Vi Ari (วี อารีย์) บ้านเดี่ยวที่พูดได้เต็มปากว่าใจกลางอารีย์ สังคมส่วนตัวเพียง 6 ยูนิต ตัวบ้านมีกลิ่นอายของบ้านพักอาศัยในย่านอารีย์ในยุค 70-80 และนำมาพัฒนาให้มีความทันสมัยขึ้น พร้อมสระว่ายน้ำในตัว ราคาเริ่มต้น 82 ล้านบาท ส่วน Highlights ของโครงการมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันค่ะ

  • ทำเล : ตั้งอยู่ซอยอารีย์ 3 เหมาะกับคนที่อยากได้บ้านในซอยอารีย์จริงๆ สามารถเดินไปคาเฟ่หรือร้านอาหารชื่อดังที่อยู่ในโซนนี้ได้
  • ความปลอดภัย : เป็นโครงการไม่จัดสรรที่มีรั้วรอบขอบชิดและมีพี่ รปภ. ดูแล 24 ชั่วโมง
  • ความเป็นส่วนตัว : ได้ความเป็นส่วนตัวกว่าหลายโครงการที่หน้าบ้าน Face เข้าหาถนนสาธารณะเลย และออกแบบให้เป็น Double Facade ช่วยบังสายตาจากเพื่อนบ้านโดยรอบ
  • ใกล้ชิดธรรมชาติ : ทุกห้องนอนมีระเบียงขนาดใหญ่ รับแสงได้ดี ออกแบบมาให้ใกล้ชิดธรรมชาติ วัสดุปูพื้นและ Facade ใช้ไม้เป็นส่วนใหญ่ ภาพรวมจึงดู Homey
  • Customize ได้ : สามารถปรับเลือกฟังก์ชันก่อนการก่อสร้าง และกำหนด Theme สีภายในบ้านตามแบบที่ชอบได้

ข้อมูลโครงการ

VI ARI (วี อารีย์) ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2566

 ชื่อโครงการ   VI ARI (วี อารีย์)
 ชื่อผู้ประกอบการ   บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน)
 SEGMENT CLASS  SUPER LUXURY CLASS (รายละเอียดของ Segment บ้านปี 2021 )
 โครงการตั้งอยู่  ซอย อารีย์ 3 เขต พญาไท
 ที่ดิน 1-0-2.2 ไร่
 จำนวนยูนิต 6 ยูนิต
 ประเภทบ้าน
  • บ้านเดี่ยว 3.5 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 53-56.4 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 550 ตร.ม.
    – ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน (สูงสุด 5 ห้องนอน) / 5 ห้องน้ำ + 1 Powder Room / 3 ที่จอดรถ / 1 ห้องแม่บ้าน / สระว่ายน้ำ / Private Elevator (Optional)
    – ราคาเริ่มต้น 82 ล้านบาท

 ความสูงจากพื้นถึงฝ้า   ชั้น 1 = 2.7-6 เมตร, ชั้นลอย-ชั้น 3 = 3 เมตร
 เปิดขาย   เดือนกรกฎาคม 2566
 คาดว่าจะแล้วเสร็จ   Q2 ปี 2024
 เว็บไซต์โครงการ   https://www.proudrealestate.co.th/vi-ari/
 โทร   02-026-8999

ทำเลที่ตั้ง

พิกัด Google Maps : 13.779100, 100.540070
หรือสามารถ : คลิกที่นี่

Vi Ari (วี อารีย์) ตั้งอยู่บนย่านที่ถือว่ามีความเจริญสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มีรถไฟฟ้า, อาคารสำนักงาน, โรงพยาบาล, ร้านค้า, ร้านอาหาร, คาเฟ่ และ Community mall รายล้อม ถือว่าเป็นย่านที่ใช้ชีวิตได้สะดวกสบายเลยค่ะ แม้จะเป็นทำเลใจกลางเมือง แต่ก็มีโครงการบ้านแนวราบอยู่หลายโครงการเลยนะคะ ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการขนาดเล็ก มีไม่ถึง 10 ยูนิต ตามขนาดที่ดินที่รวบรวมกันมาได้ ซึ่ง Vi Ari นั้นได้เปรียบในเรื่องของโลเคชั่นที่ตั้งอยู่ใจกลางอารีย์แบบจริงๆ ในซอยอารีย์ 3 จึงได้บรรยากาศความเป็นอารีย์มากที่สุด สามารถเดินไปคาเฟ่หรือร้านอาหารที่อยู่ในโซนนี้ได้ มีเพื่อนบ้านซอยข้างๆ เป็นร้านอาหารชื่อดังเลย

