รีวิวฉบับที่ 2090 … The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ เป็นคอนโดแบรนด์บนสุดของทางพฤกษา โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาแบรนด์เดอะ รีเซิร์ฟเปิดตัวมาหลายโครงการทีเดียว แต่นี่จะเป็นตัวแรกที่สร้างเสร็จ โดยตั้งอยู่บนถนนประดิพัทธ์ ใกล้ BTS สะพานควาย 470 ม. คอนโดสูง 25 ชั้น ทั้งหมด 260 ยูนิตที่ได้ความเป็นส่วนตัวดี พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้งานเวลาไหนก็ได้ (เปิด 24 ชม.) และบริการ Concierge Service by The Reserve ส่วนห้องเน้นแบบ Loft ฝ้าเพดานสูง 4.4 เมตร ที่ยังไม่มีในละแวกนี้ ในราคาเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท
ข้อมูลโครงการ
16 June 2020
- The Reserve Phahol – Pradipat (เดอะ รีเซิร์ฟ พหลฯ – ประดิพัทธ์)
- บริษัท พฤกษา เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน)
- HIGH CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2020 ได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่: ถนน ประดิพัทธ์(บริเวณซ.ประดิพัทธ์ 23) เขตพญาไท
- ที่ดินประมาณ 1-2-43 ไร่
- คอนโด High Rise 25 ชั้น 1 อาคาร 260 ยูนิต
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 16 ยูนิต
- ที่จอดรถมี 2 ระบบ คือ Conventional และ Automatic Car Parking
- ประมาณ 170 คัน คิดเป็น 65% (รวมจอดซ้อนคันอีก 37 คัน หรือคิดเป็น 79%)
- มีทั้งหมด 224 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท
- มีทั้งหมด 24 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.79 ล้านบาท
- มีทั้งหมด 12 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 7.89 ล้านบาท
- ราคาห้อง 4.59 ล้านบาท
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร 161,600 บาท/ตร.ม.
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร (นับพื้นที่ใช้สอยด้านบน) 121,100 บาท/ตร.ม.
สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มค่ะ
ทำเลที่ตั้ง
พิกัด Google Maps : 13.790056, 100.547444
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
แผนที่จากทางโครงการ The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ ค่ะ
The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ ตั้งอยู่บนถนนประดิพัทธ์ฝั่งเลขคี่ ระหว่างซ.ประดิพัทธ์ 23 และ 25 ที่วิ่งเข้าถนนพหลโยธิน ใกล้แยกสะพานควายเพียง 80 ม. ที่เชื่อมไปถนนหลักได้หลายแห่ง ส่วนตัวมองว่า “ย่านสะพานควาย” ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากนัก แต่กลับมีกิมมิคที่แตกต่างกับย่านใกล้เคียงคือยังคงความเป็นชุมชนดั้งเดิม โดยเป็นลักษณะตึกแถวติดถนนใหญ่ ชั้นล่างทำเป็นร้านค้าร้านอาหาร ซึ่งก็ทำให้ย่านนี้มีความอุดมสมบูรณ์สูง หาของกินของใช้ง่าย มีให้เลือกสรรเยอะมาก ในราคาที่สามารถซื้อได้ในชีวิตประจำวันได้จริงๆ ซึ่งแน่นอนว่าบรรยากาศของร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ ก็จะแตกต่างจากย่านอารีย์ที่ขยับไปอีกสถานีนึง ซึ่งจะมีร้านค้าร้านอาหารแบรนด์ต่างๆ ที่มีราคาสูงกว่า ค่าครองชีพถือว่าแตกต่างกันอยู่พอควร ทำให้กลุ่มเป้าหมายและระดับของคนที่อยู่ย่านสะพานควายกับอารีย์นั้นก็จะแตกต่างกันไปเช่นกัน
สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ถือว่าสะดวกมาก เพราะบริเวณแยกสะพานควายเป็นสี่แยกตัดกับถนนหลัก 3 เส้น ที่ขับไปได้เกือบทุกทิศทางของกรุงเทพ
- ถนนประดิพัทธ์ : ขับไปทางพระราม 6 ที่มีจุดขึ้นลงทางด่วน ช่วยประหยัดเวลาในช่วงเวลาเร่งด่วนได้พอสมควร หรือข้ามทางรถไฟไปโซนบางซื่อ-เตาปูน-บางโพ ที่บริเวณนี้จะมีแหล่งงานขนาดใหญ่อย่าง SCG (กรุงเทพตะวันตก)
- ถนนพหลโยธิน : ขับไปห้าแยกลาดพร้าว-ดอนเมือง (กรุงเทพตอนเหนือ) หรือกลับกันไปย่านอารีย์-อนุสาวรีย์ชัยฯ-สยาม (กรุงเทพตอนกลาง) ซึ่งเป็นย่านสำคัญๆที่มีแหล่งงานขนาดใหญ่
- ถนนสุทธิสารวินิจฉัย : เส้นนี้จะตัดไปออกถนนวิภาวดีรังสิต และ ถนนรัชดาภิเษก (กรุงเทพตะวันออก) ซึ่งมีคนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้มีการจราจรหนาแน่นพอสมควร เป็นลักษณะถนน 3 เลน ที่ปกติวิ่งไป 2 เลน กลับ 1 เลน แต่ในช่วงเย็นเข้าจะปิดทางเข้าจากวิภาวดี ดังนั้นเวลากลับบ้านจากทางนี้ต้องไปลัดเลาะซอยย่อยอีกทีนะคะ
