ใครกำลังรอชมรีวิวตึกเสร็จ โครงการ Ashton อโศก-พระราม 9 กันอยู่บ้างคะ หลังจากที่อนันดาได้เปิดตัวคอนโดแบรนด์ Top อย่าง Ashton แห่งล่าสุดบนแยกอโศก-พระราม 9 ไปเมื่อปี 2560 อัพเดตข่าวคราวตอนนี้…โครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่แล้วค่ะ รีวิวนี้เราจะพาไปดูบรรยากาศจริงและบทวิเคราะห์กัน โดยเริ่มแรกขอพูดถึง Highlight ของโครงการนี้กันก่อนคร่าวๆ

  • ทำเลดีตั้งอยู่บริเวณแยกอโศก-พระราม 9 ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางธุรกิจใหม่ของกรุงเทพฯ ใกล้ทั้งอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้าใหญ่ สถานที่ราชการ และรถไฟฟ้า 2 สาย ทั้ง MRT สถานีพระราม 9 และ Airport Rail Link สถานีมักกะสัน ส่วนในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีส้มพาดผ่านที่สถานีศูนย์วัฒนธรรม ซึ่งห่างออกไปเแค่ 1 สถานี สำหรับการเดินทางบนท้องถนน จุดนี้เสมือนเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อเข้าสู่โซนอโศก-สุขุมวิทชั้นใน, ดินแดง-วิภาวดี, รามคำแหง-ศรีนครินทร์ และรัชดา-ลาดพร้าว ได้ ใกล้โครงการมีจุดขึ้นทางด่วน
  • การดีไซน์ตัวอาคารที่โดดเด่นเฉพาะตัว และการวางผังอาคารไม่ถูกบังวิว ให้ทุกยูนิตเป็นห้องมุม จัดวาง 2 อาคารบิดเฉียงหันออกจากกัน ทำให้เกิดการบดบังวิวน้อยที่สุด และไม่ถูก Block จากอาคารที่อยู่ใกล้เคียงมากจนเกินไป นอกจากนี้ทุกห้องถูกดีไซน์ให้อยู่ในตำแหน่งลดหลั่นองศากันไปคล้ายกับขั้นบันได ยื่น-หดตลอดทั้งแนวระนาบชั้นเดียวกันและแนวตั้ง จึงได้วิวที่กว้างและรับแสงธรรมชาติได้มากขึ้น
  • พื้นที่ส่วนกลางสวย หลากหลายและน่าใช้งาน เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่สำคัญของโครงการนี้ ซึ่งทั้ง 2 อาคารจะมีพื้นที่ส่วนกลางให้เยอะ  เริ่มตั้งแต่ชั้น Ground และขึ้นมาที่ชั้น 40-42 ลูกบ้านสามารถเข้ามาใช้งานได้ทั้ง 2 อาคารเลยค่ะ โดยฟังก์ชัน  แตกต่างกันตาม Concept ของแต่ละอาคารคือ Alpha และ Omega (ชื่อเท่ไม่เบา) ให้ทำมีกิจกรรมที่หลากหลาย ไม่น่าเบื่อค่ะ

 

ข้อมูลโครงการ

Fact @ 25 September 2020

  • ASHTON ASOKE – RAMA 9 (แอชตัน อโศก – พระราม 9)
  • บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
  • LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2020 ได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ในเขต : ดินแดง
  • คอนโด High Rise 2 อาคาร คือ ALPHA จำนวน 46 ชั้น และ OMEGA 50 ชั้น จำนวนยูนิตพักอาศัยรวม 593 ยูนิต และยูนิตร้านค้า 6 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 13 ยูนิต
  • ที่จอดรถประมาณ 396 คัน (ที่จอดของผู้พักอาศัยเป็น Auto Parking 362 คัน / Public Parking 4 คัน / ที่จอดของ Retails & Visitors 30 คัน)
  • ที่ดิน 3-3-77 ไร่
  • เริ่มสร้าง : ปี 2560
  • สร้างเสร็จ : ตุลาคม 2020
  • 1 Bedroom 35 ตร.ม. ราคาเริ่ม 7.59 ล้านบาท
  • 1 Bedroom Plus 46 ตร.ม. ราคาเริ่ม 10.7 ล้านบาท
  • 2 Bedroom 62 ตร.ม. ราคาเริ่ม 15.2 ล้านบาท
  • Penthous 157 ตร.ม. ราคาเริ่ม 54 ล้านบาท
  • ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการประมาณ 250,000 บาทต่อตร.ม.
  • ฝ้าเพดานสูง 2.7-2.8 เมตร
  • Website โครงการ : คลิกที่นี่
  • โทร : 02-316-2222

ทำเลที่ตั้ง

ทำเลที่ตั้ง

ที่ตั้งโครงการ Ashton อโศก-พระราม 9 อยู่บริเวณหัวมุมแยกอโศก-พระราม 9  ตรงข้ามกับโรงแรม Grand Mercure Bangkok Fortune สามารถเข้าออกโครงการได้ 2 ทาง บนถนนดินแดงทั้งทางฝั่งที่เชื่อมกับถนนอโศกมนตรีและทางฝั่งที่เลี้ยวไปโซนดินแดง แต่ระยะเลี้ยวเข้าออกโครงการอาจจะต้องดูรถให้ดีๆหน่อยนะคะ เพราะจะอยู่ใกล้สี่แยกพอดี การจราจรอาจจะหนาแน่น รถเยอะเป็นปกติของแยกนี้

สำหรับความน่าสนใจของทำเลนี้ ได้แก่

  • เดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้า MRT สถานีพระราม 9 เพียง 230 เมตร และอีกด้านจะเป็น Airport Rail Link สถานีมักกะสัน 700 เมตร เหมาะสำหรับคนที่ทำงานย่านพระราม 9 – รัชดาภิเษกอยู่แล้ว หรือทำงานในเมืองเข้าโซนอโศก สุขุมวิทก็สะดวก
  • ถ้าขับรถยนต์อาจจะเจอกับรถติดอยู่บ้างโดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งรีบ ทางเข้าออกที่สะดวกและปลอดภัยที่สุดคือทางที่มุ่งหน้าไปโซนดินแดง ถ้าต้องการขับรถเข้าถนนรัชดาภิเษกหรืออโศกมนตรีอาจต้องไปวนรถก่อน แล้วจึงย้อนกลับมาที่แยกพระราม 9 ใช้เวลาพอสมควร ต้องเผื่อเวลาดีๆค่ะ จุดขึ้นทางด่วนที่ใกล้โครงการจะเป็นด่านอโศก 3 (ไปบางนา) ~ 900 เมตร และด่านอโศก 4 (ไปทางอนุสาวรีย์) ~ 1.6 กิโลเมตร
  • บรรยากาศของย่านแยกอโศก-พระราม 9 ค่อนข้างคึกคักทั้งกลางวัน-กลางคืน ไม่เปลี่ยวเลยค่ะ รถราวิ่งผ่านแยกนี้ตลอด ส่วนการข้ามถนนจะต้องใช้ทางม้าลาย ซึ่งจะอยู่หน้าโครงการ โดยจะมีสัญญาณคนข้ามมาให้ใช้งานด้วย มีที่กลับรถบนถนนพระราม 9 อยู่หน้าโครงการ
  • ความอุดมสมบูรณ์ มีร้านค้า ร้านอาหารค่อนข้างเยอะ ทั้งริมฝั่งถนนและตรอกซอยใกล้เคียง นอกจากนี้ยังใกล้ห้างใหญ่ถึง 2 แห่ง ได้แก่ ห้าง Central Plaza พระราม 9 และห้าง FortuneTown ส่วนอาคารสำนักงานก็มีทั้งตึก G Tower, Unilever House, Super Tower, The Stock Exchange of Thailand, AIA Capital Building เป็นต้น

