รีวิวโครงการ
รีวิวตึกเสร็จ The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ คอนโด High Rise ใกล้ BTS สะพานควาย 470 ม. พร้อมห้องฝ้าเพดานสูง 4.4 เมตร จากพฤกษา [รีวิวฉบับที่ 2090]
25 มิถุนายน 2020
รีวิวฉบับที่ 1441… สวัสดีครับ วันนี้จะพาไปดูอีกหนึ่งคอนโดระดับ Premium Segment ของพฤกษา The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ คอนโด High Rise ใกล้ BTS สะพานควาย ที่เน้นทำตลาดไม่เหมือนใคร ด้วยโปรดักส์แบบห้องใหม่ Oversized Living Space และการบริการรูปแบบใหม่ Community Space ที่สามารถใช้งานได้ตลอด 24 ชม.
Fact @ 30 August 2017
- The Reserve Phahol – Pradipat (เดอะ รีเซิร์ฟ พหลฯ – ประดิพัทธ์)
- บริษัท พฤกษา เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน)
- LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment บ้านได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ใน : ปากซ.ประดิพัทธ์ 23 เขตพญาไท
- คอนโด High Rise 25 ชั้น 1 อาคาร 260 ยูนิต
- ที่จอดรถประมาณ 65% (รวมจอดซ้อนคัน คิดเป็น 70%)
- ที่จอดรถมี 2 ระบบ คือ Conventional และ Automatic Car Parking
- ที่ดินประมาณ 1-2-43 ไร่
- เริ่มก่อสร้าง : Q4 2560
- คาดว่าจะแล้วเสร็จ : ตุลาคม 2562
- ฝ้าเพดานสูง 2.7(Simplex) – 4.4(Loft) เมตร
- 1 Bedroom Loft ขนาด 28.40 – 38.95 ตร.ม.
- 1 Bedroom (Simplex) ขนาด 29.45 – 40.40 ตร.ม.
- 1 Bedroom Plus (Simplex) ขนาด 47.30 – 48.70 ตร.ม.
- ราคาเริ่มต้น 5.9 ล้านบาท
- Update 8 May 2018 ราคาเริ่มต้น 6.5 ล้านบาท
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ AVG 180,000 บาท/ตร.ม.
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ AVG ถ้านับพื้นที่ใช้สอยจะอยู่ที่ 160,000 บาท/ตร.ม.
- EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : ผ่านแล้ว
- เวปไซต์โครงการ Register : คลิกที่นี่
- Call Center : 1739
ช่วยกันคอมเม้นท์ แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนๆที่กำลังหาบ้านหน่อยนะครับ
สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างครับ
โครงการ The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ ตั้งอยู่บริเวณถนนประดิพัทธ์ ห่างจากแยกสะพานควาย (ถนนพหลโยธินตัดกับถนนประดิพัทธ์) เพียงแค่ 80 เมตร หรือประมาณ 470 เมตรจากรถไฟฟ้าสถานีสะพานควาย ซึ่งย่านนี้ถือว่ามีความอุดมสมบูรณ์สูง เป็นพื้นที่ชุมชนอยู่อาศัยเก่าแก่ที่มีความคึกคักมาก เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารในราคาเป็นมิตร มีขายตลอดทั้งวันร้านอาหารก็สลับกันเปิดหลากหลายแนว สะดวกสบายในการใช้ชีวิตตลอด 24 ชั่วโมง อาคารโดยรอบส่วนใหญ่จะเป็นอาคารพาณิชย์ อพาร์ทเม้นท์ โรงแรม และคอนโดมิเนียม
แล้วถ้าอยากกินร้านที่ดีหน่อยก็ไม่ยากครับเพราะแหล่งความอุดมสมบูรณ์ต่างๆนั้นก็อยู่ไม่ไกล ไม่ว่าจะเป็นอารีย์ย่านร้านอาหารสุดชิคที่มีร้านดีๆให้เลือกกินมากมาย หรือจะเป็นห้างใหญ่อย่าง เซ็นทรัล ลาดพร้าว และ Union Mall ส่วนใครที่อยากซื้อของเข้าบ้านมี Big C อยู่ระหว่างทาง รวมถึงโรงพยาบาลเปาโลที่ใกล้ๆกัน เจ็บไข้ได้ป่วยก็มาหาหมอได้ง่ายๆ
สภาพแวดล้อมย่านประดิพัทธ์กำลังจะค่อยๆเปลี่ยนไปในอนาคต เพราะตอนนี้ในย่านพหลโยธิน – ประดิพัทธ์ เป็นย่านที่นำร่องในการย้ายสายไฟฟ้าและสายโทรศัพท์ลงใต้ดิน ซึ่งตอนนี้ย่านจตุจักรได้ทำการนำสายไฟลงใต้ดินไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การเดินทางด้วยรถยนต์ ถือว่าสะดวกมากเพราะถนนประดิพัทธ์เป็นถนนที่วิ่งเชื่อมต่อกับถนนเส้นใหญ่ๆ โดยตัวถนนจะลากยาวในแนวขวางตัดกับเส้นที่วิ่งเข้าเมืองหลายเส้นทำให้เรามีทางเลือกในการใช้เส้นทางต่างๆ เข้าเมืองได้ทั้ง พระราม 6 พหลโยธิน วิภาวดีรังสิต และ รัชดาภิเษก สิ่งที่บอกว่าถนนเส้นนี้สำคัญและมีคนใช้เยอะเป็นพิเศษคือ ช่วงที่การจราจรหนาแน่นจะมีการปรับเลนให้วิ่งสลับไปมา ไป 2 เลนกลับ 1 เลน หรือบางช่วงเป็น One Way อันนี้ต้องศึกษาเวลาดีๆ ครับ ทางด่วนก็มีให้เลือกตรงเส้นพระราม 6 กับเข้าวิภาวดีไปขึ้นลงตรงแยก ดินแดง
วันนี้เราจะเดินทางจากสถานีรถไฟฟ้า BTS สะพานควายไปโครงการนะครับ จะได้เห็นว่าในระยะ 470 ม.นั้นมีอะไรบ้าง
