รีวิวฉบับที่ 972 สวัสดีค่ะทุกคน หลังจากที่มีหลายเสียงจาก Comment รีวิวเก่าที่อยากให้รีวิว TC Green พระราม 9 เฟส 2 กัน วันนี้ทางทีมงานได้มีโอกาสเข้าไปชมตึกเสร็จเฟส 2 กันแล้วนะคะ สำหรับเฟส 2 นี้ขอเกริ่นก่อนว่ามีหลายอย่างที่ปรับเปลี่ยนและพัฒนาจากเฟส 1 และราคาที่ขยับขึ้นมาโดยปัจจุบันประมาณ 79,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งรีวิวฉบับนี้จะพาไปชมตึกเสร็จเฟส 2 และอัพเดตบริเวณร้านค้าเฟส 1 กันค่ะ จะเป็นอย่างไรนั้นเราไปชมพร้อมๆ กันเลย ^^
สำหรับรีวิวตึกเสร็จในเฟส 1 นั้น Mr. Oe ได้รีวิวไว้ในฉบับก่อน ช่วงตึกเสร็จใหม่ (ปลายปี 2013) คลิกที่นี่
Fact @ 18 Nov 2015
- TC Green Condo Rama 9 Phase 2 (ทีซี กรีน คอนโด พระราม 9 เฟส 2)
- TC Development
- MAIN CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ในเขต : ห้วยขวาง
- คอนโด High Rise 2 อาคาร (อาคาร C สูง 36 ชั้น และอาคาร D สูง 34 ชั้น) ยูนิตพักอาศัย 758 ยูนิต และยูนิตร้านค้า 18 ยูนิต (รูปแบบการเช่า)
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด (อาคาร C 12 ยูนิต และอาคาร D 13 ยูนิต)
- ที่จอดรถประมาณ 391 คันคิดเป็น 50% รวมจอดซ้อนคัน ที่จอดมอเตอร์ไซต์ 20 คัน
- ที่ดินประมาณ 7-1-1 ไร่
- เริ่มก่อสร้าง : มิถุนายน 2556
- แล้วเสร็จ : มิถุนายน 2558
- 1 Bedroom 35 – 42 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.56 ล้านบาท
- 2 Bedrooms 56.62 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.68 ล้านบาท
- ฝ้าเพดานสูง 2.70 เมตร
- ราคาห้องเริ่มต้น 2.56 ล้านบาท
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 79,000 บาท/ตร.ม.
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำสุด-สูงสุด 68,125 – 86,282 บาท/ตร.ม.
- เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- โทร : 02 – 203 – 1555
เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วค่ะ
สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างนะ
พิกัด : 13.753705, 100.575936
แผนที่โครงการ เฟส 2 ตั้งอยู่บริเวณแยกผังเมือง หน้าโครงการติดกับถนนจตุรทิศใกล้สถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งรวมร้านอาหารอร่อยๆ อย่าง RCA รวมไปถึงใกล้จุดขึ้น – ลงทางด่วนอย่างทางด่วนศรีรัช ที่วิ่งเข้าพญาไทหรือไปสุวรรณภูมิได้ง่าย ส่วนด้านหลัง (เฟส 1) ติดถนนใหญ่อย่างถนนพระราม 9 ที่สามารถตรงไปยังอนุสาวรีย์ หรือจะเชื่อมเข้าถนนรามคำแหงได้ค่ะ ส่วนระยะห่างของระหว่างโครงการกับ MRT สถานีพระราม 9 ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้นจะอยู่ในระยะ 1.1 กม. ซึ่งไม่ได้จัดอยู่ในระยะเดินนะคะ
TC Green พระราม 9 (เฟส 2) หน้าทางเข้าโครงการตั้งอยู่บนถนนจตุรทิศฝั่งขาออกวิ่งไปทางถนนพระราม 9 ซึ่งมุ่งไปทางถนนรามคำแหง ซึ่งถนนจตุรทิศนี้เป็นถนนสายสั้นๆเริ่มจากถนนศรีอยุธยาวิ่งไปทางตะวันออกตัดกับถนนดินแดงตัดใหม่, ถนนจตุรทิศ – ดินแดง และถนนอโศก – ดินแดงไปสิ้นสุดที่ถนนพระราม 9 การเข้าถึงโครงการจึงสามารถใช้ถนนราชปรารภ, ถนนศรีอยุธยา, ถนนดินแดง เพื่อเข้าจตุรทิศได้ ในเรื่องของความสะดวกในการเดินทางนั้นถือว่าดีในระดับนึงเพราะเป็นเส้นทางที่สามารถลัดเลาะหลบหลีกไปได้หลากหลาย ถ้าไม่รวมถึงการจราจรที่หนาแน่นทั้งช่วงเวลาเร่งด่วน และตอนกลางคืน เพราะใกล้สถานบันเทิงอย่าง RCA
ในย่านนี้เรียกได้ว่าเป็นย่านคึกคักทั้งกลางวันและกลางคืนโดยแท้ อันเนื่องจากช่วงเวลางานจะมีหนุ่มสาวที่ทำงานแถวนี้อยู่พอสมควร ส่วนกลางคืนเป็นแหล่งที่มีทั้งที่กินที่เที่ยวตอนกลางคืนมากมาย ทำให้ย่านนี้ค่อนข้างคึกคัก ซึ่งผลพลอยได้คือการเดินทางตอนกลางคืนไม่ลำบากและไม่เปลี่ยว เรียก Taxi ได้ง่ายมากเพราะจะมีมาจอดรอรับ – ส่งผู้โดยสารตลอดคืน แต่ก็ต้องแลกมากับความพลุกพล่านของย่านท่องเที่ยวยามราตรี รวมไปถึงมลภาวะทางเสียงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ทำเลรอบๆ โครงการถือว่ามีความอุดมสมบูรณ์พอสมควรนะคะ ถึงจะไม่ได้มีร้านค้าที่เปิดกันอย่างคึกคักในระยะที่เดินได้ง่ายๆ แต่ก็มีแหล่งที่ฝากท้องกันได้อยู่บริเวณใกล้ๆ อาคารว่องวานิชที่จะมีร้านค้าในเต้นท์ และร้านริมทางที่เปิดให้บริการพนักงานบริษัทในแถบนี้ รวมทั้งในซอย RCA ที่มีร้านอาหารขายค่อนข้างคึกคักอยู่ทีเดียวนะคะ แต่จะราคาค่อนข้างสูงเกินมาตรฐานราคาข้าวแกง อาหารตามสั่งไปสักหน่อย
สำหรับใครที่ขี้เกียจเดินออกนอกโครงการ แดดก็ร้อน (ตามประสาสาวๆ กลัวแดด) ก็ยังมีร้านอาหาร และ Shop ในโครงการไว้คอยให้บริการลูกบ้านอยู่นะคะ ด้วยจำนวนร้านค้าที่นี่ถือว่าไม่น้อยเลยนะคะ เรียกได้ว่าเป็นน้องๆ Community mall ได้อยู่เลยค่ะ ในส่วนของร้านค้าทางโครงการไม่ได้ปล่อยให้เช่า แต่จะเป็นการขายขาดอย่างเดียว ดังนั้นร้านค้าน่าจะอยู่แบบระยะยาวไม่เปลี่ยนเจ้าบ่อยๆ อย่างที่เห็นในรูปแบบของการเช่า
บรรยากาศในซอย RCA ที่มีร้านค้าร้านอาหารมากมายในตอนกลางวัน
สำหรับการเดินทางโดยไม่ใช้รถ ปัจจุบันสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้โครงการมากที่สุดคือสถานี พระราม 9 โดยอยู่ห่างจากหน้าโครงการฝั่งถนนพระราม 9 อยู่ประมาณ 1.2 กม. ซึ่งไม่จัดว่าอยู่ในระยะเดินได้สบายๆ อาจจะต้องพึ่งพี่วิน หรือพี่เเท็กซี่เพื่อไปลงสถานี พระราม 9 แต่ในอนาคตที่ยังไม่แน่นอนนั้นทางการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศได้กำหนดโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มขึ้นมา จะยิ่งเพิ่มความสะดวกสบายให้กับการเดินทางโดยไม่ใช่รถมากขึ้นเยอะเพราะสถานี รฟม. อยู่ห่างจากโครงการประมาณ 600 ม. โดยรถไฟฟ้าสายสีส้มนี้ยังไม่มีกำหนดการเริ่มและแล้วเสร็จอย่างชัดเจน