พิกัด Google Maps : 13.738937, 100.561507
หรือสามารถ : คลิกที่นี่

ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการของ Ashton อโศก-พระราม 9 อยู่ที่ประมาณ 250,000 บาทต่อตารางเมตร หากเทียบกับโครงการที่อยู่ในโซนเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นโครงการใหม่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ หรือโครงการที่กำลังก่อสร้างและที่ Sold out ไปแล้ว จะพบว่าที่นี่ราคาเฉลี่ยสูงที่สุด เนื่องจากการวาง Position ให้เป็นคอนโดระดับ Luxury ราคาขายเริ่มต้น 7.59 ล้านบาท สำหรับ 1 Bedroom ขนาด 35 ตารางเมตร ในขณะที่คอนโดใหม่ที่เปิดขายบริเวณแยกพระราม 9 จะอยู่ใน Range เฉลี่ย ประมาณ 120,000-166,000 บาทต่อตารางเมตร (รวมโครงการที่กำลังก่อสร้างด้วย) ส่วนคอนโด Resale จะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 160,000-170,000 บาทต่อตารางเมตรค่ะ ส่วนใหญ่ห้องที่เปิดขายในโซนนี้จะเป็นห้องแบบ 1 Bedroom ขนาดเริ่มต้นราว 25-30 ตารางเมตร

อย่างไรก็ดี Ashton อโศก-พระราม 9 กล้าชนราคาสูงกว่าเพื่อนบ้านในทำเลนี้ ด้วยการวาง Segment และกลุ่มผู้ซื้อที่ชัดเจน และเชื่อว่าเค้าต้องมีจุดเด่นที่แตกต่างจากโครงการอื่นอย่างแน่นอน แต่ในมุมมองของผู้ซื้อจะคุ้มค่าสมราคาหรือไม่นั้น เรามาดูกันต่อในรีวิวนี้กันค่ะ


การเดินทางบนถนน : ที่ตั้งโครงการเป็นศูนย์กลางที่เดินทางไปได้หลากหลายเส้นทาง โดยถนนดินแดงสามารถเชื่อมกับถนนรัชดาภิเษกได้ ส่วนอีกด้านจะเชื่อมถนนจตุรทิศ เพชรบุรีตัดใหม่ และอโศกมนตรี ถ้าตรงต่อไปก็จะเข้าถนนสุขุมวิท ใกล้ๆโครงการจะมีจุดขึ้นทางด่วนศรีรัช ในระยะ 900 เมตร – 1.6 กิโลเมตร คือด่านอโศก 3 และ 4 ค่ะ (แต่จะต้องอ้อมไปกลับรถก่อน) แต่ถ้าลงทางด่วนจะสะดวกมากเพราะสามารถวิ่งเข้าถนนจตุรทิศและวิ่งเข้าถนนดินแดงได้ง่าย จากนั้นเลี้ยวเข้าโครงการได้เลย อีกด้านของถนนดินแดงจะเชื่อมไปโซนดินแดง ออกวิภาวดี-รังสิต หรือถ้าตรงไปจะเข้าโซนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิค่ะ

การเดินทางด้วยรถไฟฟ้า : ใครที่ไม่อยากเจอรถติด ใช้รถไฟฟ้าก็สะดวกนะ เพราะโครงการ Ashton อโศก-พระราม 9 อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า MRT พระราม 9 แค่ 230 เมตร เดินได้สบายๆค่ะ แต่อาจจะต้องเดินข้ามถนนและเดินต่อมาระยะนึง ส่วนตัวมองว่าไม่ลำบากขนาดนั้นเพราะมีทางม้าลายพร้อมสัญญาณไฟคนข้ามให้ที่หน้าโครงการเลย สามารถเดินข้ามฝั่งมาหน้าห้าง Fortune Town ลงไปสถานี MRT ได้เลย ส่วนรถไฟฟ้า Airport Rail Link สถานีมักกะสันจะอยู่ห่างจากโครงการไปประมาณ 700 เมตร จุดนี้ต้องเดินไกลนิดนึงค่ะ หรือจะใช้บริการพี่วินมอเตอร์ไซต์ที่อยู่ใกล้โครงการก็ได้

ความอุดมสมบูรณ์ : ความดีงามอีกอย่างของที่ตั้งโครงการเรามองว่าอยู่ใกล้ห้าง Central Plaza พระราม 9 และห้าง Fortune Town เหมาะสำหรับคนที่ชอบเดินห้าง ชอบ Shopping บ่อยๆ สามารถเดินข้ามฝั่งมาห้าง Fortune Town ได้ง่าย หรือถ้าจะไปห้าง Central Plaza พระราม 9 ก็สามารถเดินลงสถานี MRT พระราม 9 แล้วลัดไปโผล่อีกฝั่งได้เลยค่ะ

นอกเหนือจากร้านรวงต่างๆภายในห้างแล้ว ตามถนนทั้งทางฝั่งโครงการและตรงข้าม มีทั้งร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ คาเฟ่ ร้านทำผม คลินิกหมอฟันร้านขายยา และตลาดสดในซอยอยู่เจริญด้วย สามารถไปเดินซื้อของหรือนั่งกินข้าวชิลๆได้

บรรยากาศบริเวณสี่แยกอโศก-พระราม 9

ที่ตั้งอาคารสำนักงานกระจุกตัวอยู่ที่แยกพระราม 9 ตัดกับถนนรัชดา อย่าง G Tower ใกล้กับ Unilever House และ Central Plaza พระราม 9 ส่วนในอนาคตจะมีตึกสูงที่สุดในอาเซียนอย่าง The Super Tower เกิดขึ้นที่แยกนี้ด้วยเช่นกัน

ส่วนอีกฝั่งก็มีอาคารสำนักงานและโครงการคอนโดมิเนียมอีกหลายแห่งด้วยกัน

บรรยากาศบริเวณแยกพระราม 9 มีความคึกคักและอุดมสมบูรณ์อย่างมาก ที่ตั้งโครงการอยู่ตรงหัวมุมตรง 4 แยกเลยค่ะ เรียกได้ว่าเป็นโครงการที่อยู่ติดถนนดินแดง 2 ด้าน มีทางเข้าออกทั้ง 2 ทาง การจราจรตรงแยกอาจจะหนาแน่นอยู่บ้าง ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบก็มีทั้งร้านค้าปลีกต่างๆ รวมถึงห้างใหญ่ใกล้แยกอย่าง Central Plaza พระราม 9 และห้าง Fortune Town  ซึ่งเราได้เก็บภาพมาฝากด้วยค่ะ

Image 1/20
มาเดินดูฝั่งถนนดินแดงที่เชื่อมมาจากด้านอโศกก่อน ฝั่งเดียวกันกับโครงการ Ashton อโศก-พระราม 9 บรรยากาศจะประมาณนี้ มีฟุตบาทให้เดินย้อนกลับไปจนถึงแยกที่ตัดกับถนนจตุรทิศ และสถานีรถไฟฟ้า Airport Rail Link มักกะสันเลยค่ะ