จากสถานีเราใช้ทางออก 2 เลี้ยวขวานะครับ
ในช่วงกลางวันรถที่วิ่งเข้าเมือง(ด้านซ้าย)จะหนาแน่นกว่า ส่วนปริมาณคนเดินทั้ง 2 ด้านจะใกล้ๆกัน แต่ฝั่งโรงพยาบาลเปาโลกับ Big C จะเยอะกว่าหน่อย
ตอนลงสถานีต้องเลี้ยวขวาเพราะด้านซ้ายเป็นบันไดเลื่อน
ในตอนเช้าหรือตอนไปทำงาน พอเรามาขึ้นสถานีฝั่งบันไดเลื่อนจะสะดวกกว่ามาก
ลงสถานีมาแล้วเดินไปเรื่อยๆนะครับผ่านรุ่นพี่ที่มาก่อน Signature by Urbano
ระหว่างทางเจ้าจะเจอกับอาคารพาณิชย์ตลอดเส้นทางส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าขายหลากหลายประเภท รวมถึงร้านสะดวกซื้ออย่าง 7 Eleven และ Tesco Lotus ด้วย
ร้านอาหารแถวนี้จะมีราคาเป็นมิตรนะครับ และอร่อยด้วยอย่างก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ได้ลองชิมแล้วถือว่าใช้ได้เลยครับ รสจัดจ้านดี กว่าจะรู้สึกตัวว่าต้องถ่ายรูปก็กินหมดไปแล้ว เอาเป็นว่าไว้มาลองกันเองนะครับ ฮ่าๆๆ
เดินมาอีกหน่อยจะเห็น โรงพยาบาลเปาโลอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่รูปนี้ผมเดินข้ามถนนมาถ่ายให้ดู เพราะมีทางม้าลายให้ข้ามด้วย
เดินต่อมาอีกหน่อยก็เจอกับ Big C ถ้าใครอยากซื้อของเข้าบ้านก็แวะได้ง่ายๆเลย
กลับมาเดินกันต่อที่ฝั่งเดิมนะครับ ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าระหว่างแนวอาคารพาณิชย์จะมีคอนโดแทรกตัวอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งเป็นคอนโดที่สร้างมาสักพักและขายหมดแล้ว ทำให้โครงการที่เป็นมือหนึ่งจะมีให้เลือกไม่เยอะ
ช่วงอาคารพาณิชย์ที่ใกล้ๆกับโครงการจะเป็นร้านค้าขายเสื้อผ้าซะเป็นส่วนใหญ่เพราะด้านหลังแนวอาคารพาณิชย์จะเป็นตลาดครับ
เดินมาจะถึงแยกสะพานควายแล้วเลี้ยวขวาไปนิดเดียวก็ถึงโครงการแล้วซึ่งตรงแยกนี้มีสะพานลอยเชื่อมถึงกันหมด ผมเลยถือโอกาสเดินขึ้นมาถ่ายให้ดูว่าโครงการอยู่ไม่ไกลจากแยกตรงนี้เลย
ก่อนจะเข้าโครงการเดี๋ยวจะพาไปดูแหล่งร้านอาหารที่มีระดับราคาสูงขึ้นมาอีกหน่อยซึ่งอยู่ในซอยที่ีเรียกว่า AQUA เป็นแหล่งรวมร้านอาหารน่านั่งอยู่ด้วยกัน
ตรงทางเข้าจะเป็นซอยเล็กๆแบบนี้ ซึ่งด้านในจะไม่ร้อนมากเพราะเค้ามีทำหลังคาคลุมไว้ให้ บรรยากาศดูดีใช้ได้เลยครับ
ประเภทของร้านอาหารก็มีมากมายตั้งแต่ร้านอาหาร ญี่ปุ่น ฝรั่ง ไทย ส้มตำน้ำตก มาหมด ส่วนร้านของหวานก็มี โรตีชาชก ไอติมหม้อไฟยศเส ใครอยากกินข้าวแบเย็นๆ ชิลๆ หน่อยก็มาหาร้านนั่งในซอยนี้ได้ซึ่งดึกๆก็มีร้านให้นั่งเหมือนกันนะ
จากหน้าโครงการจะเห็นว่าทางเข้าโครงการไม่ได้อยู่ฝั่งถนนประดิพัทธ์แต่อยู่ด้านข้างในซอย ช่วยให้การเข้าออกโครงการทำได้สะดวกขึ้นไม่ต้องไปชุลมุนอยู่ริมถนนที่มีการจราจรหน้าแน่นอยู่แล้ว และจากในซอยสามารถเลี้ยวขวาไปพระราม 6 ได้ หรือถ้ามาจากถนนพหลโยธินก็เลี้ยวขวาเข้าซอยได้เลย
สำนักงานขายจะตั้งอยู่บนที่ดินของโครงการที่ในอนาคตจะกลายเป็นสวนหย่อม
ที่ดินของคอนโดจะอยู่ติดซอยทั้ง 2 ด้านเลยครับ ด้านหลังจะเป็นอาคารพาณิชย์และตลาดสด
เรากลับมาดูที่ดินของโครงการกันต่อนะครับ ที่ดินตัวโครงการนั่นอยู่ระหว่างซอยประดิพัทธ์ 23 กับ ประดิพัทธ์ 25 และอยู่ใกล้แยกสะพานความทำให้ ทางด้านทิศตะวันออกไม่ได้มีตึกสูงมาบังวิวอะไร และด้านทิศเหนือก็ยังพอเห็นสวนจตุจักรแบบไกลๆอยู่บ้างถึงแม้จะมีโครงการเพื่อนบ้านที่อยู่ตามแนวพหลอารีย์แต่ก็อยู่ห่างกันแบบเยื้องๆ ส่วนทางทิศตะวันตกจะมีไม่มีตึกสูงบังในระยะใกล้เช่นกันแต่จะมีคอนโดบังวิวในระยะไกลแทน สำหรับวิวทั้ง 4 ด้านที่ชั้นสูงสุดก็ตามด้านล่างเลยครับ
วิวทางทิศเหนือยังพอได้วิวไกลๆอยู่เพราะเพื่อนบ้านเราไปอยู่แนวตึกทางขวากันซะเยอะ
ทิศตะวันออกหันไปทาง Big C ถนนวิภาวดีฝั่งนี้ก็ยังโล่งๆอยู่เหมือนกัน
ฝั่งทิศใต้เป็นวิวมองไปฝั่งอารีย์จะเห็นแนวอาคารสำนักงานอยู่ไกลๆ ส่วนตึกที่เห็นด้านขวามือใกล้ๆนี่คือ Rhythm พหล – อารีย์ครับ
ทิศตะวันตกเป็นทิศที่หันกลับมาในถนนประดิพัทธ์ พระราม 6 วิวฝั่งนี้จะเป็นฝั่งที่เห็นตึกใกล้มากกว่าฝั่งอื่นเพราะอีกหน่อยจะมี The Line ขึ้นอยู่ตรงระหว่างกลางโครงการนี้กับ ลุมพินีที่เห็นไกลๆตรงกลางภาพครับ
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- บิ๊กซี สะพานควาย ~250 เมตร
- โรงพยาบาลเปาโลเมมโมเรียล ~350 เมตร
- ตลาดนัดสวนจตุจักร ~1.2 กม.
