รีวิวตึกเสร็จ The Line อโศก – รัชดา คอนโด High Rise ห่างจาก MRT สถานี พระราม 9 300 เมตร จาก แสนสิริ [รีวิวฉบับที่ 1884]

รีวิวฉบับที่ 1884 .. แยกพระราม 9 จัดเป็นหนึ่งในแยกสำคัญของกรุงเทพฯ เพราะรายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงานต่างๆมากมาย… The Line อโศก – รัชดา คอนโด High Rise 38 ชั้น ที่พึ่งสร้างเสร็จไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ตั้งอยู่ใกล้แยกพระราม 9 ห่างจาก MRT พระราม 9ประมาณ 300 เมตร เป็นอาคาร Smart Building โครงการแรกของแสนสิริ ภายในนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาอำนวยความสะดวกมากมาย ในราคาเริ่มต้น 5.79 ล้านบาท ตามผมเข้าไปดูรายละเอียดภายในกันเลยครับ

Fact @ 30 May 2019

  • The Line Asoke – Ratchada (เดอะ ไลน์ อโศก – รัชดา)
  • บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
  • LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่: ถนนดินแดง เขตดินแดง
  • คอนโด High Rise 38 ชั้น 473 ยูนิต
  • อาคารจอดรถ 9 ชั้นพร้อมชั้นใต้ดิน 1 ชั้น
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 17 ยูนิต
  • ที่จอดรถรวมจอดซ้อนคันประมาณ 226 คันคิดเป็น 48%
  • ที่ดินประมาณ 2-2-0 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง : ธันวาคม 2016
  • แล้วเสร็จ : ตุลาคม 2018
  • 1 Bedroom 27.5 ตารางเมตร จำนวน 59 ยูนิต
  • 1 Bedroom 34-36 ตารางเมตร จำนวน 382 ยูนิต
  • 2 Bedrooms 46.25 – 50.25 ตารางเมตร จำนวน 32 ยูนิต
  • ฝ้าเพดานสูง 2.7 เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้น 5.79 ล้านบาท (ห้อง 1 Bedroom 34.75 ตร.ม.)
  • ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ AVERAGE ประมาณ 170,000 บาท/ตร.ม.
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • Call Center : 1685

สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างครับ


เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

พิกัด Google Maps : 13.755741, 100.563186
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่ 

แผนที่จากทางโครงการครับ

ก่อนอื่นเลยขอพูดถึงทำเลแยกพระราม 9 กันสักนิดนะครับ.. บริเวณนี้จัดเป็นพื้นที่ที่เรียกกันว่าเป็น New-CBD (new-central business district) แห่งใหม่ของกรุงเทพ เนื่องจากในระยะ 1 กิโลเมตร จากแยกพระราม 9 มีคอนโด High Rise จากหลาย Developer ขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งที่สร้างเสร็จเข้าอยู่เรียบร้อยแล้วและยังอยู่ในช่วงขั้นตอนการก่อสร้าง แถมแถวนี้ยังมีอาคารสำนักงานขนาดใหญ่หลายแห่งรายล้อมในพื้นที่ เช่น CP tower II, U Place, True Tower, ตลาดหลักทรัพย์, AIA capital Center, G Land Tower สถานฑูตจีน และอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนั้นแยกพระราม 9 ยังเป็นจุดที่เชื่อมต่อจากย่านอโศกที่มีความหนาแน่นของอาคารสำนักงานสูง ไปยังรัชดาฯ ซึ่งก็เป็นย่านแหล่งงานสำคัญอีกเช่นกัน แถมยังเชื่อมไปยังอนุสาวรีย์ชัยฯ ที่เป็นอีกจุดสำคัญของการเดินทางในกรุงเทพ และฝั่งพระราม 9 รามคำแหง ได้สะดวกอีกด้วย

ที่ตั้งของโครงการ The Line อโศก-รัชดา ตั้งอยู่บนถนนดินแดงฝั่งมาจากแยกพระราม9 มุ่งหน้าไปแยกสามเหลี่ยมดินแดงที่จะไปตัดกับถนนวิภาวดีรังสิต ห่างจากแยกพระราม 9 ประมาณ 150 เมตร โดยหน้าโครงการจะมีสะพานข้ามแยกพระราม 9 และใต้สะพานข้ามแยกมีจุด U-turn 2 จุด ซึ่งเราระหว่างสองจุดนี้พอดี เป็นระยะที่สามารถเบี่ยงเข้าโครงการได้ หรือออกจากโครงการแล้วก็สามารถยูเทิร์นไปยังทางแยกพระราม 9 ได้เลย เพราะวันที่ผมไปโครงการก็เห็นทั้งรถเข้าและออกลักษณะนี้หลายคันเหมือนกันครับ จะมีพี่รปภ.คอยโบกและดูแลความปลอดภัยให้อยู่ตลอดเวลาไม่ต้องห่วง

สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวถือว่าค่อนข้างสะดวก ทำเลนี้เดินทางได้ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งอโศก, รัชดาฯ, อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, และฝั่งพระราม 9 แถมยังใกล้กับจุดขึ้น-ลงทางด่วน

  • ถ้าจะขึ้นทางด่วนกลับไปทางทิศเหนือก็จะมีที่ข้างๆถนนจตุรทิศและข้างคอนโด Rhythm Asoke II บนถนนอโศก-ดินแดง
  • ถ้ามาจากทางทิศเหนือจะมาลงที่ข้างคอนโด Chewathai Residence Asoke บนถนนอโศก-ดินแดง จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายเข้าแยกพระราม 9 เข้าช่องซ้ายผ่านตลอดเข้าโครงการได้เลย
  • ส่วนทางขึ้นทางด่วนไปทางตะวันออกต่อหรือไปทางสุวรรณภูมิ จากพื้นที่โครงการจะต้องเลี้ยวซ้ายเข้าถนนดินแดง เลี้ยวซ้ายที่แยกพระแม่ฟาติมา แล้วเลี้ยวซ้ายอีกทีเข้าถนนจตุรทิศ จะมีด่านมุ่งหน้าขึ้นไปทางบางนา
  • ส่วนทางลงถ้ามาจากทางตะวันออกจะมีทางลงอยู่ที่แถวตึก KPN

นอกจากนั้นพื้นที่จอดรถภายในโครงการก็จัดมาให้เป็นอาคารจอดรถแยก 9 ชั้น และมีชั้นใต้ดิน 1 ชั้น รวมจอดซ้อนคันประมาณ 226 คันคิดเป็น 48% ซึ่ง The Line อโศก-รัชดา เป็นโครงการใกล้แนวรถไฟฟ้าบวกกับที่ผมเองได้เดินเข้าไปดูและสอบถามมา พื้นที่จอดรถยังไม่เคยเต็ม เหลือให้ใช้งานครับ

สำหรับใครที่ถนัดเดินทางสาธารณะก็ถือว่าสะดวกเช่นกัน เพราะมีระยะจากสถานี MRT พระราม 9 อยู่ที่ 300 เมตร จุดที่ใกล้ที่สุดจะมีสองที่คือประตูทางออกหมายเลข 1 ที่อยู่บนถนนรัชดาฯ หน้าโรงแรม Grand Mercure ในพื้นที่ของ Fortune Town และประตูทางออกหมายเลข 3 ที่หน้าตึก G Land Tower มีระยะทางพอๆกัน อีกอย่างคือจะมีสถานี Airport Rail Link มักกะสัน ห่างจากตัวโครงการประมาณ 800 เมตร เดินทางต่อไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิได้สะดวกไม่ต้องกังวลรถติด นอกจากรถไฟฟ้าแล้ว การสัญจรสาธารณะบนท้องถนนก็ถือว่าสะดวกเช่นกัน เพราะเป็นโครงการติดถนนใหญ่ เริ่มที่เยื้องๆโครงการประมาณไม่ถึง 50 เมตร จะมีป้ายรถประจำทางให้บริการ ส่วนพี่วิน และแท็กซี่ ก็มีผ่านไปมาตลอด หรือจะให้ รปภ. ของโครงการช่วยเรียกให้รอด้านล่างก็ได้ครับ

ส่วนเรื่องความอุดมสมบูรณ์รอบโครงการ ทางฝั่งซ้ายและขวาของโครงการจะไม่มีอะไรที่น่าสนใจมากนักเพราะช่วงทางเท้าค่อนข้างแคบ ถ้าจะพอมีบ้างคือต้องข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม จะมีตลาดอยู่เจริญเป็นตลาดสดให้จับจ่ายใช้สอยกันได้ ข้างๆมีร้านอาหารและ 7-eleven ให้บริการบ้าง แต่โดยหลักๆแนะนำให้ไปบนถนนรัชดาช่วงใกล้แยกพระราม 9 มากกว่า จะมีทั้ง Fortune Town ที่มีโรงแรม Grand mercure, CP tower 2 จนถึง Tesco Lotus แต่ถ้าอยากข้ามไปฝั่งตรงข้ามก็จะมี Central พระราม 9 มีชั้น IT มีร้านเสื้อผ้า ร้านอาหารมากมาย ซึ่งล้วนแต่อยู่ในระยะที่สามารถเดินได้นะครับ นอกจากนั้นในพื้นที่ใกล้เคียงยังมีอาคารสำนักงานอีกค่อนข้างเยอะไม่ว่าจะเป็น True Tower, AIA Capital Center และตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงอาคาร G land tower ที่หัวมุมถนน และอื่นๆอีกมากมาย ใครที่กำลังมองหาที่พักอาศัยใกล้ที่ทำงานในระแวกนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว

วันนี้ผมจะพาทุกคนเดินทางไปโครงการจากรถไฟฟ้ามหานคร MRT สถานีพระราม 9 ซึ่งจริงๆ แล้วสามารถไปได้จากหลายประตูทางออกเหมือนกัน (ประตูทางออกหมายเลข 1 จะมีระยะทางพอๆกัน โผล่ขึ้นมาทางฝั่งอาคาร Fortune Town) แต่วันนี้ผมเลือกประตูทางออกหมายเลข 3 เพื่อที่จะได้เห็นบรรยากาศของแยกพระราม 9 และ พื้นที่รอบข้างของโครงการได้ชัดเจนยิ่งขึ้นนะครับ

เริ่มต้นที่เราออกมาที่ประตูทางออกหมายเลข 3 จากนั้นหันหลังมุ่งหน้าไปทางแยกพระราม 9 เดินข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามจะมีระยะทางอยู่ที่ประมาณ 120 เมตร จากนั้นเลี้ยวขวาแล้วข้ามถนนไปยังฝั่งถนนดินแดง เดินมุ่งหน้าไปยังแยกดินแดงต่ออีกประมาณ 200 เมตร ก็จะพบตัวโครงการอยู่ทางซ้ายมือแล้วครับ

วันนี้เราเริ่มต้นกันที่ MRT สถานีพระราม 9 ออกมาที่ประตูทางออกหมายเลข 3 ครับ เมื่อเดินออกมาจากสถานีให้เราตบเท้ากลับหลังหันเลย แล้วเดินย้อนมุ่งหน้าไปทางแยกพระราม 9

ทางเดินค่อนข้างกว้าง มีต้นไม้ให้ร่มเงาเป็นแนวตลอดทางเดิน

จากตรงนี้เราก็มองเห็นโครงการของเราเลยนะ

เมื่อเดินมาถึงแยก ให้ข้ามทางม้าลายไปยังฝั่งตรงข้ามก่อนนะ เพื่อที่จะเข้าสู่ถนนดินแดง บริเวณนี้รถจะซ้ายผ่านตลอด ต้องเดินระวังหน่อยนะครับ

เนื่องจากแยกพระราม9 เป็นแยกใหญ่ บริเวณนี้จึงเป็นทางม้าลายสองช่วง ให้เราข้ามไปพักตรงกลางก่อน จากนั้นค่อยข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามอีกที

รถจะเยอะเหมือนกัน ส่วนใหญ่แล้วมอเตอร์ไซค์จะจอดเลยทางม้าลายกันมาสักหน่อย เดินซอกแซกหลบเอาละกันเนอะ

