมากนักและไม่ต้องเดินไปขึ้น-ลงลิฟต์ไกลด้วย ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องของแดดนัก ตำแหน่งห้องทิศนี้ก็น่าสนใจค่ะ และอีกห้องที่ไม่ติดกับห้องอื่นเลยก็น่าสนใจนะ คือห้องขนาด 24 ตร.ม. ที่อยู่ด้านหลังบันไดหนีไฟฝั่งทิศตะวันตก แต่สำหรับห้องริมฝั่งขวาด้านบนจะต้องเดินไกลสักเล็กน้อยค่ะ

บริเวณโถงทางเดินชั้นพักอาศัยจะเห็นได้ว่า ถ้าปิดประตูหมดทางเดินจะได้ช่องแสงภายในน้อย ทำให้ทำให้ต้องเปิดไฟช่วยตลอดเวลา รวมถึงภายในระบายอากาศได้ไม่ดีนัก

ชั้น 33 หรือชั้น Rooftop เป็นชั้น Facilities หลักโครงการที่จัดให้เต็มทั้งชั้น แบ่งเป็น 3 ส่วนคือส่วนสระว่ายน้ำ, พื้นที่ Indoor ประกอบไปด้วย Sky Gym & Sky Lounge และอีกส่วนคือ Sky Garden ข้อดีเลยของ Facilities ในชั้นบนคือการได้วิวในมุมสูงพร้อมใช้งาน Facilities ได้ด้วย ซึ่งลูกบ้านไม่จำเป็นต้องซื้อห้องชั้นสูงๆ ก็สามารถได้ชื่นชมวิวมุมสูงเหมือนกันค่ะ

ส่วนชั้นดาดฟ้าบนสุดเลยทำเป็น Refuge Area ที่จะไม่มีลิฟต์ขึ้นมาถึง ต้องเดินบันไดเอานะคะ

โถงลิฟต์ชั้นบนสุดจะคล้ายชั้นแรก ที่ตัวโถงเป็นแบบ Double Volume ทำให้พื้นที่ดูกว้างขึ้น รวมถึงยังมีการใช้สี Rose Gold พร้อมพื้นกระเบื้องลายหินอ่อน ทำให้บรรยากาศดูหรูหรามากยิ่งขึ้น

เดินต่อมาอีกนิดเลี้ยวซ้าย จะเป็นทางเข้าห้อง Sky Gym และห้อง Yoga Room ค่ะ

ภายในห้อง Sky Gym จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ โดยจะมีเครื่องเล่นทั้ง Weight Training และ Cardio อย่างเช่นลู่วิ่งและเครื่องปั่นจักรยาน ที่มีหลายตัว ทำให้เวลาใช้งานไม่ต้องแยกกันเล่น นอกจากนี้โดยรอบยังเป็นกระจกที่สามารถมองวิวภายนอกได้ รวมถึงยังมีทีวีที่สามารถเปิดใช้งานรวมกันได้ด้วย สำหรับพื้นที่นี้จะเปิดให้บริการตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึง 4 ทุ่มเลย ใครสะดวกตอนไหนก็มาใช้บริการกันได้ค่ะ

ทางเข้าห้อง Yoga Room หรือห้องอเนกประสงค์ จะมีพื้นที่เชื่อมต่อกับบริเวณฟิตเนส โดยจะมีฉากกั้นที่แยกความเป็นส่วนตัวออกจากกันได้ค่ะ

พื้นที่ห้อง Yoga Room จะมีขนาดค่อนข้างกว้าง โดยจะมีหน้าต่างบานใหญ่ ที่สามารถเห็นวิวและรับแสงภายนอกได้ ซึ่งจะมาพร้อมอุปกรณ์ Yoga ที่ทางโครงการเตรียมมาให้ลูกบ้านใช้งานด้วยค่ะ

ออกมาจากห้องฟิตเนสเดินมาฝั่งตรงข้าม จะมีทางเดินที่ออกไปบริเวณสระน้ำ ส่วนด้านข้างจะเป็นห้อง Sky Lounge ที่สามารถมานั่งเล่นชมวิวในบริเวณนี้ได้ค่ะ

ภายในส่วน Sky Lounge ได้กระจกแบบ Ceiling Height ตามฝ้าเพดานที่ยกสูง เพื่อให้วิวมุมสูงอย่างเต็มที่ ภายในจัดชุดโซฟาให้ประมาณ 3-4 ชุด สามารถใช้งานหลายคนพร้อมๆกันได้เลยค่ะ

ฝั่งตรงข้ามห้อง Sky Lounge จะมีห้องน้ำแยกชาย-หญิงอยู่ค่ะ ถ้าใครต้องการอาบน้ำหรือเก็บของก่อนว่ายน้ำ ก็สามารถเดินมาใช้บริการตรงนี้ได้ค่ะ

ภายในจะมีล็อกเกอร์ให้เก็บของเวลาไปฟิสเนสหรือว่ายน้ำได้ ซึ่งจะมีทั้งห้องสุขภัณฑ์และห้องอาบน้ำ ที่สามารถอาบน้ำได้จากตรงนี้เลย ไม่จำเป็นต้องไปอาบน้ำที่ห้องค่ะ ภายในจะมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าได้สะดวกทีเดียว

ออกมาบริเวณสระน้ำ จะมีบันไดเดินขึ้นเล็กน้อยที่ทำเป็นรูปร่าง Free Form ตามแบบของสระว่ายน้ำ เพื่อต้องการให้คนใช้งานออกนอกกรอบสี่เหลี่ยม ระหว่างทางเดินไปจะรายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวค่ะ

ด้านข้างจะมีที่ล้างตัวชำระร่างกายก่อนลงสระว่ายน้ำ แต่จะมีฝักบัวเดียวและพื้นที่ไม่ใหญ่มาก ถ้ามีคนใช้งานเยอะอาจจะต้องยืนรอกันนิดนึงนะคะ

สระว่ายน้ำจะเป็นแบบ Free form ยาว 30 เมตร แบบ infinity edge pool ที่ออกแบบให้ออกนอกกรอบสี่เหลี่ยมทั่วไป เพื่อให้ความรู้สึกของผู้ใช้งานแตกต่างจากเดิม

โดยสระว่ายน้ำที่นี่ จะมีการแบ่งแยกสระเด็กออกมาเพื่อความปลอดภัย และพื้นที่ Shallow Pool มีเก้าอี้ตั้งไว้ภายในสระ ที่สามารถมานั่งและนอนอาบแดดได้อีกด้วย

เดินหันหลังไปจากมีทางเดินไป Observation Deck ที่อยู่ทางทิศเหนือของอาคารด้วยนะคะ

สำหรับ Observation Deck เป็นระเบียงที่ยื่นออกไปจากตัวอาคาร โดยความพิเศษคือพื้นและระเบียงจะเป็นกระจก ที่สามารถมองลงไปชั้นล่างได้ ถ้าใครไม่กลัวความสูงขอให้มาทดลองใช้งานกันดูค่ะ

เดินต่อมาเราด้านข้างสระน้ำ มีผนังสีขาววางสลับกันไปมา ทำให้มีช่องถ่ายเทอากาศได้สะดวก รวมถึงเป็นการฉีกกำแพงแนวเดิมๆออกให้บรรยากาศดูดีมากยิ่งขึ้น

เดินต่อมาอีกนิดจะมี Sky Garden ที่อนาคตทางโครงการน่าจะมีเก้าอี้มาตั้งให้ สามารถขึ้นมานั่งพักผ่อน ชมวิวรอบโครงการได้