- La Villa อารีย์ ~1.4 กม.
- โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ~2 กม.
- โรงพยาบาลพญาไท 2 ~2.4 กม.
- อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ~3.1 กม.
- ยูเนี่ยนมอลล์ ~3.4 กม.
- เซ็นทรัลลาดพร้าว ~3.9 กม.
- เมเจอร์ รัชโยธิน ~4,9 กม.
โครงการ The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ จะออกแบบด้วยแนวคิด STYLISH IS MODERN TIMELESS ซึ่งการใช้คำว่า Timeless เข้ามาเพราะไม่ต้องการให้ตึกดูล้าสมัยเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ จุดเด่นของตัวตึกจะอยู่ที่การเลือกใช้วัสดุที่เรียบง่าย หรูหรา แต่ยังคงมีความร่วมสมัยอยู่ เช่น กระจก เหล็ก สแตนเลส และพื้นผิวลายหิน เน้นให้ดูมีความเรียบ เท่ห์ ในตอนนี้อาจจะวัดเรื่องแบบนี้กันยากหน่อยเพราะตัวตึกยังสร้างไม่เสร็จ แต่เราสามารถดูได้จากสำนักงานขายที่เค้าทำเป็นตัวอย่างซึ่งเดี๋ยวผมจะพาไปดูนะครับ
ที่จอดรถของโครงการนี้รวมซ้อนคันให้มาที่ 70% เป็นการจอดแบบ Conventional และ Automatic Car Parking ถือว่าให้มาเยอะดีน่าจะเพียงพอต่อลูกบ้าน ใครสะดวกจอดแบบไหนก็เลือกได้เลยครับ
ในส่วนของ Lobby จะเน้นการออกแบบที่เรียบง่ายและดูหรูหราด้วยการตกแต่งลายหิน และมีบริการ High Speed Wireless Internet ในพื้นที่ล็อบบี้และพื้นที่ส่วนกลางของทั้งโครงการ
ส่วนกลางที่นี่จะให้มาแบบยกชั้นและมีพื้นที่แบบ Double Space ด้วย การใช้งานพื้นที่ส่วนนี้จะเป็นแนวคิด (Concept) ที่เรียกว่า LIVE . WORK . PLAY เพื่อสร้าง 24HRS Community Space ที่มีทั้งส่วนทำงาน Co-working Space ในแบบ Indoor และ Outdoor พร้อมด้วยพื้นที่เคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่ม และยังมีห้อง Adaptive Function Room ห้องอเนกประสงค์ที่สามารถให้เป็นทั้งห้องประชุมหรือดูหนังก็ได้
สำหรับ Fitness จะอยู่มุมอีกฝั่งนึงของอาคารติดกับสระว่ายน้ำทำให้เห็นวิวได้ทั้งสองด้าน
สระว่ายน้ำเป็นแบบ Infinity edge pool ทั้งสามด้าน ขนาด 23 x 6 ม. อยู่ที่ชั้นบนสุดของอาคารชั้น 25 วิวหันไปทางสวนจตุจักร ส่วนกลางไม่ได้หมดแค่ชั้นนี้นะครับ ยังมีที่ชั้น 25M อีกชั้น
สำหรับชั้น 25M จำเป็นส่วนที่เรียกว่า Sky Lounge เอาไว้นั่งทำงานหรือนั่งเล่นชมวิวไปเพลินๆ
สำหรับชั้นดาดฟ้าจะเป็นส่วนที่เรียกว่า Outdoor cinema และ Roof Top Pantry
สำหรับแบรนด์ The Reserve จะมีสิ่งที่พิเศษแบรนด์อื่นๆ ในเครือ Pruksa ก็คือเรื่องของ Service ที่มีระบบ Concierge by The Reserve ที่อำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน ช่วยเหลือในกิจธุระเล็กๆน้อยๆ เช่น บริการซักรีด บริการรับส่งพัสดุ บริการจองตั๋วต่างๆ เป็นต้น
อีกหนึ่งบริการที่เพิ่มเข้ามาก็คือ On-Demand Facility Control เป็นอุปกรณ์ Mobile Application จากทางโครงการ ที่ช่วยให้การใช้งาน Facility 24 ชั่วโมงมีการจัดการที่ดีขึ้น เพราะมีระบบการจองสิทธิ์และบันทึกเวลาการใช้ง่ายที่ผ่านการควบคุมจากนิติบุคคลฯ พร้อมอุปกรณ์ Motion Censor และ Timer ที่จะช่วยควบคุมการใช้งานของระบบปรับอากาศและแสงสว่างให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละช่วงเวลาด้วย
มาดูที่ผังชั้น 1 กันนะครับ สำหรับทางเข้าโครงการจะไม่ได้ติดถนนแต่อยู่เข้ามาด้านในซอย ซึ่งช่วยให้การเข้าโครงการง่ายขึ้นเพราะมีระยะร่นเข้ามาจากถนนใหญ่ ไม่ต้องไปชุลมุนอยู่ที่ริมถนน ที่จอดรถของโครงการนี้จะมีทั้งแบบ Automatic Parking ด้านหน้าโครงการและแบบปกติที่ด้านหลังโครงการ
นอกจากที่จอดรถทั่วๆไปแล้วยังมีบริการ Electric Car Charger ไว้เติมไฟฟ้าให้กับรถยนต์ประเภทที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้านะครับ ที่ทางโครงการเตรียมไว้ให้เพื่อรองรับการใช้งานที่จะเปลี่ยนไปในอนาคต
ที่จอดรถจะมีตั้งแต่ชั้น 2 ถึงชั้น 7 พื้นที่พักอาศัยจะเริ่มที่ชั้น 8 ซึ่งเป็นห้องแบบ Loft ทั้งหมด โครงการนี้มีจำนวนยูนิตทั้งหมด 260 ยูนิตและให้ลิฟท์มาถึง 3 ตัว และ Service ลิฟท์อีก 1 ตัว ทำให้การใช้งานค่อนข้าง Private เพราะหารออกมาแล้วอัตราส่วนลิฟท์ยังไม่ถึงร้อยเลย ตัวเลขอยู่ที่ 87:1 ถือว่าทำออกมาดีนะครับ