สำหรับความอุดมสมบูรณ์ ห้างและคอมมูนิตี้มอลล์ในละแวกนี้มีไม่มาก ใกล้สุดเป็น Big C สะพานควาย ขยับไปหน่อยมี La Villa อารีย์ จากนั้นต้องขับไปจนถึงห้าแยกลาดพร้าวก็จะมีทั้งเซ็นทรัลลาดพร้าว, ยูเนี่ยน มอลล์ แต่จริงๆแล้วของกินร้านอาหารๆเด็ดๆในแหล่งนี้ไม่ได้อยู่ที่ห้างหรอก แต่อยู่ตามท้องถนนทั่วไปมีทั้งร้านค้า ร้านอาหารเก่าใหม่ปะปนกันไป รวมไปถึงหน้าปากซอยมีร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่หาซื้อของกินได้ง่าย เรียกว่าเป็นคอนโดหรูในย่านชุมชน ที่หาของกินง่ายในราคาประหยัด ได้ความหลากหลายดีนะคะ
แหล่งทำงาน อยู่ระหว่างโซนห้าแยกลาดพร้าว มีอาคารสำนักงานใหญ่ๆหลายตึก ได้แก่ Sun Tower, TMB สำนักงานใหญ่, ตึกการบินไทย, ตึกบางกอกแอร์เวย์, สำนักงานใหญ่ปตท. เป็นต้น ซึ่งระยะทางไปยังห้าแยกลาดพร้าวอยู่ที่ประมาณ 3 กม. ส่วนใกล้หน่อยเป็นโซนอารีย์ที่มีทั้งบริษัทเอกชนและสถาที่ราชการ เห็นได้ชัดเลยว่าที่นี่เป็น “ย่านมนุษย์เงินเดือน” อย่างแท้จริงที่มี “งาน” มากมายอยู่ในย่านนี้
โรงพยาบาลและสถานศึกษา บนถนนพหลโยธินมี รพ.เปาโล เมมโมเรียล, รพ.ประสานมิตร และรพ.พญาไท 2 ส่วนบนเส้นพระราม 6 ก็จะมี รพ.วิชัยยุทธ ซึ่งบนเส้นนี้ก็มีโรงเรียนดังอย่างสามเสนวิทยาลัย หรือไม่ก็ต้องไปย่านเส้นวิภาวดีเลยที่มี ร.ร.นานาชาติเซนต์จอห์น หรือม.หอการค้า
The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ ห่างรถไฟฟ้า BTS สะพานควาย 470 ม. ที่แม้จะไม่ใช่ระยะที่เดินได้สบาย แต้ต้องยอมรับว่าระหว่างทางเดินไปไม่เหนื่อยเลย เนื่องจากมีร้านค้า ร้านอาหารตลอดทาง เรียกว่าถ้าเหนื่อยก็แวะพักกินข้าวก่อนกลับคอนโดก็ได้ โดยข้อดีของสถานีนี้คือนั่ง 1 สถานีไป BTS หมอชิต จะเป็นจุดเปลี่ยนรถไฟฟ้า MRT หรือจะนั่งไป BTS อารีย์ ที่เป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ ที่มีร้านกิน เที่ยว ร้านสวยๆเก๋ๆเต็มไปหมด
ส่วนการเดินทางด้วยรถสาธารณะอื่นๆ ก็หาง่ายทั้งแท็กซี่ วินมอเตอร์ และรถเมล์ที่มีหลากหลายสาย รวมไปถึงถ้าอยากออกไปต่างจังหวัด บริเวณอนุสาวรีย์ฯและขนส่งหมอชิตก็อยู่ไม่ไกล ดังนั้นใครที่จะพึ่งรถสาธารณะเรียกว่าสบายมาก สำหรับวันนี้เราจะพาไปดูบรรยากาศรอบๆโครงการกัน โดยเริ่มที่ BTS สะพานควายเดินมาเรื่อยๆจนถึงโครงการค่ะ
เส้นทางการเดินทาง
เริ่มจากบน BTS สะพานควาย ให้เราเดินไปทางออกหมายเลข 1 ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับ Big C สะพานควาย
**เสริมย่านพหลฯ-ประดิพัทธ์ เป็นย่านนำร่องในการนำสายไฟฟ้าและสายโทรศัพท์ลงดิน ซึ่งดำเนินการเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ
เรากลับมาดูที่ดินของโครงการกันต่อนะคะ ที่ดินตัวโครงการนั่นอยู่ระหว่างซ.ประดิพัทธ์ 23 กับ ประดิพัทธ์ 25 และอยู่ใกล้แยกสะพานควายเพียง 80 ม. ซึ่งก่อนหน้านี้เราเคยเขียนว่าทิศตะวันออกคงไม่มีอะไรมาบังแน่ๆเพราะใกล้แยก และมีอาคารพาณิชย์สูง 7 ชั้นเก่าแก่ แต่ปัจจุบันมีการรวมที่ดินขนาดใหญ่ และอยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการ Mixed-Use ในอนาคต (ส่วนรายละเอียดยังไม่ออกมาเป็นทางการ) อาจจะต้องรอติดตามหน้างานอีกที ซึ่งถ้าเป็นลักษณะโครงการขนาดใหญ่ จะส่งผลให้ย่านนี้คึกคักมากขึ้น แต่ที่แน่ๆห้องทางทิศนี้อาจจะโดนบังวิวอยู่บ้าง.. ส่วนทิศทางอื่นยังได้วิวเปิดโล่งๆอยู่ค่ะ
ทิศใต้(ถ่ายจากชั้น Roof Top) : หันออกไปทางถนนประดิพัทธ์ ซึ่งถ้าใครอยู่เกินชั้นสูงๆหน่อยจะพ้นจากตึก Life ฝั่งตรงข้าม ที่มองไปไกลๆเห็นวิวย่านอารีย์ ที่มีตึกสำนักงานขนาดใหญ่ บรรยากาศโล่งดีนะ
ทิศตะวันออก(ถ่ายจากชั้น Roof Top) : หันออกไปทางถนนพหลโยธิน ที่ปัจจุบันฝั่งนี้คือโล่งมากๆ แทบมองไม่เห็นตึกสูงเลย แต่ยังไงต้องรอดูโครงการ Mixed Use ด้านข้างว่าจะบังวิวโครงการในอนาคตรึเปล่านะคะ
ทิศเหนือ(ถ่ายจากชั้น Roof Top) : มองออกไปเห็นสถานีกลางบางซื่อ ที่จะเป็น Transportation Hub ขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะเปิดใช้งานปี 64 นี้ แถมเราอยู่ในโซนที่ไม่มีตึก High Rise บังวิวอีกด้วย ซึ่งแม้ห้องจะอยู่ไม่สูงมากฝั่งนี้ก็รอดอยู่นะ
ทิศตะวันตก(ถ่ายจากชั้น Roof Top) : หันออกไปทางถนนพระราม 6 ซึ่งตรงมีตึก The Line และ Rhythm ที่บังวิวอยู่บางส่วน แต่ก็มีระยะห่างกันพอสมควร ทำให้ยังมองเห็นวิวโล่งๆได้อยู่บ้าง
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- บิ๊กซี สะพานควาย ~250 เมตร
- โรงพยาบาลเปาโลเมมโมเรียล ~350 เมตร
- ตลาดนัดสวนจตุจักร ~1.2 กม.
- La Villa อารีย์ ~1.4 กม.
- โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ~2 กม.
- โรงพยาบาลพญาไท 2 ~2.4 กม.
- อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ~3.1 กม.
- ยูเนี่ยนมอลล์ ~3.4 กม.
- เซ็นทรัลลาดพร้าว ~3.9 กม.
- เมเจอร์ รัชโยธิน ~ 4.9 กม.