มาเดินดูฝั่งถนนดินแดงที่เชื่อมมาจากด้านอโศกก่อน ฝั่งเดียวกันกับโครงการ Ashton อโศก-พระราม 9 บรรยากาศจะประมาณนี้ มีฟุตบาทให้เดินย้อนกลับไปจนถึงแยกที่ตัดกับถนนจตุรทิศ และสถานีรถไฟฟ้า Airport Rail Link มักกะสันเลยค่ะ

รายละเอียดโครงการ

ประเด็นที่น่าสนใจ

  • ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมแยกอโศก-พระราม 9 สามารถเข้าออกได้ 2 ทางบนถนนดินแดง ทั้งทางฝั่งที่จะข้ามไปรัชดาภิเษกหรือเลี้ยวเข้าไปโซนดินแดงก็ได้ ซึ่งสามารถวนรถมาถนนพระราม 9 ได้
  • พื้นที่สีเขียวในโครงการจัดมาค่อนข้างดี บริเวณภายนอกอาคารจะมีการจัด Landscape พื้นที่ตรงกลางที่เชื่อมทั้ง 2 อาคาร ด้วยสวนสีเขียว มีต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น พร้อมพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อน ด้านล่างของอาคารจะมี Shop เปิดให้บริการด้วย
  • พื้นที่ส่วนกลางจัดมาให้ลูกบ้านเยอะและหลากหลาย โดยจะอยู่ที่ชั้น 40-41 และ 41-42 ของอาคาร Alpha และ Omega ซึ่งลูกบ้านไม่ว่าจะอยู่อาคารไหนสามารถมาใช้งานได้ทั้งหมดเลยค่ะ
  • ทุกห้องเป็นห้องมุม ได้วิวกว้าง ช่องแสงใหญ่อย่างต่ำ 2 ด้าน ด้วยการออกแบบให้อาคารพักอาศัยมีลักษณะลดหลั่นไล่องศากันไปทั้งแนวตั้งและแนวนอน อีกทั้งการวางอาคารทั้ง 2 จะวางในตำแหน่งหลบมุม เยื้องๆกัน เพื่อไม่ให้บังวิวกัน นอกจากนี้ผังโถงทางเดินจะแบบ Single Loaded Corridor ให้ความเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้น
  • มีระบบ Airflow Ventilation ด้วย การออกแบบให้มีช่องสำหรับเปิดรับลมและแสงให้เข้าออกอาคารได้อย่างสะดวก และในทุกๆ 10 ชั้น จะมีส่วนของ Atrium ซึ่งเป็นโถงขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นช่องเปิดขึ้นไปยังห้องพัก เชื่อมต่อกับพื้นที่เปิดนอกอาคาร พร้อมพื้นที่นั่งเล่น สามารถรับลมและแสงธรรมชาติได้ ช่วยให้ห้องพักในช่วงชั้นนั้นๆ ไม่อับ และระบายอากาศไปในตัว

Project Overview

โครงการ Ashton อโศก-พระราม 9 เป็นคอนโด High Rise จำนวน 2 อาคาร ได้แก่ อาคาร Alpha สูง 46 ชั้น และ Omega สูง 50 ชั้น อยู่บนที่ดิน 3-3-77 ไร่ พื้นที่แต่ละชั้นของแต่ละอาคาร ดังนี้

ALPHA
ชั้น Basement: Automatic Parking
ชั้น G: Lobby, Mail Room, Property Management Office, Laundry Collection Point, Retail, Garden, Normal Parking, Automatic Parking, M&E
ชั้น 2: Retail, Automatic Parking
ชั้น 3-8: Automatic Parking
ชั้น 10-38: Residential Units
ชั้น 40-41: Swimming Pool, Jacuzzi, Fitness, Changing Rooms & WC, Sauna Room, Boxing, Bike Simulator, Functional Training Studio, Sky Social Club, Balcony
ชั้น 42-43: Residential Units
ชั้น 46: Roof Deck

OMEGA
ชั้น Basement: Automatic Parking
ชั้น G: Lobby, Mail Room, Property Management Office, Laundry Collection Point, Retail, Garden, Normal Parking, Automatic Parking, M&E
ชั้น 2: Retail, Automatic Parking
ชั้น 3-11: Automatic Parking
ชั้น 12-39: Residential Units
ชั้น 41-42: Swimming Pool, Jacuzzi, Fitness, Changing Rooms & WC, Steam Room, Yoga Room, Massage Room, Cinema Room, Co-Kitchen, Co-Working Space, Balcony
ชั้น 43-47: Residential Units
ชั้น 50: Roof Deck

ใครที่เคยผ่านไปช่วงอโศก-พระราม 9 ก็คงจะทราบดีว่าพอข้ามรางรถไฟมุ่งไปทางแยกพระราม 9 บริเวณนั้นถือเป็นดงคอนโด High Rise ขนาดใหญ่ แปลงที่ดินส่วนใหญ่ถูกจับจองสร้างเป็นคอนโดมิเนียมหลายโครงการด้วยกัน มีทั้งที่สร้างเสร็จนาน 4-5 ปีแล้ว และมีที่เพิ่งสร้างเสร็จ + กำลังก่อสร้าง สำหรับโครงการ Ashton อโศก-พระราม 9 ถือเป็นอีกคอนโดใหม่ล่าสุดที่เพิ่งสร้างเสร็จในเดือนตุลาคม 2563

หากเราดูจาก Google Map ก็จะเห็นว่าโดยรอบจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อนบ้านขนาบทั้งทางทิศตะวันตกและทิศใต้ (โครงการ The Line อโศก-รัชดา และโครงการ Life อโศก-พระราม 9 ตามลำดับ) ส่วนทิศเหนือติดกับหน้าโครงการจะเป็นถนนดินแดง ซึ่งถ้าข้ามฝั่งไปจะเป็นถนนพระราม 9 มีโรงแรม Grand Mercure Bangkok Fortune และห้าง Fortune Town อยู่ตรงแยก เลี้ยวเข้ารัชดาภิเษก มีสถานีรถไฟฟ้า MRT พระราม 9 อยู่หน้าห้างค่ะ ส่วนทางทิศตะวันออกของโครงการจะติดกับถนนดินแดงเช่นกัน โดยจะเป็นจุดตัดแยกพระราม 9 ก่อนจะวิ่งเข้าถนนรัชดาภิเษก นอกจากนี้ยังมีคอนโดมิเนียมโครงการอื่นๆอยู่ด้วยเช่นกัน

สรุปที่ตั้งโครงการจะติดกับ

  • ทิศเหนือ ติดกับ ถนนดินแดงและพระราม 9
  • ทิศใต้ ติดกับ คลองสามเสนและโครงการ Life อโศก-พระราม 9
  • ทิศตะวันออก ติดกับ ถนนดินแดง
  • ทิศตะวันตก ติดกับ โครงการ The Line อโศก-รัชดา