ผังชั้น 9 – 21 จะมีการวางห้องเหมือนกันทุกชั้น และเป็นห้องแบบ Loft ทั้งหมดพื้นที่ห้องส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 28 – 33 ตร.ม. ส่วนห้องที่ใหญ่ที่สุดของชั้นจะอยู่ที่ 38 ตร.ม.ซึ่งมีแค่ห้องเดียวและเป็นห้องที่เข้ามาจะเจอกับพื้นที่ Double Space เลย การวางผังโดยรวมไม่ได้มีปัญหาเรื่องแนวประตูห้องตรงกันยกเว้น 2 ห้องหัวมุมด้านทิศใต้ ห้อง 08 – 09 ดูจะเป็นห้องที่ดีหน่อยในเรื่องทิศแดดและวิวเพราะนอกจากแดดน้อยแล้วยังพอได้วิวสวนจตุจักรอยู่บ้าง จำนวนยูนิตต่อชั้นอยู่ที่ 16 ยูนิต
ผังอาคารชั้น 22 จะเป็นผังห้องแบบ Simplex หรือห้องแบบปกติแต่ก็ยังได้ฝ้าเพดานสูง 2.7 นะครับ จำนวนห้องของชั้นจะน้อยลงตามการร่นระยะของอาคารทำให้มีจำนวนยูนิตต่อชั้นลดลงมาเหลืออยู่ที่ 12 ยูนิต
ผังอาคารชั้น 23 – 24 ยังคงเป็นห้องแบบ Simplex และวางห้องเหมือนชั้น 22 แค่ไม่ติดพื้นที่สีเขียวจากชั้น 22 เท่านั้นเอง
สำหรับชั้น 25 ที่อยู่บนสุดจะเป็น Facility ทั้งหมด และบางส่วนเป็นพื้นที่แบบ Double Space ตามภาพจำลองที่ได้ดูไปก่อนหน้านี้ อย่างที่อธิบายไปนะครับว่าสามารถใช้งาน Facility ได้ 24 ชม. การให้มายกชั้นแบบนี้เป็นข้อดีที่เวลามีคนมาทำกิจกรรมจะไม่รบกวนพื้นที่พักอาศัย
ผังชั้น 25M จะเป็นพื้นที่เปิดโล่งจากชั้น 25 ซะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่เป็นฟังก์ชันใช้งานก็คือส่วนที่เรียกว่า Skyline Lounge
สิ่งอำนวยความสะดวก
- Urban Forest (สวนหน้าโครงการ)
- 24Hrs Lobby with Concierge Service by The Reserve
- Private Garden (สวนส่วนตัวที่ชั้น 8)
- 24 Hrs Community Space
- All-Day Pantry
- Adaptive Function Room
- Infinity Edge Pool ขนาด 23 x 6 ม. ระบบเกลือ
- Skyline Lounge
- Sky Fitness & Steam Room
- Party Yard
- Open Air Cinema
- Rooftop Pantry
ก่อนไปดูห้องตัวอย่างขอพาไปดูสำนักงานขายก่อนนะครับ
ภายในสำนักงานขาย ทางโครงการจะตกแต่งให้ใกล้เคียงกับ Lobby ของโครงการเพื่อให้ลูกบ้านได้เห็นบรรยากาศได้ชัดเจนมากขึ้น
เดินเข้ามาด้านในต้องเจอฝ้าเพดานสูงตาม Concept ของโครงการนี้ ห้องตัวอย่างจะอยู่ที่ชั้น 2 ทั้ง 2 ห้อง
ก่อนเดินขึ้นไปชั้น 2 ขอแวะทักทายเจ้าเสือตัวนี้ซะหน่อย
ถ้าดูจากการตกแต่งที่สำนักงานขายแล้วถือว่าทำออกมาได้สวย Mood & Tone ทำออกมาได้ดี ทีนี้ก็เหลือรอดูของจริงนะครับว่าจะได้ออกมาสวยแบบนี้รึเปล่า
เดินขึ้นมาที่ชั้น 2 ก่อนถึงห้องตัวอย่างโถงทางเดินก็ยังต้องเน้นฝ้าเพดานสูงงงง อยู่นะครับ
และแล้วเราก็มาถึงห้องตัวอย่าง ห้องแบบ Loft จะอยู่ด้านขวามือ ส่วนห้องแบบ Simplex ต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกแหนะ
มาดูในส่วนของห้องพักกันต่อ ห้องของที่นี่ต้องบอกว่าทำโปรดักส์ออกมาให้แตกต่างจากรอบๆข้างพอสมควรเลย เพราะเค้าพยายามเล่นกับพื้นที่ในแนวสูง โดยการทำห้อง Loft เป็นการเพิ่มมิติของห้องในแนวตั้งในห้องนั่งเล่นหรือเรียกว่า Oversize Living Space ทำให้พอเข้าไปดูห้องจริงแล้วรู้สึกว่าห้องมันมีขนาดใหญ่กว่าโครงการโดยทั่วไปที่มีความสูงของฝ้าแบบปกติ ห้องจะดูโปร่งมากขึ้นและ BTU ของแอร์ก็ต้องเยอะตามขึ้นไปด้วยนะครับ ;p แต่ก็ได้ Space ที่สวยกว่าแน่นอนครับ
ห้องสไตล์ LOFT พอถูกออกแบบให้มีเพดานสูงแล้วสิ่งที่ต้องตามมาคู่กันด้วยถึงจะส่งผลดีก็คือ ตัวบานกระจกที่ต้องสูงตามไปด้วย ไม่อย่างจะถือว่าไม่ได้ใช้ประโยชน์จากความสูงของห้องได้อย่างเต็มที่ การที่มีหน้าต่างสูงนั้นนอกจากจะได้เห็นวิวกว้างขึ้นแล้ว ยังช่วยให้รับแสงธรรมชาติได้มากขึ้นไปด้วย และยังทำให้พื้นที่ชั้นลอยได้เห็นวิวไปในตัวไม่รู้สึกอึดอัด
TheReserveพหล-ประดิพัทธ์_RoomPlan_01
