รีวิวโครงการ
รีวิวตึกเสร็จ The Line อโศก – รัชดา คอนโด High Rise ห่างจาก MRT พระราม 9 300 เมตร จาก แสนสิริ [รีวิวฉบับที่ 1884]
18 มิถุนายน 2019
รีวิวฉบับที่ 1105 – The Line อโศก – รัชดา คอนโด High Rise สูง 38 ชั้น โครงการล่าสุดจากซีรี่ย์ The Line ที่เป็นการร่วมทุนกันระหว่าง Sansiri และ BTS ที่เปิดให้ชมห้องตัวอย่างแล้ววันนี้ที่พื้นที่โครงการใกล้แยกพระราม9 พร้อมทั้งจะเปิด Pre-sale ในวันที่ 25-26 มิถุนายนนี้ ส่วนวันนี้เราจะพาไปชมห้องตัวอย่างของโครงการกันนะคะ
Fact @ 14 June 2016
- The Line Asoke – Ratchada (เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา)
- บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
- LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ในเขต : เขตดินแดง
- คอนโด High Rise 38 ชั้น 1 อาคาร 473 ยูนิต
- อาคารจอดรถ 9 ชั้นพร้อมชั้นใต้ดิน 1 อาคาร
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 17 ยูนิต
- ที่จอดรถรวมจอดซ้อนคันประมาณ 226 คันคิดเป็น 48%
- ที่ดินประมาณ 2-2-0 ไร่
- เริ่มก่อสร้าง : เดือนธันวาคม 2016
- คาดว่าจะแล้วเสร็จ : เดือนมิถุนายน 2019
- 1 Bedroom 27.5 ตารางเมตร จำนวน 59 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท
- 1 Bedroom 34-36 ตารางเมตร จำนวน 382 ยูนิต ราคาเริ่มต้น n/a ล้านบาท
- 2 Bedrooms 46.25 – 50.25 ตารางเมตร จำนวน 32 ยูนิต ราคาเริ่มต้น n/a ล้านบาท
- ฝ้าเพดานสูง 2.7 เมตร
- ราคาห้องเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท (ห้องโปรโมชั่น)
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 170,000 บาท/ตร.ม.
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำสุด-สูงสุด n/a บาท/ตร.ม.
- EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : อยู่ระหว่างการดำเนินการ
- เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- Call Center : 1685
- Pre-Sale : 25 – 26 June 2016
เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วค่ะ
สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างนะ
พิกัด : 13.755979, 100.563553
รีวิวทำเลโครงการคอนโด The Line อโศก-รัชดา : คลิกที่นี่
แผนที่โครงการ
ที่ตั้งของโครงการ The Line อโศก-รัชดา ตั้งอยู่บนถนนดินแดงฝั่งจากพระราม9 มุ่งหน้าไปแยกสามเหลี่ยมดินแดงที่จะไปตัดกับถนนรัชดาภิเษก โดยหน้าโครงการจะมีสะพานข้ามแยกพระราม 9 และใต้สะพานข้ามแยกมีจุด U-turn 2 จุด ระยะจากสถานี MRT พระราม 9 อยู่ที่ 300 เมตร และจากสถานี Airport Rail Link มักกะสัน อยู่ที่ 800 เมตร
ทำเลพระราม9 เป็นพื้นที่ที่มีคนเรียกกันว่าเป็น New-CBD (new-central business district) แห่งใหม่ของกรุงเทพ เนื่องจากในระยะ 1 กิโลเมตรจากแยกพระราม 9 มีคอนโด high rise จากหลาย Developer ขึ้นเป็นจำนวนมากทั้งที่สร้างเสร็จเข้าอยู่เรียบร้อยแล้ว และบางโครงการยังอยู่ในช่วงก่อสร้าง นอกจากนั้นยังมีอาคารสำนักงานขนาดใหญ่หลายแห่งในพื้นที่อาทิ CP tower II, u place และ true tower ที่เปิดใหม่อย่างตลาดหลักทรัพย์ และ AIA capital center รวมถึงที่กำลังสร้างอย่าง G land tower และ the super tower มีสถานฑูตจีน และแยกพระราม 9 ก็ต่อเนื่องจากย่านอโศกที่มีความหนาแน่นของออฟฟิสสูง รวมถึงเดินทางด้วยระบบขนส่งอย่างรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ง่ายและเส้นทางต่อไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิด้วย Airport Rail Link ได้
โดยทำเลพระราม 9 จะอิงกับเส้นเพชรบุรี-รัชดา-ดินแดงทางตอนเหนือมากกว่าจะอิงกับถนนใหญ่เส้นหลักอย่างสุขุมวิท การเดินทางจากแยกพระราม 9 สามารถวิ่งไปทางลาดกระบังเข้าสุวรรณภูมิได้ทางตะวันออก สามารถเข้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิทางทิศตะวันตก ถ้าตรงขึ้นถนนรัชดาไปเรื่อยๆก็จะไปผ่านแถวรัชโยธินขึ้นไปประชาชื่น ส่วนทางใต้จะต่อกับถนนอโศกมนตรีที่ขึ้นชื่อเรื่องรถติดทุกเวลา
ส่วนจุดทางขึ้น-ลงทางด่วน จะมีจากทั้งสองทางคือถ้ามาจากทางเหนือจะมาลงที่ข้างคอนโด AQ aria บนถนนอโศก-ดินแดง เลี้ยวซ้ายจะเข้าแยกพระราม 9 ส่วนทางขึ้นทางด่วนไปทางตะวันออกต่อหรือไปทางสุวรรณภูมิ จากพื้นที่โครงการจะต้องเลี้ยวซ้ายเข้าถนนดินแดง เลี้ยวซ้ายที่แยกพระแม่ฟาติมา แล้วเลี้ยวซ้ายอีกทีเข้าถนนจตุรทิศ จะมีด่านด้านหน้าขึ้นไปทางบางนา ส่วนถ้ามาจากทางตะวันออกจะมีทางลงอยู่ที่แถวตึก KPN หรือจะตรงหน้าโรงพยาบาลปิยะเวท ส่วนถ้าจะขึ้นทางด่วนกลับไปทางเหนือก็จะมีที่ข้างๆถนนจตุรทิศและข้างคอนโด Rhythm asoke II บนถนนอโศก-ดินแดง
ส่วนการเดินทางโดยใช้ระบบขนส่งสาธารณะ มีสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดคือสถานี MRT พระราม 9 ทางออก 1 ที่อยู่บนถนนรัชดาหน้าโรงแรม Grand mercure ในพื้นที่ของ Fortune town โดยห่างจากพื้นที่โครงการประมาณ 300 เมตร โดยจะต้องข้ามถนนที่แยกพระราม 9 ซักหน่อยแล้วเลี้ยวขวาเดินไปอีกนิดเดียว ส่วนระบบคือจาก Airport Rail Link มักกะสัน โดยถือเป็นสถานีใหญ่ที่ชอบมีการจัดงานในและนอกอาคารบ่อยๆ โดยระยะเดินถึงพื้นที่โครงการอยู่ที่ 800 เมตร แต่จะต้องเดินตัดผ่านทางขึ้นและลงทางด่วนที่รถวิ่งค่อนข้างเร็ว แนะนำเป็นใช้บริการพี่วินที่รออยู่ตรงบันไดทางลงจะดีกว่า หรืออีกทางเลือกคือเดินผ่านสะพานเชื่อมไปลงที่ MRT เพชรบุรีแล้วไปต่อสถานีนึงลง MRT พระราม9 แต่ก็อาจจะเสียเวลามากกว่าหน่อย จาก MRT พระราม9 อีก 2 สถานีก็จะเป็นสถานีสุขุมวิทที่เป็นสถานี Interchange กับ BTS ที่อโศกเพื่อเข้าเส้นสุขุมวิท ส่วนแท๊กซี่ค่อนข้างหาง่ายมากเพราะติดถนนใหญ่ดินแดง พี่วินจะอยู่ตามทางลง MRT และ APL และข้างๆที่จอดรถของ Amsterdam รถเมล์บนถนนรัชดาจะหาง่ายกว่าบนถนนดินแดงรวมถึงรถตู้ด้วย