ส่วนข้างๆจะมี Sunken Garden โดยจะปูพื้นหญ้าเทียมรายล้อมด้วยต้นไม้เล็กใหญ่ รวมถึงตรงกลางยังมีลานไม้ ที่สามารถมานั่งเล่นได้ สำหรับทางเดินรถมาจะทำเป็นที่นั่งเล่นแบบขั้นบันไดคล้าย Amphitheater ที่จะสามารถนั่งชมวิวในบริเวณนี้ได้ แต่พื้นที่จะเป็น Outdoor ทั้งหมด กรณีที่ฝนตกจะไม่สามารถใช้งานในบริเวณนี้ได้นะคะ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • ชั้น 1 (Natural on the Ground)

  • Pine Tunnel Lobby
  • Main Lobby
  • Mail box
  • Recreation Room
  • On Ground Backyard

  • ชั้น 7 (Natural Loft Balance)

  • Life Loft Garden
  • Co-Working Space

  • ชั้นดาดฟ้า (Natural Rooftop Facilities)

  • Sky Garden
  • Swimming Pool Freeform ยาว 30 ม. ระบบเกลือ
  • Observation Deck
  • Sky Gym & Yoga Room
  • Sky Lounge
  • Sky Deck
  • Sunken Garden

  • ลิฟต์โดยสาร 4 ตัว
  • อัตราส่วนลิฟต์ 220 : 1
  • Service Lift 1 ตัว
  • ที่จอดรถประมาณ 313 คันคิดเป็น 36% ไม่รวมจอดซ้อนคัน
  • ระบบ CCTV / Access Card


Product Walkthrough

สำหรับห้องพักอาศัยของโครงการนั้นจะเริ่มต้นตั้งแต่ห้อง 1 Bedroom – 2 Bedrooms และห้อง Loft สูง 5 ม. ซึ่งจัดว่าเป็นห้องแบบพิเศษที่ไม่มีโครงการข้างเคียงไหนทำนะคะ โดยห้อง Loft นี้จะอยู่ชั้น 32 เพียงชั้นเดียวและมีเพียง 9 ยูนิตเท่านั้นค่ะ โดยส่วนใหญ่แล้วจะเน้นไปที่ห้อง 1 Bedroom ขนาด 26 และ 30 ตร.ม. ส่วนจุดเด่นของห้องพักอาศัยในโครงการนี้ คือฝ้าเพดานที่ได้ความสูงถึง 2.7 ม. ทำให้ตัวห้องดูโปร่งโล่งพอสมควรทีเดียว ซึ่งเทียบกับโครงการข้างเคียงแล้วจัดว่าได้ฝ้าเพดานสูงสุดเลยค่ะ

มาดูห้องตัวอย่างแรกกันนะคะ เริ่มจากห้อง 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ใช้สอย 26 ตร.ม. แปลนห้องนี้พื้นที่ห้องนั่งเล่นจะไม่ได้วิวนะคะ แต่ไม่ใช่ว่ามืดทึบเนื่องจากยังได้แสงสว่างที่มาจากส่วนครัวอยู่ โดยแลกมากับประสิทธิภาพในการใช้งานครัวได้เต็มที เพราะจะได้เป็นครัวปิด ที่อยู่ริมด้านนอกทำให้ระบายอากาศได้ดี ที่กลิ่นอาหารจะไม่เข้าด้านในตัวห้อง ส่วนห้องนอนนั้นได้เป็นห้องประตูทึบชัดเจน ซึ่งข้อดีคือมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าห้องที่ใช้เป็นประตูบานเลื่อนกระจกใส ภายในห้องนอนมีขนาดกะทัดรัด ถ้าต้องการวางเตียงขนาด 5 ฟุตต้องวางชิดริมหน้าต่าง ทำให้พื้นที่ทางเดินรอบเตียงเหลือเพียง 2 ด้านเท่านั้น ส่วนตำแหน่งห้องน้ำจะเข้าทางห้องนั่งเล่นและติดกับส่วนห้องนอนใช้งานได้สะดวก รวมถึงหากมีเพื่อนมาห้องก็ไม่ต้องเข้าห้องน้ำผ่านห้องนอน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเราด้วยค่ะ

ประตูจะได้เป็นแบบ HDF สำเร็จรูปทำสีขาว ที่มาพร้อมตาแมวสามารถมองออกมาด้านนอกได้ ส่วนธรณีประตูหน้าห้องกรุด้วยกระเบื้องซึ่งมีความคงทนในการใช้งานพอสมควรและจบขอบอีกทีด้วยไม้สำเร็จรูป ภายในห้องใช้พื้นลามิเนตค่ะ

สำหรับห้องทุกห้องนั้นจะได้ Digital Door Lock จาก Samsung เป็นมาตรฐานนะคะ โดยรุ่นนี้จะรองรับการเปิดเข้าทั้งรหัส, การ์ด, กุญแจ, เทคโนโลยี N.F.C

เข้ามาภายในห้องจะเป็นส่วนนั่งเล่นก่อน โดยพื้นที่นั่งเล่นนี้ถึงอยู่ด้านในของห้อง ไม่ได้ติดหน้าต่าง แต่ก็ได้แสงสว่างจากภายนอกระดับนึงไม่มืดทึบเนื่องจากห้องครัวจะได้เป็นบานเลื่อนกระจกขนาดใหญ่ สำหรับพื้นที่ห้องนั่งเล่นมีขนาดประมาณ 2.45 x 3.25 เมตร ความสูงพื้นถึงฝ้า 2.70 เมตร ทำให้ภายในห้องดูโล่งทีเดียว

พื้นห้องจะเป็นลามิเนตหนา 8 มม. เมื่อวางชุดโซฟาและโต๊ะวางทีวีไปแล้วก็ยังเหลือพื้นที่พอสมควรให้สามารถวางโต๊ะกลางได้โดยไม่ไปขวางทางเดินได้ สำหรับคนนั่งดูทีวีมีระยะประมาณ 2.9 ม. ซึ่งขนาดทีวีที่เหมาะกับระยะสายตาอยู่ที่ประมาณ 40″-50″ จัดว่าวางทีวีขนาดใหญ่ได้สบายเลย

ส่วนความกว้างของพื้นที่ส่วนนี้สามารถวางโซฟาขนาด 2-3 ที่นั่งได้พอดีค่ะ

สำหรับใครที่ชอบวางทีวีใหญ่ๆ อย่างที่บอกไปว่าระยะสายตานั้นสามารถวางทีวีขนาด 40″-50″ ได้ นอกจากนี้ด้านข้างทีวีจะมีประตูเข้าห้องน้ำ ที่เป็นบาน UPVC พร้อมเกล็ดระบายอากาศ ทำให้ระบายความชื้นได้ดี

บริเวณเพดานจะเป็นฉาบเรียบทาสีขาว พร้อมติดไฟ Downlight มาให้ และยังมีเครื่อง Smoking Detector มาให้ในกรณีไฟไหม้อีกด้วย

เข้ามาภายในห้องน้ำแยกส่วนเปียกและแห้งเป็นสัดส่วนชันเจน โดยบริเวณพื้นที่อาบน้ำจะมีฉากกั้นทำให้น้ำไม่ไหลออกมาด้านนอก พื้นและผนังจะเป็นกระเบื้อง ทำให้ทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย

เข้ามาภายในห้องน้ำยกธรณีประตูขึ้นมาระดับนึง กรุด้วยกระเบื้องสี Earth Tone

ภายในห้องน้ำจัดพื้นที่ไว้ลงตัวในการใช้งาน โดยมีห้องน้ำเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมจตุรัส มีระยะการใช้งานกว้างพอสมควร สามารถใช้งานได้สบายค่ะ

อ่างล้างมือยี่ห้อ American Standard มีขนาดกว้าง 55 x 34 ซม. ทำให้ใช้งานได้กำลังดี นอกจากนี้บริเวณขอบอ่างยังสามารถวางของได้นิดหน่อยด้วยค่ะ