ห้องตัวอย่างจะมีทั้งหมด 2 ห้อง ห้องแรกคือห้องแบบ A4 เป็นห้อง Loft ขนาด 29.4 ตร.ม. และมีพื้นที่ใช้งานเพิ่มอีก 10 ตร.ม. รวมแล้วมีพื้นที่ใช้สอย 39.4 ตร.ม. ที่มีฝ้าเพดานสูง 4.4 เมตร ขออธิบายการแบ่งห้อง Loft ของที่นี่ซักหน่อย ห้องของที่นี่จะเป็นห้องที่ได้ Double Space ที่ห้องนั่งเล่นทั้งหมด แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือเมื่อเปิดประตูเข้ามาแล้วจะเจอพื้นที่ Double Space ก่อน หรือจะเจอพื้นที่แบบฝ้าเพดานปกติก่อน ใครชอบแบบไหนก็เลือกเอานะครับ
สำหรับห้องตัวอย่างจะเป็นห้องที่เปิดมาแล้วเจอฝ้าเพดานปกติก่อน โดยเป็นพื้นที่ครัวเปิดกับพื้นที่ทานอาหารอยู่ด้วยกันและมีห้องน้ำอยู่ตรงข้าม ซึ่งเป็นห้องนี้มีห้องน้ำเดียวดังนั้นต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าห้องนอนเราจะอยู่ด้านบนเวลาเข้าห้องน้ำจะต้องลงมาชั้นล่าง และตู้เสื้อผ้าจะอยู่ที่ด้านหลังของพื้นที่นั่งเล่น ห้องนั่งที่ได้ฝ้าเพดานสูงดูในผังแบบนี้จะไม่ได้อินเท่าไหร่ ต้องรอดูของจริงครับความสูงของฝ้ามันช่วยให้ห้องดูน่าใช้งานมากขึ้นเยอะเลย สำหรับห้องนอนก็อยู่ที่ชั้น 2 ไปตามระเบียบครับ การขายเป็นแบบ Fully Fitted เกริ่นมาซะเยอะแหละ เราไปดูของจริงกันเลยดีกว่าครับ
บานประตูของห้องนี้จะมีความสูงอยู่ที่ 2.2 เมตร ส่วนด้านบนที่ผมวงกรอบสีเหลืองจะไว้ทางโครงการจะปิดผิวลายไม้ให้แบบนี้นะครับ
กลอนประตูได้แบบ Digital Door Lock ของ Yale
พื้นห้องเป็นลามิเนต 8 มม. ลาย Dark Grey Oak และมีธรณีกระเบื้องกันมาให้
ถ่ายแบบเสดงวัสดุมาให้ดูง่ายๆกันครับ ใครสงสัยตรงไหนของห้องก็ดูได้จากบอร์ดนี้เลยครับ
มุมแรกของห้องจะเจอกับโซนครัวและโซนรับประทานอาหาร ตรงส่วนนี้จะมีความสูงฝ้าอยู่ที่ 2.2 เมตร แต่ในห้องตัวอย่างที่เห็นแค่ 2.1 ม.นะครับ แปลว่าของจริงจะสูงขึ้นไปอีก 10 ซม.
ส่วนครัวจะได้เคาน์เตอร์แบบครบชุดเป็นตัว L แบบนี้ได้ทั้งชุดบนและล่าง ซึ่งหน้าบานจะได้วัสดุปิดผิวไม่เหมือนกันนะครับ
Top เคาน์เตอร์จะเป็น Marble Composite หน้าบานครัวชุดล่างได้เป็นลามิเนตลายผ้าและมี Soft Close ให้
ได้เตาไฟฟ้า, เครื่องดูดควัน และอ่างล้างจานเป็นของ Mex ทั้งหมด
ลิ้นชักใต้เตาไฟฟ้าจะได้มีถามวางของแบบแบ่งช่องมาให้
รายละเอียดของตู้จะมี Soft Close มือจับแบบตัว U และมีถังขยะด้านในมาให้
ถ่ายรูปลามิเนตลายผ้ามาให้ดูแบบใกล้ๆ สำหรับตู้ด้านล่าง
ส่วนหน้าบานของชุดบนจะได้เป็นกระจก Back Splash ไม่ได้ให้เป็นกระจกเหมือนห้องตัวอย่างนะครับแต่เป็น Homogeneous tile ตามในบอร์ดแสดงวัสดุ
อีกด้านของเคาน์เตอร์ครัวจะไม่ได้มีพื้นที่เคาน์เตอร์มากนักแต่จะเป็นช่องไว้วางตู้เย็นมากกว่า
ช่องเก็บของอีกฝั่งก็ให้มานะครับ
การเปิดชุดบนจะไม่ได้มีมือจับมาให้แต่เป็นการเว้นช่องที่ตัวตู้แทน
หันมาอีกด้านจะเป็นห้องน้ำและด้านขวาที่มีประตูกั้นอยู่คือช่องเก็บรองเท้าครับ
มือจับที่ทำให้มาแบบนี้ ดูแล้วเรียบร้อยดีครับ
สำหรับช่องเก็บรองเท้าสามารถปรับความสูงของชั้นได้
ภายในห้องน้ำจะตกแต่งด้วย Homogeneous Tile ทั้งหมด โทนสีที่นำมาใช้ดูสะอาดตาและเลือกคู่สีได้ค่อนข้างดีครับ การวางฟังก์ชันโดยรวมใช้งานได้ดีทุกส่วน
พื้นที่ห้องน้ำสามารถใช้งานได้พอดีๆหมุนตัวไปมาได้ไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด
ตัวอ่างจะได้แบบขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกับเคาน์เตอร์ ทำให้ดูมีความเรียบง่ายและหรูหรามาขึ้น ตัวกระจกเงาจะได้เต็มบานแบบนี้เลยยกเว้นแผงไฟตกแต่งที่ยื่นออกมาจากกระจกด้านซ้ายมือ
Top ตัวอ่างจะเป็น Solid Surface ของ Lavenz ที่มีรูพรุนของเนื้อวัสดุน้อยทำให้ป้องกันความชื้นได้เป็นอย่างดี
ขนาดของอ่างก็กำลังดีครับ ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ก๊อกน้ำใช้ของ Kohler
โถสุขภัณฑ์ใช้ของ Kohler แบบ 2 ชิ้นพื้นที่รอบๆ มีระยะที่กว้างดีนั่งสบายเลย
อีกฝั่งจะเป็นพื้นที่อาบน้ำที่ให้มาใหญ่ดี อาบน้ำหมุนตัวยืดแข้งขาได้ไม่ติดอะไร ฉากกั้นมีมาให้เป็นกระจก Tempered
ขนาดของฝักบัวเป็นขนาดกลางมือจับถนัดมือได้ของ Kohler เช่นกัน
การลดของห้องน้ำจะมีธรณีเป็น Homogeneous Tile
ออกมาดูพื้นที่ห้องนั่งเล่นจะเห็นว่ามีพื้นที่ให้พอวางโต๊ะแบบ 4 ที่นั่งได้อยู่นะแต่อย่าเลือกโต๊ะที่มีขนาดใหญ่มาก เพราะจะไปเบียดเอาระยะทางเดิน