ส่วนเรื่องความอุดมสมบูรณ์รอบโครงการ ในระยะเดินจะต้องพึ่งสิ่งปลูกสร้างบนถนนรัชดามากกว่าถนนดินแดงหน้าโครงการ เนื่องจากอยู่ที่ช่วงมีสะพานข้ามแยกและยังเป็นอาคารพาณิชย์ทั้งสองฝั่ง ทำให้มีการทำธุรกิจเป็นออฟฟิสขนาดเล็ก ร้านทอง ร้านขายยา 7-11 แต่ถ้าบนถนนรัชดาช่วงใกล้แยกพระราม 9 จะมีทั้ง Fortune town ที่มีโรงแรม Grand mercure, CP tower 2 จนถึง Tesco lotus แต่ถ้าอยากข้ามไปฝั่งตรงข้ามก็จะมี Central พระราม 9 ที่ขึ้นชื่อเรื่องจำนวนผู้คน แต่ภายในก็จะกว้างขวาง มีชั้น IT มีร้านเสื้อผ้า ร้านอาหารมากมาย ในพื้นที่ใกล้เคียงยังมีอาคารออฟฟิสอีกไม่ว่าจะเป็น true tower, AIA capital center และตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงอาคารออฟฟิสที่ยังก่อสร้างอยู่อย่าง G land tower ที่หัวมุมถนน นอกจากนั้นก็ยังมีคอนโดในพื้นที่อีกมากมายทั้งที่เข้าอยู่กันนานแล้วอย่าง Ivy Ampio, Ideo Mobi, Condolette midst, ศุภาลัย รวมถึงที่กำลังสร้างอย่าง AQ aria, Rhythm อโศก I และ II
สุดท้ายมาดูพื้นที่รอบข้างของโครงการ The line อโศก-รัชดา กันบ้างค่ะ ถนนดินแดงใกล้แยกพระราม 9 จะเป็น Amsterdamที่แปลงหัวมุม ถัดมาใกล้ๆคืออาคารพาณิชย์สูง 3-4 ชั้นริมถนนดินแดงมีทั้งร้านค้าและปล่อยว่าง ข้างแปลงที่ดินจะเป็นร้านขายวัสดุก่อสร้าง ส่วนฝั่งซ้ายหรือทางตะวันออกไปก็จะเป็นอาคารพาณิชย์ไปอีกเรื่อยๆจนถึงคอนโด Supalai park ด้านหลังของโครงการหรือทางใต้น่าจะติดกับคลองสามเสนที่เป็นคลองขนาดไม่กว้างมาก ไม่มีการสัญจรเท่าไรแล้ว ส่วนฝั่งตรงข้ามถนนก็เช่นกันจะเป็นอาคารพาณิชย์ติดถนนใหญ่และในซอยจะเป็นทาวน์โฮมสูง 2 ชั้น ส่วนพื้นที่รอบกว้างๆออกมาหน่อยก็จะเป็นตึกออฟฟิสและคอนโดเพื่อนบ้าน High rise ที่ไม่อยู่ในระยะประชิด
ที่จะต้องระวังหน่อยก็จะเป็นเรื่องมลภาวะจากถนนใหญ่ โดยเฉพาะที่เป็นแยกพระราม 9 มีไฟเขียวไฟแดงต้องรอ ทำให้ท้ายแถวสะสม รวมถึงสะพานข้ามแยกพระราม 9 ความสูงจะอยู่ประมาณชั้น 2-3 ต้องรอลุ้นที่การออกแบบโครงการว่าจะมีการวางชั้นจอดรถไว้ที่ไหน มีห้องพักตั้งแต่ชั้นเท่าไร ซึ่งชั้นล่างๆก็อาจจะได้ยินเสียงและกลิ่นมากกว่าชั้นบนๆแน่นอนอยู่แล้ว รวมถึงการบังวิวเล็กๆน้อยๆของอาคารพาณิชย์ข้างเคียง นอกนั้นก็จะไม่มีตึกสูงในระยะประชิดนอกจากคอนโด Rhythm อโศก ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่สูง 36 ชั้น รวมถึงพื้นที่ว่างเปล่าทางใต้ของโครงการติดถนนจตุรทิศที่มีความเป็นไปได้ในการสร้างอาคารสูง แต่การเข้า-ออกค่อนข้างลำบาก ทั้งนี้การเลือกห้องก็จะมีทางฝั่งตะวันออกและตะวันตก ซึ่งวิวของแต่ละมุมก็จะไม่เหมือนกัน รวมถึงทิศของแสง
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- Grand Mercure fortune 200 เมตร
- G land tower 250 เมตร
- MRT พระราม9 300 เมตร
- Fortune town 300 เมตร
- Central พระราม 9 400 เมตร
- โรงพยาบาลผิวหนังอโศก 450 เมตร
- Tesco Lotus 650 เมตร
- Airport Link มักกะสัน 800 เมตร
- MRT เพชรบุรี 900 กิโลเมตร
- สถานฑูตจีน 1 กิโลเมตร
- True tower 1.1 กิโลเมตร
- ตลาดหลักทรัพย์ 1.1 กิโลเมตร
- AIA capital center 1.2 กิโลเมตร
- Esplanade รัชดา 1.4 กิโลเมตร
- โรงพยาบาลจักษุรัตนิน 4.2 กิโลเมตร (ระยะรถ)
- โรงพยาบาลพระราม 9 4.5 กิโลเมตร (ระยะรถ)
ภาพจำลองภายนอกของโครงการ The line อโศก-รัชดา คอนโด High Rise สูง 38 ชั้น 473 ห้อง ตัวอาคารเป็นรูปตัว I หันหน้าโครงการออกถนนดินแดง และมีอาคารจอดรถสูง 9 ชั้นและชั้นใต้ดินอีก 1 ชั้นอยู่ข้างๆอาคารทางตะวันตก ตัวอาคารใช้โทนสีเข้มตกแต่ง ตัดกับเส้นสีน้ำเงิน ชั้น 1 เป็นชั้น Lobby ที่มีบันไดวนขึ้นไปยังชั้น M ที่มี terrace garden เร่ิมมีส่วนของห้องพักที่ชั้น 2 ขึ้นไป ชั้น 23-24-25-26 จะเป็นชั้นที่มีทั้งห้องพักและส่วน Facility หลักของโครงการที่ตอนเหนือ ขึ้นไปที่ชั้น 27-37 ก็จะกลับมาเป็นชั้นห้องพักล้วน แต่ขนาดครึ่งหนึ่งทางตอนใต้ซึ่งเกี่ยวข้องกับการโดน Set back ของกฎหมาย โดยชั้น 38 จะเป็นชั้นที่มีห้องพักและ Lounge อีกครั้งและลิฟท์จะหยุดที่ชั้นนี้ ส่วน Rooftop ก็จะเป็นชั้นพื้นที่สีเขียวที่ดาดฟ้าแบบ Outdoor ทั้งหมดที่ลิฟท์ขึ้นไม่ถึง
Video presentation ของโครงการ The line อโศก-รัชดา เรียกน้ำจิ้มก่อนที่จะชมภาพนิ่งส่วนต่อไปนะคะ
โมเดลของทางโครงการก็จะแบ่งให้เห็นว่าพื้นที่โครงการเป็นรูปตัว L โดยจะเข้าได้จากถนนดินแดงฝั่งมุ่งหน้าไปทางแยกพระแม่ฟาติมา โดยทางเข้า-ออกโครงการจะมีทางเดียว ด้านหลังของโครงการจะติดกับคลอง โดยจะแบ่งพื้นที่ใกล้กับทางเข้า-ออกเป็นอาคารพักอาศัยสูง 38 ชั้น และอาคารจอดรถอยู่ทางข้างๆสูง 9 ชั้นและชั้นใต้ดินอีก 1 ชั้น
มองจากทิศตะวันตกเข้าพื้นที่โครงการ จะเห็นขอบเขตที่ดินติดกับคลองสามเสนด้านหลังโครงการ โดยส่วนที่ติดก็จะเป็นทั้งส่วนอาคารพักอาศัยและอาคารจอดรถ
เร่ิมกันที่ผังชั้น 1 กันค่ะ โครงการ The line อโศก-รัชดา เข้าได้จากถนนดินแดงฝั่งมุ่งหน้าไปทางแยกพระแม่ฟาติมา พื้นที่ดินเป็นรูปตัว L อาคารแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคืออาคารพักอาศัยรูปตัว I สูง 38 ชั้น จำนวน 473 ยูนิต และอาคารจอดรถรูปตัว I เช่นกันสูง 9 ชั้นพร้อมชั้นใต้ดินอีก 1 ชั้น จอดรวมซ้อนคันได้ 226 คัน หรือคิดเป็น 48% ของจำนวนห้องพัก จากทางเข้า-ออกที่ถนนดินแดงเข้ามาจะเจอ Drop-off หน้า Lobby สูง 6.9 เมตร ที่เป็นแบบ Double volumn และมีบันไดวนขึ้นไปยังชั้น M ที่มี Terrace garden เดินเข้ามาด้านในจะเจอกับห้องน้ำ ห้องนิติบุคคล ห้องจดหมาย และโถงลิฟท์โดยสาร 3 ตัวและ Service lift อีก 1 ตัว คิดเป็นอัตราส่วนที่ 157:1 และมีบันไดหนีไฟ 2 จุด รอบๆอาคารพักอาศัยก็จะมีที่จอดรถอยู่บ้างประมาณ 16 คัน พร้อมพื้นที่สีเขียวรอบเขตพื้นที่ดิน
ดูที่โมเดลเพื่อให้เห็นภาพง่ายขึ้นนะคะ จากทางเข้าหน้าโครงการ ถ้าจะมาส่งเพื่อนหรือส่งคนรู้จักก็จะวนที่ Drop-off หน้าทางเข้า Lobby ได้เลยแล้ววนออก ส่วนเจ้าของห้องที่จะเข้าไปจอดจะต้องผ่านป้อมพี่ยามตรงเข้าไปอ้อมอาคารพักอาศัยก่อน แล้วถึงจะเลี้ยวขวาเข้าอาคารจอดรถได้ ส่วนการเดินจากอาคารจอดรถเข้าอาคารพักอาศัย จากการสอบถามจากโครงการจะมีการทำทางเดินเพิ่มเติมเพื่อกันแดดกันฝนให้ โดยจะเชื่อมมาถึง Lobby เลย จาก Lobby ที่สูง 6.9 เมตรก็จะมีบันไดวนที่สามารถเดินขึ้นไปเจอ Terrace garden เป็นพื้นที่สีเขียวส่วนแรก