โถสุขภัณฑ์ยี่ห้อ Marvel มาให้ค่ะ อยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานสะดวก มีพื้นที่โดยรอบค่อนข้างกว้าง สายฉีดชำระติดตั้งที่ผนังทางด้านหลัง ส่วนที่วางทิชชู่จะอยู่ด้านข้างเป็นตำแหน่งที่ใช้งานได้สะดวก นอกจากนี้ด้านหลังยังมี  Low Wall กว้างประมาณ 12 ซม ที่สามารถวางของใช้บริเวณนี้ได้

สายชำระมีที่จับถนัดมือ พร้อมทั้งมีที่ใส่กระดาษทิชชู่ติดตั้งที่ผนังทางด้านข้าง สามารถใช้งานได้ง่าย

พื้นที่อาบน้ำมีฉากกั้นห้องมาให้เป็นกระจกเทมเปอร์ใส โดยจะมีขอบยกระดับขึ้นมาเล็กน้อยประมาณ 3 ซม. รวมถึงรอบตัวบานกระจกจะติดขอบยาง เพื่อป้องกันน้ำซึมย้อนมาอีกฝั่งสำหรับพื้นที่อาบน้ำจะเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส ทำให้ฉากกั้นจะได้เป็นแบบเข้ามุมนะคะ โดยจะมีพื้นที่อาบน้ำประมาณ  85 x 85 ซม. มีขนาดไม่ใหญ่มากเหมาะกับใช้งานคนเดียวค่ะ

อุปกรณ์ชุดอาบน้ำแบบ Hand Shower ยี่ห้อ American Standard ทางโครงการจะทำช่อง Junction งานระบบไว้ให้สามารถติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นได้ในภายหลัง แต่โครงการจะไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้นะคะ นอกจากนี้ด้านข้างยังทำเป็นช่องที่สามารถวางอุปกรณ์อาบน้ำในบริเวณนี้ได้ค่ะ

ทางโครงการให้ ฝักบัวเป็นแบบ Hand Shower ยี่ห้อ American Standard ขนาดพอดีกับมือมาค่ะ

บริเวณเพดานฉาบเรียบทาสีขาวพร้อมติดไฟ Downlight และติดพัดลมดูดอากาศมาให้ค่ะ

ออกมาด้านนอก ติดกับประตูห้องน้ำจะมีทางเข้าประตูห้องนอนค่ะ

พื้นที่ห้องนอนมีขนาดประมาณ 2.6 x 3.0 ม. เหมาะกับวางเตียงขนาด 5 ฟุต ชิดริมหน้าต่าง  ทำให้มีพื้นที่ข้างเตียงหน้าตู้เสื้อผ้าเพิ่มขึ้น แม้ขนาดของห้องนอนไม่ได้ใหญ่มากนักแต่ด้วยความที่ได้หน้าต่างบานใหญ่ รวมกับฝ้าเพดานสูง 2.7 ม. ก็ทำให้ตัวห้องดูโปร่งโล่งมากขึ้นพอสมควรเลยค่ะ

โดยขนาดตู้เสื้อผ้าที่เหมาะกับพื้นที่ห้องนั้นจะเป็นตู้ขนาดกลาง ซึ่งขอแนะนำให้ใช้ตู้เสื้อผ้าแบบเลื่อนไป-มาเพื่อประหยัดพื้นที่ในการใช้งานค่ะ

เมื่อวางเตียงขนาด 5 ฟุตไปจะเหลือพื้นที่ทางเดินรอบข้างและปลายเตียงให้พอเดินได้บ้าง อย่างฝั่งหน้าตู้เสื้อผ้ามีความกว้างประมาณ 72 ซม. ที่มีพื้นที่พอวางโต๊ะเครื่องสำอางขนาดกะทัดรัดหรือโต๊ะหัวเตียงได้ ส่วนฝั่งปลายเตียงบริเวณหน้าทีวีจะมีความกว้างประมาณ 52 ซม. เป็นระยะที่เดินได้ แต่ไม่สามารถวางโต๊ะวางทีวีได้ ดังนั้นใครที่ต้องการติดทีวีในห้องนอน ควรจะติดทีวีด้วยวิธีแขวนจะดีสุดค่ะ

หน้าต่างของห้องนอน เป็นหน้าต่างบาน Fix จะมีบานเปิดเพียง 1 บาน เอาไว้เปิดระบายอากาศ โดยจะได้เป็นขอบอลูมิเนียมพ่นสี Powder Coat สีดำ พร้อมกระจกลามิเนตสีเขียวตัดแสง ทำให้ช่วยลดความร้อนภายในห้องได้อีกด้วย

แต่สำหรับบานเปิดแบบนี้ ในกรณีที่มีเด็กอาศัยอยู่จะค่อนข้างอันตรายสักหน่อยนะคะ เนื่องจากเปิดได้ค่อนข้างกว้าง อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ เพื่อความปลอดภัยแนะนำให้ติดมุ้งลวดหรือเหล็กดัดเพิ่มเติมด้วยนะคะ

ส่วนบริเวณด้านจับเป็นแบบก้านโยกสามารถเปิดใช้งานได้ง่ายค่ะ

บริเวณเพดานจะเป็นฉาบเรียบทาสีขาว พร้อมติดไฟ Downlight มาให้ และยังมีเครื่อง Smoking Detector มาให้ในกรณีไฟไหม้อีกด้วย

ถัดไปจะเป็นพื้นที่ห้องครัวแบบปิดค่ะ โดยใช้ประตูบานเลื่อน 2 ตอนขอบอลูมิเนียมสีขาวกระจกใส เวลาเลื่อนเปิดแล้วจะมีพื้นที่การใช้งานกว้างเดินไปเดินมาได้สะดวก ข้อดีของห้องครัวปิดชิดริมหน้าต่าง เราจะสามารถทำอาหารจริงจังได้โดยกลิ่นจะไม่เข้ามาภายในตัวห้องค่ะ

บริเวณมือจับเซาะร่องพร้อมปุ่มล็อคและมีสักกะหลาดไว้สำหรับกั้นฝุ่นบริเวณขอบประตู อีกทั้งทางโครงการยังได้ฝั่งขอบอลูมิเนียมไว้กับพื้น ทำให้เดินได้สะดวกไม่ต้องกลัวสะดุดค่ะ

สำหรับขนาดของห้องครัวถือว่าให้พื้นที่มาพอสมควรเมื่อเทียบกับขนาดของห้องพักอาศัยนะคะ มีขนาดกว้าง 2.1 x 2.8 ม. หลังจากวางชุด Built in ครัว และโต๊ะกินข้าวแล้วยังมีพื้นที่เหลือพอสมควร สามารถใช้งานได้ 2-3 คนค่ะ

ส่วนของพื้นห้องครัวจะเปลี่ยนเป็นพื้นเซรามิคขนาด 60 x 60 ซม. เพื่อง่ายต่อการทำความสะอาดและคงทนในการใช้งานมากกว่าลามิเนต จัดเป็นวัสดุพื้นที่เหมาะสมกับการใช้งานกับห้องครัวดีค่ะ โดยหลังจากวางเฟอร์นิเจอร์แล้วจะมีพื้นที่กว้างประมาณ 83 ซม. ให้เดินใช้งานได้พอสมควร

ทางโครงการได้ทดลองวางโต๊ะกินข้าวสำหรับ 2 ที่นั่งให้ดู เพื่อเป็นไอเดียในการตกแต่งห้องนะคะ