รายละเอียดโครงการ
The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ คอนโดแบรนด์บนของ Pruksa Premium โดยตัวนี้เป็นตัวแรกที่สร้างเสร็จหลังจากการรีแบรนด์ ที่มีคอนเซ็ปต์ “STYLISH IS MODERN TIMELESS” ซึ่งการเลือกใช้คำว่า Timeless เข้ามา เพราะไม่ต้องการให้ตึกดูล้าสมัยเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ วัสดุที่ใช้หลักๆเช่น กระจก เหล็ก สแตนเลส และพื้นผิวลายหินอ่อน ที่ผสมผสานความหรูหรา และความเรียบง่ายเข้าด้วยกัน แม้โครงการนี้จะไม่โดดเด่นทางหน้าตาเหมือนแบรนด์ The Reserve ตัวอื่นๆ แต่ก็ดูเรียบง่ายมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่เด่นๆคือเราได้บริการพิเศษที่มีเฉพาะแบรนด์นี้บริการ Concierge Service ที่เสมือนคุณมีเลขาส่วนตัว ที่สามารถทำทุกอย่างแทนคุณได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ส่งผ้าซักรีด ทำความสะอาด จองนัดร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ รวมไปถึงนัดคนมีเสริมสวย หรือนวดได้ที่ห้องส่วนตัวได้เลย แต่ส่วนนี้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ยังไงลองสอบถามโครงการอีกทีนะคะ
ขอเริ่มที่ผังชั้น 1 กันนะคะ สำหรับทางเข้าโครงการจะไม่ได้ติดถนนแต่อยู่เข้ามาด้านในซอย ซึ่งช่วยให้การเข้าโครงการง่ายขึ้น ไม่ต้องไปชุลมุนอยู่ริมถนน แต่ถ้าใครไม่เคยมาโครงการอาจจะงงๆหาทางเข้าไม่เจอก็ได้นะ (เหมือนเราตอนไปครั้งแรก > <) เข้ามาภายในโครงการมีถนนล้อมรอบตัวอาคาร ซึ่งเป็นลักษณะเดินรถทางเดียว เพื่อให้จัดการเป็นระบบระเบียบได้ง่าย ส่วนถ้าใครเดินเท้าก็จะมีประตูที่เข้าจากถนนประดิพัทธ์ได้เลย โดยตรงนี้เป็นลักษณะพื้นที่ส่วนหย่อม ให้นั่งเล่นชิลล์ๆได้อีกด้วย
ส่วนที่จอดรถของโครงการนี้จะมีทั้งแบบ Automatic Parking ด้านหน้าโครงการและแบบปกติที่ด้านข้างโครงการ ที่มีช่องจอดประมาณ 170 คัน คิดเป็น 65% (รวมจอดซ้อนคันอีก 37 คัน หรือคิดเป็น 79%) ที่ถือว่าให้มาค่อนข้างเยอะ สำหรับโครงการทำเลใกล้รถไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมี EV Charger รองรับรถไฟฟ้าในอนาคตได้ ถัดเข้ามาในตัวอาคารชั้นล่างมี Lobby พร้อมที่นั่งหลากหลายชุด ไว้รองรับแขกที่มาเยี่ยมและนั่งคุยงานที่นี่ได้
รั้วโครงการเป็นลายหินอ่อนสีเทาขาวดูหรูหราดี พร้อมป้ายชื่อโครงการขนาดใหญ่ แต่จะเห็นชัดเจนถ้ามาจากถนนพระราม 6 นอกจากนี้มีกำแพวต้นไม้สูงบดบังสายตาจากคนภายนอก ที่ได้ความเป็นส่วนตัว
สำหรับพื้นที่ทางเข้าตรงนี้จะดูเอียงๆหน่อยนะคะ ข้อดีคือได้ความเป็นส่วนตัว เพราะถ้ามองผ่านๆจะไม่เห็นบรรยากาศภายในโครงการมากนัก แถมบริเวณนี้โครงการเลือกเอาสายไฟลงใต้ดิน ทำให้ไม่มีสายไฟรกรุงรังค่ะ
ประตูทางเข้าจะมีเจ้าหน้าที่จาก Concierge Service บริการตลอด 24 ชม.
เวลากลางคืนจะมีประตูปิดอีกชั้น แต่รั้วไม่ได้สูงมากนัก ถ้าทางโครงการปรับเป็นความสูงเท่ารั้ว น่าจะให้ความรู้สึกปลอดภัยมากกว่านี้
เข้ามาในโครงการส่วนแรกที่เราเจอเป็นจุด Drop off ไว้รับ-ส่งคนเข้าล็อบบี้ ซึ่งด้านบนมีหลังคาที่กันแดด กันฝนได้ ส่วนทางขึ้นนอกจากบันไดมีทางลาด ให้ใช้รถเข็นได้ด้วย ส่วนพื้นถนนเป็นลักษณะ Concrete Stamp สีดำ ที่ดูกลมกลืนกับตัวอาคารดี
ทางเข้าด้านในอาคารมีไม้กระดกกั้นอีกชั้น โดยใช้ระบบ Key Card Access แบบ Easy Pass ไว้คัดกรองผู้ที่จะไปจอดด้านในโครงการ เฉพาะลูกบ้านหรือผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
บริเวณด้านหน้าโครงการมีสวนหย่อมขนาดเล็ก ที่ปลูกต้นไม้สูงขนาดใหญ่ เมื่อโตเต็มวัยบรรยากาศตรงนี้น่าจะดูร่มรื่นมากกว่านี้ นอกจากนี้ยังเป็นระยะ Setback ให้กับโครงการ ทำให้ตัวอาคารขยับเข้ามาด้านใน เป็นส่วนตัวมากขึ้น
สวนหย่อมด้านหน้า มีประตูที่เปิดออกไปถนนใหญ่ได้เลย ซึ่งถ้าเรามาจากรถไฟฟ้า ก็ไม่ต้องเดินอ้อมเข้าซอยให้เหนื่อย สามารถเลือกเข้าจากทางนี้ได้เลย ส่วนพื้นที่ตรงนี้มีทั้งน้ำพุ และที่นั่งเล่นพักผ่อนแบบ Outdoor มาให้รับลมชิลล์ๆ
ที่จอดรถในโครงการมีทั้งแบบ Conventional และ Auto Parking ที่เราสามารถเลือกจอดแบบไหนก็ได้ ข้อดีของการผสมผสาน 2 ระบบเข้าด้วยกันทำให้เราได้ช่องที่จอดมากขึ้น รวมจอดซ้อนคันก็ประมาณ 79% ที่เยอะสำหรับโครงการใหม่ในทำเลรถไฟฟ้า ถือเป็นจุดเด่นของโครงการ The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ เลย แต่ในแง่ของการดูแลรักษาในอนาคต รับรองว่ามีค่าใช้จ่ายสูงกว่าจอดรถแบบธรรมดาแน่นอน
สำหรับระบบออโต้หลายๆคนอาจจะยังไม่คุ้นเคยมากนัก ในส่วนของการจอดรถง่ายมาก เพราะแค่ขับเข้าไปในลิฟต์ เราไม่ต้องไปวนหาที่จอดเอง แต่ในทางกลับกันถ้าเราลืมของ หรือจะออกไปด้านนอก อาจจะเสียเวลามากกว่าจอดรถเอง ยิ่งช่วงเวลาเร่งด่วนใช้เวลารอรถ 2 นาที/คัน ยังไงต้องเผื่อเวลาในการเดินทางกันด้วยนะคะ
เดินเข้ามานิดมีที่จอดรถจักรยาน และศาลพระภูมิประจำโครงการแบบเรียบง่าย
สำหรับถนนภายในโครงการกว้างทีเดียว ซึ่งกรณีที่จอดรถภายในอาคารไม่พอ หรือรถหลังคาสูง ก็สามารถนำรถลงมาจอดด้านข้างรั้วเพิ่มได้
มาดูที่จอดรถแบบ Conventional กันดูบ้าง ทางเดินรถเป็นลักษณะที่สวนทางกันได้ 2 เลน ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องความสูงไม่เกิน 2.10 ม.