มาถึงพื้นที่ไฮไลท์ของห้องนี้แล้วครับ ห้องนั่งเล่นจะอยู่ติดกับหน้าต่างในส่วนของ Double Space ทำให้พื้นที่ดูน่าใช้งานมากขึ้น ระยะทีวีอยู่ที่ประมาณ 2.5 เมตรวางทีวีได้ถึง 55″
ตัวกระจกที่ให้มาสูงกว่าปกติเยอะเลยครับสูงประมาณ 3.6 เมตร เรียกว่าสูงเกือบถึงฝ้าเพดานเลย
สำหรับด้านหลังของโซฟาจะเป็นตู้ Built-in ที่โครงการทำมาให้ด้วยแต่ได้เฉพาะชุดล่างนะ ชุดบนที่อยู่ในกรอบเหลืองจะไม่ได้ทำมาให้ ถ้าใครจะทำตรงนี้จริงๆต้องเผื่อระยะให้วางบันไดขึ้นไปหยิบของได้ด้วยนะ
ภายในจะเป็นตู้เสื้อผ้ามาให้ 2 หน้าบานและด้านขวาสุดเป็นชั้นวางของ โดยหน้าบานที่เป็นตู้เสื้อผ้าจะเป็นกระจกเงาบังเสื้อผ้าของเราไว้นะ แต่ขวาสุดหน้าบานเป็นกระจกใสเอาไว้โชว์ของ
ตัวเฟรมประตูจะมีแกนในแนวตั้งมาให้ด้วยช่วยให้ตัวบานประตูแข็งแรงมากขึ้น เท่าที่ลองเปิดปิดดูถือว่าให้ความรู้สึกที่แน่นดีครับ
อีกจุดที่ห้องนี้น่าสนใจก็คือตรงระเบียงจะได้ฝ้าเพดานสูงเท่ากับด้านใน ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้ตอนเราอยู่ห้องนอนชั้นบนยังสามารถเห็นวิวได้ และได้แสงธรรมชาติมากขึ้น ปลายสุดของระเบียงจะเป็นพื้นที่วางเครื่องซักผ้าและแขวน CDU ของแอร์
หันกลับมาดูในห้องจะได้บรรยากาศโล่งๆแบบนี้ ซึ่งบันไดที่อยู่ซ้ายมือจะมีความกว้างประมาณ 70 ซม.ถือว่าแคบไปหน่อยแต่ก็ใช้งานได้ไม่ลำบากอะไรนัก สำหรับตัวราวบันไดโครงการจะให้มาแบบนี้เลย มือจับเป็นไม้และมีกระจกใสเชื่อมต่อกันเป็นชิ้นเดียวกับราวกันตกด้านบน
ขึ้นมาที่ชั้นบนจะเห็นว่ามีพื้นที่ให้วางเตียงนอนแบบ 5 ฟุตได้พอดีๆ ความสูงของฝ้าเพดานตรงนี้อยู่ที่ 2.1 นะครับตามในห้องตัวอย่างเลย
ถ่ายมาให้ดูว่ายังพอมี ระยะเดินรอบๆเตียงได้สบายๆอยู่ ใครจะเลือกเตียงมาวางแนะนำให้ใช้ฐานเตียงแบบเตี้ยๆเหมือนห้องตัวอย่างนะครับ จะได้ไม่เสียวมากเวลากลิ้งตกเตียง 555
สำหรับหัวเตียงทางโครงกาจะทำ Built-in มาให้ด้วยแต่กระจกด้านบนไม่ได้นะ ฝ้าด้านขวาที่มีซ่อนไฟของจริงไม่ได้ให้มานะครับเป็นฝ้าฉาบเรียบธรรมดา
ห้องที่ 2 ที่จะพาไปดูเป็นห้องแบบ 1 Bedroom Plus หรือ 1 ห้องนอนที่มีห้องอเนกประสงค์อยู่อีกห้อง Type C3 ตอนนี้ขายหมดแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเป็นห้องแบบ Simplex ที่มีจำนวนยูนิตไม่เยอะ ห้องนี้มีข้อดีตรงที่เป็นห้องมุมแบบหน้ากว้างทำให้มีช่องแสงธรรมชาติเข้าถึงทุกส่วนของห้อง ห้องแบบนี้จะสวยตรงที่ห้องนั่งเล่นเพราะเป็นจุดที่โครงการให้น้ำหนักเยอะที่สุดในการออกแบบสังเกตได้จากการให้พื้นที่ใหญ่กว่าส่วนอื่นๆ ห้องน้ำเป็นแบบ Double Access ช่วยให้ใช้งานได้เป็นส่วนตัวมากขึ้น ห้องนอนก็ได้ Bay Window ทั้ง 2 ด้านที่หัวเตียงและปลายเตียง
เปิดห้องมาจะเจอกับแนวเคาน์เตอร์ครัวยาวๆแบบนี้ ซึ่งดูสวยและเหมาะกับการทำอาหารฝรั่ง หรือทำอาหารเบาๆนะ เพราะเป็นครัวเปิดใครทำอาหารที่มีกลิ่นแรงหรือมันๆนี่สงสารโซฟาที่เป็นผ้าเลยครับ
ส่วนครัวจะได้วัสดุแบบเหมือนกับห้องแรกแต่จะได้พื้นที่ครัวที่ยาวกว่าหน่อย และได้ตู้เก็บของเพิ่มมากขึ้น
สำหรับห้องนั่งเล่นถือว่าทำออกมาได้สวยและดูโปร่งดี ตัวช่วยก็คือฝ้าสูง 2.7 กับความสูงของประตูที่สูงเกือบชนฝ้าเหลือระยะให้ซ่อนรางม่านพอดีๆ และตัวบานประตูมีแค่ 2 บานทำให้มีเส้นบังสายตาในแนวตั้งน้อยมาก
พื้นที่ระเบียงมีมาให้กว้างเท่าระยะห้องเลย ประมาณเกือบๆ 5 เมตรตัวระเบียงให้เป็นระแนงเหล็กซึ่งราคานี้น่าจะได้เป็นกระจกแล้วนะ
สำหรับพื้นที่ระเบียงนี้จะดูโล่งกว่าห้องแบบ Loft เพราะเครื่องซักผ้าย้ายไปอยู่ด้านในแล้ว
มองกลับมาในห้องจะเห็นว่าห้องมันดูกว้างๆ น่าใช้งานแต่ส่วนที่ต้องปรับหน่อยก็คือพื้นที่กินข้าวที่นั่งได้ 4 ที่นั่งก็จริงแต่ไม่ได้จัดให้นั่งแบบตรงข้ามกันได้ อันนี้ก็พอปรับได้นะครับเพราะเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัว ลูกบ้านสามารถปรับเองได้ไม่ยาก
เข้ามาดูในห้องอเนกประสงค์กันต่อ ห้องนี้สามารถปรับเป็นห้องทำงานหรือห้องนอนเล็กก็ได้เพราะมีขนาดให้พอวางเตียง 3.5 ฟุตได้อยู่ เอาไว้เพื่อน พี่ น้อง หรือญาติมาก็นอนแยกห้องแบบชั่วคราวได้ครับ