ต่อไปเรามาดูในส่วนของผังโครงการชั้น Ground ภายนอกกันค่ะ พื้นที่ดินของโครงการ Ashton อโศก-พระราม 9 จะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม มีมุมโค้งไปตามจุดตัดถนนของแยกพระราม 9 และจะมีพื้นที่ติดถนนหน้าโครงการเว้าลงมาเล็กน้อย เพราะส่วนนั้นจะเป็นที่ของบุคคลอื่น (เป็นตึกแถวเล็กๆอยู่หน้าโครงการ) โดยรวมแล้วพื้นที่รวมโครงการอยู่ที่ประมาณ 3 ไร่กว่า โดยจะแบ่งเป็นโซนอาคารพักอาศัย 2 อาคาร และโซนสวนหย่อม ซึ่งเค้าจัด Landscape ออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว มีการลงต้นไม้ใหญ่ไว้หลายจุด ปลูกหญ้า จัดที่นั่งเล่นกลางแจ้ง ช่วยให้บรรยากาศเย็นสบายและเป็นส่วนตัว

บรรยากาศสวนภายในโครงการ ร่มรื่นมากเลยทีเดียว

มีการจัด Landscape ได้น่าสนใจเลยทีเดียว โดยมีการลงต้นไม้ใหญ่ไว้ให้หลายจุด และทำเป็นพื้นที่นั่งเล่นใต้ต้นไม้ เวลาสายๆ จะได้เงาอาคารบดบังแดดร้อน สามารถนั่งเล่นชิลๆได้

พื้นที่สวนหย่อมจะไม่ได้ทำแนวรั้วกั้นขอบเขตให้นะคะ ซึ่งเรามองว่าเป็นความตั้งใจของโครงการอยู่แล้วที่ต้องการโชว์พื้นที่ส่วนนี้ให้คนภายนอกเห็นว่ามีสวนสีเขียวใหญ่ตั้งอยู่ในโครงการ บรรยากาศมีความแตกต่างจากบริเวณถนนที่ค่อนข้างคึกคักภายนอกอย่างชัดเจน เป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจไม่น้อยค่ะ

พื้นที่ทางเดินรถและจุด Drop-off หน้าอาคาร

ทางเข้าออกมี 2 ทาง คือทางฝั่งถนนอโศกมนตรีและถนนพระราม 9 อย่างที่เคยบอกไป ส่วนทางเดินรถภายในโครงการจะวนรอบตึก มีจุด Drop-off หน้าอาคารทั้ง 2 ซึ่งจะเชื่อมกับ Lobby ทางด้านใน ส่วนที่จอดรถเป็นแบบ Auto Parking ต้องวนมาจอดที่หลังอาคาร โดยอาคาร Alpha จะมีช่องเข้าจอด 3 Lots ชั้นจอดจะอยู่ที่ชั้น Basement และชั้น 2 – 8 สำหรับอาคาร Omega มี 2 Lots  ชั้นจอดอยู่ที่ชั้น Basement และชั้น 2 – 11

Image 1/10
ทางเข้าโครงการทางฝั่งถนนดินแดง (มุ่งหน้าไปโซนดินแดง) มีพี่รปภ.รักษาความปลอดภัย คอยตรวจตรารถที่จะเข้าออกโครงการ

ทางเข้าโครงการทางฝั่งถนนดินแดง (มุ่งหน้าไปโซนดินแดง) มีพี่รปภ.รักษาความปลอดภัย คอยตรวจตรารถที่จะเข้าออกโครงการ

ผังอาคาร ชั้น Ground

มาดูส่วนของพื้นที่ส่วนกลางภายในอาคาร ชั้น Ground กันต่อ อาคาร Alpha 46 ชั้น รวม 353 ยูนิต จะมี Lobby อยู่ส่วนหน้า มีพื้นที่นั่งเล่นจัดไว้ให้ด้วย เวลานัดเจอเพื่อนหรือรอเรียกรถก็สามารถมานั่งรอที่ส่วนนี้ได้ ขยับเข้ามาทางด้านในจะเป็น Mail Room และสำนักงานนิติบุคคลหรือ Property Managaement ค่ะ ส่วนโถงลิฟต์จะอยู่ด้านในสุด

ความพิเศษอีกอย่างคือจะมีพื้นที่ Retail ด้วย อยู่ที่ชั้น Ground จำนวน 3 Shop และชั้น 2 อีก 1 Shop เปิดให้คนนอกสามารถมาใช้บริการได้ด้วยนะ (ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเรื่องร้านค้านะคะ ต้องรอดูอีกทีว่าจะเป็นเจ้าไหนมาเปิด) แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปว่าถ้าคนนอกเข้ามาใช้งานจะไม่เป็นส่วนตัว สังเกตได้ว่าโซน Retail จะอยู่ด้านข้างทั้งหมดเลยทั้ง 2 อาคาร ใกล้กับทางเข้าออก เพื่อที่เวลาคนนอกมาใช้งานจะได้แยกเป็นสัดส่วน และไม่เข้ามาวุ่นวายกับพื้นที่ส่วนอื่นๆภายในโครงการค่ะ

ส่วนอาคาร Omega หากดูจากแปลนพื้นที่ตั้งอาคารจะมีขนาดเล็กกว่า แต่จะมีความสูงมากกว่า โดยอยู่ที่ 50 ชั้น จำนวน 240 ยูนิต พอเข้ามาในชั้นแรกก็จะเจอกับ Lobby, Property Management, Mail Room เช่นกัน ในสุดเป็นลิฟต์ค่ะ อาคารนี้มี Retail อยู่ 2 Shop อยู่ทางด้านข้าง

ผังอาคาร พื้นที่ส่วนกลาง ชั้น 40-41 ของทั้ง 2 อาคาร

ผังอาคาร พื้นที่ส่วนกลาง ชั้น 41-42 ของทั้ง 2 อาคาร

ขึ้นมาต่อที่ชั้น Facility หลักของโครงการกันค่ะ อาคาร Alpha จะอยู่ที่ชั้น 40-41 และอาคาร Omega จะอยู่ที่ชั้น 41-42 โดยหลักๆแล้วฟังก์ชันที่เหมือนกันเลยก็คือห้องฟิตเนสและสระว่ายน้ำ ส่วนฟังก์ชันอื่นๆจะแตกต่างกันตามคอนเซ็ปต์ของแต่ละอาคาร

  • Alpha จะเป็นคอนเซ็ปต์ Active เป็นผู้นำ เหมาะสำหรับคนที่ชอบกิจกรรมที่ใช้พลังงานเยอะ มีความกระตือร้น ไม่หยุดนิ่ง ชอบสังสรรค์เข้าสังคม ดังนั้น Facility ในอาคารนี้จะเน้นฟังก์ชันการออกกำลังกายหนักๆหน่อย หรือกิจกรรมที่ใช้พลังงานมากเป็นพิเศษ ไม่หยุดนิ่ง เช่น Sauna Room, Boxing, Bike Simulator, Functional Training Studio และ Sky Social Club เน้นโทนสีดำ-แดง
  • Omega จะเป็นคอนเซ็ปต์ Passive อ่อนโยน เหมาะสำหรับคนที่ชอบกิจกรรมเบาๆ สบายๆ เน้นความสุนทรีย์ สงบและมีสมาธิ ค่อนข้างเป็นส่วนตัว Facility ของอาคารนี้ ได้แก่ Steam Room, Yoga Room, Massage Room, Cinema Room, Co-Kitchen และ Co-Working Space เน้นโทนสีอ่อน ขาว-ทอง

Facility ของทั้ง 2 อาคารจะกระจายอยู่ทั้ง 2 ชั้น อย่างที่เห็นว่าโครงการจัดมาหลากหลายฟังก์ชันเลยทีเดียว และลูกบ้านสามารถเข้ามาใช้งานได้ทั้ง 2 อาคารเลยนะคะ ไม่จำกัดว่าอยู่ตึกไหนใช้แค่ตึกนั้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้ลูกบ้านได้มีโอกาสใช้งาน Facility ต่างๆได้อย่างทั่วถึงและ หลากหลายยิ่งขึ้น เผื่อวันไหนอยากออกกำลังกายหนักๆก็ไปอาคาร Alpha ได้ หรือถ้าวันไหนอยากเล่นโยคะ เข้าห้อง Staem สามารถมาที่อาคาร Omega ก็ได้เช่นกัน ทำให้การอยู่อาศัยในโครงการไม่น่าเบื่อ และมีกิจกรรมทำครบครัน โดยไม่จำเป็นต้องออกไปที่ไหนไกลเลยค่ะ

ภาพบรรยากาศพื้นที่ส่วนกลางอาคาร Alpha

Image 1/35
Lobby ชั้น G มีมุมโซฟาจัดไว้ให้ลูกบ้านได้มานั่งเล่น นัดเจอเพื่อนหรือจะนั่งรอเวลาเรียกรถก็ได้

Lobby ชั้น G มีมุมโซฟาจัดไว้ให้ลูกบ้านได้มานั่งเล่น นัดเจอเพื่อนหรือจะนั่งรอเวลาเรียกรถก็ได้

ภาพบรรยากาศพื้นที่ส่วนกลางอาคาร OMEGA

Image 1/55
ภาพบรรยากาศภายในสำนักงานขาย ซึ่งจะอยู่ชั้น G ของอาคาร Omega ซึ่งในอนาคตอาจจะปรับเป็นพื้นที่ใช้งานอื่นๆ

ภาพบรรยากาศภายในสำนักงานขาย ซึ่งจะอยู่ชั้น G ของอาคาร Omega ซึ่งในอนาคตอาจจะปรับเป็นพื้นที่ใช้งานอื่นๆ


วิเคราะห์ห้องพักอาศัยและวิวรอบๆโครงการ

ต่อไปเรามาดูแปลนห้องพักอาศัยกัน โครงการนี้แม้จะมี 2 อาคาร บนพื้นที่ 3 ไร่กว่าๆ แต่ได้มีการออกแบบตำแหน่งของแต่ละอาคารในลักษณะวางเยื้องๆบิดๆออกจากกัน ประมาณ 45 องศา ทำให้ไม่บังวิวกันแม้จะอยู่ใกล้กัน และไม่ได้อยู่ชิดตึกใกล้เคียงในระยะประชิดจนเกินไป ทำให้ชั้นสูงๆได้วิวเมืองทั้งทางฝั่งพระราม 9, ดินแดง, อโศก, สุขุมวิท และเพชรบุรีตัดใหม่

ห้องพักอาศัยจะเริ่มที่ชั้น 10 (Alpha) และชั้น 12 (Omega) ซึ่งก็เป็นชั้นที่สูงพอสมควร สำหรับจำนวนห้องพักต่อชั้นที่นี่จะมากสุดอยู่ที่ชั้นละไม่เกิน 9-13 ห้อง (Omega และ Alpha ตามลำดับ) ยิ่งชั้นบนๆ จำนวนยูนิตต่อชั้นยิ่งน้อยตามลักษณะของตัวอาคาร ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้น รวมถึงจะเห็นวิวเมืองที่กว้างยิ่งขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ผังโถงทางเดินหน้าห้องจะเป็นรูปแบบ Single Loaded Corridor ทำให้ไม่มีเพื่อนบ้านที่อยู่ฝั่งหน้าห้องตรงข้ามเราค่ะ แต่จะเห็นเป็นพื้นที่โถง Atrium โล่งๆ มองไปยังข้างล่างได้ ในทุกๆ 10 ชั้น นอกจากนี้ยังมีข้อดีคือจะได้รับแสงสว่างและการ Flow ของลมเข้าออกได้ค่อนข้างดีด้วย

ส่วนภาพต่อไปนี้จะเป็นผังห้องพักอาศัยชั้นต่างๆ ของทั้ง 2 อาคาร ด้านขวาคืออาคาร Alpha และด้านซ้ายคืออาคาร Omega ค่ะ

Image 1/16
ผังชั้น 10

ผังชั้น 10

การออกแบบห้องพักของที่นี่จะได้ห้องมุมทั้งหมด ด้วยรูปทรงอาคารหลดหลั่นองศาไม่เท่ากัน ทำให้แต่ละห้องอยู่ในตำแหน่งยืดหดตลอดแนว สามารถเปิดรับวิวอย่างน้อย 2 ด้านได้อย่างเต็มที่ และได้กระจกบานใหญ่ขนาดยาวไม่ต่ำกว่า 1.8 เมตร

ต้องบอกก่อนว่ารูปแบบห้อง Bedroom Plus จะมีจำนวนขายอยู่เยอะที่สุดค่ะ แต่ทั้งนี้จะมีสลับไปกับรูปแบบห้อง 1 Bedroom บ้างในแต่ละชั้น แต่ละอาคาร โดยห้องที่อยู่โซนเยื้องไปทางทิศเหนือและทิศตะวันออก ของอาคาร Omega ส่วนใหญ่จะเป็นห้องไซส์ 40 ตารางเมตรขึ้นไป ส่วนโซนด้านหลังอาคารที่อยู่ฝั่งเยื้องไปทางทิศใต้และทิศตะวันออก จะเป็นไซส์เล็ก ขนาด 30 กว่าตารางเมตร ส่วนอาคาร Alpha จะมีห้องหลายขนาดอยู่ในทิศทางแนวเดียวกันสลับกันไป

รูปแบบ 2 Bedroom ขนาด 61-68.5 ตารางเมตร ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณมุมอาคาร หันเยื้องไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกของทั้ง 2 อาคารเลยค่ะ ปัจจุบันห้องที่เปิดขายอาจจะมีไม่ครบทุกแบบนะคะ ใครสนใจสามารถสอบถามรายละเอียดกับทางฝ่ายขายของโครงการได้โดยตรง

วิวแต่ละทิศรอบๆโครงการ

สำหรับอาคาร Omega ทิศที่ตัวห้องหันออกจะมี 3 ทิศทางหลัก คือห้องทางฝั่งซ้ายของตัวอาคาร โดยจะหันออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนห้องทางฝั่งขวาของตัวอาคารหันออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนห้องที่อยู่มุมของอาคารจะได้วิวทางทิศเหนือค่ะ

ส่วนอาคาร Alpha ทิศที่ตัวห้องหันออกจะมี 3 ทิศทางหลักเช่นกัน คือ ห้องทางฝั่งซ้ายของตัวอาคารหันออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ส่วนห้องทางฝั่งขวาของตัวอาคารหันออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนห้องที่อยู่มุมของอาคารจะได้วิวทางทิศเหนือและตะวันออก ในทางกลับกันทางฝั่งทิศใต้ของอาคารทั้ง 2 จะเป็นส่วนของลิฟต์และงานระบบต่างๆ จึงไม่มีห้องที่หันไปทางทิศใต้โดยตรง ซึ่งจะเป็นทิศที่มีโครงการต่างๆอยู่ค่อนข้างหนาแน่น

Image 1/4
วิวทางทิศเหนือ หันหน้าไปทางถนนรัชดาภิเษก เห็นชุมชนพระราม 9 และกลุ่มอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้าต่างๆ

วิวทางทิศเหนือ หันหน้าไปทางถนนรัชดาภิเษก เห็นชุมชนพระราม 9 และกลุ่มอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้าต่างๆ

แบบห้อง

ประเด็นที่น่าสนใจ

  • แบบห้องภายในโครงการมี Layout หลายแบบ โดยอาคาร Alpha มีถึง 14 แบบ และอาคาร Omega มี 10 แบบ แต่ละอาคารมีห้องทั้ง 1 Bedroom, 1 Bedroom Plus, 2 Bedroom และ Penthouse รายละเอียด ดังนี้
    – 1 Bedroom เป็นห้องไซส์เล็กไปจนถึงไซส์ใหญ่ก็มี ขนาดเริ่มต้นตั้งแต่ 31.5-43 ตารางเมตร
    – 1 Bedroom Plus เป็นรูปแบบห้องพักที่มีจำนวนมากที่สุดในโครงการ ขนาดเริ่มต้น 46-46.5 ตารางเมตร ได้ห้องอเนกประสงค์เพิ่มเข้ามา
    – 2 Bedroom มีจำนวนยูนิตไม่มาก ขนาดเริ่มต้น 61.0-68.5 ตารางเมตร ปัจจุบันเหลือขายเพียงไม่กี่ยูนิต ตำแหน่งมักจะอยู่ตรงมุมของอาคาร
    – Penthouse มีจำนวนน้อยที่สุดในโครงการ ขนาดพื้นที่ 150 กว่าตารางเมตรขึ้นไป ตำแหน่งจะอยู่ชั้นเหนือชั้นส่วนกลางขึ้นไป
  • อาคาร Omega ขนาดอาคารจะเล็กกว่าอาคาร Alpha ทำให้ห้องส่วนใหญ่จะเป็นไซส์เล็ก เช่น ขนาด 32.5 ตารางเมตร มีอยู่ค่อนข้างมาก
  • รูปแบบการขาย เป็นแบบ Fully Fitted
  • ได้เป็นห้องมุมทุกห้อง และได้ช่องแสงบานใหญ่ โดยในแต่ละด้านต้องมีความกว้างไม่ต่ำกว่า 1.8 เมตรขึ้นไป และมีหน้าต่างมากกว่า 1 ด้านเสมอ
  • วัสดุที่ได้ภายในห้องใช้แบรนด์และเกรดค่อนข้างดี

Product Overview

Ashton อโศก-พระราม 9 มีรายละเอียดรูปแบบห้องขายทั้งหมดดังนี้

Image 1/24
แปลนห้องแบบ A1-34 ตารางเมตร

แปลนห้องแบบ A1-34 ตารางเมตร

ห้องตัวอย่างของที่นี่มี 3 ห้องด้วยกัน ได้แก่ แบบ 1 Bedroom-B9 ขนาด 38.5 ตารางเมตร, 1 Bedroom-B7 ขนาด 40 ตารางเมตร และ 1 Bedroom Plus-B3 ขนาด 46 ตารางเมตร โดยเราจะขอเลือกวิเคราะห์แปลนของห้องแบบ B3 และ B7 ค่ะ


ห้อง 1 Bedroom Plus-B3 ขนาด 46 ตารางเมตร

เราขอเริ่มต้นจากห้องที่มีจำนวนมากที่สุดในโครงการก่อนนะคะ คือรูปแบบ 1 Bedroom Plus ห้องตัวอย่างขนาด 46 ตารางเมตรค่ะ ห้องนี้ส่วนแรกจะเป็นพื้นที่ครัว ซึ่งจะได้เคาน์เตอร์ครัวและบิวท์อินต่างๆติดตั้งมาให้พร้อม พื้นที่ได้จะเป็นกระเบื้อง Porcelain ขนาด 60 x 60 เซนติเมตร ซึ่งข้อดีของวัสดุนี้คือมีความแข็งแรงและไม่ดูดซึมน้ำ เหมาะสำหรับทำเป็นพื้นครัว เวลาที่ทำอาหารอาจจะหยดน้ำ เศษอาหารตกลงไป จะสามารถทำความสะอาดได้ง่ายนั่นเอง ส่วนด้านข้างครัวจะเป็นส่วนของห้องอเนกประสงค์ที่เพิ่มเข้ามา ห้องนี้สามารถจัดเป็นห้องทำงานหรือนั่งเล่นเพิ่มได้นะคะ โดยจะได้เป็นประตูกระจกบานเลื่อน 2 ฝั่งปิดแบบเข้ามุม เปิดใช้งานสะดวกและช่วยรับแสงได้มากขึ้นอีกด้วย

ขยับเข้าไปด้านในตรงกลางห้องจะเป็นพื้นที่รับประทานอาหารและโซน Living ตรงนี้สามารถจัดวางชุดโต๊ะเก้าอี้ไว้นั่งรับประทานอาหารแบบ 2 คนนั่งกำลังดี แต่จะค่อนข้างชิดกับพื้นที่วางโซฟาเลย ริมผนังสามารถวางชั้นและทีวีได้ ตรงข้ามจะเป็นห้องน้ำ แบ่งโซนแห้งเปียกให้เรียบร้อย ห้องน้ำจะเข้าออกแบบ Double Access ได้ทั้งทาง Common Area และในห้องนอน

สุดท้ายเป็นห้องนอนจะอยู่ด้านในสุดค่ะ สามารถเปิดรับแสงได้เยอะ เนื่องจากได้ช่องแสง 2 ด้าน ยิ่งการออกแบบของโครงการจะวางให้ทุกห้องเป็นห้องมุมที่ลดหลั่นองศากัน ก็ยิ่งช่วยให้รับวิวได้กว้างมากขึ้นตามไปด้วย ส่วนพื้นที่วางเตียงจะอยู่ตรงกลางห้อง รองรับเตียงขนาดใหญ่ 5-6 ฟุตได้สบายๆ ด้านข้างจัดโต๊ะเครื่องแป้งได้ รวมถึงตู้เสื้อผ้าวางไว้ตำแหน่งหน้าห้องน้ำได้อย่างพอดีค่ะ นอกจากนี้ห้องนอนยังสามารถเปิดไปโซนระเบียงได้อีกด้วย

เรามาดูห้องตัวอย่างแบบแรกกันก่อนที่มีจำนวนมากที่สุดในโครงการ คือ 1 Bedroom Plus ขนาด 46 ตารางเมตร

เริ่มจากทางเข้าห้อง จะได้เป็นประตู Digital Door Lock แบรนด์ Yale ทุกห้อง

ทางเข้าห้องมีการยกระดับพื้นให้สูงขึ้นเล็กน้อย ป้องกันฝุ่นและน้ำจากภายนอกที่อาจเข้ามาภายในห้องได้

