เตรียมเข้าสู่ปีใหม่ 2568 กันแล้วนะคะ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอด 1 ปีที่ผ่านมาปี 2567 เป็นปีที่ไม่ง่ายเลยสำหรับตลาดอสังหาฯ ไม่ว่าจะผู้ขายหรือผู้ซื้อ ในภาพรวมของเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวย่อมเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญมาก ทำให้มีปัญหากำลังซื้อที่ลดลงของผู้บริโภค ผู้บริโภคส่วนใหญ่ชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้าฟุ่มเฟือย และสินค้าที่ไม่ใช่ปัจจัยสี่ รวมถึงสินค้าชิ้นใหญ่ที่มีราคาสูงและเป็นหนี้ผูกพันระยะยาว และชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไป
แต่ถ้าหากพิจารณาตามข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จะพบว่าแม้ภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ไตรมาส 2 – 3 ปี 2567 จะยังคงติดลบเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ถือว่าติดลบน้อยกว่าไตรมาส 1 ปี 2567 สะท้อนถึงตลาดที่อยู่อาศัยมีสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง แม้จะมีการชะลอแผนการซื้อที่อยู่อาศัยออกไป แต่ไม่ได้หมายความว่า ดีมานด์ที่อยู่อาศัยในตลาดจะลดลงไปทั้งหมด จนไม่มีการซื้อขายหรือความต้องการเลยเสียทีเดียว ตรงกันข้ามดีมานด์ในบางกลุ่มราคา ในบาง Segment กลับเติบโตขึ้นในทุกๆ ปี ดังนั้นที่ผ่านมาบริษัทอสังหาริมทรัพย์จำนวนไม่น้อย จึงยังคงพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อออกมารองรับดีมานด์ในตลาดนี้อย่างต่อเนื่องกันอยู่เช่นกัน
รวมถึงภาครัฐก็พยายามส่งเสริมนโยบายต่างๆเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ แม้ว่าโดยภาพรวมหลายคนมองว่ายังไม่คึกคักเท่าปีก่อนเกิดโควิท แต่เราก็ได้เห็นการพัฒนาโครงการ การสร้างแบรนด์ใหม่ เปิดตัวโครงการใหม่กันอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนอัดโปรโมชันต่างๆเพื่อมาช่วยสร้างยอดขายยอดโอนให้ได้มากที่สุดเพื่อกระตุ้นการซื้อขายเท่าที่จะทำได้เช่นกัน
จากสถานการณ์ตลอดทั้งปี เราจึงนำตัวเลขภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูงในปี 2567 โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้สำรวจข้อมูลอุปสงค์และอุปทานตลาดที่อยู่อาศัยมาให้ชมกัน เพื่อเป็นข้อมูลให้มองเห็นสภาพตลาดที่อยู่อาศัยว่าจะมีผลต่อการพัฒนาโครงการในอนาคตว่าจะเดินหน้าไปในทิศทางใด เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการผู้บริโภค เราไปดูสรุปสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพและปริมณฑลที่ผ่านมากันค่ะ
สรุปตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 2567 และแนวโน้ม 2568
ภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ไตรมาส 2 – 3 ปี 2567 ยังคงติดลบเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ถือว่าติดลบน้อยกว่าไตรมาส 1 ปี 2567 สะท้อนถึงตลาดที่อยู่อาศัยมีสัญญาณการฟื้นตัวขึ้น หลังจากได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% ให้กับที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท จากเดิมไม่เกิน 3 ล้านบาทเท่านั้น จึงทำให้ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด ในขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวันของปีก่อน
ภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภท (รวมอาคารชุด และที่อยู่อาศัยแนวราบ) ไตรมาส 3 ปี 2567 มีจำนวนหน่วยและมูลค่าลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีจำนวนหน่วย 90,628 หน่วย ลดลงร้อยละ -4.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 94,946 หน่วย และมีมูลค่า 253,252 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -5.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่า 267,655 ล้านบาท
“มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% มีผลช่วยทำให้การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในไตรมาส 2 และ ไตรมาส 3 ติดลบน้อยลง โดยเห็นได้จากไตรมาส 1 ปี 2567 จำนวนหน่วยและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ ติดลบร้อยละ -13.8 และร้อยละ -13.4 แต่ในไตรมาส 2 การโอนกรรมสิทธิ์ ติดลบน้อยลง โดยจำนวนหน่วยและมูลค่าติดลบร้อยละ -4.5 และร้อยละ -5.7 และในไตรมาส 3 การโอนกรรมสิทธิ์ จำนวนหน่วยและมูลค่าติดลบร้อยละ -4.5 และมูลค่าลดลงร้อยละ -5.4”
ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบ ไตรมาส 3 ปี 2567 เมื่อรวมทุกระดับราคา ที่อยู่อาศัยแนวราบในไตรมาส 3 ปี 2567 มีการโอนลดลงทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยมีจำนวน 59,381 หน่วย ลดลงร้อยละ -9.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำวน 65,905 หน่วย และมีมูลค่า 173,968 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -7.0 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีมูลค่า 186,982 ล้านบาท