อารีย์เป็นย่านที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง ถ้าดูจาก node หลักอย่างรถไฟฟ้าสถานีอารีย์ สถานีนี้จะมีความอุดมสมบูรณ์สูงกว่าสถานีสนามเป้า และมีร้านค้าที่ Lifestyle มากกว่าสถานีสะพานควายที่มีความเป็นชุมชนมากกว่า สองฝั่งข้างถนนพหลโยธินก็มีอาคารสำนักงานขนาดใหญ่อยู่ ทำให้มีหนุ่มสาวชาวออฟฟิศ ใช้ชีวิตกันเนืองแน่นในช่วงวันทำงาน ส่วนช่วงสุดสัปดาห์ก็มีคาเฟ่มากมายดึงดูดหนุ่มสาวให้มา Cafe Hopping กัน ส่วนเรื่องอาหารการกินจะมีความหลากหลายทั้งประเภทของอาหาร และ ระดับราคาที่กว้าง สามารถเลือกซื้อของกินหลักสิบถึงหลักพันได้ตามงบประมาณค่ะ

จุดเด่นอีกอย่างที่น่าสนใจคือ ซอยอารีย์นี้สามารถเข้า-ออกได้ 2 ฝั่งทั้งถนนพระราม 6 และถนนพหลโยธิน จึงเชื่อมต่อไปยังถนนสำคัญได้ง่ายและไปขึ้นทางพิเศษศรีรัชได้ง่ายมาก ทำให้การเดินทางของคนที่อยู่อาศัยในย่านนี้สามารถใช้ได้ทั้งรถไฟฟ้า รถสาธารณะและรถส่วนตัวเลย แต่มีข้อจำกัดอยู่นิดหน่อยว่าที่ตั้งของโครงการในซอยอารีย์ 3 นั้นเป็นถนน One Way หากต้องการไปซอยพหลโยธิน 7 จะต้องไปวนไปเข้าซอยอารีย์ 5 อีกทีค่ะ

ในแง่ที่อยู่อาศัย บริเวณที่ใกล้กับรถไฟฟ้าก็จะมีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นมากมาย ส่วนภายในซอยย่อยต่างๆ ก็ยังมีที่อยู่อาศัยที่เป็นบ้านเดี่ยวหรือคอนโด Low Rise เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากเดิมทีที่อยู่อาศัยโซนนี้จะเป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ที่ดินกว้าง พอขายที่ดินไปก็สามารถสร้างเป็นคอนโด Low Rise หรือว่าบ้านแนวราบขายได้ แต่ด้วยมูลค่าที่ดินของทำเลที่สูงตามความเจริญที่เกิดขึ้น ทำให้โครงการที่อยู่อาศัยที่เกิดใหม่ในย่านนี้มักจะอยู่ในระดับ Super Luxury เริ่มต้น 50 ล้านบาทกันเป็นส่วนใหญ่ค่ะ

สภาพแวดล้อมรอบโครงการ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้

พื้นที่โครงการ Vi Ari (วี อารีย์) มีขนาดประมาณไร่กว่าๆ และมีเพียง 6 ยูนิตเท่านั้น แม้จะตั้งอยู่ในโซนที่คึกคักอย่างอารีย์แต่บริบทโดยรอบในซอยอารีย์ 3 ก็เงียบสงบเหมาะกับการเป็นที่อยู่อาศัย เพราะส่วนใหญ่เป็นบ้านพักอาศัยแนวราบและที่ดินเปล่า มีคาเฟ่บ้างนิดหน่อย อีกทั้งรั้วโครงการก็ค่อนข้างสูงถึง 3 เมตรเลย ทำให้ภายในได้ความเป็นส่วนตัวสูงค่ะ

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ : ติดบ้านพักอาศัย
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ : ติดซอยอารีย์ 3
ทิศตะวันตกเฉียงใต้ : ติดบ้านพักอาศัย
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ : ติดบ้านพักอาศัย

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

ตัวช่วยในการเดินทาง

  • ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ~ 1.1 km.
  • BTS อารีย์ ~ 1 km.
  • BTS สนามเป้า ~ 1.6 km.

