รีวิวฉบับที่ 2075 … สำหรับใครที่กำลังมองหาคอนโดขนาดเล็ก ในย่านลาดพร้าวที่มาพร้อมกับ Facilities หลากหลายให้ใช้งาน ในราคาที่หยิบจับง่าย ต้องไม่พลาดมาอ่านรีวิวโครงการ Groove Scape 48 ในซอยลาดพร้าว 48 นะครับ มาด้วยห้อง 3 รูปแบบ ที่มีแนวคิดค่อนการออกแบบข้างชัดเจนและทำออกมาได้โดดเด่นทีเดียว รายละเอียดโครงการจะเป็นอย่างไร ตามอ่านกันเลยครับ
ข้อมูลโครงการ
28 April 2020
- Groove Scape 48 (กรู๊ฟ สเคป 48)
- บริษัท ดิวายน์ ดิเวลลอปเมนท์ กรุ๊ป จำกัด (บริษัทในเครือ บริษัท ดิวายน์ ดิเวลลอปเมนท์ โฮลดิงส์ จำกัด)
- MAIN CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ : ถนนลาดพร้าว เขตลาดพร้าว
- ที่ดินประมาณ 1-0-14.2 ไร่
- คอนโด Low Rise 8 ชั้น 189 ยูนิต
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 25 ยูนิต
- ที่จอดรถประมาณ 81 คัน รวมจอดซ้อนคัน คิดเป็น 43% (แบ่งออกเป็น Auto Parking 69 คัน จอดปกติ 8 คัน และจอดซ้อนคัน 4 คัน)
- เริ่มก่อสร้าง : Q1 ปี 2564
- คาดว่าจะแล้วเสร็จ : Q2 ปี 2565
- 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ประมาณ 23.2-25.7 ตร.ม. จำนวน 89 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท
- 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ประมาณ 30.2-32.8 ตร.ม. จำนวน 69 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท
- 1 Bedroom Plus Corner ขนาดพื้นที่ประมาณ 34.7-43.6 ตร.ม. จำนวน 31 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.6 ล้านบาท
- ฝ้าเพดานสูง 2.55 เมตร
- ราคาห้องเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท
- ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ AVERAGE ประมาณ 88,000 บาท/ตร.ม.
- เว็บไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- โทร : 0909586665
ทำเลที่ตั้ง
พิกัด Google Maps : 13.713492, 100.600415
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
แผนที่จากทางโครงการครับ
โครงการ Groove Scape 48 ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว48 แยก 8 โดยภาพรวมของทำเลในย่านนี่ จัดเป็นย่านพักอาศัยที่มีคนอาศัยอยู่เยอะพอสมควร สังเกตได้จากจำนวนบ้านและชุมชนเดิมในพื้นที่ ตลอดจนหอพักและอพาร์เม้นต์ ที่มีอยู่มากมายตามซอยหลักและซอยย่อยต่างๆ ด้วยเป็นทำเลที่ตั้งอยู่ระหว่างถนนสายหลัก 2 สาย คือ ถนนลาดพร้าว และ ถนนสุทธิสาร จึงทำให้การเข้า-ออก เชื่อมต่อไปยังพื้นที่ต่างๆได้สะดวก มีรถเข้า-ออกซอยเพื่อลัดไปยังถนนต่างๆ ให้เห็นอยู่ตลอด บรรยากาศในซอยจึงค่อนข้างคึกคักเลยทีเดียว ในส่วนของที่ตั้งโครงการจะอยู่ในซอยแยกย่อยของซอยลาดพร้าว 48 อีกที โดยอยู่ในแยก 8 ลึกห่างจากถนนลาดพร้าวประมาณ 500 เมตร ทำให้บรรยากาศโดยรอบของโครงการค่อนข้างสงบเงียบ ส่วนใหญ่โดยรอบยังเป็นบ้านพักอาศัย มีบริบทที่เหมาะกับการอยู่อาศัยมากขึ้น
ในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ ถ้าเป็นซอย 48 ก็จัดว่าสบายมาก แต่ตัวโครงการอยู่เข้าไปในซอย 48 แยก 8 ประมาณ 300 เมตร ทำให้ถ้าจะเดินออกมาหาอะไรกินก็อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ถ้าออกมาก็ไม่ต้องกังวลเลย เพราะช่วงปากซอยจะมีร้านค้าร้านอาหารมากมาย โดยเฉพาะตลาดเมืองไทยภัทรที่เป็นตลาดขนาดใหญ่ มีทั้งของกินของใช้ให้เลือกเยอะ เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นแหล่งออฟฟิศ มีออฟฟิศใหญ่ของเมืองไทยประกันชีวิตอยู่ ดังนั้นช่วงเช้า ๆ สาย ๆ อาหารการกินไม่ต้องห่วงครับ แถมมีตลาดนัดเสื้อผ้าให้จับจ่ายกันอีกด้วย ถ้ามาทางถนนสุทธิสารยังมี Lotus Express ให้ซื้อของ และนอกจากนี้สำหรับใครที่อยากช็อปปิ้งห้างช่วงวันหยุดใกล้ๆ ก็จะมี Central ลาดพร้าว Union Mall บริเวณห้าแยกลาดพร้าว หรือมาทางเส้นประดิษฐ์มนูธรรมอย่าง Central East Ville, CDC, Crystal ก็ไม่ยาก อาศัยขับรถกันไปก่อน แต่ในอนาคตเมื่อรถไฟฟ้าเสร็จแล้วนั่งไปรถไฟฟ้าสายสีเหลืองแล้วต่อ MRT สายสีน้ำเงินอีกไม่กี่สถานีก็ถึง Central ลาดพร้าว หรือ Union Mall แล้ว
การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว คงเป็นการเดินทางหลักของโครงการนี้ เพราะจุดเด่นของซอยนี้ที่สำคัญและช่วยให้มีความสะดวกในการเดินทางมากขึ้น ก็คือเป็นซอยที่สามารถลัดเลาะไปออกถนนใหญ่ได้หลายทาง หลักๆ คือเป็นซอยที่เชื่อมเข้า ถนนลาดพร้าว และถนนสุทธิสาร ซึ่งถนนสุทธิสารนี้สามารถไปทะลุออกได้อีก 2 ทางด้วยกัน คือถนนรัชดาภิเษกบริเวณแยกสุทธิสาร และซอยลาดพร้าว 64 ที่สามารถกลับรถ วิ่งไปยังบางกะปิ แยกลำสาลีได้
ส่วนการเดินทางด้วยรถสาธารณะก็ไม่ได้แย่นะ เพราะในอนาคตบนถนนลาดพร้าวนี้จะมีโครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีเหลืองตัดผ่าน โดยจะเริ่มต้นสายจากสถานีรัชดา ซึ่งเป็นสถานีที่ Interchange กับ MRT สายสีน้ำเงิน สถานีรัชดา ยาวไปตลอดเส้นลาดพร้าวและเลี้ยวเข้าถนนศรีนครินทร์บริเวณแยกลำสาลี ตรงไปยาวๆ และสิ้นสุดที่สถานีสำโรง Interchage กับรถไฟฟ้าสายสีเขียวหลัก
โดยโครงการของเราตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างสถานีภาวนาและสถานีโชคชัย 4 สำหรับสถานีที่ใกล้กับโครงการมากที่สุดก็คือ สถานีภาวนาตำแหน่งอยู่บริเวณแยกภาวนาเลย โดยห่างจากโครงการประมาณ 1.2 กม. อาจจะต้องนั่งรถมอเตอร์ไซค์ไปขึ้นนะครับ
เส้นทางการเดินทาง
สำหรับเส้นทางไปโครงการไปวันนี้เราจะเริ่มกันที่ถนนลาดพร้าว ฝั่งมาจากทางแยกรัชดาฯ-ลาดพร้าว ฝั่งมุ่งหน้าไปทางรามคำแหง, บางกะปิ ตรงไปประมาณ 1.6 กิโลเมตร จะเจอทางกลับรถ ให้เรากลับรถเลยครับ จากจุดกลับรถประมาณ 200 เมตร จะมีซอยลาดพร้าว 48 อยู่ทางซ้ายมือให้เลี้ยวเข้าไปเลย ปากซอยจะมี Sale Gallery ของโครงการอยู่ด้วย สังเกตง่ายๆ แต่ตัวโครงการจะอยู่ข้างในหน่อย ให้ตรงต่อเข้าไปภายในซอยลาดพร้าว 48 อีกประมาณ 350 เมตร เพื่อเข้าซอยลาดพร้าว 48 แยก 8 ครับ จากนั้นตรงเข้าไปภายในซอยจนสุดแล้วเลี้ยวซ้าย (มีป้ายบอกตำแหน่ง) อีกประมาณ 50 เมตร จะเจอตัวโครงการอยู่ทางซ้ายมือครับ
เริ่มต้นกันบนถนนลาดพร้าวครับ ฝั่งมาจากแยกรัชดาฯ-ลาดพร้าว มุ่งหน้าไปทาง รามคำแหง, บางกะปิ ให้ตรงไปเรื่อยๆเลยนะประมาณ 1.6 เมตร
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ
ตัวพื้นที่โครงการมีลักษณะเป็น 4 เหลี่ยมผืนผ้า เช่นเดียวกับตัวอาคาร ตั้งอยู่บนพื้นที่ดิน 1-0-14.2 ไร่ มีทางเข้าออกอยู่บนถนนลาดพร้าว 48 แยก 22 โดยแนวอาคารของเราจะมีห้องพักอาศัยทุกฝั่งที่หันออกรอบพื้นที่เลย หลักๆจะรับวิวทางฝั่งทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เพราะเป็นแนวหลักของพื้นที่ แต่ก็มีห้องมุมด้วย ซึ่งรอบๆพื้นที่โครงการค่อนข้างโล่งทั้ง 4 ด้านนะครับ เพราะประกอบไปด้วยพื้นที่ดินเปล่าและที่พักอาศัยแนวราบทั้งหมด มีเพียงฝั่งทางฝั่งทิศตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอาคารพักอาศัย 8 ชั้นอยู่ในแนวนั้น ซึ่งผลกระทบก็พอจะมีบ้าง เพราะมีห้องมุมที่หันไปทางนั้นอยู่เหมือนกัน โดยในแต่ละทิศจะมีดังนี้
- ทิศเหนือ – ติดกับที่ดินเปล่าทางฝั่งคลองบางซื่อ ซึ่งเป็นคลองที่มีขนาดค่อนข้างยาว แบ่งออกได้เป็นหลายช่วงเลย โดยช่วงแถวโครงการจะมีความกว้างประมาณ 6-10 เมตร หลักๆคือ ทำหน้าที่เป็นด่านสกัดน้ำที่ไหลมาตามถนนสายหลักที่คลองพาดผ่าน อาจจะมีโอกาสที่จะล้นออกมาบ้างในบางช่วง แต่ถ้าน้ำไม่ท่วมหนักจริงๆก็ไม่น่าจะมีผลกับโครงการมากนะครับ
- ทิศตะวันออก – ติดกับถนนซอยลาดพร้าว 48 แยก 22 และที่ติดเปล่าฝั่งตรงข้าม เป็นหนึ่งในทิศหลักที่มีห้องหันไปทางนี้เยอะหน่อย ส่วนใหญ่เป็นห้อง 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ประมาณ 30.2-32.8 ตร.ม. แต่ก็โชคดีที่หันไปทางพื้นที่พักอาศัยแนวราบ ไม่มีอะไรบังในระยะประชิด ไกลหน่อยอาจจะมีแนวอาคารในซอยลาดพร้าว 48 อื่นๆบ้าง แต่หลักๆก็ดูแล้วน่าจะโล่งครับ
- ทิศใต้ – ทางฝั่งนี้แม้จะมีห้องพักที่หันมาไม่เยอะนัก แต่ก็เป็นฝั่งเดียวที่มีแนวอาคาร 8 ชั้น ทางฝั่งทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจริงๆแล้วก็มีผลกระทบกับห้องพักอาศัยบางห้องที่หันไปทางฝั่งนี้ โดยเฉพาะห้องมุม
- ทิศตะวันตก – เป็นฝั่งที่ติดกับที่ดินเปล่าด้านข้าง ซึ่งฝั่งนี้เป็นทิศรับแดดเยอะและเป็นอีกหนึ่งในทิศหลักที่มีห้องหันไปทางนี้เยอะเช่นกัน ทางโครงการเลือกจะวางห้องขนาดเล็กไว้ทางฝั่งนี้ ส่วนใหญ่เป็น 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ประมาณ 23.2-25.7 ตร.ม. วิวที่ได้จะค่อนข้างโล่ง เพราะมีแต่บ้านพักอาศัยแนวราบสูง 1-2 ชั้นเท่านั้นครับ
มองย้อนกลับไปจากตัวโครงการ ฝั่งทางที่เราเข้ามาโครงการ ก็จะเห็นว่าทางเข้าออกซอยลาดพร้าว 48 แยก 8 ของเราค่อยข้างแคบ เป็นซอย 2 เลน ด้านข้างฝั่งหนึ่งคืออาคารพักอาศัย 8 ชั้น และอีกฝั่งเป็นพื้นที่รกร้างที่แอบมีความเปลี่ยวเหมือนกัน ถ้าเย็นก็ไม่เหมาะแก่การต้องเดินเข้าออกนะ
อาคารพักอาศัยทางฝั่งทิศตะวันออกเฉียงใต้แบบที่บอกก็มีหน้าตาประมาณนี้ครับ ข้างๆหน้าโครงการจะมีบ้านพักอาศัย 2 ชั้น อยู่หนึ่งหลังครับ
ส่วนถ้ากระเถิบเข้ามาด้านในซอยลาดพร้าว 48 แยก 22 จะเป็นอู่ซ่อมรถครับ ซึ่งมีแนวบ้านพักอาศัย 1-2 ชั้นเท่านั้น ไม่รบกวนเรื่องวิวทางฝั่งนี้นัก
ส่วนอีกฝั่งของโครงการจะเป็นถนนยาวเข้าไปเป็นซอยตันภายในครับ ค่อนข้างเงียบสงบและเปลี่ยวเหมือนกัน
ภายในเป็นบ้านพักอาศัยแนวราบ 1 จุด ที่เป็นบ้านพักอาศัยแนวราบ 2 ชั้นครับ
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- ตลาดสดทรัพย์จันทร์ผัน (ตลาดสะพาน 2) ~ 1 กม.
- ตลาดสดภาวนา ~1.2 กม.
- ตลาดโชคชัย 4 ~1.6 กม.
- Imperial World ลาดพร้าว ~2.4 กม.
- Big C Extra ~3.3 กม.
- สวนลุมไนท์ บาซ่าร์รัชดาฯ ~3.7 กม.
- รพ.เปาโล เมโมเรียล โชคชัย 4 ~4.1 กม.
- Union Mall ~4.8 กม.
- Central Plaza ลาดพร้าว ~5.2 กม.
- Major รัชโยธิน ~ 6.6 กม.
- Central East Ville ~ 6 กม.
- สวนจตุจักร ~ 7.1 กม.
รายละเอียดโครงการ
โครงการนี้เป็นอาคาร Low Rise 8 ชั้น ที่มีจำนวนยูนิตอยู่ที่ 189 ยูนิต ถือว่าอยู่ในปริมาณที่ปานกลาง ไม่มากไม่น้อย ยิ่งตำแหน่งที่อยู่ภายในซอยก็จะยิ่งทำให้ตัวโครงการมีบริบทที่เงียบสงบและไม่วุ่นวาย เหมาะแก่การพักอาศัย ตัวอาคารถูกออกแบบมาด้วยหลักการ Tesselletion ซึ่งเป็นคำศัพท์ในทางคณิตศาสตร์ที่เป็นการใช้ Modular มาตรฐานมาวางซ้ำๆ เรียงติดต่อกันโดยไม่ซ้อนกัน หรือมีช่องว่าง ทางโครงการเองก็ใช้ Modular ที่มีเอกลักษณ์มาแสดงบน Facade ของอาคาร ใช้ในงานคอนกรีตและแผงบังแดดแนวตั้ง ซึ่งจะช่วยให้เกิดแสงและเงาที่น่าสนใจ และที่สำคัญคือป้องกันแดดและความร้อนที่จะมากระทบกับห้องพักอาศัยของโครงการ ใช้โทนสีแนว Earth Tone ดูอบอุ่นและเข้ากับบริบทโดยรอบได้เป็นอย่างดี
มาดูที่ผังโครงการกันเลย ชั้น 1 จะมีทั้งพื้นที่จอดรถ พื้นที่ส่วนกลาง รวมไปถึงพื้นที่พักอาศัยเลย ซึ่งจะเป็นชั้นที่มีจำนวนยูนิต/ชั้นน้อยที่สุด อยู่ที่ 15 ยูนิต การเดินรถภายในเข้าใจได้ง่าย เพราะจะแยกทางเข้าและทางออกชัดเจน วนเข้าและวนออกอีกทาง ซึ่งระหว่างทางเข้าและทางออกจะมีส่วนของ Drop Off อยู่ที่กลางพื้นที่โครงการ ฝั่งอาคารจะเป็นพื้นที่จอดรถแบบ Automatic Parking ทั้งหมด 69 คัน ซึ่งปกติยังไม่มีการสรุปออกมาอย่างเป็นทางการว่าจะมีกี่ช่องจอด ใช้ระบบหรือรุ่นไหนนะครับ แต่จะมีพื้นที่พักคอยรถให้ภายในอาคารด้านข้าง ส่วนฝั่งตรงข้ามภายนอกอาคารจะมีจอดรถแบบปกติ 8 คัน และสามารถจอดซ้อนคันได้ 4 คัน รวมทั้งหมดเป็น 81 คัน รวมจอดซ้อนคัน คิดเป็น 43% นะครับ ถือว่าไม่เยอะสำหรับทำเลภายในซอยแบบนี้นะ
ส่วนภายในอาคารจะมี Double Volume Lobby ให้รองรับการเข้าออก รวมไปถึงใช้งานพื้นที่จอดรถแบบ Automatic Parking ที่เชื่อมต่อไปยังโถงลิฟต์ด้วย ส่วนห้องพักอาศัยทั้ง 15 ห้องของชั้นนี้ จะประกอบไปด้วยห้อง
- 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ประมาณ 23.2-25.7 ตร.ม. จำนวน 10 ยูนิต
- 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ประมาณ 30.2-32.8 ตร.ม. จำนวน 2 ยูนิต
- 1 Bedroom Plus Corner ขนาดพื้นที่ประมาณ 34.7-43.6 ตร.ม. จำนวน 3 ยูนิต
ทางเข้าออกโครงการจะอยู่ในซอยลาดพร้าว 48 แยก 22 ซึ่งเป็นฝั่งที่ผมพาไปโครงการนั่นแหละครับ สังเกตได้ง่าย และไม่ซับซ้อน เป็นระบบรั้วกั้นไม้กระดกอัตโนมัติ เข้าออกด้วย Keycard แบบ Easy Pass นะครับ