แต่ที่อยู่อาศัยแนวราบในกลุ่มราคามากกว่า 10.00 ล้านบาท ขึ้นไป แม้ไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการฯ แต่ก็เป็นเพียงกลุ่มระดับราคาเดียวที่มีการโอนเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าโดยมีจำนวน 1,715 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีจำนวน 1,625 หน่วย และมีมูลค่า 36,642 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีมูลค่า 34,392 ล้านบาท
การโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด ไตรมาส 3 ปี 2567 เมื่อรวมทุกระดับราคา อาคารชุดโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 3 ปี 2567 มีจำนวนรวม 31,247 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีการโอนจำนวน 29,041 หน่วย แต่มีมูลค่า 79,284 ล้านบาท มูลค่าลดลงร้อยละ -1.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีมูลค่า 80,673 ล้านบาท
ทั้งนี้ อาคารชุดในกลุ่มระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการฯ มีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 29,883 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งมีจำนวน 27,391 หน่วย และมีมูลค่า 59,271 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีมูลค่า 55,933 ล้านบาท .แต่อาคารชุด ในกลุ่มราคามากกว่า 7.5 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากมาตรการฯ ในไตรมาส 3 ปี 2567 มีการโอนกรรมสิทธิ์ลดลง โดยมีจำนวน 1,364 หน่วย ลดลงร้อยละ -17.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งมีจำนวน 1,650 หน่วย และมีมูลค่า 20,013 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -19.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีมูลค่า 24,740 ล้านบาท
การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย สะสม 3 ไตรมาส ปี 2567 (ม.ค. – ก.ย.2567) พบว่า เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 3 ปี 2567 โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภท (รวมอาคารชุด และที่อยู่อาศัยแนวราบ จำนวนหน่วยรวม 250,580 หน่วย ลดลงร้อยละ -7.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 270,650 หน่วย และมีมูลค่า 705,389 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -8.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 766,971 ล้านบาท โดยเป็นการลดลงของที่อยู่อาศัยแนวราบ มีจำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -12.8 มูลค่าลดลงร้อยละ -9.2 ลดลงทุกระดับราคา ยกเว้นกลุ่มระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท ที่อยู่อาศัยแนวราบมีการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.6
มีข้อสังเกตว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบ สะสม 3 ไตรมาส ปี 2567 มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสอง มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 71 ของการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบทั้งหมด และมีมูลค่าในสัดส่วนร้อยละ 52 ซึ่งเป็นผลมาจากราคาที่ดินและต้นทุนค่าก่อสร้างที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาขายบ้านสร้างใหม่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่บ้านมือสองมีราคาที่ต่ำกว่าบ้านสร้างใหม่ในขนาดและทำเลเดียวกัน (ราคาเฉลี่ยของการโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ มีราคาอยู่ที่ 4.87 ล้านบาทต่อหน่วย ส่วนบ้านมือสองราคาเฉลี่ยของการโอนกรรมสิทธิ์ มีราคา 2.16 ล้านบาท) แต่สำหรับ “อาคารชุดสร้างใหม่” มีการโอนกรรมสิทธิ์ในสัดส่วนมากกว่า “อาคารชุดมือสอง” โดยมีสัดส่วนจำนวนหน่วยร้อยละ 54 ของจำนวนอาคารชุดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด และมีมูลค่าในสัดส่วนร้อยละ 67
แต่การโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุด สะสม 3 ไตรมาส ปี 2567 มีจำนวนหน่วย 83,209 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 78,813 หน่วย แต่มีมูลค่า 212,753 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -5.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่า 224,533 ล้านบาท ทั้งนี้ จำนวนหน่วยที่เพิ่มขึ้นมาจากการโอนอาคารชุดกลุ่มราคาไม่เกิน 3.00 ล้านบาท ที่มีจำนวน 64,524 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 58,238 หน่วย และมีมูลค่า 91,110 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่า 82,723 ล้านบาท แต่ในขณะที่ กลุ่มระดับราคามากกว่า 3.00 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยและมูลค่าลดลง โดยมีจำนวน 18,685 หน่วย ลดลงร้อยละ -9.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีจำนวน 20,575 หน่วย และมีมูลค่า 121,643 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -14.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่า 141,810 ล้านบาท