ชุดตู้ Built-in ของห้องครัวเราจะได้ตามห้องตัวอย่างขนาดกว้างประมาณ 1.40 เมตร มีอ่างล้างจานและเตาไฟฟ้ามาให้ ส่วนหน้าบานเป็นลามิเนต ด้านล่างจะมีพื้นที่วางไมโครเวฟได้ ด้านข้างมีพื้นที่เหลือเยอะพอสมควรสามารถวางตู้เย็นขนาดใหญ่ถึง 13.5 คิวบิกฟุตได้เลย ซึ่งปกติแล้วโครงการทั่วไปจะให้พื้นที่ตู้เย็นประมาณ 10 คิวบิกฟุตไม่เกินนี้

ตู้ด้านบนของเคาน์เตอร์ จะแบ่งออกเป็น 3 ตอน ฝั่งซ้ายสุดจะไม่มีหน้าบานปิด สามารถวางของที่อยากโชว์ได้ แต่ต้องระวังเรื่องฝุ่นกันด้วยนะคะ ส่วนช่องกลางสามารถวางอุปกรณ์เครื่องปรุงได้ ทำให้หยิบใช้งานได้สะดวก ส่วนฝั่งขวามือสุดจะเป็นช่องใส่ Hood สำหรับดูดควันในครัวเป็นแบบหมุนเวียนออกนอกอาคาร ยี่ห้อ Franke ซึ่งข้อดีคือกลิ่นจะไม่หมุนเวียนอยู่ภายในอาคาร นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เหลือวางอุปกรณ์ครัวด้านบนได้นิดหน่อย

ตู้ด้านบนของเคาน์เตอร์ ตู้เปิด-ปิด แถม Soft Close มาให้เพื่อป้องกันไม่ให้ตู้เกิดเสียง และลดแรงกระแทกก่อนที่หน้าบานจะปิดสนิท 

บริเวณเคาน์เตอร์ ทางโครงการจะให้วัสดุ Top เคาน์เตอร์เป็นหินสังเคราะห์สีขาว ทนต่อน้ำและความร้อนได้ดี ผนังด้านหลังให้เป็นกระเบื้อง ซึ่งสามารถทำความสะอาดได้ง่ายและป้องกันคราบสกปรกจากเศษอาหารได้ โดยพื้นที่ตรงกลางเป็นพื้นที่เตรียมอาหารที่สามารถพอใช้งานได้

บริเวณเคาน์เตอร์ ทางโครงการให้ซิงค์ล้างจานสแตนเลสหลุมเดี่ยว ขนาด 51 x 51 ซม. ก๊อกน้ำล้างจานโครเมียมทรงสูง ปรับโยกซ้าย-ขวาได้ ส่วนพื้นที่สำหรับประกอบอาหาร จะให้ชุดเตาไฟฟ้าแบบ 2 หัวพร้อมเครื่องดูดควัน ยี่ห้อ Franke ค่ะ

ชุดครัวด้านล่างฝั่งซ้ายมือจะเป็นตู้ใต้ซิงค์ล้างจาน ที่วางของชิ้นใหญ่ได้ ส่วนตรงกลางจะเป็นช่องเล็กๆที่สามารถวางเครื่องปรุงได้ ฝั่งขวาสุดจะมีช่องให้วางไมโครเวฟ และด้านล่างจะมีลิ้นชักที่ใส่อุปกรณ์ช้อนส้อมได้

บริเวณเพดานจะเป็นฉาบเรียบทาสีขาว พร้อมติดไฟ Downlight มาให้ และยังมีเครื่อง Smoking Detector มาให้ในกรณีไฟไหม้อีกด้วย

ถัดจากส่วนครัวไปมีประตูบานเลื่อนกั้นส่วนระเบียงซักล้าง ที่สามารถเดินออกไปสูดบรรยากาศภายนอกห้องได้ค่ะ โดยจะได้เป็นขอบอลูมิเนียมพ่นสี Powder Coat สีดำ พร้อมกระจกลามิเนตสีเขียวตัดแสง ทำให้ช่วยลดความร้อนภายในห้องได้อีกด้วย

บริเวณมือจับเซาะร่องพร้อมปุ่มล็อคและมีสักกะหลาดไว้สำหรับกั้นฝุ่นบริเวณขอบประตู ทางออกจะมีธรณีประตูยกสูงขึ้นจากระเบียงประมาณ 5 ซม. เพื่อกันน้ำฝนและความชื้นจากระเบียงค่ะ

พื้นทีระเบียงจะมีขนาด 2.10 x 0.80 เมตร ปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิค ขนาด 30 x 30 ซม. ส่วนราวกันตกระเบียงเป็นเหล็กสีดำ หลังจากที่วางเครื่องซักผ้าแล้วจะมีพื้นที่เหลือไม่มากนะคะ

ด้านบนแขวนคอมเพรสเซอร์แอร์หันออกไปด้านนอกให้เรียบร้อย โดยจะสามารถวางเครื่องซักผ้าบริเวณด้านล่างได้ด้วย

นอกจากนี้ยังติดตั้งก๊อกน้ำ และมีปลั๊กไฟสำหรับเสียบเครื่องซักผ้าได้ รวมถึงมีการเดินท่อระบายน้ำมาให้เรียบร้อยค่ะ

ห้องตัวอย่างอีกห้องที่จะพาไปดูคือห้อง 2 Bedroom 2 Bathroom ขนาด 56.45 ตร.ม. สำหรับห้องนี้จะเป็นห้องมุมซึ่งจะได้วิวจาก 2 ทางด้วยกัน ทั้งจากฝั่งพื้นที่นั่งเล่น และห้องนอนทั้ง 2 ห้องเลย ดังนั้นเรื่องตำแหน่งพื้นที่นั่งเล่นที่อยู่ด้านในใกล้กับโถงทางเดินในอาคารนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องของไม่ได้วิวเหมือนห้อง 1 Bedroom แล้วค่ะ ส่วนการจัดฟังก์ชันภายในห้องนี้ ถือว่าจัดได้เป็นสัดส่วนดีนะคะ เพราะเค้าแยกส่วน Common Area ไว้ชัดเจน (อยู่ด้านในติดกับโถงทางเดินในอาคาร) และก่อนจะถึงโซน Private ที่เป็นห้องนอนทั้ง 2 ห้องนั้นจะถูกกั้นด้วยโถงทางเดินเล็กๆ และห้องน้ำ ทำให้การใช้งานดูเป็นสัดส่วนชัดเจน และยังคงความเป็นส่วนตัวให้กับห้องนอนทั้ง 2 ห้องได้ดีทีเดียวค่ะ

ส่วนข้อจำกัดของห้องแปลนนี้ สำหรับเรื่องฟังก์ชันนั้นก็จะเป็นส่วนครัวที่ไม่ได้ครัวเป็นสัดส่วนชัดเจน และกั้นเป็นครัวปิดเหมือนกับห้อง 1 Bedroom รวมทั้งในส่วนของพื้นที่รับประทานอาหารนั้นจะอยู่ติดกับส่วน Pantry เลย สามารถวางเก้าอี้ได้จริงๆ 3 ที่นั่ง แต่อาจจะเสริมมาด้านข้างเหมือนในรูปแปลนได้ ซึ่งไม่ได้สะดวกมากนักค่ะ

สำหรับห้อง 2 Bedroom จะอยู่หัวมุมอาคารของแต่ละชั้น ทำให้สามารถเห็นวิวได้ทั้ง 2 ทิศทาง ที่จับประตูจะได้เป็นแบบ Digital Door Lock ค่ะ

เข้ามาภายในห้องจะเป็นพื้นที่โล่ง โดยเชื่อมส่วนครัวกับห้องนั่งเล่นเข้าด้วยกัน ซึ่งห้องนี้จะได้เป็นห้องครัวเปิด ข้อดีคือจะได้พื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ทำให้ห้องดูกว้าง ข้อเสียคือจะไม่สามารถทำอาหารจริงจังได้ เพราะอาจจะมีกลิ่นรบกวนภายในห้องพักอาศัย ถ้าใครต้องการทำอาหารจริงจัง ขอแนะนำให้ติดประตูเพิ่มในอนาคตได้ค่ะ