ชั้นจอดรถเป็นชั้นย่อยๆ ที่ทำให้จอดรถได้มากขึ้น แต่ด้วยทางเดินรถที่วงอาจจะไม่กว้างมาก เวลาขับรถต้องระวังรถที่สวนกันด้วยนะคะ
ชั้นจอดรถจะมีโถงลิฟต์ที่ขึ้นห้องพักได้เลย ไม่ต้องกลับลงไปชั้นล็อบบี้ก่อนค่ะ
กลับลงมาด้านล่าง ทางเข้าล็อบบี้มีพนักงานคอยเปิดปิดประตูให้ โดยตรงนี้เป็นกระจกสูงแบบ Full Height ที่รับแสงธรรมชาติได้เต็มที่
ล็อบบี้ออกแบบมาในสไตล์เรียบง่าย ที่มาพร้อมพื้นผิวลายหินอ่อน + เฟอร์นิเจอร์ ที่เลือก Mood & Tone มาได้ลงตัวดี ทำให้บรรยากาศภายในดูหรูหราไปด้วย ส่วนที่นั่งวางกระจายให้เลือกใช้งานได้นะ
ภายในล็อบบี้มีห้องน้ำแยกชาย-หญิงมาให้ สำหรับ Visitor ด้วยนะคะ
Reception Area ตกแต่งหรูหราเข้ากับคอนเซ็ปต์โครงการ เคาน์เตอร์ต้อนรับเป็นหินอ่อนลายสีขาวเทา ลักษณะแผ่นใหญ่โชว์ Pattern สวยงามดี เพื่อให้สมกับเป็นหนึ่งในโครงการของ Pruksa Premium
ก่อนเข้าโถงลิฟต์มีห้อง Mailbox ของลูกบ้านทั้งหมด
ประตูทางเข้าโถงลิฟต์เป็นแบบ Oversize ที่ทำให้บรรยากาศดูโปร่งโล่งดี
ทางเข้าใช้ระบบ Face Scan ที่เป็นการป้องกันลูกบ้าน ไม่ให้เอาห้องไปปล่อยเช่า Airbnb แบบรายวันได้ ซึ่งเป็นสิ่งผิดกฏหมายค่ะ
ลิฟต์โดยสารมีทั้งหมด 3 ตัว ที่หนาแน่นน้อย เมื่อเทียบกับจำนวนห้องพักอาศัยในโครงการ โดยอัตราส่วนลิฟต์เหลือเพียง 86:1 ที่ได้ความเป็นส่วนตัวสูง
สำหรับห้องพักอาศัยเริ่มต้นที่ชั้น 8 ซึ่งโครงการนี้ตั้งแต่ชั้น 8-22 เป็นลักษณะห้องแบบ Loft หรือฝ้าเพดานสูงทั้งหมด สูงสุดที่ 16 ยูนิต/ชั้น ที่อยู่ในระดับปานกลาง ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป โดยความพิเศษของชั้นนี้คือโซน Private Garden ที่เป็นวิวให้กับห้องที่หันฝั่งนี้อย่างห้องเบอร์ A3 และ A12 ที่แม้จะไม่ได้อยู่ชั้นสูงมาก ก็ยังได้วิวสวนของโครงการ ส่วนอีกห้องที่ได้ความเป็นส่วนตัวดีคือ A10 ที่ไม่มีผนังติดกับเพื่อนบ้านเลย ทำให้ไม่ต้องกลัวเสียงรบกวนจากเพื่อนบ้านนะคะ
สำหรับใครที่กังวลว่าอยู่ชั้น 8 แล้วจะวุ่นวายเนื่องจากมีพื้นที่ส่วนกลางอยู่ชั้นนี้ ก็ต้องบอกเลยว่าโครงการแก้ปัญหาด้วยการกั้นประตูมาให้เรียบร้อย ไม่ต้องกลัวคนจากชั้นอื่นๆเดินผ่านหน้าห้อง ยังได้ความเป็นส่วนตัวเหมือนชั้นอื่นๆ
สวนหย่อมชั้นที่ 8 มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่โครงการปลูกต้นสูงขนาดใหญ่ และพุ่มไม้ ที่ทำให้บรรยากาศโดยรวมดูร่มรื่นดี
การดีไซน์ Landscape ทำออกมาได้โฉบเฉี่ยว ดูทันสมัยดี พร้อมที่นั่งเล่นชิลล์ๆ
เดินเข้ามาริมสุด มีซุ้มมาให้นั่งเล่นชมวิวภาย พร้อมเคาน์เตอร์บาร์ที่มานั่งเปลี่ยนบรรยากาศได้ หลังคาเป็นระแนงที่ช่วยบังแดดได้นิดหน่อย แต่กันฝนไม่ได้นะคะ
บรรยากาศจากชั้น 8 มองไปเห็นสวนชั้นล่าง และบรรยากาศจราจรบริเวณถนนประดิพัทธ์ มองออกไปมีส่วนที่เปิดโล่งเห็นอาคารระยะไกล
ส่วนฝั่งนี้หันไปทางโครงการ Rhythm และ The Line ที่มีระยะห่างกันพอสมควร ทำให้แม้จะโดดบังวิวไปบ้าง แต่ก็ยังมีส่วนเปิดโล่งอยู่
สำหรับใครที่ซื้อชั้นไม่สูงมาก เราจะมองเห็นสวนโครงการได้ชัดเจน
ขึ้นมาชั้น 25 ก่อนที่เป็นโซน Facility ทั้งหมดที่เปิดให้ใช้งานได้ตลอด 24 ชม. ข้อดีของพื้นที่ส่วนกลางชั้นบนสุด คือแม้เราจะไม่ได้ซื้อห้องพักสูงมากนักแต่เราก็สามารถขึ้นมาดูวิวมุมสูงของโครงการได้ โดยชั้นนี้เป็น Main Facility ที่มีทั้งพื้นที่ทำงาน, ห้องอเนกประสงค์, พื้นที่ทำอาหาร, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส และห้องน้ำ(Sauna+Steam) ส่วนบรรยากาศของจริงจะเป็นอย่างไรนั้นไปดูกัน
เพิ่มเติมด้วยบริการ On-Demand Facility Control เป็นอุปกรณ์ Mobile Application จากทางโครงการ ที่ช่วยให้การใช้งาน Facility 24 ชั่วโมงเกิดขึ้นได้จริง ด้วยระบบการจองสิทธิ์และบันทึกเวลาการใช้ง่าย ผ่านการควบคุมจากนิติบุคคลฯ พร้อมอุปกรณ์ Motion Censor และ Timer ที่จะช่วยควบคุมการใช้งานของระบบปรับอากาศและแสงสว่างให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง
พื้นที่นั่งทำงาน เป็นโซน Double Space พร้อมกระจกสูงแบบ Full Height ที่รับแสงได้เต็มที่ โดยที่นี่วางที่นั่งทำงานมาหลากหลายแบบ ทั้งโต๊ะยาวนั่งทำงานเป็นกลุ่ม หรือชุดโซฟาไว้นั่งเล่นชิลล์ๆ หรือมาคนเดียวก็มีโต๊ะยาวติดริมหน้าต่างให้นั่งทำงานได้
ส่วนถ้าใครอยากได้ความเป็นส่วนตัวหน่อย ตรงนี้มีชุดโซฟาพร้อมพนักพิง ไว้นั่งทำงานได้ 1-2 คนกำลังดี พร้อม Take View รอบโครงการได้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีเคาน์เตอร์บาร์เล็กๆ ที่ด้านหลังมีตู้กดน้ำมาให้ เราจะได้ไม่ต้องเดินตากแดดไปร้านสะดวกซื้อ 7-11 ที่อยู่ด้านข้างโครงการ
ยังไม่หมดมีส่วน Pantry ครัวเล็กๆไว้เตรียมอาหารเวลาจัดปาร์ตี้ได้
ถัดมามีห้องอเนกประสงค์ ที่มีที่นั่งแบบขั้นๆเหมือนบรรยากาศในโรงภาพยนต์ ที่ภายในติดตั้งโปรเจคเตอร์มาให้ฉายหนัง หรือทำเป็นห้องประชุมก็ได้