การเดินทางเริ่มต้นจากแยกประดิษฐ์มนูธรรม ตรงมาเข้าถนนจตุรทิศที่อยู่คู่ขนานกับถนนพระราม 9 แล้ววนรถกลับไปในฝั่งขาออก
เริ่มจากแยกประดิษฐ์มนูธรรม บนถนนพระราม 9 ขับตรงไปเรื่อยๆ
ด้านซ้ายจะเจอกับสวนพรรณภิรมย์ที่สวนสาธารณะที่ภายในสวนยังมีการปลูกต้นไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติให้ได้ศึกษากันด้วย รวมทั้งยังมีสนามบาสเก็ตบอล สนามตะกร้อ สนามเด็กเล่น ลานอเนกประสงค์ อุปกรณ์ออกกำลังกายและยังมีลานนวดฝ่าเท้า
เมื่อผ่านสวนพรรณภิรมย์มาแล้ว จะเห็นทางแยกให้เบี่ยงซ้ายเพื่อเข้าถนนจตุรทิศ
ตรงมาเรื่อยๆ บนถนนจตุรทิศ ประมาณ 1.5 กิโลเมตร จะเจอกับโครงการซึ่งอยู่อีกฝั่งนึง ให้เตรียมเบี่ยงขวากลับรถได้เลยค่ะ
จุดกลับรถจะอยู่เยี้ยงกับทางเข้าโครงการเลยค่ะ
หน้าทางเข้าโครงการหาได้ไม่ยากเลยค่ะ เพราะจะเห็นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้าเลย
มาดูบริบทโดยรอบกันค่ะ ในทิศเหนืออยู่ติดกับถนนพระราม 9 ซึ่งฝั่งตรงข้ามยังเป็นที่ดินว่างเปล่า เยื้องๆไปด้านขวาเป็นตึกกรมโยธาธิการและการผังเมือง ในทิศนี้จึงค่อนข้างเปิดโล่งเห็นวิวในมุมมองไกลๆ ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับโรงแรง Maxx ที่มีความสูงตึกประมาณ 23 ชั้น ดังนั้นห้องพักที่อยู่ในทิศนี้ชั้นล่างๆ ก็จะถูกโรงแรมบล็อกวิวระยะไกลไป แต่ก็ไม่ถึงกับอึดอัดนะคะ เพราะมีระยะระหว่างอาคารพอสมควร ในทิศใต้ติดกับถนนจตุรทิศเยื้องกับคอนโดที่มีความสูง 16 ชั้น ซึ่งไม่ได้มีผลในเรื่องของวิวเท่าไหร่นักนะคะ เพราะระยะห่างนั้นสามารถเป็น City View ใกล้ๆ ได้ ในทิศตะวันตกติดกับซอย RCA เรื่องวิวไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่เพราะไม่มีตึกสูงมาบดบังในระยะใกล้ๆ แต่จะมีปัญหาในเรื่องมลภาวะทางเสียงในตอนกลางคืนมากกว่าค่ะ
มาดูทิศทางแดดกับอาคารแต่ละตึกกันค่ะ สำหรับเฟส 2 อย่าง อาคาร C นั้นในช่วงเที่ยงจะได้รับแดดแบบเต็มๆ สำหรับใครที่เลือกห้องในทิศนี้ ก็จะค่อนข้างอมแดดในตอนกลางวัน แต่ก็ไม่นานนักก็สามารถระบายความร้อนออกได้ก่อนจะถึงช่วงเย็นที่เลิกงานและกลับห้องมา แต่ในทางกลับกันก็จะเป็นอาคารที่ได้รับวิวที่ดีกว่าอาคาร D ที่ถูกอาคาร C บล็อกวิวอยู่นั้นเอง ส่วนอาคาร D จัดว่าอยู่ในตำแหน่งแดดที่ดีนะคะเพราะได้รับแสงแดดในช่วงเช้าที่ถือว่าเป็นแสงแดดที่มีประโยชน์และไม่ร้อนมากนัก รวมไปถึงตอนบ่ายก็ยังมีอาคาร A คอยบังแดดให้ได้ด้วย(เฉพาะชั้นล่างๆนะ ^^)
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- โรงพยาบาลปิยะเวท ~ 550 เมตร
- โรงพยาบาลพระราม 9 ~ 700 เมตร
- Show DC ~ 1.4 กิโลเมตร
- ฟอร์จูน ~ 1.4 กิโลเมตร
- เซ็นทรัลพระราม 9 ~ 1.8 กิโลเมตร
- มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ~ 1.7 กิโลเมตร
- โรงเรียนสาธิต มศว ~ 1.7 กิโลเมตร
- โรงพยาบาลกรุงเทพ ~ 2.3 กิโลเมตร
- Terminal 21 ~ 3.2 กิโลเมตร
- โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ~ 3.3 กิโลเมตร
สำหรับอาคาร C และอาคาร D เป็นอาคารที่จัดอยู่ในเฟส 2 ของโครงการ ลักษณะหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับรุ่นพี่เฟส 1 แต่ภายในอาคารและการออกแบบมีพัฒนาการที่ดีขึ้น รวมไปถึงการแก้ปัญหาในบางจุดที่เรียนรู้มาจากเฟส 1 ซึ่งเดี๋ยวเราไปดูกันในแต่ละจุดกันเลยค่ะ
ผังโครงการของเฟส 2 ทางเข้า – ออกหลักอยู่ติดถนนจตุรทิศ ภายในเฟสนี้ประกอบไปด้วยอาคารอยู่อาศัย คืออาคาร C และ D ส่วนอาคาร O ที่เห็นอยู่ทางด้านขวาเป็นอาคารสำนักงานใหญ่ของเทียนเฉิน ข้อดีคือ เวลามีปัญหาอะไรสามารถมาแจ้งกันได้เลยเสมือนมีคนดูแลให้อยู่ตลอด แต่ในทางกลับกันความเป็นส่วนตัวในโครงการที่ควรจะมีเพียงผู้อาศัยนั้นจะน้อยลงไปนิดหน่อยเพราะมีบุคคลอื่นที่เป็นพนักงานออฟฟิศสามารถเข้าโครงการได้
การสัญจรภายในโครงการเป็นการวนรถทางเดียวแยกระหว่างตึก C และ D กันอย่างชัดเจน ช่วยให้การสัญจรภายในไม่ติดขัด ส่วนสะพานเชื่อมระหว่างเฟส 1 และเฟส 2 นั้นยังไม่ได้เปิดให้ใช้บริการทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันยังไม่ได้ประชุมลงมติอัตนุมัติจากนิติบุคคลของเฟส 1 ซึ่งเมื่อไหร่ที่สะพานเปิดให้ใช้ได้จะช่วยในเรื่องความสะดวกในการเดินทางเข้า – ออกไปยังถนนพระราม 9 มากขึ้นมากๆ ส่วนการเดินผ่านนั้นสามารถเดินผ่านได้อยู่เพราะในเฟส 1 มีร้านค้าอยู่ด้วย
เส้นทางที่เราจะพาเดินไปชมกันก่อนที่จะขึ้นตึกไปดู จะเริ่มต้นจากหน้าทางเข้าเดินวนจากอาคาร D ไปยังอาคาร C และจะเดินไปอัพเดตร้านค้าของเฟส 1 ว่าเป็นอย่างไรบ้างในปัจจุบัน
จากหน้าทางเข้า จะแยกเส้นทางเป็น 3 ทางคือทางขวาเป็นอาคารสำนักงานใหญ่ของเทียนเฉิน ทางขวาเป็นทางเข้า – ออกของอาคาร C และตรงไปด้านหน้าเป็นทางเข้า – ออกของอาคาร D
หน้าสำนักงานใหญ่เทียนเฉิน
หน้าอาคาร C ด้านข้างมีที่จอดรถประมาณ 40 คัน แต่ต้องแบ่งกันกับร้านค้าที่อยู่ด้านหน้าใช้ด้วยนะ ถ้าใครอยู่อาคาร C ให้ใช้ทางเข้าด้านนี้นะคะ
ร้านค้าในอาคาร C ยังไม่มีร้านค้ามาเปิดให้เห็นนะ
เดินต่อมาที่ทางเข้า – ออกของอาคาร D ใช้ระบบ Key Card Access ระยะใกล้ในส่วนนี้ ไม่มีหลังคาบริเวณนี้ สำหรับเฟส 2 จะมีการอัพเกรดจากเฟส 1 ที่เป็น Key Card ระยะใกล้เป็นระยะไกลโดยลักษณะการใช้งานเช่นเดียวกับบัตร Easy Pass ของทางด่วน ซึ่งเป็นระบบที่เปลี่ยนไปจากเฟส 1
เครื่องสแกนบัตรพร้อม CCTV 1 ตัวส่องทะเบียนรถ
เดินไปดูทางเข้าที่จอดรถของอาคาร D กันก่อนนะคะ