REIC คาดการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ทั่วประเทศ ปี 2567 ทั้งปี จะมีจำนวนประมาณ 350,545 หน่วย ลดลงร้อยละ -4.4% แบ่งเป็น ที่อยู่อาศัยแนวราบ 243,088 หน่วย ลดลงร้อยละ -6.0 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -15.4 ถึงร้อยละ 3.3 และอาคารชุด 107,456 หน่วย ลดลงร้อยละ -0.6 ส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าจะมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภทจำนวน 1,012,760 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -3.3 โดยที่อยู่อาศัยแนวราบ จะมีมูลค่า 717,052 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -3.4 ด้านอาคารชุด จะมีมูลค่า 295,707 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -2.9
สำหรับแนวโน้มปี 2568 คาดว่าจะมีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจำนวน 363,600 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -4.5 ถึงร้อยละ 12.3 ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบ 254,520 หน่วย เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.7 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -1.4 ถึงร้อยละ 16.0 และอาคารชุด 109,080 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -11.6 ถึงร้อยละ 3.9 ส่วนมูลค่าคาดว่าจะมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทุกประเภทจำนวนประมาณ 1,043,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -8.6 ถึงร้อยละ 12.0 โดยที่อยู่อาศัยแนวราบ จะมีมูลค่า 739,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -7.2 ถึงร้อยละ 13.8 ด้านอาคารชุด จะมีมูลค่า 303,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -12.7 ถึงร้อยละ 7.8
โดยทาง REIC ได้มีการคาดการณ์สถานการณ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2567 และแนวโน้มปี 2568 REIC คาดว่าปี 2567 ทั้งปี จะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ประมาณ 85,195 หน่วย ลดลงร้อยละ -11.4 จากปี 2566 และมีมูลค่าประมาณ 528,396 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -11.4 ส่วนปี 2568 คาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ ประมาณ 89,655 หน่วย เพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.2 จากปี 2567 และมีมูลค่าประมาณ 541,392 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 โดยมีสาเหตุจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดที่อยู่อาศัย
สำหรับโครงการเปิดขายใหม่ในช่วงระหว่างปี 2567 ทาง Think of Living ได้มีการรวบรวมรายละเอียดโครงการเปิดขายใหม่ในแต่ละเดือน พร้อมบทวิเคราะห์แยกรายโครงการ ว่ามีความน่าสนใจไว้อย่างไรบ้าง พบว่าตลอดระยะเวลาตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงปลายปีนั้น มีการเปลี่ยนแปลงของการเปิดโครงการใหม่ในแต่ละเดือนที่แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมา โดยเราจะแบ่งตามประเภทของที่อยู่อาศัย และแบ่งเป็น 3 ช่วง ในปี 2567 ที่ผ่านมาเพื่อให้มองเห็นภาพรวมในการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงของปีที่ผ่านมาได้ง่ายขึ้น
**ทีมงานจะใช้ข้อมูลอ้างอิงตามประเภท Segment ของคอนโดมิเนียมและบ้านแนวราบ ของ Think of Living นะคะ (อ่านรายละเอียดของ Segment บ้านและคอนโดปี 2022 ได้ที่นี่ )
สำหรับใครที่สนใจอ่านรายละเอียด รวมโครงการเปิดใหม่! ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปี 2567 แยกเป็นรายเดือนแบบเจาะลึก สามารถคลิกชมได้ที่ คลิกที่นี่
บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเปิดใหม่เดือนมกราคม 2567
สรุปภาพรวมโครงการเปิดใหม่! ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ช่วงเดือน มกราคม – เมษายน 2567 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในช่วงต้นปี 2567 พบว่า
โครงการแนวราบเปิดตัวใหม่
- เดือนมกราคม โครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเปิดใหม่มีบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเปิดตัวมาทั้งหมด 12 โครงการ ตั้งแต่ระดับ Main Class ราคาเริ่มต้น 4 ล้านบาท ไปจนถึง Super Luxury Class ราคา 180 ล้านบาท มีความหลากหลายของระดับราคาสูง ขาดแค่บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับ Economy Class ที่ราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 4 ล้านบาท ซึ่งก็ถือว่าหาได้ยากแล้ว โครงการทาวน์โฮมเปิดใหม่ทั้งหมด 9 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นโครงการในระดับ Main Class ราคาเริ่มต้น 2 – 4 ล้านบาท มีบ้างที่ขึ้นไปเป็น Upper Class ราคาเริ่มต้น 4 ล้านบาทขึ้นไป และ Home Office 1 โครงการ โดย Developer ที่มีโครงการทาวน์โฮมเปิดใหม่มากที่สุดในเดือนนี้คือ AP Thailand มีทั้งหมด 4 โครงการ