ชั้นนี้มีพื้นที่ Outdoor เล็กๆไว้นั่งชิลล์ ที่เวลาอากาศดีๆก็เดินออกมารับลม ชมวิวได้ รวมไปถึงมีลานเล็กๆที่ปูหญ้ามาให้ เหมาะพาเด็กเล็กมานั่งเล่นในบริเวณนี้นะ
สระว่ายน้ำที่นี่เป็นแบบ Infinity edge pool ขนาด 24 x 5.4 ม. เกือบเท่า Half Olympic ที่สามารถออกกำลังกายจริงจังได้เลย โดยเป็นพื้นที่ Semi-Outdoor ที่เล่นน้ำได้กรณีที่ฝนตกลงมาไม่แรงมาก
โครงการไม่มีสระเด็กแยกมาให้ แต่มีที่นั่งแช่ Jacuzzi มาให้ไว้นวดผ่อนคลายเวลากลับมาจากทำงานเหนื่อยๆ
สำหรับวิวจะหันออกไปทางสถานีกลางบางซื่อ ที่คาดว่าพอเปิดใช้งาน เราจะมองเห็นสีสันสดใสในยามค่ำคืนของตัวสถานีแน่นอน
นอกจากนี้ด้านข้างสระมีที่นั่งพักผ่อนมาให้ เหมาะนั่งเล่น นอนเล่นรับลมชิลล์ๆ
ก่อนลงมีพื้นที่ชำระร่างกายก่อนลงสระน้ำมาให้ด้วย เพื่อล้างตัวให้สะอาดก่อนลงสระค่ะ
ถัดมาเป็นห้อง Sky Fitness ภายในจัดอุปกรณ์ Cardio มาให้หลากหลาย ทั้งลู่วิ่ง จักรยาน เป็นต้น ที่เวลามาใช้งานจะได้เห็นวิวของสระว่ายน้ำไปด้วย
รวมไปถึงมีเครื่องเล่น Weight Training หรือเครื่องที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อค่ะ
ห้องน้ำแบ่งแยกชาย-หญิงมาให้เรียบร้อย
ภายในมีล็อคเกอร์ให้เก็บของเวลาไปออกกำลังกายหรือว่ายน้ำ ไม่ต้องกลัวของหาย ที่แตกต่างกัน คือห้องน้ำชายมี Sauna ส่วนห้องน้ำหญิงมี steam ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ใช้งานเต็มที่ได้แค่ 2 คนกำลังดีค่ะ
สำหรับชั้น 25M ต้องเดินบันไดขึ้นมา หรือขึ้นลิฟต์ Service เท่านั้น โดยชั้นนี้มีพื้นที่ Sky Lounge ที่เป็นลักษณะห้องแนวยาว ที่มองออกไปเห็นวิวเดียวกับสระว่ายน้ำ นั้นก็คือสถานีกลางบางซื่อที่เป็น Transportation hub แห่งใหม่ของกรุงเทพ
ภายในมีเคาน์เตอร์ยาวติดหน้าต่าง ที่เอาไว้นั่งทำงานคนเดียวได้ หรือจะนั่งพักผ่อนชิลล์ๆ ก็มีโซฟามาให้ด้วยนะคะ
หรือถ้าชอบความเป็นส่วนตัว ก็มีที่นั่งแบบมิดชิด ที่ได้ความเป็นส่วนตัวดี ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคนี้พอดี
พื้นที่ส่วนกลางยังมีที่ชั้น Roof Top ด้วย เพราะโครงการต้องการใช้พื้นที่ให้คุ้มค่าทุกตารางเมตร โดยถ้าจะใช้งานต้องขึ้นจากบันไดหนีไฟ หรือลิฟต์ Service เท่านั้น ซึ่งข้างบนเป็นพื้นที่ Outdoor ทั้งหมด ทำให้เวลาฝนตกจะไม่สามารถใช้งานได้นะ ส่วนบรรยากาศชั้นนี้จะได้ความร่มรื่นเพราะล้อมรอบด้วยพื้นที่สีเขียวทั้งหมด
ขอเริ่มที่นั่งเล่นแบบ Outdoor ซึ่งเป็นลานกว้างขนาดใหญ่ เหมาะจัดปาร์ตี้เล็กๆ บรรยากาศสบายๆ รับลมเย็นๆ หรือถ้าต้องการความเงียบสงบจะขึ้นมานอนดูดาวก็ได้นะ
พื้นที่ Sunken Seat จะอยู่ในพุ่มไม้ ที่มองผิวเผินเราจะไม่รู้เลยว่ามีโซนนี้อยู่ ซึ่งไว้นั่งคุยกับเพื่อนแบบส่วนตั๊วส่วนตัว
ถัดมามีซุ้มนั่งเล่น ที่ภายในมีเคาน์เตอร์บาร์ และชุดโซฟา ที่ไว้เตรียมของเวลามีการจัดปาร์ตี้เล็กๆได้
เดินลงไปดูฟังก์ชันการใช้งานอื่นๆกันต่อ
บริเวณนี้โครงการปูพื้นหญ้ามาให้เด็กๆได้วิ่งเล่น พร้อมปลูกต้นไม้สูงนาดใหญ่ ที่ช่วงบังแดดแรงๆได้
สำหรับ Outdoor Cinema คือพื้นที่ Hilight ของชั้นนี้เลย ที่ส่วนตัวมองว่าเป็นมุมโรแมนติกแบบในหนังเลยนะ ซึ่งของจริงที่นั่งจะมีเบาะนุ่มๆมาให้ด้วยนะ
ห้องพักอาศัยชั้น 9 – 21 โครงการเลือกเอา Core Lift ไว้ตรงกลาง ทำให้ห้องโซนนี้ได้เป็นลักษณะห้องแบบ Single Corridor ทั้งหมด ที่ได้ความเป็นส่วนตัวดี คนภายนอกมองไม่เห็นห้องโดยตรง รวมไปถึงมีคนเดินผ่านหน้าห้องน้อยกว่าตำแหน่ง Double Corridor โดยเป็นลักษณะห้อง Loft ทั้งหมด
ห้องที่น่าสนใจคือห้องมุม A8 A9 A12 ที่เป็นลักษณะห้องแนวยาว ที่ได้ช่องแสง + พื้นที่ใช้งานที่มากขึ้น ส่วนห้อง A3 เป็นห้องที่มองเห็นวิวสวนหย่อมชั้น 8 ได้ เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความสูงมากนัก เพราะนอกจากได้วิวภายนอกแล้ว ยังได้วิวพื้นที่สีเขียวด้วย ส่วนห้อง A10 ที่บอกไปตอนแรกว่าไม่มีผนังติดกับเพื่อนบ้าน ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่าห้องอื่นๆ
หมายเหตุ : ห้องฝั่งทิศตะวันออก(ด้านล่างตามภาพ) อาจจะโดยโครงการ Mixed Use ในอนาคตบังวิวได้ ถ้าใครเลือกห้องฝั่งนี้ให้เลือกชั้นสูงๆหน่อยนะ
ส่วนห้องพักอาศัยชั้นที่ 22-24 โดยมีทั้งหมด 3 ชั้น ทั้งหมด 36 ยูนิต เป็นลักษณะห้องแบบ Simplex ที่ต้องบอกว่าสำหรับโครงการนี้ห้องแบบนี้ จะมีราคาสูงกว่าห้อง Loft เนื่องจากมีจำนวนไม่มาก และอยู่ชั้นบนสุดของโครงการค่ะ
ผนังทางเดินติด Wallpaper มาให้ พร้อมไฟซ่อนบนฝ้า ที่ได้ฟิวเหมือนในโรงแรมเลยนะ
ทางเดินมีหน้าต่างที่ระบายอากาศภายในทางเดินได้ดี และรับแสงธรรมชาติที่ทำให้ไม่ต้องเปิดไฟทั้งหมด เป็นการประหยัดค่าส่วนการได้ด้วยนะ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- ชั้นที่ 1
- สวนหย่อม (Urban Forest)
- Lobby with Concierge Service by the Reserve