สำหรับอาคาร C และ D การเข้า – ออกในอาคารใช้ระบบ Key Card Access ระยะไกลอีกจุดที่สามารถสแกนบัตรได้เลยโดยไม่ต้องออกจากรถเช่นกัน การที่โครงการทำระบบไม้กั้นอีกจุดถือว่าดีกับลูกบ้านมากค่ะ เพราะถ้าอีกหน่อยถ้าสะพานเปิดแล้วจะมีลูกบ้านใช้ถนนหลักในโครงการกันเยอะไม้กั้นตรงนี้จะช่วยไม่ให้ลูกบ้านจากอาคารอื่นมาใช้ที่จอดของอาคารนี้ได้
พาเดินขึ้นมาดูภายในที่จอดรถกันหน่อยนะคะด้านข้างมีที่จอดรถสำหรับมอเตอร์ไซต์ได้
ชั้นขจอดรถเป็นแบบครึ่งชั้น มีช่องจอดให้แบบมาตราฐาน
ลงมาเดินดูรอบๆโครงการกันต่อจะเห็นว่ารอบข้างถนนมีการปลูกสวนหย่อมและจัดซุ้มที่นั่งเล่นไว้ให้ ทำให้บรรยากาศภายในโครงการร่มรื่นและสบายตาดี
เดินมาจนถึงป้ายน้ำพุที่อยู่ตรงกลางระหว่างอาคาร C และ D
ด้านหลังน้ำพุเป็นทางเดินที่ปลูกสวนหย่อมได้ด้านข้างดูสวยงาม ซึ่งในช่วงเช้าและเย็นจะน่าเดินเล่นดีนะคะ ด้วยแสงแดดที่ไม่ร้อนมากนักและบริเวณทางเดินนี้เป็นทางเดินที่อยู่ระหว่างระยะห่างของอาคารทำให้เกิดช่องลม พัดผ่านเย็นสบาย
เดินทางดูรอบๆ อาคาร C บ้าง
ด้านข้างอาคาร C มีสนามบาสเล็กๆ ให้ด้วย โดยจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่ดี เพราะมีอาคารรอบทิศมาช่วยบังแสงแดดให้ทำให้บริเวณนี้ค่อนข้างร่มอยู่ตลอด
ทางเดินด้านข้างอาคาร C ติดกับ RCA รอบรั้วโครงการปลูกไม้พุ่มสูงไว้สูงระดับนึง
เดินย้อนกลับมาที่สะพานเชื่อมระหว่างเฟส 1 และเฟส 2 กันตัวสะพานค่อนข้างกว้างถ้าเปิดแล้วรถก็วิ่งสวนกันได้สบายๆ และยังมีทางเท้าให้คนเดินได้อยู่ สำหรับใครที่กังวลว่าจะมีคนทั่วไปมาใช้เป็นทางผ่านรึเปล่า ไม่ต้องห่วงนะคะเพราะทางโครงการจะอนุญาตให้เฉพาะลูกบ้านใช้ผ่านเข้าออกเท่านั้น
สะพานนี้เป็นสะพานข้ามคลองสามเสนใน คลองนี้ไม่มีการสัญจรทางเรือนะคะ สำหรับกลิ่นน้ำคลองนี้มีบ้างแต่ไม่แรงเท่าไหร่ ซึ่งเท่าที่เดินรอบๆอยู่ประมาณ 4 ชม.ถือว่ายังพอรับได้ค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าจะมีช่วงที่กลิ่นแรงรึเปล่านะคะ สำหรับลูกบ้านที่อาศัยอยู่ชั้นล่างๆก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนักเพราะมีระยะห่างจากคลองอยู่หน่อย
เราเดินทะลุไปดูบรรยากาศบริเวณเฟส 1 กันต่อเลยนะคะเพราะอยากจะให้ดูว่าเฟสแรกได้สร้างเสร็จและมีลูกบ้านมาอยู่กันได้สักระยะแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง พื้นที่ระหว่าง 2 อาคารแรกจะให้มีพื้นที่ส่วนกลางค่อนข้างมากมี Landscape ที่ดูร่มรื่น และมีความเป็น Community Mall เล็กๆ สองฝั่งใต้อาคารมีร้านค้าอย่าง 7 – 11, ร้านคาเฟ่เล็กๆ
มี 7 – 11 ขนาดใหญ่อยู่ใต้อาคาร A
ส่วนร้านค้าใต้อาคาร A จะยังค่อนข้างเงียบเหงา ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทเล็กๆ มาเปิดมากกว่า
ในส่วนของอาคาร B มีร้านกาแฟอยู่ด้านล่างชื่อว่า Coffee Havana
ร้านค้าในอาคาร B นี้ค่อนข้างคึกคักพอสมควร มีทั้งร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านขนม ร้านซักรีด และร้านทำผม
กลับมาที่เฟสสองกันนะคะ ตอนนี้เราอยู่หน้าทางเข้า Lobby อาคาร C กันค่ะ
พอแหงนหน้าขึ้นไปมองตัวอาคารจะสังเกตเห็นว่าอาคารในเฟส 2 นี้มีการปรับเปลี่ยนที่วางคอมเพรสเซอร์แอร์แล้วโดยให้อยู่ด้านใน เพื่อความสวยงามและสามารถใช้ระเบียงได้เต็มที่
ผังชั้น G แบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนภายในอาคาร, พื้นที่จอดรถ และ ร้านค้า 4 ร้าน โดยการแบ่งพื้นที่ด้วยการวางพื้นที่จอดรถอยู่ตรงกลางระหว่างร้านค้าและส่วนภายในอาคารออกจากกัน ช่วยแยกความเป็นส่วนตัวให้ภายในอาคารมากขึ้นและเป็นสัดส่วนดี ภายในอาคารชั้นนี้มีห้องพักอาศัยด้วยนะคะ อาจจะดูไม่เป็นส่วนตัวไปสักหน่อยเพราะอยู่ติดกับโถงลิฟต์ แต่ทางเข้าห้องจัดให้หลบอยู่ด้านหลังก็พอช่วยได้บ้าง
เข้ามาที่ Lobby แล้วจะเจอกับพื้นที่โถงลิฟต์และโถงบันได้ทึ่อยู่ตรงกลาง ถือเป็นข้อดีนะคะเพราะในทุกๆ ห้องจะสะดวกในการใช้งานโดยไม่ต้องเดินระยะไกลไปทางด้านใดด้านหนึ่ง และด้านข้างมีทางเชื่อกับบริเวณที่จอดรถ
ชั้นลอย มีแต่พื้นที่จอดรถ โดยในอาคาร C มีช่องจอดรถทั้งหมด 52 ช่องจอด คิดเป็น 45% ไม่รวมจอดซ้อนคัน ถือว่าให้มาแบบมาตรฐานถ้าเทียบกับ Segment นี้ แต่หากมองในแง่ของการใช้งานที่ทำเลโครงการเหมาะกับเดินทางโดยใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นหลักก็อาจจะมีที่จอดไม่พออยู่เหมือนกัน
ชั้นนี้จะแบ่งเป็นชั้นพักอาศัยและชั้นจอดรถ ซึ่งแบ่งโซนได้เป็นสัดส่วนชัดเจน สำหรับข้อดีของชั้นพักอาศัยชั้นนี้คงเป็นเรื่องความสะดวกในการเดินทาง เพราะสามารถเดินไปยังที่จอดรถได้เลยโดยไม่ต้องรอลิฟต์
ภายใน Lobby อาคาร C ตกแต่งเน้นโทนสีไปทางสีทองและลวดลายมียังคงเอกลักษณ์ของความเป็นจีน ทำให้ Lobby ดู Grand ขึ้นมา ส่วนด้านข้างเป็นบริเวณที่นั่งคอย (Waiting Area) สำหรับลูกบ้านในอาคารหรือแขก
ชุดที่นั่งที่จัดให้เป็นเก้าอี้โซฟา สวยและเรียบง่ายดีนะ
ประตูทางเข้าโถงลิฟต์ต้องสแกนบัตรก่อนเข้า
ภายในโถงลิฟต์จัดพื้นที่ได้กว้างพอสมควร มีระยะเพียงพอที่จะรองรับจำนวนคนที่ยื่นคอยลิฟต์ในช่วงเวลาเร่งด่วนได้ดี
ด้านข้างโถงลิฟต์มีประตูเชื่อมไปยังบริเวณพื้นที่จอดรถ
เลี้ยวมาด้านขวาจากทางเดินตรงไปที่จอดรถมีห้องควบคุมและ Mail Box อยู่ทางด้านซ้าย ส่วนด้านขวาเป็นโถงลิฟต์ Service
ภายในห้อง Mail Box จัดวางตู้ได้เรียบร้อย
ภายในโถงลิฟต์ Service ที่ทางโครงการมีให้ 1 ตัว ด้านข้างเป็นบันไดหนีไฟ และมีประตูเชื่อมไปยังโถงลิฟต์โดยสาร
ภายในลิฟต์โดยสารตกแต่งเรียบง่ายดี ใช้ระบบแบบ Proxy Lift หรือลิฟต์ล็อกชั้นพักอาศัยชั้นตัวเองและชั้น Facility ช่วยในเรื่องความปลอดภัยที่มากขึ้นได้ดี