เนื่องจากห้องนี้เป็นห้องมุม ห้องนี้เลยได้หน้าต่างแบบนี้ด้วย
ต่อไปมาดูห้องน้ำบ้าง ประตูที่เป็นบานเลื่อนแบบนี้เค้าไม่ได้ให้มานะครับของจริงเป็นบานเปิดธรรมดา แต่แนะนำว่าถ้าใครชอบให้ห้องดูเรียบๆ เท่ห์ๆ หละก็ ทำแบบนี้ห้องดูสวยขึ้นเยอะเลยครับ
ห้องน้ำสามารถเข้าทั้งจากห้องนั่งเล่นหรือห้องนอนช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้มากแขกไปใครมาจะเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องเดินผ่านห้องนอน
วัสดุห้องน้ำให้มาเหมือนกับห้องแบบ Loft นะครับ
ได้อ่างเป็น Solid Surface เหมือนกัน
ที่พิเศษขึ้นมาก็คือห้องนี้มีหน้าต่างเอาไว้ระบายอากาศเพิ่มมาให้ ส่วนฝ้าซ่อนไฟไม่ได้ให้มานะครับ
เข้ามาดูที่ห้องนอนจะวางเตียงขนาด 5 ฟุตได้พอดีๆ จุดเด่นยังคงเป็นพื้นที่หน้าต่างที่ให้มาแบบเต็มที่จากพื้นถึงฝ้าเลยและเป็นแบบ Bay Window
ถ้าใครอยากจะวางเตียง 6 ฟุตต้องอาจต้องดันเตียงให้สุดฝั่งนี้ที่เป็นกระจก ใครอยู่ชั้นสูงๆ เวลานอนมันก็จะเสียวหน่อยๆเพราะนอนติดกระจกเลย
อีกฝั่งของห้องที่ติดกับห้องน้ำจะเป็นพื้นที่ Built-in ตู้เสื้อผ้าได้หน้าบานเป็นกระจกแบบนี้
ตัวมือจับทำมาได้เรียบและ Minimal ดี สวย แต่แอบเปิดยากไปนิด
ถ่ายมุมปลายเตียงมาให้ดูว่ายังมีพื้นที่ให้ติดตั้งทีวีอยู่นะ ไม่ได้เป็นหน้าต่างทั้งหมด
ห้องนอนนี้เป็นแบบ Bay Window ทั้ง 2 ด้านแต่ถ้าดูจากในห้องจะเห็นไม่ชัดเลยออกมาถ่ายจากด้านนอกให้ดูครับ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 30 August 2017
- 1 Bed Loft ชั้น 14 เนื้อที่ 29.05 ตร.ม. ราคา 6.05 ล้านบาท หรือประมาณ 208,000 บาท/ตร.ม. ถ้ารวมพื้นที่ใช้สอยอีก 10 ตร.ม. จะได้เป็น 39.05 ทำให้ราคาต่อตารางเมตรเป็น 155,000 บาท/ตร.ม.
- จอง 50,000 บาท ทำสัญญา 80,000 บาท
- 1 Bed Simplex ชั้น 23 เนื้อที่ 29.45 ตร.ม. ราคา 5.56 ล้านบาท หรือประมาณ 188,794 บาท/ตร.ม.
- จอง 50,000 บาท ทำสัญญา 80,000 บาท
- 1 Bed Simplex ชั้น 23 เนื้อที่ 47.3 ตร.ม. ราคา 8.63 ล้านบาท หรือประมาณ 182,452 บาท/ตร.ม.
- จอง 80,000 บาท ทำสัญญา 100,000 บาท
- Fully Fitted
- ห้อง Loft ฝ้าเพดานสูง 4.4 เมตร
- ห้อง Simplex ฝ้าเพดานสูง 2.7 เมตร
- Kitchen & Sink
- Hob & Hood
- ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 65 บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
โครงการ The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ ถือเป็นโครงการที่เปิดตัวแบรด์ The Reserve ตึกสูงที่ต่อเนื่องมาจากตัวทองหล่อ ตัวโครงการนี้อยู่บนถนนประดิพัทธ์ใกล้แยกสะพานความและห่างจาก BTS สะพานความประมาณ 470 เมตร ภาพรวมถือว่าเป็นทำเลที่ค่อนข้างดีเดินทางได้สะดวก ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะไม่ได้เด่นเท่าย่านอารีย์ แต่ก็ยังเดินทางไปย่านสำคัญๆต่างได้ไม่ยาก ยิ่งถ้าใครทำงานอยู่แถวอารีย์หรือห้าแยกลาดพร้าวยังเดินทางได้สะดวกอยู่ ของกินโดยรอบในระยะเดินได้ถือว่าเยอะมากและราคาเป็นมิตรต่อเงินในกระเป๋าสตางค์ และเป็นทำเลที่มีให้เลือกกินได้ทั้งกลางวันและกลางคืน
สำหรับความอุดมสมบูรณ์ในระยะขับถือว่าเป็นทำเลที่มีห้างให้เลือกเดินอยู่ เพราะใกล้ทั้ง เซ็นทรัลลาดพร้าว และ Union Mall ร้านอาหารชิคๆ ก็ขับไปกินแถวย่านอารีย์ได้ หรือจะไปกินในย่านลาดพร้าวก็ได้โซนนั้นมีของกินให้เลือกเยอะเลย
การเดินทางโดยใช้รถถือว่าสะดวก เพราะเส้นประดิพัทธ์เป็นเส้นที่ลากตามแนวขวาตัดกับถนนที่วิ่งเข้าเมืองหลายสายทำให้มีตัวเลือกในการใช้เส้นทาง ตัวโครงการถึงแม้จะอยู่ใกล้แยกแต่การเข้าออกก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร เพราะโครงการนำทางเข้าออกไปไว้ด้านข้างที่เป็นซอย ทำให้มีระยะที่รถจะเลี้ยวเข้าโครงการได้ง่าย ข้อดีอีกข้อคือถ้ามาจากพหลโยธินสามารถเลี้ยวขวาเข้าโครงการได้เลย หรือถ้าออกจากโครงการจะไปพระราม 6 ก็เลี้ยวขวาได้เช่นกัน