- Mailbox
- Private Garden
- สระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาด 24 x 5.4 เมตร ลึก 1.20 เมตร
- มีที่นั่ง Jacuzzi
- Sky Fitness
- Sauna & Steam Room
- 24 Hrs Community Space
- All-Day Pantry ( Co-Kitchen)
- Cinema Room
- Skyline Lounge
- Outdoor Cinema
- Party Yard
- Rooftop Pantry
แบบห้อง
เรามองว่าอีกจุดเด่นของโครงการ The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ คือแบบห้อง Loft ที่ไม่เห็นในละแวกนี้ทำกัน ห้องแบบ Loft คือการใช้พื้นที่แนวสูงในห้อง ช่วยเพิ่มมิติในการอยู่อาศัยมากขึ้น ได้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านมากกว่าห้องสี่เหลี่ยมแบบห้องคอนโดปกติ โดยออกแบบภายใต้แนวคิด Oversize Living Space ที่ขยายพื้นที่ส่วนห้องนั่งเล่นให้มีขนาดใหญ่กว่าโครงการโดยทั่วไป ทั้งความสูงฝ้าของฝ้าเพดาน 4.4 ม. + หน้าต่างสูง 3.4 ม. เพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ใช้เวลากับพื้นที่ห้องนั่งเล่นอเนกประสงค์มากขึ้น และช่วยเสริมบรรยากาศการอยู่อาศัยให้ปลอดโปร่ง เบาสบายอีกด้วยนะคะ
ห้องตัวอย่างมี 1 ห้องเท่านั้น เป็นแบบเดียวกับที่เราเคยทำรีวิวก่อนตึกเสร็จไป โดยเป็นห้อง Type A4 ขนาด 29.4 ตร.ม. และพื้นที่ชั้นบนอีก 10 ตร.ม. รวมแล้วมีพื้นที่ใช้สอย 39.4 ตร.ม. ที่น่าสนใจของห้องนี้คือ เปิดประตูมาเจอพื้นที่ห้องครัวก่อนที่ฝ้าเพดานสูง 2 ม. ก่อนเดินเข้าไปเจอ Double Space สูง 4.4 ม. พร้อมหน้าต่างบานใหญ่ ที่รับแสงได้เต็มที่ ส่วนห้องเก็บของจะอยู่ใต้บันได ที่ไว้ซ่อนของได้นิดหน่อย ส่วนเตียงจะยกไปไว้ชั้นบน แต่ตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำอยู่ข้างล่าง ที่เวลากลางคืนจะใช้ห้องน้ำก็จะลำบากหน่อย
เริ่มจากหน้าทางเข้าห้องกันเลยค่ะ สำหรับประตูหน้าห้องนี้เป็นประตูปิดผิวด้วยลามิเนต มีความสูง 2.2 ม. พร้อมติดตาแมวและป้ายเลขที่ห้องมาให้พร้อมใช้งาน
ประตูทางเข้าเป็นแบบ Digital Door Lock (Bluetooth) ของ Yale ที่ใช้ได้ทั้งพาสเวิร์ด, คีย์การ์ด และกุญแจค่ะ
บริเวณพื้นที่ทางเข้าห้องจะยกขอบขึ้นมาเล็กน้อย ปูพื้นด้วยแกรนิตยกขอบขึ้นมาแบบนี้จะช่วยเรื่องป้องกันฝุ่นต่างๆเข้าไปในตัวห้องได้ พื้นภายในห้องเป็นพื้นไม้ลามิเนตทั้งหมด
มุมแรกของห้องจะเจอกับโซนครัว และโซนรับประทานอาหาร ตรงส่วนนี้จะมีความสูงฝ้าอยู่ที่ 2.2 เมตร ก่อนที่จะเข้าไปเจอ Double Space สูง 4.4 ม. ด้านในค่ะ
พื้นที่ครัวอยู่ติดประตูทางเข้าห้อง พร้อมวางโต๊ะกินข้าว 1-2 คน ได้กำลังดี ซึ่งก็พอมีระยะให้เดินรอบได้แต่อาจจะไม่ได้กว้างมากนัก รวมไปถึงพื้นบริเวณนี้เป็นลามิเนตที่เวลาทำอาหารต้องระวังด้วยนะคะ
ฝ้าเพดานติดไฟ Downlight มาให้ 3 ดวง พร้อมติดตั้ง Smoke Detector ไว้จับควันค่ะ
ชุดครัว Built-in เป็นรูปตัว L หน้าบานเป็นสีครีมตัดกับขอบสีดำที่ดูเท่ดี ส่วนท็อปเคาน์เตอร์เป็นหินสังเคราะห์ ที่ทนรอยขีดขูดและความชื้นได้ดี ส่วน Backsplash ติดกระเบื้องมาให้ เช็ดทำความสะอาดได้ง่าย นอกจากนี้ยังเว้นช่องให้วางตู้เย็นได้ด้วย
ตู้ชั้นบนเป็นรูปตัว L ที่มีช่องเก็บของเยอะทีเดียว โดยหน้าบานด้านบนเป็นกระจกแบบ High Gloss ที่มาพร้อม Soft Close เพื่อป้องกันไม่ให้ตู้เกิดเสียง และลดแรงกระแทกก่อนที่หน้าบานจะปิดสนิท ส่วนใต้ตู้มีไฟซ่อนมาให้
ซิงค์ล้างจานสแตนเลสหลุมเดี่ยว ขนาด 40 x 40 ซม. พร้อมก๊อกน้ำล้างจานโครเมียมทรงสูง ส่วนเตาไฟฟ้าให้ 2 หัว + เครื่องดูดควันยี่ห้อ MEX ค่ะ
ตู้ชั้นล่างมีลิ้นชักไว้เก็บช้อนส้อม พร้อมตู้ไว้เก็บของขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย นอกจากนี้ยังมีตู้ที่ติดตั้งถังขยะมาให้เปิด-ปิดพร้อมหน้าบาน ป้องกันไม่ให้กลิ่นออกด้านนอก
ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องน้ำ ส่วนซ้ายมือเป็นตู้รองเท้าที่เป็นเรื่องสำคัญของคนที่อยู่คอนโด เพราะเป็นการป้องกันไม่ให้กลิ่นกระจายในห้อง
ภายในห้องน้ำจะตกแต่งด้วย Homogeneous Tile หรือกระเบื้องแกรนิตโต้ทั้งหมด โดยเลือกเป็นโทนสีอ่อนดูหรูหราดี ภายในแยกส่วนเปียก-ส่วนแห้งชัดเจน
อ่างล่างหน้ายี่ห้อ Lavenz เป็น Solid Surface หรือหินเทียมที่กันความชื้นได้ดี + ใต้อ่างมีพื้นที่ให้เก็บของเพิ่มเติมได้ ด้านข้างก่อเป็นเคาน์เตอร์ให้วางของได้เพิ่มเติม ส่วนกระจกได้เป็นบานใหญ่เต็มผนัง พร้อมไฟซ่อนด้านล่าง ฟิวเหมือนโรงแรมอยู่เลย
โถสุขภัณฑ์ยี่ห้อ Kohler พร้อมติดตั้งสายชำระ ที่ใส่กระดาษทิชชู ไว้ที่ผนังด้านหลัง ส่วนด้านหลังมีที่วางของเพิ่มได้
พื้นที่อาบน้ำมีฉากกั้นเป็นกระจก Tempered glass ที่มีมือจับเป็นรูปตัว L ที่แขวนผ้าเช็ดตัวได้ โดยฝักบัวได้ทั้ง Rain Shower และ Hand Shower ของ Kohler ที่เลือกใช้งานได้หลากหลายดี
พื้นที่อาบน้ำขนาด 1.45 x 0.80 ม. ที่ยืนอาบน้ำคนเดียวได้สบายๆ
ฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสี ติดไฟ Downlight มาให้ 2 ดวง พร้อมติดพัดลมดูดอากาศให้ด้วย
ถัดเข้ามาภายในห้องนั่งเล่นด้านหลังเป็นตู้เสื้อผ้า ที่โครงการ Built in มาให้ครึ่งล่าง หน้าตาแบบนี้เลย ส่วนครึ่งบนลูกบ้านต้องทำเพิ่มเอง เหมาะสำหรับคนที่มีข้าวของเยอะ และต้องการหาพื้นที่เก็บของภายในห้องเพิ่มเติม ซึ่งถ้าทำเต็มผนังก็ดูเป็นระเบียบดีค่ะ
ฝ้าเพดานสูง 4.4 ม. ของจริงเราได้เฉพาะไฟ Dowlight นะคะ สำหรับห้อง Loft ที่นี่เป็นระเบียงที่ไม่ได้มีกระจกกั้นชัดเจน โครงการจะให้เครื่องปรับอากาศทั้งชั้นบนและล่าง เพื่อให้เลือกใช้งานได้ ซึ่งถ้าไม่อยากให้แอร์ทำงานหนักอาจจะต้องกั้นด้วยผ้าม่านเพิ่มค่ะ
ตัวกระจกที่ให้มาสูงประมาณ 3.6 เมตร เรียกว่าสูงเกือบถึงฝ้าเพดานเลย
ตัวเฟรมประตูที่นี่หนาแน่นดูแข็งแรงดี เวลาปิดสนิทแทบไม่ได้ยินเสียงภายนอกเลย ได้ความเป็นส่วนตัว อีกจุดที่น่าสนใจคือระเบียงได้ฝ้าเพดานสูงเท่ากับด้านใน ทำให้เวลาออกมายืนข้างนอกรู้สึกกว้าง พื้นที่ระเบียงขนาด 4.30 x 0.80 ม. ที่ใช้งานได้สบายๆ ส่วน Condensing Unit จะแขวนมาให้ด้านบน เพื่อไม่ให้รบกวนพื้นที่การใช้งานด้านล่างค่ะ
สำหรับระยะดูทีวีห่างไปประมาณ 2.6 ม. ที่เราวางทีวีขนาด 32″- 40″ ได้กำลังดี
ด้านข้างมีช่องให้เก็บของใต้บันไดมาให้ด้วย ซึ่งเป็นข้อดีของคนอยู่คอนโดบางทีมีพื้นที่เก็บของไม่พอค่ะ
บันไดเป็นโครงสร้างเหล็ก ลูกตั้ง 18 ซม. ลูกนอน 22 ซม. กว้าง 60 ซม. ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานเหมาะเดินใช้งานคนเดียว ส่วนด้านข้างมีราวกันตกมาให้ ไม่ต้องกลัวตกค่ะ
ขึ้นมาที่ชั้นบนวางเตียงนอน 5 ฟุตได้พอดีๆ ความสูงของฝ้าเพดานตรงนี้อยู่ที่ 2 ม. ส่วนด้านหลังมีพื้นที่ Built-in ชั้นวางของเพิ่มเติมได้ บริเวณปลายเตียงมีพื้นที่เหลือประมาณ 90 ซม. ที่ไม่เหมาะวางชุดทีวี แนะนำให้ติดแบบแขวนดีกว่าค่ะ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ
แบบห้อง LOFT: Type A1
ราคา
16 June 2020
- 1 Bedroom Loft ขนาด 28.40 – 38.95 ตร.ม.
- ราคาเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท
- ราคาเริ่มต้น 4.79 ล้านบาท
- ราคาเริ่มต้น 7.89 ล้านบาท
- Fully Fitted
- ฝ้าเพดานสูง 2.7(Simplex) – 4.4(Loft) เมตร
- Kitchen & Sink / ท็อปหินสังเคราะห์ Composite Marble
- Hob & Hood / ของยี่ห้อ MEX
- จอง 5,000 บาท
- ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 65 บาท/ตร.ม./เดือน แบบห้อง Simplex
- ค่าส่วนกลาง 75 บาท/ตร.ม./เดือน แบบห้อง Loft
Promotion !! ส่วนลดพิเศษ ณ วันโอนฯ 800,000 บาท สนใจโปรโมชั่นพิเศษ อื่นๆเพิ่มเติม ติดต่อ Line@TheReservecondo หรือเยี่ยมชมโครงการได้ทุกวันค่ะ
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ
บทสรุป
The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ เป็นคอนโด High Rise ตัวแรกที่สร้างเสร็จของเดอะ รีเซิร์ฟ ที่มาลงในย่านสะพานควาย บนถนนประดิพัทธ์ นับว่าเป็นทำเลที่จะรวมที่ดินเพื่อพัฒนาเป็นโครงการได้ยากและน้อยไปทุกที เพราะเป็นย่านชุมชนเก่าดั้งเดิมที่มีคนอาศัยกันอยู่เป็นจำนวนมาก ด้วยทำเลที่ดั้งเดิมนี้ก็ทำให้ทำเลโครงการนี้มีจุดเด่นๆ เลยคือเรื่องของความอุดมสมบูรณ์สูงหาของกินง่าย ในทำเลห่างรถไฟฟ้าประมาณ 470 ม. ไม่ได้อยู่ในระยะเดินสบาย แต่ต้องยอมรับว่าเป็นทำเลที่เดินสบายๆ อาจจะเพราะมีร้านค้า ร้านอาหารตลอด 2 ข้างทางที่ทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยค่ะ
ทำเล :
ภาพรวมถือว่าเป็นทำเลที่ค่อนข้างดีเดินทางได้สะดวก ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะไม่ได้เด่นเท่าย่านอารีย์ แต่ก็ยังเดินทางไปย่านสำคัญๆต่างได้ไม่ยาก ยิ่งถ้าใครทำงานอยู่แถวอารีย์หรือห้าแยกลาดพร้าวยังเดินทางได้สะดวกอยู่ และราคายังไม่แรงมากถ้าเทียบกับทำเลเพื่อนบ้านโดยรอบ สำหรับความอุดมสมบูรณ์เป็นทำเลที่มีของกินให้เลือกทั้งกลางวันและกลางคืน ในระยะเดินที่ไปใช้งานได้ง่าย หรือถ้าขับรถออกไปหน่อยย่านอารีย์ก็มี La Vila อารีย์ หรือร้านกาแฟเก๋ๆเพี้ยบ ส่วนถ้าขับไปทางลาดพร้าวก็มีทั้ง จตุจักร, ตลาดอตก. , เจเจมอลล์, เซ็นทรัลลาดพร้าว และ Union Mall เป็นต้น
การเดินทางโดยใช้รถ :
แม้จะอยู่ใกล้แยกสะพานควายเพียง 80 ม. แต่ที่พื้นมีสัญลักษณ์ที่ห้ามจอดบนช่องนี้ ทำให้เรายังมีจังหวะที่เลี้ยวเข้าซ.ประดิพัทธ์ 23 แถมทางเข้าหลักอยู่ด้านข้างที่ทำให้รถไม่ติดเกะกะด้านนอก ส่วนที่จอดรถให้มา 65% หรือรวมจอดซ้อนคันก็ประมาณ 79% ที่ได้ค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับโครงการอื่นในละแวก และทำเลที่เดินไปใช้งานรถไฟฟ้าได้ เพราะบางทีอาจจะมีชาวต่างชาติหรือคนที่ไม่ใช้รถมาอยู่ที่นี่ ทำให้คิดว่าที่จอดรถน่าจะเหลือใช้งานพอสมควรเลย นอกจากนี้ยังต้อนรับการมาของรถไฟฟ้า โดยจะมี EV Charger มาให้ด้วยนะ