เมื่อเราเดินข้ามมาแล้วจะมีระยะทางอยู่ที่ประมาณ 120 เมตร จากประตูทางออกหมายเลข 3 จากนั้นให้ขวาหัน แล้วข้ามไปยังอีกฝั่ง ซึ่งจะเป็นถนนดินแดงครับผม บริเวณนี้ก็เป็นทางม้าลายสองช่วงเช่นกัน

เมื่อข้ามช่วงแรกมาแล้ว ต้องระวังนิดนึงสำหรับพื้นที่ของช่วงที่สอง เพราะเป็นซ้ายผ่านตลอด

หลังจากข้ามมาแล้ว ให้เราเดินต่อไปทางขวามือ เข้าสู่ถนนดินแดงไปเลย

เมื่อเดินเข้ามาบนถนนดินแดง ทางเท้าจะเหลือค่อนข้างเล็ก ประมาณ 1 เมตร เดินระวังนิดนึงนะครับ เพราะรถก็มาเร็วเหมือนกัน

เดินต่อไปบนนถนนดินแดงฝั่งมุ่งหน้าไปยังแยกดินแดง ด้านข้างมีไซต์ก่อสร้างล้อมรั้วอยู่นะ

เดินมาจากแยกพระราม 9 อีกประมาณ 200 เมตร ก็จะเห็นโครงการ The Line อโศก – รัชดา อยู่ทางซ้ายมือครับ

มาดูแผนที่รอบๆ โครงการกันบ้าง หลักๆเลยคือตัวอาคารถือเป็นอาคาร High Rise ที่จัดว่าสูงกว่าเพื่อนๆส่วนใหญ่ในย่านนี้ มีลักษณะเป็น 4 เหลี่ยมผืนผ้า ตั้งตามแนวทิศเหนือใต้ รับวิวฝั่งทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเป็นหลัก การเป็นโครงการติดถนนใหญ่จะได้เปรียบเรื่องของการเข้าออกที่ง่าย เรียกรถสาธารณะสะดวก แต่จะได้ผลกระทบเรื่องเสียงและฝุ่นในชั้นล่างๆเช่นกัน โดยเฉพาะทางฝั่งที่ติดถนนใหญ่ เรื่องมุมมองต้องยอมรับว่ามีแนวอาคารสูงบล็อคเกือบจะทุกฝั่ง (นับโครงการที่กำลังก่อสร้างอยู่ด้วยนะ) แต่มุมสูงก็ยังได้วิวอยู่เหมือนกัน ลองดูรายละเอียดแต่ละฝั่งกันครับ เริ่มที่มุมมองระยะไกล จากนั้นจะพาเดินดูพื้นที่รอบๆโครงการครับ

มุมมองทิศเหนือจากชั้นดาดฟ้าของโครงการ – จะเห็นวิวที่ค่อนข้างโล่ง ซึ่งจะเป็นฝั่งทางด้านหน้าโครงการ ติดถนนดินแดง แต่ไม่ใช่วิวหลักของห้องพักอาศัยภายในโครงการ เพราะมีเพียงชั้นละ 2 ห้องเท่านั้นที่จะได้รับวิวนี้ ส่วนด้านล่างติดกับถนนดินแดง และทางยกระดับของถนนพระราม 9 จึงจะได้รับผลกระทบเรื่องเสียงและฝุ่นอยู่เหมือนกัน

มุมมองทิศตะวันออกจากชั้นดาดฟ้าของโครงการ – เป็นหนึ่งในสองทิศที่เป็นวิวหลักของห้องพักอาศัยภายในโครงการ โดยฝั่งนี้จะได้วิวแยกพระราม9 ตั้งแต่โรงแรม Grand Mercure Fortune, ตึก G Land Tower ไปจนถึงคอนโด Condolette Midst และคอนโด Ideo Mobi พระราม 9 ซึ่งในอนาคตวิวฝั่งด้านนี้จะมีโครงการ Ashton อโศก-พระราม 9 2 อาคาร 46 และ 50 ชั้น ที่กำลังก่อสร้างกันอยู่ คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563 ซึ่งจะมีระยะค่อนข้างชิดกับตัวโครงการ น่าจะบังวิวไปเยอะเหมือนกัน ส่วนด้านข้างเยื้องๆจะมีอาคาร Life อโศก-พระราม9 ที่กำลังก่อสร้างเช่นกันครับ

มุมมองทิศใต้จากชั้นดาดฟ้าของโครงการ – จะมีอาคาร Life อโศก-พระราม9 2 อาคาร 42 และ 46 ชั้น จากค่าย AP  ที่กำลังก่อสร้างอยู่ เป็นอาคารใหญ่ 2,000 กว่ายูนิต ซึ่งโชคดีที่ไม่ใช่ทิศหลักของโครงการเรา มีห้องพักอาศัยหันไปทางฝั่งนี้เพียงชั้นละ 2 ห้อง ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ได้โดนบล็อคเต็มๆซะทีเดียว มีระยะห่างพอสมควรและยังมีฝั่งทิศตะวันตกเฉียงใต้เห็นวิวถนนจตุรทิศค่อนข้างโล่งอยู่นะ

มุมมองทิศตะวันตกจากชั้นดาดฟ้าของโครงการ – ซึ่งเป็นอีกทิศที่เป็นวิวหลักของโครงการ วิวฝั่งตะวันออกนี้ปัจจุบันจะอาจจะดูแล้วยังโล่งอยู่นะ แต่จริงๆมีโครงการ Knightbridge Space Rama9 โครงการ High Rise 27 ชั้น ที่อยู่ติดกับโครงการเราเลยกำลังก่อสร้างอยู่นะครับ นอกนั้นจะมีแค่อาคาร ICC tower อยู่เยื้องๆในระยะประมาณ 200 เมตร และทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะเป็น APL มักกะสันที่เป็นวิวโล่งๆ

ลงมาดูพื้นที่รอบโครงการในระยะประชิดรอบๆกันบ้างครับ เพราะที่ตั้งอยู่การอยู่ติดถนนใหญ่ และใกล้กับช่วงกลับรถ พื้นที่หน้าโครงการจึงมีพี่รปภ.คอยดูแลเรื่องรถเข้าออกให้ตลอด ช่วยให้อุ่นใจเรื่องความปลอดภัยและสะดวกขึ้นเยอะเลย

ไปดูฝั่งขวาของตัวโครงการกันก่อนนะครับ มุ่งหน้าไปทางแยกดินแดงนั้นเอง ฝั่งตรงข้ามโครงการจะเป็นพื้นที่ใต้สะพานยกระดับ ซึ่งก็ปูพื้น ติดไฟ และมีต้นไม้ประดับไว้สวยงาม

มาดูฝั่งของโครงการเรากันบ้าง จะมีแนวทางเดินที่ค่อนข้างแคบ เหมือนกับที่เราเดินมากันนั่นแหละ เรียบตลอดแนวรั้วโครงการซึ่งจะเป็นรั้วโปร่งทำให้ภายในมีลมพัดผ่านเข้าไปถึง แต่ก็ยังช่วยบังสายตาจากระยะไกลได้นะ เดินเลยมาประมาณ 20-30 เมตร ก็จะพบกับพื้นที่กลับรถ ซึ่งเราสามารถออกจากโครงการแล้วกลับรถไปยังแยกพระราม 9 จากจุดนี้ได้เลย รถคันในรูปก็ออกมาจากโครงการเรา แต่อาจจะต้องดูรถดีๆหน่อย เพราะรถมาค่อนข้างเร็ว หรือบอกพี่รปภ. ว่าเราจะกลับรถ เขาจะช่วยดูให้นะครับ

ติดตัวโครงการจะเป็นพื้นที่ซอยแคบๆ ซึ่งเป็นซอยตัน ไม่ได้มีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่นี้

ข้างๆซอยจะมีป้ายรถประจำทางและอาคารตึกแถว 4 ชั้นริมถนนดินแดง ด้านหลังจะค่อนข้างโล่งครับ

เดินต่อมาก็จะมีร้านค้า ซ่อมมอเตอร์ไซค์ ร้านอาหารบ้าง ตามแนวตึกแถว แต่ทางเดินยังคงแคบเหมือนเดิมนะ

มีร้านอาหารให้มาใช้บริการกันได้ใกล้ๆนะครับ

ถัดมาเป็นไซต์ก่อสร้างของโครงการที่พักอาศัยที่จะขึ้นในอนาคตครับ มีการล้อมรั้วไว้กำลังก่อสร้าง

ย้อนกลับมาที่หน้าโครงการของเรากัน ฝั่งตรงข้ามจะเป็นแนวตึกแถว ซึ่งร้านค้าร้านอาหารจะเยอะกว่าฝั่งนี้ มีทั้งตลาดสด ร้านสะดวกซื้อ 7-eleven ร้านอาหารต่างๆ สามารถเดินข้ามไปใช้บริการได้ไม่ยาก

ส่วนอีกฝั่งของโครงการ ทางแยกพระราม 9 ที่เราเดินมาก็จะเห็นกันไปบ้างแล้ว แต่ที่ผมอยากจะบอกคือฝั่งนี้มีจุดกลับรถอีกจุดครับ ซึ่งถ้าหากเรามาจากฝั่งอนุสาวรีย์ฯ ก็สามารถกลับรถเข้าโครงการได้เลย แต่ต้องรอจังหวะดีๆหน่อยนะครับ จะมีช่วงรถว่างให้เราสามารถกลับแล้วตัดเข้าโครงการได้เหมือนกัน

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • Grand Mercure fortune – 200 เมตร
  • G land tower – 250 เมตร
  • MRT พระราม9 – 300 เมตร
  • Fortune town – 300 เมตร
  • Central พระราม 9 – 400 เมตร
  • โรงพยาบาลผิวหนังอโศก – 450 เมตร
  • Tesco Lotus – 650 เมตร
  • Airport Link มักกะสัน – 800 เมตร
  • MRT เพชรบุรี – 900 กิโลเมตร
  • สถานฑูตจีน – 1 กิโลเมตร
  • True tower – 1.1 กิโลเมตร
  • ตลาดหลักทรัพย์ – 1.1 กิโลเมตร
  • AIA capital center – 1.2 กิโลเมตร
  • Esplanade รัชดา – 1.4 กิโลเมตร
  • โรงพยาบาลจักษุรัตนิน – 4.2 กิโลเมตร (ระยะรถ)
  • โรงพยาบาลพระราม 9 – 4.5 กิโลเมตร (ระยะรถ)


เจาะลึกตัวโครงการ

มาดูผังชั้น Masterplan กันก่อนเลย อย่างที่บอกไปว่าตัวโครงการของเรามีลักษณะพื้นที่เป็นตัว L แต่เนื่องจากแยกอาคารจอดรถ 9 ชั้น ออกไปชั้นเจน (บริเวณปลายตัว L) จึงทำเหลือพื้นที่สำหรับวางอาคารหลักเป็นตัว I ตั้งตามแนวทิศเหนือใต้ รับวิวส่วนใหญ่ทางฝั่งทิศตะวันออกและทิศตะวันตก

การขับรถและการจอดรถภายในโครงการ – โครงการนี้มีอาคารจอดรถ 9 ชั้น และชั้นใต้ดิน 1 ชั้นแยกที่ด้านในพื้นที่โครงการ ภายในมีลิฟต์โดยสารให้บริการ 2 ตัว ทำให้การเดินรถภายในโครงการจะง่าย ไม่ซับซ้อน เป็นการเดินรถสวนกันอ้อมแนวอาคาร เข้าและออกทางเดียวกัน บนพื้นที่อาคารจอดรถก็เดินรถสวนกันเช่นกัน โดยข้อดีของการแยกอาคารคือจะช่วยทำให้จัดการรถภายในได้ง่าย เป็นสัดส่วน ดูแลรักษาความปลอดภัยภายในได้ดีขึ้น เพราะจะมีรปภ.แยกเป็น 2 จุด นอกจากนั้นก็มีส่วนจอดรถใต้อาคารด้วยสำหรับ Visitor ประมาณ 15 คัน และรถ Ev Charging 4 คัน (มีรถจากทางโครงการแล้ว 2 คัน เหลือที่จอด 2 คันให้บริการ) ทั้งโครงการมีที่จอดรถรวมจอดซ้อนคันประมาณ 226 คันคิดเป็น 48% ซึ่งโครงการนี้อิงแนวรถไฟฟ้าและจากที่ผมไปสอบถามและเห็นพื้นที่จริงมา พื้นที่จอดรถภายในค่อนข้างว่างนะครับ มีให้บริการแน่นอน

