สวัสดีอีกครั้งค่ะ มาครั้งนี้กับคำกล่าวเท่ๆที่หลายคนอาจจะคุ้นหู Less is more สำนวนนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 ในบทกวีของกวีเอกชาวอังกฤษ Robert Browning ที่ Ludwig Mies Van Der Roh สถาปนิกชาวเยอรมัน เป็นผู้บุกเบิกนำปรัชญาดังกล่าว มาประยุกต์และใช้กับการออกแบบอาคารรวมถึงงานดีไซน์ต่างๆของเขา ซึ่งนำเสนอความเรียบง่ายที่พิถีพิถัน และลุ่มลึกในทางความคิด ต่อมาแนวคิดนี้ถึงกล่าวอ้างอิงถึงในโลกของการออกแบบจน ถึงปัจจุบันก็ยังคงมีนักออกแบบ สถาปนิกทั่วโลกที่ใช้แนวคิดนี้มาเป็นหัวใจหลัก

แนวคิดของ “Less is more” หรือ “น้อยแต่มาก” นั้นในแง่การออกแบบคงหมายถึง “น้อย” ด้วยเส้นสายที่ตรงไปตรงมา การลดทอนให้เรียบง่าย โดดเ่ด่น ชัดเจนด้วยโทนสี ส่วนมากจะเป็นโมโนโทน เน้นลักษณะเด่นของวัสดุแต่ละชนิดที่นำมา ออกแบบและตกแต่ง “มาก” ด้วยประโยชน์ใช้สอย หนึ่งในการออกแบบที่ปรับปรัชญาแนวคิดนี้มาใช้อย่างเต็มที่ก็คือ Minimal Style ในส่วนการออกแบบอื่นๆบางครั้งก็ถูกสอดแทรกแนวคิดนี้ประกอบไปด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อนำมาซึ่ง ความเรียบง่าย การผสมผสานกันระหว่างรูปทรงและพื้นที่ว่าง รวมถึงความสมดุลกันระหว่างสถานที่และผู้อยู่อาศัย

ขอต่ออีกสักนิดกับ Minimal Style หลายๆคนอาจจะสับสนกับ Modern Style ในส่วนของความแตกต่างที่ชัดเจนก็คือ การออกแบบในแนว Minimal จะมีเรื่องของ Function และรายละเอียดที่ถูกซ่อนไว้แต่ละจุด หากดูเพียงผ่าน ไม่ได้สัมผัสหรือใช้งานอาจจะไม่ได้รับรู้ถึงประโยชน์ใช้สอยเหล่านั้น อีกทั้งความรู้สึกผ่อนคลาย โล่งสบายก็จะเป็นหัวใจหลัก ของ Minimal ซึ่งอธิบายแนวคิด Less is more ได้เป็นอย่างดี

มาทำความรู้จักกับ Minimal Style ที่สะท้อนแนวคิด Less is more แบบชัดเจน ดังที่กล่าวข้างต้นว่าจุดเด่นที่ชัดเจนคือ การเคารพต่อวัสดุที่นำมาออกแบบ เน้นความสวยงามตามธรรมชาติ โดยตกแต่งให้เรียบง่ายขึ้น โดยอาศัยคุณสมบัติ ของวัสดุนั้นอย่างเต็มที่ในการใช้งาน พื้น นิยมใช้สีเรียบๆ ไม่นิยมเดินขอบบัว วางลายแพทเทิร์นหรือสลับสี ในส่วนของผนัง เน้นการตกแต่งที่สัมพันธ์กับการใช้งาน ใช้วัสดุไม่หลากหลายนัก รวมถึงการออกแบบที่เก็บของหรือการใช้งานต่างๆให้ซ่อน ในผนังเพื่อความเรียบง่าย ส่วนฝ้าเพดาน จะเป็นลักษณะการเปลือยฝ้าหรือฝ้าฉาบเรียบ ไม่นิยมฝ้าหลุมที่ดูซับซ้อนเกินไป

สิ่งที่สะท้อนชัดเจนอีกประการคือการออกแบบส่วนเก็บของ เช่นชั้นเก็บของข้างผนัง หรือตู้เสื้อผ้าในห้องนอน มักจะออกแบบให้ถูกซ่อนอย่างกลมกลืนไปกับอาคารหรือเครื่องเรือน โดยออกแบบหน้าบานต่างๆให้สามารถซ่อนตู้ หรือลิ้นชักเก็บของได้ ซึ่งอธิบายได้ชัดเจนมากว่า Minimal Style สะท้อนแนวคิด Less is more ที่มากกว่าการออกแบบ แต่เป็นวิถีชีวิตที่ไม่ยึดติดกับการสะสมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ พอใจกับการใช้สอยเพียงสิ่งที่จำเป็น

เมื่อกล่าวถึงวิถีชีวิตแห่งความเรียบง่าย หลายๆคนอาจนึกถึงแนวปรัชญา Zen ของชาวตะวันออก โดยเฉพาะอิทธิพลแนวคิด สถาปัตยกรรมและการตกแต่งของญี่ปุ่น ซึ่งสิ่งที่สอดคล้องในการตกแต่งคือการจัดให้มีพื้นที่ว่างภายในบ้าน ซึ่งทำให้เกิด ความสบายตา และความรู้สึกของบรรยากาศผ่อนคลายแก่ผู้อยู่อาศัย ถึงตรงนี้คงพอนึกภาพออกว่า ความเรียบง่ายของ Minimal Style นั้นเกิดจากการออกแบบภายใต้แนวคิด Less is more จริงๆ

ในส่วนของสีสันที่มักจะพบบ่อยในการตกแต่งสไตล์นี้ก็คือสีขาว หรือสีสันที่ค่อนข้างขรึม เพื่อให้บ้านมีบรรยากาศที่ดูเรียบง่าย สงบ และผ่อนคลาย รูปแบบของเฟอร์นิเจอร์ก็นิยมแบบเรียบๆ เน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก ในส่วนของโีคมไฟหรือ สิ่งประดับตกแต่งก็จะอยู่ในรูปแบบที่น้อยชิ้น แต่เป็นจุดเด่นที่มากพอสำหรับบ่งบอกสไตล์ของห้อง และเนื่องจากการตกแต่ง ในสไตล์นี้เน้นความเรียบง่าย บางครั้งเพื่อลดความแข็งคุณๆสามารถนำเอาแจกันดอกไม้ เข้ามาตกแต่งเพื่อเสริมและสร้าง ความมีชีวิตชีวาให้กับห้องหรือบ้าน

และอาจรวมถึงการใช้หน้าต่างบานใหญ่เปิดโล่งเพื่อรับเอาธรรมชาติรอบๆตัวเข้ามา ซึ่งสิ่งที่ได้ก็คือแสงธรรมชาติในยามกลางวันด้วย

โดยรวมแล้ว Less is more คือแนวคิด ที่สะท้อนทัศนคติและการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย โดยอาจมีรูปแบบการตกแต่งเป็น Minimal Style แต่แก่นแท้แล้วก็ยังคงอยู่กับการเลือกที่จะอยู่กับความเรียบง่าย และพอเพียงในความต้องการ ให้สอดคล้อง ระหว่างความจำเป็นของการอยู่อาศัยและความสะดวกสบาย ซึ่งแน่นอนมาพร้อมความสวยแบบเรียบง่ายค่ะ ลองเอาปรัชญานี้ไปประยุกต์ใช้และจัดระเบียบให้กับชีวิตคุณๆนะคะ จะพบว่าความงามที่แท้นั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ไม่ต้องซับซ้อนวุ่นวาย หากแต่เรียบง่ายและเป็นกันเอง

ขอบคุณ