เข้ามาภายในห้องจะเจอกับโซนครัวเป็นส่วนแรก โดยจะได้ชุดเคาน์เตอร์ครัวติดตั้งให้ตามแบบห้องตัวอย่างเลยค่ะ ด้านในเป็นพื้นที่นั่งเล่นและรับประทานอาหาร ส่วนด้านข้างจะเป็นห้องอเนกประสงค์ ความสูงจากพื้นถึงเพดานในส่วนของครัวอยู่ที่ 2.7 เมตร ห้องอเนกประสงค์และส่วนอื่นๆในห้องอยู่ที่ 2.8 เมตรค่ะ

มุมมองจากด้านใน มองออกไปยังประตูทางเข้าห้อง เห็นได้ว่าประตูจะติดตั้งโช๊คอัพด้านบนมาให้ด้วย (Door Closer) เวลาเปิดประตูจะช่วยควบคุมแรงกระแทกไม่ให้ไปชนผนังห้องนั่นเองค่ะ ส่วนด้านข้างจะเป็นห้องอเนกประสงค์ที่กั้นพื้นที่ด้วยผนังกระจก และริมประตูอีกด้านจะเป็นตู้รองเท้า+ชั้นเก็บของค่ะ

Kitchen

Image 1/4
เคาน์เตอร์ครัวที่ได้จะประมาณนี้เลย ได้ทั้งเคาน์เตอร์ล่าง ที่เก็บของบิวท์อินด้านบน ส่วน Top จะเป็นวัสดุ Composite Stone แข็งแรง ไม่มีรูพรุน และสามารถป้องกันการดูดซึมน้ำได้ดี

เคาน์เตอร์ครัวที่ได้จะประมาณนี้เลย ได้ทั้งเคาน์เตอร์ล่าง ที่เก็บของบิวท์อินด้านบน ส่วน Top จะเป็นวัสดุ Composite Stone แข็งแรง ไม่มีรูพรุน และสามารถป้องกันการดูดซึมน้ำได้ดี

Extra area 

Image 1/4
มาดูส่วนของห้องอเนกประสงค์กันต่อ จะอยู่ริมทางเข้าเลย ตรงข้ามครัว ห้องกั้นด้วยผนังกระจก

มาดูส่วนของห้องอเนกประสงค์กันต่อ จะอยู่ริมทางเข้าเลย ตรงข้ามครัว ห้องกั้นด้วยผนังกระจก

Dining + Living

โซนกลางห้องจะเป็นพื้นที่รับประทานอาหารและ Living จัดวางการใช้งานต่อเนื่องกันเลย เราสามารถดูการจัดวางตามแบบห้องตัวอย่างเป็นไอเดียได้ค่ะ

Image 1/5
ถัดเข้าไปจากโซนครัวจะเป็นมุมว่าโต๊ะรับประทานอาหารและมุมนั่งเล่น

ถัดเข้าไปจากโซนครัวจะเป็นมุมว่าโต๊ะรับประทานอาหารและมุมนั่งเล่น

Bathroom

ห้องน้ำจะอยู่กลางห้อง เข้าทาง Living หรือจะเข้าทางห้องนอนก็ได้เช่นกัน

Image 1/11
ห้องน้ำจะเข้าออกได้ 2 ทางเป็น Double Access สุขภัณฑ์ได้ตามห้องตัวอย่างเลย

ห้องน้ำจะเข้าออกได้ 2 ทางเป็น Double Access สุขภัณฑ์ได้ตามห้องตัวอย่างเลย

Bedroom+ Balcony

ห้องนอนจะอยู่ถัดจากโซน Living กั้นเป็นอีกห้องทางด้านใน พื้นที่ค่อนข้างกว้าง วางเตียงประมาณ 5-6 ฟุตได้ ส่วนพื้นที่ปลายเตียงเหลือพอสมควร เดินผ่านไปมาได้ ไม่อึดอัด ที่สำคัญจะได้เป็นกระจก Full Height สูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานถึง 2 ด้าน ช่วยให้ห้องสว่างยิ่งขึ้น

Image 1/11
พื้นที่ข้างเตียงเหลือพอวางโต๊ะวางของเล็กๆไว้ได้

พื้นที่ข้างเตียงเหลือพอวางโต๊ะวางของเล็กๆไว้ได้

ห้อง 1 Bedroom -B7 ขนาด 40 ตารางเมตร

ต่อมาเป็นห้องรูปแบบ 1 Bedroom ขนาด 40 ตารางเมตร ส่วนแรกที่เข้ามาเจอจะเป็นพื้นที่ครัวเช่นกัน ได้บิวท์อินและเคาน์เตอร์ครัวตามมาตรฐาน ถัดเข้าไปจะเป็นพื้นที่รับประทานอาหาร ซึ่งเรามองว่าแบบห้องนี้ได้พื้นที่วางโต๊ะรับประทานอาหารไม่อึดอัดจนเกินไป และด้านในสุดจะเป็นโซน Living ที่สามารถจัดวางโซฟานั่งเล่น และโต๊ะวางทีวีได้ค่อนข้างเป็นสัดส่วนดีเลยทีเดียว ถ้าจะกั้นห้องนี้เพิ่มก็สามารถทำได้นะ ส่วนช่องแสงบานใหญ่จะมาอยู่ที่โซนนี้ ได้กระจกบานใหญ่ถึง 2 ด้านด้วยกัน

สำหรับห้องนอนจะมีประตูอยู่ตรงกลางห้อง มีพื้นที่วางเตียงใหญ่และวางโต๊ะวางของ มีมุมจัด Walk-in Closet ด้วยเช่นกัน โดยจะอยู่หน้าห้องน้ำ ซึ่งสามารถเข้าออกผ่านห้องนอนได้ทางเดียวค่ะ ด้านนอกได้ระเบียงเปิดไปชมวิวเมืองได้

บรรยากาศของห้องตัวอย่าง 1 Bedroom ขนาด 40 ตารางเมตร โดย Layout จะแตกต่างจากห้องแบบ 1 Bedroom Plus โดยจะไม่มีห้องอเนกประสงค์และพื้นที่ห้องจะยาวเข้าไปข้างใน ได้รับแสงสว่างเต็มที่เพราะได้ช่องแสงบริเวณโซนนั่งเล่นเลยค่ะ

Kitchen

Image 1/8
เคาน์เตอร์ครัวจะได้ Spec ตามมาตรฐานโครงการเหมือนห้องก่อนหน้านี้เลยค่ะ

เคาน์เตอร์ครัวจะได้ Spec ตามมาตรฐานโครงการเหมือนห้องก่อนหน้านี้เลยค่ะ

Dining + Living

ถัดเข้าไปจะเป็นโซนวางโต๊ะรับประทานอาหาร สามารถวางโต๊ะเก้าอี้ 2-3 คนนั่งได้ ซึ่งเรามองว่าไม่อึดอัดจนเกินไป และด้านในสุดจะเป็นโซนนั่งเล่นค่ะ

มองย้อนออกไปทางครัวจะประมาณนี้ ได้แสงสว่างส่องเข้ามาจากโซนนั่งเล่น ทำให้ทั้งห้องสว่าง โล่ง ไม่ต้องเปิดไฟเวลากลางวัน

Image 1/2
ด้านในสุดเป็นมุมนั่งเล่น ส่วนตัวเราชอบโซนนั่งเล่นของห้องแบบนี้ เพราะเป็นสัดส่วนดี ได้รับแสงจากผนังกระจกทั้ง 2 ด้านด้วย วางโซฟาแบบรูป L ก็ยังได้เลย ถ้าใครอยากกั้นประตูกระจกเพิ่มส่วนนี้ก็ได้นะ

ด้านในสุดเป็นมุมนั่งเล่น ส่วนตัวเราชอบโซนนั่งเล่นของห้องแบบนี้ เพราะเป็นสัดส่วนดี ได้รับแสงจากผนังกระจกทั้ง 2 ด้านด้วย วางโซฟาแบบรูป L ก็ยังได้เลย ถ้าใครอยากกั้นประตูกระจกเพิ่มส่วนนี้ก็ได้นะ

Bedroom + Balcony

ห้องนอนอยู่โซนกลางห้อง พื้นที่วางเตียง 5 ฟุตกำลังดี วางโต๊ะเล็กๆข้างเตียงได้ แต่ถ้าวางเตียง 6 ฟุตก็เหมือนกัน แต่จะได้พื้นที่ข้างเตียงที่น้อยลง

Image 1/7
ห้องนอนจะมีระเบียงด้านใน รับแสงสว่างได้อีกทาง ห้องค่อนข้างโปร่งเลยทีเดียวค่ะ

ห้องนอนจะมีระเบียงด้านใน รับแสงสว่างได้อีกทาง ห้องค่อนข้างโปร่งเลยทีเดียวค่ะ

Bathroom

Image 1/4
ห้องน้ำอยู่ทางด้านในห้องนอน เข้าออกได้ทางเดียว

ห้องน้ำอยู่ทางด้านในห้องนอน เข้าออกได้ทางเดียว

และห้องตัวอย่างห้องสุดท้ายคือ 1 Bedroom ขนาด 38.5 ตารางเมตร (B9) เราได้เก็บภาพบรรยากาศภายในห้องมาฝากกันค่ะ ใน Album นี้เลย

Image 1/17
บรรยากาศห้องตัวอย่าง 1 Bedroom ขนาด 38.5 ตารางเมตร (B9)

บรรยากาศห้องตัวอย่าง 1 Bedroom ขนาด 38.5 ตารางเมตร (B9)

 


สรุปวัสดุและของแถมภายในห้อง 

  • รูปแบบการขาย : Fully Fitted
  • พื้น : Living และห้องนอน เป็น Engineering Wood กับ Baseboard (บัวเชิงผนัง ) / ครัวเป็นกระเบื้อง Porcelain 60 x 60 เซนติเมตร / ห้องน้ำเป็น Porcelain 60 x 60 เซนติเมตร / ระเบียงเป็นกระเบื้อง Ceramic Tile 30 x 30 เซนติเมตร
  • ครัว : Built-in / เคาน์เตอร์ครัว ติด Back Coated Glass ให้ และ Top เคาน์เตอร์เป็นวัสดุ Composite Stone หรือหินสังเคราะห์ / อ่างล้างจาน / เตาไฟฟ้าของ Kueppersbusch / ที่ดูดควันของ Teka
  • ผนัง : สีขาวฉาบเรียบ / ห้องน้ำเป็น Porcelain 15 x 30 เซนติเมตร
  • ห้องน้ำ : สำเร็จรูป สุขภัณฑ์ของ Kohler , Grohe และ Kasch, ฉากกั้นอาบน้ำ Tempered Glass
  • ฝ้าเพดาน : สูง 2.7-2.8 เมตร ฉาบเรียบ ติดไฟ Down Light
  • ประตู/หน้าต่าง : ประตู Digital Door Lock / หน้าต่างและประตูกรอบอะลูมิเนียมแบบ Sahara Effect  Frame / กระจก Laminate
  • ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ แบบฝังฝ้าเพดาน (Conceal Type) (ยกเว้นบางห้อง ขึ้นอยู่กับแบบ Layout)

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ

ราคา

เชื่อว่าหลายๆคนก็น่าจะทราบอยู่แล้วว่าแบรนด์ Ashton จัดอยู่ในกลุ่ม  Luxury Class ผู้ซื้อต้องมีรายได้ต่อเดือนค่อนข้างสูง โดยอาจเป็นเจ้าของธุรกิจหรือพนักงานระดับ Senior ขึ้นไป รายได้ต่อเดือนเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 100,000-120,000 บาทขึ้นไป หรือมีกำลังผ่อนต่อเดือนที่ประมาณ 40,000-48,000 บาท (หมายเหตุ : คิดวงเงินกู้อย่างคร่าวๆที่ 60% ของรายได้ และคิดกำลังผ่อนประมาณ 40% ของรายได้)

ราคาขายเริ่มต้นของโครงการ Ashton อโศก-พระราม 9 จะสูงกว่าคอนโดมิเนียมในละแวกเดียวกัน (จริงๆ แล้วราคาคอนโดในย่านอโศก-พระราม 9 จัดว่าสูงอยู่แล้วนะ อย่างตึกเสร็จต้องกำเงินมามากกว่า 3-4 ล้านถึงจะซื้อได้) แต่โครงการนี้ราคาอัพขึ้นไปอีก ปัจจุบันเริ่มต้นที่ 7.59 ล้านบาทค่ะ (ช่วงโปรโมชัน) สำหรับห้องขนาด 35 ตารางเมตร หรือเฉลี่ยทั้งโครงการอยู่ที่ประมาณ 250,000 บาทต่อตารางเมตรเลยทีเดียว

  • 1 Bedroom 35 ตร.ม. ราคาเริ่ม 7.59 ล้านบาท
  • 1 Bedroom Plus 46 ตร.ม. ราคาเริ่ม 10.7 ล้านบาท
  • 2 Bedroom 62 ตร.ม. ราคาเริ่ม 15.2 ล้านบาท
  • Penthous 157 ตร.ม. ราคาเริ่ม 54 ล้านบาทส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ
  • ค่าส่วนกลาง 85 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน
  • ค่ากองทุน 1,000 บาท (จ่ายครั้งเดียว)

รายละเอียดค่าใช้จ่ายส่วนอื่น โปรดสอบถามจากทางโครงการอีกครั้ง

***ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ

บทสรุป

โครงการ Ahton อโศก-พระราม 9 คอนโดมิเนียมสร้างเสร็จระดับ Luxury Class ตรงหัวมุมแยกพระราม 9 ซึ่งเป็นทำเล New CBD เชื่อมต่อไปยังโซนต่างๆได้  มี MRT เป็นตัวเลือกในการเดินทาง ส่วนการออกแบบตัวอาคารก็เป็นเอกลักษณ์ตามสไตล์อนันดา ถึงจะเปิดตัวมาในราคาสูงกว่าคอนโดในทำเลเดียวกัน แต่ก็เป็นการเลือกกลุ่มผู้อยู่อาศัยไปด้วย ที่นี่ได้ Facility ค่อนข้างเยอะ สามารถเลือกใช้งานได้ทั้ง 2 อาคาร โดยมีแนวคิดการออกแบบที่ชัดเจน เน้นวิวสวย ตัวห้องเน้นที่ขนาด 35 ตร.ม. ขึ้นไปอยู่สบายไม่อึดอัด ทุกห้องเป็นห้องมุมและให้วัสดุมาเหมาะกับการใช้งานในแต่ละส่วน ตัวอาคารมีระบบ Airflow Ventilation เปิดเป็นโถง Atrium ทุก 10 ชั้น ช่วยเรื่องการระบายอากาศและยังได้โถงแบบ Single Corridor ถือเป็นจุดเด่นของโครงการนี้ค่ะ