พื้นที่ส่วนกลาง – ด้านหน้าโครงการใช้ระยะ Set Back จากถนนดินแดง ทำเป็นพื้นที่ Drop Off ใช้งานได้สะดวก และสวนด้านข้างทำหน้าที่เป็นพื้นที่รับสายตาของการเข้าออกและเป็นวิวให้กับ Lobby ภายในด้วย ส่วนพื้นที่ภายใน Lobby ก็มีขนาดค่อนข้างกว้าง จัดออกเป็นหลายพื้นที่ตามลักษณะการใช้งาน ที่พิเศษคือมีบันไดวนขึ้นไปยังพื้นที่ชั้นลอยด้านบนซึ่งจะมีพื้นที่ห้องพักอาศัย และพื้นที่ส่วนกลางให้บริการอีกด้วย อีกอย่างที่สำคัญของ Lobby คือจะมีทางเข้าออก 2 ทาง อีกทางคือจากฝั่งที่มาจากอาคารจอดรถ ซึ่งจะทำให้สะดวกไม่ต้องเดินอ้อม แถมเข้ามาแล้วก็ใกล้กับตำแหน่งโถงลิฟต์เลยด้วย ภายในโถงลิฟต์จะมี Mail Box และ ห้องซักล้างให้บริการ โดยจะมีลิฟต์โดยสารภายใน 3 ตัว และลิฟต์ขนของ 1 ตัว คิดเป็นอัตราส่วน 157 : 1 ซึ่งถือว่าหนาแน่นเหมือนกันนะครับสำหรับโครงการระดับนี้

โครงการ High Rise 38 ชั้น ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 2 ไร่นิดๆ ออกแบบมาในสไตล์ Modern Luxury เน้นโทนสีเทา ตัดด้วยเส้นสีน้ำเงินเล็กน้อย ซึ่งจะมีชั้นที่เป็นพื้นที่ส่วนกลางเปิดโล่งอยู่ที่ชั้น 24 เกี่ยวข้องกับการโดน Set back ของกฎหมาย จึงทำให้พื้นที่ภายในอาคารส่วนที่เหลือขึ้นไปจะมีพื้นที่เพียงครึ่งเดียว ที่ชั้น 25 และ 26 จะมีห้องออกกำลังกายและสวนภายนอกผสมไปกับห้องพักอาศัยภายในอาคาร ส่วนหลังจากนั้นขึ้นไปจะเป็นห้องพักอาศัยทั้งหมดไปจนถึงชั้น 38 จะเป็นชั้นที่มีห้องพักอาศัยและ Sky Lounge อีกครั้ง ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายที่ลิฟท์จะสามารถไปถึงได้ ส่วน Rooftop จะต้องขึ้นไปด้วยบันได ด้านบนเป็นชั้นพื้นที่สีเขียวแบบ Outdoor รับวิวรอบด้าน

โครงการนี้มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีต่างๆมาใช้ภายในโครงการ เพื่อตอบสนองความสะดวกสบายของลูกบ้านที่มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ในการอำนวยความสะดวก หรือการจัดการดูแลรักษาความปลอดภัยต่างๆภายในโครงการ อาทิเช่น

  • Smart Guest Registration – เป็นระบบที่รองรับสำหรับแขกที่เข้ามาภายในโครงการได้สะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยจะมีขั้นตอนการเข้าโครงการด้วย 2 รูปแบบคือ แบบแรก แขกสามารถรับ QR Code จากลูกบ้านเพื่อสแกนเข้าพื้นที่โครงการได้เลย หรืออีกแบบคือจะเข้ามาเองด้วยการลงทะเบียนผ่านบัตรประชาชนเพื่อเข้าถึงพื้นที่ภายใน
  • Smart Delivery – เป็นระบบที่จะช่วยรับพัสดุเวลาที่ลูกบ้านไม่อยู่ และเชื่อมต่อกับ iBox ในกรณีที่เรากลับบ้านมาแล้วนิติบุคคลกลับไปแล้วก็สามารถเข้าไปรับเองได้ 24 ชั่วโมง โดยใช้รหัส OTP ที่จะส่งเข้ามาให้ใน SMS ตอนที่เรามีพัสดุเข้ามา
  • Smart Wash – ระบบซักล้างแจ้งเตือนสถานะของผ้าที่เรานำมาซักผ่านทาง Application  เพื่อให้สามารถทราบว่าจะเสร็จตอนไหน ควรลงมาเอาตอนไหน และชำระเงินในตัวได้เลย
  • Smart Move – ทางโครงการจะมีรถพลังงานไฟฟ้าให้ลูกบ้านเช่า 2 คัน คือ BMW รุ่น i3s และ HYUNDAI IONIQ Electric พร้อมสถานี EV Changer ให้บริการ
  • Refun Waste Machine – ตู้รับซื้อขยะ จำพวกขวดน้ำ กระป๋อง ซึ่งจะคำนวนเงินตอบแทนให้ หรือจะเลือกบริจาคก็ได้ มีให้สะสมแต้มได้ด้วยนะ
  • หุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ – จะช่วยดูแลสิ่งสกปรกรอบๆ เก็บใบไม้ และ เศษผงบริเวณก้นสระ ซึ่งสามารถทำงานไปด้วยในขณะที่มีคนใช้งานสระว่ายน้ำได้
  • Double Security System – ระบบรักษาความปลอดภัยที่จะส่งข้อมูลต่างๆไปยังพื้นที่กลางของแสนสิริที่จะมีเจ้าหน้าที่ช่วยดูแลอีกที ทั้งภาพจาก CCTV, สัญญาณจากอุปกรณ์ต่างๆ ลิฟต์ ปั๊มน้ำ เครื่องปั่นไฟ และอื่นๆ ทำให้สามารถทราบถึงสภาพอุปกรณ์ และป้องกันความเสี่ยงได้ล่วงหน้า อีกทั้งยังช่วยสอดส่องดูแลพื้นที่ภายในโครงการนอกเหนือจาก รปภ. ของโครงการได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ที่หน้าโครงการมี พี่รปภ.ยืนดูแลรักษาความปลอดภัยและโบกรถให้ตลอดเวลา พื้นภายในโครงการจะเป็นกระเบื้อง ปูสลับสีให้เกิดลวดลายที่สวยงาม เน้นไปที่โทนสีเทาเป็นหลัก

พื้นที่ด้านหน้าสุดนี้จะเป็นส่วนของ Drop Off หน้า Lobby ซึ่งจะมีพื้นที่ให้รถสามารถวนออกได้สะดวก

ภายใต้พื้นที่ Drop Off จะอยู่ใต้ชายคาทั้งหมด ไม่ต้องกลัวแดดร้อนหรือเปียกฝนเลย หลังคาถูกยกสูง จึงทำให้แสงและลมเข้ามาสู่พื้นที่นี่ได้อย่างเต็มที่ ไม่รู้สึกอึดอัด

ส่วนการเดินรถภายในจะต้องเข้าไปทางนี้ทางเดียวนะ โดยจะเป็นการเดินรถแบบสวนกันอ้อมแนวอาคาร แยกทางเข้าและทางออกชัดเจนด้วยรั้วกั้นไม้กระดกอัตโนมัติ ระบบ Keycard Access ระยะไกล หรือที่เราคุ้นเคยกันในแบบ Easy Pass นั่นแหละ ไม่ต้องเลื่อนกระจกลงมาเพื่อทาบบัตรอะไรทั้งนั้น

ภายในส่วนนี้จะมีศาลพระภูมิอยู่ด้วยนะครับ ซึ่งจะเป็นจุดสิ้นสุดของพื้นแบบปูกระเบื้อง ด้านข้างฝั่งใต้อาคารสามารถจอดรถใต้อาคารได้สำหรับ Visitor

บริเวณนี้จะมีสถานี Ev Changer ให้ด้วย พร้อมรถ Smart Move คันแรก BMW i3s สีดำ ชาร์จ 6 ชั่วโมง วิ่งได้ 130 km. ซึ่งจะผูกกับ Sansiri Home Application สามารถใช้ได้ตั้งแต่ 04.00 – 24.00 น. เริ่มที่ 30 นาที ถึง 4 ชั่วโมง คิดค่าใช้จ่ายตามระยะเวลาที่ใช้งานนะ มีบริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง

ต่อเข้าไปภายในเลย ตรงนี้จะมีพื้นที่ให้จอดรถใต้อาคารยาวเป็นแนวไปเลยครับ ส่วนอีกฝั่งจะเป็นแนวรั้วต้นไม้ยาวตลอดแนวโครงการ สังเกตสภาพโครงการปัจจุบัน ต้นไม้จะเริ่มโตให้ร่มเงาและช่วยบังสายตาจากพื้นที่ข้างเคียงได้แล้ว

ถัดมาฝั่งใต้อาคารอีกช่องนึงก็จะมีสถานี Ev Changer อีกจุดเช่นกัน มาพร้อมกับ รถ Smart Move อีกคัน ซึ่งบริเวณนี้จะเป็น HYUNDAI รุ่น IONIQ Electric สีขาว ชาร์จ 7 ชั่วโมง สามารถวิ่งได้ 230 km.

เลี้ยวไปตามทางกันเลยนะครับ ที่มุมเลี้ยวก็จะเว้นพื้นที่สำหรับทำพื้นที่สีเขียวไว้ให้รับสายตา ดูร่มรื่นดีทีเดียว

เมื่ออ้อมมาด้านหลังจะพบกับพื้นที่เลี้ยวเข้าไปยังอาคารจอดรถ และตรงต่อไปจะเป็นทางตัน ไม่ให้รถผ่านไปได้ เราไปดูพื้นที่อาคารจอดรถกันก่อนละกันนะครับ

บริเวณนี้จะมีป้ายบอกจำนวนที่จอดที่เหลืออยู่ภายในอาคารให้ด้วย ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่ไม่ไกลแนวรถไฟฟ้านัก จึงทำให้พื้นที่จอดรถภายในโครงการ ที่มีจำนวนรวมจอดซ้อนคันประมาณ 226 คันคิดเป็น 48% ให้มากลางๆ

ด้านในจะเป็นอาคารจอดรถ 9 ชั้น และชั้นใต้ดินอีก 1 ชั้น มีโถงลิฟต์ให้ภายใน ตกแต่งภายนอกอาคารในสไตล์เดียวกัน

บริเวณนี้จะต้องเข้าออกด้วยรั้วกั้นไม้กระดกอัตโนมัติ ระบบ Keycard Access ระยะไกลเช่นเคย

ด้านข้างมีแนวทางเดินใต้ชายคาให้ด้วย เอาไว้เพื่อความปลอดภัย และในกรณีฝนตกเหมือนวันที่ผมไปนี่แหละครับ

ด้านในจะจำกัดความสูงที่ 2.1 เมตร มาตรฐานสำหรับพื้นที่จอดรถโครงการที่พักอาศัยทั่วไป พื้นที่บริเวณนี้จะสวนกันสำหรับเข้าออก

ด้านข้างมีโถงลิฟต์ที่จะจัดลิฟต์โดยสารมาให้ 2 ตัว มีช่องแสงเปิดรับลมระบายอากาศ มีไฟ Downlight และพื้นปูกระเบื้องให้เรียบร้อย

พื้นที่จอดรถภายในก็เป็นแบบทั่วไป เดินรถสวนกัน พื้นและฝ้าเป็นคอนกรีตฉาบเรียบ ด้านข้างเปิดรับช่องแสงและลมจากภายนอก แต่ก็ยังต้องใช้ไฟส่องสว่างภายในช่วยอยู่ดี