การเดินทางโดยไม่ใช้รถยังคงอยู่ในระยะที่เดินได้สบายๆอยู่นะครับ เพราะห่างจากสถานี BTS สะพานควายประมาณ 470 เมตร การเดินจาก BTS สะพานควายนั้นก็ไม่ลำบากอะไรมากนัก ไม่ต้องข้ามถนนอะไรให้วุ่นวาย และตลอดทางก็อาศัยร่มเงาของอาคารพาณิชย์เดินมาแบบไม่ต้องตากแดดได้ ตรงแยกสะพานความเองก็มีสะพานลอยที่สามารถข้ามไปถนนได้ครบทุกฝั่ง จะเดินไปหาไรกินแถวนี้ไม่ลำบากแน่นอนครับ
การออกแบบของที่นี่ถือเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจ เพราะเน้นไปทำห้องแบบ Loft เกือบทั้งหมดมีแค่ 3 ชั้นบนเท่านั้นที่เป็นห้องแบบปกติและมีจำนวนไม่เยอะ ดังนั้นคนที่สนใจที่นี่เหมาะกับคนที่ต้องการพื้นที่ (Space) ที่มีความโปร่งและได้วิวจากในห้องแบบสบายตาเพราะมีช่องแสงเยอะ พื้นที่ห้องก็ไม่เล็กเกินไปทำให้สามารถใส่ฟังก์ชันได้ครบและใช้งานได้จริง
ที่น่าสนใจคือราคาห้องเมื่อเทียบกับพื้นที่ตามโฉนดจะค่อนข้างสูงกว่าเพื่อนบ้านทั้งหมด แต่ถ้านับตามพื้นที่ใช้สอยก็จะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ต่างกันมาก แต่การใช้ห้อง Loft มีข้อได้เปรียบในเรื่องของส่วนกลางอยู่นะครับ เพราะเวลาเราจ่ายค่าส่วนกลางตามโฉนด ไม่ได้จ่ายตามพื้นที่ใช้สอยเท่ากับประหยัดไป 10 ตร.ม.
สำหรับตัวโครงการถือว่าออกแบบมาสวยดีนะครับเน้นความเรียบง่ายเอา Facility ไว้ชั้นบนทั้งหมด จำนวนยูนิตน้อยทำให้อัตราส่วนลิฟท์ต่อกว่าร้อย ซึ่งในสมัยนี้เราจะไม่ค่อยได้เห็นสักเท่าไหร่ นอกจากนี้ยังส่งผลให้จำนวนยูนิตต่อชั้นลดลงตามไปด้วย เรื่องแบบนี้ต้องอาศัยการออกแบบของโครงการเป็นหลักเลยครับ ไม่เหมือนกับในห้องที่เรายังสามารถตกแต่งภายในเพิ่มเติมทีหลังได้
วัสดุถือว่าให้มาน้อยนะเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านที่ขายแบบ Fully Furnish แต่โครงการก็เลือกของที่ค่อนข้างดีมาให้ได้ Built-in ครัวและตู้เสื้อผ้า ที่ผมชอบคือในส่วนของห้องน้ำจะได้เคาน์เตอร์แบบ Solid Surface ทำให้ตัวอ่างเชื่อมต่อกับ Low Wall ได้เลยทำให้เส้นสายการตกแต่งในห้องน้ำดูเรียบและ Minimal มากขึ้น อีกจุดที่ดีคือได้กระจกบานใหญ่แลสูงในห้อง Loft ช่วยให้บรรยากาศในห้องดูโปร่งมากขึ้น
สาธารณูปโภคให้มาแบบทั้งชั้น และให้มาที่ชั้นบนสุดของอาคารคือชั้น 25 ทำให้แยกส่วนการใช้งานออกจากที่พักอาศัยอย่างชัดเจน ได้พื้นห้องแบบ Double Space เอาไว้รับวิวจตุจักรและวิวเมือง สระว่ายน้ำยาว 23 ม.เอาไว้ว่ายออกกำลังได้เลย ที่พิเศษกว่าที่อื่นก็คือการใช้งานได้แบบ 24 ชม.โดยจองผ่าน Application การใช้งานได้ตลอดทั้งวันแบบนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ให้กับลูกบ้านมาก เพราะสามารถเลือกเวลาในการใช้งานให้เหมาะกับตัวเองได้ แถมยังลดความหนาแน่นในช่วงเวลาเช้า/เย็นที่คนนิยมเล่นกันด้วย
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับราคาเฉลี่ย 180,000 บาท/ตร.ม., 30 August 2017 (เนื่องจากโครงการนี้มีวิธีการเทียบราคาแบบห้อง Loft ด้วย ถ้าใครคิดจากพื้นที่ใช้สอยรวมชั้นลอยราคาเฉลี่ยก็จะถูกลงมาหน่อย คุณผู้อ่านก็สามารถบวกคะแนนเพิ่มไปเองได้เลยนะครับ)
- ทำเล 7.0/10 – ติดถนนประดิพัทธ์ มีความคึกคักสูง
- เดินทางด้วยรถ 8.0/10 – เข้าออกโครงการง่าย เข้าเมืองได้หลายเส้นทาง ได้ที่จอดรถ 70%
- ไม่ใช้รถ 7.75/10 – เดินไป BTS สบายๆ ด้วยระยะทาง 470 เมตร
- วัสดุ 7.0/10 – เทียบกับราคานี้ถือว่าให้มาน้อยแม้จะให้ของดี
- แบบ 8.0/10 – เป็นจุดเด่นของโครงการนี้เลยมีห้องแบบ Loft ที่ใช้งานฟังก์ชันต่างๆได้จริง
- สาธารณูปโภค 9.0/10 – ให้มาแบบยกชั้นและเป็น Double Space และใช้งานได้ 24 ชม.
- LUXURY CLASS
- 7.56 / 10.00
BOTTOM LINE
The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ เหมาะกับคนที่มองหาห้องแบบ Loft เน้นความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตไม่เยอะ ใช้ทั้งรถยนต์ส่วนตัวและนั่ง BTS เป็นคนไม่ซื้อของตามใคร ใช้ชีวิตที่เวลาไม่เหมือนคนอื่นอยากใช้ส่วนกลางเวลาไหนก็ใช้ได้ เน้นของกินแบบราคาไม่แรงสบายกระเป๋า มีงบประมาณระดับ 6-9 ล้าน หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 42,000 – 72,000 บาท/เดือน
สมัครสมาชิกพร้อมรับข่าวสารเพิ่มเติม (คลิกที่นี่ )