- เดือนกุมภาพันธ์ มีโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านเดี่ยวที่มีบ้านแฝดรวมอยู่ด้วย เปิดตัวมาทั้งหมด 13 โครงการ ตั้งแต่ระดับ Economy Class ราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท ไปจนถึง Super Luxury Class ราคา 80 ล้านบาท มีความหลากหลายของ Segment และกระจายไปตามทำเลต่างๆในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โครงการทาวน์โฮมเปิดใหม่ทั้งหมด 6 โครงการ มีโครงการบ้านแฝดทั้งหมด 3 โครงการ, บ้านแฝดและทาวน์โฮม 2 โครงการและ ทาวน์โฮมอย่างเดียว 1 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นบ้านใน Segment Economy – Main Class ราคาเริ่มต้นไม่เกิน 4 ล้านบาท
- เดือนมีนาคม ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมามีโครงการบ้านเดี่ยวเปิดใหม่ทั้งหมด 13 โครงการ ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง Upper Class ราคาเริ่มต้น 7 – 15 ล้านบาท ซึ่งเป็น Segment ยอดฮิตของบ้านเดี่ยวเลยก็ว่าได้ และเราเริ่มมองเห็นว่ามีบ้านเดี่ยว Main Class ในทำเลชานเมืองมากขึ้น ทำเลที่น่าสนใจคือ ‘กรุงเทพกรีฑา’ เป็นย่านที่มีการพัฒนาค่อนข้างมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยในเดือนที่ผ่านมามีโครงการเปิดใหม่ 2 โครงการใน Segment Upper Class ราคาเริ่ม 10 ล้านต้นๆ โครงการบ้านแฝดเปิดใหม่ทั้งหมด 6 โครงการ เป็นโครงการที่มีบ้านเดี่ยวเป็นตัวเลือกด้วย 5 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ Economy Class หรือราคาเริ่มต้นไม่เกิน 4 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียว ส่วนโครงการทาวน์โฮมเปิดใหม่ทั้งหมด 9 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นโครงการในระดับ Main Class ราคาเริ่มต้น 2 – 4 ล้านบาท ในทำเลรอบเมือง มีบ้างที่ขยับเข้ามาอยู่ในเมืองซึ่งจะมีราคาที่สูงขึ้นอยู่ในช่วง Upper – High Class ราคาเริ่มต้น 5 – 10 ล้านบาท
- เดือนเมษายน มีโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด เปิดใหม่หม่ทั้งหมด 14 โครงการ ตั้งแต่ระดับ Main Class ราคาเริ่มต้นประมาณ 4 ล้านบาท ไปจนถึง Super Luxury Class ราคาเริ่มต้น 58 ล้านบาท มีความหลากหลายของ Segment และกระจายไปตามทำเลต่างๆในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยโครงการบ้านหรูเปิดใหม่ 1 โครงการคือ Terra Haus วิภา-พหล 21 จาก บริษัท บิลท์แลนด์ จำกัด (มหาชน) ในส่วนของ Developer ที่เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดมากที่สุดในเดือนนี้ก็คือ AP Thailand เปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 3 แห่ง แบรนด์ The City ทั้งหมด ในระดับราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาทขึ้นไป โครงการทาวน์โฮมเปิดใหม่ทั้งหมด 6 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นโครงการในระดับ Main Class ราคาเริ่มต้น 2 – 4 ล้านบาท โดยมี 4 ใน 6 โครงการจะอยู่ในกลุ่มเริ่มต้นไม่เกิน 3 ล้านบาท อยู่ในทำเลรอบเมือง มีบ้างที่ขยับเข้ามาอยู่ในเมืองซึ่งจะมีราคาที่สูงขึ้นอยู่ในช่วง High Class ราคาเริ่มต้น 7 – 15 ล้านบาท ส่วนถ้าใครมองหาทาวน์โฮมที่มีพื้นที่ใช้สอยเยอะขึ้นหน่อย ในเดือนนี้มีโครงการทาวน์โฮมสูง 3 – 3.5 ชั้น เปิดใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ บ้านกลางเมือง นอร์ธ ราชพฤกษ์ และ BRITLOFT โชคชัย 4 ราคาเริ่มต้น 4.59 – 12.9 ล้านบาท
โครงการคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่
- เดือนมกราคม ในเดือนที่ผ่านมามีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ 4 โครงการ มีความน่าสนใจในแง่ของทำเลทั้งหมดเลยโครงการ 3 แห่งตั้งอยู่บนทำเลเอกมัย-ทองหล่อ ซึ่งเราไม่ค่อยได้เห็นทำเลนี้เปิดโครงการใหม่ๆมาสักพักใหญ่แล้ว และอีก 1 แห่งอยู่ในทำเลติด ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต
- เดือนกุมภาพันธ์ โดยในเดือนที่ผ่านมามีโครงการเปิดใหม่จาก Developer ที่เราเก็บข้อมูลเพียง 2 โครงการเท่านั้น เป็นระดับ Main Class ทั้งคู่เลย ราคาเริ่มต้น 2 – 3 ล้านบาท หรืออยู่ในช่วง 80,000 – 120,000 บาท/ตร.ม.
- เดือนมีนาคม ในเดือนที่ผ่านมามีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ทั้งหมด 9 โครงการ ในทำเลกระจายอยู่รอบๆ เมือง ใกล้รถไฟฟ้า เดินทางเข้าเมืองและย่านชุมชนสะดวก เป็นโครงการระดับ Super Economy – Economy ราคาเริ่มต้น 1 – 2 ล้านบาท หรือไม่เกิน 80,000 บาท/ตร.ม. อยู่ 7 โครงการ (คิดเป็นประมาณ 77%) เลยทีเดียว และมีคอนโดต่ำกว่า 1 ล้านบาทราคาต่อตารางเมตรต่ำกว่า 50,000 บาท อยู่ในทำเลรอบนอกของเมือง ราคาเริ่มต้น 900,000 บาท/ยูนิต ในเดือนนี้มีให้เลือก 2 โครงการ
- เดือนเมษายน มีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ทั้งหมด 4 โครงการ ถือว่าไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่นักมาตั้งแต่ช่วงต้นปี โดยส่วนใหญ่ถ้าไม่เน้นที่ราคาเข้าถึงง่ายไปเลย ก็จะเน้นระดับ Super Luxury Class ไปเลย โดยบริษัท Major Development ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมหรู (Super Luxury Class) ใจกลางเมืองถึง 2 แห่งในเดือนนี้ คือโครงการ MUNIQ พร้อมพงษ์ ตามมาด้วยโครงการ MUNIQ เจริญกรุง
บ้านเดี่ยว บ้านแฝดเปิดใหม่เดือนพฤษภาคม 2567
สรุปภาพรวมโครงการเปิดใหม่! ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ช่วงเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม 2567 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในช่วงกลางปี 2567 พบว่า
โครงการแนวราบเปิดตัวใหม่
- เดือนพฤษภาคม เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเปิดใหม่ทั้งหมด 13 โครงการ ในทุก Segment ตั้งแต่ Economy Class ราคาเริ่มต้น 3.79 ล้านบาท ไปจนถึง Super Luxury Class ราคาเริ่มต้น 59 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับ Upper Class ราคาเริ่มต้น 7 – 15 ล้านบาท ถ้าใครที่มองหาบ้านที่ราคาจับต้องง่าย มีโครงการเดียวในย่านราชพฤกษ์ คือ เอวาริส ราชพฤกษ์ตัดใหม่ ส่วน Developer เจ้าใหญ่ๆ เปิดตัวโครงการมากกว่า 1 แห่ง เช่น Frasers Property, SC Asset, AP Thailand และที่เปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุด คือ Sansiri จำนวนถึง 4 โครงการ มาที่โครงการทาวน์โฮมเปิดใหม่ 9 แห่ง เป็นโครงการในระดับ Main Class 6 โครงการ (ประมาณ 67%) Upper Class 1 โครงการ (ประมาณ 11 %) และ High Class 2 โครงการ (ประมาณ 22%) ยิ่งทำเลใกล้เมืองยิ่งมีราคาที่สูงขึ้นตามลำดับ
- เดือนมิถุนายน มีโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเปิดใหม่ทั้งหมด 20 โครงการ ถือว่ามีการเปิดตัวเยอะที่สุดในรอบครึ่งปีที่ผ่านมา เป็นโครงการที่มีบ้านเดี่ยวอย่างเดียว 13 แห่ง, บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 6 แห่งและบ้านแฝดอย่างเดียว 1 แห่ง ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ใน Segment Upper Class ราคาเริ่มต้น 7 – 15 ล้านบาท รองลงมาเป็น Main Class ในโครงการที่มีบ้านแฝดอยู่ด้วย และ High Class ในโครงการบ้านเดี่ยวทำเลใกล้เมืองมากขึ้น โดยบ้านที่ราคาจับต้องง่ายที่สุดในเดือนนี้อยู่ในระดับ Main Class ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท ในทำเลโซนนอกของกรุงเทพฯ มีทั้งหมด 4 โครงการ ในส่วนของโครงการทาวน์โฮมเปิดใหม่ทั้งหมด 5 โครงการ เป็นโครงการในระดับ Main Class ราคาเริ่มต้น 2 – 4 ล้านบาททั้งหมด อยู่ในทำเลรอบเมือง โดยจะมีทาวน์โฮมที่ราคาเข้าถึงง่าย เริ่มต้นไม่เกิน 3 ล้านบาท มีให้เลือก 3 โครงการ ทำเลแถวคลองรังสิต บางชัน และเพชรเกษม
- เดือนกรกฎาคม เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเปิดใหม่ทั้งหมด 15 โครงการ เป็นโครงการที่มีบ้านเดี่ยวอย่างเดียว 11 แห่ง, บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 3 แห่งและบ้านแฝดอย่างเดียว 1 แห่ง แต่ในเดือนนี้มีความน่าสนใจตรงที่มีโครงการ ‘บ้านเดี่ยว’ ระดับ High Class ขึ้นไปถึง 9 โครงการ (คิดเป็น 60%) และถ้านับเฉพาะ Super Luxury – Ultimate Class ราคาบ้าน 45 ล้านบาทขึ้นไป ก็มีให้เลือกเยอะถึง 6 โครงการ (คิดเป็น 40%) เลยทีเดียวค่ะ ซึ่งในเดือนก่อนๆ บ้านเดี่ยวส่วนใหญ่มักจะอยู่ในระดับ Segment Upper Class ราคาเริ่มต้น 7 – 15 ล้านบาท ส่วนโครงการทาวน์โฮมเปิดใหม่ทั้งหมด 6 โครงการ ในหลากหลายระดับราคา ตั้งแต่ Main Class ราคาเริ่มต้น 2 – 4 ล้านบาท อยู่ 2 โครงการ ไปจนถึง Luxury Class ราคา 15 – 30 ล้านบาท มีโครงการเปิดใหม่ 1 แห่งบนทำเลลาดพร้าว โครงการ MILFORD ลาดพร้าว – รามคำแหง เด่นที่พื้นที่ใช้สอยเทียบเท่าบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่เลย
- เดือนสิงหาคม มีโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเปิดใหม่ทั้งหมด 17 โครงการ เป็นโครงการที่มีบ้านเดี่ยวอย่างเดียว 9 แห่ง, บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 6 แห่ง บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม 1 แห่ง และบ้านแฝดอย่างเดียว 1 แห่ง มีให้เลือกตั้งแต่ Economy Class ราคาเริ่มต้นไม่เกิน 4 ล้านบาท ไปจนถึง High Class ราคาเริ่มต้น 15 – 30 ล้านบาท สำหรับบ้านเดี่ยวหรือบ้านแฝดที่ราคาเข้าถึงง่าย เริ่มต้นไม่เกิน 4 ล้านบาท มีให้เลือก 2 โครงการ บนทำเลเดียวกัน ‘รังสิต-นครนายก’ อีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจ เป็นบ้านเดี่ยวบนทำเลริมโค้งแม่น้ำท่าจีน ‘CHANN The Riverside Boromratchachonnani (ฌาน เดอะ ริเวอร์ไซด์ บรมราชชนนี)’ จาก AssetWise มีราคาสูงที่สุด เป็นบ้านเดี่ยววิวแม่น้ำถือว่าหายากทีเดียว สำหรับโครงการทาวน์โฮมเปิดใหม่ทั้งหมด 14 โครงการ ซึ่งถือว่าเปิดตัวมาค่อนข้างเยอะ ในหลากหลายระดับราคาเลยทีเดียว ตั้งแต่ Economy Class ราคาเริ่มต้นไม่เกิน 2 ล้านบาท ไปจนถึง Super Luxury Class ราคา 30 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งจะมีกลุ่มราคา Super Luxury Class ทั้งหมด 2 แห่ง เป็น Home Office ทั้งคู่ อยู่บนทำเลใกล้ๆ กัน บนย่าน ‘อ่อนนุช – อุดมสุข’
โครงการคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่
- เดือนพฤษภาคม ในเดือนที่ผ่านมามีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ Upper Class ราคาเฉลี่ยประมาณ 120,000 – 160,000 บาท/ตร.ม. เริ่มต้นประมาณ 3 – 5 ล้านบาท ในทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน โดยมีโครงการที่มีราคาเริ่มต้นจับต้องง่ายที่สุดในเดือนนี้ มี 2 โครงการ ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท หรือผ่อนต่อเดือนไม่เกิน 9,000 บาทเท่านั้น
- เดือนมิถุนายน คอนโดมิเนียมเปิดใหม่ 4 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นคอนโดระดับ Main Class ราคาประมาณ 80,000 – 120,000 บาท/ตร.ม. ราคาห้องอยู่ในช่วง 1.75 – 2.5 ล้านบาท โดยทำเลที่ยังคงมีความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมอยู่เรื่อยๆ ก็คือทำเลใกล้มหาวิทยาลัย โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามีคอนโดเปิดใหม่ใกล้มหาวิทยาลัย 2 แห่ง ย่านบางมด และเกษตรฯ
- เดือนกรกฎาคม ในเดือนที่ผ่านมามีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่เพียง 4 โครงการ ค่อนข้างน้อยเลย แสดงถึงภาวะตลาดคอนโดที่ยังไม่กลับมาคึกคัก ลากยาวมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 ซึ่งในเดือนนี้มีโครงการใหม่จาก Origin ถึง 3 แห่ง (คิดเป็น 75%) เลยทีเดียว โดยจุดเด่นของโครงการจาก Origin คือทำเลใกล้รถไฟฟ้า เป็นโครงการ Pet Friendly และห้องพักอาศัยแบบ Loft (ฝ้าเพดานสูง)
- เดือนสิงหาคม มีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ 5 โครงการ มีให้เลือกตั้งแต่ Super Economy Class ราคาเริ่มต่ำกว่า 1 ล้านบาทหรือน้อยกว่า 50,000 บาท/ตร.ม. ไปจนถึงโครงการระดับ Ultimate Class ตารางเมตรละ 1,000,000 บาท เริ่มต้นประมาณ 525 ล้านบาท สำหรับโครงการที่มีราคาเข้าถึงได้ง่ายสุดในเดือนนี้ เป็นโครงการย่านรังสิต – คลองหลวง ‘เพลิน เพลิน GEN WIDE รังสิต – คลองหลวง’ จาก วิถีไทย เรียลเอสเตท ราคาเริ่มต้นเพียง 990,000 บาท ส่วนคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวราคาสูงที่สุดก็คือ Porsche Design Tower Bangkok (ปอร์เช่ ดีไซน์ ทาวเวอร์ แบงคอก) จาก Porsche Design และ Ananda Development ในราคาประมาณ 525 – 1,400 ล้านบาท
บ้านเดี่ยว และบ้านแฝดเปิดใหม่เดือนกันยายน 2567
สรุปภาพรวมโครงการเปิดใหม่! ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ช่วงเดือน กันยายน – พฤศจิกายน 2567 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในช่วงปลายปี 2567 พบว่า
โครงการแนวราบเปิดตัวใหม่
- เดือนกันยายน มีโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเปิดใหม่ทั้งหมด 13 โครงการ เป็นโครงการที่มีบ้านเดี่ยวอย่างเดียว 10 แห่ง, บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 2 แห่ง และบ้านแฝดอย่างเดียว 1 แห่ง Segment ตั้งแต่ Main Class ราคาเริ่มต้นไม่เกิน 4 – 7 ล้านบาท ไปจนถึง Ultimate Class ราคาเริ่มต้น 104 ล้านบาท ถ้าใครมองหาบ้านที่ราคาเข้าถึงง่าย มีงบประมาณตัวบ้านที่ 4 ล้านบาท มีให้เลือก 2 โครงการ แต่ถ้าคนที่สนใจบ้านเดี่ยวหรูใจกลางเมือง ในระดับ Ultimate Class ย่านทองหล่อ-พระโขนง ก็จะมีโครงการ THE MAX เอกมัย ราคาเริ่มต้น 104 – 153 ล้านบาท ที่มาพร้อมห้องรับรอง Duplex Super Car ส่วนโครงการทาวน์โฮมเปิดใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ เป็นโครงการทาวน์โฮมอย่างเดียว 5 แห่ง และทาวน์โฮมรวมกับบ้านแฝด 2 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เน้นราคาเข้าถึงง่าย ในทำเลชานเมืองที่เดินทางเข้าเมืองได้สะดวก จึงอยู่ใน Segment Economy – Main Class ราคาเริ่มต้นไม่เกิน 4 ล้านบาท และมีโครงการทาวน์โฮม 3.5 ชั้น ในเมืองอีก 1 แห่ง ที่ทำราคาเริ่มต้นออกมาประมาณ 32 – 45 ล้านบาท
- เดือนตุลาคม เดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีโครงการบ้านแนวราบ 26 โครงการ (ประมาณ 72%) มีโครงการเปิดใหม่ในหลาย Segment ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 999,000 บาท ไปจนถึง 4.5 ล้านบาท ทางฝั่งบ้านแนวราบ โครงการบ้านเดี่ยว อย่างเดียว (ไม่มีบ้านแฝดและทาวน์โฮมร่วมโครงการ) เปิดใหม่เยอะที่สุด จำนวน 19 โครงการ หรือคิดเป็น 73% ของบ้านแนวราบ เปิดใหม่ในทุกระดับราคาตั้งแต่ Main Class ขึ้นไป โดยมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 3.99 ล้านบาทไปจนถึง 120 ล้านบาท โดยโครงการที่ราคาสูงที่สุดคือ SMYTH’S เกษตร – นวมินทร์ ส่วนทำเลโครงการเปิดใหม่กระจายทั่วพื้นที่กรุงเทพรอบนอกที่ยังคงเดินทางเชื่อมต่อกับในเมืองได้สะดวกด้วยรถยนต์ส่วนตัว โดยราคาของบ้านแปรผันตามมูลค่าที่ดินในทำเลนั้นๆ ส่วนโครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝด เปิดใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ ในหลากหลายระดับราคา ตั้งแต่ Economy Class ราคาเริ่มต้นน้อยกว่า 4 ล้านบาท ไปจนถึง Luxury Class ราคา 40 ล้านบาท
- เดือนพฤศจิกายน มีโครงการบ้านเดี่ยวเปิดใหม่ทั้งหมด 6 โครงการ เป็นโครงการที่มี ‘บ้านเดี่ยว’อย่างเดียวทั้งหมดเลยมีความน่าสนใจตรงที่มีโครงการ ‘บ้านเดี่ยว’ ระดับ Super Luxury – Ultimate Class ราคาเริ่มต้น 40 – 100 ล้านบาท เปิดใหม่ถึง 3 โครงการหรือคิดเป็น 50% ทำเลโครงการบ้านหรูเปิดใหม่จะอยู่ที่ย่านกรุงเทพกรีฑา, บางนา ส่วนโครงการอื่นๆ จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพรอบนอกที่ยังคงเดินทางเชื่อมต่อกับในเมืองได้สะดวกด้วยรถยนต์ส่วนตัว โดยราคาของบ้านแปรผันตามมูลค่าที่ดินในทำเลนั้นๆ ส่วนโครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดเปิดใหม่ทั้งหมด 5 โครงการ (มีทาวน์โฮมร่วมกับบ้านแฝดเพียง 1 โครงการ) เป็นโครงการที่อยู่ในระดับ Luxury Class ถึง 3 โครงการ (คิดเป็น 60%) เลยทีเดียว ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 14.9 – 40 ล้านบาท เรียกได้ว่าช่วงปลายปีนี้เป็นการเปิดตัวของโครงการระดับราคาแพงก็ว่าได้
โครงการคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่
- เดือนกันยายน มีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ 4 โครงการ มีให้เลือกตั้งแต่ ที่จับต้องง่ายในกลุ่ม Economy Class ราคาเริ่มต่ำกว่า 1.7 ล้านบาทหรือประมาณ 50,000 – 70,000 บาท/ตร.ม.ในเดือนกันยายนมีให้เลือก 2 โครงการ และระดับ Main Class ตารางเมตรละ 95,000 – 100,000 บาท ราคาเริ่มต้นไม่เกิน 3 ล้านบาท อีก 2 โครงการ โดยทั้งหมดจะอยู่ในทำเลอิงกับสถานีรถไฟฟ้าทั้งหมด
- เดือนตุลาคม เดือนนี้มีจำนวนคอนโดมิเนียมเปิดใหม่เยอะกว่าเดือนก่อนๆ โดยเปิดตัวมาทั้งหมด 10 โครงการ มีให้เลือกตั้งแต่ Super Economy Class ราคาเริ่ม 999,000 บาทหรือประมาณ 42,000 บาท/ตร.ม. ไปจนถึงระดับ High Class ตารางเมตรละ 160,000 บาท ราคาเริ่มต้นไม่เกิน 5 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะอยู่ในทำเลใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า โครงการที่เป็นกระแสจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Nue EPIC อโศก – พระราม 9 จาก Noble Development มีความน่าสนใจด้วยทำเลใกล้ Mrt พระราม 9 และ Central พระราม 9 ในระยะเดินไปได้ และราคาที่ทำออกมาในระดับ Main Class (ประมาณ 100,000 – 120,000 บาท/ตร.ม.) เริ่มต้น 2.59 ล้านบาทเท่านั้น
- เดือนพฤศจิกายน ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่เพียง 3 แห่ง ในระดับ Economy Class ราคาเริ่มต้น 1.69 – 1.79 ล้านบาททั้งหมดเลย เป็นโครงการจากแสนสิริ 2 โครงการ และ AP Thailand 1 โครงการ ซึ่งทำเลจะอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้ามากนัก ที่มีความน่าสนใจก็คือคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ จาก AP Thailand ‘GOOD DAY Sukhumvit 93 (กู๊ดเดย์ สุขุมวิท 93)’ ที่ทำออกมาใน Segment เดียวกับ dcondo ที่จะเข้ามาเจาะกลุ่มคนซื้อที่มองหาคอนโดที่คุ้มค่า ราคาเข้าถึงได้ง่ายกลุ่มนี้
ประเภทและระดับราคาที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จเหลือขาย (Inventory) ที่ควรระมัดระวังในการพัฒนา REIC มีข้อสังเกตประเภทที่อยู่อาศัย และระดับราคาที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จเหลือขาย หรือที่เรียกว่า Inventory ที่ผู้ประกอบการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยควรระมัดระวังในการเพิ่มอุปทานกลุ่มเหล่านี้เข้าไปในตลาดจนทำให้ความเร็วในการขายลดลง ได้แก่
บ้านเดี่ยว ควรระมัดระวังในกลุ่มราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 2,559 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32.7 ของบ้านเดี่ยวที่สร้างเสร็จเหลือขายทั้งหมด 7,815 หน่วย และระดับราคา 10.01 – 20 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 1,620 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.7
บ้านแฝด ควรระมัดระวังในกลุ่มราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 2,418 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 50.8 ของบ้านแฝดที่สร้างเสร็จเหลือขายทั้งหมด 4,760 หน่วย และกลุ่มระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 1,472 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30.9
ทาวน์เฮ้าส์ ควรระมัดระวังในกลุ่มราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 7,942 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 48.0 ของทาวน์เฮ้าส์ที่สร้างเสร็จเหลือขายทั้งหมด 16,561 หน่วย และกลุ่มระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 5,338 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32.2