สำหรับทางขึ้นลงจะเป็นแบบสวนกันเช่นเดิม ขนาดพื้นที่ให้มาพอเหมาะครับ

กลับลงมาที่ด้านล่างกันบ้าง ตรงไปดูส่วนด้านในกันครับ

ด้านข้างฝั่งใต้อาคารจะยังคงมีพื้นที่จอดรถอยู่นะ ส่วนอีกฝั่งจะมีแนวทางเดินใต้ชายคาไปยังพื้นที่ถัดไป จะเป็นอะไรไปดูกันครับ

ถัดมาจะเป็นพื้นที่สวนและแนวทางเดินที่ถูกจัดไว้ให้สำหรับผู้ที่จอดรถเสร็จเข้าสู่ตัวอาคารจากทางนี้ได้เลย โดยจะมีชายคาให้ตลอดแนวทางเดิน แต่จะมีบางช่วยที่หลังคายกสูงหน่อย ถ้าฝนตกแรงๆก็อาจจะโดนสาดได้ง่ายๆ แนะนำว่าพกร่มส่วนตัวไว้ด้วยน่าจะดีที่สุดครับ

ทางฝั่งนี้จะมีประตูเพื่อเข้าไปยังภายใน Lobby เลย ซึ่งก็เข้าออกด้วยระบบ Keycard เช่นกันกับด้านหน้าครับ

ส่วนใครที่ยังไม่อยากเข้า ก็เดินต่อด้านข้างได้ เป็นสวนพร้อมแนวทางเดินเชื่อมต่อไปยังฝั่งหน้าโครงการนั่นเอง

สุดท้ายก็มาโผล่ที่ด้านหน้า ซึ่งบริเวณนี้จัดเป็นพื้นที่ที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้กับพื้นที่หน้าโครงการ และพื้นที่ภายใน Lobby ด้วยนะ ปัจจุบันต้นไม้ก็เติบโตให้ร่มเงากันได้หมดแล้ว อีกทั้งยังมีการดูแลจัดการอย่างดีทีเดียว ใบไม้สักใบตามพื้นยังไม่มีเลยครับ

เชื่อมต่อมายังพื้นที่ Drop Off ด้านหน้าโครงการ ซึ่งจะเข้าสู่ใต้ชายคากันแล้ว

บริเวณด้านหน้าก็จะมีการตกแต่งที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ใช้โทนสีและวัสดุที่เข้ากับตัวอาคาร ทางเข้าเป็นประตูกระจกสองบาน ยกระดับขึ้นจากพื้นถนนเล็กน้อย

ด้านข้างประตูทางเข้าจะมีจุด Smart Registration สำหรับแขกผู้มาเยือน

จะเลือกมารับ QR Code จากลูกบ้านภายในที่สามารถส่งมาให้ทางไลน์ หรือแอปอะไรก็ได้ ให้สามารถขึ้นไปเองได้เลย หรือจะเลือกลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชนเพื่อเข้าไปนั่งรอภายในก็ได้ โดยจะมีการบันทึกภาพ และดูแลความปลอดภัยอยู่ตลอด

เปิดประตูเข้ามาภายในจะเจอกับส่วน Lobby ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ที่เดียว ด้านข้างมีแนวกระจกรับแสงธรรมชาติและเห็นความเคลื่อนไหวของรถที่เข้าออกภายในโครงการ ไว้นั่งรอพักคอย หรือพักผ่อนอ่านหนังสือบริเวณนี้ก็ได้นะ

จะจัดให้มีมุมนั่งเล่นที่ค่อนข้างหลากหลาย โดยบริเวณนี้จะมีระดับฝ้าที่ถูกยกขึ้นแบบ Double Volume ที่มาพร้อมแนวกระจกสูงจากพื้นถึงฝ้าเลย ให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างโล่ง

ผนังส่วนที่ไม่ได้เป็นกระจกจะตกแต่งด้วยหินอ่อน ภายในมีบันไดวนเชื่อมต่อขึ้นไปยังชั้นสองด้วย เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้ไม่ได้กว้างนัก ตัวบันไดจึงเลือกใช้ราวกันตกกระจกใสเพื่อความโปร่งโล่ง และทำให้รู้สึกไม่อึดอัด

ไหนๆก็ไหนๆ ลองแว๊บขึ้นไปดูข้างบนกันสักนิดนะครับ พื้นบันไดเป็นลายหินอ่อนดูดีทีเดียว

แวะขึ้นมาดูชั้น 2 กันนิดนึงนะครับ เดินขึ้นบันไดวนมาจะพบกับพื้นที่ Mezzanine Lobby เชื่อมต่อไปยัง Terrace Garden ภายนอกอีกที ส่วนด้านข้างก็จะมีประตูเชื่อมต่อเข้ากับพื้นที่พักอาศัยได้ ภายในจะมีทั้งหมด 12 ยูนิต จัดเป็นชั้นพิเศษที่มีทางเข้าออกเสริมนอกจากทางโถงลิฟต์ ใครที่ชอบการเข้าออกง่ายๆ สะดวกๆ ก็เหมาะกับห้องในชั้นนี้เหมือนกันนะ

เมื่อขึ้นมาด้านข้างจะมีแนวห้องพักอาศัย ซึ่งกั้นส่วนด้วยระบบ Keycard Access เรียบร้อยครับ

ส่วนด้านหน้าก็จะเป็นพื้นที่รับรองอีกจุด แต่จะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าด้านล่าง เหมาะแก่การนั่งอ่านหนังสือ ทำงาน เรียกว่าเป็น Co-Working Space ก็ได้นะ

ภายในมีพื้นที่ให้นั่งเล่น คุยงาน อ่านหนังสือกันได้หลายรูปแบบทีเดียว ด้านหลังมีประตูกระจกเชื่อมต่อไปยังระเบียงด้านนอก

เป็นสวนภายนอกให้ออกไปรับลมสูดอากาศ หรือนั่งทำงานนานๆ ปวดหลังก็ไปเดินผ่อนคลายมุมนี้กันได้

เดินกลับลงไปดูด้านล่างกันต่อนะครับ บริเวณนี้ค่อนข้างโล่งทีเดียว

ลงมาแล้วด้านในจะมีพื้นที่นั่งรับรองหน้าโถงลิฟต์ และห้องนิติบุคคล ส่วนนี้จัดมาให้ค่อนข้างเยอะนะ สำหรับชุดเก้าอี้ที่นั่ง เลือกเอาเลย แล้วแต่ชอบ

ส่วนด้านหลังจะเป็นพื้นที่ของนิติบุคคล โดยของที่นี่จะเลือกใช้ของ Plus Property นะครับ ซึ่งมักจะมาให้เห็นคู่กันกับโครงการของแสนสิริอยู่บ่อยๆ

ด้านข้างมีห้องน้ำแยกชายหญิงให้นะ จะเป็นแบบเข้าได้ทีละคนนะครับ

ภายในก็จัดมาให้กว้างและดูดีทีเดียว เป็นหินอ่อนสีโทนสว่าง ช่วยให้ดูสะอาด สบายตา

ถัดจากห้องน้ำออกมาก็จะมีประตูเชื่อมเข้าไปยังโถงลิฟต์ภายในเพื่อขึ้นไปยังชั้นอื่นๆ ส่วนด้านข้างจะมีประตูที่เข้าจากทางพื้นที่อาคารจอดรถ ส่วนนี้สะดวกดีนะ เข้ามาใกล้โถงลิฟต์ก็ขึ้นไปได้เลยไม่ต้องเดินไกล

ภายในโถงลิฟต์จะล้อมรอบด้วยตู้ Mail Box ต่างๆครับ ส่วนตรงกลางจะมีตู้ IBOX ให้บริการ

สำหรับตู้นี้คือ IBOX หรือที่ทางโครงการตั้งชื่อให้ว่าระบบ Smart Delivery เป็นระบบที่จะช่วยรับพัสดุเวลาที่ลูกบ้านไม่อยู่ และนำมาเก็บที่ iBox ให้ลูกบ้านมาเอาเองได้ 24 ชั่วโมง ในกรณีที่เรากลับบ้านมาแล้วนิติบุคคลกลับไปแล้วก็สามารถเข้าไปรับเองได้ โดยใช้รหัส OTP ที่จะส่งเข้ามาให้ใน SMS ตอนที่เรามีพัสดุเข้ามา

เดินต่อมาจะมี Refun Waste Machine ตู้รับซื้อขยะ จำพวกขวดน้ำ กระป๋อง สำหรับไปรีไซเคิล ซึ่งจะคำนวนเงินตอบแทนให้ หรือจะเลือกบริจาคก็ได้ แถมยังมีให้สะสมแต้มได้ด้วยนะครับ

เข้าไปภายในห้องจะมีตู้ซักผ้าระบบ Smart Wash ระบบซักล้างแจ้งเตือนสถานะของผ้าที่เรานำมาซักผ่านทาง Application  เพื่อให้สามารถทราบว่าจะเสร็จตอนไหน ควรลงมาเอาตอนไหน และชำระเงินในตัวได้เลย

ออกจากห้องถ้าเดินตรงมาจากบริเวณ Mail Box ก็จะมีโถงลิฟต์ให้บริการ ซึ่งจะมีลิฟต์โดยสารให้ทั้งหมด 3 ตัว บริเวณนี้จะตกแต่งด้วยกระจก ซึ่งจะทำให้พื้นที่ดูกว้างและสว่างมากยิ่งขึ้น

ข้ามขึ้นมาที่ชั้น Main Facilities ของเรากันเลย คือชั้น 24 นั่นเอง ชั้นนี้จะมีห้องพักอาศัยภายใน 6 ยูนิต ใช้โถงทางเดินร่วมกันระหว่างห้องพักอาศัยกับทางจะไปพื้นที่ส่วนกลาง ทำให้ห้องพักอาศัยภายในไม่มีห้องไหนติดกับโถงลิฟต์ ภายในเป็นโถงทางเดินแบบ Double Corridor Loaded แต่เป็นชั้นที่มียูนิตไม่เยอะก็ถือว่าได้ความเป็นส่วนตัวอยู่

พื้นที่ส่วนกลาง – เมื่อเดินออกมาจะพบกับพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ข้อดีคือตั้งอยู่ในทิศตะวันออก ซึ่งจะได้แนวอาคารช่วยบังแดดช่วงบ่ายทางทิศใต้และทิศตะวันตก ทำให้พื้นที่ส่วนกลางค่อนข้างร่ม ใช้งานง่าย ภายในประกอบไปด้วย

  • สระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาด 5 x 30 เมตร แบ่งสระเด็กลึก 0.6 เมตร สระผู้ใหญ่ลึก 1.2 เมตร และ Jacuzzi
  • ห้องน้ำแยกชายหญิง
  • Stream Room
  • พื้นที่สวนนั่งเล่นหลายมุม
  • บันไดเชื่อมต่อไปยังชั้น 25 (Facilities ด้านบน)

อย่างที่บอกไปว่าชั้น Main Facilities ของโครงการชั้นนี้จะประกอบไปด้วยห้องพักอาศัย 6 ยูนิตด้วย มีการแบ่งกั้นส่วนพื้นที่ด้วยประตูทางเข้า Keycard Access ให้เรียบร้อย

โถงทางเดินมีช่องแสงขนาดใหญ่ เปิดรับลมระบายอากาศได้ ส่วนพื้นที่พักอาศัยต้องใช้โถงทางเดินร่วมกับพื้นที่ส่วนกลางเล็กน้อย ข้อดีของห้องพักอาศัยชั้นนี้คือเข้าถึงพื้นที่ส่วนกลางได้ง่าย แต่ก็ต้องแลกมากับความเป็นส่วนตัวในบางส่วน เหมาะสำหรับคนที่ใช้พื้นที่ส่วนกลางเป็นประจำ

ลองเลี้ยวมาดูด้านขวากันก่อนนะครับ เมื่อเดินออกมาจากโถงทางเดิน จะเป็นแนวทางเดินยาวๆ ซึ่งจะมีพื้นที่ให้นั่งหรือวางของได้นะ ตกแต่งด้วยหินอ่อนสีเข้ม Silver Gray Slate ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย เป็นธรรมชาติ