ห้างสรรพสินค้า / ตลาด

  • La Villa Ari ~ 1.4 km.
  • อ.ต.ก. ~ 3.2 km.
  • Siam Paragon ~ 5.3 km.
  • Central World ~ 5.6 km.
  • Central Ladprao ~ 5.6 km.

โรงพยาบาล

  • โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ~ 1.1 km.
  • โรงพยาบาลวิมุติ ~ 2.2 km.
  • โรงพยาบาลพญาไท2 ~ 2.2 km.
  • โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน ~ 2.6 km.
  • โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ~ 3.1 km.
  • โรงพยาบาลรามาธิบดี ~ 3.1 km.
  • โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ~ 6.9 km.

โรงเรียน

  • โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ~ 1.1 km.
  • St. Andrews Dusit – British International School in Bangkok ~ 2.6 km.
  • โรงเรียนนานาชาตินิสท์ ~ 8.2 km.
  • โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี่ ~ 8.7 km.
  • โรงเรียนนานาชาติเคไอเอส ~ 9.9 km.
  • โรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ ~ 11.4 km.

รายละเอียดโครงการ

VI ARI (วี อารีย์) เป็นโครงการบ้านเดี่ยว จาก Proud Real Estate ซึ่งมีประสบการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการ เช่น Intercontinental Residences HUAHIN, Vehha Huahin และที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุดกับ Romm Convent ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงการระดับ Luxury นะคะ

ในส่วนโครงการ Vi Ari นี้ก็เป็นโครงการระดับ Super Luxury เช่นกัน ออกแบบโดยสถาปนิกและ Interior เจ้าดังที่มีผลงานเป็นที่รู้จัก

  • ออกแบบอาคารโดย stu/D/O architects ที่มีผลงานอย่าง Vana Residence, Radial House, Naiipa Art Complex
  • ออกแบบสวนโดย TK Studio ที่เคยฝากผลงานไว้กับ Forest Pavilion, The Forestias และ KHUN BY YOO
  • ออกแบบภายในโดย P49 ที่มีผลงานออกแบบให้กับงานโรงแรมชื่อดัง ทั้ง Kimpton Kitalay Samui, Kimpton Maa-Lai Bangkok, Mandarin Oriental Bangkok

VI ARI (วี อารีย์) เป็นโครงการบ้านที่มีจำนวนไม่ถึง 10 ยูนิตจึงไม่ต้องเข้ากฎหมายจัดสรรแบบโครงการทั่วไป จึงไม่จำเป็นต้องมีรั้วโครงการหรือระบบรักษาความปลอดภัยส่วนกลางก็ได้ แต่ความพิเศษของโครงการนี้คือ มีรั้วรอบขอบชิด, มีประตูโครงการที่ช่วยรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง พร้อมพี่ รปภ. ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง

การวางผังของโครงการ ออกแบบให้มีถนนหลักอยู่กลางโครงการแล้วหันหน้าบ้านแต่ละหลังเข้าหาถนนในโครงการ ต่างจากหลายโครงการที่อยู่ติดกับถนนสาธารณะ การเข้าออกต้องผ่านประตูรั้วเลื่อนอัตโนมัติเหมือนใช้ Easy Pass บนทางด่วน ทำให้โครงการนี้ได้ความเป็นส่วนตัวที่มากกว่า

สำหรับถนนหลักมีความกว้าง 6 เมตร วางแนวอยู่ตรงกลางโครงการ เพื่อแบ่งบ้านออกเป็น 2 ฝั่งซ้ายขวา ฝั่งหนึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และอีกฝั่งหนึ่งหันไปทางตะวันตกเฉียงใต้ จึงรับแสงและลมได้ดี และการออกแบบจะเน้นให้เกิดความเป็นส่วนตัวของบ้านแต่ละหลัง โดยวางพื้นที่พักผ่อนอย่าง Common Area และสระว่ายน้ำให้ห่างจากเพื่อนบ้าน ส่วนที่ติดกับบ้านข้างๆ จะเป็นโซน Service เพื่อให้ตัวบ้านได้ความเป็นส่วนตัวสูงสุด

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • ประตูทางเข้า-ออกโครงการ แบบรั้วเหล็กบานเปิด
  • เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
  • CCTV ที่ Main Gate และภายในโครงการ (ที่ป้อม รปภ. มีระบบ Intercom + CCTV)
  • เข้าออกด้วยระบบ Easy Pass
  • รั้วรอบโครงการสูง 3 เมตร
  • ถนนหลักในโครงการกว้าง 6 เมตร
  • สายไฟร้อยท่อลงดิน