ลองหันกลับมาดูส่วนครัวและพื้นที่รับประทานอาหารกันอีกรอบนะคะ จะเห็นว่าฝั่งขวามือทางโครงการทำเป็นตู้เก็บรองเท้าหรือใครที่ต้องการทำตู้โชว์หน้าบ้านก็สามารถ Built-in ตู้เพิ่มได้ นอกจากนี้ยังสามารถวางโต๊ะกินข้าวสำหรับ 4 ที่นั่งได้ แต่อีก 1 ตัวอาจจะต้องมาวางที่หัวมุมโต๊ะแทนนะคะ

ชุด Built in ครัวมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย มีขนาดกว้างประมาณ 1.70 เมตร ซึ่งวัสดุกับเหมือนกับห้อง 1 Bedroom เลยค่ะ รวมทั้งพื้นที่วางตู้เย็นด้านข้างก็สามารถวางตู้เย็นขนาดเดียวกันคือ 13.5 คิวบิกฟุตได้

หลังจากวางเฟอร์นิเจอร์แล้ว จะมีพื้นที่เหลือประมาณ 2.35 เมตร (วัดจาก Pantry ไปยังสุดประตูห้อง) ถือว่ากว้างพอสมควร สามารถใช้งานพร้อมกันได้หลายคน แต่พื้นบริเวณนี้จะเป็นลามิเนตหนา 8 มม. ทุกห้องยกเว้นห้องน้ำ ซึ่งเวลาใช้งานอาจจะต้องระวังพื้นเปียกและความชื้นจากการประกอบอาหารเพราะพื้นลามิเนตอาจจะบวมได้

ตู้ด้านบนของเคาน์เตอร์ จะเหมือนกับห้องที่แล้วเลยนะคะ แต่ช่องตรงกลางจะได้ขนาดใหญ่ขึ้นที่วางอุปกรณ์ครัวได้มากยิ่งขึ้น ส่วนฝั่งซ้ายมือสุดจะเป็นช่องใส่ Hood สำหรับดูดควันในครัวเป็นแบบหมุนเวียนออกนอกอาคาร ยี่ห้อ Franke ซึ่งข้อดีคือกลิ่นจะไม่หมุนเวียนอยู่ภายในอาคาร นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เหลือวางอุปกรณ์ครัวด้านบนได้นิดหน่อย

บริเวณเคาน์เตอร์ ทางโครงการจะให้วัสดุ Top เคาน์เตอน์เป็นหินสังเคราะห์สีขาว ทนต่อน้ำและความร้อนได้ดี ผนังด้านหลังให้เป็นกระเบื้อง ซึ่งสามารถทำความสะอาดได้ง่ายและป้องกันคราบสกปรกจากเศษอาหารได้ โดยพื้นที่ตรงกลางจะมีขนาดกว้างทำให้ใช้งานได้สะดวก

บริเวณเคาน์เตอร์ ทางโครงการให้ซิงค์ล้างจานสแตนเลสหลุมเดี่ยว ขนาด 51 x 51 ซม. ก๊อกน้ำล้างจานโครเมียมทรงสูง ปรับโยกซ้าย-ขวาได้ ส่วนพื้นที่สำหรับประกอบอาหาร จะให้ชุดเตาไฟฟ้าแบบ 4 หัวพร้อมเครื่องดูดควัน ยี่ห้อ Franke ค่ะ

ชุดครัวด้านล่างฝั่งซ้ายจะสามารวางไมโครเวฟได้ ส่วนช่องกลางจะมีลิ้นชักที่ใส่อุปกรณ์ช้อนส้อมได้ ทำให้หยิบใช้งานได้สะดวก ส่วนถ้าต้องการของชิ้นใหญ่สามารถวางในตู้ใต้ซิงค์ได้

โต๊ะนี้จริงๆ แล้วสามารถรองรับที่นั่งได้ 4 ที่นั่งปกติ แต่ด้วยตำแหน่งที่ต้องอยู่ติดกับ Pantry แบบชนกันเลยทำให้เสียพื้นที่นั่งไป 1 ตัว ถ้าจะเลื่อนออกมาหน่อยจาก Pantry ก็ทำไม่ได้เพราะจะไปขวางโถงทางเดินเข้าด้านในไปยังห้องนอนอีก ดังนั้นสำหรับใครที่อยู่กันแบบครอบครัวมีสมาชิกถึง 4 คน ก็อาจจะต้องวางเก้าอี้อีกตัว ที่หัวมุมโต๊ะได้ค่ะ

ฝั่งตรงข้ามจะทำเป็นตู้โชว์วางของ หรือถ้าใครมีของเยอะก็สามารถทำเป็นตู้เก็บของเพิ่มเติมได้นะคะ

บริเวณเพดานจะเป็นฉาบเรียบทาสีขาว พร้อมติดไฟ Downlight มาให้ และยังมีเครื่อง Smoking Detector มาให้ในกรณีไฟไหม้อีกด้วย

หันมาที่พื้นที่นั่งเล่น ซึ่งติดกับส่วนครัวและพื้นที่รับประทานอาหาร มีขนาดประมาณ 2.9 x 1.9 ม. และมีระยะสายตาระหว่างโซฟาถึงทีวีประมาณ 2.6 ม. เหมาะกับวางทีวีขนาดประมาณ 40″-50″ ได้สบายเลยค่ะ

ด้วยความที่ระยะความยาวห้องยาวประมาณ 2.90 ม. เมื่อวางชุดโซฟา และโต๊ะวางทีวีไปแล้วก็ยังเหลือพื้นที่พอสมควรให้สามารถวางโต๊ะกลางได้โดยไม่ไปขวางทางเดิน

สำหรับใครที่ชอบวางทีวีใหญ่ๆ อย่างที่บอกไปว่าระยะสายตานั้นสามารถวางทีวีขนาด 40″-50″ ได้ รวมถึงทางโครงการได้เตรียมช่องเสียบสัญญาณทีวีไว้ให้เรียบร้อยค่ะ

สำหรับห้องนี้สามารถวางชุดโซฟาขนาดใหญ่พร้อมโต๊ะกลางได้สบายๆ ค่ะ ส่วนประตูบานเลื่อนข้างๆ นั้นจะเชื่อมกับระเบียงซักล้างด้านนอกนั่นเองค่ะ ประตูได้บานกว้างนะแต่ไม่ได้สูงเท่าฝ้าเพดานค่ะ

ห้องนี้จะติดกับพื้นที่ระเบียงทำให้รับแสงธรรมชาติเข้ามาในตัวห้องได้ดี นอกจากนั้นยังสามารถเปิดเพื่อให้อากาศถ่ายเทภายในห้องค่ะ โดยจะได้เป็นขอบอลูมิเนียมพ่นสี Powder Coat สีดำ พร้อมกระจกลามิเนตสีเขียวตัดแสง ทำให้ช่วยลดความร้อนภายในห้องได้อีกด้วย

ขนาดระเบียงใหญ่ขึ้นมาหน่อยจากห้องที่แล้วนะคะ ซึ่งเมื่อวางเครื่องซักผ้าไปแล้วก็ยังพอมีพื้นที่เหลือให้ตากผ้าหรือซักล้างได้ประมาณนึง

ด้านบนแขวนคอมเพรสเซอร์แอร์หันออกไปด้านนอกให้เรียบร้อย โดยจะสามารถวางเครื่องซักผ้าบริเวณด้านล่างได้เช่นเดียวกับห้องที่แล้วนะคะ