การเข้าอาคารจอดรถจะต้องอ้อมอาคารพักอาศัยมาทางขวา แล้วจะมีทางบีบเล็กๆเป็นสะพานข้ามทางน้ำนิดหน่อยก่อนจะเข้าตัวอาคารจอดรถสูง 9 ชั้นและมีชั้นใต้ดินอีก 1ชั้น และชั้นดาดฟ้าก็สามารถจอดได้ นอกจากนั้นที่จอดรถรอบอาคารพักอาศัยก็จะมีให้ประมาณ 16 คัน
บนชั้น 2 ก็จะเริ่มเป็นส่วนของห้องพักทั้งหมด 10 ยูนิต โดยสามารถเข้าถึงได้จากลิฟท์โดยสาร หรือจะเข้าจากบันไดวนจาก Lobby เดินขึ้นบันไดมาที่ชั้น M และชั้น 2 อีกที แตะบัตรผ่านเพื่อเข้ามาที่ทางเดินระหว่างห้องพัก แม้ว่าการมีห้องพักที่ชั้น 2 จะค่อนข้างเตี้ยไปหน่อยแต่ก็สามารถเข้าถึงพื้นที่สีเขียวอย่าง Terrace garden ได้สะดวก
บรรยากาศจำลองของ Lobby บนชั้น 1 ที่มีบันไดวนต่อขึ้นไปยังชั้น M
ชั้น 3-22 เป็น Typical floorplan ของโครงการ โดยจะมีจำนวนห้องพักทั้งหมด 17 ยูนิต จัดเป็นแบบ Double corridor คือมีห้องพักฝั่งตรงข้ามที่ตฝั่งตะวันออกและตะวันตก แบ่งออกเป็นแบบ 1 ห้องนอนขนาด 27.5-28 ตารางเมตร 2 ยูนิตใกล้ลิฟท์ และแบบ 1 ห้องนอนขนาด 34.5-36 ตารางเมตร จำนวน 14 ยูนิต และแบบ 2 ห้องนอนอีก 1 ยูนิตใกล้กับลิฟท์และบันไดหนีไฟ
ชั้น 23-24-25-26 เป็นชั้น Facility หลักของโครงการอยู่ทางซีกเหนือ โดยจะเป็นชั้นที่มีห้องพักด้วยอยู่ครึ่งทางซีกใต้ และชั้น 27 ขึ้นไปจนถึงชั้น 37 จะเป็นชั้นห้องพักล้วนๆอีกครั้งก่อนที่ชั้น 38 จะเป็นชั้นที่มี Lounge อยู่ทางทิศเหนือ และชั้น Rooftop ด้านบนเป็นพื้นที่สีเขียวของโครงการ
การทำให้พื้นที่ Facility หลักของโครงการต่อเนื่องกัน 4 ชั้นนอกจากจะทำให้มีความต่อเนื่องของการใช้พื้นที่อย่างการมีบันไดเชื่อมขึ้นลงกันแล้ว แต่จะมีห้องพักที่เข้าถึงได้ตรงๆแค่ชั้น 24-25 เพราะนอกนั้นจะไม่มีทางเดินเชื่อมถึงเลย
รายละเอียดของ Facility ตั้งแต่สระว่ายน้ำที่อยู่ที่ชั้น 24 โดยเป็นระบบเกลือขนาด 5 x 30 เมตร แบ่งออกเป็นสระเด็กและสระผู้ใหญ่ โดยมีส่วน Jacuzzi อยู่ข้างๆด้วย พื้นที่รอบสระก็จะเหมือนเป็นทางเดินเชื่อมไปยังพื้นที่นั่งเล่นที่ส่วนต่างๆ อย่างทางซ้ายของรูปก็จะมีชิงช้าเป็นที่นั่งขนาดใหญ่ ที่อยู่ใกล้กับทางเดินไปยังลิฟท์โดยสาร ตรงกลางข้างๆสระก็จะเป็นพื้นที่วาง Daybed และทางเข้าห้องน้ำแยกชาย-หญิงที่ภายในจะมีห้อง Steam อยู่ ส่วนทางขวาจะพื้นที่นั่งเล่นและบันไดลงไปยัง Lower terrace ที่ชั้น 23 และมีบันไดขึ้นไปยังห้องฟิตเนสที่ชั้น 25 และที่ชั้น 26 ก็จะเป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่อีกจุดหนึ่ง
ห้องฟิตเนสอยู่ที่ชั้น 25 จะอยู่เหนือห้องน้ำชั้น 24 จะได้วิวสระว่ายน้ำที่ทิศตะวันออกรวมถึงแยกพระราม9 ส่วนทิศตะวันตกจะได้วิวแถวพื้นที่ดินแดง ด้านบนชั้น 26 จะเป็นพื้นที่สีเขียว
บรรยากาศพื้นที่นั่งเล่นที่ทำเหมือนเป็นชิงช้าขนาดใหญ่ได้วิวทิศตะวันออกและใต้
มาที่ Floorplan กันต่อนะคะ ชั้น 23 ก็จะเป็นชั้นที่มีส่วนของห้องพักจำนวน 9 ยูนิต และที่ฝั่งตะวันตกส่วนเหนือจะไม่มีห้องพักเพราะเป็นชั้นใต้ของสระว่ายน้ำที่อยู่ชั้น 24 และแอบมีพื้นที่นั่งเล่น Lower terrace ที่สามารถเข้าถึงได้จากการเดินลงบันไดของพื้นที่ข้างสระลงมาได้ ได้วิวหน้าโครงการเต็มๆ แต่คนที่พักอยู่ชั้น 23 ส่วนทางเดินจะเข้าไม่ถึงนะคะ
ชั้น 24 เป็นชั้น Facility หลักของโครงการแต่ก็ยังมีห้องพักอยู่จำนวน 6 ยูนิต โดยห้องพักชั้นนี้อาจจะวุ่นวายกว่าชั้นอื่นเยอะหน่อยเพราะจะมีเพื่อนบ้านเดินเข้าออกพื้นที่ส่วนกลางเยอะที่สุดแต่ก็จะมีประตูกั้นและมีระบบรักษาความปลอดภัยด้วยการแตะบัตรก่อนเข้าส่วนห้องพัก และจะเข้าถึงพื้นที่ส่วนกลางได้ง่ายกว่าเพื่อนเลย
พื้นที่ Facility จะกินมาทางทิศเหนือของโครงการเพื่อให้สามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวันเนื่องจากทิศเหนือเป็นทิศที่แดดไม่แรงมากนัก โดยพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นสระว่ายน้ำระบบเกลือขนาด 5 x 30 เมตร ค่อนข้างแคบ แต่มีพื้นที่สระว่ายน้ำเด็กและ Jacuzzi และพื้นที่ข้างสระจะจัดให้มีพื้นที่นั่งเล่นด้วยกันหลายส่วน ได้หลายวิว และมีบันไดลงไปยัง Lower terrace ที่ชั้น 23 และบันไดเดินขึ้นไปห้องฟิตเนสที่ชั้น 25 ภายในห้องน้ำก็จะมีห้อง Steam แยกชาย-หญิง
ชั้น 25 มีห้องพักอยู่ทางทิศใต้เช่นเคยที่ 6 ยูนิต และเข้าถึงห้องฟิตเนสได้ง่าย โดยห้องฟิตเนสจะเข้าจากลิฟท์โดยสารก็ได้ หรือจากบันไดข้างสระว่ายน้ำก็ได้ โดยจะได้ทั้งวิวทิศตะวันออกและตะวันตก ถ้าแดดเข้าก็แค่ดึงม่านลงเพื่อบังแดด
ชั้น 26 จะเหมือนกับชั้น 25 คือมีห้องพัก 6 ยูนิตและมีพื้นที่สีเขียวด้านบนของห้องฟิตเนส โดยทางโครงการก็จะแบ่งพื้นที่ออกเป็นชื่อต่างๆอย่าง Yoga court, Sunken seat, cabana และ exercise bench ซึ่งลูกบ้านที่อยู่ชั้น 26 ก็จะเข้าถึงไม่ได้นอกจากจะขึ้นจากบันไดจากห้องฟิตเนส พื้นที่ตรงนี้ถ้าเข้าจากลิฟท์โดยสารไม่ได้ ก็ดูจะไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไรนะคะ
ต่อที่อาคารส่วนด้านบนคือชั้น 27-37 จะเป็นชั้นที่มีห้องพักล้วนๆอีกครั้ง โดยจะมีทั้งหมด 8 ยูนิต ทุกแบบ โดยลิฟท์โดยสารจะมี 3 ตัวเหมือนเดิม แต่บันไดหนีไฟจะเหลือเพียงจุดเดียว เหตุผลที่จำนวนห้องพักน้อยลงจะเกิดจาก Setback จากข้อกฎหมายที่กำหนดให้มีระยะห่างจากถนนใหญ่ เมื่อมีระดับความสูงตามกำหนด เพื่อรักษาความหนาแน่นและความปลอดภัยเมื่อเกิดเหตุต่างๆ
ที่ชั้น 38 จะเปลี่ยนยูนิตทางทิศตะวันตกเป็น Lounge ที่มองเห็นวิวแยกพระราม9 ได้ โดยจะคงห้องพักไว้ที่ 6 ยูนิต
ชั้น Rooftop เป็นชั้นที่เข้าถึงได้จากบันไดเท่านั้น ลิฟท์โดยสารจะเข้าไม่ถึง จะแบ่งพื้นที่ที่เป็นพื้นที่สีเขียวออกเป็นส่วนๆทั้งสนามหญ้า ที่นั่งแบบ Bench และ Daybed รวมถึง Sitting corner
บรรยากาศมุมจากด้านบนของโครงการ จะทำให้เห็นถึงพื้นที่การใช้งานของชั้น Rooftop
ห้องพักจะแบ่งออกเป็น 2 วิวคือวิวตะวันออกและวิวตะวันตก โดยวิวที่เห็นอยู่จะเป็นวิวฝั่งตะวันออกที่จะได้วิวแยกพระราม9 ตั้งแต่โรงแรม Grand mercure fortune, ตึก G land tower ที่กำลังก่อสร้าง ข้างๆกันก็กำลังจะกลางเป็น Super tower ที่สูงที่สุดในประเทศไทย ไปจนถึงคอนโด Condolette midst และคอนโด Rhythm อโศก ซึ่งก็ยังไม่มีอาคารสูงในระยะประชิด