แบบบ้าน

Vi Ari (วี อารีย์) ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบจากบ้านพักอาศัยย่านอารีย์ในยุค 70-80 และนำมาพัฒนาให้มีความทันสมัยขึ้น เช่น การออกแบบหลังคาที่มีระยะยื่นยาวออกมาจากตัวอาคารเล็กน้อยและมีความลาดชันไม่มาก, ใช้โครงสร้างหลังคาที่บาง, นำการออกแบบระแนงไม้กันตกมาดัดแปลงเป็นระแนงกันแดด ช่วยกรองแสง, ลดความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน เพิ่มความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย และมีการสอดแทรกพื้นที่สีเขียวไปแต่ละชั้น

จุดขายที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เป็นโครงการที่สามารถ Customize บ้านได้ โดยสามารถปรับ Function ตามที่แต่ละครอบครัวต้องการ ซึ่งจะปรับ Layout ได้เฉพาะกับแปลงที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จนะคะ ในส่วนของ Theme Color จะสามารถเลือกได้ตลอดเพราะโครงการจะสร้างแบบ Bareshell ไว้ก่อนเพื่อรอให้ลูกค้าเลือก Theme สีของ Finishing ที่ชอบค่ะ

สีของ Finishing ที่เลือกได้คือ สีของวัสดุปูพื้น, สีกระเบื้องในห้องน้ำ, สีของ Top เคาน์เตอร์ครัว ซึ่งโครงการมีให้เลือก 3 Theme คือ Urban Oasis, Bold Elegance, Earthy Minimal

ตัวบ้านมาตรฐานมีราคาเริ่มต้น 82 ล้านบาท ขายแบบ Partly Fitted (บ้านเปล่าที่เพิ่มเฟอร์นิเจอร์ Built-in มาให้บางส่วน) ส่วนที่ Built-in ได้แก่ เคาน์เตอร์ครัวแบบ Pantry ในบ้าน, เคาน์เตอร์ครัวในห้องครัวไทย, ห้องน้ำพร้อมวัสดุอุปกรณ์ครบตามแบบในบ้านตัวอย่าง

นอกจากนี้ยังมี Package เสริม ที่สามารถออกแบบตกแต่งภายในกับ P49 Design และหากชอบเฟอร์นิเจอร์ตามแบบในบ้านตัวอย่างก็มี Package เฟอร์นิเจอร์ของ Euro Creation ให้ Add on ได้ด้วยเช่นกัน

สรุปสเปคของต่างๆ ภายในตัวบ้าน

  • หลังคา Flat Slab พร้อมติดตั้ง Solar Cell ของ GUNKUL 20 แผ่น ผลิตไฟได้ประมาณ 9.6 kW
  • ก่อสร้างด้วยระบบ Conventional โดย ผนังก่อสร้างด้วยอิฐมวลเบา โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก
  • ที่จอดรถลงเสาเข็มเท่าตัวบ้าน
  • EV Charger ของ Enel X Juicebox ขนาด 22 kW
  • ประตูทางเข้าหน้าบ้าน เป็นไม้จริงบุด้วยวีเนียร์
  • วัสดุปูพื้นชั้น 1 : กระเบื้อง Porcelain นำเข้าจากสเปน
  • วัสดุปูพื้นชั้นลอย- ชั้น 3 : ไม้สน Accoya
  • วัสดุปูพื้นระเบียงชั้นลอย – ชั้น 2 : ระแนงไม้เทียมพร้อมระบบระบายน้ำด้านล่าง
  • วัสดุอุปกรณ์ในห้องน้ำใช้ยี่ห้อ Kohler เป็นหลัก
  • โครงสร้างบันไดเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ปิดผิวด้วย Engineering Wood มือจับไม้สัก
  • วัสดุกรอบบานหน้าต่างยี่ห้อ Tostem
  • แอร์ยี่ห้อ Mitsubishi (บริเวณ Living Area ให้แบบ Concealed Type, ห้องนอนให้แบบ Cassette Type)
  • Pantry ครัวในบ้าน พร้อม Appliance (เตาไฟฟ้า และ Combi Microwave Oven ของ Gaggenau, Food Waste Disposer และ Sink ของ Teka)
  • ครัวไทย ได้เคาน์เตอร์ครัว พร้อมติดตั้ง Hob&Hood ของ Bosch, Sink ของ Teka, และเครื่องหมักปุ๋ย ของ Oklin)
  • สระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาด 8.5×2.5 ลึก 1.4 m. ติดตั้ง Swim Jet มาให้
  • ไฟบ้าน 3 เฟส (50/150)
  • เตรียมพื้นที่รองรับการติดตั้งลิฟต์
  • Digital Door Lock ของ Baldwin
  • CCTV บริเวณที่จอดรถ

เทคโนโลยี VI CARE SMART HOME ผ่าน Apps Life Smart

  • เพื่อความปลอดภัย : Smoke Alarm, Heat Detector, Magnetic+ Shock Sensor, ระบบแจ้งเตือนเหตุผ่าน Siren และ Application
  • เพื่อความสะดวกสบาย : เปิด-ปิด ไฟ, แอร์, ผ้าม่าน, ประตูรั้วหน้าบ้าน, CCTV, ระบบหมุนเวียนอากาศภายในห้องนอน
  • เพื่อการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม : Solar Cell, เครื่องบดเศษอาหาร, เครื่องย่อยเศษอาหาร

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ

ต่อไปมาเจาะรายละเอียดแต่ละชั้นกันค่ะ

ชั้น 1 บ้านนี้สามารถจอดรถได้ 3 คันและสามารถติดตั้ง Parking Lift ได้ 1 เครื่องในช่องจอดขวาสุด เข้ามาในตัวบ้านจะมี Foyer เป็นโซนต้อนรับลำดับแรก และแบ่งพื้นที่เป็น 2 โซนหลักๆ คือโซนซ้าย (กรอบสีเหลือง) จัดเป็น Common Area ที่รวมไว้ทั้ง Living + Dining + Pantry ครัวแบบฝรั่ง ซึ่งเป็นพื้นที่พักผ่อนหลักของครอบครัว โซนนี้วางตำแหน่งไว้ติดกับสระว่ายน้ำเพื่อให้เวลาที่พักผ่อนอยู่บ้านจะได้วิวสระแบบเต็มตา หรือจะจัด Pool Party ก็สามารถทำได้

โซนขวา (กรอบสีแดง) เราขอเรียกว่า Service Zone เพราะบริเวณนี้จะรวมไว้ทั้ง ครัวไทย, พื้นที่ซักล้าง, ห้องนอนและห้องน้ำของแม่บ้าน เป็นพื้นที่ทำงานและพักผ่อนหลักของแม่บ้าน โซนนี้จะมีประตูเข้าข้างบ้านได้อีกตำแหน่งหนึ่ง เพื่อให้แม่บ้านทำงานได้สะดวกไม่ต้องเข้าประตูหลักก็ได้ และเวลาที่สมาชิกในบ้านไม่อยู่ก็สามารถล็อคประตูด้านข้างเพื่อแยกพื้นที่ในตัวบ้านออกจากโซนแม่บ้านได้

ที่จอดรถมีความกว้าง 7.75 เมตร ลึกประมาณ 5.27 เมตร จึงสามารถจอดรถได้ 3 คัน รองรับรถที่มีความยาวอย่าง Alphard ได้ และยังสามารถติดตั้ง Hydraulic Car Park เพื่อเพิ่มที่จอดรถอีก 1 คันได้ในช่องจอดขวาสุด เพราะช่องนี้ไม่มีชายคากั้นจึงสามารถจอดซ้อนคันขึ้นไปในแนวตั้งได้ค่ะ

บริเวณที่จอดรถจะติดตั้ง EV Charger ของ Enel X Juicebox ขนาด 22 kW มาให้ รองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยไฟบ้านเป็น 3 เฟส (50/150) ค่ะ

Foyer

เมื่อเปิดประตูเข้ามาในบ้าน สายตาก็ถูกดึงดูดไปที่กรอบรูปขนาดใหญ่ ซึ่งผนังที่ตรงกับประตูทางเข้าถูกออกแบบมาให้ติดตั้งกรอบรูปหรือของสะสมเพื่อโชว์ไลฟ์สไตล์ ความชอบของเจ้าของบ้านได้ค่ะ

ฟังก์ชันอีกอย่างของโซนนี้คือเป็นพื้นที่นั่งใส่รองเท้า, นั่งพักคอย ซึ่งเราอาจจะออกแบบตู้เก็บรองเท้าไว้บริเวณนี้ด้วยก็ได้นะคะ

Common Area (Living Area + Dining Area + Pantry)

Living Area จะได้พื้นที่แบบ Double Volume สูง 6 m. ทำให้มีความโปร่งเป็นพิเศษสามารถติดตั้ง Chandelier เพื่อเพิ่มความหรูหราได้ หรือจะปล่อยเป็นพื้นที่ว่างก็ดูมินิมอล เรียบหรูเหมือนบ้านตัวอย่าง มุมนี้เหมาะกับการวางชุดโซฟาขนาดใหญ่แบบ 5-6 ที่นั่ง

พื้นบ้านปูด้วยกระเบื้อง Porcelain นำเข้าจากสเปน มีความแข็งแรง ทนทานกว่ากระเบื้องเซรามิกทั่วไป เพราะเป็นกระเบื้องที่ผ่านความร้อนสูง มีสีสันและลวดลายคล้ายหินธรรมชาติ ผนังภายในทาสีของ Sherwin-Williams แบรนด์ดังระดับโลก นำเข้าจากอเมริกา

บริเวณด้านบน Double Volume จะหน้าต่างที่เชื่อมกับชั้นลอยทำให้มีแสงธรรมชาติผ่านลงมาได้ และทำให้บ้านดูมีมิติขึ้นด้วยค่ะ

บ้านนี้ใช้ประตูกระจกค่อนข้างเยอะทีเดียว เพื่อให้ตัวบ้านได้ความโปร่งโล่ง Spec กระจกจึงเป็นรายละเอียดที่อยากเล่าให้ฟัง โดยโครงการจะใช้วัสดุกรอบบานหน้าต่างของ Tostem มีความเนี้ยบกริบช่วยกันเสียงภายนอกได้ดี และเลือกประเภทกระจกเป็นกระจกลามิเนต เป็นกระจกนิรภัยชนิดหนึ่ง ที่เวลาแตกแล้วเศษกระจกจะยังคงยึดติดกันโดยไม่ร่วงหล่น เพราะมีชั้นฟิล์มตรงกลางที่ยึดเกาะระหว่างแผ่นกระจก ทำให้ปลอดภัยกับการใช้งานมากขึ้น

Living Area + Dining Area + Pantry ในบ้านตัวอย่างหลังนี้จะอยู่ในบริเวณเดียวกัน ทำให้สมาชิกในครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกันได้สะดวก เช่น คุณพ่ออาจจะดูทีวีอยู่หน้าโซฟา แต่ก็มองเห็นคุณแม่ที่ทำขนมอยู่ตรง Pantry และยังมองเห็นเด็กๆ ที่เล่นน้ำอยู่ในสระ ทำให้บรรยากาศในบ้านดูอบอุ่น

สำหรับมุมทานอาหารก็สามารถดูทีวีไปพร้อมๆ กับชมวิวสระได้ค่ะ

เคาน์เตอร์ครัวบริเวณนี้จะได้มาเกือบครบเหมือนบ้านตัวอย่างนะคะ คือ ทำ Built-in ตู้เก็บของและเคาน์เตอร์ครัวแบบ Island ไว้ให้ ยกเว้นตู้เย็นและตู้แช่ไวน์จะไม่ได้ให้มา

บนเคาน์เตอร์ครัวจะติดตั้งเตาไฟฟ้าพร้อมเครื่องดูดควันมาให้ ของ Gaggenau เป็นรู่นที่มีเครื่องดูดควันติดอยู่บนเตาเลย จึงไม่ต้องมี Hood ติดผนังให้เกะกะ

ถัดมาคือ Combi Microwave Oven ของ Gaggenau ซึ่งรวมฟังก์ชันเตาอบลมร้อน และอบไอน้ำ (เตานึ่ง) เข้ามาอยู่ในเตาเดียวกัน จึงสามารถทำอาหารได้ทั้งคาวหวาน

ในส่วนของซิงค์ล้างจานจะให้ของ Teka

ใต้ซิงค์จะติดตั้ง Food Waste Disposer ของ Teka ไว้ให้ เวลาที่มีเศษอาหารเหลือทิ้งก็สามารถเทลงท่อซิงค์ได้เลย โดยเครื่องจะย่อยบดขยะเศษอาหารให้ละเอียดสลายลงไปกับน้ำผ่านท่อน้ำทิ้ง เมื่อส่งผ่านไปยังถังบำบัดน้ำเสีย…ขยะเหล่านี้ก็จะถูกย่อยสลายเองตามธรรมชาติกลายเป็นปุ๋ยสำหรับต้นไม้ได้ จึงเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ลดการใช้ถุงพลาสติกเพื่อใส่เศษอาหารค่ะ