ถัดเข้ามาที่ส่วนห้องนอนกันค่ะ โดยจะเป็นโถงทางเดินและค่อยแบ่งห้องอีกที ซึ่งส่วนนี้จะเริ่มเป็นโซน Private แล้วอย่างที่อธิบายไปในรูปแปลนห้องนะคะ ซึ่งใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้นหน่อย ก็สามารถทำประตูบานเปิด เพื่อปิดส่วนทางเข้าโถงทางเดินอีกทีก็ได้นะคะ

ความกว้างของโถงทางเดินประมาณ 1 ม. เดินได้สะดวกเลย โดยโถงทางเดินนี้จะแจกไปยัง 3 ห้อง คือห้องนอนใหญ่ ห้องนอนเล็กและห้องน้ำส่วนกลาง เดี๋ยวเราไปดูห้องน้ำก่อนนะคะ

ภายในห้องน้ำแบ่งโซนเปียกและแห้งไว้เป็นสัดส่วน แต่ห้องนี้จะเรียงลำดับแห้งแล้วค่อยไปเปียก โดยสุขภัณฑ์สองอันจะอยู่ติดกับทำให้ด้านหลังมี Low Wall กว้างประมาณ 12 ซม. ที่สามารถวางอุปกรณ์ห้องน้ำได้

ภายในห้องน้ำจัดพื้นที่ไว้ลงตัวในการใช้งาน โดยมีห้องน้ำเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีระยะการใช้งานกว้างพอสมควร สามารถใช้งานได้สบายค่ะ

ติดตั้งอ่างล้างหน้ายี่ห้อของ American Standard ตัวอ่างล่างมือมีขนาด 55 x 34 ซม. พร้อมติดกระจกเงาบานใหญ่เต็มถึงฝ้าเพดาน ส่วนโถสุขภัณฑ์จได้เป็นยี่ห้อ Marvel ค่ะ ส่วนสายชำระ และที่วางทิชชู่จะอยู่ด้านหลัง ของจริงจะได้ตามห้องตัวอย่างค่ะ

พื้นที่อาบน้ำมีฉากกั้นห้องมาให้เป็นกระจกเทมเปอร์ใส โดยจะมีขอบยกระดับขึ้นมาเล็กน้อยประมาณ 3 ซม. รวมถึงรอบตัวบานกระจกจะติดขอบยาง เพื่อป้องกันน้ำซึมย้อนมาอีกฝั่ง พื้นที่ยืนอาบน้ำ มีขนาดประมาณ 1.36 x 0.85 เมตร โดยมีพื้นกว้างพอสมควรสามารถใช้งานได้สะดวกค่ะ

อุปกรณ์ชุดอาบน้ำแบบ Hand Shower ยี่ห้อ American Standard ทางโครงการจะทำช่อง Junction งานระบบไว้ให้สามารถติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นได้ในภายหลัง แต่โครงการจะไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้นะคะ

บริเวณเพดานฉาบเรียบทาสีขาวพร้อมติดไฟ Downlight และติดพัดลมดูดอากาศยี่ห้อ Walter มาให้ค่ะ

ห้องนอนเล็กมีขนาดประมาณ 2.28 x 2.75 ซึ่งสามารถวางเตียงขนาด 3.5 ฟุต หรือ Single Bed จะเหมาะกับพื้นที่มากที่สุดค่ะ หรือจะเปลี่ยนห้องนี้เป็นห้องอเนกประสงค์ ไว้สำหรับทำงานเก็บงานสะสมได้นะคะ เหมาะกับคนที่อยู่กัน 2 คน และต้องการพื้นที่ส่วนตัวค่ะ

พื้นที่ห้องนอนเล็ก ถ้าวางเตียงขนาด 3.5 ฟุตชิดริมหน้าต่าง จะมีพื้นที่เหลือใช้งานกว้างพอสมควร ลูกบ้านสามารถตกแต่งได้ตามใจชอบค่ะ

ส่วนผนังฝั่งตรงข้ามถ้าทำเป็นกระจกจะทำให้ห้องดูกว้างมากยิ่งขึ้น รวมถึงยัง Built in เป็นที่นั่งทำงานและเก็บของได้อีกด้วยค่ะ

ในห้องนี้ก็ได้หน้าต่างและกระจกบานใหญ่เช่นเดียวกับห้องนอนในห้อง 1 Bedroom เลยค่ะ ซึ่งมองเห็นวิวและมีแสงสว่างเข้ามาภายในห้องได้ดีเช่นกัน โดยจะได้เป็นขอบอลูมิเนียมพ่นสี Powder Coat สีดำ พร้อมกระจกลามิเนตสีเขียวตัดแสงเช่นเดียวกันค่ะ

บริเวณเพดานจะเป็นฉาบเรียบทาสีขาว พร้อมติดไฟ Downlight มาให้ และยังมีเครื่อง Smoking Detector มาให้ในกรณีไฟไหม้อีกด้วย

ห้องนอนใหญ่นี้จะอยู่ตำแหน่งมุมของห้องพอดี ซึ่งจะได้กระจกเข้ามุมด้วย แต่เสียดายตรงที่ตำแหน่งของเตียงน่าจะอยู่ตรงข้าม เวลานอนก็เห็นวิวมุมกว้างจากกระจกเข้ามุมได้เลย แต่ในส่วนพื้นที่ที่ติดกับกระจกเข้ามุมในห้องนี้ก็สามารถจัดเป็นโต๊ะทำงานได้เช่นกันนะ เผื่อทำงานไปมองวิวไปก็เพลินๆ ดีเหมือนกันค่ะ สำหรับห้องนี้มีสามารถวางเตียง 5-6 ฟุตได้เลย ใครชอบเตียงใหญ่กลิ้งไปมาได้เยอะก็วางเตียง 6 ฟุตได้เลยค่ะ และยังเหลือพื้นที่ข้างเตียงพอสมควรให้วางโต๊ะทำงานหรือโต๊ะเครื่องแป้งด้านข้างได้

สำหรับห้องนี้จะได้หน้าต่างแบบ Bay Window ข้อดีคือสามารถเห็นวิวเต็มที่โดยไม่มีขอบอลูมิเนียมบัง และยังได้รับแสงธรรมชาติจากภายนอกเข้ามาได้

ฝั่งขวาของเตียงมีพื้นที่ซ่อนเข้าไปด้านในเพื่อให้เป็นพื้นที่วางตู้เสื้อผ้า จะได้ไม่ไปกินพื้นที่ทางเดิน ส่วนมุมที่ติดกับหน้าต่างของห้องนี้สามารถจัดเป็นพื้นที่ทำงานได้จะขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ตามขนาดเตียงด้านข้างด้วยค่ะ สำหรับห้องตัวอย่างนี้เค้าวางเตียงขนาด 5 ฟุตไว้เป็นตัวอย่างเลยได้พื้นที่ทำงานบริเวณนี้กว้างขึ้นมาหน่อย

พื้นที่หน้าตู้เสื้อผ้ามีขนาดประมาณ 1.40 เมตร ถือว่ากว้างเลยทีเดียว สามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าได้สบายเลยค่ะ

ปลายเตียงสามารถแขวนทีวีได้ ส่วนด้านข้าง Built in เป็นตู้โชว์ของได้ ห้องนี้ทางโครงการได้เตรียมช่องเสียบสัญญาณทีวีไว้ให้เรียบร้อยแล้วนะคะ ด้านข้างทีวีจะมีประตูทางเข้าห้องน้ำจากภายในห้องนอนได้เลย ข้อดีคือจะได้ความเป็นส่วนตัวไม่ต้องไปใช้ร่วมกับคนอื่นค่ะ

เมื่อวางเตียงขนาด 5 ฟุตไปจะเหลือพื้นที่ทางเดินรอบข้างและปลายเตียงให้พอเดินได้บ้าง มีความกว้างประมาณ 54 ซม. เป็นระยะที่เดินได้ แต่ไม่สามารถวางโต๊ะวางทีวีได้ ดังนั้นใครที่ต้องการติดทีวีในห้องนอน ควรจะติดทีวีด้วยวิธีแขวนจะดีสุดค่ะ ส่วนฝั่งที่ชิดริมหน้าต่างถ้าไม่ Built in ตู้จะมีความกว้างประมาณ 70 ซม.