ชั้น 3 – 4 คล้ายคลึงกับชั้น 2 แต่มีห้องพักเพิ่มมาอีกยูนิตเป็น 10 ยูนิตในชั้นนี้ การจัดผังบริเวณที่พักอาศัยมีการเว้นช่องว่างทั้งสองช่องด้านบนและล่างโถงลิฟต์ ซึ่งนอกจะช่วยให้แสงสว่างจากด้านนอกเข้ามาภายในโถงลิฟต์ได้แล้วยังสามารถช่วยเพิ่มช่องในการระบายลมให้กับโถงทางเดินด้วย ส่วนห้องที่อยู่ติดกับช่องนี้จะมีข้อดีคือมีกำแพงที่ติดกับเพื่อนบ้านแค่ด้านเดียว ทำให้เสียงไม่ทะลุเข้าห้องอีกฝั่ง
ชั้น 5 จัดวางแปลนเหมือนกันกับชั้น 3 – 4 แตกต่างตรงบริเวณด้านข้างที่มีหลังคาเพิ่มขึ้นมา
ชั้น 6 ในบริเวณที่พักอาศัยไม่แตกต่างกับชั้น 3 – 5 แต่บริเวณที่จอดรถมีช่องจอดน้อยลงมาประมาณ 3 คัน และมีห้องว่างเพิ่มขึ้นมาแทน
ชั้น 7 เป็นชั้นสุดท้ายที่มีพื้นที่จอดรถ
ชั้น 8 เป็นชั้นที่มี Facility และชั้นพักอาศัยอยู่ร่วมกัน โดย Facility มีสระว่ายน้ำ, ห้องฟิตเนส, ห้องอ่านหนังสือ และห้องเด็กเล่น ซึ่งห้องอ่านหนังสือและห้องเด็กเล่นเป็นห้องที่มีเพิ่มขึ้นมาให้มากกว่าอาคารในเฟส 1 สำหรับชั้นนี้มีจำนวนยูนิตทั้งหมด 12 ยูนิต โดยมี 2 ยูนิตที่หันหน้าออกไปยังสระว่ายน้ำพร้อมมีพื้นที่ระเบียงที่กว้างขึ้นมาสำหรับใช้ในการชมวิวจากสระว่ายน้ำได้ สำหรับชั้นนี้ไม่ได้มีประตูกั้นแยกโถงทางเดินกับส่วนที่พักอาศัยทำให้ลูกบ้านในชั้นมีความเป็นส่วนตัวน้อยหน่อย
ภายในโถงลิฟต์ชั้นบนได้รับแสงสว่างทั่วถึงจากช่องเปิด
ตรงไปเลี้ยวขวาไปยังพื้นที่ส่วนกลาง
เดินออกมายังภายนอกอาคารด้านซ้ายเป็นห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ และด้านขวาเป็นทางลงไปยังสระว่ายน้ำ
ห้องน้ำแบ่งออกเป็นห้องน้ำชายและหญิง
ภายในมีพื้นที่ล็อกเกอร์เก็บของและยังมีพื้นที่เหลือให้ใส่เก้าอี้เอาไว้นั่งได้
แบ่งเป็นห้องอาบน้ำและห้องส้วมอย่างละ 2 ห้อง มีอ่างล้างมือตรงกลาง ด้วยจำนวนเท่านี้อาจจะไม่เพียงพอในการใช้งานหากเทียบกับจำนวนยูนิตแต่ก็ไม่ได้มีปัญหามากนักเพราะว่าสามารถล้างตัวง่ายๆ และขึ้นไปอาบน้ำที่ห้องได้ค่ะ
จากทางเดินเมื่อกี้สระว่ายน้ำจะอยู่ทางด้านขวา
ด้านข้างเป็นห้องพักที่ได้สามารถชมวิวสระว่ายน้ำได้เต็มๆ แต่ก็มีการกั้นด้วยพื้นที่สวนเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้ห้องพักได้มากขึ้น เพื่อไม่ให้คนที่มาใช้งานพื้นที่ส่วนกลางสามารถเดินเข้าถึงระเบียงห้องพักทั้ง 2 ห้องนี้ได้
สระว่ายน้ำเป็นสระว่ายน้ำกลางแจ้ง ดังนั้นช่วงเวลากลางวันแบบนี้จึงค่อนข้างเงียบ จะคึกคักก็ในช่วงเช้าไม่ก็ช่วงเย็นที่แดดร่มลงแล้ว แบ่งสระได้เป็น 2 สระคือสระเด็กและสระผู้ใหญ่ โดยสระเด็กมีขนาด 3 x 4 ม. ลึก 0.3 ม. และสระผู้ใหญ่มีขนาด 12 x 20 ม. ลึก 1.30 ม. ใช้ระบบคลอรีน ขนาดสระที่ได้สามารถว่ายน้ำออกกำลังกายได้สบายๆ เพียงพอเมื่อเทียบกับจำนวนยูนิตในอาคาร C และยังมีขนาดสระที่ใหญ่กว่าอาคารในเฟส 1 ด้วยนะคะ
Shower ล้างตัวอยู่กลางแจ้ง บริเวณด้านข้างบันไดทางลงสระว่ายน้ำ พอไม่ได้กั้นฉากแล้วดูแล้วโล่งๆนะคะ
กฎระเบียบในการใช้งานสระว่ายน้ำของโครงการ โดยสระว่ายน้ำจะเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 8.00 – 22.00 น. ค่ะ
วิวจากสระว่ายน้ำในชั้น 8 นี้จะได้ City View ประมาณนี้ค่ะ
ด้านข้างสระว่ายน้ำมีทางเดินให้เดินลงไปชมวิวด้วย เดินลงไปกันเลยค่ะ
บริเวณทางเดินด้านล่างมีชุดที่นั่งแบบ Outdoor 3 ชุด ด้านบนมีหลังคาพอที่จะกันฝนได้บ้าง
เข้ามาในส่วนห้องฟิตเนสกันต่อ โดยในห้องฟิตเนสนี้สามารถมองทะลุกระจกออกไปเห็นวิวสระว่ายน้ำและวิวเมืองได้ชัดเจน ขนาดห้องกว้างสามารถวางเครื่องเล่นได้ประมาณ 12 เครื่องเล่น
เดินถัดจากห้องฟิตเนสจะเจอห้องอ่านหนังสือที่อยู่ด้านขวาและตรงเข้าไปเป็นห้องเด็กเล่นด้านใน
ภายในห้องอ่านหนังสือมีชุดโซฟาใหญ่ 2 ชุด และโต๊ะสำหรับ 2 ที่นั่งอยู่บริเวณริมห้อง ด้านข้างจัดให้เป็นชั้นวางหนังสือ โดยรวมแล้วเหมาะกับการนั่งอ่านหนังสือมากกว่าใช้เป็นห้องทำงาน เนื่องจากไม่มีโต๊ะทำงานให้เพียงพอ
ถัดมาที่ห้องเด็กเล่น ภายในห้องค่อนข้างกว้างและโล่ง มีชุดเครื่องเล่นและที่นั่งประมาณ 3 – 4 ชิ้น และพื้นที่โล่งให้เด็กวิ่งเล่นได้สบายค่ะ ^^
ชั้น 9 เป็นชั้นพักอาศัยทั้งหมด การจัดวางตำแหน่งห้องล้อมรอบโถงลิฟต์ ช่วยร่นระยะในการเดินไปยังโถงลิฟต์ได้เยอะ มุมอาคารวางห้องขนาด 41.40 ตร.ม. ทั้งบนและล่างด้านขวาได้รับวิวทั้ง 2 ด้าน ส่วนด้านซ้ายตำแน่งห้องขนาด 41 ตร.ม. จัดให้อยู่ตรงกลางแต่มีระยะเว้นไว้ให้ด้านข้าง ช่วยกันเสียงได้และเป็นส่วนตัวมากขึ้น
ชั้น 10 – 34 เป็นชั้นที่มีมากที่สุด โดยมีผังเหมือนกันกับชั้น 9
ชั้น 35 ในชั้นนี้มีทั้งหมด 4 ยูนิต โดยมีขนาด 122.30 และ 125.25 ตร.ม. จัดวางให้เป็นห้องริมทั้งหมด สำหรับห้องขนาด 125.25 ตร.ม.ไม่มีผนังที่ติดกับห้องข้างเคียงเลย
มาต่อกันที่อาคาร D กันบ้างนะคะ อาคาร D นี้มีขนาดที่ใหญ่กว่าอาคาร C ด้วยจำนวนยูนิตที่หมดอยู่ที่ 239 ยูนิต
ในชั้น G นั้นแบ่งออกเป็น 2 โซนใหญ่ๆ คือโซนพักอาศัยที่มี Lobby อยู่ด้านหน้า และมีห้องพักขนาด 39.50 ตร.ม. อยู่ 1 ห้องอย่างโดดเดี่ยวใกล้ห้องเก็บขยะ ด้านหลังเป็นร้านค้ามีจำนวนทั้งหมด 13 ร้านค้า ที่แยกทางเข้า – ออกกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาในเรื่องของความปลอดภัยค่ะ
Lobby อาคาร D ตกแต่งมาแบบจัดเต็ม ดูหรูหราด้วยสีทอง และโคมระย้าสวยงาม สองฝั่งด้านข้างจัดเป็นชุดโซฟาให้นั่งคอยอย่างเพียงพอ สุดทางเป็นประตูทางเข้าโถงลิฟต์ที่ต้องใช้บัตรสแกนเข้าเหมือนกันกับอาคาร C
เข้ามาภายในโถงลิฟต์ด้านซ้ายเป็นพื้นที่ Mail Box และออฟฟิศ
ภายในโถงลิฟต์ตกแต่งเช่นเดียวกันกับอาคาร C แต่จะมีระยะความยาวโถงที่สั้นกว่าหน่อย เพราะแบ่งการวางลิฟต์ออกเป็น 2 ฝั่ง
ในชั้นลอย มีพื้นที่จอดรถเพียง 4 คัน เพราะเนื่องจากไม่ได้ทำมาเต็มชั้นทำให้ฝ้าเพดานของร้านค้าและ Lobby มีความสูงถึงชั้นนี้
ชั้น 2 เป็นชั้นจอดรถและชั้นพักอาศัย ซึ่งมีเพียง 2 ห้องในชั้นนี้ ถึงแม้จำนวนยูนิตภายในชั้นที่มีน้อยก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่พลุกพล่านซะทีเดียวนะคะ เนื่องจากเป็นพื้นที่จอดรถเกือบเต็มชั้นทำให้คนที่ขึ้นมาจอดรถในชั้นนี้สามารถเข้า – ออกบริเวณโถงลิฟต์ได้ตลอดเวลา แต่เมื่อเทียบราคากับชั้นที่สูงกว่าแล้วจะมีราคาที่ถูกกว่าอยู่ค่อนข้างมากนะ
ชั้น 3 – 4 เป็นชั้นที่มีพื้นที่จอดรถและชั้นพักอาศัยเช่นเดียวกัน แต่มีจำนวนห้องพักเยอะขึ้นมาอีก 1 ห้อง
ชั้น 5 นี้ มีห้องพักเพิ่มขึ้นจากชั้นล่าง โดยมีห้องพักทั้งหมด 5 ห้อง และเป็นชั้นวางห้องงานระบบไว้ซึ่งอาจจะมีผลกระทบทางเสียงบ้างเวลาเปิดใช้งานเครื่องปั่นไฟ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหานะคะเพราะนานทีปีหนที่ไฟดับเท่านั้นค่ะ
ชั้น 6 เป็นชั้นที่มีห้องพักและชั้น Facility ซึ่งลักษณะการวางตำแหน่งแยกกันเป็นสัดส่วนชัดเจนโดยการกั้นด้วยพื้นที่สีเขียว และมีทางเดินจากโถงลิฟต์มาทางเดียว ช่วยให้ห้องพักอาศัยในชั้นนี้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นถึงแม้ว่าจะมีลูกบ้านในชั้นอื่นๆ สามารถขึ้นมาใช้งานพื้นที่ส่วนกลาง
ออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวซ้ายไปยัง Facility กันค่ะ
ทางเดินนี้เป็นทางเดินเดียวที่เข้าถึงส่วน Facility ได้ ด้านข้างปลูกไม้พุ่มที่มีความสูงประมาณ 1.8 ม. แยกออกเป็น 2 ฝั่งด้านซ้ายไปห้อง Fitness และห้องเด็กเล่น ส่วนด้านขวาไปยังสระว่ายน้ำและห้องอ่านหนังสือค่ะ
ด้านขวามีห้องน้ำ – ห้องอาบน้ำ และห้องอ่านหนังสือ ตรงไปเป็นสระว่ายน้ำ มีไฟส่องสว่างริมทางเดินช่วยให้ตอนกลางคืนบริเวณทางเดินดูไม่เปลี่ยวมืดจนเกินไปด้วยนะคะ
ภายในห้องอ่านหนังสือจัดวางชุดโซฟา และชุดเก้าอี้ได้เยอะกว่าอาคาร C ใช้สีโทนเขียว – ครีมสะอาดสบายตาดีค่ะ
สระว่ายน้ำในอาคาร D นี้เป็นสระแบบ Outdoor เช่นเดียวกัน แต่แยกสระเด็กและสระผู้ใหญ่ออกจากกัน โดยสระผู้ใหญ่นี้มีขนาด 10.25 x 24 ม. ลึก 1.3 ม. ใช้ระบบคลอรีน
ด้านข้างวาง day bed รอบๆ สระ ส่วนด้านหลังเป็นสระเด็ก
สระเด็กมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ทรงโค้งๆ ลึกประมาณ 0.3 ม. การวางตำแหน่งสระเด็กไว้ตรงนี้ผู้ปกครองก็ดูแลง่ายหน่อยเพราะสามารถนั่งดูแลอยู่ข้างๆได้เลยค่ะ
ด้านหลังติด Shower ไว้ล้างตัว ซึ่งตรงนี้ก็ยังออกแบบมาให้ดูโล่งๆเหมือนเดิมน่าจะมีอะไรบังลมซะหน่อยนะ
ไปดูอีกฝั่งนึงกันต่อเป็นห้อง Fitness และห้องเด็กเล่น
ภายในห้อง Fitness มีเครื่องเล่นประมาณ 7 เครื่อง
ส่วนห้องเด็กเล่นมีขนาดไม่กว้างเท่าอาคาร C แต่มีจำนวนเครื่องเล่นเท่าๆ กันค่ะ
พื้นที่เหลือด้านข้างสามารถนำโต๊ะเก้าอี้สนามมาตั้งนั่งรับลมเพลินในช่วงเย็นๆ วันหยุดสุดสัปดาห์ก็คงดีไม่น้อยนะคะ ^^
ตั้งแต่ชั้น 7 เป็นต้นไปจะเป็นชั้นที่มีแต่ห้องพักอาศัย โดยมียูนิตสูงสุดที่ 13 ยูนิตต่อชั้น ตำแหน่งการวางโถงลิฟต์อยู่ตรงกลางแจกออกไปทั้งสองทางเดิน (Corridor) ความหนาแน่นเมื่อเทียบกับอัตราส่วนลิฟต์อยู่ที่ 123:1 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์หนาแน่นปานกลางและมีความหนาแน่นน้อยกว่าอาคาร C อยู่นิดหน่อย
ชั้น 8 – 32 เป็นชั้นที่มีจำนวนมากที่สุด โดยมีลักษณะผังเดียวกันกับชั้น 7 การจัดวางตำแหน่งห้องเน้นการมองวิวในทางทิศเหนือ – ใต้ ซึ่งเป็นทิศที่ไม่ได้หันหน้าสู้แดดทั้งสองทิศ ช่วยให้ห้องไม่อมความร้อนจากแสงแดดมากนัก และวางห้องขนาด 54.30 ไว้เป็นห้องริมสุดฝั่งขวาล่าง ในชั้นล่างๆ หน่อยของห้องริมนี้จะสามารถมองเห็นทั้ง City View ซึ่งเป็นวิวภายนอกและวิวจากสระว่ายน้ำอีกด้วยค่ะ
ชั้น 33 เป็นห้องแบบ Duplex ที่มี 2 ชั้น โดยในชั้นนี้จะเป็นส่วนตัวมากๆ เพราะจัดไว้เพียง 2 ยูนิตเท่านั้นค่ะ
ชั้น 34 คือผังชั้นบนของห้องในชั้น 33 ค่ะ ในชั้นนี้ทั้ง 2 ห้องสามารถดูวิวได้ทั้ง 4 ทิศรอบตัวเลยค่ะ
มาดูวิวรอบๆ โครงการกันค่ะ โดยเราขึ้นไปถ่ายกันที่ดาดฟ้าอาคาร C แต่ปกติลูกบ้านจะขึ้นมาไม่ได้นะคะเพราะต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยของลูกบ้านเป็นหลักค่ะ
ในทิศ A หรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มองไปยังถนนพระราม 9 และทางด่วนศรีรัช ในชั้นที่มีความสูงมากกว่าโรงแรม Maxx จะสามารถมองเห็นไกลไปถึงพื้นที่สีเขียวที่เป็นพื้นที่ว่างเปล่าอยู่ถัดไปจากบริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ
ในทิศ B หรือทิศตะวันตกเฉียงเหนือในทิศนี้จะเห็น City View ในระยะใกล้มาหน่อย ด้านหน้าเป็นโครงการลุมพินี ซึ่งเป็นโครงการเพื่อนบ้าน ถัดไปเป็นตึกที่อยู่ในแถบถนนย่านรัชดา – พระราม 9 ทั้งตึก Belle กลุ่มคอนโด 8 ตึก ใครที่ชอบแสงสีจากตึกในเวลากลางคืน วิวมุมนี้ก็น่าจะเหมาะอยู่นะคะ
ในทิศ C หรือทิศตะวันตกเฉียงใต้ จะเห็นวิวโล่งในระยะไกลๆ ด้านซ้ายเป็นทางด่วนและตึกหนาแน่นในย่านอโศก และด้านขวาจะโล่งหน่อยซึ่งเป็นโซนถนนอโศก – ดินแดง
ทิศ D หรือทิศใต้เป็นระยะที่ได้วิว City View ในแถบอโศกที่มีระยะห่างค่อนข้างสวยทีเดียวค่ะ
และทิศ E หรือทิศตะวันออกเฉียงใต้ได้วิวที่โล่งโปร่งไม่มีตึกสูงระยะใกล้มาบดบัง สามารถมองไกลได้จนถึงตึกบนถนนเพชรบุรีตัดใหม่เลยค่ะ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- สระว่ายน้ำ 2 สระ ระบบคลอรีน
- อาคาร C มีขนาดสระ 12 x 20 เมตร แบ่งสระเด็กลึก 0.3 เมตร สระผู้ใหญ่ลึก 1.3 เมตร
- อาคาร D มีขนาดสระ 10.25 x 24 เมตร แบ่งสระเด็กลึก 0.3 เมตร สระผู้ใหญ่ลึก 1.3 เมตร
- อาคาร C 135.67 : 1
- อาคาร D 123 : 1
เริ่มต้นกันที่ห้องแรกกันเลยค่ะ สำหรับห้อง 1 Bedroom Type F – 1 มีขนาดพื้นที่ 34.60 ตร.ม. ลักษณะมีหน้าห้องกว้าง การจัดฟังก์ชันเป็นสัดส่วนลงตัวดี เริ่มจากหน้าห้องที่จัดให้เป็นพื้นที่ครัว โดยพื้นที่ครัวนี้เป็นแบบครัวเปิด ไม่เหมาะกับการทำอาหารหนักๆ เพราะอาจจะมีปัญหาในเรื่องกลิ่นอาหารที่ฟุ้งไปทั่วห้องนั่งเล่น ส่วนตำแหน่งห้องน้ำวางไว้อยู่ด้านหน้าห้องใกล้ห้องครัวเพื่อให้ง่ายต่อการบำรุงรักษา และมีหน้าต่างบริเวณโถสุขภัณฑ์เพื่อระบายอากาศได้ด้วยค่ะ ถัดมาในบริเวณพื้นที่รับประทานอาหารมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างสามารถวางโต๊ะรับประทานอาหารสำหรับ 4 ที่นั่งได้สบาย พื้นที่ห้องนั่งเล่นสามารถวางโซฟาขนาด 2 ที่นั่งหรือจะวาง 3 ที่นั่งก็ยังได้แต่จะไปเบียดระยะนั่งกินข้าวนิดหน่อย บริเวณระเบียงนั้นกว้างใช้งานในการซักผ้า ตากผ้าได้จริง หรือใครจะวางชุดโต๊ะเก้าอี้น้ำชาสำหรับ 2 ที่นั่งก็ยังพอทำได้อยู่ค่ะ เพราะบริเวณระเบียงนี้ไม่มีการวางคอมเพรสเซอร์แอร์นะคะ จะไปวางไว้ที่ห้องนอนซึ่งเป็นหลบอยู่ใต้เคาน์เตอร์และเป็นแบบเป่าลมร้อนออก ภายในห้องนอนสามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุตได้พร้อมตู้เสื้อผ้า
รูปแบบการขายของโครงการเป็นแบบ Fully Fitted ดังนี้
- Pantry ครัว
- Hood
- สุขภัณฑ์และอุปกรณห้องน้ำ
- เครื่องปรับอากาศ 2 ตัว
ประตูหน้าห้องใช้วัสดุ HDF มีน้ำหนัก แข็งแรง พร้อมติดตาแมวและมือจับแบบก้านโยก
มือจับก้านโยกสีทองอร่ามสวยงาม แข็งแรงและจับได้ถนัดมือดีค่ะ
พื้นห้องและพื้นทางเดินอยู่ในระดับเดียวกันไม่มีธรณีประตู พื้นห้องทั้งหมดจะเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ที่ตกแต่งขอบรอบๆห้องด้วยกระเบื้องลายขวางสีดำสลับขาวซึ่งเราจะไม่ค่อยได้เห็นแน่นอนถ้าเป็น Developer ของไทย ถือว่าเป็นรายละเอียดที่ดีนะคะ
ด้านในติด Door Stopper ไว้ที่พื้นกันประตูกระแทกโดนผนัง
เดินเข้ามาจะเจอกับพื้นที่ห้องครัว ด้านซ้ายเป็นห้องน้ำ และถัดไปเป็นพื้นที่นั่งเล่นและพื้นที่รับประทานอาหาร
Pantry พร้อมตู้ลอยได้ Soft Closed ทั้งหมด มีการกรุกระเบื้องด้านหลังให้ด้วยช่วยให้ง่ายต่อการทำความสะอาด ระบบการดูดควันของ Hood เป็นแบบต่อท่อออกไปด้านนอก ซึ่งช่วยการดูดกลิ่นอาหารได้ดีกว่าระบบหมุนเวียน
ท็อป Pantry ครัวเป็นหินเทียม
อ่างล้างมือจาก TC Green เป็นหลุมลึกพอสมควร แต่ไม่มีพื้นที่พักจานให้นะ
บานเปิดปาดขอบเพื่อให้เปิด – ปิด ได้ง่ายขึ้น
สวิชต์ไฟฟ้าได้แบบนี้เลยค่ะ นำเข้าจากประเทศจีน
บริเวณนี้ออกแบบไว้สำหรับวางตู้เย็นขนาดใหญ่ได้
ประตูห้องน้ำเป็นประตูอลูมิเนียมทนน้ำได้ดีไม่บวมง่าย
ทางเข้าห้องน้ำยกธรณีประตูสูงพอสมควรปูด้วยหินเทียม
ด้านในแบ่งเป็นอ่างล้างหน้าอยู่ตรงกลาง โถสุขภัณฑ์อยู่ทางด้านซ้าย และพื้นที่อาบน้ำด้านขวา
สำหรับบริเวณอ่างล้างมือมีการก่อกำแพงขึ้นมากั้นพื้นที่และมีการซ่อนไฟไว้ด้านหลังด้วยนะคะ ส่วนอ่างล้างมือพร้อมชุดเคาน์เตอร์ และตู้ลอยติดหน้าต่างนำเข้าจากประเทศจีนในชื่อยี่ห้อ TC Green การจัดพื้นที่ส่วนอ่างล้างมือทำมาให้ค่อนข้างจัดเต็ม ใช้งานและเก็บของได้ดี
อ่างเป็นทรงกลมขนาดพอดีๆ ไม่เล็กหรือใหญ่
ด้านข้างติดตั้งปลั๊กไฟกันน้ำไว้ให้เรียบร้อย ไว้สำหรับให้สาวๆ เสียบไฟไดร์ผมได้สบาย
บริเวณโถสุขภัณฑ์ทำเคาน์เตอร์เล็กๆ ไว้ให้ด้านหลังสำหรับว่าของ หรือจะวางต้นไม้เล็กๆ ประดับตกแต่งก็สวยดีนะคะ ส่วนยี่ห้อของโถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียวและอุปกรณห้องน้ำทั้งหมดจาก TC Green
ด้านหลังมีหน้าต่างบานเลื่อนเป็นกระจกฝ้าสามารถเปิดระบายอากาศได้ เนื่องจากมีการเว้นระยะที่ว่างระหว่างห้องเพื่อให้แสงธรรมชาติส่องเข้าทั่วถึงโถงลิฟต์
แต่พอเปิดออกมาก็จ๊ะเอ๋กับหน้าต่างห้องน้ำของห้องพักตรงข้าม ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ดูจะไม่เป็นส่วนตัวเท่าไหร่นัก คือจะสามารถเปิดได้ก็ต่อเมื่อเราไม่ได้ใช้ห้องน้ำอยู่
บริเวณพื้นที่อาบน้ำกั้นด้วยฉากกั้นเป็นกระจก Temper
ยกระดับธรณีสูงขึ้นเล็กน้อยกรุด้วยหินเทียม ขนาดห้องน้ำมีพื้นที่ประมาณ 1 x 1 ม. อาบได้พอดีๆ ตัว
ฝักบัวที่ได้ทั้ง 2 แบบ คือแบบ Rain Shower และ ฝักบัวสายอ่อน
ขนาดพอดีมือ แข็งแรงพอสมควร
ถัดมาในห้องนั่งเล่นแบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนคือพื้นที่รับประทานอาหาร และพื้นที่นั่งเล่น
บริเวณพื้นที่ทางเดินหลายค่อนข้างเยอะมาก ซึ่งสามารถขยับขยายโต๊ะเก้าอี้รับประทานอาหารได้ถึง 4 – 6 ที่นั่งเลยนะคะ
พื้นที่ห้องนั่งเล่นมีระยะห่างระหว่างโซฟาและทีวีประมาณ 2 ม. สามารถติดตั้งทีวีขนาด 42 นิ้วได้สบาย
ชุดโซฟาสามารถวางได้ถึง 3 ที่นั่งเลยนะคะ แต่ต้องเอาโต๊ะข้างโซฟาออกนะ
ประตูบานเลื่อมกระจกเขียวตัดแสง
มือจับมาตรฐานพร้อมมีผ้าสักหลาดกันฝุ่นและช่วยให้การเปิด – ปิดประตูแนบสนิทมากยิ่งขึ้นด้วย
พื้นที่ระเบียงขนาด 2.8 x 1 ม. ปูด้วยกระเบื้องเซรามิกสีส้ม สำหรับขนาดพื้นที่ระเบียงประมาณเท่านี้สามารถวางเก้าอี้สนามชมวิวได้ด้วยนะคะ
ด้านข้างติดตั้งท่อน้ำทิ้ง ก๊อกสนาม และปลั๊กไฟ สำหรับวางเครื่องซักผ้า
ด้านบนอีกฝั่งเป็นเครื่องระบายอากาศจากภายในสู่ภายนอก
ระเบียงกระจกแบบนี้ช่วยให้สามารถดูวิวได้กว้างมากขึ้นอีกเพราะไม่มีระแนงบังสายตาเท่าไหร่ค่ะ
บรรยากาศวิวบริเวณระเบียงของห้องนี้ที่ไม่มีอะไรมาบล็อกวิวเลย สวยงามทีเดียวค่ะ ^^
ส่วนทางเข้าห้องนอนจะเป็นพื้นลามิเนตพร้อมตัวจบสำเร็จรูป
ภายในห้องวางเตียงขนาด 5 ฟุตได้อยู่แต่ถ้าวางชิดแบบในรูปจะเห็นว่ามีพื้นที่ด้านข้างเหลือพอสมควร
พื้นที่เหลือในห้องเดินได้สะดวก
ส่วนปลายเตียงเหลือที่ให้เดินน้อยมากเมื่อติดตั้งเคาน์เตอร์ ซึ่งแนะนำให้ว่าอย่าติดตู้ลอยเลยค่ะ แนะนำให้ติดตั้งทีวีกับผนังห้องเลยดีกว่าไม่เปลืองพื้นที่ทางเดินค่ะ
กระจกข้างเตียงสามารถให้แสงธรรมชาติเข้าห้องได้ทั่วถึงดีแต่ตัวบานจะมีแค่ครึ่งเดียวของความสูงห้องนะ
เพราะทางโครงการก่อเคาน์เตอร์ให้เพื่อเป็นพื้นที่เก็บคอมเพรสเซอร์แอร์ทั้ง 2 ตัว ซึ่งแนวความคิดนี้ได้รับการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงมาจากอาคารเฟส 1 ที่วางคอมเพรสเซอร์แอร์ไว้บนพื้นระเบียงเลย ข้อดีคือเราได้ใช้พื้นที่ระเบียงได้เต็มที่และไม่โดนไอลมร้อน แต่ในทางกลับกันหากต้องการซ่อมบำรุงแอร์ก็ต้องให้ช่างเข้ามาทำงานในห้องนอน ซึ่งจะทำให้ขาดความเป็นส่วนตัวมากๆ
เปิดออกมาได้นิดหน่อยเพราะติดกับเตียง อุปกรณ์ Fitting ของบานเปิด/ปิดตรงนี้ทำได้ค่อนข้างดีในด้านการเก็บเสียงและความร้อนเท่าที่ลองฟังดูเสียงคอมเพรสเซอร์แอร์มีเล็ดลอดออกมาน้อยมาก แต่ถ้าคอมเพรสเซอร์แอร์เก่าแล้วก็อีกเรื่องนึงนะ แต่โดยรวมฟังก์ชันนี้ถือว่ามีแนวคิดที่ค่อนข้างแปลกอยู่เหมือนกันค่ะ
ตู้เสื้อผ้าออกแบบให้อยู่อีกด้านของเตียง สำหรับสาวๆคนไหนที่ชอบแต่งตัว สามารถเพิ่มขยายตู้เสื้อผ้าได้อยู่นะคะ
มาดูกันต่อที่ห้องแบบที่ 2 กันค่ะ คือห้องแบบ 1 Bedroom Type G – 1 มีขนาดพื้นที่ 41.40 ตร.ม.ซึ่งหลังๆมานี้เราจะไม่ค่อยได้เห็น 1 Bedroom ขนาด 40 ตร.ม.ขึ้นไปสักเท่าไหร่ การจัดผังห้องคล้ายคลึงกับห้องแบบที่แล้วโดยเริ่มจากโซนห้องนั่งเล่นเป็นพื้นที่ต่อเนื่องจนสุดระเบียงไม่มีเหลี่ยมมุมเหมือนห้องที่แล้ว ทำให้ห้องกว้างและโล่งจัดฟังก์ชันได้ง่ายกว่า บริเวณโซนทานอาหารสามารถวางโต๊ะทานอาหารสำหรับ 4 ที่นั่งได้เนื่องจากมีพื้นที่เหลือของทางเดินกว้างพอ
ในส่วนของระเบียงได้ขนาดที่กว้างมากขึ้น และก่อนที่จะเข้าสู่ห้องน้ำและห้องนอนจะมีโถงเล็กๆเป็นทางแยกไปห้องน้ำและห้องนอน มีมุมเล็กๆ ที่มีพื้นที่เหลืออยู่สามารถ ทำ Built-in หรือซื้อตู้วางพวกตะกร้าผ้าหรือของประดับตกแต่งก็ได้ ห้องน้ำลักษณะคล้ายห้องแบบแรกแต่ได้หน้าต่างกระจกใสชมวิวบริเวณพื้นที่อาบน้ำ สำหรับห้องนอนมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าห้องแรก ทำให้มีพื้นที่ทางเดินรอบเตียง แต่ถ้าอยากจะวางเตียงขนาด 6 ฟุตก็เอาโต๊ะข้างเตียงออกไปฝั่งนึงก็ได้ค่ะ
เข้ามาในห้องเจอกับพื้นที่ครัวที่เป็นพื้นที่เชื่อมต่อเนื่องไปยังพื้นที่นั่งเล่น พื้นห้องทั้งหมดในปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ 60 x 60 ซม.ซึ่งในส่วนครัวจะเหมาะกับการทำความสะอาดดีค่ะ แต่ในส่วนของห้องนั่งเล่นนั้นคงจะเย็นเท้าไปสักหน่อยถ้าต้องอยู่ในห้องตลอดเวลา ถ้าไม่อยากให้เย็นเท้าให้ปูพรมแบบห้องตัวอย่างนี้ก็ได้ค่ะ
Pantry ครัวได้เหมือนห้องแรก แต่มีจำนวนตู้ลอยที่ได้มากกว่า และด้านหลังปูด้วยกระเบื้องตรงพื้นที่วางตู้เย็นมาให้ด้วยนะคะ
ปลั๊กไฟที่ได้เป็นแบบ 3 หัวพร้อมมีพลาสติกปิดไว้ตรงปลั๊กที่ไม่ได้ใช้ บ้านไหนที่มีเด็กๆ ก็ลดอุบัติเหตุจากการที่เด็กๆเอานิ้วไปจิ้มหลอดไฟด้วย ซึ่งถือว่าดีนะคะ
ด้วยความกว้างของทางเดินที่มีเหลือเฟือจึงสามารถวางโต๊ะรับประทานอาหารได้ 4 ที่นั่งได้สบายเลยค่ะ
ระยะห่างระหว่างทีวีและโซฟาอยู่ที่ 2 เมตร สามารถวางทีวีขนาด 46-52 นิ้วได้นะคะ
พื้นที่นั่งเล่นที่กว้างขึ้นจึงสามารถวางโซฟาขนาด 3 ที่นั่งได้
ประตูบานเลื่อนออกไปยังระเบียงเหมือนกันกับห้องแรก
ความสูงของธรณีก็มีปูกระเบื้องมาให้ด้วยนะคะ ซึ่งเป็นดีเทลที่ดีหาไม่ค่อยเจอเท่าไหร่ ข้อดีคือง่ายต่อการทำความสะอาด ยกตัวอย่างห้องทั่วไปจะได้แบบผนังสีขาว เวลาไม้ม็อบถูพื้นไปโดนข้างธรณีก็จะเป็นรอยคราบน้ำได้
ความกว้างระเบียงประมาณ 1 ม. ใช้งานได้สำหรับซักผ้าตากผ้า
โถงเล็กๆ แจกไปยังห้องน้ำและห้องนอน
มีพื้นที่ด้านข้างเหลือให้ทำตู้ Built-in ได้พอสมควรจะเอาไว้ใส่ตะกร้าผ้าหรือจะวางตู้ใส่ของประดับตกแต่งก็ได้
ภายในห้องน้ำได้รับแสงธรรมชาติทั่วถึงเพราะเค้ามีช่องแสงมาให้ 1 บานตอนกลางวันไม่จำเป็นต้องเปิดไฟก็ได้นะคะ ตัวกระจกได้มาบานใหญ่พอสมควรมองเห็นวิวด้านนอกได้ชัดดีแต่คนที่อยู่บนตึกด้านนอกก็สามารถมองเห็นเราโป๊ได้นะ แนะนำให้ติดมูลี่ ไม่ก็ฟิล์มฝ้านะคะ
ชุดเคาน์เตอร์พร้อมตู้ลอยเหมือนกับห้องแรก
บริเวณด้านหลังโถสุขภัณฑ์มีการก่อเคาน์เตอร์ขึ้นมาเล็กน้อยสำหรับวางของ
ขนาดพื้นที่ห้องน้ำประมาณ 1 x 1 ม. เป็นขนาดที่อาบน้ำได้พอดีๆ ไม่เล็กจนเกินไป
พื้นห้องนอนเป็นลามิเนต 8 มม. จบขอบด้วยไม้สำเร็จรูป
ภายในโล่งกว้างขึ้นเมื่อได้รับแสงธรรมชาติทั้ง 2 ทาง ในห้องนอนนี้วางเตียงขนาด 5 ฟุตได้สบายๆ
มีพื้นที่ทางเดินเหลือให้เดินได้กำลังดีการวางเตียง 6 ฟุตในห้องนี้ดูจะลงตัวดีกว่าห้องที่แล้วพอสมควรค่ะ
ปลายเตียงกว้างสามารถวางโต๊ะเครื่องแป้งหรือโต๊ะทำงานเล็กๆ ได้เพราะยังมีระยะเหลืออยู่ค่ะ
พื้นที่ข้างเตียงอีกด้านนึงก็เหลือให้เดินได้โดยรวมแล้วสามารถเดินรอบเตียงได้สบาย
ถ่ายมาให้ดูว่าตำแหน่งที่วางโต๊ะเครื่องแป้งนั้นปิดช่องในการซ่อมแซมคอมเพรสเซอร์แอร์ซะมิดเลย ดังนั้นเว้นระยะห่างหรือไม่วางเฟอร์นิเจอร์ติดบริเวณช่องเปิดนะคะเพราะยากในซ่อมบำรุง
อีกด้านสามารถวางตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ได้
มีหน้าต่างบานกระทุ้งบริเวณหัวเตียงให้
คันโยก 2 ตัว แข็งแรงทีเดียวค่ะ
เปิดบานกระทุ้งได้ประมาณนี้ค่ะ บริเวณขอบของบานกระทุ้งจะมีซีลยางมาให้ด้วยซึ่งลดเสียงดังจากถนนได้ดีเลยค่ะ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 3 November 2015
- 1 Bedroom Type G อาคาร C ชั้น 6 ห้อง 601 เนื้อที่ 41.16 ราคา 2.935 ล้านบาท หรือ 71,307 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom Type E อาคาร C ชั้น 12A ห้อง 12A02 เนื้อที่ 38.37 ราคา 2.991 ล้านบาท หรือ 77,937 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom Type A อาคาร D ชั้น 23 ห้อง 2306 เนื้อที่ 37.97 ราคา 3.005 ล้านบาท หรือ 79,272 บาท/ตร.ม.
- Fully Fitted
- เพดานสูง 2.7 เมตร
- Kitchen & Sink
- Hood
- จอง 30,000 บาท
- ทำสัญญา 50,000 บาท
- ค่ากองทุน 350 บาทต่อตารางเมตร
- ค่าส่วนกลาง 35 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน
- โปรโมชั่น เฟส 2
- ฟรีค่าธรรมเนียมการโอน
- ฟรีอั่าเปา 5,000 บาท (รับ ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด)
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ
สำหรับเฟส 2 ของ TC Green พระราม 9 การวิเคราะห์ที่ตั้งโครงการอาจจะแตกต่างจากเฟส 1 ไปบ้างนะคะ เนื่องจากทางเข้าของเฟส 1 และเฟส 2 อยู่บนคนละถนนกัน และในปัจจุบันยังไม่ได้มติจากนิติบุคคลที่เปิดสะพานให้เข้า – ออกได้ทั้งสองฝั่ง ดังนั้นทางเข้าของเฟส 2 จึงดูด้อยกว่าเฟส 1 เพราะเป็นถนนจตุรทิศที่เล็กกว่า แต่…ทางโครงการแจ้งว่าจะมีเร็วนี้จะมีการประชุมของลูกบ้านและจะเปิดสะพานประมาณสิ้นปีนี้ ทำให้การเข้าออกของลูกบ้านทั้ง 2 เฟสสะดวกขึ้นอีกมาก รวมไปถึงการขึ้น – ลงทางด่วนศรีรัชก็สะดวกเช่นกันหากไม่รวมรถที่ติดกันหนักมากๆในช่วงเวลาเร่งด่วน
ความอุดมสมบูรณ์ในย่านนี้ถือว่าอุดมสมบูรณ์พอสมควรค่ะ ในระยะใกล้ๆ ก็จะมี RCA ที่เป็นแหล่งร้านค้าร้านอาหารมากมาย รวมไปถึงผับบาร์สถานบันเทิงที่เปิดบริการในช่วงกลางคืน ส่วนร้านอาหารตามเต้นท์และร้านรวงข้างถนนก็จะอยู่ใกล้ๆ อาคารว่องวานิชซึ่งเป็นอาคารสำนักงานใกล้โครงการแบบเดินไปได้ไม่ลำบาก
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ ถือว่าสะดวกระดับนึงเพราะหาแท็กซี่ได้ไม่ยากตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากใกล้ RCA ที่คึกคักตลอดทั้งวันและคืน และติดถนนใหญ่ไม่ได้เข้าซอยลึก สิ่งที่จะลำบากหน่อยคือห่างจาก MRT พระราม 9 ประมาณ 1.2 กม. จัดว่าอยู่ไกลเกินระยะเดิน แต่ทางโครงการก็มีบริการ Shuttle Service รับส่งให้บริการอยู่ ในอนาคตไกลๆ จะมีรถไฟฟ้าสายสีส้ม สถานีรฟม. มาตั้งอยู่ใกล้โครงการมากขึ้น โดยอยู่บริเวณด้านขวาโรงแรม Maxx ช่วยให้การเดินทางด้วยระบบรางของลูกบ้านในโครงการสะดวกขึ้นมากทีเดียวค่ะ
การออกแบบโครงการ จัดผังได้ดีนะคะ มีการจัดการเดินรถภายในที่ใช้การเดินรถทางเดียวและแยกเส้นทางของแต่ละตึก ช่วยลดปัญหารถติดในโครงการและมีไม้กั้นในแต่ละตึกทำให้ลูกบ้านจอดได้แค่ตึกของตัวเองดูเป็นสัดส่วนได้ดี ตำแหน่งของอาคารเป็นกลุ่มก้อนก็จริงแต่มีระยะห่างของอาคารที่พอควรเพราะมีคลองกั้นเลยดูไม่อึดอัดและใกล้กันมากเกินไป รวมถึงการวางผังโดยให้ห้องพักส่วนใหญ่หันไปทิศเหนือหรือใต้ ส่วนในเรื่องแนวคิดอาคารเน้นความหรูหราแฝงเอกลักษณ์ความเป็นจีนด้วยสีทอง รอบๆ โครงการจะเห็นทองก้อนหน้าทางเข้าซึ่งตรงนี้ก็แล้วแต่ความชอบของแค่ละคนนะคะ
ส่วนการออกแบบห้องโดยรวมถือว่าดีนะคะ ด้วยขนาดห้องที่ออกแบบมาใหญ่ และฝ้าเพดานที่สูงถึง 2.7 เมตร ส่งเสริมให้ห้องโล่งโปร่ง และเห็นวิวได้เยอะ มีการพัฒนาแบบห้องจากปัญหาการท้วงติงในเฟส 1 คือเรื่องที่วางคอมเพรสเซอร์แอร์ที่ไปกินที่พื้นที่ระเบียง ทางโครงการจึงแก้ปัญหาโดยการน้ำคอมเพรสเซอร์แอร์ไปซ่อนใต้เคาน์เตอร์ (ที่ทำเพิ่มขึ้นมาให้) ในห้องนอน ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียนะคะ ข้อดีคือการใช้งานพื้นที่ระเบียงได้เต็มที่ แต่ในเรื่องของการซ่อมบำรุงต้องมาซ่อมแซมกันในห้องนอน ออกจะดูเลอะเทอะทำความสะอาดได้ยากและขาดความเป็นส่วนตัวไปพอสมควรถ้าย้ายไปอยู่ในพื้นที่ส่วนรวมอย่างห้องนั่งเล่นจะดีมากเลย
วัสดุอุปกรณ์ที่ได้นั้นดีอยู่ระดับนึงในรูปแบบ Fully Fitted ส่วนใหญ่วัสดุ, สุขภัณฑ์ และเฟอร์นิเจอร์นำเข้าจากจีน ภายใต้ยี่ห้อของโครงการคือ TC Green ซึ่งทำออกมาดูดีใช้ได้แต่เรื่องคุณภาพในการใช้งานคงต้องรอดูเสียงตอบรับจากลูกบ้านในระยะยาวว่าใช้ได้ดีคงทนแค่ไหน ถ้าทำออกมาดีก็คงช่วยส่งเสริมชื่อเสียงในทางที่ดีสำหรับโครงการต่อไปด้วยอันนี้ต้องรอดูกันต่อไปนะคะ ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยู่ที่นี่ก็ช่วยกันออกความเห็นได้นะคะเพราะคนที่สนใจจะได้ขข้อมูลไปด้วย ชุดครัวก็ให้มาดีนะได้ท็อปหินสังเคราะห์ พร้อม Hood หน้าบานตู้มี Soft Close ติดตั้งมาให้ ผนังปูกระเบื้องให้สำหรับบริเวณทำอาหาร ส่วนพื้นในห้องได้แกรนิตโต้ในโซนครัวและพื้นที่นั่งเล่น ส่วนห้องนอนเป็นพื้นลามิเนต 8 มม. พื้นห้องน้ำเป็นกระเบื้องเซรามิก
สาธารณูปโภคที่ได้ให้มาครบ และน่าใช้งานดีค่ะ โดยพื้นที่ส่วนกลางที่ให้มาเพิ่มเติมจากเฟส 1 ก็มีขนาดสระว่ายน้ำที่ใหญ่ขึ้น, ห้องอ่านหนังสือและห้องเด็กเล่น ส่วนที่จอดรถระดับ 50% ไม่รวมจอดซ้อนคัน ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเรื่องปกติแม้กระทั่งโครงการระดับแสนกว่าต่อตารางเมตรในย่านนี้ยังจัดที่จอดมาประมาณนี้ แต่ของ TC Green จะเก็บค่าบำรุงที่จอดคันละ 300 ต่อเดือน (สำหรับคนที่ใช้รถ) และต้องแชร์กับเจ้าของร้าน Shop ต่างๆ และคนที่มาซื้อของใน Shop ด้วย
โดยรวมแล้วอาคารในเฟส 2 ได้รับการพัฒนามาและแก้ปัญหาต่างๆ มาจากเฟส 1 ซึ่งทำให้ตัวอาคารที่เสร็จออกมาดูสมบูรณ์ขึ้นกว่าอาคารในเฟส 1 ทั้งในเรื่องของระบบ Key Card Access ที่เปลี่ยนเป็นระยะไกล, ขนาดสระว่ายน้ำที่ใหญ่ขึ้น ฟังก์ชัน Facility ที่เพิ่มขึ้นมาทั้ง ห้องเด็กเล่นและห้องอ่านหนังสือ รวมทั้งการแก้ปัญหาที่วางคอมเพรสเซอร์แอร์ด้วยค่ะ
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับราคา 79,000 บาท/ตร.ม., 18 Nov 2015
- ทำเล 8.5/10 – มีความอุดมสมบูรณ์พอสมควร (+ หรือ – คะแนนได้นะคะในทำเลที่ใกล้ RCA)
- เดินทางด้วยรถ 8.5/10 – เดินทางได้หลากหลายเส้นทาง ใกล้ทางด่วน แต่รถติดมากเช่นกัน (ถ้าเปิดสะพาน+ให้อีก0.25นะ)
- ไม่ใช้รถ 8.0/10 – ไม่อยู่ในระยะเดินไป MRT พระราม 9 แต่ไม่เปลี่ยว เรียกแท็กซี่ได้ 24 ชม. (ในอนาคตใกล้สถานีรฟม.สายสีส้ม)
- วัสดุ 8.0/10 – คุณภาพดีพอสมควร ตกแต่งแบบ Fully Fitted
- แบบ 8.25/10 – ฝ้าเพดานสูง 2.7 ม. มีช่องเปิดระบายอากาศได้หลายทิศ ลักษณะห้องหน้ากว้างอยู่สบาย
- สาธารณูปโภค 7.5/10 – ให้มาครบน่าใช้งานมากขึ้น
- MAIN CLASS
- 8.22 / 10.00
BOTTOM LINE
TC Green พระราม 9 เหมาะกับคนทำงานในย่านอโศก พระราม 9 พญาไท ชอบวิวตึกสูง เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวเป็นหลัก อดใจรอรถไฟฟ้าใกล้โครงการได้ เป็นคนไม่ยึดติดกับ Brand เน้นความคุ้มค่า มีงบประมาณเหลือในการตกแต่งห้องเพิ่มเติม มีงบประมาณที่ 2.5 – 3.5 ล้านบาท หรือมีกำลังผ่อนต่อเดือนระดับ 18,000 – 28,000 บาท
ถ้ามีความเห็นว่ารีวิวตัวนี้มีประโยชน์ ช่วยกด LIKE ให้หน่อยนะคะ จะได้มีกำลังใจในการทำรีวิวต่อไป
สมัครสมาชิกพร้อมรับข่าวสารเพิ่มเติม (คลิกที่นี่ )