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ :
โครงการนี้ถือว่าอยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าอยู่ห่าง BTS สะพานควายไปประมาณ 470 ม. ไม่ได้อยู่ใกล้ซะทีเดียวถ้าเทียบกับโครงการใกล้เคียง แต่ก็ไม่ถึงกับเดินยาก ยิ่งตอนนี้ถนนประดิพัทธ์ปรับปรุงทางเดินเท้า ไม่มีร้านเข็นขายริมทาง และเอาสายไฟฟ้าลงดินแล้วบรรยากาศดูเรียบร้อยดีมากๆเดินง่ายดี ส่วนถ้าจะเรียกรถสาธารณะอื่นๆ ก็มีทั้งรถประจำทาง แท็กซี่ พี่วินมอเตอร์ไซค์ ขับผ่านตลอดเวลา
วัสดุ :
โครงการขายแบบ Fully Fitted ที่เลือกของมาได้ค่อนข้างดี ทั้งชุดครัวรูปตัว L ที่ขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย ท็อปครัวเป็นหินสังเคราะห์ + Backsplash เป็นกระเบื้องเช็ดทำความสะอาดง่าย หน้าบานมีทั้ง High-gloss และลามิเนต ขอบปิดด้วยสีดำหรูหราดี ถัดมาในส่วนห้องน้ำเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ทั้งหมด ที่เลือกสีได้ลงตัวดี นอกจากนี้ยังมีตู้เสื้อผ้ามาให้ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มด้วย ส่วนพื้นเป็นลามิเนตที่ทนความชื้นได้ไม่ดีมากนัก หน้าต่างบานใหญ่สูง 3.4 ม. พร้อมกรอบหนาเป็นพิเศษ เวลาเปิดประตูแทบไม่ได้ยินเสียงภายนอกเลย
การออกแบบโครงการ :
สำหรับ The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ จะเน้นการออกแบบที่ไปทางเรียบง่ายมีเอกลักษณ์เน้นการใช้วัสดุและธีมสีที่ดูสะอาดตา แตกต่างจาก The Reserve ตัวอื่นๆ โครงการใช้แนวคิด Modern Timeless โดยเลือกใช้วัสดุกระจก เหล็ก สแตนเลส และพื้นผิวลายหิน ออกแบบได้ดูกลมกลืนกันดีเข้ากับยุคสมัยไหนก็ได้ และอยู่ในทำเลที่ทำราคามาหยิบจับง่ายกว่า ราคาเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท พร้อมบริการพิเศษจาก Concierge Service ที่เป็นเหมือนเลขาส่วนตัวคอยบริการให้กับผู้อยู่อาศัยในโครงการมาด้วย
การออกแบบห้องพักอาศัย :
ห้องพักอาศัย เน้นห้อง Loft หรือฝ้าเพดานสูง ที่ยังไม่เห็นละแวกนี้ทำกันถือเป็นโปรดักซ์ใหม่ของย่านนี้เลย ซึ่งปัจจุบันมาในราคาที่หยิบจับต้องได้ง่าย ซึ่งยิ่งทำให้โครงการนี้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น โดยห้องที่นี่ต้องยอมรับว่าพอเข้าไปจะได้ความโปร่งโล่งทีเดียว พร้อมกระจกบานใหญ่ทีรับแสงได้เต็มที โดยบริเวณ Double Space สูง 4.4 ม. ส่วนบริเวณครัวสูง 2.2 ม. และห้องนอน 2 ม. โดยรวมถือว่าค่อนข้างดี ติดนิดหน่อยบริเวณห้องนอนที่ได้ความสูงไม่มาก(สูง 2 เมตร) สำหรับคนที่สูงประมาณ 180 ซม. ขึ้นไป อาจจะรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย รวมไปถึงพื้นที่ด้านบนมีจัดพื้นที่มาให้น้อยไปหน่อยวางเตียงนอนได้อย่างเดียวเท่านั้น
สาธารณูปโภค :
เริ่มตั้งแต่ชั้นล่างมีพื้นที่สวนหย่อม + Lobby ให้ลูกบ้านติดต่องานได้โดยไม่ต้องพาเข้าไปข้างใน ถัดขึ้นมาชั้น 8 มีส่วน Private Garden เป็นข้อดีของห้องที่ไม่อยู่สูงมาก เพราะจะได้วิวสวนหย่อมของโครงการเองด้วย ส่วน Main Facility หลักๆจะยกขึ้นไปข้างบน ข้อดีคือเปิดใช้งาน 24 ชม. เหมาะกับคนที่หันมาทำงานนอกออฟฟิศมากขึ้น แถมพอเป็นพื้นที่ส่วนกลางทั้ง Floor ทำให้เห็นวิวแบบ 360 องศาเลย ส่วนตัวชอบพื้นที่ทำงานที่มีชุดที่นั่งมาให้หลากหลาย ตอบโจทย์คนยุคนี้ที่ทำงานคนเดียวมากขึ้น อีกจุดคือสระว่ายน้ำได้ยาวถึง 24 เมตร ที่ว่ายน้ำได้สบายๆเลย นอกจากนี้ถ้าชอบพื้นที่สีเขียวเหมือนบรรยากาศหมู่บ้าน ชั้น Roof Top โครงการเข้าก็จัดมาให้พักผ่อนได้ด้วย
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 165,000 บาท/ตร.ม., 16 June 2020
- ทำเล 7.5/10 – ติดถนนประดิพัทธ์ ความอุดมสมบูรณ์สูง
- เดินทางด้วยรถ 7.75/10 – เข้าออกโครงการง่าย เข้าเมืองได้หลายเส้นทาง ได้ที่จอดรถรวมซ้อนคันเกือบ 79%
- ไม่ใช้รถ 7.75/10 – ห่าง BTS สะพานควาย ประมาณ 470 เมตร ที่เดินได้ถือว่าไม่ไกลมาก
- วัสดุ 7.5/10 – ขายแบบ Fully Fitted วัสดุให้มาตามมาตรฐาน
- แบบ 8.0/10 – เน้นห้องแบบ Loft ฝ้าเพดานสูง 4.4 ม. ที่ใช้งานฟังก์ชันต่างๆได้จริง
- สาธารณูปโภค 8.5/10 – พื้นที่ส่วนกลางกระจายทั่วอาคาร พร้อมยก Main Facility ไปไว้ชั้นบน ที่ค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับจำนวนยูนิต
- HIGH CLASS
- 7.72 / 10.00
BOTTOM LINE
The Reserve พหลฯ – ประดิพัทธ์ เหมาะกับคนที่มองหาห้องฝ้าเพดานสูง หรือ Loft ที่เน้นความเป็นส่วนตัวมียูนิตไม่มาก ทำเลที่ใช้รถยนต์หรือนั่ง BTS ก็สะดวก พร้อมทั้งมีพื้นที่ส่วนกลางเปิดตลอด 24 ชม. เหมาะกับวิถีชีวิตแบบใหม่ในสมัยนี้ อยากอยู่ในแบรนด์ตัวบนของพฤกษาในราคาที่หยิบจับง่าย มีงบประมาณระดับ 4.59-7.89 ล้าน หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 30,000 – 60,000 บาท/เดือน
ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving