รีวิวโครงการ

รีวิวตึกเสร็จ Aspire Erawan Prime คอนโด High Rise ติดถนนสุขุมวิท และ BTS สถานีช้างเอราวัณ ใกล้ทางด่วนกาญจนาฯ จาก AP [รีวิวฉบับที่ 2336]

7 กุมภาพันธ์ 2022

อ่านรีวิวล่าสุด

รีวิวฉบับที่ 2140 … หลังจากที่ Aspire Erawan Tower B เฟสแรกเพิ่งปิดการขายไปเมื่อเดือนที่แล้ว ก็ได้ฤกษ์ที่ตึกใหม่อย่าง Tower A หรือมีชื่อใหม่เต็มๆว่า Aspire Erawan Prime จะได้เปิดตัวกันสักทีนะครับ ซึ่งคำว่า Prime ก็สื่อถึงความพิเศษที่ได้อัพเกรดขึ้นมาจาก Aspire แบบเดิมๆอย่างแน่นอน

ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ติด BTS เอราวัณ 0 m. มีส่วนกลางที่ใหญ่และหรูหราน่าใช้งานมากขึ้น อีกทั้งยังใช้แบบห้องและสเปควัสดุเทียบเท่าแบรนด์รุ่นพี่อย่าง Life รวมถึงเพิ่มระบบรักษาความปลอดภัยอย่าง KATSAN และ New Standard Hygiene เพื่อให้เข้ากับยุค New Nomal แบบปัจจุบันนี้อีกด้วย ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลยครับ

ข้อมูลโครงการ

9 October 2020

  • Aspire Erawan Prime (แอสปาย เอราวัณ ไพร์ม)
  • บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)
  • ECONOMY – MAIN CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment ได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ในเขต : ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
  • คอนโด Hige Rise 30 ชั้น 1,275 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 50 ยูนิต
  • ที่จอดรถประมาณ 516 คันคิดเป็น 40% ไม่รวมจอดซ้อนคัน
  • ที่ดินประมาณ 6-1-63.5 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง : ก.ย.62
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ : มิ.ย.65
  • Studio 27 ตร.ม.
  • 1 Bedroom 27 ตร.ม.
  • 1 Bedroom 32-34.5 ตร.ม.
  • 1 Bedroom Plus 35-38 ตร.ม.
  • 2 Bedrooms 46-48.5 ตร.ม.
  • ฝ้าเพดานสูง 2.5 เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท (หรือ 62,600 บาท/ตร.ม. เฉพาะรอบ VIP เท่านั้น)
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ n/a บาท/ตร.ม.
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำสุด-สูงสุด n/a บาท/ตร.ม.
  • EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : ผ่านแล้ว
  • เว็บไซต์โครงการ : คลิกที่นี่ 
  • Call Center : 1623

ทำเลที่ตั้ง

พิกัด Google Maps : 13.621254, 100.589379
หรือสามารถ : คลิกที่นี่

โครงการตั้งอยู่ติดถนนใหญ่สุขุมวิท ใกล้วงแหวนกาญจนาภิเษกเพียง 700 m. และยังติด BTS สถานีช้างเอราวัณ 0 m. อีกด้วย จึงเป็นทำเลที่เหมาะกับทั้งคนที่ใช้รถและไม่ใช้รถครับ โดยรถไฟฟ้าสายสีเขียวนี้ยังเป็นเส้นหลัก ที่วิ่งตรงเข้าเมืองไปทองหล่อ-อโศก-สยามได้เลย (ใช้เวลาประมาณ 20 – 40 นาที) ส่วนวงแหวนกาญจนาฯก็เอาไว้เลี่ยงรถติดบนถนนสุขุมวิทได้ดีมากๆ สามารถไปได้ทั้งพระราม 2 – พระราม 3 หรือจะไปทางศรีนครินทร์-บางนาก็ได้อีกเช่นกัน

ซึ่งแหล่งงานใกล้ๆหลักๆก็จะเป็นนิคมปู่เจ้าฯ ซึ่งจะมีโรงงานขนาดใหญ่ค่อนข้างเยอะ อย่างพนักงานโตโยต้า/ฮอนด้าก็มีกำลังซื้อที่สูงเหมือนกัน หรือจะเป็นนายทหารจากโรงเรียนนายเรือ และพนักงานออฟฟิศจากอาคารสำนักงานอย่าง ภิรัช ทาวเวอร์ ตรงไบเทคบางนา และแถวอุดมสุข-ปุณวิถี ก็มีเยอะเช่นกันครับ

สำหรับสถานีช้างเอราวัณจัดเป็นย่านชุมชนดั้งเดิมอย่าง ซอยอุดมเดช (ฝั่งตรงข้ามโครงการ) ซึ่งก็จะมีร้านอาหารตามสั่งอยู่บ้างเล็กน้อยตอนกลางคืน แต่ถ้าเป็นห้างหรือตลาดใหญ่ๆเลย ก็อาจต้องขยับไปแถวปู่เจ้า จะมี Big C Jumbo ให้ซื้อของเข้าบ้านได้อยู่ หรือจะเป็นแถวสำโรงก็จะมีทั้งห้าง Imperial World และตลาดสดเยอะแยะเลยครับ แต่ถ้าอยากเดินห้างที่ใหม่ๆหน่อยก็จะเป็น Robinson ตรงแพรกษาสมุทรปราการ ซึ่งมีตลาด Black Market ให้ได้เดินซื้อของกินได้ด้วย

อีกเรื่องนึงที่ชอบคือ “จุดกลับรถ” ซึ่งโครงการจะตั้งอยู่ระหว่างจุดกลับรถ 2 จุดที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก โดยมีระยะ 240 และ 400 m. ถือเป็นระยะที่ใช้งานได้ง่าย ไม่กระชั้นชิดเกินไป และสะดวกสำหรับคนใช้รถทั้งขาเข้าและขาออกเมืองครับ

ทางด่วนที่ใกล้ที่สุด :

Image 1/3
สำหรับคนใช้รถจะมีทางด่วนที่ใกล้ที่สุดคือ วงแหวนกาญจนาภิเษก ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 700 m. เท่านั้น สามารถเลี้ยวขึ้นเพื่อเลี่ยงรถติดแถวๆแยกปู่เจ้าฯและสำโรงด้านหน้าได้เลย ถ้าไปทางซ้ายก็จะไปพระราม 2 - พระราม 3 ส่วนถ้าเลี้ยวขวาก็จะไปศรีนครินทร์-บางนาได้นั่นเอง

สำหรับคนใช้รถจะมีทางด่วนที่ใกล้ที่สุดคือ วงแหวนกาญจนาภิเษก ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 700 m. เท่านั้น สามารถเลี้ยวขึ้นเพื่อเลี่ยงรถติดแถวๆแยกปู่เจ้าฯและสำโรงด้านหน้าได้เลย ถ้าไปทางซ้ายก็จะไปพระราม 2 - พระราม 3 ส่วนถ้าเลี้ยวขวาก็จะไปศรีนครินทร์-บางนาได้นั่นเอง

การเดินทางมายังโครงการ :

Image 1/8
การเดินทางในวันนี้แน่นอนว่าโครงการที่อยู่ติด BTS แบบนี้เราก็จะมาด้วยรถไฟฟ้าจะสะดวกที่สุดครับ ซึ่งเราสามารถใช้ทางออก 6 แล้วเดินย้อนกลับมาประมาณ 40 m. ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการแล้วล่ะ

การเดินทางในวันนี้แน่นอนว่าโครงการที่อยู่ติด BTS แบบนี้เราก็จะมาด้วยรถไฟฟ้าจะสะดวกที่สุดครับ ซึ่งเราสามารถใช้ทางออก 6 แล้วเดินย้อนกลับมาประมาณ 40 m. ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการแล้วล่ะ

สภาพแวดล้อมรอบโครงการ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะครับ

บริบทรอบๆโครงการส่วนใหญ่จะเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบและที่ว่างครับ แต่ก็จะมีเพื่อนบ้านที่เป็นคอนโดสูงที่เกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้อยู่ 2 โครงการ ทำให้มีการออกแบบเพื่อเลี่ยงมุมอับที่อาจจะโดนบังวิวลงไปบ้าง จะมีก็แต่ด้านหลังอาคารเท่านั้นที่จะโดนบังวิวจาก Tower B ก่อนหน้านี้ครับ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้

วิวชั้น 30 จาก Aspire Erawan Tower B

ทิศเหนือ : อยู่ติดกับโรงงาน/โกดังที่สูงประมาณ 3 ชั้น ถัดไปจะเป็น กศน. สมุทรปราการ และมองเห็นวงแหวนกาญจนาภิเษกได้ ส่วนระยะไกลจะเป็น City View

ขอบคุณภาพมุมสูงจาก AP

ทิศใต้ : ติดกับถนนทางเข้าของ Aspire Erawan Tower B และถัดไปจะเป็นที่ว่างของ Q House ทำให้ปัจจุบันยังได้วิวที่เปิดโล่งไปทางปากน้ำอยู่บ้าง (อนาคตมีสิทธิ์ขึ้นตึกสูงได้ ซึ่งอาจสูงเทียบเท่าหรือต่ำกว่า Aspire ครับ) และติดๆกันจะเป็นโครงการ The Trust

วิวชั้น 30 จาก Aspire Erawan Tower B

ทิศตะวันออก : เป็นทางเข้าด้านหน้าโครงการ ติดกับถนนสุขุมวิทและ BTS สถานีช้างเอราวัณ ฝั่งตรงข้ามเป็นที่ดินขนาดใหญ่ของกระทิงแดง (ที่ใหญ่พอจะขึ้นตึกสูงได้เช่นกัน ต้องรอดูในอนาคตอีกที) ปัจจุบันยังคงได้วิวเปิดโล่งแนวราบของฝั่งสมุทรปราการครับ

ขอบคุณภาพมุมสูงจาก AP

ทิศตะวันตก : ติดกับโครงการ Aspire Erawan Tower B

พาชมทำเลรอบๆโครงการ :

Image 1/11
เริ่มกันที่ด้านหน้าโครงการจะอยู่ติดกับถนนสุขุมวิท และ BTS สถานีช้างเอราวัณ

เริ่มกันที่ด้านหน้าโครงการจะอยู่ติดกับถนนสุขุมวิท และ BTS สถานีช้างเอราวัณ

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ~ 1 กิโลเมตร
  • โรงเรียนนายเรือ ~ 1.1 กิโลเมตร
  • Big C Jumbo ~ 2.2 กิโลเมตร
  • ตลาดเอี่ยมเจริญ ~ 4.9 กิโลเมตร
  • สำโรง Center~ 5.3 กิโลเมตร
  • Tesco Lotus ~ 5.8 กิโลเมตร
  • อิมพีเรียล สำโรง ~ 6 กิโลเมตร
  • โรงพยาบาลสำโรงการแพทย์ ~ 6.3 กิโลเมตร
  • ไบเทคบางนา ~ 6.6 กิโลเมตร
  • Jas Urban ~ 8.9 กิโลเมตร
  • Central บางนา ~ 9.3 กิโลเมตร
  • Mega บางนา ~ 16.2 กิโลเมตร

รายละเอียดโครงการ

เมื่อไม่กี่ปีก่อน ThinkofLiving เคยพามารีวิวโครงการรุ่นพี่อย่าง Aspire Erawan Tower B ที่มาบุกเบิกทำเลย่านนี้กันมาแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็เพิ่งปิดการขายไปเมื่อเดือนก่อนนี้เอง โดยช่วงนั้นเราก็ได้เห็นกันแล้วนะครับว่า AP เค้ายังมีที่ดินอยู่อีกแปลงนึงที่อยู่เฟสด้านหน้าติดถนนใหญ่ ซึ่งตอนนั้นเราก็คาดการณ์ไว้แล้วแหละว่าจะเกิดเป็น Tower A ขึ้นในอนาคต แล้วก็จริงตามคาด ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ที่ตึกใหม่กันสักทีนะครับ

แต่พิเศษกว่านั้นคือ เค้าเปิดตัวมาโดยใช้ชื่อว่า Aspire Erawan Prime ซึ่งคำว่า Prime ที่เป็นคำต่อท้ายใหม่นี้ ย่อมมีความพิเศษกว่าโปรเจคเก่าๆอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่อยู่ติดถนนใหญ่และติดรถไฟฟ้า BTS ส่วนกลางที่มีขนาดใหญ่และหลากหลายมากขึ้น รวมถึงมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น และสเปควัสดุภายในห้องก็ถูกอัพเกรดขึ้นมาด้วยเช่นกัน รายละเอียดจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลยครับ

โครงการ Aspire Erawan Prime เป็นคอนโด High Rise สูง 30 ชั้น จำนวน 1,275 ยูนิต บนที่ดินขนาด 6-1-63.5 ไร่ และมีที่จอดรถประมาณ 40% (แบบไม่รวมซ้อนคัน) ลักษณะภายนอกจะเป็นอาคารสไตล์ Modern ที่ดูทันสมัย และมีการเพิ่มกรอบลวดลายสีขาวให้ดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ส่วนภายในจะแบ่งชั้น Facilities ออกเป็น 3 ส่วน เพื่อกระจายความหนาแน่นในการใช้งาน แล้วยังแบ่งออกไปตามกลุ่มกิจกรรมไม่ให้รบกวนกันอีกด้วย รวมแล้วก็มีพื้นที่ส่วนกลางมากถึง 3 ไร่เลยทีเดียวครับ

โดยสิ่งที่ทำให้ Aspire Erawan Prime แตกต่างจาก Aspire โครงการอื่นๆ อย่างแรกคือระบบรักษาความปลอดภัย KATSAN ซึ่งเป็นมาตรฐานของ AP ที่ปกติเค้าจะใช้กับโครงการแนวราบ ส่วนถ้าเป็นคอนโดก็จะเคยใช้มาก่อนแค่ที่เดียวคือ Life One Wireless เท่านั้นครับ ดังนั้นโครงการนี้จึงถือเป็นคอนโดมิเนียมโครงการที่ 2 แล้วที่มีการใช้ระบบนี้ (อนาคตก็คาดว่าจะนำไปใช้กับโครงการใหม่ๆต่อไปด้วยเหมือนกัน) โดยจะทำงานร่วมกับ Smart Application ผ่านโทรศัพท์มือถือ ทำให้สะดวกสะบายมากขึ้น

ส่วนอีกเรื่องนึงคือ New Standard Hygiene ที่ทาง AP ต้องการออกแบบให้เป็นมาตรฐานเข้ากับยุค New Nomal ในปัจจุบัน ที่หลายๆคนเริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพกันมากขึ้น โดยหลักๆจะประกอบด้วย 7 อย่างคือ

  1. Passive Ventilation : มีการเปิดช่องแสงภายในโถงทางเดินแต่ละชั้น เพื่อให้อากาศถ่ายเท
  2. Touchless : ลดการสัมผัสโดยไม่จำเป็น ด้วยการเปลี่ยนประตู Main Entrance และ Hall Lift ให้เป็นประตูเปิดอัตโนมัติ
  3. Dura clean A+ : ใช้สีช่วยลดการสะสมของเชื้อราและแบคทีเรียที่ผนังภายในโครงการ
  4. Plasma Cluster : ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศที่สามารถฆ่าเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัสในอากาศได้ โดยจะไว้ตามจุดต่างๆของพื้นที่ส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็น Lobby, Lift, Fitness และ Co-Working Space
  5. Alcohol Station : จะตั้งอยู่บริเวณส่วนกลางทุกจุด เป็นแบบที่ไม่ต้องใช้มือสัมผัส
  6. Glass Partition : ฉากกั้นกระจกเพื่อความปลอดภัย จะกั้นระหว่างตัวเครื่องออกกำลังกายใน Fitness และโต๊ะเก้าอี้ใน Co-Working Space
  7. Film Antibacterial and Virus : เป็นฟิล์มชนิดพิเศษที่ลดการสะสมของแบคทีเรีย จะเคลือบอยู่ตรงจุดที่ต้องมีการสัมผัสบ่อยๆ เช่น ที่จับประตู และปุ่มลิฟต์

Master Plan จะมีทางเข้า-ออกแค่ทางเดียว ทำให้ดูแลรักษาความปลอดภัยได้ง่าย โดยด้านหน้าจะมีพื้นที่ส่วนนึงเป็น Shop 4 ร้านค้าคอยอำนวยความสะดวกให้ (ซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่สมัยที่มี Tower B แต่กรรมสิทธิ์และค่าส่วนกลางจะเป็นของ Tower A นะครับ)  ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดที่คนจากทั้ง 2 โครงการและคนภายนอกก็สามารถเดินเข้ามาใช้งานได้ง่าย โดยเฉพาะคนที่เดินมาใช้รถไฟฟ้าบ่อยๆครับ เพียงแต่สำหรับ Tower A หรือ Aspire Erawan Prime จะได้เปรียบในเรื่องระยะทางที่ไม่ต้องเดินออกมาไกลนัก แต่ก็แลกกับคนอาจพลุกพล่านอยู่หน้าบ้านมากกว่าเช่นกัน นอกจากนี้ก็จะมีพื้นที่ Shop อีก 1 ยูนิตสำหรับคนในโครงการอยู่ใต้ตึกด้วยนะครับ แต่จะเป็นร้านอะไรนั้นต้องรอติดตามกันอีกที

ในด้านการออกแบบพื้นที่ใช้งานส่วนตัวผมก็ค่อนข้างชอบ เพราะเค้าแบ่งโซนทางเดินรถไว้ด้านหนึ่งของอาคาร แล้วแยกโซนสวนส่วนกลางเอาไว้อีกด้านหนึ่ง ทำให้นอกจากจะไม่ต้องขับรถวนรอบอาคารแล้ว ก็สามารถใช้งานสวนได้อย่างเต็มที่และปลอดภัยอีกด้วยครับ โดย Facilities จะถูกจัดไว้โซนด้านหลัง เพื่อให้เหลือระยะพื้นที่สีเขียวและ Open Space ห่างจากตัว Tower B ที่อยู่ด้านหลังได้พอสมควร ประกอบด้วยสวนพักผ่อน สนามเด็กเล่น และลานกีฬาอเนกประสงค์ ที่เอาไว้ใช้เล่นบาสเก็ตบอล ฟุตบอล หรือตีแบดก็ได้ครับ

ส่วนภายในอาคารชั้น G จะมีพื้นที่ส่วนกลางที่เชื่อมต่อกันเป็นแนวยาวไปตลอดอาคาร ถือว่าให้มาค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว และยังแบ่งพื้นที่แยกโซนกันชัดเจนด้วย เริ่มจากด้านหน้าสุดจะเป็น Welcome Zone ส่วนต้อนรับสำหรับแขกที่มาหาหรือติดต่อธุระ โดยจะเป็นพื้นที่แบบ Open Air นั่งรับลมธรรมชาติแบบสบายๆได้ครับ ถัดเข้ามาก็จะมี Grand Lobby ซึ่งจะเป็นพื้นที่นั่งพบปะพูดคุยกันในห้องแอร์เย็นๆได้ หรือถ้าต้องการพูดคุยกันแบบจริงจังเป็นส่วนตัวเลย ก็จะมีห้องประชุมเอาไว้รับรองข้างๆกันด้วยครับ

ส่วนด้านในจะมี Co-Working Space ขนาดใหญ่ ถือเป็นอีกหนึ่ง Highlight ที่ถูกออกแบบมาในสไตล์ Cafe ที่หลายๆคนชอบออกไปหานั่งทำงานนอกบ้านกันบ่อยๆ แต่นี่อยู่ใต้คอนโดเราเลย และทำออกมาได้น่าใช้งานมากๆ โดยจะมีฉากกั้นกระจกคั่นระหว่างที่นั่งเพื่อความปลอดภัยอีกด้วยครับ

ติดๆกันจะมีพื้นที่นั่งเล่นอเนกประสงค์ ที่เปิดหน้าต่างชมวิวสวนด้านข้างได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนที่ทำงานจากโต๊ะจริงจังมานั่งชิลๆโซนนี้บ้างก็ได้ ถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดีเหมือนกัน เรียกได้ว่าชั้นแรกนี้ออกแบบมาค่อนข้างเหมาะกับคนยุคใหม่ ที่มักจะทำงานที่บ้าน หรือคนที่ทำธุรกิจส่วนตัวที่อาจต้องมีแขกมาหาบ่อยๆได้ดีเลยล่ะครับ ซึ่งก็ไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัวเลย เพราะแต่ละโซนเค้าก็จะมีประตูกั้นแยกเอาไว้ทั้งหมด อย่างโถงลิฟต์ก็จะต้องเป็นลูกบ้านที่มี Key Card เท่านั้นจึงจะขึ้นตึกได้ครับ

ขยับขึ้นมาที่ชั้น 7 จะเป็นชั้น Main Facilities ซึ่งอยู่ร่วมกับห้องพักอาศัย แต่เค้าก็ออกแบบทางเดินให้ไม่รบกวนกันได้ดีนะครับ เพราะเมื่อเราออกมาที่โถงลิฟต์ชั้นนี้ ก็จะมีทางแยกให้เดินออกมาใช้ส่วนกลางได้เลยโดยไม่ผ่านส่วนพักอาศัยก่อน ซึ่งส่วนพักอาศัยเค้าจะมีประตูที่ต้องใช้ Key Card เฉพาะคนที่พักอยู่ชั้นนี้กั้นแยกอีกที เพื่อความเป็นส่วนตัวและปลอดภัย

ห้องพักของชั้นนี้ก็จะเหมาะกับคนที่ชอบใช้ส่วนกลางบ่อยๆ เพราะเดินมาใช้ได้ง่ายโดยไม่ต้องขึ้น-ลงลิฟต์ หรือถ้าใครที่เป็นคนชอบมองเห็นต้นไม้และเดินเล่นในสวนมากๆ เค้าก็จะมี Type พิเศษ (กรอบสีเหลือง) คือ Garden Access Type ซึ่งจะมีบันไดให้เดินมาใช้สวนจากระเบียงห้องตัวเองได้โดยตรงเลยครับ แต่ก็แลกกับความเป็นส่วนตัวที่น้อยลงบ้าง เพราะคนที่มาใช้งานส่วนกลางก็อาจมองเข้ามาในห้องได้เหมือนกันครับ ซึ่งก็คงจะต้องคอยปิดม่านอยู่ตลอดเวลานะ

พูดถึงสวนของชั้นนี้แล้วก็ถือเป็นอีก 1 Highlight ของโครงการนี้เลยครับ เพราะรอบๆสระว่ายน้ำเค้าได้จัดทำเป็นพื้นที่สวนเล่นระดับรอบๆเอาไว้ให้มาใช้งานกันได้ ซึ่งจะเหมาะกับคนที่อาจไม่ได้ต้องการมาเพื่อว่ายน้ำจริงๆ แต่เพียงแค่อยากมานั่งเล่นข้างสระว่ายน้ำมากกว่าเท่านั้น  ซึ่งสมมุติถ้าเป็นผมเกิดเบื่อๆตรงโซน Co-Working Space ด้านล่าง ก็อาจจะอยากเอาคอมมานั่งกดเล่นริมสระแบบนี้เหมือนกันนะ

ในส่วนของ Facilities ที่อยู่ในอาคาร หลักๆจะมี Fitness ซึ่งออกแบบให้ลู่วิ่งและจักรยานทุกชิ้นมี Partition (หรือฉากกั้นกระจก) กั้นแยกเอาไว้เพื่อความปลอดภัยตามยุคสมัยนี้ โดยจะเป็นกระจกกรอบอลูมิเนียมแบบจริงจังไปเลยนะครับ ออกกำลังกายไปก็หันหน้าออกไปชมวิวสวนและสระว่ายน้ำภายนอกได้ ส่วนเครื่องเล่นอื่นๆก็จะมีอยู่หลายชิ้นเหมือนกัน

นอกจากนี้ก็จะมีโซน Lounge อยู่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งภายในสามารถแบ่งพื้นที่การใช้งานได้ 4 ฟังก์ชันคือ Battle Room เป็นห้องที่จะมีโต๊ะพูลอยู่ด้านในให้มาเล่นสนุกกันได้ ห้อง Board Game ตามชื่อเลยก็คือ เป็นห้องที่มีชุดโซฟาให้มาจับกลุ่มนั่งเล่นเกมส์ร่วมกับเพื่อนๆได้ Private Theatre จะเป็นห้องที่มีทีวีเอาไว้ดูหนัง และ Breezing Balcony เป็นระเบียงภายนอกที่เอาไว้นั่งเล่นชมสวนได้ครับ

สำหรับชั้นพักอาศัยจะมีเพื่อนร่วมชั้นทั้งหมด 50 ห้อง/ชั้น และมีลิฟต์โดยสาร 6 ตัว อัตราส่วนลิฟต์คือ 212.5 :  1 ถือว่าค่อนข้างหนาแน่นทีเดียวครับ เวลาใช้งานจริงอาจต้องรอลิฟต์นานหรือหลายรอบหน่อย และโถงลิฟต์ก็จะมีเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้นที่อยู่ตรงกลาง ทำให้ห้องที่อยู่ริมทางเดินอาจต้องเดินไกลสักหน่อยครับ แน่นอนว่าห้องที่อยู่ใกล้ลิฟต์ก็จะมาใช้สะดวกก็จริง แต่ก็อาจมีเพื่อนร่วมชั้นเดินผ่านหน้าห้องบ่อยๆด้วยเช่นกัน

มาพูดถึงความน่าสนใจของการออกแบบผังอาคารกันบ้าง คือลักษณะจะมีการบิดเล็กน้อย ไม่ได้เป็นอาคารรูปตัว C แบบปกติ ทั้งนี้ก็เพื่อลดการถูกบังวิวของห้องที่อาจปะทะกันเอง และโครงการเพื่อนบ้านรอบๆอย่าง Tower B ด้านหลัง และ The Trust ที่อยู่ข้างๆ ทำให้หลายๆห้องจะได้วิวที่เปิดโล่ง(ในปัจจุบัน)มากขึ้น โดยเฉพาะห้องที่หันเข้ามาที่ Court ด้านใน ซึ่งนอกจากจะได้เห็นวิวระยะไกลแล้ว ถ้าก้มลงมองลงไปด้านล่างก็จะเห็นสวนและสระว่ายน้ำได้อีกด้วยครับ

แต่ถ้าใครที่ต้องการวิวสวยๆที่เปิดโล่ง และการันตีจะไม่โดนบังวิวแน่ๆ ผมแนะนำเป็นห้องทิศเหนือ เพราะที่ดินข้างๆยังเป็นแค่โกดังสูง 2-3 ชั้น และอนาคตถ้าจะขึ้นตึกใหม่ก็ทำได้เต็มที่ไม่เกิน 8 ชั้น เพราะที่ดินเค้าไม่ใหญ่มากนัก และห้องทิศตะวันออกที่หันออกไปถนนสุขุมวิทก็ยังได้วิวเปิดโล่งเหมือนกันครับ แต่อาจต้องรอลุ้นว่าที่ดินฝั่งตรงข้ามของกระทิงแดงเค้าจะทำเป็นอะไร (พื้นที่ใหญ่พอจะทำตึกสูงได้เหมือนกัน) ส่วนห้องทางทิศตะวันตกที่หันไปด้านหลัง ต้องยอมรับอย่างนึงว่าจะถูก Tower B บังวิวแน่นอนครับ (ซึ่งผมดูหน้างานมาให้แล้วก็ไม่ได้กระชั้นชิดมากนัก และไม่ปะทะกันตรงๆด้วย) แต่สิ่งที่น่าสนใจของทิศนี้ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องของราคาที่อาจจับต้องได้ง่ายกว่าทิศก็เป็นได้ ถ้าใครสนใจก็ลองดูกันได้นะครับ

สำหรับชั้นดาดฟ้าก็จะมี Sky Facilities ให้ขึ้นมาใช้งานได้ด้วย ซึ่งหลักๆจะเป็นสวนและพื้นที่นั่งเล่นให้ขึ้นมาพักผ่อนกันได้ โดยเฉพาะถ้าห้องไหนที่อาจจะอยู่ชั้นล่างๆ หรือวิวในห้องไม่ค่อยดีนัก ก็สามารถขึ้นมาชมวิวที่ชั้นนี้ได้นะครับ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

ชั้น G

  • Serene Pavilion
  • Sunken Seat
  • Free Flow Playground
  • Lawn Court
  • Multi-Sport
  • Running Loop
  • Welcome Zone
  • Grand Lobby
  • Meeting Reservation Room
  • Co-Working Cafe
  • Mingle Space
  • Smart Locker

ชั้น 7

  • Battle Room
  • Board Game
  • Private Theatre
  • Breezing Balcony
  • Heath Complex (Fitness)
  • Steam Room
  • Stretching Plaza
  • Pool Terrace
  • Massage Pond
  • Secret Seat
  • Yoga Deck
  • Jacuzzi
  • Swimming Pool ระบบเกลือ ขนาด 38 x 7.75 m.
  • Waterside Pavilion
  • Kids Pool ขนาด 6.4 x 6.7 m.
  • Social Court

ชั้น 30 (ดาดฟ้า)

  • Sunset Parlor
  • Sky Jogging

  • Wifi Hi-Speed Internet บนพื้นที่ส่วนกลาง
  • ลิฟต์โดยสาร 6 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 212.5:  1
  • Service Lift 1 ตัว
  • ที่จอดรถประมาณ 516 คันคิดเป็น 40% ไม่รวมจอดซ้อนคัน
  • ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ  CCTV / Key Card
  • Smart World (Smart Application + KATSAN)
  • New Standard Hygiene

แบบห้อง

โครงการนี้มีห้องทั้งหมด 5 แบบครับ ขายแบบ Fully Fitted คือให้เฉพาะชุดครัวและสุขภัณฑ์ในห้องน้ำเท่านั้น (เปลี่ยนเป็นขายแบบ Fully Furnished , อัพเดทวันที่ 26/10/63) ประกอบด้วย

  • Studio 27 ตร.ม.
  • 1 Bedroom 27 ตร.ม.
  • 1 Bedroom 32 – 34.5 ตร.ม.
  • 1 Bedroom Plus 35 – 38 ตร.ม.
  • 2 Bedrooms 46 – 48.5 ตร.ม.

โดยที่ Sales Gallery จะมีห้องตัวอย่างให้ดู 2 Type ด้วยกัน คือห้อง 1 Bedroom และ 1 Bedroom Plus ที่มีจำนวนมากที่สุดในโครงการ จะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลย

สำหรับห้องตัวอย่างแรกคือ 1 Bedroom Plus ขนาด 35 ตารางเมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในห้องที่ขายดีที่สุดในโครงการ Aspire Erawan Tower B ก่อนหน้านี้ เนื่องจากฟังก์ชันห้องค่อนข้างยืดหยุ่น มีห้องอเนกประสงค์ที่ให้ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย เช่น ถ้าเป็นคนชอบทำงานที่บ้าน ก็อาจใช้เป็นห้องทำงาน หรือถ้าเป็นคนวางแผนจะมีลูกเล็กๆ ก็ใช้เป็นห้องนอนอีกห้องนึงได้ ถือว่าค่อนข้างเหมาะกับคนที่คิดอยากจะอยู่อาศัยในคอนโดจริงจังมากขึ้นครับ

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยไปจากห้อง 1 Bedroom Plus ตัวก่อนหน้านี้คือ พื้นที่ Common area ของห้องนั่งเล่นและห้องครัวทางด้านหน้าจะแคบลงเล็กน้อย (เดิมทีจะได้ครัวรูปตัว L และวางตู้เย็นได้ แต่ตอนนี้จะเป็นครัวรูปตัว I (ไอ) กับต้องวางตู้เย็นข้างๆโซฟา) และไม่มีพื้นที่วางโต๊ะทานข้าวแล้ว จึงทำให้รู้สึกว่าห้องดู Compact มากขึ้น แต่จะไปเพิ่มพื้นที่ในโซนห้องนอนและห้องอเนกประสงค์แทน ดังนั้นห้องนี้จึงเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยทำครัวหรือทานอาหารบนห้องบ่อยนัก แต่จะเน้นฟังก์ชันที่ยืดหยุ่นแทน โดยของจริงจะเป็นอย่างไรไปชมกันเลยครับ

เปิดประตูเข้ามาเราจะเจอ Living Room เป็นพื้นที่แรกสุด ระยะดูทีวีคือ 2.2 m. สามารถใช้ทีวี 40 – 50 นิ้วกำลังดี โดยสิ่งที่ต้องเพิ่มก็คือตู้เก็บรองเท้า ซึ่งก็คงไม่พ้นต้องทำใต้ชั้นวางทีวีให้เก็บรองเท้าได้ ส่วนพื้นจะเป็นพื้นไม้ลามิเนต ซึ่งเค้าจะไม่ค่อยถูกกับน้ำสักเท่าไหร่ (ระวังอย่าให้พื้นเปียก) และมีความสูงฝ้าอยู่ที่ 2.5 m.

สำหรับโซฟาสามารถใช้เป็นขนาด 2 ที่นั่งกำลังดี เพราะเราจะต้องเผื่อพื้นที่ไว้วางตู้เย็นแบบในห้องตัวอย่างนี้ด้วยครับ ส่วนโต๊ะทานอาหารก็อาจต้องใช้ที่นั่งร่วมกับโซฟา นั่งทานข้าวไปดูทีวีไป ซึ่งเราอาจต้องหาโต๊ะกลางที่ปรับฟังก์ชันได้ หรือจะใช้เป็นโต๊ะพับเก็บได้มาใช้ จะได้ประหยัดพื้นที่เก็บของครับ

บริเวณกลางห้องจะกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนทั้ง 2 ห้อง ซึ่งช่วยให้ทั้งส่วนโซฟานั่งเล่นและครัว ได้รับแสงธรรมชาติจากหน้าต่างห้องนอนในตอนกลางวันได้ แล้วยังช่วยให้รู้สึกโปร่งโล่งไม่อึดอัดด้วยครับ

อีกเรื่องนึงที่สำคัญคือ “ผนังกั้นภายในห้อง” จะเป็นผนังก่ออิฐมวลเบาทั้งหมด (ปกติแบรนด์ Aspire จะกั้นด้วยผนังโครงเบา) นั่นหมายความว่าเราสามารถทุบ/เจาะผนัง เพื่อเชื่อมต่อห้องนอนด้านในให้กลายเป็นห้องขนาดใหญ่ หรือจะเจาะเพื่อ Built in แขวนตู้และทีวีต่างๆก็ทำได้ง่ายมากๆ

ส่วนประตูบานเลื่อนจะเป็นกรอบอลูมิเนียมสีดำ พร้อมกระจกเขียวตัดแสง โดยรางบนพื้นห้องแบบนี้จะต้องระวังเดินสะดุด และต้องหมั่นทำความสะอาดหน่อย เพราะจะมีฝุ่นตกลงไปในรางได้ง่าย แต่ก็เป็นแบบที่เก็บเสียงและแอร์ได้ค่อนข้างดีครับ

ภายในห้องนอนมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ มีพื้นที่ข้างเตียงมากพอให้วางตู้เสื้อผ้าได้สบายๆ และมีพื้นที่รอบเตียงเหลืออีก 50 cm. ให้เดินได้สะดวก ส่วนผนังปลายเตียงก็เจาะเพื่อแขวนทีวีได้สบายๆเลย

ส่วนตู้เสื้อผ้าที่ได้จะเป็นบานกระจก และด้านในก็เก็บเสื้อผ้าได้ประมาณ 1 – 2 คนครับ

ส่วนช่องหน้าต่างก็จะเป็นกรอบอลูมิเนียมสีดำเช่นเดียวกับประตูในห้องครับ ซึ่งเราจะได้ช่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ 1 ช่อง เพื่อให้ชมวิวได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีกรอบบานกั้น ส่วนข้างๆก็จะมีช่องเล็กๆ เป็นหน้าต่างบานกระทุ้งให้เปิดระบายอากาศได้

สำหรับส่วนครัวเราจะได้เป็นครัวเปิด ซึ่งก็ไม่ค่อยเหมาะกับการทำอาหารหนักๆเท่าไหร่นัก เพราะกลิ่นหรือควันอาจฟุ้งอยู่ภายในห้องได้ (แม้จะมีเครื่องดูดควัน) แต่เค้าก็ออกแบบให้มีระยะเผื่อสำหรับกั้นทำครัวปิดได้นะครับ แลกกับฟังก์ชันจะดูเล็กลงไปสักหน่อย

หรือถ้ายังอยากได้โต๊ะทานอาหารแบบนั่งจริงจัง ก็จะใช้เป็นโต๊ะแบบพับได้มากางที่พื้นที่ตรงนี้ก็ได้นะครับ พอเวลาที่ยังไม่ใช้ก็ค่อยพับเก็บไป เพียงแค่นี้เราก็จะยังได้ห้องที่โปร่งโล่งเดินสะดวกอยู่ โดยพื้นที่ทำครัวจะกว้าง 1.5 m. สามารถใช้งานได้พอดีๆ และไม่ได้รู้สึกว่าทางเดินกว้างจนเกินไปเหมือนแบบห้องเดิม แต่พื้นครัวยังคงเป็นพื้นไม้ลามิเนต (ไม่ได้เปลี่ยนเป็นกระเบื้อง) ซึ่งต้องดูแลรักษาดีๆหน่อยนะ

ชุดครัวเราจะได้ตามนี้ทุกอย่างเลยครับ ทั้งอ่างล้างจาน และ Hob&Hood ของ TEKA แถมที่ผนังก็กรุกระเบื้องแกรนิตโต้มาให้แล้ว เวลาทำเลอะก็จะได้เช็ดออกได้ง่ายๆ (อาจไปเพิ่มด้านข้างเองได้นะครับ) ด้านล่างมีพื้นที่วางเครื่องซักผ้า (กว้าง 22 x 28 cm. สูง 85 cm.) ส่วนที่วางไมโครเวฟอาจจะอยู่สูงหน่อย สำหรับคนที่ตัวเล็กๆอาจต้องใช้งานระวังนิดนึงนะ

ส่วนหน้าบานตู้จะเป็นไม้ลามิเนตลวดลายและสีแบบนี้เลย ซึ่งก็มีช่องเก็บของเยอะเป็นสัดส่วนดีครับ และที่อัพเกรดเพิ่มเข้ามาก็คือ Top เคาน์เตอร์ครัวที่เป็นหินสังเคราะห์ (จากเดิมที่ Aspire มักจะให้เป็นเมลามีน) ซึ่งมีความแข็งแรงทนน้ำและความร้อนได้ดีกว่าเดิมมากทีเดียว

ติดกันจะเป็นห้องน้ำสำเร็จรูป ซึ่งสังเกตได้ง่ายๆว่าจะมีพื้นที่ยก Step ขึ้นมาจากพื้นห้อง (15 cm.) เพื่อวางงานระบบใต้พื้น เวลาใช้งานจึงต้องเดินระมัดระวังกันหน่อย และสำหรับคนที่ไม่เคยใช้ก็อาจรู้สึกว่าห้องนี้เหมือนกล่อง เพราะเค้าเป็นโครงสร้างผนังเบาที่ยกมาจากโรงงานเลยนั่นเองครับ แต่ข้อดีก็คือเราจะได้ห้องน้ำที่มีมาตรฐานการก่อสร้างเท่ากันหมด และลดปัญหาการรั่วซึมระหว่างชั้นได้ดีอีกด้วย

นอกจากนี้ยังเป็นโมเดลเดียวกับห้องน้ำของแบรนด์คอนโดรุ่นพี่อย่าง Life ซึ่งต่างจากของ Aspire หลักๆคือ เรื่องขนาดพื้นที่ใช้สอย ที่จะกว้างกว่าประมาณ 20 cm. (โดยพื้นที่ส่วนแห้งจะกว้าง 1.35 x 1.45 m. และส่วนเปียกกว้าง 90 x 90 cm.) แต่ฉากกั้นอาบน้ำยังคงต้องไปกั้นเพิ่มเองนะครับ ซึ่งเราจะใช้เป็นกระจกนิรภัย Tempered Glass หรือม่านพลาสติกก็ได้ตามสะดวกเลย

อีกอย่างคือสุขภัณฑ์ที่ได้ก็จะถูกอัพเกรดเป็นของ Kohler พร้อมกับ Junction box สำหรับติดเครื่องทำน้ำอุ่น และพัดลมดูดอากาศบนฝ้าเพดานครับ

ส่วนห้องสุดท้ายจะเป็นห้องอเนกประสงค์ ซึ่งกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนเหมือนกัน แต่จะเป็นขนาดเล็กกว่า และช่วยให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามา ทำให้ห้องครัวไม่มืดอีกด้วย

ภายในมีขนาดพื้นที่ประมาณ 2.4 x 2.5 m. กว้างพอที่จะวางเตียง 3.5 ฟุต แล้วยังมีพื้นที่รอบเตียงให้เดินได้อีก 45 cm. แบบพอดีตัวครับ โดยขวามือก็สามารถทำตู้เสื้อผ้าเพิ่มได้ แต่ถ้าใครที่ไม่ได้ใช้ห้องนี้เป็นห้องนอน จะปรับเป็นห้องอื่นๆตาม Lifestyle ของตัวเองก็ได้เหมือนกัน เช่น ห้องทำงานอ่านหนังสือ ห้องรีดผ้า หรือ Walk-in Closet เป็นต้น นอกจากนี้ห้องนี้เค้าจะทำช่องงานระบบเอาไว้ให้ เผื่อติดตั้งแอร์เพิ่มได้ในอนาคตนะครับ (รองรับแอร์ขนาด 9,000 BTU แต่ยังไม่ระบุตำแหน่งว่าจะเป็นจุดไหนครับ)

สำหรับระเบียงภายนอกจะมีขนาด 2.2 x 1.8 m. โดย Comdensing unit จะแขวนเอาไว้ด้านบน ทำให้สามารถใช้สอยพื้นที่ด้านล่างได้อย่างเต็มที่ เช่น ตากผ้า ปลูกต้นไม้/ทำสวนเล็กๆ เป็นต้น

ห้องตัวอย่างถัดมาจะเป็น 1 Bedroom โดยห้อง Type นี้จะมีอยู่หลักๆ 3 แบบด้วยกัน ขนาด 27 – 32 ตร.ม. และห้องตัวอย่างวันนี้คือ 1 Bedroom ขนาด 32 ตร.ม. จะไม่ใช่ห้องขนาดเริ่มต้นของโครงการนะครับ ซึ่งแบบห้องนี้ผมจะชอบประตูกระจกบานเลื่อนตรงกลาง เพราะมีขนาดค่อนข้างใหญ่มาก จึงทำให้ห้องดูโปร่งโล่งเชื่อมต่อกันดี และพื้นที่ปลายเตียงจะเป็นผนังรูปตัว L ที่เว้าเข้าไป ทำให้เรา Built in โต๊ะหรือตู้แล้วจะดูเนียนตา และเป็นระเบียบเรียบร้อยไปกับผนังได้

อีกด้านของห้องจะมีพื้นที่อเนกประสงค์หน้าห้องน้ำเพิ่มเข้ามา สามารถทำเป็นฟังก์ชันอะไรก็ได้ตามที่เราชอบ โดยแลกกับขนาดห้องครัวที่เล็กลง แต่เราจะได้เป็นครัวปิดที่เหมาะจะทำครัวจริงจังได้แล้วครับ เพราะสามารถเปิดประตูระเบียงเพื่อระบายอากาศได้เลย หรือซักผ้าเสร็จก็ยกออกไปตากได้ง่าย ไม่ต้องเดินผ่านฟังก์ชันอื่นๆก่อนครับ โดยรวมห้องนี้เหมาะกับการอยู่อาศัย 1 – 2 คน ชอบห้องที่มีฟังก์ชันเป็นสัดส่วน แต่ยังดูกว้างและมีความโปร่งโล่งค่อนข้างมาก รวมถึงอาจเป็นคนชอบทำครัวด้วยนั่นเองครับ ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลย

เปิดประตูเข้ามาเราจะเจอกับห้องนั่งเล่นก่อนเช่นเคย ซึ่งรายละเอียดต่างๆยังคงเหมือนเดิมนะครับ แต่ที่ผมรู้สึกว่าต่างออกไปก็คือ “ความโปร่งโล่ง” คงเป็นเพราะประตูกระจกบานเลื่อนที่มีขนาดใหญ่กว่าของห้อง 1 Bedroom Plus นั่นเอง

อีกจุดนึงที่ทำให้ดูกว้างขึ้นคือ เราจะไม่ต้องเสียพื้นที่ข้างโซฟาสำหรับวางตู้เย็นแล้วครับ ซึ่งเราอาจใช้เป็นโซฟาตัวยาวขนาดใหญ่ 3 – 4 ที่นั่งได้เลย หรือจะเผื่อพื้นที่ไว้วางโต๊ะทานอาหารแบบห้องตัวอย่างนี้ด้วยก็ได้นะ ทำให้เรามีพื้นที่ทานอาหารจริงจังมากขึ้น และยังใช้เป็นโต๊ะอเนกประสงค์ไปในตัวได้อีกด้วย

สำหรับประตูกระจกบานเลื่อน 2 ตอนจะกว้าง 2.8 m. และสามารถเลื่อนเปิดได้ทั้ง 2 ฝั่งเลย ซึ่งถ้าเราต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ก็อาจติดม่านหรือมูลี่เพิ่มเติมได้นะครับ แต่ถ้าอยู่กันแค่ 1 – 2 คน และไม่ค่อยมีแขกมาหาล่ะก็ ผมว่าปล่อยเอาไว้แบบนี้ก็โปร่งโล่งดีเหมือนกัน

ส่วนภายในห้องก็กว้างมากพอที่จะวางเตียง 5 – 6 ฟุตได้สบายๆเลย แถมยังมีพื้นที่รอบเตียงเหลือให้วางโต๊ะข้างเตียงและเดินได้สะดวกอีกด้วย และเช่นเดิมเราจะยังได้ช่องหน้าต่างขนาดใหญ่แบบเดียวกับห้องที่แล้วอยู่ด้วยครับ

ปลายเตียงอย่างที่บอกว่าจะมีช่องผนังเว้าเข้าไป 65 cm. ซึ่งผมชอบช่องนี้ตรงที่เวลา Built in ไปแล้ว เฟอร์นิเจอร์จะไม่ยื่นออกมาจากผนังรบกวนสายตา หรือเกะกะทางเดินเลยนั่นเอง หรือใครจะติดทีวีในห้องเพิ่มก็ยังได้นะ

ต่อมาคือพื้นที่อเนกประสงค์หน้าห้องน้ำ ซึ่งผมลองดูระยะของผนังให้แล้วว่า อาจไม่เหมาะที่จะกั้นห้องเพิ่มเท่าไหร่นัก (ติดช่องประตู)

โดยพื้นที่ส่วนนี้จะกว้าง 1.3 m. ซึ่งห้องตัวอย่างจัดเป็นโต๊ะทำงานอเนกประสงค์มาให้ดูครับ หรือเราจะ Built เป็นตู้ขนาดใหญ่เต็มผนัง เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของก็ได้นะ รวมถึงอาจทำเป็น Walk-in Closet เล็กๆก็ได้ พอออกมาจากห้องน้ำจะได้แต่งตัวเลย ไม่ต้องเดินไกลครับ

ส่วนภายในห้องน้ำก็ยังคงเป็นห้องน้ำสำเร็จรูป พร้อมสุขภัณฑ์ของ Kohler เช่นเดิม

สุดท้ายคือห้องครัวที่กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอน ทำให้เปิดได้กว้างและเลื่อนเปิดได้ทั้ง 2 ด้าน โดยเราสามารถทำอาหารจริงจังได้มากขึ้น เพราะไม่ต้องกลัวว่ากลิ่นหรือควันจะลอยเข้าห้องแล้วครับ

พื้นที่ทำครัวจะกว้าง 85 cm. สามารถใช้งานได้พอดีๆ ขวามือมีพื้นที่ให้วางตู้เย็นได้ในตัว ซึ่งด้านบนยังมีพื้นที่เหลือให้เก็บของหรือทำตู้เพิ่มก็ยังได้ครับ

ส่วนเคาน์เตอร์ครัวเราจะได้เหมือนกับของห้อง 1 Bedroom Plus ก่อนหน้านี้เลยนะ

และระเบียงภายนอกจะมีขนาด 1.55 x 1.1 m. สามารถออกไปใช้งานได้พอดีๆ และเช่นเดิมที่เค้าจะแขวน Condensing unit ไว้ด้านบน ทำให้เราสามารถใช้งานพื้นที่ด้านล่างได้อย่างเต็มที่ เพียงแต่คราวนี้ลมร้อนจะเป่ามาทางด้านข้าง ถ้าจะออกมาใช้งานบ่อยๆ อาจต้องติดกริลแอร์ดันลมร้อนออกไปด้านนอกจะช่วยได้นะครับ

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

 

ราคา

9 October 2020

  • 1 Bedroom 27 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท (เฉพาะรอบ VIP)

  • รูปแบบการขาย Fully Fitted (เปลี่ยนเป็นขายแบบ Fully Furnished , อัพเดทวันที่ 26/10/63)
  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.5 เมตร
  • Kitchen & Sink / ท็อปหินสังเคราะห์
  • Hob & Hood / ของยี่ห้อ TEKA
  • จอง 5,000 บาท
  • ทำสัญญา 10,000 – 30,000 บาท
  • ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ n/a งวด
  • ค่ากองทุน 400 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 39 บาท/ตร.ม./เดือน (ชำระล่วงหน้า 1 ปี)

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ

บทสรุป

ทำเล : โครงการตั้งอยู่ติดถนนใหญ่สุขุมวิทตอนปลาย ในย่านสมุทรปราการ ซึ่งต้องยอมรับอย่างนึงว่าบริเวณแถวๆช้างเอราวัณนี้ จะไม่ได้มีความอุดมสมบูรณ์มากนัก แต่ก็พอจะมีร้านสะดวกซื้อและร้านอาหารอยู่หน้าคอนโดและซอยฝั่งตรงข้ามอยู่บ้าง โดยความอุดมสมบูรณ์จริงๆเช่น ห้างหรือตลาดใหญ่ๆ จะอยู่ถัดจาก BTS ช้างเอราวัณ ประมาณ 1 – 2 สถานี เช่น BigC Jumbo ปู่เจ้า อิมพีเรียลและตลาดสำโรง รวมไปถึงตลาดปากน้ำ และโรบินสันแพรกษา เป็นต้น หรือถ้าใครที่สะดวกใช้รถยนต์ก็จะไปห้างโลตัสศรีนครินทร์ หรือไปเมกาบางนาก็ได้นะครับ

โดยภาพรวมผมคิดว่าคนที่จะเลือกโครงการนี้ คือต้องการทำเลที่เดินทางเข้าเมืองได้สะดวก อาจเป็นคนที่ทำงานแถวโรงงานปู่เจ้าฯ ออฟฟิศแถวบางนา-ปุณวิถี หรือจะเป็นแถวทองหล่อ-อโศกก็ได้ แต่ยอมขยับออกมาชานเมืองหน่อย และใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 – 40 นาที เพื่อที่จะได้คอนโดที่ทำเลติดรถไฟฟ้ากับวงแหวนกาญจนาฯ แต่ยังมีราคาที่จับต้องได้ไม่ยากนัก (ประมาณ 70,000 – 80,000 บาท/ตร.ม. ถ้าเป็นคอนโดที่ใกล้รถไฟฟ้าในระยะเดินสบายๆในช่วง แบริ่ง-สำโรง จะมีราคาประมาณ 80,000 – 100,000 บาท/ตร.ม.)

การเดินทางโดยใช้รถ : เป็นทำเลที่เหมาะกับคนใช้วงแหวนกาญจนาภิเษกอยู่บ่อยๆ เพราะโครงการอยู่ห่างจากทางขึ้นวงแหวนเพียงแค่ 700 m. เท่านั้น เรียกว่าแทบไม่ต้องเสียเวลารถติดก่อนขึ้นทางด่วนเลยทีเดียว ทำให้เดินทางไปพระราม 2 – ศรีนครินทร์ – บางนา ได้ง่ายมากๆ แต่ก็เพราะเป็นทำเลที่ใช้รถยนต์สะดวก จึงอาจทำให้มีลูกบ้านจำนวนไม่น้อยที่มีรถยนต์ส่วนตัว ซึ่งที่จอดรถโครงการมีอยู่ประมาณ 40% ผมคิดว่าอาจน้อยไปหน่อย แต่ก็เพราะมีลูกบ้านอีกส่วนหนึ่งที่ใช้รถไฟฟ้าเป็นหลักเช่นกัน อาจต้องรอดูอีกทีว่าในอนาคตคนกลุ่มไหนจะเยอะกว่ากัน แล้วที่จอดรถจะพอหรือเปล่า

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ถือว่าสะดวกมากๆ เพราะโครงการนี้ถือได้ว่าอยู่ติด BTS ช้างเอราวัณ 0 m. ซึ่งตัวสถานีจะอยู่หน้าโครงการเลย พร้อมกับมีบันไดเลื่อนและลิฟต์โดยสารไว้คอยบริการ ซึ่งรถไฟฟ้าสายนี้เป็นเส้นหลักที่จะวิ่งตรงเข้าเมืองไปทองหล่อ-อโศก-สยามได้เลย แต่ก็อาจต้องใช้เวลาเดินทางอยู่พอสมควร (20 – 40 นาที) เพราะเป็นทำเลชานเมือง แต่ก็ช่วยควบคุมเวลาเดินทางได้ และสะดวกตรงที่ไม่ต้องเปลี่ยนรถบ่อยๆหลายต่อนั่นเองครับ

วัสดุ : ถือว่าให้ของมาค่อนข้างดี หากเทียบกับราคาและเพื่อนบ้านในย่านเดียวกัน โดยเฉพาะวัสดุที่ได้อัพเกรดขึ้นมาจาก Aspire ปกติ อย่าง Top เคาน์เตอร์ครัวหินสังเคราะห์ มี Hob&Hood ของ TEKA พร้อมกับใช้ห้องน้ำโมเดลเดียวกับแบรนด์ Life ของ AP ซึ่งมีขนาดใหญ่ และได้สุขภัณฑ์ภายในเป็นของ Kohler อีกด้วย

กับอีกสิ่งหนึ่งที่ผมมองว่าดีคือ ผนังที่กั้นในห้องที่เป็นผนังก่ออิฐมวลเบา ซึ่งแข็งแรงทนทานและสามารถทุบ/เจาะผนัง หรือ Built-in เฟอร์นิเจอร์ได้ง่ายมากๆ และสิ่งที่ต้องคำนึงอีกอย่างคือโครงการนี้ขายแบบ Fully Fitted ซึ่งให้เฉพาะชุดครัวและสุขภัณฑ์ในห้องน้ำเท่านั้น ที่เหลือเราจะต้องเผื่อเงินเพื่อหาซื้อเองนะครับ (เปลี่ยนเป็นขายแบบ Fully Furnished , อัพเดทวันที่ 26/10/63)

การออกแบบโครงการ : โครงการ Aspire Erawan Prime พูดง่ายๆคือเป็นแบรนด์ Aspire ที่ได้รับการพัฒนาและอัพเกรดหลายๆอย่างขึ้นมาเกือบเทียบเท่าแบรนด์ Life ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่เดินทางสะดวก มีส่วนกลางที่หรูหราสวยงาม รวมถึงเทคโนโลยีและความปลอดภัยที่ถูกยกระดับให้เหมาะสมกับยุคสมัยมากขึ้น อย่างระบบความปลอดภัย KATSAN ก็ถือเป็นคอนโดแห่งที่ 2 ที่ได้มีการนำมาใช้ และยังมีเรื่อง New Standard Hygiene ที่คำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยจากเชื้อโรคและแบคทีเรียของผู้พักอาศัยอีกด้วย

ในเรื่องการออกแบบอาคารก็มีความน่าสนใจของการบิดผังอาคาร เพื่อลดการถูกบังวิวจากโครงการเดียวกันและเพื่อนบ้านข้างเคียง ทำให้ปัจจุบันหลายๆห้องพักจะได้วิวที่ค่อนข้างเปิดโล่ง รวมถึงมีการแบ่งโซนฟังก์ชันการใช้งานได้ค่อนข้างดี อย่างชั้น 1 ด้านนอกเค้าจะแยกทางเดินรถออกจากพื้นที่สวน ทำให้คนมาใช้งานสวนได้อย่างปลอดภัยและเต็มที่มากขึ้น ส่วนด้านในก็ถูกจัดให้เหมาะจะรับแขกหรือนั่งทำงานเอามากๆ ส่วนชั้น Facilities ที่ลูกบ้านจะได้ใช้งานบ่อยๆ จะถูกยกมาอยู่บนชั้น 7 ที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และถ้าอยากชมวิวก็ยังมีชั้นดาดฟ้าให้ขึ้นไปใช้งานได้ด้วยครับ

สิ่งที่อาจยังทำได้ไม่ดีผมคิดว่าคือเรื่อง Core Lift ที่มีแค่จุดเดียว แน่นอนว่าห้องที่อยู่สุดทางเดินจะต้องเดินไกลหน่อย และห้องที่อยู่ใกล้ลิฟต์ก็จะสะดวก แต่อาจต้องมีเพื่อนร่วมชั้นเดินผ่านบ่อยเป็นพิเศษแน่ๆ แต่สิ่งที่สำคัญคืออัตราส่วนลิฟต์ 212.5 :  1 ผมคิดว่าค่อนข้างหนาแน่นอยู่พอสมควร อาจทำให้ต้องมีการรอลิฟต์กันนานในช่วงเวลาเร่งด่วนได้ครับ

การออกแบบห้อง : ส่วนใหญ่จะเน้นเป็นห้อง 1 Bedroom และ 1 Bedroom Plus ซึ่งทาง AP เค้ามองว่ากลุ่มลูกค้าในตอนนี้เริ่มจะอยู่อาศัยคอนโดกันจริงจังมากขึ้น และต้องการความเป็นสัดส่วนจริงๆ ซึ่งต่างจากเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่เรายังเห็นว่าเค้ามีห้อง Studio ให้เลือกเยอะกว่านี้ และอย่างที่บอกว่าโครงการรุ่นพี่ Tower B ก่อนหน้านี้ห้อง 1 Bedroom Plus ค่อนข้างขายดี เนื่องจากมีห้องอเนกประสงค์ให้จัดเพิ่มได้ และฟังก์ชันก็ค่อนข้างยืดหยุ่น เหมาะกับคนที่อาจวางแผนมีลูกเล็กๆในอนาคตได้ด้วยครับ

ซึ่งเค้าก็ได้นำมาพัฒนาพื้นที่แต่ละส่วนให้ Compact มากขึ้น อย่างการลดขนาดห้องนั่งเล่นและครัว ที่เสียพื้นที่ให้กับโถงทางเดินที่ใหญ่เกินไปให้เล็กลง แล้วนำไปเพิ่มพื้นที่ห้องนอนให้อยู่สบายมากขึ้นแทน หรือถ้าใครที่ชอบทำครัวบนห้องก็จะเหมาะกับห้อง 1 Bedroom ที่มีครัวปิดติดกับระเบียง เพราะสามารถเปิดประตูระบายอากาศและทำอาหารได้จริงจังเลยครับ และโดยรวมห้องก็รู้สึกโปร่งโล่งมากๆ เพราะเค้ากั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน 2 ตอนขนาดใหญ่ ที่กว้างถึง 2.8 m. เลยทีเดียว

สาธารณูปโภค : ส่วนตัวผมคิดว่าเค้าทำส่วนกลางออกมาได้ดีที่สุดในย่าน ณ ตอนนี้แล้วครับ ด้วยขนาดพื้นที่ส่วนกลางรวมกว่า 3 ไร่ จัดพื้นที่ฟังก์ชันออกมาได้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่และใช้งานได้จริง โดยเฉพาะกับคนที่ทำงานที่บ้าน หรือมีธุรกิจส่วนตัวที่ต้องรับแขกบ่อยๆ ในส่วนของ Lobby, Meeting Room และ Co-Working Space นับว่าน่าใช้งานมากๆ ออกแบบมาให้เป็นเหมือน Cafe ที่เปลี่ยนอิริยาบทในการทำงานไปเรื่อยๆได้ไม่เบื่อ หรือใครจะมานั่งทำงานในสวนและริมสระว่ายน้ำ เค้าก็มีศาลาและจุดให้นั่งเล่นเยอะเลยทีเดียว ส่วนในฟิตเนสก็มีฉากกั้นกระจกแบ่งเป็นล็อคๆเพื่อความปลอดภัย มีห้องเกมส์และดูหนังให้ได้ผ่อนคลายกับเพื่อนๆ และถ้าอยากไปชมวิวก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าได้ แต่โครงการนี้อาจจะไม่ได้เน้นเรื่องวิวมากนัก แต่เน้นที่จะสร้างบรรยากาศที่ดีภายในโครงการแทนครับ

Judgement

การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 60,000 – 75,000 บาท/ตร.ม., 9 October 2020

  • ทำเล 7.5/10 – ติดถนนสุขุมวิท แต่ความอุดมสมบูรณ์อาจมีไม่มากนัก
  • เดินทางด้วยรถ 8/10 – ใกล้วงแหวนกาญจนา 700 m. จอดรถ 40% อาจน้อยไปหน่อย
  • ไม่ใช้รถ 9.25/10 – สะดวกมาก ติด BTS เอราวัณ 0 m. ด้านหน้าโครงการ และติดถนนใหญ่ เรียกรถสาธารณะได้ง่าย
  • วัสดุ 7.75/10 – ให้ของมาดีกว่าราคา (ในช่วง 60,00 – 70,000 บาท/ตร.ม.) ขาย Fully Fitted ต้องแต่งเพิ่ม (เปลี่ยนเป็นขายแบบ Fully Furnished , อัพเดทวันที่ 26/10/63)
  • แบบ 7.75/10 – ฟังก์ชันครบและยืดหยุ่น เป็นสัดส่วนและโปร่งโล่งไม่อึดอัด
  • สาธารณูปโภค 8.75/10 – ให้มาเยอะ สวยงามน่าใช้งาน เหมาะกับคนทำงานที่บ้าน

  • MAIN CLASS
  • 8.03 / 10.00

BOTTOM LINE

Aspire Erawan Prime เหมาะกับคนที่กำลังมองหาคอนโดติดรถไฟฟ้า 0 m. แถบชานเมืองย่านสมุทรปราการ และใกล้วงแหวนกาญจนาฯ เดินทางสะดวก เป็นโครงการที่มีส่วนกลางสวยน่าใช้มากๆ เหมาะที่จะนั่งทำงานที่บ้าน รวมถึงต้องการมาตรฐานความปลอดภัยและสุขภาพที่สูงขึ้นกว่าเดิม ให้เหมาะกับยุค New Nomal แบบนี้ ส่วนห้องพักก็เน้นห้องที่เป็นสัดส่วน ฟังก์ชันยืดหยุ่น ให้วัสดุมาค่อนข้างดี แต่ต้องการแต่งห้องเพิ่มเอง โดยมีงบประมาณซื้อห้องที่ราคา 1.69 ล้านขึ้นไป หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 12,000 บาท/เดือนขึ้นไป


ติดตามพวกเราได้ที่
Websitewww.thinkofliving.com
Twitterwww.twitter.com/thinkofliving
YouTubewww.youtube.com/ThinkofLiving
Instagramwww.instagram.com/thinkofliving
FacebookThinkofLiving