เข้ามาจะมีพื้นที่จอดรถแบบ Cenventional 8 คัน และสามารถจอดซ้อนคันได้ 4 คัน ส่วนฝั่งตรงข้ามภายในใต้อาคารจะเป็นที่จอดรถแบบ Automatic Parking
ส่วนทางออกก็อยู่อีกฝั่ง ไม่ซับซ้อนใช้งานได้ง่าย
อย่างที่บอกไปว่าตัวอาคารใช้การวาง Modular มาตรฐานในการตกแต่ง สังเกตเห็นแนว Facade รูปตัว L ที่นำมาใช้ ซ้ำๆ ฝั่งนี้ที่เราเห็นคือทางฝั่งทิศตะวันออก ซึ่งจะเห็นว่าแนว Facade ของเราจะติดบังแดดไปทางฝั่งทิศใต้ แสดงให้เห็นถึงการคิดและออกแบบมาเพื่อประโยชน์ต่อห้องพักอาศัย มากกว่าแค่จะสวยงามเพียงอย่างเดียว
ลองหมุนมาดูอีกฝั่งของอาคารกันบ้างที่เป็นฝั่งทิศตะวันตก ซึ่งเป็นฝั่งที่รับแดดมากกว่า ซึ่งทางโครงการเองก็เลือกใช้ Facade ที่แตกต่างจากฝั่งทิศตะวันออก โดยจะใช้เป็นแนวเส้นตรง ที่ยื่นออกมาช่วยบังแดดแทน
ส่วนด้านข้างของตัวอาคารก็จะมีการเล่น Pattern ของ Modular ที่เลือกใช้แบบสอดคล้องกับทั้งสองฝั่ง ดูแล้วก็กลมกลืนกันไปทั้งตัวอาคาร
ลองเจาะเข้ามาดูภายในตัวอาคารกันบ้าง ซึ่งผมมองว่าเป็นจุดเด่นหลักของโครงการนี้เลยนะ นั่นก็คือการจัดพื้นที่ส่วนกลางของโครงการนั่นเอง เขาเลือกที่จะทำมาในแนวแกนตั้ง โดยกระจายออกมาทั้งหมดทุกชั้นเลย ตั้งแต่ชั้น 1 จนถึงดาดฟ้า โดยมีแนวคิดการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางมาจาก Life (Light) Source โดยเริ่มจากตำแหน่งของพื้นที่ส่วนกลางคือกลางแนวอาคาร หรือเรียกว่าเป็น Facilities Core ก็ได้ ทำให้ในแต่ละชั้นเราจะได้โถงทางเดินแบบ Single Corridor ทุกห้อง (ไม่มีห้องฝั่งตรงข้ามในแนวทางเดินเดียวกัน) ได้ความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นการมีส่วนกลางในแต่ละชั้นยังช่วยสร้างบรรยากาศให้กับโถงทางเดินให้รู้สึก Lively มากยิ่งขึ้น และในแง่ของการใช้งานก็คือสามารถเข้าถึงได้ง่าย และเป็นการกระจายจำนวนผู้ใช้งานออกไปในแต่ละพื้นที่ ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้นด้วย แต่ด้วยการที่อยู่ตรวกลางแนวอาคาร และมีห้องพักอาศัยล้อมรอบทั้งหมดทำให้บางพื้นที่ของพื้นที่ส่วนกลางบางชั้นก็จะไม่ได้แสงจากภายนอก เช่นชั้นล่างๆ (1-4) แต่เขาก็ใช้ในแง่ของการออกแบบมาแก้ปัญหาส่วนนี้ คือการที่ออกแบบพื้นที่ภายในของแต่ละชั้นออกมาแตกต่างกัน ทำให้สามารถสัมผัสความรู้สึกที่แตกต่างในแต่ละพื้นที่ เช่น การเลือกใช้ความสูงของแต่ละพื้นที่ มี Double Volume ในบางชั้น บางชั้นก็สามารถเดินเชื่อมต่อกันได้ หรือบางชั้นก็เป็นห้องปิดที่ได้ความเป็นส่วนตัวแยกออกไป ไม่มีช่องแสงก็เลือกตกแต่งผนังให้เป็นแนวไฟแทน เป็นการนำจุดเด่นของ Interior Design ในแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน ทำให้ได้รับความรู้สึกที่หลากหลาย ในแต่ละชั้นประกอบไปด้วย
- ชั้น 1 – Double Volume Lobby ภายในจะมี Mail Box, Smart Locker & Food Deliver
- ชั้น 2 – Groove Box, Multi-Purpose Space
- ชั้น3 – Fit Club (Fitness)
- ชั้น 4 – Game Zone (E-Sport)
- ชั้น 5 – Co-Working Space, Co-Living Space
- ชั้น 6 และชั้น 7 – Nespresso Cafe’, Secret Garden
- ชั้น 8 – Sky Stair Case
- Roof Top – Sky Pool, Pool Deck, Sun Scape, Moon Scape, Roof Garden
ทีนี้เรามาดูผังในแต่ละชั้นกันบ้างนะครับ ต้องบอกก่อนว่าแต่ละชั้นมีจำนวนยูนิตและรูปแบบห้องเหมือนกัน (ยกเว้นชั้น 8) แต่จะต่างกันที่พื้นที่ส่วนกลางแบบที่ผมบอกไปนะ ทุกชั้นจะมีโถงลิฟต์อยู่ตรงกลางเป็นลิฟต์โดยสารแบบล็อคชั้น 2 ตัว และพื้นที่ส่วนกลางจะมีการเข้าถึงจากโถงลิฟต์ด้วย Keycard ในแต่ละชั้นนะครับ ทำให้จะแยกระหว่างพื้นที่พักอาศัยและพื้นที่ส่วนกลางออกจากกันอย่างชัดเจน ส่วนที่ต้องชมอีกส่วนของโครงการนี้อย่างที่บอกไปคือจะได้โถงทางเดินเป็นแบบ Single Corridor ทุกชั้น ซึ่งมีข้อดีคือได้ความเป็นส่วนตัว แต่สำหรับบางชั้นที่ช่องแสงด้านบนส่องลงมาไม่ถึง การวางแนวห้องพักอาศัยอยู่ทุกมุมโดยไม่ได้เจาะช่องแสงให้เข้ามาที่โถงทางเดินภายในแบบนี้ จะทำให้ต้องเปิดไฟเองตลอดแม้ในเวลากลางวัน รวมไปถึงพื้นที่ส่วนกลางที่อยู่ตรงกลางแนวอาคารก็จะต้องเปิดไฟและแอร์ตลอดด้วยเช่นกัน ทำให้อาจจะต้องแลกมากับค่าส่วนกลางที่สูงหน่อย
และสำหรับที่ชั้น 2-7 จะประกอบไปด้วยห้องพักอาศัยทั้งหมด 25 ยูนิต ประกอบไปด้วย
- 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ประมาณ 23.2-25.7 ตร.ม. จำนวน 11 ยูนิต ทางฝั่งทิศตะวันตกซึ่งเป็นฝั่งที่รับแดดมากกว่า ห้องขนาดเล็กเลยอาจจะต้องถูกมาเรียงวางกันไว้ทางฝั่งนี้
- 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ประมาณ 30.2-32.8 ตร.ม. จำนวน 10 ยูนิต เป็นห้องที่ขนาดใหญ่ขึ้นมา ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ซึ่งจะไม่ร้อนมากนัก
- 1 Bedroom Plus Corner ขนาดพื้นที่ประมาณ 34.7-43.6 ตร.ม. จำนวน 4 ยูนิต แค่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นห้องมุม และด้วยอาคารที่เป็น 4 เหลี่ยมผืนผ้า ทำให้มีแค่ 4 มุมเท่านั้น เป็นห้องที่ถูกออกแบบมาสำหรับตำแหน่งนี้โดยเฉพาะ จุดเด่นคือรับวิว 2 ฝั่ง และได้ช่องแสงที่เยอะกว่าห้องธรรมดาทั่วไป
ส่วนพื้นที่ส่วนกลางของชั้นนี้จะเป็นส่วนของ Groove Box และ Multi-Purpose Room ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับส่วน Lobby หรือ Co-Working Space ซึ่งจะช่วยกระจายผู้ใช้ในส่วนของ Lobby (ที่ชั้น 1) และ Co-Working Space (ที่ชั้น 5) ออกมาด้วย จุดเด่นในแง่ของการออกแบบคือจะเป็นเหมือนห้องกระจกที่อยู่กลางชั้น ทำให้ดูโล่งและไม่อึดอัด
ขึ้นมาที่ชั้น 3 จะมีรายละเอียดโดยรวมทั้งโถงลิฟต์ โถงทางเดิน และห้องพักอาศัย เหมือนกันกับชั้น 2 ทั้งหมด ส่วนที่จะแตกต่างคือพื้นที่ส่วนกลางตรงกลาง ที่ชั้นนี้จะเป็น Fit Club หรือห้องออกกำลังกายนั่นเอง ซึ่งจุดเด่นคือจะมีบันไดวนที่เชื่อมต่อขึ้นไปยังชั้น 4 ได้ด้วย และส่วนที่ผมชอบคือเขาให้ห้องน้ำแยกชายหญิงภายในพื้นที่ออกกำลังกายมาให้ด้วย ทำให้สามารถอาบน้ำ หรือเข้าห้องน้ำได้เลย ไม่ต้องวนกลับไปที่ห้องตัวเอง ส่วนการออกแบบตกแต่งส่วนของห้องออกกำลังกาย เขาจะใช้ Linear Light ในแนวตั้งและการตกแต่งด้วยกระจกเงาภายใน
ชั้น 4 นี้ พื้นที่ส่วนกลางอย่างที่บอกไปว่าเชื่อมต่อขึ้นลงกับชั้น 3 (ห้องออกกำลังกาย) ได้ ส่วนของชั้นนี้เองจริงๆจะเป็นพื้นที่ Game Room ซึ่งผมว่าในสมัยนี้ก็คงปฎิเสธไม่ได้ว่าการเล่นเกมเข้ามามีบทบาทกับคนทั่วไปอย่างจริงจัง ตั้งแต่เขามีการแข่งขันที่มีเงินรางวัลระดับล้านบาท จึงทำให้เรื่อง E-Sport ไม่ใช่เรื่องไร้สาระอีกต่อไปเลยนะ และผมว่าคงจะตอบโจทย์ลูกบ้านหลายๆท่านเลยล่ะ การตกแต่งเขาจะใช้สกรีนบายแพทเทิร์นบนกระจกเพื่อ Catch แสงส่องเกิดเป็น Effect แบบสายฝน เพื่อเพิ่ม Dynamic ภายในห้อง
ขึ้นมาที่ชั้น 5 จะมีจุดเด่นที่เป็นชั้นที่เชื่อมกันระหว่างชั้น 5-6-7 และมี Sky Light ที่ลงมาจากชั้น Roof Top ทำให้บรรยากาศภายในจะค่อนข้างแตกต่างจากส่วนอื่น ภายในตัวชั้นนี้เองจะมีส่วนของ Co-Working Space และ Co-Living Space ซึ่งเป็นพื้นที่ทำงานและพื้นที่พักผ่อน ที่จะใช้ต้นไม้เข้ามาแทรกค่อนข้างเยอะ และใช้ Lighting Fixture แบบไฟในสวน
พื้นที่ส่วนกลางชั้น 5 จะเชื่อมไปที่ชั้น 6 และ 7 จากภายใน ซึ่งอย่างที่บอกไปว่าจะเป็นการจัดพื้นที่ในลักษณะของสวน แถมยังมี Sky Light ลงมาอีก สำหรับชั้น 6 นี้จะพื้นที่ Nespresso Cafe’, Secret Garden หรือพูดง่ายๆก็เป็นพื้นที่จิบกาแฟในสวนนั่นเอง
ส่วนของชั้น 7 จะแตกต่างจากชั้นอื่นๆหน่อย ตรงที่ไม่ได้มีส่วนของพื้นที่ส่วนกลางให้เข้าจากชั้นนี้ เพราะเป็นพื้นที่ที่ยกฝ้าขึ้นมาแบบ Double Volume จากชั้น 5 และ 6 แต่ไม่ต้องน้อยใจไปนะครับสำหรับใครที่พักในชั้นนี้ ในมุมมองของผมเองคิดว่าไม่ได้แย่เลยนะ ข้อดีคือไม่มีคนมาเดินวุ่นวายเข้าออกพื้นที่ส่วนกลางจากชั้นนี้ ได้ความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น และเราเองก็ยังสามารถเข้าไปใช้พื้นที่ส่วนกลางของชั้นอื่นๆได้เช่นเดิม
ขึ้นมาที่ชั้น 8 ผังโดยรวมจะเปลี่ยนเล็กน้อย ห้องมุมทางฝั่งทิศตะวันออกจะมีขนาดเล็กลงหน่อย และเปลี่ยนเป็นห้อง 1 Bedroom ขนาดเล็กเข้ามาทางฝั่งนี้ด้วย ทำให้ห้องพักอาศัย/ชั้น จะลดลงเหลือ 24 ห้อง ประกอบไปด้วย
- 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ประมาณ 23.2-25.7 ตร.ม. จำนวน 13 ยูนิต
- 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ประมาณ 30.2-32.8 ตร.ม. จำนวน 7 ยูนิต
- 1 Bedroom Plus Corner ขนาดพื้นที่ประมาณ 34.7-43.6 ตร.ม. จำนวน 4 ยูนิต
ส่วนพื้นที่ส่วนกลางของชั้นนี้จะเชื่อมต่อกับชั้นดาดฟ้า โดยจะเป็นห้องน้ำแยกชายหญิงที่มีบันไดวนขึ้นไปด้านบนชั้นดาดฟ้าที่เป็นส่วนของสระว่ายน้ำครับ ซึ่งชั้นดาดฟ้านั้นจะไม่มีลิฟต์ ซึ่งทำให้ต้องขึ้นไปจากทางชั้น 8 นี้เท่านั้นครับ
ส่วนชั้นดาดฟ้าจะเป็นพื้นที่ส่วนกลางทั้งชั้น ไม่มีห้องพักอาศัย และไม่มีลิฟต์ให้ ทำให้ต้องขึ้นมาจากชั้น 8 ภายในจะประกอบไปด้วย Sky Pool ระบบเกลือขนาด 26 x 6 เมตร ภายในสระเองก็จะมี Sun Scape และ Moon Scape ที่เป็นมุมพักผ่อนให้ด้วย ส่วนสำหรับผู้ติดตามก็จะมีส่วนด้านข้างเป็น Pool Deck มาให้ พร้อม Roof Garden สร้างบรรยากาศให้กับชั้นนี้ยิ่งขึ้นไปอีก
ชั้นดาดฟ้าที่จัดเป็นจุดเด่นและจุดขายหลักๆของโครงการเลย เพราะโดยทั่วไปโครงการ Low Rise ที่ยกสระขึ้นมาที่ชั้นดาดฟ้าก็ถือว่าดีแล้วนะ แล้วยิ่งให้ขนาดมาให้ค่อนข้างกว้างแบบ Half Olympic เลยแบบนี้ ผมว่าเป็นอีกจุดที่ต้องชมเลยครับ
บรรยากาศที่จัดมาให้ก็ดูดีน่าใช้งานเลยล่ะครับ เพราะรับวิวชั้นดาดฟ้า ทำให้ได้ลมและความโล่ง รวมไปถึงเขาจัดสวนด้านข้างมาให้อีกด้วย
มีพื้นที่พักผ่อนให้สำหรับผู้ติดตาม หรืออยากมารับบรรยากาศแต่ไม่อยากลงน้ำก็สามารถรับความชิลนี้ได้เช่นกัน
อีกฝั่งของสระก็เป็นบันไดวนที่ขึ้นมาจากชั้น 8 เป็น Space ที่ค่อนข้างแปลก และผมว่าสร้างบรรยากาศในการเข้าถึงได้ดีเลยทีเดียว
โดยเฉพาะช่องแสงตรงกลางที่ถูกส่องลงไปที่ชั้น 5, 6, 7 ที่มีความเชื่อมต่อกันได้เป็นอย่างดี
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- ชั้น 1 – Double Volume Lobby ภายในจะมี Mail Box, Smart Locker & Food Deliver
- ชั้น 2 – Groove Box, Multi-Purpose Space
- ชั้น3 – Fit Club (Fitness)
- ชั้น 4 – Game Zone (E-Sport)
- ชั้น 5 – Co-Working Space, Co-Living Space
- ชั้น 6 และชั้น 7 – Nespresso Cafe’, Secret Garden
- ชั้น 8 – Sky Stair Case
- Roof Top – Sky Pool ขนาด 26 x 6 เมตร ลึก 1.2 เมตร Pool Deck, Sun Scape, Moon Scape, Roof Garden
- ลิฟต์โดยสารแบบล็อคชั้น 2 ตัว/อาคาร
- อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 95 : 1
- ที่จอดรถประมาณ 81 คัน รวมจอดซ้อนคัน คิดเป็น 43% (แบ่งออกเป็น Auto Parking 69 คัน จอดปกติ 8 คัน และจอดซ้อนคัน 4 คัน)
- ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ CCTV / Key Card ห้องพักและพื้นที่ส่วนกลาง
- เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
- ไม้กั้นกระดกอัตโนมัติ เข้า-ออก ด้วยระบบ Keycard แบบ Easy Pass
แบบห้อง
สำหรับโครงการนี้จัดรูปแบบการขายมาให้แบบ Fully Furnished และจะได้ของตามห้อง 1 Bedroom ขนาด 23.63-23.7 ที่จะพาไปชมกันวันนี้ด้วย วัสดุส่วนใหญ่ที่ได้ก็จะมีมาให้ตั้งแต่ Digital Door Lock พื้นเป็น Smart Vinyl ผนังและฝ้าฉาบเรียบทาสี โดยจะมีความสูงภายในห้องอยู่ที่ 2.55 เมตร วัสดุครัวเป็นของ MEX ที่จะได้เตาไฟฟ้าพร้อมเครื่องดูดควันแบบหมุนเวียน และอ่างล้างจานที่ได้ฝาปิดมาให้ด้วย ส่วน Top ครัวจะเป็นหินสังเคราะห์ทั้ง เคาน์เตอร์สำหรับรับประทานอาหาร และ เคาน์เตอร์หลัก ภายในห้องน้ำได้เป็นกระเบื้องเซรามิคทั้งพื้นและผนัง ได้สุขภัณฑ์ของ Mogen ทั้งอ่างล้างหน้าพร้อมกระจกเงา, สุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว และส่วนอาบน้ำ พร้อมฉากกั้นอาบน้ำมาด้วย ส่วนห้องนั่งเล่นก็ได้โซฟาและชั้นวางทีวีมาให้ ห้องนอนได้ฐานเตียงและส่วนของ Walk-in Closet ที่ค่อนข้างจัดเต็มมาให้เลย หลักๆก็ประมาณนี้ครับ ส่วนห้องพักอาศัยของที่นี่จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 แบบ ที่มีจุดเด่นหลักๆคือได้ครัวปิดทุกแบบห้องเลย ฟังก์ชันค่อนข้างลงตัว เน้นการแยกพื้นที่กันอย่างชัดเจน ดังนี้
- 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ประมาณ 23.2-25.7 ตร.ม. จำนวน 89 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท
- 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ประมาณ 30.2-32.8 ตร.ม. จำนวน 69 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท
- 1 Bedroom Plus Corner ขนาดพื้นที่ประมาณ 34.7-43.6 ตร.ม. จำนวน 31 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.6 ล้านบาท
มาดูกันที่ห้องแรกของเราเลย เป็นห้องขนาดเล็กที่สุด 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ประมาณ 23.2-25.7 ตร.ม. ที่มีจำนวน 89 ยูนิตทั้งโครงการ ในราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท ด้วยขนาดห้องก็เหมาะกับการอยู่อาศัย 1 คน มีการจัดห้องคล้ายๆกับห้อง Studio เลย แต่มีการจัดพื้นที่ภายในที่ค่อนข้างลงตัว ทั้งการได้ครัวปิด และห้องน้ำที่เข้าออกได้ 2 ทาง ช่วยในเรื่องความสะดวกในการเข้าใช้งาน พูดง่ายๆก็เหมือนแบ่งตัวห้องออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือส่วนหน้าห้องที่เป็นครัวและห้องน้ำ กับภายในห้องที่เป็นส่วนพักผ่อน แต่ก็ดีที่ห้องน้ำสามารถเข้าออกได้ 2 ทาง ทำให้สะดวกในการเข้าใช้งานทั้งสองส่วนที่ว่ามาเลย
เปิดประตูเข้ามาจะเจอกับส่วนแรกที่ผมบอก คือส่วนของครัวนั่นเอง มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง เพราะรวมส่วนประกอบอาหารไว้กับส่วนรับประทานอาหารในตัวเลย ช่วยให้ไม่ต้องออกไปเลอะส่วนอื่นภายในห้อง แถมยังเข้าใช้งานห้องน้ำได้ง่ายด้วย ส่วนด้านในจะรวมห้องนั่งเล่นและห้องนอนไว้ด้วยกัน มีมุมแยกส่วน Walk-in Closet ไว้ค่อนข้างชัดเจน พร้อมทางเข้าห้องน้ำอีกทางด้วย ห้องนี้จะได้ช่องแสงหลักจากทางฝั่งห้องนอนและระเบียงห้องครับ
เปิดประตูเข้ามาจะพบกับส่วนแรกของห้อง คือส่วนของห้องครัว พื้นที่จัดมาให้ค่อนข้างกว้างเลย
ด้านข้างประตูทางเข้าจะเป็นครัวและห้องน้ำ ซึ่งอาจจะไม่มีพื้นที่มากนักสำหรับวางชั้นรองเท้า ทำให้อาจจะต้องนำรองเท้าเข้าไปเก็บภายในห้อง และอาจจะทำให้สิ่งสกปรกเข้าไปภายในห้องอีกส่วนได้ง่ายหน่อย
ครัวส่วนนี้ไม่ได้ให้มาเล่นๆนะครับ ขนาดค่อนข้างกว้างเลย เพราะให้เคาน์เตอร์เสริม มาด้วย เหมาะกับการใช้เป็นส่วนรับประทานอาหารด้วย
ถึงจะมีส่วนแบ่งกั้นสัดส่วนแต่เขาจัดมาให้เป็นประตูบานเลื่อน 4 ตอน ซึ่งทำให้สามารถเปิดได้กว้างมากยิ่งขึ้น เปิดได้กว้างที่สุดประมาณ 2.1 เมตร และที่ชอบคือให้บานที่สูงถึงฝ้ามาด้วย ทำให้ห้องยิ่งดูโล่งเข้าไปใหญ่ และทำให้ห้องครัวก็ยังได้รับแสงจากภายนอกด้วย
มาเริ่มกันที่ครัวกันก่อนเลยนะ อย่างที่เกริ่นไปว่าให้มาค่อนข้างกว้างนะครับ
พื้นที่ตรงนี้ก็เหมาะกับการใช้งานทีละคนมากกว่า เพราะมีแนวทางเดินกว้างประมาณ 70 เซนติเมตร แต่ข้อดีคือใช้นั่งรับประทานอาหารตรงนี้ได้ด้วยเลย ไม่ต้องไปเลอะส่วนอื่นภายในห้อง ทานเสร็จก็หันไปล้างจานได้ง่ายๆ
หน้าตาครัวที่เราจะได้คือแบบนี้แหละ แต่ห้องจริง ครัวจะเลื่อนเข้าไปด้านในนะ ส่วนตู้เย็นจะตั้งด้านนอกแทน ซึ่งก็สามารถใช้งานได้ง่ายเหมือนกัน
อีกฝั่งจะได้เคาน์เตอร์เสริมมาให้ ปิดผิวด้วยหินสังเคราะห์ แข็งแรงทนทาน มีช่องด้านล่างว่างๆ สำหรับเอาเก้าอี้บาร์มานั่งทานข้าวห้อยขาได้สบายๆ
ด้านในจะให้อ่างล้างจานมาให้ จาก MEX พร้อมที่ปิดมาให้ด้วย สำหรับใช้งานเคาน์เตอร์เสริมได้มากยิ่งขึ้น
ส่วนอีกฝั่งก็เป็นเคาน์เตอร์ปิดผิวด้วยหินสังเคราะห์เช่นกัน ให้เตาไฟฟ้าแบบ 2 หัวมาพร้อมเครื่องดูดควันแบบหมุนเวียน ซึ่งการมีครัวปิดที่อยู่ภายในห้องแบบนี้จะทำให้การระบายอากาศและควันจากการประกอบอาหารจะระบายได้ค่อนข้างยากหน่อย
ส่วนครัวให้ฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสี พร้อมไฟ Downlight มาให้ 2 ดวง
ส่วนอีกฝั่งจะเป็นห้องน้ำ มีพื้นที่เล็กๆหน้าห้องน้ำที่พอจะวางชั้นวางรองเท้าได้ แต่ขนาดไม่ได้ใหญ่นักนะ
ภายในห้องน้ำตกแต่งด้วยกระเบื้องเซรามิคแผ่นเล็ก โทนสีขาวดูสะอาดดี สุขภัณฑ์ต่างๆจะได้ของ Mogen ทั้งหมด ส่วนกระจกจะได้เฉพาะบานฝั่งขวามือสุดที่ตรงกับอ่างล้างหน้าเท่านั้นนะครับ
ข้อดีของห้องน้ำห้องนี้คือมีทางเข้าออก 2 ฝั่ง ทำให้สามารถใช้งานได้สะดวก ไม่รบกวนกัน เช่นเราปิดประตูทำกับข้าวในครัว การเข้าห้องน้ำทางเข้าฝั่งนี้ได้ก็ทำให้กลิ่นและควันไม่เข้าไปรบกวนภายในห้องด้วย
โถสุขภัณฑ์จะได้แบบชิ้นเดียวจาก Mogen ซึ่งข้อดีคือมีรอยต่อน้อยและสามารถทำความสะอาดได้ง่าย ไม่สะสมเชื้อโรคนัก แต่ถ้าเสียหายก็ต้องเปลี่ยนทั้งชิ้นเลย ส่วนอ่างล้างหน้าจะได้แบบมีเคาน์เตอร์ด้านล่าง พร้อมพื้นที่วางของเล็กน้อย
ส่วนอาบน้ำคือให้ฉากกั้นอาบน้ำมาให้ ข้อดีคือแบ่งสัดส่วนเปียกส่วนแห้งมาให้ค่อนข้างดีเลย ภากในได้เป็น Hand Shower จาก Mogen และที่ชอบคือได้ช่องเก็บอุปกรณ์อาบน้ำมาให้ด้วย
ภายในห้องน้ำได้ไฟ Downlight มา 2 ดวงครับ
มาดูส่วนด้านในของห้องกันต่อเลย เป็นส่วนพักผ่อนที่ให้ความรู้สึกคล้ายกับห้อง Studio หน่อย ซึ่งข้อดีคือได้พื้นที่พักผ่อนที่ค่อนข้างกว้าง สามารถจัดได้หลากหลาย แต่ข้อเสียคือหากมีแขกหรือผู้อาศัยร่วมก็จะเสียความเป็นส่วนตัวในห้องนอนไป ดังนั้นจึงเหมาะกับการอยู่อาศัยคนเดียวซะมากกว่า
ระยะดูทีวีของห้องนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2.5 เมตร เหมาะกับทีวีขนาด 52-55 นิ้ว ใหญ่เลยล่ะ
หน้าตาของ Sofa ที่เราจะได้มาด้วยคือประมาณนี้ครับ
ส่วนฝั่งทีวีจะมีชั้นวางแบบนี้มาให้เลย ซึ่งนอกจากจะเป็นชั้นวางของแล้วก็มีหน้าที่ในการกั้นสัดส่วนของ walk-in closet ไว้ด้านหลังด้วย
ส่วนที่นอนก็จะได้ฐานเตียงตัวนี้มาด้วย ติดกับช่องแสงขนาดใหญ่ก็เหมาะกับการรับวิวที่เปิดโล่ง และเป็นช่องแสงหลักของห้องนี้ด้วย
ขนาดพื้นที่ตรงนี้ไม่เยอะนักก็จริง แต่ถ้ายิ่งตั้งเตียงติดหน้าต่างก็จะได้พื้นที่ภายในห้องเยอะขึ้นนะครับ
อีกอย่างที่ผมชอบมากๆของห้องนี้คือได้แนวหน้าต่างขนาดใหญ่ ซึ่งบาน Fixed ตรงกลางขนาด 1.85 x 1.75 เมตร ด้านล่างก็ให้มาอีก 0.75 x 1.85 เมตร ขนาดค่อนข้างใหญ่เลย เหมาะกับการเป็นช่องแสงหลักของห้อง เพราะส่องเข้าไปได้ถึงหน้าห้องเลยล่ะ แต่แอบเสียดายที่บานกระทุ้งเล็กไปหน่อย ทำให้ถ้าจะเปิดหน้าต่างรับลมระบายอากาศภายในห้องก็อาจจะได้ไม่เยอะนัก
ส่วนพักผ่อนภายในห้องนี้จะได้ไฟ Downlight 6 ดวง พร้อมแอร์ 1 ตัว
ด้านหลังของชั้นวางทีวีจะเป็นส่วนของ walk-in closet ครับ มีการกั้นสัดส่วนค่อนข้างชัดเจน เข้าไปดูกัน
ตรงนี้ไม่ได้ให้มานะ แต่ถ้าใครอยู่อาศัยมากกว่า 1 คน หรือมีแขกมาบ่อยๆ ก็สามารถติดรางม่านตรงนี้เพื่อปิดแล้วแบ่งกั้นสัดส่วนกันได้
ส่วนด้านในก็ให้เฟอร์นิเจอร์มาแบบนี้เลย หน้าตาของตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งก็แบบนี้เลยครับ แต่กระจกที่จะได้จะเป็นบาน 4 เหลี่ยมปกตินะครับ
พื้นที่ตรงนี้ก็ค่อนข้างกว้าง มีขนาดแนวทางเดินประมาณ 1 เมตร เดินเข้าออกสบายๆ
ตรงนี้มีทางเชื่อมต่อไปยังห้องน้ำด้วย อย่างที่ว่า ก็ช่วยทำให้สามารถใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
ตรงนี้จะได้ไฟ Downlight 1 ดวงครับ
ฝั่งด้านในของห้องก็มีแนวกระจกที่เชื่อมต่อไปยังระเบียงมาให้ด้วย เป็นแนวช่องแสงให้กับส่วนพื้นที่ตรงนี้อีกต่างหาก
พื้นที่ภายนอกระเบียงขนาด 1.8 x 0.65 เมตร แต่ต้องวางเครื่องซักผ้าด้วยนะครับ
ตรงนี้จะติด Condensing Unit ไว้ด้านบนด้วยนะครับ ทำให้มีพื้นที่ระเบียงไว้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น
ห้องต่อมาเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย คือห้อง 1 Bedroom Plus ที่มีขนาดพื้นที่ประมาณ 30.2-32.8 ตร.ม. มีทั้งหมดจำนวน 69 ยูนิต ในราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ใหญ่ขึ้นมา เหมาะกับการอยู่อาศัย 1-2 คน แบบสบายๆ มีจุดเด่นภายในหลายอย่างเลย ทั้งครัวปิด ห้องนั่งเล่นที่ได้ระยะดูทีวีเยอะ ห้อง Plus ในตำแหน่งที่เหมาะสม ห้องนอนที่แยกสัดส่วนออกไปชัดเจน รวมถึง Walk-in Closet ที่เป็นสัดส่วนและสามารถเชื่อมต่อกับห้องน้ำที่เข้าได้ 2 ทางอีกด้วย จุดเด่นต่างๆเหล่านี้ทำให้ห้องนี้ดูค่อนข้างลงตัวเลยล่ะครับ ได้ความเป็นส่วนตัวในแต่ละพื้นที่ รวมไปถึงมีฟังก์ชันที่สามารถทำกิจกรรมได้ค่อนข้างหลากหลาย
เริ่มต้นที่เข้ามาในห้องจะมีครัวปิดทางฝั่งขวามือที่เปิดโล่งนั่งทานข้าวดูทีวีก็ได้ และฝั่งซ้ายมือจะมีชั้นวางรองเท้ามาให้หน้าส่วนของห้องน้ำที่เข้าออกได้ 2 ทาง เช่นเดียวกันกับห้องก่อนหน้านี้ เข้ามาภายในจะเป็นห้องนั่งเล่นที่อาจจะมีพื้นที่สำหรับวางโซฟาได้ไม่ใหญ่นัก แต่มีระยะดูทีวีที่ค่อนข้างกว้าง ทำให้สามารถติดทีวีขนาดใหญ่ได้ รวมถึงวางโต๊ะกลางได้ด้วย ด้านในสุดของห้องจะมีห้องเสริมขึ้นมา หรือที่เรียกว่าห้อง Plus ที่เชื่อมด้วยกระจก ทั้งด้านในและด้านนอก มีความพิเศษไม่น้อยเลย ส่วนอีกฝั่งคือห้องนอนที่แยกออกไปอย่างเป็นสัดส่วน มีแขกหรืออีกคนมาที่ห้องก็ทำให้ภายในห้องนอนยังได้ความเป็นส่วนตัวอยู่ ภายในเชื่อมไปกับ Walk-in Closet ที่ถูกแบ่งด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ภายในเชื่อมได้กับห้องน้ำด้วย ไปดูของจริงกันเลยครับ
เปิดประตูเข้ามาภายในห้องจะเจอกับชั้นวางของและรองเท้าด้านข้าง (ซ้ายมือ) และอีกฝั่งคือห้องครัวครับ การเปิดเข้ามาแล้วยังไม่เจอพื้นที่ภายในห้องเลย ช่วยให้คนที่ใช้งานอยู่ภายในรู้สึกเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น ไม่ต้องตกใจเวลามีใครเข้ามากระทันหัน
ชั้นรองเท้าและชั้นวางของที่ทางโครงการให้มาจะได้หน้าตาแบบนี้ พื้นที่ด้านล่างสุดก็สอดเก็บรองเท้าได้ด้วย
ส่วนอีกฝั่งจะเป็นห้องครัวที่กั้นด้วยบานเลื่อน 3 ตอนทั้งสองฝั่ง หน้าตาแบบนี้ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆเหมือนกัน
การใช้งานของมันคือจะมีจุดปิดที่ตรงมุมพอดี ซึ่งสามารถเลื่อนได้ทั้งสองฝั่ง
ภายในห้องครัวจะให้มาคล้ายกันกับห้องก่อนหน้านี้ แต่เราจะได้เคาน์เตอร์เสริมที่ใหญ่กว่าหน่อย
พื้นที่ภายในครัวมีขนาดประมาณ 2×2 เมตร มีทางเดินประมาณ 70 เซนติเมตร ที่พื้นจะมีรางของแนวบานเลื่อน เวลาเดินถือจานหรืออาคารก็ต้องระวังกันหน่อยนะครับ
เคาน์เตอร์รองที่ได้จะเป็น Top หินสังเคราะห์เช่นเดิม ห้องนี้จะได้พื้นที่วางเครื่องซักผ้าตรงจุดนี้ ถ้ามีเก้าอี้บาร์ 2 ตัว ก็สามารถนั่งห้อยขาได้ทั้งสองฝั่งเลย
เมื่อเปิดแล้วก็นั่งรับประทานอาหารดูทีวีได้สบายๆ
ส่วนของเคาน์เตอร์จะได้อ่างล้างจานและเตาอยู่ติดกันเลย เป็นของ MEX เช่นเดิม พร้อมระบบดูดควันแบบหมุนเวียน ยิ่งครัวที่อยู่ภายในห้องแบบนี้ทำให้เวลาประกอบอาหารจะระบายอากาศได้ยากหน่อย
ด้านบนเป็นชั้นเก็บของเช่นเดิมครับ
ในครัวจะได้ไฟ Downlight 2 ดวง
อีกฝั่งของห้องจะเป็นห้องน้ำครับ เป็นห้องน้ำแบบเดียวกันกับห้องที่ผ่านมาเลย เป๊ะๆ
ภายในห้องเหมือนเดิมกับห้อง 1 Bedroom ทุกอย่าง ตกแต่งด้วยกระเบื้องเซรามิคแผ่นเล็ก โทนสีขาว สุขภัณฑ์ต่างๆจะได้ของ Mogen ทั้งหมด ส่วนกระจกจะได้เฉพาะบานฝั่งขวามือสุดที่ตรงกับอ่างล้างหน้าเท่านั้น เป็นห้องน้ำที่มีทางเข้าออก 2 ฝั่ง ทำให้สามารถใช้งานได้สะดวก โถสุขภัณฑ์จะได้แบบชิ้นเดียวจาก Mogen อ่างล้างหน้าจะได้แบบมีเคาน์เตอร์ด้านล่าง พร้อมพื้นที่วางของเล็กน้อย ส่วนอาบน้ำคือให้ฉากกั้นอาบน้ำมาให้ ภายในได้เป็น Hand Shower จาก Mogen มีช่องวางอุปกรณ์อาบน้ำมาให้
ออกมาดูกันต่อที่ห้องนั่งเล่นเลย เป็นส่วนที่แบ่งกั้นระหว่างทางเข้าห้องที่มีห้องครัว กับภายในห้องที่เป็นห้องนอน ซึ่งเรียงลำดับความเป็นส่วนตัวของแต่ละพื้นที่ได้ดีเลยทีเดียว
ข้อดีก็อย่างที่บอกไปแล้ว เป็นห้องนั่งเล่นที่อาจจะมีพื้นที่สำหรับวางโซฟาได้ไม่ใหญ่นัก แต่มีระยะดูทีวีที่ค่อนข้างกว้าง ทำให้สามารถติดทีวีขนาดใหญ่ได้ รวมถึงวางโต๊ะกลางได้ด้วย โดยจะมีระยะดูทีวีอยู่ที่ประมาณ 2.5 เมตร เหมาะกับการติดทีวีขนาด 52-55 นิ้ว
ส่วนตรงกลางนี้จะได้ไฟ Downlight 4 ดวงครับ พร้อมเครื่องปรับอากาศ 1 ตัว
ด้านในจะเป็นห้องนอนกับห้อง Plus ซึ่งจะได้ช่องแสงทั้งสองห้องเลย แถมช่องแสงของห้อง Plus ก็ส่องเข้ามาถึงภายในห้องด้วย
ที่ผมบอกไปในตอนวิเคราะห์ผังห้องว่าห้อง Plus ห้องนี้มีความพิเศษไม่น้อยเลย คือพื้นที่ส่วนนี้สามารถช่วยเป็นทั้งห้องนั่งเล่นที่กว้างขึ้น โดยการเปิดประตูภายในและปิดประตูส่วนที่เชื่อมกับระเบียง สำหรับการต้อนรับแขกหลายคน รวมไปถึงถ้าทำเป็นห้องทำงานก็ไม่ต้องติดเครื่องปรับอากาศภายในห้องแยกอีกเครื่องเพราะใช้ร่วมกับห้องนั่งเล่นได้เลย หรือจะทำหน้าที่เป็นระเบียงที่กว้างมากยิ่งขึ้นด้วยการปิดประตูภายในที่เชื่อมกับห้องนั่งเล่น และเปิดประตูที่เชื่อมกับระเบียงก็ทำหน้าที่เหมือนเป็นระเบียงที่กว้างขึ้นแล้ว จัดปาร์ตี้หมูกะทะ ชาบูกับเพื่อนๆได้สบายๆเลยครับ
ขนาดพื้นที่ภายในห้องนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2.2 x 1.6 เมตร ด้วยพื้นที่อาจจะไม่เหมาะสำหรับวางเตียงเป็นห้องนอนนัก แต่อย่างที่บอกไปว่าใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทำเป็นพื้นที่นั่งทำงาน จิบกาแฟ หรือเอาไว้นั่งรับลมเปลี่ยนบรรยากาศ ก็เป็นอีกมุมที่น่าสนใจเหมือนกันนะครับ
ฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสีพร้อมไฟ Downlight 2 ดวง
เชื่อมต่อออกไปยังระเบียงได้ เป็นระเบียงที่มีขนาดประมาณ 2.35 x 0.6 เมตร ใช้งานได้เยอะขึ้น เพราะไม่ต้องวางเครื่องซักผ้าแล้ว (วางใต้ เคาน์เตอร์เสริมในครัว)
ด้านบนแขวน Condensing Unit 2 ตัว พร้อมให้ไฟกิ่งมา 1 ดวง ครับ
เปิดประตูทึบเข้าไปดูภายในห้องนอนกันบ้าง ภายในห้องนอน ด้วยขนาดห้องอาจจะดูไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก แต่จริงๆก็มีความพิเศษในตัวอยู่เหมือนกันนะครับ
วางเตียง 5 ฟุตแล้วเหลือพื้นที่สามารถเดินได้รอบเตียง ถ้าอยากได้พื้นที่หน้าตู้เสื้อผ้าเพิ่มอาจจะต้องดันเตียงชิดผนัง แต่แอบเสียดายอยู่นะ เพราะเขาให้กระจกที่ยาวถึงพื้นมาเลย
จุดเด่นแรกของห้องนอนนี้ก็เช่นเคยครับ ได้แนวกระจกหน้าต่างขนาดใหญ่เช่นเดียวกันกับห้อง 1 Bedroom เริ่มที่บาน Fixed ตรงกลางขนาด 1.85 x 1.75 เมตร ด้านล่างก็ให้มาอีก 0.75 x 1.85 เมตร แต่แอบเสียดายที่บานกระทุ้งเล็กไปหน่อย ทำให้ถ้าจะเปิดหน้าต่างรับลมระบายอากาศภายในห้องก็อาจจะได้ไม่เยอะนัก
ในห้องนอนจะได้ไฟ Downlight 4 ดวง พร้อมเครื่องปรับอากาศ
ด้านในจะเป็นประตูห้อง และส่วนบานเลื่อนที่เราเห็นนี้คือส่วนกั้น Walk-in Closet ครับ ให้เป็นสัดส่วน ถามว่าทำไมต้องเป็นสัดส่วนด้วย ? ในกรณีที่ห้องอยู่กัน 2 คน คุณผู้ชายนอนอยู่และคุณผู้หญิงลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวแล้ว ต้องหยิบของนุ่นนี่ เป่าผม หรืออาจจะเกิดการรบกวนอีกคนที่นอนอยู่ได้ ซึ่งการแบ่งกั้นสัดส่วนก็จะช่วยในจุดนี้ นอกจากนั้นก็ยังทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกได้ความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้นด้วย
ขนาดพื้นที่ภายในห้องนี้จะประมาณ 1.8 x 1.5 เมตร เหลือทางเดินตรงกลางเดินผ่านไปมาเข้าห้องน้ำได้สะดวกเลย
ภายในจะ Built-in ตู้เสื้อผ้าและชั้นวางของมาให้แบบนี้เลย ใช้งานได้ง่ายและวางของได้เยอะเลย
ส่วนด้านหน้าคือทางเข้าออกอีกทางของห้องน้ำ เชื่อมต่อกับห้องน้ำทางนี้ก็ช่วยให้มีความเป็นส่วนตัว และสะดวกแก่การใช้งานด้วย
ฝ้าเพดานภายในนี้จะให้ไฟ Downlight มาด้วย 1 ดวง
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
ราคา
28 April 2020
- 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ประมาณ 23.2-25.7 ตร.ม. จำนวน 89 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท
- 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ประมาณ 30.2-32.8 ตร.ม. จำนวน 69 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท
- 1 Bedroom Plus Corner ขนาดพื้นที่ประมาณ 34.7-43.6 ตร.ม. จำนวน 31 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.6 ล้านบาท
- รูปแบบการขาย Fully Furnished
- ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.55 เมตร
- Kitchen & Sink / ท็อปหินสังเคราะห์
- Hob & Hood / ของยี่ห้อ MEX
- มีรถ Shuttle Bus ไปกลับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ยังไม่มีรายละเอียด)
- จอง 10,000 บาท
- ทำสัญญา 40,000 บาท
- ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 58 บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
บทสรุป
ทำเล : โครงการ Groove Scape 48 ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 48 แยก 8 ห่างจากถนนลาดพร้าวประมาณ 500 ม. ตัวทำเลแม้จะอยู่ไม่ติดถนนใหญ่เหมือนโครงการ High Rise ขนาดใหญ่ แต่สิ่งที่ได้เปรียบคือราคาที่หยิบจับง่ายกว่าและบรรยากาศที่เงียบสงบ แลกด้วยการยอมขยับเข้ามาในซอยเล็กน้อยในระยะที่ยังสามารถเดินเข้า-ออกเองได้ แต่อาจจะเปลี่ยวหน่อยในเวลากลางคืน และนอกจากนี้ทำเลในซอยลาดพร้าว 48 นั้นจัดว่าเป็นซอยที่มีความคึกคักพอสมควรทีเดียว เพราะเป็นซอยย่อยที่รถมักจะใช้เป็นทางลัดไปออกถนนสุทธิสารเพื่อไปทะลุออกถนนรัชดาภิเษกอีกที รวมไปถึงเป็นทำเลชุมชน จึงมีร้านค้าร้านอาหารเปิดค่อนข้างคึกคักเลยทีเดียว เข้ามาที่ที่ตั้งโครงการจริงๆ จะอยู่ในซอยย่อยจากซอยลาดพร้าว 48 อีกที คือแยก 8 ลึกมาหน่อย อาจจะมีบางช่วงที่เงียบหน่อย และอาจจะเปลี่ยวตอนกลางคืนเล็กน้อย แต่ก็เป็นพื้นที่ชุมชนได้บรรยากาศที่สงบมากขึ้นจากภายในซอยลาดพร้าว 48 หลักๆ เอง ซึ่งเหมาะกับการอยู่อาศัยมากขึ้นอีกด้วย
การเดินทางโดยใช้รถ :เป็นการเดินทางหลักของโครงการเพราะไม่ได้ติดถนนใหญ่ แต่เอาจริงๆการเดินทางโดยใช้รถก็จัดว่าสะดวกนะครับ ด้วยความที่เป็นซอยลัดอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้า สามารถเชื่อมเข้าถนนสุทธิสารและลาดพร้าวได้ จึงมีตัวเลือกเส้นทางในการเดินทางมากขึ้น ลัดเลาะไปออกถนนต่างๆ ได้ ซึ่งดีมากในช่วงเวลาเร่งด่วนที่รถติด ส่วนจำนวนที่จอดรถจะอยู่ที่ประมาณ 81 คัน รวมจอดซ้อนคัน คิดเป็น 43% แบ่งออกเป็น Auto Parking 69 คัน จอดปกติ 8 คัน และจอดซ้อนคัน 4 คัน ซึ่งเอาจริงๆอาจจะน้อยไปหน่อยสำหรับโครงการที่ต้องเข้าซอยลาดพร้าว 48 ไปอีกประมาณ 500 เมตร
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : จัดว่าสะดวกอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่ใช่การเดินทางหลักของโครงการ เพราะในซอยลาดพร้าว 48 มีวินมอเตอร์ไซค์เยอะหลายจุดทีเดียว เรียกไปลงหน้าปากซอยลาดพร้าว หรือทางสุทธิสาร รวมไปถึง MRTสถานีรัชดาฯ หรือสถานีสุทธิสารก็ได้ หลักๆ ในซอยนี้พึ่งวินมอเตอร์ไซค์จะสะดวกที่สุด ส่วนในอนาคตอันใกล้คนในย่านลาดพร้าวก็จะได้ใช้รถไฟฟ้าสายสีเหลืองกันแล้ว ซึ่งโครงการนี้ก็อยู่ในรัศมีของรถไฟฟ้านี้เช่นเดียวกันนะครับ โดยสถานีที่ใกล้กับโครงการจะมีอยู่ 2 สถานีด้วยกัน คือ สถานีภาวนา และสถานีโชคชัย 4 ระยะห่างจากโครงการประมาณ 1.2 กม. (สถานีภาวนา) แม้จะหลุดระยะเดินไปหน่อยแต่ด้วยความที่ในซอยเรียกวินมอเตอร์ไซค์ง่ายก็สามารถเรียกไปขึ้นรถไฟฟ้าได้ไม่ยาก
วัสดุ : สำหรับโครงการนี้จัดรูปแบบการขายมาให้แบบ Fully Furnished และจะได้ของตามห้อง 1 Bedroom ขนาด 23.63-23.7 ตร.ม. ที่จะพาไปชมกันวันนี้ด้วย วัสดุส่วนใหญ่ที่ได้ก็จะมีมาให้ตั้งแต่ Digital Door Lock พื้นเป็น Smart Vinyl ผนังและฝ้าฉาบเรียบทาสี โดยจะมีความสูงภายในห้องอยู่ที่ 2.55 เมตร วัสดุครัวเป็นของ MEX ที่จะได้เตาไฟฟ้าพร้อมเครื่องดูดควันแบบหมุนเวียน และอ่างล้างจานที่ได้ฝาปิดมาให้ด้วย ส่วน Top ครัวจะเป็นหินสังเคราะห์ทั้งเคาน์เตอร์เสริม และเคาน์เตอร์หลัก ภายในห้องน้ำได้เป็นกระเบื้องเซรามิคทั้งพื้นและผนัง ได้สุขภัณฑ์ของ Mogen ทั้งอ่างล้างหน้าพร้อมกระจกเงา, สุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียว และส่วนอาบน้ำ พร้อมฉากกั้นอาบน้ำมาด้วย ส่วนห้องนั่งเล่นก็ได้โซฟาและชั้นวางทีวีมาให้ ห้องนอนได้ฐานเตียงและส่วนของ Walk-in Closet ที่ค่อนข้างจัดเต็มมาให้เลย หลักๆก็ประมาณนี้ครับ ส่วนห้องพักอาศัยของที่นี่จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 แบบ ที่มีจุดเด่นหลักๆคือได้ครัวปิดทุกแบบห้องเลย ฟังก์ชันค่อนข้างลงตัว เน้นการแยกพื้นที่กันอย่างชัดเจน
การออกแบบ : ส่วนตัวผมมองว่าเป็นจุดหลักของโครงการนี้นะ เริ่มด้วยส่วนของโครงการที่ตัวอาคารถูกออกแบบมาด้วยแนวคิดที่ชัดเจน ใช้ Modular ที่มีเอกลักษณ์มาแสดงบน Facade ของอาคาร ใช้ในงานคอนกรีตและแผงบังแดดแนวตั้ง ซึ่งจะช่วยให้เกิดแสงและเงาที่น่าสนใจ และที่สำคัญคือป้องกันแดดและความร้อนที่จะมากระทบกับห้องพักอาศัยของโครงการ ที่สำคัญคือเน้นไปที่พื้นที่ส่วนกลางที่กระจายออกไปทุกชั้น แบ่งลักษณะการใช้งานออกมาหลากหลายรูปแบบ ใช้งานง่ายและกระจายจำนวนผู้ใช้งานได้ดี นอกจากนั้นในแง่ของการออกแบบที่ผมชอบที่สุดคือการที่ออกแบบพื้นที่ภายในของแต่ละชั้นออกมาแตกต่างกัน ทำให้สามารถสัมผัสความรู้สึกที่แตกต่างในแต่ละพื้นที่ แถมยังนำจุดเด่นของ Interior Design ในแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน ทำให้ได้รับความรู้สึกที่หลากหลาย ในแต่ละชั้นประกอบไปด้วย
ส่วนห้องพักอาศัยมีทั้งหมด 3 แบบ ออกแบบมาค่อนข้างลงตัวในเรื่องของการใช้งานพื้นที่ เช่น ทุกแบบห้องจะได้ครัวปิด ห้องน้ำเข้าใช้งานได้สองทาง มีการแบ่งสัดส่วนของพื้นที่ภายในห้องอย่างชัดเจน สำหรับห้อง Plus ก็มีการใช้ห้อง Plus อย่างที่คิดมาในหลายๆรูปแบบ ทั้งการใช้งานสำหรับพื้นที่ภายนอกและภายในในหลายๆรูปแบบ และการแยก Walk-in Closet ออกเป็นพื้นที่ส่วนตัว และคำนึงถึงการใช้งานจริง
สาธารณูปโภค : ถ้าใครอ่านรีวิวตั้งแต่ต้นมาจนถึงจุดนี้ก็คงปฎิเสธไม่ได้ว่าเป็นจุดหลักของโครงการนี้ ซึ่งจุดนี้ทำให้โครงการนี้มีความโดดเด่นมากกว่าโครงการอื่นๆในละแวกนี้ นั่นก็คือการที่กระจายพื้นที่ส่วนกลางออกมาทุกชั้น เขาเลือกที่จะทำมาในแนวแกนตั้ง ตั้งแต่ชั้น 1 จนถึงดาดฟ้า โดยมีแนวคิดการออกแบบที่ชัดเจน เรียกว่าเป็น Facilities Core ก็ได้ ทำให้ในแต่ละชั้นเราจะได้โถงทางเดินแบบ Single Corridor ทุกห้อง (ไม่มีห้องฝั่งตรงข้ามในแนวทางเดินเดียวกัน) ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นการมีส่วนกลางในแต่ละชั้นยังช่วยสร้างบรรยากาศให้กับโถงทางเดินให้รู้สึก Lively มากยิ่งขึ้น และในแง่ของการใช้งานก็คือสามารถเข้าถึงได้ง่าย และเป็นการกระจายจำนวนผู้ใช้งานออกไปในแต่ละพื้นที่ ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้นด้วย จำนวนยูนิตอาจจะไม่น้อยก็จริง แต่พื้นที่ส่วนกลางที่ได้มาก็ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งพื้นที่ Double Volume Lobby, Multi-Purpose Space, Fit Club (Fitness), Game Zone (E-Sport), Co-Working Space, Co-Living Space, Nespresso Cafe’, Secret Garden, Sky Stair Case, Sky Pool, Pool Deck, Sun Scape, Moon Scape, Roof Garden ซึ่งทำให้จัดเป็นหนึ่งในโครงการที่มีพื้นที่ส่วนกลางที่โดดเด่นที่สุดในละแวก แต่ถ้าพูดตามตรงก็ต้องแลกมากับค่าส่วนกลางที่แพงกว่าโครงการอื่นๆรอบๆ
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 88,000 บาท/ตร.ม., 28 April 2020
- ทำเล 7.25/10 – อยู่ในซอยย่อย ลึกหน่อย แต่มีความอุดมสมบูรณ์และคึกคัก
- เดินทางด้วยรถ 7.5/10 – ซอยสามารถลัดไปออกถนนได้หลากหลาย ให้ที่จอดรถน้อยไปหน่อย
- ไม่ใช้รถ 7.25/10 – เรียกรถสาธารณะสะดวก ส่วนรถไฟฟ้าในอนาคตอยู่เลยระยะเดินง่ายไปนิด แต่มีวินมอเตอร์ไซด์อยู่ไม่ไกล
- วัสดุ 7.75/10 – Fully Furnished เกรดเหมาะสมกับราคา ออกแบบมาเหมาะกับพื้นที่ภายในห้อง
- แบบ 8/10 – แนวคิดโครงการชัดเจน Single Corridor ทุกห้อง มีพื้นที่ส่วนกลางที่ออกแบบมาดี แบบห้องลงตัว
- สาธารณูปโภค 8.25/10 – เป็นหนึ่งในโครงการที่มีจุดเด่นเรื่องพื้นที่ส่วนกลางมากที่สุดในละแวก มีให้ทุกชั้นและหลากหลาย
- MAIN CLASS
- 7.53 / 10.00
BOTTOM LINE
โครงการ Groove Scape 48 เหมาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือคนที่ทำงานในละแวกนี้ ชอบโครงการขนาดเล็ก ไม่วุ่นวาย มีความเป็นส่วนตัว ชื่นชอบและต้องการใช้ Facilities ที่หลากหลาย ในราคาหยิบจับได้ พร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบชุด ไม่ต้องตกแต่งเพิ่ม อยู่ในซอยที่ลัดไปออกถนนต่างๆ ได้สะดวก มีงบประมาณตั้งแต่ 1.79 – 4 ล้านบาท หรือมีกำลังผ่อนต่อเดือนประมาณ 13,000 – 32,000 บาท
ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving