รีวิวโครงการ

Niche Mono Ramkhamhaeng (นิช โมโน รามคำแหง) คอนโด High Rise และ Low Rise 5 อาคาร ติด MRT รามคำแหง 34 รถไฟฟ้าสายสีส้ม จาก เสนา [รีวิวฉบับที่ 2564]

27 มิถุนายน 2023

อ่านรีวิวล่าสุด

คอนโด Niche Mono รามคำแหง รถไฟฟ้าสีส้ม MRT หัวหมาก

รีวิวฉบับที่ 1903 … มาแล้วครับกับรีวิวโครงการ Niche Mono รามคำแหง จาก เสนา หนึ่งในโครงการคอนโดติดรถไฟฟ้าสายสีส้มในย่านรามคำแหง MRT สถานี หัวหมาก ที่กำลังก่อสร้างและจะเปิดให้บริการในอนาคต ทำเลสะดวก หาของกินง่าย และมีจุดเด่นในเรื่องของ facilities ที่ให้มาค่อนข้างเยอะและหลากหลาย มีอาคารให้เลือกทั้ง High Rise และ Low Rise รายละเอียดจะเป็นอย่างไรไปรับชมกันเลยครับ

Fact @ 11 July 2019

  • Niche Mono Ramkhamhaeng (นิช โมโน รามคำแหง)
  • บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
  • MAIN CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment ได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ในเขต : ถนนรามคำแหง เขตบางกระปิ
  • คอนโด High Rise 2 อาคาร Low Rise 3 อาคาร
  • ยูนิตรวมทั้งหมด 1,698 ยูนิต ร้านค้าทั้งหมด 9 ยูนิต

  • High Rise สูง 37 และ 33 ชั้น
  • Low Rise สูง 7 ชั้น

  • อาคารจอดรถสูง 5 ชั้น 1 อาคาร ที่จอดรถรวมทั้งโครงการ 51% รวมซ้อนคัน
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 27 ยูนิตที่อาคาร B
  • ที่ดินประมาณ 14-2-74 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง : Q4 2562
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ : Q4 2564
  • 1 Bedroom 28 – 31 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.99 – 2.97 ล้านบาท
  • 1 Bedroom Plus 33.5 – 38 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.66 – 3.9 ล้านบาท
  • 2 Bedrooms 45 – 51 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.34 – 5.2 ล้านบาท
  • ฝ้าเพดานสูง 2.6 เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 85,000 บาท/ตร.ม.
  • EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : อยู่ระหว่างดำเนินการ
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • Call Center :  1775 ต่อ 69
  • สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างครับ


    เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

    พิกัด Google Maps : 13.761610, 100.637103
    หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

    แผนที่จากทางโครงการครับ

    โครงการ Niche Mono ราคำแหง ตั้งอยู่ติดกับถนนใหญ่รามคำแหง ระหว่างซอยรามคำแหง 36 และ 36/1 โดยที่ถนนรามคำแหงนี้มีซอยทางลัดที่สามารถไปเชื่อมต่อกับถนนหัวหมากได้หลายซอย เช่น ซอย 32 และซอย 40 เป็นต้น ทำเลรามคำแหงนั้นหลายๆคนคงทราบดีว่ารถติดมากแค่ไหน เพราะช่วงนี้ยังมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มกันอยู่เลยครับ แต่ถ้าการก่อสร้างแล้วเสร็จก็จะทำให้การเดินทางของทำเลย่านนี้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยบริเวณที่รถติดหนักๆ จะอยู่ในช่วงตั้งแต่หน้าม.รามคำแหง ไปจนถึงแยกคลองตัน ดังนั้นถ้าใครที่ต้องใช้ชีวิตเข้าเมืองไปทางราชเทวี พญาไท หรือพระราม 9 ก็คงจะต้องเผื่อเวลารถติดสักหน่อย ถ้าขึ้นทางด่วนได้ก็ง่ายแล้วล่ะครับ แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตมาทางลาดพร้าว พัฒนาการ หรือศรีนครินทร์ จะค่อนข้างสะดวกมากกว่า เพราะตัวโครงการจะตั้งอยู่ไม่ไกลจากแยกหัวหมาก ซึ่งรถก็จะติดเยอะๆบริเวณช่วงนี้เท่านั้น สามารถออกเมืองไปทางมีนบุรี ลาดกระบัง ชลบุรี หรือสมุทรปราการก็ง่ายครับ

    เรื่องความอุดมสมบูรณ์ของทำเลนี้จะอิงห้างใหญ่ในพื้นที่อย่าง The Mall บางกะปิ และห้างหรือตลาดอื่นๆ ที่อยู่บริเวณแยกบางกะปิเป็นหลัก หรือถ้าใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศก็จะมี  The Mall รามคำแหง และห้าง Major ให้แวะไปใช้งานกันได้ แต่ด้วยปัจจุบันที่ยังคงต้องพึ่งการเดินทางด้วยรถยนต์อยู่นั้นจึงทำให้ไปใช้งานได้ยากกว่า (เพราะรถติด) แต่หากในอนาคตที่รถไฟฟ้าสร้างเสร็จ ก็จะสามารถนั่ง MRT ไปลงที่หน้าห้างได้เลยครับ ค่อนข้างสะดวกมากๆ ห่างออกไปเพียง 2 – 3 สถานีเท่านั้น และใกล้กับโครงการจะเป็นโรงพยาบาลรามคำแหง ซึ่งรอบๆก็ค่อนข้างคึกคักและอุดมสมบูรณ์มากทีเดียว (ซึ่งเดี๋ยวจะพาไปเดินชมในพาร์ทต่อไปครับ) ส่วนบริเวณมหาลัยรามคำแหงนั้นจะมีสนามกีฬาขนาดใหญ่อย่าง ราชมังคลากีฬาสถาน ตั้งอยู่อีกด้วย โดยในช่วงที่มีวันจัดงานการแข่งขันก็จะทำให้บริเวณย่านนี้คึกคักมากๆเลยนะ รถก็อาจจะติดหน่อย แต่สำหรับคนที่อยู่ในย่านนี้และเป็นคอกีฬาด้วยแล้ว ก็สามารถไปชมการแข่งขันสดๆได้ไม่ยากเลยครับ

    อย่างที่เกริ่นไปแล้วครับว่าถนนรามคำแหงจะมีรถไฟฟ้าสายสีส้มวิ่งผ่านในอนาคต ซึ่งจะแล้วเสร็จประมาณปี 2566 ส่วนตัวคอนโดนั้นจะก่อสร้างแล้วเสร็จก่อนในปี 2564 ซึ่งอาจต้องรอกันอีกหน่อยนะสำหรับใครที่ต้องการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า โดยตำแหน่งของสถานีนั้นจะอยู่ติดกับรั้วโครงการด้านหน้าเลยครับ คือ สถานีหัวหมาก และถัดออกไปอีกแค่ 1 สถานี ก็จะเป็นสถานี Interchange กันระหว่างสายสีส้มกับสายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) ที่วิ่งไปตามเส้นถนนลาดพร้าวและถนนศรีนครินทร์เพื่อไปทางสมุทรปราการครับ

    หากใครที่ทำงานในเมือง (ทองหล่อ – อโศก) แล้วไม่อยากเจอรถติดบนท้องถนน หรือรอใช้รถไฟฟ้าในอนาคตไม่ไหว สำหรับย่านนี้แล้วยังมีอีกการเดินทางหนึ่งที่สามารถเดินทางเข้าเมืองได้สะดวกคือ “ท่าเรือคลองแสนแสบ” นั่นเองครับ โดยท่าเรือที่อยู่ใกล้โครงการมากที่สุดคือ ท่าเรือวัดกลาง อยู่ห่างจากโครงการประมาณ 650 m. ซึ่งเป็นระยะที่สามารถเดินได้นะครับ แต่ก็แอบเหนื่อยหน่อย สามารถข้ามสะพานลอยที่อยู่ไม่ไกลเพื่อไปฝั่งตรงข้ามได้ และจะต้องเดินเลียบถนนไปเรื่อยๆ โดยความจริงแล้วเราสามารถเข้าซอยย่อยๆได้หลายซอย เพื่อไปเชื่อมต่อไปยังทางเดินเลียบคลองแสนแสบทางด้านหลังได้ แต่ผมจะแนะนำให้ใช้ซอยรามคำแหง 81 ซึ่งเป็นซอยใหญ่มากกว่า เพราะถนนกว้าง ไม่เปลี่ยว และทางเท้ากว้างปลอดภัยครับ

    ส่วนทางด่วนจะสามารถใช้ได้ 2 เส้นทางเลยคือ ทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษศรีรัช โดยทางด่วนทั้ง 2 เส้นนั้น จะต้องเผื่อเวลารถติดตลอดเส้นทางบนถนนรามคำแหง โดยเฉพาะแยกรามคำแหง และแยกคลองตัน ประมาณครึ่งชั่วโมงกันด้วยนะครับ ซึ่งจะอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 4.9 – 5.6 km.

    แต่สำหรับใครที่ต้องออกไปทำงานนอกเมืองแถวลาดกระบัง – ชลบุรี ก็ง่ายมากๆครับ เพราะมีมอเตอร์เวย์ให้ใช้งานได้ ห่างจากโครงการประมาณ 4.7 km. และใช้เวลาเดินทางน้อยกว่าเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

    สำหรับการเดินทางในวันนี้ผมมาจากทางศรีนครินทร์ ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถใช้ทางลัดเข้าสู่ถนนหัวหมาก แล้วมาออกถนนรามคำแหงที่ซอยรามคำแหง 40 ได้นะ สามารถเลี่ยงรถติดบริเวณแยกลำสาลีที่ค่อนข้างติดมากได้ แต่ผมจะเลือกขับตรงมาที่แยกลำสาลี เพื่อให้ชมบรรยากาศจริง เพราะช่วงแยกหัวหมากมาจนถึงตัวโครงการจะมีการก่อสร้างอยู่ และมีการใช้เส้นทางชั่วคราวบางจุด เผื่อใครจะเดินทางมาโดยเส้นทางนี้เหมือนกันจะได้ไม่หลงกันนะ

    เริ่มต้นบนถนนศรีนครินทร์ก็ให้ขับตรงไปเรื่อยๆ ตามป้ายบอกทางไปบางกะปิครับ

    มาถึงบริเวณแยกลำสาลีแล้ว ก็ให้เลี้ยวซ้ายไปทางรามคำแหงได้เลยครับ ซึ่งตรงจุดนี้เองความจริงแล้วทางซ้ายมือจะมีช่องทางให้เบี่ยงซ้ายได้อยู่นะ แต่ปัจจุบันเค้าเปิดทางเพื่อก่อสร้าง เราก็เลยต้องมาเลี้ยวตรงสี่แยกแทนครับ

    ขับตรงไปเรื่อยๆบนถนนรามคำแหง ซึ่งระหว่างทางจะเจอทางเบี่ยงขวา เพราะเค้ากำลังก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าอยู่นะ

    พอเราขับตรงมาจนพ้นระยะเส้นทางเดินรถชั่วคราวแล้ว ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ทางซ้ายมือเลยครับ ระวังอย่าขับเลยนะ (หรือมีจุดสังเกตได้อีกอย่างคือ ป้ายโฆษณาโครงการสีส้มๆขนาดใหญ่ทางขวามือครับ)

    เมื่อถึงหน้าโครงการก็ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่โครงการได้เลย

    ตัว Sale Gallery ออกแบบมาในสไตล์ Modern ซึ่งความจริงแล้วคือ Retail Mall ของโครงการในอนาคตนั่นเองครับ ส่วนที่จอดรถก็จะอยู่ทางด้านหลังนะ ใครกลัวร้อนก็ไม่ต้องห่วง เพราะจะมีพี่ยามวิ่งมากางร่มให้ถึงที่เลยทีเดียว

    บรรยากาศภายใน Sale Gallery ค่อนข้างกว้างขวางทีเดียวครับ ด้านซ้ายมีที่นั่งให้หลายชุดเลย ตรงกลางเป็นเคาน์เตอร์เจ้าหน้าที่ซึ่งจะคอยให้ข้อมูลต่างๆได้ ส่วนทางขวาจะเป็นโมเดลครับ

    ซึ่งนอกจากโมเดลแล้วก็ยังมีข้อมูลอื่นๆ ของโครงการติดตั้งเอาไว้ให้ชมกันอีกเพียบ ส่วนห้องตัวอย่างจะต้องข้ามทางเชื่อมอาคารมาอีกฝั่งครับ จะมีอยู่ทั้งหมด 3 ห้องด้วยกัน

    **รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะครับ

    บริบทโดยรอบโครงการส่วนมากจะเป็นชุมชนแนวราบนะครับ อาคารเน้น take view 2 ฝั่งเป็นหลัก มีอาคารสูงเป็นคอนโดเพื่อนบ้านอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้อยู่ในระยะประชิด สามารถสรุปได้ดังนี้

    • ทิศเหนือ : เป็นทางเข้า-ออกหลักของโครงการ ติดถนนรามคำแหง ได้วิวชุมชนแนวราบฝั่งลาดพร้าวและคลองแสนแสบ
    • ทิศใต้ : ติดกับชุมชนแนวราบ และมองเห็นวิวฝั่งหัวหมาก
    • ทิศตะวันออก : ติดกับชุมชนแนวราบ ที่ว่าง และเห็นคอนโดสูงอยู่บ้างในระยะ 300 m. ได้วิวฝั่งศรีนครินทร์
    • ทิศตะวันตก : ติดกับชุมชนแนวราบ โรงพยาบาลรามคำแหง โรงงาน และโกดังสินค้า มีแนวคอนโดสูงอยู่ในระยะ 1 km.

    มาเดินดูรอบๆโครงการกันครับ ทางด้านหน้าติดกับถนนรามคำแหง และฝั่งตรงข้ามเป็นชุมชนแนวราบดั้งเดิม ปัจจุบันยังไม่มีตึกสูงบังนะ

    ทางด้านซ้ายของโครงการจะอยู่ติดกับ MRT สถานีหัวหมาก ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่เลยครับ

    ถัดมาจะมีซอยเล็กๆอย่างซอยรามคำแหง 36/1 ซึ่งภายในจะเป็นชุมชนแนวราบทั่วไปเนี่ยแหละครับ แต่บริเวณต้นซอยไม่ลึกมากจะมีร้านธงฟ้าประชารัฐตั้งอยู่ ซึ่งจะขายของค่อนข้างถูกกว่าร้านสะดวกซื้อหรือซุปเปอร์ทั่วไป สามารถเดินมาอุดหนุนกันได้ง่ายๆนะ

    ต่อมาเราจะไปดูทางด้านขวาของโครงการกันบ้างนะครับ

    ทางด้านนี้จะมีซอยรามคำแหง 36 ตั้งอยู่ ซึ่งบริเวณหน้าปากซอยจะมีป้ายรถเมล์ขนาดใหญ่ มีร้านกาแฟ Amazon เซเว่น และมีสะพานลอยให้เดินข้ามถนนได้อีกด้วย

    ขึ้นมาชมบรรยากาศจากด้านบนสะพานลอยกันครับ ทางฝั่งนี้เป็นทิศที่มุ่งหน้าไปทางรามคำแหง จะเห็นว่าส่วนมากยังเป็นชุมชนแนวราบ แต่ก็เริ่มมีอาคารสูงเกิดขึ้นมาในพื้นที่อยู่บ้างครับ ซึ่งจะเป็นพวกคอนโดมิเนียมและอาคารสำนักงานเป็นส่วนใหญ่

    แต่ที่น่าสนใจคือทางด้านซ้ายมือ คือถ้าเราเดินเลยสะพานลอยนี้ไปอีกหน่อยก็จะเจอซอยรามคำแหง 34 หรือซอยข้างโรงพยาบาลนั่นเอง โดยซอยนี้ค่อนข้างคึกคักและอุดมสมบูรณ์มากครับ ถัดมาจะเป็นโรงพยาบาลรามคำแหง ซึ่งอยู่ห่างจากโครงการเพียง 80 m. เท่านั้น โดยทางเข้านี้จะสามารถไปออกถนนหัวหมากทางด้านหลังโรงพยาบาลได้ด้วย หรือจะใช้เป็นซอยรามคำแหง 32 ที่อยู่ถัดไปก็ได้เช่นกันครับ

    สำหรับบรรยากาศภายในซอยรามคำแหง 34 หรือซอยข้างโรงพยาบาล (เป็นซอยตัน) บริเวณต้นซอยจะมีร้านค้าร้านอาหารตลอด 2 ข้างทาง ค่อนข้างคึกคักมากครับ เห็นหมอและพยาบาล หรือแม้แต่คนที่มาธุระที่โรงพยาบาล และคนในละแวกนี้ก็มาฝากท้องหรือมาอุดหนุนกันอยู่ตลอดทั้งวัน ซึ่งจากคอนโดเองก็สามารถเดินมาได้ไม่ยากเลยครับ

    นอกจากนี้บริเวณหน้าปากซอยยังมีวินมอไซค์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ อัตราค่าโดยสารตามนี้เลยครับ

    ถัดมาเป็นทางเข้าโรงพยาบาลรามคำแหง อย่างที่บอกไปแล้วว่าทางเข้านี้สามารถไปออกถนนหัวหมากที่ด้านหลังโรงพยาบาลได้ ซึ่งผมก็ถามพี่ยามคนนี้ให้แล้วว่าเส้นทางนี้จะเปิดตลอด 24 ชม. นะ และภายในโรงพยาบาลเองก็จะมีร้านค้าต่างๆ เหมือนในโรงพยาบาลเอกชนทั่วไปอีกด้วย

    กลับมาดูอีกฝั่งของสะพานลอยกันบ้างครับ ทิศทางนี้จะมุ่งหน้าไปแยกหัวหมาก ซึ่งปัจจุบันเค้าก็กำลังก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มกันอยู่อย่างที่เห็น ส่วนที่ตั้งโครงจะอยู่ทางขวามือครับ

    ปัจจุบันโดยรอบโครงการจะยังไม่มีตึกสูงในระยะประชิดนะครับ ทำให้สามารถ take view ระยะไกลได้ดีเลย

    ไหนๆก็ข้ามมาที่ถนนฝั่งตรงข้ามแล้ว ผมจะลองพาเดินไป The Mall บางกะปิ กันสักหน่อยว่าจะเดินไปได้มั๊ย โดยทางฝั่งนี้ก็จะมีการก่อสร้างสถานีเช่นกัน อนาคตถ้ารถไฟฟ้าสร้างเสร็จก็สามารถใช้เส้นทางใต้ดินเพื่อลอดใต้ถนนมาฝั่งตรงข้ามแทนการขึ้นสะพานลอยได้นะครับ แดดไม่ร้อนดีด้วย

    บรรยากาศระหว่างทางเดินส่วนมากจะเป็นอาคารพาณิชย์ที่ไม่ค่อยมีร้านค้าคึกคักมากนัก แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยวอะไร ทางเดินกว้างแต่ไม่ค่อยมีร่มเงาให้เดินนะครับ (จะมีต้นไม้แบบในภาพอีกทีก็ตอนใกล้ถึงแล้ว) ยิ่งตอนกลางวันแดดร้อนๆ บวกกับระยะทางประมาณ 650 m. จากหน้าโครงการมาถึงปากซอยทางลัดไปยังด้านหลัง The Mall นี่ก็ค่อนข้างเหนื่อยพอสมควรเลย แนะนำให้นั่งรถสาธารณะจะสะดวกกว่านะ

    และเมื่อเรามาถึงทางลัดด้านหลัง The Mall แล้ว ก็จะมีทางเลือกเพื่อเดินทางไปยังตัวห้างให้ 2 ทางครับ หนึ่งคือเราสามารถใช้บริการรถตู้ฟรีของห้างได้ แต่อาจต้องรอนานหน่อยนะ ประมาณ 15 – 30 นาทีถึงจะออกสักเที่ยวหนึ่ง หรือเราจะเดินไปเองก็น่าจะไวกว่า ซึ่งเค้าจะมีทางเดินเป็นสะพานข้ามคลองแสนแสบอยู่ทางด้านหลังครับ

    และเมื่อเราลงสะพานลอยมาก็จะสามารถเดินตรงไปตะวันนาที่อยู่ด้านหน้า เพื่อเชื่อมต่อไปยัง The Mall ที่อยู่ทางด้านขวาได้ครับ ระยะทางรวมๆจากโครงการถึงตัวห้างจริงๆนั้นก็ประมาณ 1.2 km. ถ้าเป็นคนขยันเดินก็เดินได้นะ แต่แนะนำให้ใช้รถสาธารณะจะสะดวกกว่าครับ

    สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

    • รพ.รามคำแหง ~ 80 ม.
    • ม.รามคำแหง ~ 1.6 กม.
    • ราชมังคลากีฬาสถาน ~ 2 กม.
    • ตะวันนา ~ 2.6 กม. (ระยะเดิน : 1.2 กม.)
    • บิ๊กซี หัวหมาก ~ 2.8 กม.
    • รร.สาธิต ม.รามคำแหง ~ 2.8 กม.
    • พันธุทิพย์ พลาซ่า บางกะปิ ~ 2.9 กม.
    • ม.อัสสัมชัญ ~ 3.1 กม.
    • รร.บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ~ 3.5 กม.
    • รร.นานาชาติ BGIS ~ 3.5 กม.
    • เทสโก้ โลตัส ~ 3.6 กม.
    • แม็คโคร ~ 3.7 กม. (ระยะเดิน : 1.2 ม.)
    • รร.นานาชาติ RAIS ~ 4 กม.
    • รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ ~ 4.5 กม.
    • รพ.เวชธานี ~ 4.6 กม.
    • สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ~ 4.6 กม.
    • เมเจอร์ ฮอลลีวูด รามคำแหง ~ 5 กม.
    • รพ.วิภาราม ~ 5.1 กม.
    • The Nine พระราม 9 ~ 5.7 กม.
    • เดอะมอลล์ บางกะปิ ~ 6 กม. (ระยะเดิน : 1.2 กม.)
    • รร.นานาชาติ SISB ~ 6.4 กม.
    • รร.นานาชาติ LFIB ~ 6.4 กม.
    • ม.เกษมบัณฑิต ~ 6.4 กม
    • รร.นานาชาติเดอะรีเจ้นท์ ~ 6.5 กม.
    • ลอนดอน สตรีท พัฒนาการ ~ 7.1 กม.


    เจาะลึกตัวโครงการ

    ก่อนอื่นต้องเกริ่นกันสักนิดนะครับว่าโครงการ Niche Mono รามคำแหง มีทั้งโซนอาคาร High Rise และ Low Rise อยู่ภายในโครงการเดียวกัน บนพื้นที่ดินขนาด 14-2-74 ไร่ ซึ่งบริเวณด้านหน้าติดถนนใหญ่จะเป็นโซนอาคาร High Rise และจะมีอาคาร Low Rise อยู่ทางด้านหลัง สามารถเข้า-ออกได้จากทางด้านหน้าแค่ทางเดียวเท่านั้นนะครับ

    ขอเริ่มจากโซนอาคาร High Rise ที่อยู่ด้านหน้าก่อนเลย เป็นอาคารสูง 37 และ 33 ชั้น จำนวน 2 Tower แต่จะใช้ฐานโพเดี้ยมเดียวกัน คือชั้นจอดรถ 2 – 5 มีชั้น Main Facilities อยู่ที่ชั้น 6 – 7 และชั้นพักอาศัยจะเริ่มที่ชั้น 8 เป็นต้นไปครับ และที่ชั้นบนๆตั้งแต่ประมาณชั้น 29 เป็นต้นไป จะมีจำนวนห้องที่ลดลง จึงได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และจะมี Roof Top Facilities ให้ขึ้นไปใช้งานได้แก่ สวน และ Sky Lounge โดยใจปัจจุบันทางโครงการมีการแยกอาคารระหว่างอาคาร A จะขายให้กับชาวต่างชาติ และอาคาร B จะเปิดขายให้กับคนไทยนะ และจะมีการเปิดขายแต่ละชั้นหรือแต่ละอาคารไม่พร้อมกัน ซึ่งอันนี้ต้องลองสอบถามเจ้าหน้าที่ที่หน้างานในวันนั้นๆอีกทีนะครับ

    มาดู Master Plan กันสักหน่อยครับ บริเวณด้านหน้าจะมีพื้นที่ร้านค้าขนาดใหญ่อยู่ถึง 9 Shop ซึ่งจะเป็นร้านอะไรบ้างต้องรอดูกันต่อไปในอนาคตนะ แต่ร้านค้าเหล่านี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านได้พอสมควรเลย แน่นอนว่าพอตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าแบบนี้ก็อาจต้องมีคนภายนอกเดินมาใช้งานด้วยบ้างครับ (ติดถนนใหญ่และติดรถไฟฟ้าอีกด้วย) ส่วนเส้นทางเดินรถเข้ามาด้านในจะมีการหักเลี้ยวของเส้นทางเล็กน้อย ซึ่งผมมองว่าดีนะเพราะจะช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้ภายในโครงการได้ดี มองจากภายนอกจะไม่เห็นถนนในโครงการเลยครับ และอีกจุดหนึ่งที่ผมว่าดีก็คือ Jogging Track ที่อยู่ด้านหลังอาคาร ผมมองว่าค่อนข้างปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากๆ ไม่ต้องวิ่งริมทางเดินรถให้อันตราย และยังสามารถใช้เป็นสวนนั่งเล่นพักผ่อน หรือจะมองชมวิวออกมาจาก Lobby และ Co-Working Space ใต้อาคารได้อีกด้วย

    มาดูโมเดลกันต่อครับ Shop ทางด้านหน้าก็คือ Sale Gallery ที่เราอยู่ในปัจจุบันนี่เอง ซึ่งถนนทางเข้าโครงการด้านขวามือจะมีพื้นที่ให้จอดรถชั่วคราวเพื่อแวะซื้อของที่ร้านค้าก่อนเข้าโครงการได้อีกด้วย ติดกับโครงการทางซ้ายมือจะเป็นทางเข้าสถานี MRT หัวหมาก ถือว่าสะดวกมากๆ

    เส้นทางเดินรถอย่างที่เห็นไปในช่วงแปลนก็จะขับตรงเข้ามาเรื่อยๆ เพื่อมาเลี้ยวขึ้นไปจอดบนอาคารที่ชั้น 2 – 5 โดยที่จอดรถของอาคาร High Rise นี้นั้น คนที่อยู่โซน Low Rise ก็สามารถขับมาจอดได้เช่นกันนะ (เค้าไม่ได้ห้ามครับ) แต่ก็จะต้องเดินไกลหน่อย ส่วนมากก็จะขับไปจอดในโซนของตัวเองมากกว่า (บอกไว้เผื่อกรณีโซนนั้นๆเต็ม เพราะโครงการนี้สามารถจอดรถร่วมกันได้หมดเลยครับ) สำหรับโซน High Rise นี้ถ้าคิดเฉพาะในโซนตัวเองจะจอดรถได้ประมาณ 47% และโซน Low Rise จะจอดได้ประมาณ 70% รวมทั้งโครงการคือ 51% (แบบรวมจอดซ้อนคัน)

    ส่วน Jogging Track ที่อยู่ด้านหลังอาคารก็จะมีการปลูกต้นไม้ให้ความร่มรื่นตลอดทางเดิน ดูน่าใช้งานและเป็นส่วนตัวดีครับ

    ชั้น Main Facilities จะอยู่บริเวณชั้น 6 – 7 กินพื้นที่สูงถึง 2 ชั้น และเชื่อมต่อกันทั้ง 2 อาคาร จึงทำให้มีขนาดพื้นที่ส่วนกลางที่ใหญ่ขึ้นครับ ซึ่งผมจะแบ่งออกได้เป็น 2 โซนคือ Relax zone ที่อาคาร A เหมาะสำหรับการพักผ่อน และ Active zone ที่อาคาร B เหมาะสำหรับการออกกำลังกายครับ

    มาเริ่มกันที่ส่วนกลางด้านหน้าสุดเป็น Relax zone ที่อยู่ใต้อาคาร A หลักๆ จะประกอบไปด้วย Jacuzzi และ Passive Pool ยาว 30 m. ซึ่งตัวสระว่ายน้ำนี้จะอยู่ใต้อาคาร ทำให้สามารถว่ายน้ำเล่นได้ตลอดทั้งวัน ตกแต่งโดยรอบด้วยสวนและต้นไม้ คล้ายกับสระว่ายน้ำสวยๆตามรีสอร์ท จึงเหมาะที่จะว่ายน้ำ หรือแช่น้ำเล่นๆมากกว่าที่จะว่ายน้ำจริงจัง เพราะถ้าอยากว่ายออกกำลังกายเค้าจะมีโซนแยกให้อยู่อีกฝั่งแล้วครับ นอกจากนี้ในอาคารก็ยังมี Lounge และ Co-Kitchen ให้ได้ใช้งานอีกด้วย

    สำหรับบรรยากาศจำลองของ Passive Pool และ Jacizzi ก็จะเป็นประมาณนี้ครับ มีการใช้ Water Feature และเล่นระดับน้ำตก ช่วยสร้างความผ่อนคลายทั้งการมองเห็นและการได้ยินเสียงของน้ำไหลเป็นธรรมชาติได้ดี โดยรอบก็ปลูกต้นไม้ประดับเพื่อความสดชื่น

    ส่วนบริเวณกลางๆ ซึ่งก็ยังอยู่ใต้อาคาร A อยู่นั้น จะถูกจัดเป็นสวน Courtyart และ Jogging Track ให้ลูกบ้านได้ขึ้นมาใช้งาน นั่งพักผ่อนกันได้แบบส่วนตัว ซึ่งจะแตกต่างจากสวนชั้น 1 เพราะนอกจากจะอยู่ใต้อาคาร มีความร่มรื่น สามารถมาใช้งานได้ตลอดวันแล้ว ยังได้ลมพัดโกรกเย็นสบาย เพราะอยู่ชั้น 6 อีกด้วย ส่วนทางด้านซ้ายมือจะมีทางเดินแบบมีหลังคาคลุมเชื่อมต่อไปยังอาคาร B ได้ โดย Facilities ของอาคาร B จะมีทั้งชั้น 6 และชั้น 7 ที่จะสามารถเดินขึ้นจากบันไดนี้ได้เลยครับ

    บริเวณชั้น 7 ส่วนนี้เรียกว่า Sport Village หรือเป็นโซน Fitness ที่จะเปิดให้บริการตลอด 24 ชม. ถือเป็นจุด Signature ของโครงการที่มีการออกแบบพื้นที่แต่ละโซน และแต่ละฟังก์ชันแยกออกจากกันเป็นห้องๆ ไป ลักษณะคล้ายกับกล่องสี่เหลี่ยมหลายขนาดยื่นออกมาจากทางเดินที่อยู่ตรงกลางทั้ง 2 ด้าน ซึ่งผมก็มองว่าดีนะ เพราะแยกพื้นที่การใช้งานกันอย่างชัดเจนไม่รบกวนกัน

    ลองนึกภาพตามว่าคอนโดทั่วไปจะเป็นห้อง Fitness ขนาดใหญ่ในพื้นที่เดียวกัน แต่จะแยกฟังก์ชันเป็นโซนๆแบบไม่มีการกั้นแยก เวลาคนใช้งานโซนหนึ่งเสร็จแล้วเค้าจะเปลี่ยนโซน ก็จะต้องเดินลัดผ่านหน้าคนที่กำลังใช้งานอยู่ไปมา อาจเป็นการรบกวนกันได้ ซึ่งฟังก์ชันของโครงการนี้สามารถแก้ปัญหานั้นได้ครับ เพราะปกติแล้วเวลาคนเราออกกำลังกายในแต่ละวัน ก็จะเลือกที่จะบริหารเป็นส่วนๆ หรือเลือกใช้อุปกรณ์เป็นอย่างๆไป แต่อาจไม่สะดวกสำหรับบางคนที่ชอบเล่นวันนึงหลายๆอย่าง ซึ่งจะต้องเดินเข้า-ออกแต่ละห้องบ่อยๆครับ ^^”

    ภาพบรรยากาศจำลองของ Sport Village ก็จะใช้โทนสีดำเท่ๆแบบนี้ และมีเส้นสายสีเหลืองที่ช่วยเพิ่มความสนุกสนาน ดูสวยงามน่าใช้งาน เหมือนเวลาเราไปใช้ Fitness Center ตามห้างด้านนอกเลยครับ

    ส่วนอีกด้านของอาคาร B จะเป็น Acctive Pool ความยาว 50 m. เท่ากับสระว่ายน้ำโอลิมปิก สามารถว่ายออกกำลังกายได้จริงจัง และเป็นพื้นที่แบบ Semi – Outdoor ที่สามารถใช้งานได้ทั้งวัน แดดไม่ร้อน

    ภาพบรรยากาศจำลอง Active Pool บริเวณใต้อาคาร ซึ่งทั้ง 2 ข้างทางจะปลูกต้นไม้เพื่อความร่มรื่นเพราะได้ร่มเงาจะต้นไม้ แต่ต้องคอยเก็บใบที่ล่วงมาหน่อย แต่ก็ให้บรรยากาศที่ผ่อนคลายสไตล์รีสอร์ทดีครับ และทางด้านซ้ายยังแบ่งพื้นที่ข้างสระส่วนหนึ่งเป็นส่วนน้ำตื้นให้นั่งแช่น้ำเล่นได้อีกด้วย

    ตั้งแต่ชั้น 8 ขึ้นไปจะเป็นชั้นพักอาศัยครับ โดยตัวอาคารจะวางโถงลิฟต์เอาไว้ช่วงกลางๆ ทำให้สามารถใช้งานได้สะดวกทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งก็มีลิฟต์อยู่ถึง 4 ตัว พร้อม service lift อีก 1 ตัว ซึ่งมีจุดที่อยากให้สังเกตอยู่ 2 จุดด้วยกันครับ จุดแรก (กรอบสีส้มทางซ้ายของโถงลิฟต์) เป็นห้องที่อยู่ติดกับลิฟต์โดยสาร ซึ่งมักจะมีปัญหาเสียงรบกวนที่มาจากการทำงานของลิฟต์ โดยบริเวณผนังที่กั้นระหว่างตัวห้องกับลิฟต์ตรงนี้จะเป็นผนัง 2 ชั้น ที่จะมีช่องว่างอากาศอยู่ตรงกลาง ซึ่งในส่วนนี้ก็จะช่วยลดเสียงรบกวนของลิฟต์ได้ในระดับหนึ่งครับ

    ส่วนกรอบสีส้มทางด้านขวาเป็นห้องเก็บขยะ ซึ่งจะอยู่ด้านในประตูของห้อง service lift อีกทีหนึ่ง ดังนั้นโครงการนี้จึงไม่มีห้องไหนเลยที่จะอยู่ติดหรืออยู่หน้าห้องทิ้งขยะ ที่อาจมีคนมาใช้งานบ่อยทำให้ขาดความเป็นส่วนตัว หรือไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นรบกวนหน้าห้องครับ ส่วนห้องที่ผมมองว่าค่อนข้างดีสำหรับอาคาร A นี้คือตำแหน่งที่ผมตีกรอบสีแดงด้านหน้าสุด เพราะห้องไม่ติดกับใครเลยจึงได้ความเป็นส่วนตัว แถมยังเป็นห้องมุมที่ take view ได้โล่งถึง 2 ด้าน อีกด้วย ในขณะที่ห้องอีกฝั่งหนึ่งของอาคารจะ take view ได้แค่ด้านเดียว เพราะด้านข้างจะมีอาคาร B อยู่นั่นเอง

    ตัวอาคาร B จะมีลักษณะเหมือนกับอาคารที่แล้วเลยครับ คือเป็นลักษณะรูปตัว I ซึ่งจะเน้น take view 2 ฝั่งเป็นหลัก คือฝั่งแยกหัวหมาก-ศรีนครินทร์ทางด้านทิศตะวันออก ซึ่งฝั่งนี้จะได้วิวที่ค่อนข้างเปิดโล่ง และอีกฝั่งหนึ่งคือทิศตะวันตกหรือฝั่งรามคำแหง ซึ่งด้านนี้อาจจะร้อนมากกว่าหน่อยนะครับ แต่ก็เป็นด้านที่จะมีห้อง type เล็กขนาด 28 ตารางเมตร ซึ่งมีราคาที่หยิบจับได้ง่ายกว่าอยู่ด้วยเช่นกัน ส่วนห้อง 1 Bedroom Plus 38 ตารางเมตร จะมีอยู่เพียง 3 ห้องต่อชั้น ในตำแหน่งบริเวณมุมอาคารเท่านั้น ซึ่งอีกมุมหนึ่งที่เหลือจะเป็นห้อง 2 Bedrooms ที่มีชั้นละ 1 ห้องนั่นเอง ซึ่งใครที่สนใจห้องพิเศษเหล่านี้ต้องรีบกันหน่อยนะครับเพราะมีค่อนข้างน้อย (ได้ข่าวว่า 2 Bed ขายดีมาก) ส่วนตำแหน่งห้องที่ผมชอบของอาคารนี้ก็จะอยู่ตรงข้ามกับอาคารที่แล้วนะ เพราะจะเน้น take view เปิดโล่งอีกด้านของฝั่งหัวหมากแทนครับ

    สุดท้ายคือชั้น Roof Top จะมี Facilities ให้ขึ้นมาเดินสูดอากาศและชมสวนได้ครับ แต่ไม่สามารถออกมาใช้งานสวนได้นะ เราเดินได้แค่ตรงบริเวณบันไดด้านซ้ายมือเท่านั้นครับ ซึ่งสวนนี้ก็จะเป็นสวนที่เล่นระดับขั้นบันไดตามจำนวนห้องพักแต่ละช่วงชั้นที่หายไป นั่นหมายความว่ายิ่งชั้นสูงๆ ตัวชั้นพักอาศัยก็จะยิ่งมีความเป็นส่วนตัวนั่นเอง และที่บอกว่าเดินชมได้แค่สวนแต่ไม่ได้วิว นั่นเป็นเพราะผนังหรือกำแพงที่อยู่รอบๆนั้น น่าจะมีความสูงเกิน 2 – 3 m. ครับ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยนั่นเอง

    ส่วนถ้าใครอยากชมวิวก็จะต้องขึ้นมาที่ Sky Lounge ด้านบน ซึ่งจะสามารถชมวิวได้ถึง 3 ด้าน แบบ Panorama เลยทีเดียว โดยฟังก์ชันนี้จะมีอยู่ทั้ง 2 อาคารเลยครับ ลูกบ้านแต่ละอาคาร (รวมถึง Low Rise) จะสามารถขึ้นมาใช้งานได้ทั้ง 2 ตึกเลย (เฉพาะชั้น Facilities เท่านั้น) ส่วนตัวคิดว่าจะทำให้คนที่อยู่อาคารสูงอยู่แล้ว อาจขาดความเป็นส่วนตัวอยู่พอสมควรเลยครับ แต่ก็เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่อยู่ Low Rise ได้ขึ้นมาชมวิวสูงๆได้บ้างนั่นเอง

    ส่วนบรรยากาศภายใน Sky Lounge ก็จะเป็นฝ้าเพดานสูง และมีกระจกล้อมรอบ สามารถชมวิวได้กว้างแบบนี้เลย มีที่นั่งแยกกันหลายจุดไม่รบกวนกันด้วย

    ต่อมาเรามาดูกันที่โซนอาคาร Low Rise สูง 7 ชั้นกันบ้างครับ ซึ่งที่ดินก็จะต่อเนื่องมาจากด้านหน้านะ มี 3 อาคารพักอาศัย และ 1 อาคารจอดรถ ข้อดีของโซนนี้คือค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวมากครับ เพื่อนบ้านน้อยกว่า และไม่พลุกพล่านเหมือนโซน High Rise ด้านหน้า แต่จะอยู่ลึกและมีระยะทางจากหน้าโครงการที่ค่อนข้างไกล (วัดจากถนนใหญ่มาถึงตึก E ประมาณ 500 – 600 m.)

    ซึ่งแค่เดินออกจากโครงการก็เหนื่อยแล้วล่ะครับ ดังนั้นเค้าจึงมี shuttle bus 2 คัน ไว้คอยบริการรับ-ส่งลูกบ้านจากในโครงการไปยังด้านหน้าถนนใหญ่ แต่ช่วงเวลาเร่งด่วนตอนเช้า หรือเย็นๆ อาจจะมีคนใช้เยอะหน่อย แนะนำว่าคนที่อยู่ด้านในอาจเตรียมจักรยานส่วนตัวไว้สักคัน เพื่อปั่นไปจอดหน้าโครงการก็ได้นะครับ ประหยัด รวดเร็ว แถมได้สุขภาพอีกด้วย ซึ่งอาจลองให้นิติปรับปรุงเตรียมพื้นที่จอดรถจักรยานชั่วคราวเอาไว้ให้เพิ่มในอนาคตได้นะ

    นอกจากอาคารพักอาศัยแล้ว โซนด้านหลังนี้ยังมี Facilities เป็นของตัวเองแยกต่างหากอีกด้วย เพียงแต่จะไม่ได้มีขนาดใหญ่เหมือนกับโซน High Rise แต่ก็มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า แต่ถ้าใครอยากใช้ Facilities จริงจังก็สามารถไปใช้บนอาคารใหญ่ได้นะครับ

    มาดูโมเดลกันต่อโดยเริ่มจากพื้นที่ส่วนแรก ที่คั่นอยู่ระหว่างโซน High Rise กับโซน Low Rise คือ Multi Sport Court ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันเป็นได้ทั้ง สนามฟุตซอล หรือสนามบาสก็ได้ครับ โดยของจริงเค้าจะทำเป็นพื้นที่โล่งๆนะ แต่ในด้านการใช้งานจริงโดยมุมมองของคนที่เล่นกีฬาแบบนี้เหมือนกันอย่างผม ผมคิดว่าควรทำกรงเหล็ก หรือตาข่ายล้อมรอบด้วยในอนาคตจะดีครับ เพราะไม่ว่าจะเตะฟุตบอล หรือชูตบาส ก็จะทำให้ลูกบอลเด้งไปไกล อาจไปโดนรถ ต้นไม้ หรือคนแถวๆนั้นได้ ที่สำคัญคือเหนื่อยตอนวิ่งไปเก็บลูกครับ (T^T)

    ถัดเข้ามาด้านในจะเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ถูกล้อมรอบด้วยอาคารทั้ง 2 โดยสำหรับอาคาร C และ E นั้นจะเป็นรูปตัว L ส่วนอาคาร D ตรงกลางจะเป็นรูปตัว T และเป็นอาคารที่สามารถใช้งาน Facilities ของโซน Low Rise ได้ค่อนข้างสะดวกที่สุด แต่ก็เป็นส่วนตัวน้อยสุดด้วยเช่นกัน เพราะมียูนิตต่ออาคารเยอะสุดด้วย สำหรับอาคาร C จะอยู่ติดกับสนามฟุตซอลหรือสนามบาสเมื่อสักครู่นี้ และทางด้านนี้ก็จะเป็นพื้นที่สวนพักผ่อน ในขณะที่อาคาร D จะเป็นสระว่ายน้ำ และมี Fitness อยู่ใต้อาคาร เหมาะกับสายรักสุขภาพที่ชอบความเป็นส่วนตัวครับ

    โดยอาคาร Low Rise เหล่านี้จะมีห้องพักอาศัยเริ่มต้นตั้งแต่ชั้น 1 เลยนะ แล้วยังได้โถงทางเดินแบบ Single Corridor อีกด้วย มีความเป็นส่วนตัวมากๆ สังเกตห้องทางซ้ายมือที่หันหน้าออกไปทางสนามบาส ซึ่งจากโถงลิฟต์จะแยกเข้าไปยังส่วนพักอาศัยจะมีประตูที่ต้องใช้ Key Card Access กั้นแยกเพื่อความเป็นส่วนตัว ซึ่งห้องทางซ้ายนั้นจะมีอยู่แค่ 2 ห้องเท่านั้นที่ใช้งานโถงทางเดินร่วมกัน

    ส่วน Facilities อีกด้าน ระหว่างอาคาร D และ E จะเป็นสวนสำหรับพักผ่อน ถือเป็นโซนที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยที่ใต้อาคาร E ก็จะมี Co-Working Space ให้ได้ใช้งานอีกด้วย ใครที่เป็นหนอนหนังสือ หรือชอบทำงานที่บ้านสงบๆ ก็อาจเหมาะกับอาคารนี้นะครับ

    สำหรับอาคาร E เค้าไม่มีแปลนให้ดูนะ แต่จะมีเป็นของอาคาร D ครับ ซึ่งชั้น 1 จะมี Lobby และ Fitness แยกโซนกันอย่างชัดเจน แต่ที่ชอบคือห้องทางปีกซ้าย ซึ่งเราอาจได้วิวสระว่ายน้ำแบบเต็มๆ ถ้าในกรณีที่ทางโครงการใช้ไม้ยืนต้นแบบในโมเดลนะ เราจะสามารถมองผ่านต้นไม้เพื่อเห็นสระว่ายน้ำได้ (อย่างกับห้อง Pool Access เลยอ่ะ) โดยตรงระหว่างระเบียงห้องกับสระว่ายน้ำจะมีสวนเล็กๆคั่นอยู่ ซึ่งถ้าเค้าปลูกเป็นรั้วไม้พุ่มเตี้ยก็จะบังวิวสระทำให้มองไม่เห็น แต่ก็แลกกับได้ความเป็นส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นมาครับ

    ส่วนชั้น 2 – 7 ก็จะเป็นชั้นพักอาศัยทั้งหมด แน่นอนว่ายังได้โถงทางเดินแบบ Single Corridor อยู่นะ ซึ่งจะค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูง เน้นหันหน้ารับวิวส่วนกลางทางทิศตะวันออกเป็นหลัก แดดไม่ร้อนดีด้วยครับ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครชอบวิวสระว่ายน้ำหรือวิวสวนก็ต้องเลือกกันดีๆ แต่สำหรับอาคาร Low Rise ถ้าต้องการ take view ชั้น 1 แนะนำว่าไม่เกินชั้น 4 – 5 กำลังดีครับ มองลงมาจากระเบียงหรือหน้าต่างห้องยังได้วิวสวนหรือสระสวยๆอยู่ และมีจุดที่น่าสังเกตอีกอย่างตรงที่ผมตีกรอบสีส้มเอาไว้ จะมีการเว้นระยะห่างของผนังห้องกับลิฟต์โดยสาร เพื่อช่วยลดเสียงรบกวนเหมือนกับโซนอาคารสูงเลยครับ

    แล้วนอกจากจะจอดรถกลางแจ้งหน้าอาคารแต่ละหลังแล้ว ก็จะมีอาคารอาคารจอดรถแยกอยู่อีกด้วยครับ โดยถ้าคิดตามจำนวนยูนิตเฉพาะโซน Low Rise จะมีที่จอดถึง 70% เลยทีเดียว (แบบรวมซ้อนคัน) ซึ่งถ้าใครที่อยู่โซน High Rise แล้วที่จอดรถไม่พอ ก็สามารถมาจอดที่นี่ได้นะ (แต่อาจต้องเดินไกลหน่อย) อีกจุดหนึ่งที่ผมสังเกตได้คือ ระหว่างทางเดินจะไม่มีหลังคาคลุมตามเส้นทางเลยครับ ซึ่งตอนกลางวันเราอาจเจอแดดร้อน หรือถ้าฝนตกมาก็จะเปียกได้นะ ในอนาคตลูกบ้านสามารถลงขันกันเพื่อให้นิติทำเพิ่ม ช่วยอำนวยความสะดวกในส่วนนี้เพิ่มเติมได้ครับ

    สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

    • Lobby แยกอาคาร
    • สวนหย่อมที่ชั้น 1, 6 และดาดฟ้า
    • Jogging Track
    • Passive Pool ระบบ เกลือ ขนาดยาว 30 เมตร
    • Active Pool ระบบ เกลือ ขนาดยาว 50 เมตร
    • Swimming Pool (Low Rise) ระบบ เกลือ ขนาดยาว 30 เมตร
    • Jacuzzi
    • Co-Kitchen
    • Co-Working Space
    • Leveling Courtyard
    • Squash Court
    • Sport Village 24 Hr.

    • Yoga Studio
    • Pilates Studio
    • Cardio Studio
    • Weight Training
    • Cycling Studio
    • Steam Room
    • Boxing Room

  • Multi Sport Court Futsal & Basketball
  • Sky Lounge
  • ลิฟต์โดยสาร 4 ตัว/อาคาร (High Rise)
  • ลิฟต์โดยสาร 2 ตัว/อาคาร (Low Rise)
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 121 :  1
  • Service Lift 1 ตัว (High Rise)
  • ที่จอดรถประมาณ 51% (รวมจอดซ้อนคัน)
  • ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ  CCTV / Key Card
  •  


    Product Walkthrough

    แบบห้องของโครงการนี้มีอยู่ 3 แบบหลักๆ ขายแบบ Fully Furnish คือให้เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างตามที่เห็นภายในห้อง ยกเว้นฟูกที่นอน เครื่องใช้ไฟฟ้า(แต่ได้แอร์นะ) และของตกแต่งต่างๆ ประกอบด้วย

    • ห้อง 1 Bedroom ขนาด 28 – 31 ตารางเมตร (มีทั้งแบบครัวอยู่ด้านใน และครัวอยู่ด้านนอก)
    • ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 33.5 – 38 ตารางเมตร (มีทั้งแบบห้องปกติ และห้องมุม)
    • ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 45 – 51 ตารางเมตร (เป็นห้องมุม มีชั้นละ 1 ห้องเท่านั้น)

    ซึ่ง Sale Gallery จะมีห้องตัวอย่างให้ชมทั้งหมด 3 แบบครับ คือ 1 Bedroom Plus จำนวน 2 ห้อง และ 2 Bedrooms อีก 1 ห้อง จะเป็นอย่างไรนั้นไปชมกันเลยครับ

    ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 34.9 ตารางเมตร เริ่มด้วยพื้นที่ครัวด้านหน้าที่เป็นได้ทั้งครัวปิดทำอาหารได้ และยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่ foyer ต้อนรับไปด้วยในตัว ถัดเข้ามาด้านในจะเป็นห้องนั่งเล่น ซึ่งจะเชื่อมต่อทั้งห้องอเนกประสงค์และห้องนอนด้วยประตูกระจกบานเลื่อน จึงทำให้พื้นที่ห้องดูกว้าง โปร่งโล่ง และได้แสงสว่างที่เพียงพอจากทั้ง 2 ด้าน โดยระเบียงจะอยู่ในห้องนอน สามารถออกไปใช้งานได้ จุดเด่นของห้องนี้ที่ผมชอบมีอยู่ 2 อย่างคือ ทางเดินข้างโซฟาที่จะมายังห้องนอนนั้นค่อนข้างกว้าง จึงทำให้ห้องเลยดูกว้างมากขึ้นไปด้วย (ถ้าลองเปรียบเทียบกับอีกห้องหนึ่งที่ทางเดินแคบกว่าจะรู้สึกได้เลยครับ)

    ส่วนอีกจุดหนึ่งคือห้องน้ำ ซึ่งมีการกั้นฟังก์ชันแยกพื้นที่ใช้งานอย่างชัดเจน ทั้งส่วนโถสุขภัณฑ์และส่วนอาบน้ำ ทำให้สามารถใช้งานพร้อมกันได้ 2 คน เพียงแต่ห้องน้ำนี้จะอยู่ในห้องนอน อาจไม่สะดวกสำหรับคนที่มีแขกมาหาที่ห้องนัก สุดท้ายคือตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ในห้องที่ดูไม่ค่อยลงตัวหลายจุด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเหลี่ยมเสาที่ทำให้จัดวางได้ยาก โดยเฉพาะตู้เสื้อผ้า และโต๊ะทานอาหาร อีกจุดหนึ่งที่สำคัญคือตำแหน่งทีวีในห้องนอน ซึ่งจะไม่ค่อยตรงเซ็นเตอร์ของเตียง และอาจต้องติดเลยผนังออกมาอีกด้วย ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรเราลองไปชมพร้อมๆกันครับ

    ภายในห้องตัวอย่างเค้าจะมีป้ายเฟอร์นิเจอร์ที่แถมติดตั้งมาให้ดูด้วยนะครับ ซึ่งของห้องนี้ก็จะได้ตามนี้เลย และจะมีเครื่องปรับอากาศอีก 2 ตัวด้วยนะ

    ก่อนเข้าห้องเรามาแวะดูประตูตัวอย่างที่เค้าติดตั้งแยกมาให้ดูซะก่อนนะ เป็นประตูไม้บานทึบแบบไม่มีตาแมว พร้อมติดตั้ง Digital Door Lock มาให้ครับ

    เมื่อเข้ามาภายในห้องเราจะเจอกับส่วนครัวก่อน อย่างที่บอกไปแล้วว่าจะได้เป็นครัวปิด และยังทำหน้าที่เป็น foyer ต้อนรับส่วนแรกในตัวด้วย พื้นปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ กว้าง 1 m. สามารถใช้เดินเข้า-ออก หรือทำครัวได้สะดวก

    ความสูงพื้นถึงฝ้า 2.6 m. ติดตั้งไฟดาวน์ไลท์แบบฝังฝ้า มีสปริงค์เกอร์  พร้อมอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัย ที่สำคัญคือเค้าติดตั้งพัดลมดูดอากาศบนเพดานมาให้เพิ่มเติม เผื่อการทำอาหารไว้แล้วด้วยครับ

    ด้านซ้ายเป็นเคาน์เตอร์ครัวซึ่งมีที่เก็บของพอสมควร สังเกตที่มุมขวาบนเค้าจะไม่ได้ให้ชั้นวางของแบบดึงลงมาได้เหมือนโครงการอื่นๆของเสนา แต่จะติดตั้งเป็นชั้นคว่ำจานมาให้พร้อมถาดวาง ซึ่งจะมีขนาดใหญ่และจุของได้มากกว่าแบบชั้นที่ดึงลงมาแทนครับ ที่สำคัญคือไม่พังง่าย เพียงแต่คุณผู้หญิงที่ตัวเล็กๆก็อาจต้องเอื้อมกันหน่อยนะ

    Top เคาน์เตอร์เป็นหินสังเคราะห์ ซึ่งทนทานกว่าลามิเนตหรือเมลามีน ด้านหลังติดตั้งกระจก backsplash เพื่อกันคราบน้ำหรือน้ำมันกระเด็น จะได้ทำความสะอาดง่าย แต่อาจต้องติดตั้งด้านข้างเพิ่มเติม(ถ้าเป็นคนทำครัวหนักๆ) ส่วนเตาและเครื่องดูดควัน เป็นของ Franke ติดตั้งมาพร้อมอ่างล้างจาน 1 หลุมยี่ห้อเดียวกัน ขนาด 50 x 50 cm. ลึก 15 cm.

    ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นชุดตู้ Built in สำหรับวางเครื่องซักผ้าและตู้เย็นครับ โดยพื้นที่วางเครื่องซักผ้ามีขนาด 70 x 60 cm. ส่วนพื้นที่วางตู้เย็นมีขนาด 70 x 70 cm. สูง 1.7 m. ที่ผมชอบคือที่ตู้ด้านบนมีที่แขวนผ้าด้วยครับ เอาไว้แขวนผ้าที่จะซัก หรือจะแขวนเสื้อคลุมที่ใช้บ่อยๆก่อนออกจากห้องก็ได้นะ

    ประตูกระจกบานเลื่อนเป็นกรอบอลูมิเนียมสีธรรมชาติ และกระจกใสธรรมดา โดยประตูนี้จะไม่มีตัวล็อคนะครับ แต่จะเซาะร่องตรงกรอบบานเพื่อใช้เปิดประตูแทน ที่ผมชอบคือรางบนพื้น ซึ่งเค้าจะฝังรางลดระดับให้เสมอกับพื้นห้อง ทำให้เดินแล้วไม่สะดุด หรือเหยียบแล้วไม่เจ็บครับ แต่ก็ยังเก็บฝุ่นตามร่องอยู่เหมือนเดิม ต้องคอยทำความสะอาดบ่อยๆนะ

    เมื่อเข้ามาภายในจะเจอกับห้องนั่งเล่นที่ค่อนข้างโปร่งโล่งมาก เพราะได้แสงธรรมชาติจากผนังกระจกทั้ง 2 ด้าน อีกทั้งยังดูเป็นพื้นที่เชื่อมต่อถึงกันแต่ยังเป็นสัดส่วนดีครับ โดยพื้นจะเปลี่ยนพื้นไม้ลามิเนต และผนังของจริงจะฉาบเรียบทาสีนะ

    เริ่มกันที่ฟังก์ชันแรกขวามือเป็นโต๊ะทานอาหารที่เค้าแถมมาให้ ซึ่งสามารถวางโต๊ะได้ 2 ที่นั่งแบบนี้ ความจริงแล้วเราสามารถใช้โต๊ะแบบที่พับขยายด้านข้างเพิ่มอีก 2 ที่นั่ง ที่มีขายตาม IKEA ได้นะ เพราะยังมีพื้นที่ด้านข้างเหลืออยู่ เวลาไม่ใช้ก็สามารถพับเก็บเป็นระเบียบแบบนี้ได้ แต่เวลาใช้งานตอนขยายโต๊ะนั้นอาจเดินผ่านไม่สะดวกเท่านั้นเองครับ

    ส่วนด้านขวาจะเป็นตู้เก็บของและตู้รองเท้า ซึ่งเวลาใช้งานจริงอาจต้องถอดหรือใส่รองเท้าในครัวจะดีกว่านะครับ เพราะพื้นกระเบื้องทำความสะอาดง่ายกว่า พื้นไม้ในห้องจะได้ไม่เสียเร็วด้วย ดังนั้นจึงอาจต้องหยิบเพื่อเดินไปใส่สักหน่อยนะ ส่วนหน้าบานก็จะติดตั้งกระจกเงามาให้ส่องดูความเรียบร้อยก่อนออกจากห้องในตัวด้วยครับ

    ถัดเข้ามาด้านในเป็นพื้นที่นั่งเล่น มีระยะดูทีวีกว้าง 2 m. สามารถใช้ทีวีขนาด 40 – 46 นิ้วได้ครับ แต่ไม่กว้างมากพอที่จะวางโต๊ะกลาง เพราะจะขวางทางเดินไปห้องอเนกประสงค์ไปสักหน่อย หรือถ้าอยากจะวางก็ควรหาโต๊ะกลมเล็กๆ หรือโต๊ะที่สามารถสอดเข้ามาเก็บที่โซฟาได้ครับ

    ตู้วางทีวีและโซฟาเราจะได้ตามห้องตัวอย่างนี้เลยครับ โดยที่โซฟานั้นจะมีช่องเก็บของอยู่ตรงด้านข้างอีกด้วย ซึ่งฟังก์ชันนี้สามารถช่วยเก็บของได้โดยที่ไม่ต้องใช้โต๊ะกลางเสริม เว้นแต่ว่าต้องการวางเครื่องดื่มหรือขนมทานเล่นขณะดูทีวีนะครับ

    ติดกันจะเป็นประตูกระจกบานเลื่อน ซึ่งจะช่วยดึงแสงสว่างจากหน้าต่างภายนอกให้ส่องเข้ามาภายในได้ โดยประตูนี้จะเป็นอลูมิเนียมสีธรรมชาติ พร้อมกระจกใสเหมือนโซนครัว แต่จะมีตัวล็อคเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้กับห้องด้านในครับ ซึ่งเราสามารถเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้อีกโดยการติดม่านเพิ่มเติม แต่เวลาปิดม่านอยู่ก็อาจทำให้ห้องนั่งเล่นดูมืดลงได้ครับ

    ภายในห้องอเนกประสงค์เค้าจัดมาให้ดูเป็นห้องนอนเล็กอีกห้อง โดยของจริงเราจะได้ Sofa bed ตัวนี้เลยด้วยนะครับ มีช่องแสงขนาดใหญ่ และเปิดบานกระทุ้งทางด้านขวาเพื่อระบายอากาศได้ด้วย

    ห้องนี้มีขนาดพื้นที่ประมาณ 2.4 x 1.8 m. ซึ่งพอวางโซฟาตัวนี้ไปแล้วก็จะมีพื้นที่ด้านข้างเหลืออยู่ 80 cm. และส่วนปลายอีก 30 cm. ทำให้ใช้งานได้พอดีๆ ในกรณีเป็นห้องนอนเสริมอาจต้องต้องสลับหัวเตียงไปทางขวา เพื่อจะได้ทำตู้เสื้อผ้าข้างหัวเตียงเพิ่มได้ เพราะประตูนี้เปิดทางซ้าย จะได้ไม่มีตู้มาขวางเกะกะทางเข้า หรือเราจะเปลี่ยนเป็นห้องทำงานอดิเรกอื่นๆก็ได้ครับ

    มองย้อนกลับมาภายในห้อง ต่อไปเราจะไปดูห้องนอนที่อยู่ทางขวามือกันบ้างครับ

    สำหรับห้องนอนจะกั้นด้วยผนังทึบทางด้านขวา และเปิดเข้าด้วยประตูกระจกบานเลื่อนตรงกลาง ข้อดีคือทำให้ห้องมีพื้นที่เชื่อมต่อกันและโปร่งโล่ง แต่ก็อาจทำให้ห้องนอนขาดความเป็นส่วนตัวได้เวลามีแขกมาเยี่ยม ซึ่งเราสามารถติดตั้งฉากกั้นหรือติดม่านเพิ่มเติมได้ครับ

    ระยะทางเดินระหว่างโซฟากับขอบประตู กว้าง 95 cm. ซึ่งสามารถเดินผ่านได้สบายๆ ไม่แคบจนเกินไป

    ภายในห้องนอนมีขนาดพื้นที่พอดีๆ สามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุตไว้ทางขวามือได้ ส่วนซ้ายมือจะเป็นตู้เสื้อผ้า ห้องนี้ไม่มีโต๊ะเครื่องแป้งนะครับ แต่จะมีระเบียงและห้องน้ำในตัวแทน

    ฐานเตียงนี้ทางโครงการเค้าแถมมาให้ยกเว้นฟูกนะ โดยด้านล่างจะใช้พื้นที่ใต้เตียงให้เป็นประโยชน์ ด้วยการทำเป็นช่องเก็บของต่างๆให้พร้อมแบบนี้เลย

    พื้นที่รอบเตียงเหลือไม่มาก ประมาณ 45 – 50 cm. ให้พอสำหรับเดินได้พอดีๆเท่านั้น

    ดังนั้นปลายเตียงหากต้องการติดตั้งทีวี จึงต้องแขวนกับผนังเอานะครับ ซึ่งเค้าจะต่อปลั๊กและสายเคเบิ้ลต่างๆเอาไว้ให้แล้ว เพียงแต่ตำแหน่งผนังปลายเตียงจะอยู่เยื้องไปทางซ้าย ทำให้เวลาติดตั้งนั้นทีวีอาจเลยผนังออกมาดูไม่สวยงามเท่าไหร่ หรือถ้าจะเลื่อนไปติดทางซ้ายเลยก็จะไม่ค่อย center กับเตียงนอน อันนี้ก็ต้องแล้วแต่เพื่อนๆจะพิจารณาเลือกนะครับ (ถ้าเป็นผมจะไม่ติดในห้องนอนนะ ดูข้างนอกก็พอแล้ว)

    ระเบียงห้องนอนจะมีขนาด 2.8 x 0.8 m. และมีราวเหล็กสูง 1.1 m. สามารถออกมาใช้งานได้ ซึ่งเค้าจะแขวน condensing unit เอาไว้ด้านบน และเป่าลมร้อนออกไปด้านนอก ทำให้ระเบียงไม่ร้อน และแน่นอนว่าจะมีระแนงบังสายตาจากภายนอกติดตั้งอยู่ด้านบนให้ด้วย แต่ที่ต้องระวังนิดหน่อยคือธรณีประตูที่สูง 15 cm. ครับ (ระวังสะดุดกันนะ)

    ส่วนอีกด้านของห้องนอนจะเป็นตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำครับ

    ขนาดพื้นที่แต่งตัวจะกว้างประมาณ 1 m. สามารถใช้งานได้สะดวก โดยตู้จะมีอยู่ 2 ตำแหน่งนะครับ คือทางซ้ายมือนี้ และทางขวาหน้าห้องน้ำ

    ตู้ทางด้านซ้ายภายในจะสามารถแขวนเสื้อผ้าได้นิดหน่อย (แขวนแนวขวาง) และด้านล่างเปิดออกมาจะมีตะกร้าผ้าให้พร้อมเลยด้วย ถือเป็นอีกหนึ่ง signature ของเสนาเลยครับ

    ส่วนตู้ทางขวามือหน้าห้องน้ำจะเป็นตู้เก็บเสื้อผ้าจริงจัง ซึ่งก็เพียงพอสำหรับอยู่ 1 – 2 คนนะ หน้าบานทางซ้ายเป็นไม้บานทึบ ด้านในติดตั้งกระจกเงามาให้เพื่อใช้ส่องแต่งตัวได้ ส่วนหน้าบานทางขวาจะเป็นกระจกสีดำแบบนี้เลยครับ

    ตัวตู้มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆอย่างเช่น ที่แขวนเสื้อด้านซ้ายบนสามารถดึงออกมาเพื่อเลือกเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ได้สะดวก ในลิ้นชักมีช่องเก็บเครื่องประดับเอาไว้ให้ และที่เปิดตู้จะเป็นแถบอลูมิเนียมสีดำแบบในภาพเลยครับ

    ภายในห้องน้ำจะแบ่งฟังก์ชันการใช้งานอย่างเป็นสัดส่วนมากครับ เพราะแต่ละส่วนเค้าจะกั้นด้วยฉากกั้นกระจกทั้งหมด ทำให้สามารถใช้งาน 2 คนพร้อมกันได้

    เริ่มจากพื้นที่ส่วนแห้งจะมีขนาด 1.35 x 0.8 m. โดยจะลดระดับลงจากพื้นห้องเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลย้อนออกไปเลอะพื้นไม้ด้านนอก

    อ่างล้างหน้าของ Kohler ขนาด 60 x 45 cm. พร้อมก๊อกน้ำจาก Englefield และมีที่วางของตรงผนัง low wall อีกเล็กน้อยครับ

    ทางด้านซ้ายเป็นโถสุขภัณฑ์ที่กั้นด้วยฉากกั้นกระจกนิรภัย Tempered Glass (แบบขุ่น) ซึ่งค่อนข้างเป็นสัดส่วนและเป็นส่วนตัว หลังประตูมี stopper กันกระแทก และมีขนาดพื้นที่ภายในประมาณ 1.43 x 0.73 m. สามารถใช้งานได้แบบพอดีๆ ด้านบนมีไฟส่องสว่างและพัดลมดูดอากาศติดตั้งมาให้ด้วยครับ

    โถสุขภัณฑ์ของ Kohler ติดตั้งมาพร้อมกับสายฉีดชำระ และที่แขวนกระดาษชำระหน้าตาแบบนี้

    ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นพื้นที่อาบน้ำซึ่งกั้นด้วยฉากกั้นกระจกเหมือนกัน มีขนาดประมาณ 1 x 0.95 m. สามารถใช้งานได้แบบพอดีๆ พร้อมมีที่นั่งอาบน้ำเล็กๆขนาด 40 x 40 cm. มาให้ด้วยครับ

    ภายในมี Hand Shower และ Junction box สำหรับติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นมาให้แล้ว ส่วนที่ผนังก็จะมีการเจาะช่องเพื่อใช้เป็นที่วางสบู่หรือแชมพูให้ด้วย โดยที่เราสามารถเสริมเป็นชั้นๆ เพื่อวางของให้มากขึ้นได้ครับ

    ฝ้าเพดานด้านบนจะฉาบเรียบทาสีธรรมดา และให้ไฟดาวน์ไลท์แบบฝังฝ้ามาถึง 3 จุด 3 ฟังก์ชันเลยทีเดียว ทำให้ห้องน้ำนี้มีแสงสว่างที่เพียงพอและทั่วถึงครับ

    ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 38 ตารางเมตร โดย type นี้จะเป็น 1 Plus แบบห้องมุมนะครับ (จะมีแบบปกติด้วย) ซึ่งส่วนตัวค่อนข้างชอบฟังก์ชันห้องนี้นะ โดยเฉพาะส่วนพื้นที่ครัวซึ่งจะให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านเลยครับ เพราะเป็นครัวที่แยกออกมาจากส่วนพักอาศัย มีช่องหน้าต่างเปิดระบายอากาศได้โดยตรง รวมถึงมีระเบียงไว้ตากผ้าเปรียบเสมือนส่วนหลังบ้านได้อีกด้วย นอกนั้นฟังก์ชันส่วนพักอาศัยอื่นๆก็จะคล้ายกับห้องตัวอย่างก่อนหน้านี้เลยครับ ยกเว้นห้องนอนที่จะไม่มีระเบียงในตัว ทำให้ได้พื้นที่ใช้สอยภายในห้องเพิ่มขึ้น สามารถเลื่อนเตียงไปทางซ้าย และติดทีวีให้ center กับเตียงได้แล้วครับ ส่วนตู้เสื้อผ้าก็สามารถทำใบใหญ่แบบจริงจังมากขึ้นได้แล้วด้วย ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรนั้นเราลองไปชมกันเลยครับ

    และสำหรับเฟอร์นิเจอร์ของห้องนี้ก็จะได้ตามป้ายนี้เลยครับ เรียกได้ว่าครบพร้อมอยู่เลย ขาดแค่ฟูกกับเครื่องใช้ไฟฟ้าบางอย่างเท่านั้น

    เมื่อเข้ามาในห้องจะเจอกับ common area ซึ่งการที่หน้าห้องยังสว่างอยู่นั้นเป็นเพราะได้แสงสว่างจากครัวทางซ้ายมือนั่นเอง จึงทำให้ห้องไม่ดูอึดอัดจนเกินไป

    พื้นที่ส่วนแรกที่เข้ามาเจอจะเป็นโต๊ะทานอาหารทางด้านซ้าย ซึ่งเค้าจะให้โต๊ะขนาด 2 ที่นั่งมาแบบนี้เลยครับ

    ส่วนอีกด้านของประตูจะเป็นตู้รองเท้านะ ซึ่งพอเค้าย้ายมาอยู่ติดกับประตูแบบนี้แล้วจึงทำให้ใช้งานได้สะดวกมากขึ้น รวมถึงมีช่องเก็บของทรงสูงที่สามารถเก็บพวกอุปกรณ์ทำความสะอาดอื่นๆได้อีกด้วย

    ติดกันทางขวามือเป็นประตูจะเป็นประตูไปยังส่วนครัว ซึ่งอย่างที่บอกไปแล้วว่าทำให้บริเวณหน้าห้องได้แสงธรรมชาติที่ค่อนข้างเพียงพอ ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าผนังด้านหลังทีวีซึ่งติดกับภายนอกอาคารนั้น ถ้าเจาะเป็นช่องแสงเพิ่มเติมได้ ก็จะทำให้ห้องนี้ดูสว่างและโปร่งโล่งมากขึ้นกว่านี้อีกเยอะเลยครับ

    ครัวจะกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอน ทำให้สามารถเปิดออกได้กว้าง 90 cm. กรอบบานไม่มีตัวล็อคเหมือนเดิมนะครับ และพื้นด้านในจะเปลี่ยนเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้เพื่อให้สามารถทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย

    ภายในครัวมีช่องแสงถึง 2 ด้าน ทำให้ได้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านเลยครับ ในส่วนนี้ค่อนข้างชอบมากๆ

    ชุดเคาน์เตอร์ครัวทางด้านซ้ายจะให้มาเหมือนกับห้องก่อนหน้านี้เลยครับ เพียงแต่จะมีพื้นที่เก็บของเพิ่มมากขึ้นอีกเล็กน้อย ติดกันทางด้านขวามือจะมีช่องหน้าต่างบานกระทุ้งที่สามารถเปิดระบายอากาศได้ด้วย

    ซึ่งพอมีประตูและหน้าต่างแล้ว บนฝ้าเพดานจึงไม่จำเป็นต้องมีพัดลมดูดอากาศติดตั้งเลยครับ แต่ไฟส่องสว่างและอุปกรณ์อัคคีภัยมาตรฐานยังคงได้ครบเหมือนเดิมนะ

    ฝั่งตรงข้ามนอกจากจะมีมุมวางตู้เย็นแล้ว ยังมีประตูบานสวิงที่เปิดออกไปสู่ระเบียงภายนอกได้อีกด้วย ซึ่งพอเราเปิดทั้งประตูนี้กับหน้าต่างบานกระทุ้งเมื่อสักครู่พร้อมกัน ก็จะทำให้อากาศถ่ายเทได้ดีเลยทีเดียวครับ ซึ่งประตูนี้ค่อนข้างหนานะ แข็งแรงทนทาน และกรอบบานจะมีแถมผ้ากำมะหยี่ช่วยกันฝุ่นและแมลงให้ด้วยครับ

    ภายนอกระเบียงนี้มีขนาด 2.3 x 1.15 m. เป็นระเบียงใช้งาน ที่เอาไว้ซักผ้าตากผ้าได้จริงจัง เปรียบเสมือนหลังบ้านเลยครับ สำหรับเครื่องซักผ้าห้องนี้จะต้องวางที่ระเบียง ไม่ไปรบกวนพื้นที่ในห้อง แต่ก็ควรหาอะไรคลุมกันแดดและน้ำฝนสาดให้เรียบร้อยกันสักหน่อยนะครับ

    กลับมาที่ common area ในห้องอีกครั้ง ซึ่งระยะดูทีวีของห้องนี้คือ 2 m. เท่าๆกับห้องตัวอย่างก่อนหน้านี้เลยครับ โดยทั้งโต๊ะวางทีวีและโซฟาก็จะได้เหมือนกันด้วยนะ

    ส่วนห้องอเนกประสงค์ที่อยู่ติดกันจะมีขนาดใหญ่กว่าห้องตัวอย่างแรกเล็กน้อยครับ คือประมาณ 2.7 x 1.8 m. ซึ่งก็ยังสามารถใช้งานเป็นห้องนอนเสริมได้ เพราะเค้าก็ยังให้ sofa bed ตัวนี้มาด้วย หรือจะทำเป็นห้องทำงานอ่านหนังสือก็ได้ครับ

    มองย้อนกลับเข้ามาภายในห้อง ต่อไปเราจะดูห้องนอนที่อยู่ทางซ้ายมือกันบ้างครับ

    ห้องนอนจะกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนเหมือนกับห้องก่อนหน้านี้เลย สิ่งที่ต่างกันคือความกว้างของทางเดินเข้าห้องครับ อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ว่า ห้องที่แล้วมีทางเดินกว้าง 90 cm. ทำให้เดินได้สะดวก และห้องไม่ดูอึดอัดอีกด้วย แต่พอระยะทางเดินห้องนี้เหลือเพียง 70 cm. จึงทำให้รู้สึกแคบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพอเดินได้แบบพอดีตัวอยู่ครับ

    ภายในห้องนอนจะค่อนข้างกว้าง เพราะไม่ต้องเสียพื้นที่ให้กับระเบียงเหมือนห้องที่แล้ว เหมาะกับคนที่ชอบเน้นพื้นที่ใช้สอยภายในครับ

    ทางเดินรอบเตียงกว้างเพียง 30 – 40 cm. และเลื่อนเตียงไปเกือบชิดหน้าต่าง เวลานอน 2 คน อาจทำให้คนที่อยู่ด้านในขึ้นลงเตียงลำบากสักหน่อยนะ

    หน้าต่างทางซ้ายจะเป็นบานเลื่อนที่เปิดได้ด้านเดียว แต่ก็สามารถระบายอากาศได้มากกว่าแบบบานกระทุ้งครับ สิ่งที่ต้องระวังคืออย่าลืมเปิดทิ้งไว้ตอนฝนตก เพราะฝนจะสาดเข้ามาโดยตรง ไม่มีบานหน้าต่างบังให้บางส่วนเหมือนแบบบานกระทุ้งนะครับ ซึ่งจากห้องตัวอย่างจะดูเหมือนเป็นกระจกภายนอกเป็นเขียวตัดแสงใช่มั๊ย ความจริงแล้วกระจกภายนอกของทุกๆห้องจะได้เป็นกระจกเทาตัดแสงแทนครับ

    ผนังปลายเตียงจะกว้างขึ้น และสามารถติดทีวีให้ตรงกับเตียงได้ โดยไม่เลยกรอบบานประตูกระจกแบบห้องที่แล้วครับ และแอร์ก็จะติดตามตำแหน่งที่เห็นในห้องตัวอย่างเลยนะ

    อีกด้านหนึ่งของห้องจะเป็นตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำ

    พื้นที่แต่งตัวหน้าตู้กว้างประมาณ 1.8 m. สามารถใช้งานได้สะดวก จะแต่งตัว 2 คนพร้อมกันเลยก็ได้นะ

    ตู้เสื้อผ้าก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้น สังเกตดีๆคือเค้าจะนำตู้ 2 ใบที่เห็นจากห้องตัวอย่างที่แล้วมารวมกันนั่นเอง ทำให้ใช้งานได้ครบจบในตู้เดียว ไม่ต้องแบ่งออกเป็น 2 ตู้

    ส่วนภายในห้องน้ำก็จะแยกฟังก์ชันแต่ละส่วนชัดเจนเหมือนกับห้องที่แล้วเลยครับ พร้อมสุขภัณฑ์ทั้งหมดของ Kohler และก๊อกน้ำจาก Englefield

    ขนาดพื้นที่และระยะความกว้างต่างๆภายใน จะเท่ากับห้องก่อนหน้านี้เลยครับ ผมวัดมาให้หมดแล้ว สามารถใช้งานได้แบบพอดีๆ

    ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 45 ตารางเมตร เป็นอีกหนึ่งห้องที่มีตัวอย่างให้ชมที่ Sale Gallery นะครับ เพียงแต่ห้องนี้ผมจะไม่ได้เจาะลึกแบบละเอียดมากนัก แต่จะถ่ายเป็นภาพบรรยากาศมาให้ได้ชมกัน ซึ่งห้อง type นี้จะเป็นห้องมุมซึ่งมีอยู่ทั้งในอาคาร High Rise และ Low Rise ชั้นละ 1 ห้องเท่านั้น ทำให้เป็นห้องที่ขายค่อนข้างดี เพราะมีน้อยครับ

    เข้ามาภายในห้องจะเจอกับพื้นที่ใช้งานก่อนนะ ทั้ง Laundry และห้องครัวแบบปิด เพียงแต่ส่วนครัวจะไม่ติดกับภายนอกจึงต้องพึ่งพัดลมดูดอากาศแทน ถัดเขามาด้านในจะเป็นห้องนั่งเล่น ซึ่งจะอยู่เยื้องกับประตูหน้าห้องเล็กน้อย จึงทำให้เวลาเราเปิดประตูเข้ามาจะมองไม่เห็นพื้นที่ภายในทั้งหมด ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้ดี แถมยังติดกับระเบียงอีกด้วยครับ ห้องนอนจะอยู่แยกออกจากกันคนละฝั่ง ซึ่งจะกั้นด้วยผนังทึบทำให้มีความเป็นส่วนตัว โดยที่ห้องน้ำจะอยู่หน้าห้องนอนใหญ่จึงทำให้มาใช้งานได้สะดวกกว่าห้องนอนเล็กครับ และในห้องนอนใหญ่ยังทำ Built in ตู้เสื้อผ้าขึ้นมาเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆอีกด้วย จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นไปชมกันครับ

    เฟอร์นิเจอร์ของห้องนี้จะได้ตามนี้เลยนะครับ

    เมื่อเข้ามาภายในห้องจะเจอกับพื้นที่ใช้งานที่ทำหน้าที่เป็น foyer ก่อน อย่างที่ผมบอกว่าจากมุมมองหน้าห้องนี้จะไม่เห็นโซฟาหรือพื้นที่ที่คนจะนั่งอยู่กันทางด้านขวามือ เพราะมีมุมเสาช่วยบังไว้ให้ ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นครับ

    ด้านซ้ายเป็นครัวปิด ซึ่งจะมีพื้นที่ทำครัวค่อนข้างใหญ่ และได้เคาน์เตอร์ครัว 2 ด้านเลยทีเดียว มีที่เก็บของเยอะขึ้นตามจำนวนสมาชิกของห้อง โดยครัวนี้จะไม่มีหน้าต่างหรือระเบียงระบายอากาศ เค้าจึงติดตั้งพัดลมดูดอากาศมาให้ที่ฝ้าเพดานแทน

    ถัดเข้ามาในห้องจะเป็นพื้นที่นั่งเล่นรวมกับพื้นที่โต๊ะทานอาหาร ซึ่งจะได้แสงสว่างจากระเบียงทำให้ห้องไม่มืดจนเกินไป ส่วนห้องนอนอีก 2 ห้องก็จะอยู่แยกออกไปซ้าย-ขวา กั้นด้วยผนังทึบ ค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากเลยทีเดียว

    เริ่มด้วยห้องนอนเล็กทางด้านซ้ายจะมีขนาดพื้นที่พอดีกับการวางเตียง 3.5 ฟุต และมีตู้เสื้อผ้ากับหน้าต่างให้พร้อม สามารถอยู่อาศัย 1 คนได้สบายๆ กรณีเป็นห้องเด็กซึ่งผมจะขอเสริมนิดนึงว่า ข้างเตียงยังพอมีที่เหลือ เราสามารถเลื่อนเตียงมาชิดตู้เสื้อผ้าทางซ้าย และทำโต๊ะหนังสือยาวๆริมหน้าต่างให้น้องๆนั่งทำการบ้านอ่านหนังสือได้ครับ

    ส่วนอีกด้านของห้องจะเป็นห้องนอนใหญ่ และมีห้องน้ำอยู่ด้านหน้า สังเกตจากภาพว่าประตูห้องน้ำจะเป็นแบบบานเลื่อนไม่เหมือนห้องอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อประหยัดเนื้อที่นั่นเองครับ

    ภายในห้องนอนใหญ่จะมีขนาดพื้นที่ค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว ชอบตรงกระจกเข้ามุมแบบ Bay Window ที่ช่วยเพิ่มมุมมองและช่องแสงให้กว้างมากขึ้นครับ

    ส่วนอีกด้านของห้องนอนใหญ่จะมีพื้นที่สี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่โครงการเค้า Built เป็นเหมือน Walk in closet เล็กๆ ให้สามารถเก็บเสื้อผ้าได้ด้วย

    สุดท้ายคือห้องน้ำของห้องนี้ก็จะมีฟังก์ชันเหมือนๆกับห้องอื่นๆที่ผ่านมาเลยครับ

    ส่วนสวิตซ์และปลั๊กไฟจะเป็นสีขาวหน้าตาแบบนี้เลย

    **รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

    ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 11 July 2019

    • Tower B,E แบบ A ห้อง 1 Bedroom 28 ตร.ม. ราคา 1.99 – 2.66 ล้านบาท
    • Tower E แบบ B ห้อง 1 Bedroom 30 ตร.ม. ราคา 2.32 – 2.68 ล้านบาท
    • Tower B แบบ C ห้อง 1 Bedroom 31 ตร.ม. ราคา 2.53 – 2.97 ล้านบาท
    • Tower E แบบ D ห้อง 1 Bedroom Plus 33.5 ตร.ม. ราคา 2.66 – 3.03 ล้านบาท
    • Tower B แบบ E ห้อง 1 Bedroom Plus 34.9 ตร.ม. ราคา 2.94 – 3.33 ล้านบาท
    • Tower B แบบ F ห้อง 1 Bedroom Plus 38 ตร.ม. ราคา 3.15 – 3.9 ล้านบาท
    • Tower B แบบ H ห้อง 2 Bedrooms 51 ตร.ม. ราคา 4.34 – 5.2 ล้านบาท

    • รูปแบบการขาย Fully Furnished
    • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.60 เมตร
    • Kitchen & Sink /ท็อปหินสังเคราะห์
    • Hob & Hood / ของยี่ห้อง Franke
    • มีรถ Shuttle Bus รับ-ส่ง จากภายในโครงการมาที่ด้านหน้าโครงการ
    • จอง 10,000 – 20,000 บาท
    • ทำสัญญา 40,000 – 70,000 บาท
    • ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ปกติ 26 งวด บอลลูน 6 งวด
    • ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
    • ค่าส่วนกลางปีแรก 46 บาท/ตร.ม./เดือน, ปีต่อไป 50 บาท/ตร.ม./เดือน

    **ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ


    เจาะลึกรวบยอด

    ทำเล : โครงการ Niche Mono รามคำแหง ตั้งอยู่ติดถนนรามคำแหง ระหว่างซอยรามคำแหง 36 และ 36/1 ใกล้โรงพยาบาลรามคำแหง ซึ่งบริเวณนี้ถือว่ามีความอุดมสมบูรณ์ดีครับ โดยเฉพาะซอยข้างโรงพยาบาลที่มีร้านค้าร้านอาหารเยอะแยะเลย หรือถ้าจะไปห้างใหญ่ๆก็จะมีบริเวณแยกบางกะปิ ทั้ง The Mall บางกะปิ, ตะวันนา, แม็คโคร, โลตัส และพันธุ์ทิพย์ และถ้ารถไฟฟ้าสร้างเสร็จก็ยังสามารถนั่งไปลงที่ The Mall รามคำแหง หรือเข้าไปในเมืองได้ง่ายอีกด้วย อีกหนึ่งจุดเด่นของย่านนี้คือโรงเรียนและมหาลัยที่เยอะมาก ทั้งม.รามคำแหง ม.อัสสัมชัญ NIDA และม.เกษมบัณฑิต อีกทั้งยังมีสนามกีฬาขนาดใหญ่อย่างราชมังคลาอยู่ไม่ไกลอีกด้วย น่าจะถูกใจคอกีฬาต่างๆนะครับ

    การเดินทางโดยใช้รถ : ทำเลรามคำแหงนั้นขึ้นชื่อว่ารถติดมาก ส่วนหนึ่งก็มาจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าและทำถนนใหม่ในปัจจุบัน แต่ก็มีทางด่วนให้เลือกใช้ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษฉลองรัช แต่ก็ต้องเผื่อเวลารถติดบริเวณแยกรามคำแหงและแยกคลองตันประมาณ 30 นาทีด้วยนะครับ อีกเส้นทางหนึ่งที่สามารถออกเมืองไปทางชลบุรีได้ง่ายคือ มอเตอร์เวย์กรุงเทพ-ชลบุรี ที่ขึ้นได้จากทางถนนศรีนครินทร์ ทั้งหมดนี้ห่างจากโครงการประมาณ 5 – 6 km. และโครงการก็มีที่จอดรถแบบรวมทั้งโครงการประมาณ 51% รวมจอดซ้อนคันครับ

    การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ในอนาคตถ้ารถไฟฟ้าสายสีส้มสร้างเสร็จก็ถือว่าสะดวกมากครับ เพราะตัวสถานีจะอยู่ติดกับด้านหน้าโครงการเลยคือ MRT หัวหมาก เพียงแต่ถ้าเราอยู่อาคารด้านในอาจจะเดินทางมาขึ้นไกลหน่อย ประมาณ 600 m. คงต้องพึ่งรถรับ-ส่งของโครงการหรือซื้อจักรยานปั่นมาเองอย่างที่บอกไปก็จะช่วยได้ และตัวโครงการเองก็จะสร้างเสร็จก่อนรถไฟฟ้า 1 – 2 ปี ดังนั้นคนที่ซื้อคอนโดโดยหวังจะใช้รถไฟฟ้าเป็นหลักก็อาจต้องรอกันสักหน่อยนะครับ แต่ทำเลนี้ก็มีอีกตัวเลือกในการเดินทางเข้าเมืองคือ ท่าเรือวัดกลาง ที่คลองแสนแสบนั่นเอง อยู่ห่างจากโครงการประมาณ 650 m. พอจะเดินไปได้แต่ก็แอบเหนื่อยครับ ถ้าใครไม่อยากเดินก็แนะนำให้ใช้บริการพี่วินที่ซอย 34 ข้างๆก็ได้ มีป้ายรถเมล์ขนาดใหญ่อยู่ปากซอยด้วยนะ

    วัสดุ : โครงการนี้ขายแบบ Fully Furnished พร้อมเข้าอยู่ ถือว่าให้ของค่อนข้างดี เหมาะสมกับราคาครับ พื้นห้องเป็นไม้ลามิเนต พื้นครัวกระเบื้องแกรนิตโต้ Top เคาน์เตอร์ครัวหินสังเคราะห์ ชุดครัวของ Franke ให้เตาและพัดลมดูดอากาศ ประตูกระจกและหน้าต่างกรอบอลูมิเนียม กระจกภายในใสธรรมดา กระจกภายนอกเทาตัดแสง สุขภัณฑ์ในห้องน้ำของ Kohler และก๊อกน้ำจาก Englefield ติดตั้งฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัย Tempered Glass แบบขุ่นมาให้ทั้ง 2 ฟังก์ชัน และให้แอร์ของ Panasonic อีก 2 ตัวครับ

    การออกแบบโครงการ :  Niche Mono รามคำแหง เป็นโครงการที่มีทั้งรูปแบบคอนโด High Rise และ Low Rise อยู่ในโครงการเดียวกัน ซึ่งแต่ละอาคารก็จะมีตวามแตกต่างในด้านการใช้งานและการอยู่อาศัยที่ไม่เหมือนกัน อย่างอาคาร High Rise ที่อยู่ด้านหน้าก็จะได้ความสะดวกสบายเพราะอยู่ใกล้ถนนมากกว่า มีที่จอดรถกับส่วนกลางอยู่ด้านล่างจึงสามารถใช้งานได้สะดวก รวมถึงยังมี roof top facilities อยู่บนดาดฟ้าทั้ง 2 อาคารอีกด้วย

    เพียงแต่วิธีการใช้งานพื้นที่ส่วนกลางของโครงการนี้ จะเปิดโอกาสให้ใช้งานรวมกันทั้ง High Rise และ Low Rise ซึ่งอาจทำให้คนที่อยู่ High Rise ขาดความเป็นส่วนตัวไปได้ครับ แต่ชอบตรงโซน Low Rise ที่มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า เพราะออกแบบอาคารแบบ Single Corridor และมีจำนวนยูนิตค่อนข้างน้อย เพียงแต่ว่าด้วยลักษณะที่ดินที่เป็นแนวยาวลึกยาวเข้าไป จึงทำให้อยู่ไกลจากหน้าโครงการค่อนข้างมากครับ

    การออกแบบห้องพัก : ส่วนตัวคิดว่าฟังก์ชันเป็นมาตรฐานและเป็นสัดส่วนดีครับ โดยเฉพาะการกั้นแยกฟังก์ชันห้องด้วยกระจก ซึ่งจะทำให้ห้องดูกว้างและโปร่งโล่งไม่อึดอัด รวมถึงในห้องน้ำยังแบ่งฟังก์ชันกันได้ชัดเจนด้วยฉากกั้นกระจกอีกด้วย จะมีก็แต่เสาที่ยื่นออกมาในห้องที่ทำให้การจัดวางฟังก์ชันหลายๆจุดดูไม่ลงตัว เช่นบริเวณโต๊ะทานอาหาร ตู้เสื้อผ้า และพื้นที่ผนังปลายเตียง

    ผมจะชอบห้อง 1 Bedroom plus 38 ตารางเมตร โดยเฉพาะครัวที่สามารถใช้งานได้จริง และให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านได้ดีอีกด้วย ส่วนห้อง 2 Bedrooms ก็มีความเป็นส่วนตัวสูง เพราะกั้นห้องด้วยผนังทึบ ส่วนตัวอยากเสริมว่าถ้าห้องมุมแต่ละ type เพิ่มช่องหน้าต่างด้านข้างอีกหน่อย ก็จะทำให้ห้องสว่าง โปร่งโล่ง และน่าอยู่เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลยครับ (ช่องแสงหรือหน้าต่าง ไม่จำเป็นต้องได้วิวอย่างเดียว บางทีก็ต้องการให้แสงเข้า หรือระบายอากาศมากกว่าครับ)

    สาธารณูปโภค : ถือเป็นจุดเด่นของโครงการนี้ โดยเฉพาะ Sport Village ที่เปิด 24 ชม. ซึ่งการออกแบบจะแตกต่างจากคอนโดทั่วไป เพราะแยกฟังก์ชันการใช้งานแต่ละส่วนออกจากกัน ไม่รบกวนกัน ได้แก่ Yoga Studio, Pilates Studio, Cardio Studio, Weight Training, Cycling Studio, Steam Room และ Boxing Room ส่วนสระว่ายน้ำก็แยกโซนพักผ่อนอย่าง Passive Pool ยาว 30 m. และโซนออกกำลังกาย Active Pool ยาว 50 m. ออกจากกันอย่างชัดเจน มี Sky Lounge ไว้ชมวิวบนดาดฟ้าได้ และโซน Low Rise เอง ก็มีส่วนกลางเล็กๆของตัวเองเป็นส่วนตัวแยกต่างหาก แต่ก็สามารถมาใช้ที่ตึกใหญ่ได้ครับ

    Judgement

    การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

    ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

    เทียบกับช่วงราคาต่อตารางเมตรในโครงการ 70,000 – 100,000 บาท/ตร.ม. , 11 July 2019

    • ทำเล 8.25/10 – ติดถนนใหญ่ หาของกินง่าย ใกล้โรงพยาบาลและห้างสรรพสินค้า
    • เดินทางด้วยรถ 8/10 – มีทางด่วนเข้าเมือง 2 เส้นทาง และมอเตอร์เวย์ได้ มีที่จอดรถ 51%
    • ไม่ใช้รถ 8.5/10 – อนาคตมีรถไฟฟ้าติดโครงการ มีเรือ และเรียกรถสาธารณะง่าย
    • วัสดุ 7.75/10 – Fully Furnished ให้ของครบ เหมาะสมกับราคา
    • แบบ 7.5/10 – ผังอาคารดี มีทั้งอาคารสูงและเตี้ย และแบบห้องให้เลือกหลากหลาย
    • สาธารณูปโภค 8/10 – ให้มาเยอะ แบ่งแยกฟังก์ชันชัดเจน น่าใช้งาน

    • MAIN CLASS
    • 8.08 / 10.00

    BOTTOM LINE

    โครงการ Niche Mono รามคำแหง เหมาะกับคนที่กำลังมองหาคอนโดย่านรามคำแหง อยู่ติดรถไฟฟ้าสายสีส้มในอนาคต มีรูปแบบอาคารและแบบห้องให้เลือกหลากหลาย ชอบใช้พื้นที่ส่วนกลาง มีงบประมาณระดับ 1.99 – 5.2 ล้าน หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 14,00 – 36,000 บาท/เดือน


    ติดตามพวกเราได้ที่
    Website : www.thinkofliving.com
    Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
    YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
    Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
    Facebook : ThinkofLiving