พอเลี้ยวมาทางด้านขวาเดินต่อมาจะมีพื้นที่ของสระว่ายน้ำ เป็นสระระบบเกลือรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 5 x 30 เมตร แบ่งสระเด็กลึก 0.6 เมตร สระผู้ใหญ่ลึก 1.2 เมตร และ Jacuzzi ผมชอบตรงที่เขามีแนว Partition กั้นระหว่างตัวสระกับพื้นที่ที่ออกมาจากโถงทางเดิน ช่วยบังสายตาและเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้แก่ผู้ใช้งานได้ในเบื้องต้น อีกส่วนที่ชอบคือสระเป็นแบบ Semi Outdoor ซึ่งจะมีทั้งส่วนที่เปิดโล่งและภายใต้ชายคา ทำให้สามารถใช้งานได้หลากหลายช่วงเวลา ทั้งฝนตกและแดดแรงก็สามารถใช้งานได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ตัวสระอยู่ในแนวทิศตะวันออก ซึ่งจะมีตัวอาคารทางฝั่งทิศใต้และทิศตะวันตกช่วยบังแดดช่วงบ่ายให้อีกที ทำให้ช่วงบ่ายจะไม่ร้อนใช้งานได้ง่าย อีกจุดที่สำคัญคือเป็นสระแบบ infinity Edge Pool หรือที่เราเรียกกันว่าสระน้ำล้น ข้อดีคือจะไม่มีขอบสระยกขึ้นมา ทำให้สามารถรับวิวภายนอกได้มากยิ่งขึ้น จากตรงนี้ก็เห็นตึก G Land Tower ได้ชัดเจน มองลงไปก็เป็นแยก พระราม 9 เห็นความเคลื่อนไหวของรถที่สัญจรไปมา รวมถึงในช่วงเวลาเร่งด่วนก็เห็นไฟรถที่ต่อแถวติดกันเป็นเส้นยาวด้วยแหละ ฮ่าๆ

ด้านข้างจะมีมุมให้นั่งเล่น เป็น terrace ยกระดับขึ้น รับวิวภายนอก จัดว่าเป็นอีกมุมที่ชิลเหมือนกันนะครับ

เดินกลับลงมาที่โถงทางเดิน แล้วลองเดินไปดูฝั่งซ้ายมือกันบ้าง

เมื่อเดินมาจะเจอห้องน้ำแยกชายหญิง มีแนวผนังกั้นแบ่งชัดเจนแถมทางเข้าทำแนวเดินเข้าจากด้านข้างช่วยให้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้นอีกด้วย เข้าไปดูภายในกัน

เมื่อเข้ามาภายในก็แอบตกใจเล็กน้อย เพราะขนาดค่อนข้างกว้างและดูดีทีเดียว ตกแต่งด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนสีขาว ตัดกับทางเดินด้านนอก โทนสีสว่างช่วยให้ภายในห้องน้ำรู้สึกกว้างและสะอาดมากขึ้น มีแนวเคาน์เตอร์อ่างล้างมือมาให้ และโถปัสสาวะอีกฝั่ง แต่ไม่ได้มีล็อคเกอร์ให้นะแนะนำให้เตรียมกระเป๋าสำหรับใส่ของกันมาเองให้เรียบร้อย

ภายในจะมีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ และห้อง Stream Room

ภายในห้อง Stream ตกแต่งด้วยลายหินอ่อน มีไฟกิ่งให้ 2 ดวง นั่งได้ประมาณ 4-5 คนครับ

เดินตรงต่อมาที่พื้นที่ด้านในแต่ยังไม่สุด จะมีพื้นที่สำหรับเตียง Sun Bed ให้นอนอาบแดด ดูวิว หรือพักคอยคนที่ว่ายน้ำอยู่ได้

เลยเข้ามาดูด้านในสุดกันก่อน จะมีแนวสวนที่ถูกจัดไว้เป็นวิวให้กับพื้นที่ส่วนนี้โดยเฉพาะ เพราะเป็นมุม Jacuzzi ที่จะมีรูปทรงต่อออกมาจากสี่เหลี่ยมผืนผ้าของตัวสระหลักเล็กน้อย ไม่รบกวนการว่ายในแนวยาว

ย้อนกลับมาที่พื้นที่ด้านหลังของแนวเตียง Sun Bed เมื่อสักครู่ ฝั่งนี้จะมีพื้นที่รับรองสำหรับพักคอย นั่งเล่นกินลมชมวิว จะรับวิวฝั่งทิศตะวันตกที่ค่อนข้างโล่ง จัดเป็นแนวโซฟาตัว L ยาว ด้านในมีบันไดเชื่อมต่อไปยังชั้น 25 ด้านบน ลองไปดูกันครับ

สำหรับวิวของพื้นที่พักคอยนี้ จะได้วิวโล่งแบบนี้เลยครับ เห็นถนนดินแดง และถนนจตุรทิศด้านหลัง

บันไดในส่วนนี้สามารถลงไปยังชั้นด้านล่างได้ด้วยนะครับ จะเป็น Lower Terrace ที่เป็นสวนด้านล่าง ชั้นนี้จะมีห้องพักอาศัย 9 ยูนิต โดยจะมีส่วนแรกแบ่งออกเป็น 6 ยูนิต จะเหมือนกับชั้น 24 ด้านบน ส่วนอีกฝั่งจะมี 3 ยูนิต ที่ได้โถงทางเดิน Single Corridor Loaded แต่ที่แอบเสียดายคือไม่สามารถไปยังสวน Lower Terrace จากภายในชั้นนี้ไ้ด้ ต้องอ้อมไปเข้าจากชั้น 24

ส่วนถ้าเดินขึ้นบันไดมาชั้น 25 ก็จะมีลักษณะพื้นที่ภายในคล้ายๆกับ 24 เมื่อสักครู่ เพราะจะมีห้องพักอาศัยผสมอยู่ในชั้นนี้ 6 ยูนิตด้วยเช่นกัน ตำแหน่งเหมือนกันเป๊ะ ทำให้ห้องออกกำลังกายซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางหนึ่งเดียวของชั้นนี้สามารถเข้าออกได้ 2 ทาง จากทางโถงลิฟต์ปกติ และทางบันไดหนีไฟด้านข้างที่เราเดินกันขึ้นมา ซึ่งจะสามารถเชื่อมต่อขึ้นไปยังชั้น 26 ได้อีกด้วยนะ ข้อดีของการวางตำแหน่งพื้นที่ส่วนกลางแบบนี้เพื่อให้ลดจำนวนผู้ใช้งานในแต่ละพื้นที่ ทำให้จะได้ความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้นนะ

เมื่อเดินขึ้นบันไดมาด้านบน จะเป็นพื้นที่หน้าบันไดและหน้าห้องออกกำลังกาย ตกแต่งเป็นแนวกระจกรอบด้าน เพราะเน้นให้ดูโปร่งโล่ง รับวิวภายนอกและสระว่ายน้ำ

ด้านข้างของวิวบริเวณนี้ จะเห็นต้นไม้ของชั้น 24 ก่อนหน้านี้และวิวทางฝั่งทิศเหนือหน้าอาคาร ถ้าก้มลงไปก็จะได้วิวสระว่ายน้ำด้วยนะ

เข้ามาด้านในจะมีขนาดค่อนข้างกว้างเลยนะ ลักษณะห้องเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวเข้าไปด้านใน แต่ละช่วงก็จัดโซนของเครื่องเล่นกันไว้ชัดเจน

ส่วนริมกระจกจะเน้นเป็นการออกกำลังกายแบบ Cardio เช่นพวก วิ่ง ปั่นจักรยาน ส่วนด้านในจะเป็นเครื่องออกกำลังกายแบบ Weight Training

สำหรับเครื่องออกกำลังกายแบบ Cardio ก็จะได้วิวประมาณนี้.. เป็นวิวทิศตะวันออก หรือฝั่งที่หันไปทางแยกพระราม 9 นั่นเอง แถมยังจะได้เห็นวิวของสระว่ายน้ำไปด้วยนะ

ด้านในจะมีพื้นที่สำหรับโยคะเล็กน้อย มีที่นั่งพร้อมทีวีและน้ำดื่มให้บริการ

ส่วนด้านข้างจะเป็นแนวประตูทางเดินที่เชื่อมต่อมาจากโถงลิฟต์ภายใน ก็คือพื้นที่นี้สามารถเข้าออกได้ 2 ทางนั่นแหละครับ

เราย้อนกลับมาที่ทางที่เราเข้ามาห้องออกกำลังกายกัน มื่อสักครู่เราขึ้นมาจากชั้น 24 ซึ่งก็จะมีบันไดให้ขึ้นต่อไปยังชั้น 26 ด้วยนะ เขาเขียนไว้ว่า “Roof Top Garden”

ลักษณะของผังภายในจะเหมือนกันกับชั้น 24 และ 25 ครับ มีพื้นที่ห้องพักอาศัยภายใน 6 ยูนิต แต่ต่างกันที่จะต้องมาใช้พื้นที่ส่วนกลางทางบันไดหนีไฟนี้เท่านั้น ห้องพักอาศัยของชั้นนี้จะเข้ามายังสวนด้านบนนี้ต้องอ้อมลงไปที่ชั้น 25 แล้วเดินขึ้นบันไดหนีไฟขึ้นมา แอบเสียดายแทนห้องพักอาศัยในชั้นนี้เหมือนกันที่ออกมายังสวนโดยตรงไม่ได้ ภายในสวนจะเน้นพื้นที่ออกกำลังกายจัดเป็นหลายมุม ตรงกลางเป็น Yoga Court ด้านข้างมีที่นั่งทั้งแบบ Cabana และ Sunken Seat ส่วนด้านข้างอีกฝั่งจะมี Exercise Bench ที่จะมีที่จับสำหรับผู้สูงอายุมายืนออกกำลังกายได้

ด้านบนจะมีพื้นที่สวน ซึ่งจะมีประตูเปิดปิดชัดเจน ส่วนนี้จะเป็นมุมให้ออกไปยืนออกกำลังกาย เดินเล่น สูดอากาศกันได้ สำหรับผู้สูงอายุ ก็มีราวให้จับ มีแนวไฟสนามตลอด ค่อนข้างปลอดภัยครับ

ขึ้นมาชั้นบนสุดของเรากันครับ ที่ชั้น 38 ชั้นนี้ก็ไม่ลืมที่จะมีพื้นที่ส่วนกลางอยู่ด้วยเช่นกัน สำหรับรับวิวสูงรอบด้าน เป็น Cloud9 Lounge ห้องรับรองรับวิวมุมสูงนั่นเอง ซึ่งชั้นนี้ก็อีกเป็นชั้นที่มีห้องพักอาศัยภายใน 6 ยูนิต ในตำแหน่งเดียวกันกับชั้นที่มีพื้นที่ส่วนกลางต่างๆ แต่จะมีบันไดหนีไฟเชื่อมต่อไปยังชั้น Roof Top ด้านบนด้วยนะ

ชั้นนี้จะมีพื้นที่ส่วนกลาง และห้องพักอาศัยอยู่ 6 ยูนิต แบ่งกั้นด้วยประตูทางเข้า Keycard Access เช่นเดิม

ภายในมีพื้นที่ค่อนข้างหลายส่วน จัดเป็นมุมต่างๆแล้วแต่การใช้งาน ส่วนแรกเป็นพื้นที่โล่ง ด้านในติดผนังมีลักษณะเป็นบาร์รับวิวภายนอกฝั่งทิศตะวันออก (แยกพระราม9) มานั่งอ่านหนังสือทำงานรับวิว และแสงที่เพียงพอบริเวณนี้ได้เลย

ด้านในจะมีพื้นที่อีก 2 ช่วง ช่วงถัดไปเป็นแนวโต๊ะสำหรับนั่งทำงาน คุยงาน

ส่วนพื้นที่ในสุดจัดไว้เป็น Lounge นั่งพักผ่อน คุยงาน บนชุดโซฟาหรูรับวิวแยกพระราม 9 ภายนอกเช่นกัน

นอกจากนั้นโถงทางเดินยังมีทางแยกออกไปเพื่อเชื่อมต่อไปยังชั้นบน ซึ่งจะเป็นชั้น Roof Top ของโครงการ โดยห้องพักอาศัยจะสิ้นสุดที่ชั้นนี้ ชั้นด้านบนเป็นพื้นที่ของ Sky Garden ทั้งหมดเลยครับ

ขึ้นมาบนจุดสูงสุดของอาคารจริงๆกันแล้วครับ บนนี้จะจัดเป็นพื้นที่สวนเกือบทั้งชั้นเลย ซึ่งจะขึ้นมาด้วยบันไดหนีไฟ ไม่มีลิฟต์มาถึงนะ ตรงกลางจะจัดเป็นพื้นที่โถงรับรองเล็กๆ จากนั้นค่อนเดินแยกออกเป็นสวนสองฝั่ง โดยสวนทั้งสองฝั่งจะจัดแต่ละมุมไว้ค่อนข้างหลากหลาย แล้วแต่ความชอบในการเลือกใช้งานเลย เช่น Skyline Daybed, Lawn ตรงกลาง ด้านข้างมี Curve Bench และ Sitting Bench จัดเป็นแนวต้นไม้ รวมถึง Sitting Corner ที่จัดเป็นพื้นที่นั่งเล่นรับวิวสวนและบรรยากาศรอบๆ และด้านบนสุดของพื้นที่โถงรับรองตรงกลางจัดเป็น Fire Escape หรือพื้นที่หนีไฟทางอากาศให้ด้วย

เมื่อขึ้นมาด้านบนจะมีโถงตรงกลาง จัดเป็นโซฟาชุดไว้ตรงกลางเล็กน้อย ซึ่งด้านบนของพื้นที่นี้คือ Fire Escape หรือพื้นที่หนีไฟทางอากาศนั่นเอง ส่วนนี้แยกออกเป็นทางเดินสองฝั่ง มาดูฝั่งซ้ายมือกันก่อนนะ

เดินออกมาจะมีพื้นที่สวนที่ถูกจัดและดูแลอย่างดีทีเดียว สภาพด้านบนนี้ถือว่ามีการดูแลเอาใจใส่อย่างดีเลยล่ะ ตอนผมไปเป็นสภาพหลังฝนตก จึงจะเปียกๆหน่อย รวมๆแล้วดูน่าใช้งานมากครับ

ด้านหลังมีพื้นที่นั่งรับวิวรอบข้าง บริเวณด้านบนนี้ลมพัดเย็นดีครับ

ส่วนอีกฝั่งนึงของชั้นนี้ จะเป็นสวนแนวตรงยาว จัดเป็นมุมต่างๆไว้ให้นั่ง พักผ่อน ขึ้นมาสูดอากาศได้ บรรยากาศโดยรอบจะค่อนข้างโล่ง เพราะเราจัดเป็นโครงการที่สูงกว่าเพื่อนๆส่วนใหญ่ในย่านนี้

มาดูชั้นพักอาศัยกันบ้างครับ ซึ่งจะเป็นชั้นส่วนใหญ่ของอาคารนะที่ชั้น 3-22 โดยจะมีจำนวนทั้งหมด 17 ยูนิต / ชั้น

  • โถงลิฟต์และโถงทางเดิน – ในแต่ละชั้นจะมีโถงลิฟต์อยู่ตรงกลาง ทำให้แยกพื้นที่ออกเป็น 2 ฝั่ง โดยจะมีแนวโถงทางเดินที่เยื้องกันเล็กน้อย ทำให้ไม่เห็นอีกฝั่ง เป็นโถงทางเดินแบบ Double Corridor Loaded มีช่องแสงที่ปลายทางเดินทั้งสองฝั่ง ทางฝั่งทิศเหนือจะมีจำนวน 11 ยูนิต  มีห้องขนาดเล็ก 1 ห้องที่ต้องติดกับโถงลิฟต์อาจจะมีเสียงรบกวนบ้าง ส่วนอีกฝั่งทางทิศใต้มี 6 ยูนิต ไม่ติดกับโถงลิฟต์ แต่จะมีห้องขนาดเล็ก 1 ห้อง ที่ติดกับพื้นที่หน้าลิฟต์และโถงทางเดินที่ต้องเดินผ่านกันทุกห้อง
  • มุมมอง – ตัวอาคารตั้งในแนวทิศเหนือใต้ จึงทำให้รับวิวทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเป็นหลัก โดยจะมี 9 ยูนิตรับวิวทางฝั่งทิศตะวันออกและ 8 ยูนิตรับวิวทางทิศตะวันตก ส่วนทิศเหนือและใต้ จะเป็นห้องมุมที่รับวิวได้ 2 ฝั่ง ทิศและ 2 ยูนิต จะมีห้องที่พิเศษหน่อยคือห้องที่ติดบันไดหนีไฟทางฝั่งทิศตะวันออก ซึ่งจะเป็นห้อง 2 Bedroom ขนาด 46.25 ตร.ม. ที่จะได้โถงทางเดินแบบส่วนตัวและสามารถรับวิวได้ 2 ฝั่ง โดยจะมีเพียงชั้นละ 1 ห้องเท่านั้น

ขึ้นมาที่ชั้น 27 – 37 เป็น 10 ชั้นที่ขึ้นมาจากชั้นพื้นที่ส่วนกลาง ขนาดพื้นที่ภายในจะเล็กลงจึงทำให้มีข้อดีที่มีเพียง 8 ยูนิตต่อชั้นเท่านั้น โดยจะมีห้องฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือ 2 ห้อง ที่จะได้โถงทางเดินแบบ Single Corridor Loaded

สำหรับโถงลิฟต์ของโครงการ จะตกแต่งค่อนข้างเรียบง่าย พื้นเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้สีขาวปูสลับ ผนังและฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสีให้ไฟส่องสว่างเป็นแถบ Light Box สลับกับ Downlight ตามแนว ทุกชั้นจะมีช่องแสงที่เป็นทั้งบาน Fixed (ด้านล่าง) และบานกระทุ้ง (ด้านบาน) เปิดรับลมระบายอากาศได้ ส่วนตัวลิฟต์จะเป็นลิฟต์โดยสาร 3 ตัว ลิฟต์ขนของ 1 ตัว โดยจะมีอัตราส่วนลิฟต์ทั้งโครงการอยู่ที่ 1 : 157 ยูนิต การใช้งานถือว่าหนาแน่นไปหน่อย

ส่วนโถงทางเดินจะเป็นแบบ Double Corridor Loaded คือจะมีห้องพักอาศัยทั้งสองฝั่ง ใช้ลักษณะการตกแต่งคล้ายๆกับโถงลิฟต์ พื้นกระเบื้องแกรนิตโต้สีโทนขาวปูสลับแนว ผนังกับฝ้าฉาบเรียบทาสี ให้ไฟส่องสว่างเป็นแถบ Light Box สลับกับ Downlight ตามแนว

ที่สุดแนวโถงทางเดินก็จะมีช่องแสงเต็มพื้นที่ขนาดเท่าแนวทางเดิน ทั้งบาน Fixed (ด้านล่าง) และบานกระทุ้ง (ด้านบาน) เปิดรับลมระบายอากาศได้ ช่วยให้เกิดการระบายอากาศภายในโถงทางเดิน

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • ชั้น 1 – Lobby สูง 6.9 เมตร
  • ชั้น Mezzanine – Terrace Garden
  • ชั้น 23 – Lower Terrace
  • ชั้น 24 – สระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาด 5 x 30 เมตร แบ่งสระเด็กลึก 0.6 เมตร สระ
  • ผู้ใหญ่ลึก 1.2 เมตร และ Jacuzzi
  • ชั้น 24 – Steam Room ที่ห้องน้ำแยกชาย-หญิง
  • ชั้น 24 – พื้นที่นั่งเล่น Outdoor
  • ชั้น 25 – Fitness
  • ชั้น 26 – Yoga Court + Cabana + Sunken Seat + Exercise Bench
  • ชั้น 38 – Lounge
  • ชั้น Rooftop – พื้นที่นั่งเล่น Outdoor
  • Smart Guest Registration – การเข้าโครงการด้วย QR Code / ลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน
  • Smart Delivery – ระบบรับพัสดุเชื่อมต่อกับ iBox ให้ลูกบ้านมาเอาเองได้
  • Smart Wash – ระบบซักล้างแจ้งเตือนสถานะผ่าน Application และชำระเงินในตัวได้
  • Smart Move – รถพลังงานไฟฟ้าให้ลูกบ้านเช่า จะมีทั้งหมด 2 คัน คือ BMW และ HYUNDAI
  • Refun Machine – ตู้รับซื้อขยะ ซึ่งจะคำนวนเงินตอบแทนให้ หรือจะเลือกบริจากก็ได้
  • หุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ
  • Double Security System – ระบบรักษาความปลอดภัยที่จะส่งข้อมูลต่างๆไปยังพื้นที่กลางของแสนสิริที่จะมีเจ้าหน้าที่ช่วยดูแลอีกที ทั้งภาพจาก CCTV, สัญญาณจากอุปกรณ์ต่างๆ ลิฟต์ ปั๊มน้ำ เครื่องปั่นไฟ และอื่นๆ
  • ลิฟต์โดยสาร 3 ตัว และลิฟท์ขนของ 1 ตัว ที่อาคารพักอาศัยหรือคิดเป็นอัตราส่วน 157 : 1
  • อาคารจอดรถสูง 9 ชั้นและชั้นใต้ดินอีก 1 ชั้น ที่จอดรถรวมจอดซ้อนคัน 226 คัน คิดเป็น
  • 48%
  • อาคารจอดรถมีลิฟต์2 ตัว
  • รปภ. ช่วยโบกรถและดูแลรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
  • ระบบ CCTV / Access Card


Product Walkthrough

สำหรับห้องที่ผมจะพามาชมกันวันนี้คือห้องที่ใช้ขายจริง พราะไม่มีห้องตัวอย่างแล้วครับสำหรับที่เหลืออยู่ก็จะขายเป็น Fully Fitted  ซึ่งห้องของที่นี่เขาจะมี Home Automation ติดตั้งไว้ให้เรียบร้อยทุกยูนิต โดยใช้งานผ่าน Sansiri Home Application ใช้เปิด-ปิดไฟและเครื่องปรับอากาศภายในห้องได้ สามารถจ่ายค่าน้ำผ่านทางนี้ได้ด้วยนะ แต่ค่าไฟยังไม่ได้นะครับ

ห้องที่จะพามาดูวันนี้เป็นห้อง 1 Bedroom ขนาด 35.50 ซึ่งจะมีเพียง 1 ยูนิต / ชั้นเท่านั้น ขนาด 35.5 ถือเป็นห้องแบบ 1 ห้องนอน ที่อยู่ไม่อึดอัดสามารถแบ่งพื้นที่การใช้งานได้ดี ด้วยตำแหน่งอยู่มุมอาคารฝั่งทิศเหนือ จึงรับวิวหน้าโครงการที่ถนนดินแดง เห็นแยกพระราม 9 ชัดเจน ภายในเน้นความโปร่งโล่ง ด้วยการเปิดรับวิว 2 ทิศ ใช้แนวกระจกใหญ่เกือบจะทุกฝั่ง บวกกับพื้นที่ครัวเป็นครัวเปิดจึงทำให้ได้พื้นที่ภายในที่ดูค่อนข้างโล่งเลย

ขอแบ่งสัดส่วนพื้นที่ภายในออกเป็น 5 ส่วน ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ระเบียงซักล้าง และห้องนอน เริ่มที่เปิดประตูเข้ามาจะเจอกับส่วนของห้องครัวทางซ้ายมือและห้องน้ำทางขวา ซึ่งหลังประตูก็จะมีพื้นที่สำหรับวางตู้รองเท้ามาให้นะ ครัวที่ได้จะเป็นครัวเปิด เน้นความโล่งของห้อง เหมาะกับการทำอาหารเบาๆ  ด้านข้างมีห้องน้ำแบ่งสัดส่วนภายในชัดเจน ต่อมาด้านในที่ห้องนั่งเล่น จะมีข้อดีที่เปิดรับช่องแสงสองฝั่ง ทำให้ภายในห้องนี้สว่างและโล่ง เชื่อมต่อไปยังระเบียงที่มีพื้นที่จัดเก็บ Condensing Unit ไว้ด้านบน ทำให้สามารถใช้พื้นที่ระเบียงได้เต็มที่ กลับเข้ามาที่ภายในห้องนอนก็จัดว่ามีลักษณะเด่นเหมือนกันจากแนวหน้าต่างที่เป็นบานกระทุ้งบานใหญ่ 3 บาน รับลมระบายอากาศได้เต็มที่ ด้านในมีพื้นที่ตู้เสื้อผ้า built-in มาให้เรียบร้อยครับ

เข้ามาภายในห้องจะสังเกตได้ว่าห้องค่อนข้างโล่ง ด้วยระดับพื้นถึงฝ้าที่ 2.7 เมตร และเปิดรับช่องแสงหลายทาง นอกจากนั้นครัวก็เป็นครัวเปิดไม่มีการปิดกั้นแบ่งพื้นที่อีกด้วย

มองย้อนกลับไปที่ส่วนแรกของห้อง จะมีประตูไม้ HDF บานใหญ่ มาพร้อม Digital Door Lock จาก Yale มาพร้อมชุดครัว Built-in มาให้เรียบร้อย ด้านข้างมีเคาน์เตอร์ครัวเข้ามุมไว้ให้ การเป็นครัวเปิดแบบนี้ก็มีข้อดีที่ได้ความโล่ง แต่จะมีปัญหาตรงถ้าทำอาหารจริงจัง กลิ่นและควันจะไปรบกวนพื้นที่ส่วนอื่นภายในห้องได้ง่าย

พื้นในส่วนแรกนี้จะใช้เป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ ซึ่งจะมีพื้นผิวเรียบ  และสามารถทำความสะอาดได้ง่ายกว่าพื้นลายไม้ต่างๆ เหมาะแก่การเป็นพื้นของส่วนเข้าออกห้อง และห้องครัว ลักษณะพื้นที่ทำให้ต่อเติมแบ่งส่วนครัวเป็นครัวปิดได้ยาก ห้องนี้จึงจะเหมาะกับคนที่ไม่ได้ทำอาหารเป็นประจำหรือจริงจังมากนัก

เคาน์เตอร์ครัวจะได้ชุดแบบนี้เลยครับ มีลักษณะเป็นตัว L เข้ามุมห้อง หน้าบานต่างๆเป็นไม้อัดกรุลามิเนต backsplash จะเป็นกระจก ส่วน Top ครัวปิดผิวด้วยหิน Quatz ที่จะมีความหนาแน่นสูงไม่ดูดซับน้ำและไม่สะสมสิ่งสกปรก รับน้ำหนักและกันความร้อนได้ดี ด้านบนและด้านล่างจะเป็นบานเปิดเก็บของได้ค่อนข้างหลากหลาย ด้านล่างจะมีช่องสำหรับวางเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าด้วยนะครับ

เคาน์เตอร์ตัว L ค่อนข้างกว้าง มาพร้อมพื้นที่เตรียมอาหาร จากผนังหน้าห้องถึงขอบพื้นที่ครัวมีระยะประมาณ 2 เมตร ภายในชั้นกลางนี้จะมีเตาแม่เหล็กไฟฟ้ามาให้ 2 หัว และเครื่องดูดควัน พร้อมอ่างล้างจานสเตนเลส

อ่างล้างจานสเตนเลสจาก MEX แบบหลุมเดี่ยว มีพื้นที่วางจานด้านข้างเว้นไว้ให้

เตาแม่เหล็กไฟฟ้าและเครื่องดูดควันจาก MEX เป็นแบบต่อท่อออกภายนอก ข้อดีคือกลิ่นและควันจะไม่หมุนวนภายใน ไม่เหม็นอับ

ส่วนถัดมาภายในห้องจะเป็นส่วนพื้นที่นั่งเล่น พื้นจะเปลี่ยนเป็นลามิเนต หนา 12 มม. เนื่องจากเป็นห้องมุม จึงได้ช่องแสงถึง 2 ฝั่ง รับแสงธรรมชาติ หรือจะเปิดรับลมระบายอากาศก็ทำได้สะดวก ซึ่งในแต่ละฝั่งเขาจัดบานใหญ่จัดเต็มมาให้เลยนะ

เริ่มที่พื้นที่ด้านข้างครัวก่อน เหมาะแก่การจัดเป็นพื้นที่รับประทานอาหาร รับวิวภายนอก ได้แนวกระจกขนาดใหญ่มา บานแรกสูงจากพื้นถึงฝ้าขนาด 2.7 x 0.9 เมตร ส่วนด้านข้างสองตอน ด้านบนเป็นบานกระทุ้งขนาด 1.5 x 0.65 เมตร ด้านล่างเป็นบาน Fixed ขนาด 1.2 x 0.65 เมตร

ด้านบนมีผ้าม่านและฝ้าที่ซ่อนรางม่านไว้ให้เรียบร้อย ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานเลยครับ

ส่วนอีกฝั่งเชื่อมต่อกับระเบียง เป็นบริเวณที่เหมาะแก่การจัดเป็นพื้นที่โซฟา นั่งดูทีวี โดยจะมีระยะดูทีวีอยู่ประมาณ 2.7 เมตร (ถ้าใช้ทีวีติดผนัง) สามารถติดตั้งทีวีขนาดใหญ่ได้ ประมาณ 55-60 นิ้ว วางชุดโซฟาขนาดใหญ่ หรือตัว L ได้นะครับ

เชื่อมต่อกับระเบียงด้วยประตูกรอบบานอลูมิเนียมกระจกเขียวใสตัดแสง ด้านบนก็ให้ผ้าม่านทึบและซ่อนรางม่านมาให้เรียบร้อยเช่นเดิม ประตูเปิดได้ฝั่งเดียวมีตัวล็อคติดตั้งมาให้เรียบร้อยพร้อมใช้งาน ซึ่งจะมีระยะเปิดสุดอยู่ที่ประมาณ 1.45 เมตร

พื้นที่ระเบียงปูด้วยกระเบื้องเซรามิคแผ่นเล็กสีขาว ซึ่งจะมีพื้นที่อยู่ที่เยอะเพราะไม่ต้องวาง Condensing unit มีพื้นที่ประมาณ 3 x 1 เมตร ใช้ราวกันตกเป็นกระจกใส ทำให้ดูโล่งขึ้นไปอีก

ด้านบนใช้เก็บ Condensing Unit เป็นสัดส่วนชัดเจน มีไฟ Downlight ให้ 1 ดวง ทำให้เราใช้พื้นที่ระเบียงได้มากยิ่งขึ้น แต่ต้องแลกมากับการปิดช่องแสงที่จะเข้าภายในห้องด้านบนประตูไปเหมือนกัน

ส่วนกลางห้องทั้งหมดนี้จะเป็นฝ้าเพดานแบบฉาบเรียบ ให้ไฟ Downlight 6 ดวง และเครื่องปรับอากาศจาก Daikin 1 ตัวครับ

มาดูส่วนต่อไปของห้องกันครับ ข้างประตูจะมีแนวชั้นวางรองเท้า built-in มาให้นะ ประตูตรงกลางคือห้องน้ำ ส่วนด้านซ้ายคือห้องนอน เข้าไปดูห้องน้ำกันก่อนเลยนะ

ห้องน้ำจะปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ทั้งพื้นและผนัง เน้นสีโทนสว่าง อุปกรณ์และสุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำทั้งหมดมาจากของ Cotto ครับ เนื่องจากประตูห้องน้ำจะอยู่กลางห้องจึงเป็นเหมือนตัวแบ่งพื้นที่ภายในไปด้วย ทำให้แยกฝั่งแห้งเปียกอย่างชัดเจนเลย

ส่วนแรกข้างประตูเป็นอ่างล้างหน้าแบบฝังบนเคาน์เตอร์ สามารถใช้เก็บของได้ด้านล่าง มาพร้อมกระจกเงาขนาดพอเหมาะ

เป็นอ่างล้างหน้าเซรามิกจาก Cotto มีพื้นที่ด้านบนไว้วางของเล็กน้อย

โถสุขภัณฑ์สองชิ้นจาก Cotto มาพร้อมที่ใส่กระดาดชำระด้านข้าง ขนาดพื้นที่กำลังพอดีครับ ใช้งานสะดวก

อีกฝั่งเป็นพื้นที่อาบน้ำที่ถูกแบ่งกั้นพื้นที่ชัดเจนด้วยฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัย ภายในมี Built-in ช่องวางอุปกรณ์อาบน้ำไว้ให้ด้วย

พื้นที่อาบน้ำภายในขนาดประมาณ 0.95 x 1.3 เมตร ซึ่งก็ถือว่ากว้างนะ ยืนอาบน้ำร้องเพลงหมุนตัวได้สบายๆ

ส่วนอาบน้ำให้มาทั้ง Hand Shower และ Rain Shower เลย จาก Cotto ทั้งหมด ด้านข้างมีที่วางอุปกรณ์อาบน้ำมาให้ถึง 2 จุด

ฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสีให้ไฟ Downlight 2 ดวง พร้อมพัดลมระบายอากาศ

มาดูกันต่อที่ห้องสุดท้าย ห้องนอนหนึ่งเดียวของเรา ภายในมีขนาดค่อนข้างกว้าง ไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์มาวางให้ดู แต่วัดขนาดห้องมาได้ประมาณ 2.75 x 2.9 เมตร ซึ่งเป็นขนาดที่สามารถวางเตียง 5 ฟุตได้สบายๆ แต่จุดเด่นของห้องนี้คือผนังฝั่งที่ติดกับภายนอก เขาจัดช่องแสงขนาดใหญ่มาให้อย่างเต็มที่เลยล่ะครับ แถมพื้นที่ด้านในห้องก็มี Built-in ตู้เสื้อผ้ามาให้ด้วยครับ

ที่ผนังฝั่งติดพื้นที่ภายนอกมีแนวกระจกบานใหญ่สูงจากพื้นถึงฝ้า 3 บาน ซึ่งเป็นบานกระทุ้งสามารถเปิดรับลมระบายอากาศได้ค่อนข้างเยอะเลย โดยแต่ละบานจะมีขนาดประมาณ 2.6 x 0.75 เมตร โดยจะมีแนวราวเหล็กดัดสีดำตีโปร่งกันตกให้สำหรับความปลอดภัยภายในห้องนี้ครับ

ด้านบนซ่อนรางม่านและให้ม่านทึบติดตั้งไว้ให้เช่นเดิมครับ

มองย้อนกลับเข้ามาที่ทางเข้าห้อง จะมีตู้เสื้อผ้า Built-in มาให้ครับ

เป็นตู้เสื้อผ้าบานเปิด มีช่องให้เลือกเก็บของค่อนข้างหลากหลาย แต่ต้องเผื่อพื้นที่หน้าตู้สำหรับเปิดบานและยืนใช้งานตู้ด้วยนะ

ฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสีให้ไฟ Downlight 2 ดวง และเครื่องปรับอากาศ Daikin 1 ตัวครับ

สวิทช์ไฟต่างๆภายในห้องจะเป็นของ Panasonic นะครับ

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 30 May 2019

  • 1 Bedroom ชั้น 8 ห้อง 010805 เนื้อที่ 35.8 ตร.ม. ราคา 5.39 ล้านบาท หรือ 150,810 บาท/ตร.ม.
  • 1 Bedroom ชั้น 28 ห้อง 012805 เนื้อที่ 35.23 ตร.ม. ราคา 6.39 ล้านบาท หรือ 181,635 บาท/ตร.ม.
  • 2 Bedrooms ชั้น 34 ห้อง 013405 เนื้อที่ 35.23 ตร.ม. ราคา 6.48 ล้านบาท หรือ 184,473 บาท/ตร.ม.
  • 2 Bedrooms ชั้น 21 ห้อง 012111 เนื้อที่ 46.77 ตร.ม. ราคา 9.73 ล้านบาท หรือ 181,719 บาท/ตร.ม.
  • 1 Bedroom ชั้น 22 ห้อง 012211 เนื้อที่ 46.77 ตร.ม. ราคา 9.81 ล้านบาท หรือ 185,995 บาท/ตร.ม.

  • Fully Fitted
  • เพดานสูง 2.7 เมตร
  • Kitchen & Sink
  • Hob & Hood
  • จอง แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 34-36 ตารางเมตร 50,000 บาท
  • จอง แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 46.25-50.25 ตารางเมตร 80,000 บาท
  • ดาวน์ 15% ผ่อน ดาวน์ 31 งวด
  • ค่ากองทุน 600 บาทต่อตารางเมตร
  • ค่าส่วนกลาง 70 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ


เจาะลึกรวบยอด

ทำเล : ทำเลโครงการ The line อโศก-รัชดา อยู่บนถนนดินแดงฝั่งมุ่งหน้าไปยังสามเหลี่ยมดินแดง มีจุดยูเทิร์น 2 จุดขนาบข้างให้ใช้งานได้ง่าย ใกล้แยกพระราม9 ที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างรัชดาและอโศกรวมถึงจากดินแดงไปพระราม9 ซึ่งเป็นทางสายหลักทั้งหมด จึงถูกเรียกว่าเป็น New-CBD เนื่องจากมีอาคารสำนักงานรายล้อมอยู่หลายแห่ง มีศูนย์การค้าอยู่ในรัศมี 1 กิโลเมตรอย่าง Central พระราม9, Tesco lotus และ Esplanade มีขนส่งมวลชนเข้าถึงทั้ง MRT และ APL มีคอนโดมิเนียมทั้งสร้างเสร็จและกำลังก่อสร้างเป็นที่อยู่อาศัยภายในพื้นที่สำหรับคนทำงานอยู่นับ 10 แห่ง แต่อีกสิ่งที่มาพร้อมความเจริญก็คงหนีไม่พ้นปัญหารถติด ซึ่งแยกนี้ก็ขึ้นชื่ออยู่เหมือนกันครับ

การเดินทางโดยใช้รถ : โครงการมีเข้า-ออกทางเดียวจากถนนดินแดงที่เป็นถนนใหญ่ ฝั่งมุ่งหน้าไปทางแยกพระแม่ฟาติมาหรือสามเหลี่ยมดินแดง ข้อได้เปรียบคือมีจุดกลับรถใกล้โครงการถึงสองจุด ทั้งฝั่งที่มาจากแยกสามเหลี่ยมดินแดงแล้วกลับรถเข้าตัวโครงการ หรือจะกลับรถไปยังแยกพระราม 9 ก็ทำได้สะดวก ไม่ต้องไปกลับรถที่แยกใหญ่ นอกจากนั้นยังไม่ไกลทางด่วน แต่ละจุดล้วนแต่อยู่ในระยะประมาณ 1 กิโลเมตรทั้งหมด ภายในโครงการแยกอาคารจอดรถชัดเจน (9 ชั้น และชั้นใต้ดิน 1 ชั้น) สะดวกและดูแลรักษาความปลอดภัยได้ง่าย มีป้ายบอกจำนวนที่จอดคงเหลือด้านหน้าโครงการรวมจอดซ้อนคันประมาณ 226 คันคิดเป็น 48%

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ :  ตัวโครงการอยู่ในระยะ 300 เมตรจาก MRT พระราม9 ทางออกที่ 1 จะอยู่หน้าโรงแรม Grand mercure fortune หรือทางออก 3 หน้าตึก G Land Tower ก็ได้ มีระยะพอๆกัน โดยสามารถใช้ทางใต้ดินเชื่อมเดินไปถึง Central พระราม9 ได้เลย และ APL ใกล้ที่สุดคือสถานีมักกะสันอยู่ในระยะประมาณ 800 เมตร ใกล้กับสถานี MRT เพชรบุรี ไม่แนะนำให้เดินนะครับ เนื่องจากต้องเดินตัดทางขึ้น-ลงทางด่วนที่รถค่อนข้างใช้ความเร็ว และเนื่องจากโครงการติดถนนใหญ่ทำให้เรียกแท๊กซี่ได้ง่าย มีพี่วินอยู่ใกล้ และมีป้ายรถประจำทางอยู่ข้างโครงการในระยะประมาณ 20 เมตร

วัสดุ : เริ่มที่หน้าห้องได้ Digital Door Lock จาก Yale พื้นห้องส่วนครัวและห้องน้ำจะปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ ส่วนระเบียงจะปูด้วยกระเบื้องเซรามิกขนาดเล็กเพื่อการทำความสะอาดที่ง่าย และส่วน Living และห้องนอนจะปูด้วยไม้ลามิเนตหนา 12 มิลลิเมตร ผนังและฝ้าเป็นฉาบเรียบทาสีขาวพร้อมไฟ Downlight ทั้งหมด ส่วนเฟอร์นิเจอร์จะได้เป็นแบบ Fully Fitted ที่ได้ครัว ได้ห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้า โดยทุกๆส่วนจะเป็นงาน Built-in ครัวจาก Mex ได้อ่างล้างจาน, Hob and hood แบบต่อท่อออกภายนอก ส่วนเครื่องไฟฟ้าจะไม่ได้มาให้นะ ได้ตู้เก็บของ สุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำจาก Cotto และกรอบหน้าต่าง กรอบประตูเป็นอลูมิเนียมกระจกเขียวตัดแสง มี Home-Automation ในการเปิดปิดไฟ Downlight และแอร์ทุกตัวมาให้ด้วย

การออกแบบ : ภายในโครงการแบ่งออกเป็น 2 อาคารคืออาคารพักอาศัยสูง 38 ชั้น และอาคารจอดรถ 9 ชั้นพร้อมชั้นใต้ดิน 1 ชั้น และเมื่อแยกอาคารจอดรถทำให้มีห้องพักตั้งแต่ชั้น 2 ไปจนถึงชั้น 38 ได้ข้อดีที่จะได้การรักษาความปลอดภัย 2 ชั้น ดูแลง่าย แต่อาจจะมีความไม่สะดวกในการขนของต่างๆเท่ากับแบบที่มีพื้นที่จอดรถภายในอาคารเดียวกัน เมื่อเข้ามาภายใน Lobby ที่มีส่วนที่เป็น Double Volume ความสูง 6.9 เมตรและมีบันไดวนขึ้นไปยังชั้น M และแบ่งพื้นที่ชั้นกลางๆที่ชั้น 23-24-25-26 เป็นพื้นที่ Facility ช่วยให้กระจายผู้ใช้งานในแต่ละพื้นที่ ได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น พื้นที่ส่วนกลางจะอยู่ในแนวทิศตะวันออกได้อาคารทางฝั่งทิศใต้และทิศตะวันตกช่วยบังแดดช่วงบ่าย มีจุดเด่นหลายจุด เช่นสระว่ายน้ำ Infinity Edge Pool รับวิวรอบด้านใต้ชายคาที่ยกสูง ทำให้รู้สึกโล่งและสามารถใช้งานได้หลายช่วงเวลา นอกจากนั้นก็จะมีที่ชั้น 38 และดาดฟ้าที่จะเป็น Lounge และพื้นที่สีเขียวอีกด้วย ภายในอาคารพักอาศัยจะสูงสุดที่ 17 ยูนิต/ชั้น

แบบห้องจะมีทั้งหมด 3 แบบคือแบบ 1 ห้องนอนขนาด 27-28 ตารางเมตร ซึ่งแบบนี้ก็จะมีจำนวนยูนิตไม่เยอะนัก จำนวนยูนิตจะมาเยอะที่แบบ 1 ห้องนอนขนาด 34-36 ตารางเมตร ส่วนแบบ 2 ห้องนอนจะมีเพียง 1 ยูนิต/ชั้น ซึ่งการออกแบบห้องเด่นตรงที่รายละเอียดในงานออกแบบอย่างการที่มีหน้าต่างบานใหญ่บานกระทุ้ง ทำให้ลมเข้ามาหมุนเวียนในห้องได้ดี เน้นความโล่งด้วยแนวกระจกขนาดใหญ่และความสูงของห้องที่ 2.7 เมตร ซึ่งเป็นมาตรฐานของ The Line อยู่แล้ว และมีงาน Built-in ที่ออกแบบได้ตอบสนองต่อการใช้งาน ส่วนระเบียงมีการเก็บ Compressor Air ไว้ด้านบนเรียบร้อย ทำให้ใช้งานระเบียงได้มากยิ่งขึ้น และบางรูปแบบก็มีประตูเปิดเข้าระเบียงได้ทั้งสองทางด้วย แต่ก็จะต้องแลกกับการเสียช่องแสงบนประตูไป

สาธารณูปโภค : ก่อนอื่นเลยคือโครงการพึ่งสร้างเสร็จมาไม่ถึงหนึ่งปี สภาพโครงการยังใหม่เหมือนพึ่งแกะกล่อง ภายในมีการจัดการดูแลได้ดีมาก มีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆมาใช้อำนวยความสะดวกค่อนข้างเยอะ เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ ส่วนภายในอาคารเริ่มตั้งแต่ Lobby ที่ชั้น 1 สูง 6.9 เมตร มีบันไดวนขึ้นไปยังชั้น M ที่มี Terrace Garden ภายในอาคารพักอาศัยมีลิฟต์โดยสาร 3 ตัว มี Service Lift 1 ตัว ทำให้อัตราส่วนการใช้งานอยู่ที่ 157:1 หนาแน่นเหมือนกันนะ มี Main facility อยู่ที่ชั้น 23-24-25-26 โดยสามารถเข้าถึงได้จากชั้น 24-25 โดยจะมีบันไดเชื่อมขึ้น-ลงไปถึงอีกสองชั้นที่เหลือที่พื้นที่ส่วนกลาง ชั้น 24 มีสระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาด 5 x 30 เมตร มีสระเด็กและ Jacuzzi ภายใน และรอบๆสระจะมีทางเดินเชื่อมไปที่ส่วนพื้นที่นั่งเล่นแบบ Outdoor ส่วนต่างๆรวมถึงบันไดลงไปยัง Lower terrace ที่ชั้น 23 ข้างสระมีห้องน้ำแยกชายหญิงภายในมี Stream Room ข้างๆมีบันไดขึ้นไปยังห้องฟิตเนส และขึ้นอีกทีไปยังพื้นที่สีเขียวเหนือฟิตเนส พื้นที่ส่วนกลางจะมีอีกทีที่ชั้น 38 ที่เป็น Lounge และ Rooftop ที่เป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ นอกจากนั้นก็จะมีอาคารจอดรถสูง 9 ชั้นพร้อมชั้นใต้ดิน

Judgement

การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 170,000 บาท/ตร.ม. 30 May 2019

  • ทำเล 8/10 – ความอุดมสมบูรณ์ดี ติดถนนใหญ่ดินแดง ใกล้แยกพระราม 9
  • เดินทางด้วยรถ 7.75/10 – ใกล้ทางด่วน ใช้ U-turn หน้าโครงการได้ทั้ง 2 จุด  ติดถนนหลักใช้งานสะดวก
  • ไม่ใช้รถ 8/10 – ห่าง MRT พระราม9 – 300 ม. ห่าง APL มักกะสัน- 800 ม.
  • วัสดุ 7.5/10 – Fully Fitted ให้ Built-in ได้แอร์ ห้องครัว ห้องน้ำ หน้าต่างบานใหญ่
  • แบบ 7.5/10 – แยกอาคารจอดรถ ส่วนกลางใช้งานง่ายไม่มีแดด เน้น 1 ห้องนอน
  • สาธารณูปโภค 7.75/10 – มีนวัตกรรมอำนวยความสะดวก ส่วนกลางแยกหลายชั้นกระจายการใช้งาน

  • LUXURY CLASS
  • 7.81 / 10.00

BOTTOM LINE

The Line อโศก-รัชดา เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดใกล้แยกพระราม9 หรือคนที่ทำงานในทำเลพระราม9-รัชดา-อโศก เดินทางด้วยรถยนต์ก็สะดวก มี MRT เป็นอีกทางเลือกในการเดินทาง  และมีพื้นที่ Facility ให้ครบ โดยมีงบประมาณระดับ 5 ล้านขึ้นไป หรือมีกำลังผ่อนตั้งแต่ 35,000 บาท/เดือนขึ้นไป