อาคารชุด ควรระมัดระวัง ในกลุ่มราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 9,265 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.6 ของอาคารชุดที่สร้างเสร็จเหลือขายทั้งหมด 26,794 หน่วย และกลุ่มระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 4,277 หน่วย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16
ในส่วนของ สินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปปล่อยใหม่ ไตรมาส 3 ปี 2567 เป็นไปในทิศทางเดียวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย โดยมีมูลค่า 154,168 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -17.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 187,701 ล้านบาท ลดลงติดต่อกัน 4 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2566 ส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ 3 ไตรมาสแรก ปี 2567 มีมูลค่า 419,812 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -16.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ที่มีมูลค่า 500,874 ล้านบาท REIC จึงคาดว่าทั้งปี 2567 สินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปปล่อยใหม่ จะมีมูลค่า 600,812 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -11.4 และคาดการณ์ปี 2568 จะมีสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปปล่อยใหม่ ทั่วประเทศ มูลค่า 614,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3
โดยทาง Think of Living ได้มีการรวบรวมรายละเอียด อัพเดตดอกเบี้ยบ้านไว้ตลอดทั้งปี 2567 พร้อมบทวิเคราะห์ ว่ามีความน่าสนใจไว้อย่างไรบ้าง ตลอดจนได้เขียนบทความที่เกี่ยวข้องด้านการเงินที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังซื้อบ้าน หรือที่กำลังเตรียมตัวหาข้อมูล Refinance สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง สามารถเลือกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่ คลิกที่นี่
ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยและแนวโน้มในปี 2568
ภาพรวมทั้งปี 2567 มีการปรับตัวลดลงของทั้งอุปสงค์และอุปทานอยู่เมื่อเทียบกับปีก่อน จากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไมฟื้นตัว อย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันไว้ ทำให้ผู้บริโภคยังคงกังวลต่อรายได้ในอนาคต และชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยออกไป โดยในปีหน้าคาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในปี 2568 จะมีจำนวนหน่วยที่เพิ่มขึ้นประมาณ 5.2% และมีมูลค่าโดยประมาณ เพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบจากปี 2567 เท่านั้น
ในขณะที่มีสินค้าสะสมเหลือขายในตลาดยังรอการระบายออกอยู่อีกเยอะทั้งบ้านและคอนโด แต่ปัญหาของผู้บริโภค คือ การถูกปฏิเสธสินเชื่อจากแบงก์ ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ ในตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคา 2-5 ล้านบาทสูงถึง 70% พูดง่ายๆคือ ทุกๆ การยื่นกู้ 10 ราย จะได้รับการอนุมัติสินเชื่อ 3 ราย หากในปี 2568 ยังมีสถานการณ์เช่นนี้อยู่ก็จะยิ่งทำให้การเข้าถึงที่อยู่อาศัยยากมากขึ้น เพราะจะเป็นการจำกัดกลุ่มผู้ซื้อไปโดยปริยาย แม้ว่าช่วงปลายปีที่ผ่านมา Developer จะอัดโปรโมชันต่างๆ ส่วนลดและราคาพิเศษ เพื่อเร่งการตัดสินใจซื้อกันยาวๆตั้งแต่ปลายปีนี้ไปจนถึงต้นปีหน้า แต่ถ้ามองอีกมุมก็ถือเป็นช่วงโอกาสที่ดีของคนที่พร้อมทางด้านการเงินที่จะได้ของระบายสต็อกในรอบนี้ในราคาที่คุ้มค่ามากขึ้น
หากมองในมุมของพื้นที่ในปี 2568 ที่มีโอกาสจะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่ากรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 161.6 เพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ 2 จังหวัดปริมณฑลในจังหวัด สมุทรปราการ และจังหวัดนนทบุรี มีค่าดัชนีเท่ากับ 148.0 เพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า รวมถึงยังมีความต้องการห้องชุดอยู่ในบางพื้นที่ ส่งผลให้บางทำเลดัชนีราคาปรับเพิ่มขึ้น โดยทำเลที่มีราคาห้องชุดใหม่ในกรุงเทพฯ ปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุด เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ โซนห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง โดยส่วนใหญ่เป็นห้องชุดในระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท และทำเล 2 จังหวัดปริมณฑล จังหวัดสมุทรปราการ และ นนทบุรี ที่มีราคาห้องชุดใหม่ปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุด เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน YoY ได้แก่ โซนเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ โดยห้องชุดที่ปรับราคาส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท
Source of Information :
- ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ : Real Estate Information Center คลิกที่นี่
- ฝ่ายวิจัยและฐานข้อมูล Agency for Real Estate Affairs (AREA) คลิกที่นี่
- ข้อมูลโครงการใหม่จากผู้ประกอบการ