บริเวณเพดานจะเป็นฉาบเรียบทาสีขาว พร้อมติดไฟ Downlight มาให้ และยังมีเครื่อง Smoking Detector มาให้ในกรณีไฟไหม้อีกด้วย

เข้ามาภายในห้องน้ำจะเหมือนกับห้องที่แล้วเลย แต่ประตูทางเข้า-ออกคนละทาง ซึ่งรวมๆแล้วก็มีพื้นที่การใช้งานเหมือนกันเลยนะคะ

ภายในห้องน้ำจัดพื้นที่ไว้ลงตัวในการใช้งาน โดยมีห้องน้ำเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีระยะการใช้งานกว้างพอสมควร สามารถใช้งานได้สบายค่ะ

พื้นที่ยืนอาบน้ำ มีขนาดประมาณ 1.40 x 0.85 เมตร โดยมีพื้นกว้างพอสมควรสามารถใช้งานได้สะดวกค่ะ

อุปกรณ์ชุดอาบน้ำแบบ Hand Shower ยี่ห้อ American Standard ทางโครงการจะทำช่อง Junction งานระบบไว้ให้สามารถติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นได้ในภายหลัง แต่โครงการจะไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้นะคะ

บริเวณเพดานฉาบเรียบทาสีขาวพร้อมติดไฟ Downlight และติดพัดลมดูดอากาศมาให้ค่ะ

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ

ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 12 February 2019

  • 1 bedroom ชั้น 30 ห้อง 3027 เนื้อที่ 26.10 ตร.ม. ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ราคา 2.60 ล้านบาท หรือ 99,712 บาท/ตร.ม.
  • 1 bedroom ชั้น 32 ห้อง 3234 เนื้อที่ 24.10 ตร.ม. ทิศตะวันตก ราคา 2.61 ล้านบาท หรือ 108,485 บาท/ตร.ม.
  • 2 bedroom ชั้น 32 ห้อง 3215 เนื้อที่ 56.45 ตร.ม. ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ราคา 5.54 ล้านบาท หรือ 98,188 บาท/ตร.ม.

  • 1 bedroom เป็น Fully Furnished (ให้ติดต่อโครงการอีกทีค่ะ)
  • 2 bedroom เป็น Fully Fitted (ให้ติดต่อโครงการอีกทีค่ะ)
  • ฝ้าเพดานสูง 2.70 เมตร
  • Kitchen & Sink
  • Hob & Hood
  • จอง 9,990 บาท
  • ทำสัญญา 0 บาท
  • ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม. (ชำระครั้งเดียว ณ วันโอนกรรมสิทธิ์)
  • ค่าส่วนกลาง 38 บาท/ตร.ม./เดือน (ชำระล่วงหน้า 12 เดือน ณ วันโอนกรรมสิทธิ์)

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ


เจาะลึกรวบยอด

โครงการ The Tree สุขุมวิท 71 – เอกมัย เป็นคอนโด High Rise สูง 33 ชั้นที่กำลังจะสร้างเสร็จในปี 2562 บนถนนสุขุมวิท 71 ใกล้แยกคลองตัน รวมถึงมี Facilities ที่หลากหลาย โดยมีที่ชั้น 1 , 7 และ 33 ที่กระจายตัวทำให้ไม่แออัด จุดเด่นเลยคือ Facilities ที่ชั้นดาดฟ้า ซึ่งถ้าเทียบกับโครงการในละแวกถือว่าให้มาครบครันทีเดียว รวมไปถึงวัสดุภายในห้องที่ให้มาในเกรดดีและฝ้าเพดานที่สูงถึง 2.7 ม. ด้วยราคาไม่แรงมากและไม่โดดไปจากโครงการข้างเคียงมากนัก เหมาะกับคนที่มีงบประมาณไม่มากและยังอยากเดินทางเข้าเมืองได้ง่าย โดยใช้เส้นเพชรบุรีตัดใหม่เป็นหลัก

ทำเล – โครงการอยู่ติดถนนสุขุมวิท 71 หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ “ถนนปรีดีพนมยงค์” ใกล้แยกคลองตันที่ตัดกับอีก 3 ถนนใหญ่ด้วยกัน คือ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่, ถนนพัฒนาการ และ ถนนรามคำแหง โดยจะอิงไปทางแยกคลองตันมากกว่าฝั่งสุขุมวิท บรรยากาศบนถนนนี้ยังคงเป็นย่านชุมชนเก่าแก่ ส่วนใหญ่จะเป็นตึกแถวที่ด้านล่างทำเป็นร้านค้าพาณิชย์ ด้วยความที่เป็นทำเลที่มีคนอยู่อาศัยมานาน ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของเส้นนี้เลย มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ตลาด และ Hyper Market หรือถ้าอยากจะไปห้างสรรพสินค้าก็สามารถขับรถไปได้ไม่ไกลมากนัก

การเดินทางโดยใช้รถ – สำหรับใครที่เน้นเดินทางเข้าเมืองเป็นหลักถือว่าสะดวก เพราะอยู่ใกล้แยกคลองตัน วิ่งเข้าเส้นเพชรบุรีตัดใหม่ ที่วิ่งไปเอกมัย-ทองหล่อเพียง 5 นาที รวมทั้งทำเลโครงการก็อยู่ไม่ไกลจากจุดขึ้น-ลงทางด่วยรามอินทรา-อาจณรงค์ ที่อยู่บนถนนพัฒนาการ ในส่วนของที่จอดรถให้มา 37% ไม่รวมจอดซ้อนคัน ถือว่าให้มาปานกลางกับระดับราคา และเมื่อเทียบกับการเดินทางด้วยรถสาธารณะที่สะดวกห่าง Airport Link รามคำแหงเพียง 350 เมตร ก็พอหักลบกับความต้องการที่จอดรถได้ ส่วนทางโครงการนั้นห้อง 1 bedroom จะให้ที่จอดรถ 1 คัน ส่วน 2 bedroom จะได้ที่จอดรถ 2 คัน แต่ไม่ได้ Fix แบบในโฉนด ดังนั้นก็ยังคิดเป็นพื้นที่ส่วนกลางขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของนิติบุคคลต่อไปค่ะ

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ – เป็นทำเลที่มีตัวเลือกในการเดินทางพอสมควร ที่เด่นเลยคือ Airport Link รามคำแหง ที่สามารถเดินเท้าไปได้ประมาณ 350 เมตร ถือเป็นระยะเดินสบาย แต่ก็ไม่ได้สะดวกมากนักถ้าเทียบกับโครงการใกล้เคียงที่ไม่ต้องข้ามถนนบริเวณแยกคลองตัน ที่จะมีปริมาณรถค่อนข้างมาก เวลาข้ามอาจจะต้องระวังสักเล็กน้อยนะคะ หรือถ้าใครไม่อยากรถติดบนท้องถนน ก็จะมีท่าเรือสะพานคลองตัน ที่ห่างจากโครงการประมาณ 400 เมตร อาจจะเดินลำบากสักนิดเพราะว่าต้องข้ามถนนหลายต่อ ถ้าใครขี้เกียจก็โบกพี่วินไปได้ ส่วนการเดินทางแบบไม่ใช่รถเบสิคทั่วไปก็มีครบครัน ทั้งพี่วิน แท็กซี่ กระป้อและรถเมล์ เพราะตัวโครงการอยู่ติดถนนสุขุมวิท 71 เลย มีรถผ่านไปผ่านมาตลอดทั้งวันอยู่แล้วค่ะ

การออกแบบตัวอาคาร – ตัวโครงการออกแบบมาเด่นกว่าโครงการในละแวกนี้ มีการใช้ลูกเล่นของป่าสนเข้ามาภายในโครงการ ทำให้เราเห็นเส้นสายสีน้ำตาลออกทองวิ่งรอบโครงการ รวมถึงโทนสีเข้ามที่ตัดกับเส้นทำให้อาคารดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมี Facilities ที่ออกแบบมาให้ตรงกับคอนเซ็ปต์อย่าง Tree House Garden ที่มีถึง 2 จุดทั้งชั้นล่างและบน จัดเป็นเอกลักษณ์ของโครงการภายใต้ชื่อ The Tree แต่จะแลกมากับจำนวนยูนิตที่ค่อนข้างมาก ทำให้อัตราส่วนลิฟต์หนาแน่นสูงระดับนึงประมาณ  220 : 1 ส่วน Layout Plan ชั้นพักอาศัยเราจะเห็นว่ามีจำนวนยูนิตต่อชั้นที่ 34 ยูนิต รวมถึงมีทางด้านที่ค่อนข้างยาว ทำให้ห้องที่อยู่ริมหัวมุมฝั่งด้านหน้าโครงการจะต้องเดินไกลสักหน่อย ถ้าใครลืมของก็อาจจะต้องเดินกันเยอะหน่อยนะคะ

การออกแบบตัวห้อง – ส่วน Layout ห้องเริ่มจาก 1 Bedroom 26 ตร.ม. จัดออกมาได้เป็นสัดส่วนดี ได้ครัวปิดใช้ง่ายได้จริง แต่ก็แลกมากับตำแหน่งของพื้นที่นั่งเล่นไม่ติดกับด้านนอก สำหรับคนที่ชอบวิวจากห้องนั่งเล่นโดยตรงเลยอาจจะไม่ชอบมากนัก ส่วนห้อง 2 Bedrooms 56.45 ตร.ม. จัดวางฟังก์ชันได้น่าสนใจ โดยส่วน Common Area จะอยู่ก่อนจะถึงโซน Private ที่เป็นห้องนอนทั้ง 2 ห้องนั้นจะถูกกั้นด้วยโถงทางเดินเล็กๆ และห้องน้ำ ทำให้การใช้งานดูเป็นสัดส่วนชัดเจน และยังคงความเป็นส่วนตัวให้กับห้องนอนทั้ง 2 ห้องได้ดีทีเดียวค่ะ

วัสดุ – โดยรวมถือว่าให้เกรดวัสดุมาดีเทียบกับระดับราคาที่จ่ายไป เด่นในเรื่องของฝ้าเพดานที่ได้มาสูง 2.7 ม. ทำให้ห้องโปร่งโล่ง ซึ่งถือว่าให้ความสูงฝ้ามามากกว่าโครงการอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน ส่วนรูปแบบการขายจะมีทั้งแบบ Fully Furnished และ Fully Fitted ซึ่งจะต้องสอบถามทางโครงการอีกทีนะคะ แต่ที่ได้แน่นอนจะเป็นชุดครัว ชุดสุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำ และเครื่องปรับอากาศ ซึ่งข้อดีของโครงการที่ให้เฟอร์นิเจอน์มาจะสามารถเข้าอยู่ได้เลย ส่วนถ้าใครชอบตกแต่งห้องเองก็อาจจะต้องเลือกห้องแบบ Fully Fitted นะคะ ส่วนสเป็คพื้นในห้องนอนแล้วห้องนั่งเล่นจะเป็นลามิเนต 8 มม. ส่วนห้องครัวของ 1 bedroom และห้องน้ำจะเป็นพื้นกระเบื้องแกรนิตโต้ สำหรับระเบียงจะเป็นกระเบื้องเซรามิกปูให้ สุขภัณฑ์ทั้งหมดจะเป็น American Standard แต่โถสุขภัณฑ์จะเป็นยี่ห้อ Marvel พร้อมฉากกั้นกระจกแยกส่วนเปียก-แห้ง  ในห้องน้ำทุกห้องค่ะ

สาธารณูปโภค – เป็นจุดขายของโครงการนี้  มี Facilities ให้เลือกใช้ค่อนข้างหลากหลายน่าใช้งาน การจัดส่วนกลางทำออกมาได้ดี โดยจะแบ่งพื้นที่ใช้งานออกเป็น 3 ส่วน บริเวณชั้นที่ 1 มี On Ground Backyard ที่เป็นสวนหย่อมเดินเล่นด้านหลังพร้อมบ้าน Tree House ให้เด็กๆมานั่งเล่นกัน เข้ามาภายใน Main Lobby จะมีห้อง Mailbox สำหรับลูกบ้าน รวมถึงยังมีห้อง Recreation Room ให้มานั่งอ่านหนังสือและชมวิวสวนกันอีกด้วย ถัดมาที่ชั้น 7 กับห้อง Co-Working Space และ Life Loft Garden และชั้นดาดฟ้าที่จัดสระว่ายน้ำแบบ Free Form ยาว 33 ม. ที่จะทำให้ว่ายน้ำได้ตามใจชอบไม่มีทิศทางกำหนด นอกจากนี้ยังมีห้อง Sky Lounge, Sky Gym & Yoga Room, Sky Garden ที่จัดบ้าน Tree House ขึ้นมาเล่นได้อีก 1 จุด และที่เป็นอีกหนึ่ง Hilight คือ Observation Deck เป็นระเบียงพื้นกระจกให้สามารถมองวิวลงไปที่ชั้น 1 ได้ ถ้าใครไม่กลัวแนะนำให้มาลองยืนดู เพราะจะได้วิวรอบทิศทางเลย ถือว่าให้ Facilities จัดเต็มเมื่อเทียบกับราคาค่ะ

Judgement

การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

เทียบกับช่วงราคา AVG 97,000 บาท/ตร.ม., 12 February 2019

  • ทำเล 7.5/10 – อยู่ในย่านชุมชนเก่าแก่ มีความอุดมสมบูรณ์
  • เดินทางด้วยรถ 7.75/10 – ติดถนนใหญ่ ใกล้แยกคลองตัน เข้าเมืองจากถนนเพชรบุรีตัดใหม่ได้สะดวก ให้ที่จอดรถไม่มากนัก 37%
  • ไม่ใช้รถ 8.25/10 – มีตัวเลือกในการเดินทางหลากหลาย, Airport link 350 ม. และเรือด่วนแสนเสบ
  • วัสดุ 8/10 – ให้เกรดมาดี เมื่อเทียบกับราคา
  • แบบ 7.5/10 – อาคารมีความหนาแน่นสูง ส่วน Layout ห้องจัดฟังก์ชันลงตัวดี ได้ฝ้าสูง 2.7 ม.
  • สาธารณูปโภค 8.5/10 – ให้มาเยอะและเด่นกว่าโครงการข้างเคียงด้วย Rooftop Facilities และราคาไม่โดด

  • UPPER CLASS
  • 7.82 / 10.00

BOTTOM LINE

The Tree สุขุมวิท 71-เอกมัย เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดเพื่ออยู่อาศัยในราคาหยิบจับง่าย เน้นเดินทางเข้าเมืองสะดวกหรือขึ้น Airport Link รามคำแหงง่าย รวมถึงมี Facilities ที่หลากหลาย กระจายตัวอยู่ในแต่ละชั้นเพื่อแบ่งการใช้งาน มีงบประมาณตั้งแต่ 2.20 – 5.50 ล้านบาท หรือมีกำลังผ่อนต่อเดือนประมาณ 15,000 – 35,000 บาท