วิวฝั่งตะวันออกก็จะเป็นวิวที่โล่งกว่าเพราะมีแค่อาคาร ICC tower อยู่เยื้องๆในระยะกระจัดประมาณ 200 เมตร และทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะเป็น APL มักกะสันที่เป็นวิวโล่งๆ
Sales office โครงการจะอยู่บนแปลงที่ดินโครงการคอนโด The line อโศก-รัชดา เลยนะคะ ฉะนั้นเวลามาแวะชมห้องตัวอย่างก็สามารถเดินชมรอบๆดูบรรยากาศพื้นที่จริงได้เลย
เดินเข้ามาภายในบริเวณ ก็จะมีส่วน Landscape หน้าโครงการต้อนรับสร้างความร่มรื่นได้ดี
เดินลึกเข้ามาหน่อยก็จะเจอกับอาคาร Sales office อยู่ทางขวามือ ใครที่ขับรถมาก็จะตรงเข้าไปจอดรถที่ด้านหลังได้เลย หรือถ้ามีคนมาส่งก็สามารถวนรถตรงต้นไม้หน้าอาคารจอดตรงบันไดทางขึ้นพอดี
เปิดประตูเข้ามาจะเป็นบรรยากาศภายใน Sales office ทางขวามือจะมีโมเดลอาคารทั้งในส่วนของอาคารพักอาศัยและอาคารจอดรถวางให้ดู ล้อมรอบด้วยชุดโซฟาสำหรับผู้ที่สนใจเข้ามาเยี่ยมชม
หันหน้าไปทางด้านในก็จะเจอกับเคาท์เตอร์พี่ Sale และทางเดินเข้าไปยังห้องตัวอย่างทั้ง 2 ห้อง
ทางขวามือจะเป็นทางเข้าห้องตัวอย่างแบบ 1 ห้องนอนและทางซ้ายแบบ 2 ห้องนอน ระหว่างทางเดินก็จะมีการเปิด Video presentation
ลึกเข้ามาก็จะเจอกับพื้นที่โซฟาด้านในอีกจุดหนึ่ง
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- ชั้น 1 – Lobby สูง 6.9 เมตร
- ชั้น mezzanine – Terrace garden
- ชั้น 23 – Lower terrace
- ชั้น 24 – สระว่ายน้ำ 1 สระ ระบบเกลือ ขนาด 5 x 30 เมตร แบ่งสระเด็กลึก 0.6 เมตร สระผู้ใหญ่ลึก 1.2 เมตร และ Jacuzzi
- ชั้น 24 – steam ที่ห้องน้ำแยกชาย-หญิง
- ชั้น 24 – พื้นที่นั่งเล่น Outdoor
- ชั้น 25 – Fitness
- ชั้น 26 – yoga court+cabana+sunken seat+exercise bench
- ชั้น 38 – Lounge
- ชั้น Rooftop – พื้นที่นั่งเล่น Outdoor
- ลิฟท์โดยสาร 3 ตัว และลิฟท์ขนของ 1 ตัว ที่อาคารพักอาศัยหรือคิดเป็นอัตราส่วน 157 : 1
- อาคารจอดรถสูง 9 ชั้นและชั้นใต้ดินอีก 1 ชั้น ที่จอดรถรวมจอดซ้อนคัน 226 คัน คิดเป็น 48%
- อาคารจอดรถมีลิฟท์ 2 ตัว
- ระบบ CCTV / Access Card
เริ่มจากห้องตัวอย่างของโครงการห้องแรกกัน คือแบบ 1 ห้องนอน ความจริงแล้วแบบ 1 ห้องนอนแบ่งออกเป็นแบบย่อยลงไปอีกรวม 13 แบบ เป็นห้องที่มีจำนวนมากที่สุดในอาคาร แตกต่างกันตามตำแหน่งและขนาดของห้อง จะมีรีวิวแบบห้องอีกที่ท้ายรีวิวที่ยกเอาแบบห้องที่ค่อนข้างมีความแตกต่างกันมาเปรียบเทียบนะคะ
ส่วนแบบห้องตัวอย่างห้องนี้เป็น Type 1E พื้นที่ห้องขนาด 34.75 ตารางเมตร รูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมเกือบจะจตุรัส แบ่งพื้นที่ Living และห้องนอนประมาณอย่างละครึ่ง เมื่อเข้าสู่ตัวห้องจะเจอ ตู้เก็บของแบบ Built-in อยู่ทางซ้ายมือ เช่น เก็บรองเท้า เก็บกุญแจรถ เก็บร่ม ส่วนทางขวามือคือส่วนครัวเปิดรูปตัว L ด้านในเป็นโต๊ะทานเข้าแบบ 2 ที่นั่ง ลึกเข้าไปอีกคือส่วนนั่งเล่น ด้านหนึ่งจะเป็นโซฟาและโต๊ะเข้าชุดกัน ฝั่งตรงข้ามของห้องจะเป็นชั้นวางทีวี ลึกสุดคือหน้าต่างบานเปิดแบบเต็มตัว 3 บานที่สามารถเปิดออกไปรับลมได้ ทางซ้ายมือข้างๆกับทีวีจะมีประตูบานเปิดออกไปยังระเบียงที่เชื่อมกับประตูบานเลื่อนจากห้องนอน โดยมีที่เก็บ Compressor อยู่ด้านบน ระหว่างส่วนครัวและส่วนนั่งเล่น ตรงกลางจะเป็นประตูห้องนอน เปิดเข้าไปจะมีตู้เสื้อผ้าแบบ Built-in เตียงนอน ทางเข้าห้องน้ำอยู่ทางซ้ายมือ ส่วนทางขวามือเดินผ่านปลายเตียงคือประตูบานเลื่อนของระเบียง
ประตูทางเข้าหลักของห้องขนาด 0.9 x 2.4 เมตร วัสดุปิดผิวด้วยลามิเนต พร้อมด้วย Digital doorlock และตาแมว
Digital doorlock จาก Yale สามารถตั้งระบบได้ทั้งแบบ Keycard และแบบกดรหัส หรือไขกุญแจ จากภายในสามารถบิดล็อกได้ ซึ่งสามารถเปิด-ปิดด้วย Application บนมือถือทำให้ไม่ต้องลุกเดินมาบิดล็อกให้เพื่อนทุกครั้ง
พื้นส่วนแรกที่เรากำลังจะก้าวเข้าไปปูด้วยกระเบื้องเซรามิกขนาด 60 x 60 เซนติเมตรสีเทาอ่อนๆ
เปิดประตูเข้ามาจะเจอกับส่วนครัวอยู่ทางขวามือ ทางซ้ายมือเป็นตู้เก็บของแบบ Built-in ข้างๆกันคือประตูเข้าส่วนห้องนอนที่มีห้องน้ำในตัว ลึกเข้าไปด้านในเป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่น มีหน้าต่างบานใหญ่แบบเปิดข้างได้ 3 บาน ทางซ้ายมือมีประตูเปิดออกไปยังระเบียงที่ต่อกับระเบียงห้องนอน
รายการขายของโครงการเป็นแบบ Fully fitted นะคะ ซึ่งจะให้เฟอร์นิเจอร์และ Built-in บางส่วน เช่น ห้องน้ำได้แบบห้องตัวอย่าง ห้องครัว ตู้เก็บของ ตู้เสื้อผ้า แต่บางอย่างก็จะไม่อยู่ในรายการขาย เช่น โซฟา เตียง เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ โคมไฟ เดี๋ยวเราจะบอกกันเป็นจุดๆว่าชิ้นไหนได้ไม่ได้ไปเรื่อยๆนะคะ
เดินเข้ามาอยู่ภายในห้องพัก ส่วนที่เป็นโต๊ะทานข้าว มองเข้าไปยังพื้นที่ที่เราเข้ามาในตอนแรก กลับกันคือซ้ายมือเป็นเคาท์เตอร์ครัว ขวามือคือตู้เก็บของแบบ Built-in
เริ่มจากตู้เก็บของส่วนหน้ากันก่อน ตู้เป็นแบบ Built-in ออกแบบโดยแสนสิริเอง มีความสูงตั้งแต่พื้นขึ้นไปถึงบนฝ้าห้องครัวที่ 2.7 เมตร แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือทางซ้ายมือเป็นประตูบานเปิด ปิดด้วยกระจกเต็มตัวไว้ส่องก่อนออกจากห้อง เปิดออกมาจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นช่องๆและชั้นๆ โดยสามารถเก็บเครื่องมือทำความสะอาดอย่างไม้กวาด ไม้ถูพื้นไปจนถึงร่ม และรองเท้า ส่วนทางขวามือจะเป็นชั้นและช่องสำหรับการวางของอย่างหมวก กุญแจรถ โดยจะมีเก้าอี้นั่งที่ดึงออกมาได้
ภายในตู้บานเปิดทางซ้ายมือ ภายในก็จะแบ่งช่องการใช้งานไว้ให้ โดยสามารถวางรองเท้าได้ประมาณ 6 คู่ แต่ถ้าเก็บใส่กล่องวางที่ชั้นอีกก็เพิ่มได้
ที่เห็นเป็นของตกแต่งไม่ว่าจะเป็นถาดที่แบ่งช่องออกเป็นหลุมสี่เหลี่ยม ใส่แว่นตา กระเป๋าสตางค์ก็ให้มาด้วยนะคะ รวมถึงที่แขวนกุญแจที่ติดมาให้อยู่ข้างๆด้วย
ที่เก๋มากคือมีช่องสำหรับเก้าอี้แบบไม่มีพนัก เป็นส่วนหนึ่งของตู้ Built-in ซึ่งสามารถไว้นั่งใส่รองเท้าก่อนออกจากบ้าน หรือจะเป็นเก้าอี้เสริมเวลาเพื่อนมาหาก็ได้
ต่อมาเป็นฝั่งตรงข้ามกันบ้าง กับเคาท์เตอร์ครัวแบบ Built-in ที่ออกแบบโดยแสนสิริเช่นกัน เป็นเคาท์เตอร์ล่างรูปตัว L และชั้นเก็บของติดผนังที่มีบานเปิดเก็บของได้ มีพื้นที่เหลือสำหรับการวางเครื่องซักผ้าฝาหน้าและตู้เย็น
เริ่มตั้งแต่อ่างล้างจานแบบหลุมเดียวจาก mex ฝังเข้าไปในเคาท์เตอร์แล้ว top ด้วยหินธรรมชาติอีกที ซึ่งขนาดอ่างล้างจานสำหรับแบบ 1 ห้องนอนลึกก็จริง แต่ขนาดค่อนข้างเล็กไปหน่อย
ส่วนเคาท์เตอร์ช่วงยาวจะเป็นพื้นที่ของ Hob and hood และพื้นที่เตรียมอาหาร โดยไฟที่เคาท์เตอร์ก็จะมีสวิสซ์เปิด-ปิดได้เป็น LED แล้วก้มีราวอลูมเนียมให้แขวนข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ผนังด้านหลังส่วนครัวมี Backsplash กรุด้วยกระจกเงา
Hob and hood จาก mex เช่นกันโดยเป็นแบบ 2 หัวเตา ด้านบน Hood เปิดด้วยการดึงออกตามปกติเครื่องก็จะทำงานทันที เคาท์เตอร์ลึก 65 เซนติเมตร
ส่วนด้านบนก็จะเป็นพื้นที่เก็บของภายในครัว ส่วนใหญ่จะเป็นประตูบานปิดมาให้ ด้านในแบ่งช่องการใช้งานเป็นชั้นๆ
ที่แปลกหน่อยคือช่องตรงกลางที่สามารถเลื่อนออกมาใช้งานได้สะดวกจะเป็นที่ใส่ม้วนทิชชูและที่เก็บอุปกรณ์ภายในครัว
ส่วนทางขวามือจะเป็นพื้นที่สำหรับเครื่องซักผ้า ตู้เย็นที่ไม่ได้มาให้ในรายการขาย ดังนั้นก่อนจะซื้อใหม่เพื่อย้ายเข้ามาจะต้องมีการวัดขนาดก่อนนะคะ ด้านบนเป็นเบรกเกอร์ไฟอยู่ในตู้บานปิดเรียบร้อย
สิ่งที่เพิ่มมามากกว่าโครงการอื่นๆคือ Home automation จาก Fibaro โดยเป็นเครื่องเปิด-ปิดต่างๆภายในระบบเดียว เช่น แอร์ ไฟต่างๆภายในห้อง ด้วยการเอามือเลื่อนผ่านตัวเครื่อง ก็จะสามารถเปิด-ปิดได้ในครั้งเดียว ซึ่งสามารถเพิ่มเติมส่วนอื่นๆได้เช่น ม่านอัตโนมัติซึ่งอันนี้ต้องติดตั้งเองนะคะ นอกจากนั้นยังใช้ร่วมกับ Application บนมือถือผ่าน Wifi ก็ได้เช่นกัน
ข้างๆกับเคาท์เตอร์ครัวรูปตัว L ก็จะวางตำแหน่งของโต๊ะทานข้าวพร้อมเก้าอี้ 2 ตัวมาให้ดู
ข้างๆกับเก้าอี้ของโต๊ะทานข้าวตรงด้านหลังของเคาท์เตอร์ครัวด้านล่างก็จะมีช่องเก็บของเพิ่มเติมเป็นชั้น ซึ่งสามารถเก็บหนังสือ นิดยสารหรือของใช้อื่นๆได้ ซึ่งถือเป็นข้อดีของเฟอร์นิเจอร์ Built-in
ระหว่างพื้นที่ครัวที่ปูด้วยกระเบื้องเซรามิก พอเปลี่ยนการใช้งานเป็นห้องนั่งเล่นก็จะเปลี่ยนวัสดุพื้นเป็นไม้ลามิเนตหนา 12 มิลลิเมตรสีเข้ม
ภายในห้องนั่งเล่นความสูง 2.7 เมตร กว้างประมาณ 2.8 เมตร สามารถวางโซฟาตัว I พร้อมโต๊ะกลางได้สบายๆ แต่ส่วนชั้นวางทีวีถ้าต้องการที่เดินกว้างหน่อยก็ไม่ควรจะซื้อแบบลึกมากมาวาง เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องนั่งเล่นจะไม่ได้นะคะ ผนังจะได้เป็นฉาบปูนเรียบทาสีขาวปกติ
อย่างในห้องตัวอย่างจะเป็นทีวีติดผนัง พร้อมชั้นวางของเตี้ยๆ ไว้วางลำโพงหรือรีโมตทีวี ข้างๆกันก็จะมีประตูบานเปิดที่สามารถออกไปยังระเบียงที่ต่อกับห้องนอนได้ ส่วนที่ลึกสุดของห้องนั่งเล่นจะเป็นช่องเปิดขนาดใหญ่ 3 บานที่สามารถเปิดรับลมได้
โดยหน้าต่างบานใหญ่นี้จะเหมือนเป็นบานกระทุ้งขยายขึ้นมา ที่เห็นในภาพนั้นคือเปิดสุดแล้วนะคะ จะเปิดได้ไม่เกิด 30 องศา เหตุผลคือต้องการหมุนเวียนอากาศภายในห้อง ที่ไม่ใช่ลมแรงๆแต่เป็นลมที่หักเหจากการปะทะกับหน้าต่างแล้ว
ซึ่งที่เปิด-ปิดก็จะเป็นด้ามจับหมุนบิดล็อกได้ ตัวล็อกก็จะเปิด-ปิดง่าย ติดตั้งดี
ด้านบนจะเว้นร่องม่ายมาให้เพื่อความเรียบร้อย แต่จะไม่มีการติดตั้งไฟเหมือนในห้องตัวอย่าง ส่วนม่านปกติแล้วจะไม่ได้ แต่ถ้าซื้อในวัน Pre-sale วันที่ 25-26 มิถุนายนนี้ก็จะได้พร้อมติดตั้งมาให้ด้วยเลย
มาต่อกันที่ประตูที่สามารถเปิดออกไปยังระเบียงได้ ซึ่งจะเชื่อมกับห้องนอนที่อยู่ข้างๆ
โดยประตูเป็นกรอบอลูมิเนียมเคลือบด้วยสี Euro grey เหมือนกันทั้งหมด มีตัวบิดล็อกจากฝั่งห้องนั่งเล่น
พื้นที่ระเบียงขนาด 0.9 x 3 เมตร ปูด้วยกระเบื้องเซรามิกขนาด 30 x 30 เซนติเมตร มีราวกันตกเป็นกระจกลามิเนตใสๆ
ซึ่งระดับของพื้นห้องนั่งเล่นและระเบียงจะเท่ากัน แต่มีธรณียกขึ้นมากั้นรวมความสูงของกรอบประตูด้วยนิดหน่อย
มาต่อกันที่ทางเข้าห้องนอนที่อยู่ระหว่างตู้เก็บของและชั้นวางทีวี โดยจะปูด้วยไม้ลามิเนตหนา 12 มิลลิเมตร ขนาดประตูห้องนอนอยู่ที่ 0.8 x 2.2 เมตร เหนือขึ้นไปเป็นตำแหน่งแอร์ที่ทางโครงการจะให้มาด้วยจาก Daikin ซึ่งจะได้ 2 ตัวสำหรับแบบ 1 ห้องนอนและ 3 ตัวสำหรับแบบ 2 ห้องนอน
ภายในห้องนอนขนาด 3 x 3.6 เมตร ภายในวางเตียงได้ชิดผนังและยังเหลือพื้นที่ข้างเตียงวางโต๊ะข้างเตียงได้ เนื่องจากแบบ 1E เป็นห้องมุมจึงทำให้มีหน้าต่างบานกระทุ้งและบาน Fixed ที่ทั้งสองฝั่งของข้างเตียง แต่ถ้าเป็นแบบที่ใกล้เคียงกันอย่าง Type 1B, 1C, 1C-1, 1C-2 จะไม่มีหน้าต่างที่ตำแหน่งนี้
ที่ปลายเตียงก็จะมีระบบทีวีติดมาให้ ภายในห้องตัวอย่างติดเป็นทีวีติดผนังพร้อมใส่กระจกเงาแต่ห้องจริงที่ได้จะเป็นผนังฉาบเรียบทาสีขาว
ช่องแสงหลักๆภายในห้องนอนคือประตูบานเลื่อนที่สูง 2.2 เมตรแบบ 3 ตอน โดยเหตุที่ไม่สูงขึ้นไปถึงความสูงฝ้าที่ 2.7 เมตรก็เพราะด้านนอกที่ระเบียงจะมีช่องเก็บ Compressor air อยู่ด้านบนนั่นเอง
ระดับพื้นห้องนอนจะอยู่สูงกว่าระดับพื้นระเบียงนิดหน่อย ประตูบานเลื่อนเป็นกรอบอลูมิเนียม
พื้นที่ระเบียงกว้าง 0.9 x 3 เมตรพื้นปูด้วยกระเบื้องเซรามิกขนาด 30 x 30 เซนติเมตร ซึ่งระเบียงตรงนี้สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่โดยไม่ต้องกังวลถึงตำแหน่ง Compressor air
ผนังด้านหนึ่งเป็นฉาบเรียบทาสี อีกฝั่งหนึ่งเป็นประตูบานเปิดที่เปิดมาจากห้องนั่งเล่น
ด้านบนเป็นตำแหน่งไฟ และตำแหน่งวาง Compressor แอร์ของทั้งห้องนั่งเล่นและห้องนอน โดยจะมีที่เปิด-ปิดสำหรับการซ่อมแซมให้
จากพื้นที่ระเบียงมองเข้ามายังพื้นที่ภายในห้องนอน โดยฝั่งข้างเตียงด้านในจะมีตู้เสื้อผ้าแบบ Built-in ติดกับผนังมาให้ ซึ่งจะมีทั้งแบบบานปิดและช่องเปิดวางของและลิ้นชักพร้อมตู้แขวน Accessory ข้างๆใกล้กับทางเข้าห้องน้ำ
ตู้เสื้อผ้าแบบ Built-in ขนาดไม่ค่อยใหญ่มากแต่ช่องการใช้งานครบครันดี อย่างทางขวามือเป็นตู้บานปิดสำหรับแขวนเสื้อและราวกางเกงและชั้นด้านบน ข้างๆกันเป็นแบบไม่มีบานปิด สำหรับวางของใช้ ส่วนข้างๆซ้ายมือด้านข้างเป็นตู้ที่สามารถเปิดออกมาเป็นที่แขวนของกระจุกกระจิก
เปิดให้ดูเต็มๆทั้งราวแขวนเสื้อผ้า ที่ใส่กางเกงขวามือ ด้านบนเป็นช่องเก็บของอาจจะเก็บพวกเครื่องนอนที่นานๆหยิบที ส่วนทางซ้ายเป็นชั้นและลิ้นชัก
ซึ่งลิ้นชักชั้นบนก็เป็นงานละเอียดที่ทำเป็นช่องเก็บ Accessory สามารถเห็นได้จากกระจกใส ส่วนที่แขวนกางเกงก็สามารถเลื่อนออกมาหยิบได้
ด้านข้างของตู้ก็ใช้ประโยชน์ในการทำเป็นบานเปิด ใส่ที่แขวนสร้อย กำไล แว่นตา
แต่ตัวบานค่อนข้างเปิดยากนิดนึง ต้องจิ้มเพื่อให้ที่ดึงมันกระเด้งออกมาก่อนถึงจะเปิดได้
ต่อมาเป็นทางเข้าห้องน้ำภายในห้องนอน ซึ่งด้านบนเป็นตำแหน่งแอร์ภายในห้องนอน
พื้นห้องน้ำปูด้วยกระเบื้องเซรามิกขนาด 60 x 60 เซนติเมตรสีออกครีมๆ
ด้านในห้องน้ำขนาด 1.4 x 3 เมตร สูง 2.5 เมตร แบ่งพื้นที่การใช้งานออกเป็น 3 ส่วนคืออ่างล้างมือพร้อมกระจก โถสุขภัณฑ์ตรงกลาง และห้องอาบน้ำแบบยืนอยู่ด้านในสุด
อ่างล้างมือเป็นทรงสี่เหลี่ยม มีช่องเก็บของเป็นบานปิดให้ด้านล่างมาเสร็จสรรพ ซึ่งจะเป็นตำแหน่งของเครื่องทำน้ำร้อนที่จะต่องานระบบไปยังก๊อกอ่างล้างมือและฝักบัวอาบน้ำภายในห้องอาบน้ำแบบยืนด้านในเลย ด้านบนแทนที่จะเป็นกระจกธรรมดาก็เป็นกระจกตู้ที่สามารถเปิดออกมาเก็บของได้ สองฝั่งเป็นไฟส่องตามปกติ
สุขภัณ์จาก Cotto ได้โถสุขภัณฑ์แบบประหยัดน้ำ มีแค่ที่ใส่ม้วนทิชชู แต่ไม่เห็นสายฉีดชำระนะคะ
ห้องอาบน้ำด้านในขนาด 0.8 x 1.4 เมตร ให้ฉากกั้นพร้อมประตูบานผลักตามปกติ
พื้นก็ยังปูด้วยกระเบื้องแต่เปลี่ยนเป็นแบบด้านเพื่อกันลื่น มีการก่อปูนกั้นพื้นที่แห้งและพื้นที่อาบน้ำมาให้เรียบร้อย
ฝักบัวเป็นแบบมือจับที่ต่อท่อเข้าไปในผนังเลย ไม่ได้ต่อไปยังตำแหน่งของเครื่องทำน้ำร้อนที่มุมห้องเหมือนปกติ เพราะว่าตำแหน่งของเครื่องทำน้ำร้อนจะอยู่ที่ตู้ใต้อ่างล้างหน้าพอดี ตรงมุมให้ที่วางสบู่และแชมพูมาให้
ด้านบนเป็น Shower ทรงสีเหลี่ยมที่ต่อออกมาจากส่วนผนัง
และภายในห้องน้ำก็จะมีระบบระบายอากาศติดให้ที่เพดาน รวมถึงช่องแสงแบบ Indirected light ที่เหนือพื้นที่อ่างล้างหน้า
ห้องตัวอย่างห้องถัดมาเป็น 2 bedroom ที่มีประมาณ 1 ยูนิตต่อ 1 ชั้น โดยจะอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของโครงการ โดยห้องนี้เป็น Type 2B พื้นที่ห้องขนาด 50.25 ตารางเมตร รูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าหน้ากว้าง โดยเมื่อเข้าสู่ตัวห้องจะเจอกับโต๊ะทานข้าวแบบ 4 ที่นั่ง ด้านหน้าเป็นพื้นที่นั่งเล่นที่สามารถวางโซฟาและชั้นวางทีวีฝั่งตรงข้ามได้ และลึกเข้าไปเป็นประตูบานเลื่อนที่เปิดออกไปจะเจอกับระเบียงซึ่งเป็นแบบ Semi-outdoor คือมีหน้าต่างบานใหญ่ที่ตำแหน่งราวระเบียง ระหว่างพื้นที่ทานข้าวและพื้นที่นั่งเล่นก็จะมีทางเดินเข้าพื้นที่ครัวรูปตัว U ทางเดินเข้าห้องนอนเล็กที่ภายในห้องตัวอย่างตกแต่งเป็นห้องทำงาน ทางเดินเข้าห้องน้ำห้องเดียวของยูนิต และในสุดเป็นทางเข้าห้องนอนใหญ่ที่มี Built-in ตู้เสื้อผ้ามาให้ด้วย
เริ่มที่ประตูทางเข้าห้องขนาด 0.9 x 2.4 เมตร วัสดุปิดผิวด้วยลามิเนต พร้อมด้วย Digital doorlock และตาแมว
เปิดประตูเข้าไปจะเจอกับส่วนพื้นที่โต๊ะทานข้าวก่อนส่วนแรก ด้านหน้าจะเป็นพื้นที่นั่งเล่นและส่วน Semi-outdoor ที่อยู่ลึกเข้าไปเป็นช่องแสงหลัก ส่วนทางขวาจะเป็นทางเดินเข้าไปยังครัวแบบเปิด ห้องนอนเล็ก ห้องน้ำ และห้องนอนใหญ่ด้านในสุด
เดินเข้ามาด้านในห้องพักส่วนพื้นที่นั่งเล่น มองกลับไปที่พื้นที่โต๊ะทานข้าวตรงประตูทางเข้าขนาด 2.1 x 2.55 เมตร จะเห็นว่าโต๊ะทานข้าววางเก้าอี้ได้ประมาณ 4 ตัว ด้านหลังเป็นตู้เก็บของแบบ Built-in อยู่ข้างๆกับประตู
ตู้เก็บของแบบ Built-in จะออกแบบมาคล้ายๆกับตู้เก็บของของแบบ 1 ห้องนอน แต่จะไม่มีส่วนที่แขวนกุญแจ และเก้าอี้ที่ดึงออกมาได้
แต่ส่วนการใช้งานหลักๆก็ยังอยู่คือชั้นวางรองเท้า ที่เก็บเครื่องมือทำความสะอาด ที่เก็บร่มต่างๆ
และสามารถวางโต๊ะทานข้าวพร้อมเก้าอี้ 4 ตัวด้านหนัา้ได้ ข้างๆกันจะเป็นเคาท์เตอร์ครัวแบบ Built-in ที่มีช่องเก็บของอยู่ข้างๆอีกแล้ว พื้นจากตรงนั่งทานข้าวปูด้วยกระเบื้อง เดินไปตรงพื้นที่นั่งเล่นจะเปลี่ยนเป็นไม้ลามิเนตหนา 12 มิลลิเมตร
ส่วนพื้นที่นั่งเล่นขนาดประมาณ 1.45 x 2.85 เมตร วางโซฟาได้ชิดผนัง ตรงกลางวางโต๊ะเล็กๆได้ ส่วนฝั่งตรงข้ามวางชั้นวางทีวี หรือจะเป็นทีวีแบบติดผนังก็ได้ ระยะดูทีวีอยู่ที่ประมาณ 1.5 เมตร ส่วนด้านในเป็นประตูบานเลื่อน 3 ตอน เปิดออกไปจะเจอกับระเบียงเดียวของห้องชุดนี้ ซึ่งเป็นแบบ Semi-outdoor
ความหมายของ Semi-outdoor จะแตกต่างกับระเบียงปกติตรงที่จะไม่เปิดโล่ง ฝนสาดเข้ามาได้ตรงๆ แต่จะมีชั้นหน้าต่างอีกชั้นที่ภายนอก อย่างในห้องตัวอย่างคือเมื่อเลื่อนประตูบานเลื่อนแบบ 3 ตอนออกไปแล้ว ก็จะเจอกับพื้นที่ระเบียง และที่ราวกันตกก็จะมีหน้าต่างบานใหญ่แบบเปิดข้างได้อีกชั้นหนึ่ง ปกติเราอาจจะเห็นการดีไซน์เป็นแบบหน้าต่างบานเปิดคู่ซ้าย-ขวา ด้านล่างตรงระดับราวกันตกจะเป็นบาน Fixed ซะมากกว่า
ระเบียงขนาด 0.9 x 2.7 เมตร ปูด้วยกระเบื้องเซรามิกขนาด 30 x 30 เซนติเมตร วางเก้าอี้ได้ตัวนึงเหมือนในห้องตัวอย่าง
หน้าต่างบานนอกเป็นหน้าต่างบานใหญ่ เปิดข้างได้เหมือนหน้าต่างบานกระทุ้ง ไว้สำหรับการรับลมเข้ามาภายในห้องพัก บางคนจะชอบเพราะสามารถใช้พื้นที่ระเบียงได้เหมือนกับอยู่ภายในห้อง แต่บางคนจะรู้สึกว่าไม่โล่งเหมือนกับระเบียง Outdoor แบบเปิดปกติ
ฝั่งหนึ่งของระเบียงเป็นผนังฉาบเรียบทาสีปกติ ส่วนอีกฝั่งจะเป็นประตูบานทึบ เปิดเข้าไปจะเจอกับที่วาง Compressor air ของทั้งห้องนั่งเล่นและห้องนอนทั้งสองห้อง
พื้นที่ด้านในส่วนวาง Compressor air ก็จะมีพื้นที่หลวมๆ มีซี่ตะแกรงบังสายตาจากพื้นที่ด้านนอก
กลับมาที่ด้านในห้อง ตรงกลางจะเป็นทางเดินปูด้วยพื้นไม้ลามิเนตหนา 12 มิลลิเมตร ทางขวามือเป็นพื้นที่ครัวรูปตัว U ด้านหลังครัวจะเป็นประตูทางเข้าห้องน้ำ ตรงข้ามกันคือห้องนอนเล็ก และประตูบานในสุดตรงกลางคือห้องนอนใหญ่
พื้นส่วนครัวจะปูเป็นกระเบื้องเซรามิกต่อเนื่องมาจากพื้นที่ทานข้าวส่วนแรก เริ่มเคาท์เตอร์ครัวแบบ Built-in ที่อ่างล้างจานจาก mex ที่อยู่ข้างๆโต๊ะทานข้าว มีประตูเปิดได้ใต้อ่างล้างจาน และมีพื้นที่ข้างๆเป็นถังขยะแบบเปิดออกได้ ดูเป็นสัดส่วนดี
อ่างล้างจานจาก Mex เหมือนเดิม ที่เพิ่มเข้ามาคือขนาดอ่างที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ล้างได้สะดวกกว่าแบบ 1 ห้องนอน วัสดุของ Top เคาท์เตอร์ยังคงเป็นหินธรรมชาติ
ต่อมาเป็นส่วนตรงกลาง ก็จะเป็นลิ้นชัก ที่วางไมโครเวฟ ที่วางเครื่องซักผ้าสำหรับเคาท์เตอร์ด้านล่าง เหนือขึ้นไปจะเป็น Hob and hood และพื้นที่เตรียมอาหาร ส่วนด้านบนจะเป็นชั้นวางของแบบมีบานปิด backsplash ก็ยังกรุด้วยกระจกเงาเหมือนเดิมเพื่อการทำความสะอาดที่ง่ายขึ้น
ส่วนฝั่งซ้ายก็จะเป็นตำแหน่งของที่วางตู้เย็น ด้านบนเป็นชั้นเก็บของที่มีเบรกเกอร์อยู่ตู้ซ้ายสุด
ฝั่งตรงข้ามกับครัวจะเป็นทางเข้าห้องนอนเล็ก พื้นดูต่อจากทางเดินตรงกลางด้วยไม้ลามิเนตหนา 12 มิลลิเมตร
พื้นที่ห้องนอนเล็ก ภายในห้องตัวอย่างจะปรับเป็นห้องทำงานขนาด 2.3 x 3 เมตร โดยสามารถวางเตียงขนาด 3 ฟุตครึ่งชิดผนังฝั่งใดผนังหนึ่งได้ หรือถ้าปรับเป็นห้องทำงานก็สามารถวางโต๊ะทำงานเป็นตัว L ตามผนัง
ส่วนตรงผนังก็ทำเป็นชั้นวางของ ชั้นวางหนังสือ หรือตู้โชว์ โดยผนังที่ให้มาจะเป็นฉาบปูนเรียบทาสีขาว
มีช่องแสงที่ผนังด้านหนึ่งของห้องนอนเล็กเต็มๆ โดยตรงกลางจะเป็นหน้าต่างบานกระทุ้งเปิดข้าง
หรือจะ Built-in ตู้เก็บของเข้าไปทั้งตู้ก็ได้ ในห้องนอนเล็กนี้ตามรายการขายจะได้เป็นห้องเปล่าๆนะคะ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆ
แต่ที่ได้คือตำแหน่งแอร์ที่ติดกับผนังจุดนี้
ต่อมาเยื้องๆกับประตูทางเข้าห้องนอนเล็กก็จะเป็นห้องน้ำเดียวของห้องนี้
ด้านในห้องน้ำขนาด 2.1 x 2.8 เมตร สูง 2.5 เมตร แบ่งพื้นที่การใช้งานออกเป็น 3 ส่วนคืออ่างล้างมือพร้อมกระจก โถสุขภัณฑ์ตรงกลาง และห้องอาบน้ำแบบยืนอยู่ด้านในสุดเหมือนกับห้องน้ำของแบบ 1 ห้องนอน สุขภัณฑ์จาก Cotto
พื้นที่อาบน้ำขนาด 0.9 x 1 เมตร มีฉากกั้นและประตูปิดเรียบร้อย
ต่อมายังห้องสุดท้ายคือห้องนอนใหญ่ ขนาด 3 x 3.6 เมตร ภายในวางเตียงได้ชิดผนังและยังเหลือพื้นที่ข้างเตียงวางโต๊ะข้างเตียงได้ เนื่องจากแบบ 2B เป็นห้องมุมจึงทำให้มีหน้าต่างที่ทั้งสองฝั่งของข้างเตียง โดยฝั่งซ้ายมือจะเป็นกระจกเข้ามุมต่อเนื่องจากผนังด้านข้างเตียง และฝั่งขวามือเป็นหน้าต่างบานกระทุ้งและบาน Fixed ทำให้ช่องแสงจะเข้าสู่ห้องนอนนี้ได้อย่างเต็มที่
ฝั่งตรงข้ามของเตียงนอนจะเป็นงานระบบทีวีต่อไว้ให้ พื้นที่ปลายเตียงค่อนข้างน้อย ดังนั้นจึงเลือกทำเป็นทีวีติดผนังจะสะดวกในการเดินผ่านไปมามากกว่า ส่วนหน้าต่างจะมีทั้งแบบบานกระทุ้งเปิดข้างและบาน Fixed ที่ต่อเนื่องเป็นเข้ามุมมาถึงฝั่งหัวเตียง
หน้าต่างบานกระทุ้งแบบเปิดข้าง ที่เปิดให้เห็นในภาพคือสุดแล้วนะคะ คือต้องการลมมาหมุนเวียนมากกว่าจะเข้ามาปะทะตรงๆ
ถ้าจองในวันที่ 25-26 มิถุนายนนี้ก็จะได้ม่านเหมือนในห้องตัวอย่าง ซึ่งจะเป็นแบบเข้ามุมฝั่งหนึ่งสำหรับห้องนอนใหญ่ของแบบ 2 ห้องนอน โดยตามปกติจะเว้นร่องไว้ให้แต่ไม่ได้ตัวม่านและรางม่าน
จากข้างเตียงมองไปอีกฝั่งหนึ่งก็จะเห็นตำแหน่งแอร์ที่ข้างๆกับประตูทางเข้าห้องนอนใหญ่ ข้างเตียงฝั่งขวาจะวางเป็นโต๊ะทำงานได้ตัวยาวๆ มีแสงธรรมชาติส่องถึง ส่วนในสุดเป็นตู้เสื้อผ้าแบบ Built-in
ตู้เสื้อผ้าเป็นแบบ 2 ส่วนเหมือนกับแบบ 1 ห้องนอนคือมีบานปิดทางซ้ายมือเป็นที่เก็บเสื้อผ้า และกางเกง ส่วนฝั่งขวามือเป็นกระจกเงา แบ่งช่องการใช้งานเป็นที่วางของและมีลิ้นชักใส่ Accessory เช่นกัน
แบบที่ยกมาให้ดูแบบสุดท้ายคือ 1 bedroom ขนาดที่เล็กที่สุดของโครงการ คือ Type 1A ขนาด พื้นที่ห้องขนาด 27.5 ตารางเมตร รูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมหน้าแคบ การแบ่งพื้นที่จะปกติ ไม่หวือหวาเหมือนกับแบบ 34.75 ตารางเมตรของห้องตัวอย่างแบบแรก โดยเข้าไปในห้องจะเจอกับส่วนพื้นที่นั่งเล่น ด้านในเป็นครัวแบบเปิดที่มีโต๊ะทานข้าวแบบ 2 ที่นั่งวางไว้ข้างๆ ด้านในสุดเป็นประตูบานเลื่อนเปิดออกไปยังระเบียง ทางขวามือก็จะเป็นประตูเข้าห้องนอนที่มีห้องน้ำในตัว แต่ส่วนห้องนอนจะไม่มีระเบียง มีแต่หน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดได้ทั้งบานรับลมเต็มๆแทน
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 14 May 2016
- 1 Bedroom 27.5 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท หรือ 145,000 บาทต่อตารางเมตร
- 1 Bedroom 34-36 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น n/a ล้านบาท
- 2 Bedrooms 46.25 – 50.25 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น n/a ล้านบาท
- Fully Fitted
- เพดานสูง 2.7 เมตร
- Kitchen & Sink
- Hob & Hood
- จอง แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 27.5 ตารางเมตร 30,000 บาท
- จอง แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 34-36 ตารางเมตร 50,000 บาท
- จอง แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 46.25-50.25 ตารางเมตร 80,000 บาท
- ทำสัญญา n/a บาท
- ดาวน์ 15% ผ่อน ดาวน์ 31 งวด
- ค่ากองทุน 600 บาทต่อตารางเมตร
- ค่าส่วนกลาง 70 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ
ทำเลโครงการ The line อโศก-รัชดา อยู่บนถนนดินแดง ใกล้แยกพระราม9 ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องรถติดมาก เนื่องจากเป็นทางระหว่างรัชดาและอโศกรวมถึงจากดินแดงไปพระราม9 ซึ่งเป็นทางสายหลักทั้งหมด นอกจากนั้นก็ยังเป็นที่เล่าขานเรื่องความเป็น New-CBD ของพื้นที่เนื่องจากมีอาคารสำนักงานเปิดใหม่เยอะ ตั้งแต่ G land tower, ตลาดหลักทรัพย์, AIA รวมถึงที่มีข่าวออกมาอย่าง Super tower และมีศูนย์การค้าอยู่ในรัศมี 1 กิโลเมตรอย่าง Central พระราม9, Tesco lotus และ Esplanade มีขนส่งมวลชนเข้าถึงทั้ง MRT และ APL มีคอนโดมิเนียมทั้งสร้างเสร็จและกำลังก่อสร้างเป็นที่อยู่อาศัยภายในพื้นที่สำหรับคนทำงานอยู่นับ 10 แห่ง
การเดินทางโดยใช้รถ เนื่องจากโครงการสามารถเข้า-ออกได้จากถนนดินแดงที่เป็นถนนใหญ่ ฝั่งมุ่งหน้าไปทางแยกพระแม่ฟาติมาหรือดินแดงได้ง่าย แต่การกลับรถไปฝั่งตรงข้ามหรือทางแยกพระราม9 เพื่อไปทางรัชดาหรืออโศกจะทำได้ยาก เนื่องจากจะต้องไปวนรถที่แยกพระแม่ฟาติมาเข้าถนนจตุรทิศที่เป็นทาง One-way เพื่อวนเข้ามาทางถนนรัชดาภิเษกมุ่งหน้าแยกพระราม9 และก็สามารถขึ้นทางด่วนไปทางบางนาได้เลย ยกเว้นแต่ว่าทางกลับรถใต้สะพานข้ามแยกหน้าโครงการจะใช้งานได้ ก็จะสามารถร่นเวลาและระยะทางได้ดี จะทำให้ตรงไปพระราม9 แถว RCA หรือเลี้ยวซ้ายเข้ารัชดาได้ง่าย ทางขึ้น-ลงทางด่วนมีในระยะประมาณ 1 กิโลเมตรทั้งหมด แต่จะทางขึ้นทางด่วนจะค่อนข้างซับซ้อนหน่อย แต่ทางลงจากอนุสาวรีย์สามารถลงที่ถนนรัชดามุ่งหน้าแยกพระราม9 ได้เลย
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ อยู่ในระยะ 300 เมตรจาก MRT พระราม9 ทางออกที่ 1 แต่ต้องเดินข้ามทางม้าลายที่แยกพระราม9 นิดหน่อย โดยตัวทางออกจะอยู่หน้าโรงแรม Grand mercure fortune โดยสามารถใช้ทางใต้ดินเชื่อมเดินไปถึง Central พระราม9 ได้เลย และ APL ใกล้ที่สุดคือสถานีมักกะสันในระยะ 800 เมตร ใกล้กับสถานี MRT เพชรบุรี ไม่แนะนำให้เดินนะคะ เนื่องจากต้องเดินตัดทางขึ้น-ลงทางด่วนที่รถค่อนข้างใช้ความเร็ว และเนื่องจากโครงการติดถนนใหญ่ทำให้เรียกแท๊กซี่ได้ง่าย มีพี่วินอยู่ตรง Amsterdam
การออกแบบโครงการแบ่งออกเป็น 2 อาคารคืออาคารพักอาศัยสูง 38 ชั้น และอาคารจอดรถ 9 ชั้นพร้อมชั้นใต้ดิน ทำให้อาจจะมีความไม่สะดวกในการขนของต่างๆเท่ากับแบบที่มีพื้นที่จอดรถภายในอาคารเดียวกัน แต่ก็จะมีทางเชื่อมให้เพื่อเข้ามา Lobby ที่มีความสูง 6.9 เมตรและมีบันไดขึ้นไปยังชั้น M และเมื่อแยกอาคารจอดรถทำให้มีห้องพักตั้งแต่ชั้น 2 ไปจนถึงชั้น 38 และแบ่งพื้นที่ชั้นกลางๆของชั้น 23-24-25-26 เป็นพื้นที่ Facility ส่วนหน้าโครงการ ซึ่งจะได้วิวเมืองที่สวยงาม ไม่มีตึกสูงในระยะใกล้ แต่ก็มีบ้างในระยะ 300 เมตร นอกจากนั้นก็จะมีที่ชั้น 38 และดาดฟ้าที่จะเป็นพื้นที่สีเขียว ภายในอาคารพักอาศัยจะมี 17 ยูนิตที่เป็นจำนวนสูงสุดในชั้นซึ่งไม่หนาแน่นมากนัก
แบบห้องจะมีทั้งหมด 3 แบบคือแบบ 1 ห้องนอนขนาด 27-28 ตารางเมตร ซึ่งแบบนี้ก็จะมีจำนวนยูนิตน้อยและการออกแบบไม่หวือหวา จำนวนยูนิตจะมาเยอะที่แบบ 1 ห้องนอนขนาด 34-36 ตารางเมตร และแบบ 2 ห้องนอนประมาณ 1 ยูนิตต่อ 1 ชั้น ซึ่งการออกแบบห้องดีตรงที่รายละเอียดในงานออกแบบอย่างการที่มีหน้าต่างบานใหญ่เปิดข้างเหมือนบานกระทุ้ง องศาไม่มากทำให้ลมเข้ามาหมุนเวียนในห้องได้ดี มีประตูเปิดเข้าระเบียงได้ทั้งสองทาง และมีงาน Built-in ที่ออกแบบได้ตอบสนองต่อการใช้งาน มีการแบ่งช่องได้ละเอียด มีการเก็บ Compressor air ได้เรียบร้อยภายในพื้นที่ที่จำกัด
ความสูงของห้องอยู่ที่ 2.7 เมตร พื้นห้องส่วนครัว ส่วนห้องน้ำ ส่วนระเบียงจะปูด้วยกระเบื้องเซรามิกขนากต่างๆเพื่อการทำความสะอาดที่ง่าย และส่วน Living และห้องนอนจะปูด้วยไม้ลามิเนตหนา 12 มิลลิเมตร ผนังเป็นฉาบปูนเรียบทาสีขาว ส่วนเฟอร์นิเจอร์จะได้เป็นแบบ Fully fitted ที่ได้ครัว ได้ห้องน้ำ เหมือนภายในห้องตัวอย่าง โดยเกือบจะทุกๆส่วนจะเป็นงาน Built-in อย่างครัวจาก Mex ได้อ่างล้างจาน, Hob and hood ส่วนเครื่องไฟฟ้าจะไม่ได้ ได้ตู้เก็บของ สุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำจาก Cotto และกรอบหน้าต่าง กรอบประตูเป็นอลูมิเนียม มี Home-automation ในการเปิดปิดไฟ Downlight และแอร์ทุกตัวมาให้ด้วย
สาธารณูปโภค จะเริ่มตั้งแต่ Lobby ที่ชั้น 1 สูง 6.9 เมตร มีบันไดวนขึ้นไปยังชั้น M ที่มี Terrace garden ภายในอาคารพักอาศัยมีลิฟท์โดยสาร 3 ตัว มี Service lift 1 ตัว ทำให้อัตราส่วนการใช้งานอยู่ที่ 157:1 มี Main facility อยู่ที่ชั้น 23-24-25-26 โดยสามารถเข้าถึงได้จากชั้น 24-25 โดยจะมีบันไดเชื่อมขึ้น-ลงไปถึงอีกสองชั้นที่เหลือที่พื้นที่ส่วนกลาง ชั้น 24 มีสระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาด 5 x 30 เมตร มีสระเด็กและ Jacuzzi และรอบๆสระจะมีทางเดินเชื่อมไปที่ส่วนพื้นที่นั่งเล่นแบบ Outdoor ส่วนต่างๆรวมถึงบันไดลงไปยัง Lower terrace ที่ชั้น 23 ข้างสระมีห้องน้ำและภายในห้องน้ำมี Steam room ข้างๆมีบันไดขึ้นไปยังห้องฟิตเนส และขึ้นบันไดอีกทีไปยังพื้นที่สีเขียวเหนือฟิตเนส พื้นที่ส่วนกลางจะมีอีกทีที่ชั้น 38 ที่เป็น Lounge และ Rooftop ที่เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ นอกจากนั้นก็จะมีอาคารจอดรถสูง 9 ชั้นพร้อมชั้นใต้ดิน สามารถจอดรวมซ้อนคันได้ 226 คัน หรือ 48% ซึ่งมีลิฟท์โดยสารภายในให้ 2 ตัว
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับราคา 160,000 บาท/ตร.ม., 14 May 2015
- ทำเล 8/10 – ความอุดมสมบูรณ์ดี ติดถนนใหญ่ดินแดง
- เดินทางด้วยรถ 7.25/10 – ใกล้แยกพระราม9 ต้องไปกลับรถที่แยกพระแม่ฟาติมา แต่ถ้าใช้ U-turn หน้าโครงการได้จะดีมาก
- ไม่ใช้รถ 8/10 – ระยะ 300 เมตรถึง MRT พระราม9 แต่ต้องข้ามถนนตรงแยกพระราม9 ที่เป็นถนนใหญ่ 800 เมตรถึง APL มักกะสัน
- วัสดุ 7.5/10 – Fully fitted ให้ Built-in ค่อนข้างเยอะ ได้แอร์ ห้องครัว ห้องน้ำ
- แบบ 7.5/10 – ส่วนใหญ่เป็น 1 ห้องนอนขนาด 34-36 ตร.ม. มี semi-outdoor
- สาธารณูปโภค 7.25/10 – มีอาคารจอดรถ 9 ชั้นแยก และมี Facility ครึ่งชั้น 4 ชั้นต่อเนื่องชั้น 23-26
- LUXURY CLASS
- 7.68 / 10.00
BOTTOM LINE
The Line อโศก-รัชดา เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดใกล้ MRT ใจกลางเมืองย่านพระราม9 หรือคนที่ทำงานในทำเลพระราม9-รัชดา-อโศกหรือคนที่ใช้ MRT เป็นหลัก ชื่นชอบแบรนด์และพื้นที่ Facility ครบครัน โดยมีงบประมาณระดับ 4 ล้านขึ้นไป หรือมีกำลังผ่อนตั้งแต่ 28,000 บาท/เดือนขึ้นไป
ถ้ามีความเห็นว่ารีวิวตัวนี้มีประโยชน์ ช่วยกด LIKE ให้หน่อยนะคะ จะได้มีกำลังใจในการทำรีวิวต่อไป
สมัครสมาชิกพร้อมรับข่าวสารเพิ่มเติม (คลิกที่นี่ )