เราชอบการออกแบบ Common Area ที่เป็นช่องเปิดขนาดใหญ่ให้ Take View สระว่ายน้ำได้ตลอดแนว ทำให้ตัวบ้านดูโปร่งโล่งได้แสงธรรมชาติเข้ามาในบ้านเยอะเลย

Swimming Pool

สระว่ายน้ำเป็นสระระบบเกลือมีขนาด 8.5×2.5 เมตร โครงการจะติดตั้งระบบทวนน้ำไว้เพื่อให้ใช้ว่ายออกกำลังกายได้

ริมสระจะมีพื้นที่วาง Daybed เวลาที่ไม่ได้อยากว่ายน้ำออกกำลังกาย ก็มานอนเล่นริมสระแทนได้นะคะ

ด้านข้างสระว่ายน้ำยังมีพื้นที่ให้วางชุดโต๊ะเก้าอี้ Outdoor ขนาดประมาณ 4 ที่นั่ง

เวลาขึ้นจากสระมาแล้วก็สามารถมาล้างเนื้อล้างตัวแบบ Outdoor ได้ ติดกันจะมีห้องน้ำให้เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ แต่ไม่มีที่อาบน้ำนะคะ เพราะห้องน้ำนี้เป็นแบบ Powder Room ค่ะ

Powder Room เป็นห้องน้ำสำหรับแขกจึงไม่ได้มีพื้นที่อาบน้ำ ขนาดของห้องน้ำสามารถใช้งานได้ไม่อึดอัด สุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียวของ Kohler รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ก็เป็นของ Kohler เช่นกัน ส่วนตัวมองว่าเป็นแบรนด์ที่หาอะไหล่ง่าย Maintenance สะดวกค่ะ

Kitchen

สำหรับการทำอาหารแบบจริงจังคงต้องใช้ห้องครัวไทย ซึ่งโครงการจะ Built-in ชุดครัวไว้ให้ตามแบบในบ้านเลยนะคะ มาพร้อม Appliance ทั้งเตาและเครื่องดูดควัน ของ Bosch, Sink ของ Teka

อุปกรณ์ที่เราว่าน่าสนใจคือ เครื่องหมักปุ๋ย ของ Oklin ซึ่งเราสามารถทิ้งเศษอาหารลงไปและเครื่องนี้จะเปลี่ยนเศษอาหารให้กลายเป็นปุ๋ย จึงนำไปบำรุงต้นไม้ได้อีกค่ะ

โถงทางเดินขึ้นบันได/ลิฟต์

บ้านทุกหลังในโครงการจะออกแบบโครงสร้างสำหรับติดตั้งลิฟต์ไว้ให้ แต่ไม่ได้มีแถมตัวลิฟต์นะคะ โดยตำแหน่งลิฟต์จะอยู่ติดกับโถงบันไดเลย

บันไดใช้โครงสร้างแบบคอนกรีตเสริมเหล็ก ปิดผิวด้วย Engineering Wood หนา 5 นิ้ว และออกแบบไฟซ่อนมาให้ตลอดแนว บริเวณทางขึ้นลงจึงสว่างไสวทีเดียว

ฟังก์ชันบนชั้นลอยแบ่งออกเป็น 2 ห้องหลักๆ คือ Study Room ที่มีห้องน้ำในตัวจึงสามารถปรับเป็นห้องนอนเพิ่มอีกห้องหนึ่งได้ และเป็นห้องที่มีระเบียงขนาดใหญ่มาก สามารถปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่ได้เลย ส่วนอีกห้องหนึ่งเป็น Gym ที่เตรียมโครงสร้างไว้ให้แข็งแรงกว่าห้องอื่น เพื่อรองรับการติดตั้งเครื่องออกกำลังกายและรับแรงกระแทกได้

ขึ้นมาที่ชั้นลอย …ความสูงจากพื้นถึงฝ้าของชั้นลอยมีระยะ 3 เมตรเท่ากับชั้น 2, 3 เลยนะคะ นับว่าสูงดีทีเดียว ช่วยทำให้ในบ้านดูโปร่ง

วัสดุปูพื้นบ้านตั้งแต่ชั้นลอยไปจนถึงชั้น 3 จะปูด้วยไม้สน Accoya ที่ผ่านเทคโนโลยีในการปรับปรุงคุณภาพไม้ โดยการดึงสารอาหารสำหรับแมลงต่างๆ ออกจนเกือบหมด ทำให้ไม่มีอาหารของปลวกและแมลงอยู่ในตัวไม้ มีความสวยงามและคงทน มีการรับประกันสินค้าสูงสุดถึง 50 ปี

Study Room (Multi – Function Room)

Study Room เป็นห้องขนาดใหญ่ที่สามารถจัดวางโต๊ะเขียนหนังสือและพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนรวมกันไว้ได้โดยไม่อึดอัด สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องนอนได้แบบสบายๆ เพราะสามารถวางเตียงใหญ่แบบ 6-7 ฟุตได้และมีห้องน้ำในตัวด้วยค่ะ

Highlight ของห้องนี้อยู่ที่ระเบียงขนาดใหญ่ ซึ่งเราสามารถมองผ่านกระจกบานใหญ่แบบ Full Height ออกไปชมวิวสวนบนระเบียงได้ ให้บรรยากาศที่ร่มรื่นสบายตาทีเดียว

ระเบียงที่โครงการออกแบบไว้ปูพื้นด้วยไม้เทียมและซ่อนระบบระบายน้ำไว้ด้านล่าง จึงสามารถรดน้ำต้นไม้บนระเบียงได้ไม่มีปัญหา เบื้องต้นเรามีข้อมูลว่าโครงการจะปลูกต้นไม้ใหญ่และไม้พุ่มมาให้ แต่ยังไม่มีระบุว่าอยู่ในตำแหน่งไหนบ้างนะคะ

มุมนั่งเล่นในสวนก็สามารถวางชุดโซฟาขนาดใหญ่ได้ นั่งพักผ่อนได้จริงจัง ไม่ต้องกลัวแดด เพราะเป็นระเบียงแบบ Semi-Outdoor และมีระแนงด้านข้างมาช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวจากเพื่อนบ้าน

จากมุมนั่งเล่นนี้ยังสามารถมองลงไปเห็นพื้นที่นั่งเล่นบนชั้น 1 ด้วยค่ะ

ระแนงบังแดดนี้ออกแบบมาให้สามารถเปิดปิดได้ หากต้องการแสงธรรมชาติมากขึ้นหรืออยากเห็นบรรยากาศภายนอกแบบชัดๆ ก็สามารถผลักเปิดออกได้ค่ะ

ห้องน้ำใน Study Room เป็นห้องที่สามารถอาบน้ำได้เป็นกิจจะลักษณะ มีการแบ่งโซนอาบน้ำและโซนแห้งออกจากกันอย่างชัดเจนด้วย Shower Box สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ต่างๆ ในห้องน้ำจะใช้ของ Kohler เป็นหลัก

ความเก๋อย่างหนึ่งของห้องน้ำที่นี่คือการออกแบบ Double Facade ชั้นแรกเป็นประตูกระจกแบบ Full Height ให้สามารถเปิดระบายอากาศได้ ส่วนชั้นที่ 2 เป็นผนังปูนเจาะรูแบบรังผึ้ง เพื่อช่วยบังสายตาจากเพื่อนบ้านแต่ลมก็ยังสามารถผ่านได้

Gym

Gym มีขนาดประมาณ 3.2×4.55 เมตร รองรับเครื่องออกกำลังกายได้ประมาณ 3-4 เครื่อง

ในห้องมีระเบียงในตัวขนาด 0.9×3.3 เมตร ให้สามารถออกไปรับลมธรรมชาติ เปลี่ยนบรรยากาศ

ชั้น 2 เป็นพื้นที่ของ Master Bedroom เกือบเต็มชั้น (กรอบสีแดง) มีขนาดห้องนอน, ห้องน้ำ, ห้องแต่งตัว, ระเบียงใหญ่ทั้งหมด และอีกฟังก์ชันหนึ่งคือ Nursery (กรอบสีเหลือง) เป็นห้องสำหรับเด็กแรกเกิดจึงจัดตำแหน่งไว้อยู่ใกล้คุณพ่อคุณแม่ หากครอบครัวไหนมีลูกหลายคนก็สามารถปรับเป็นห้องนอนของเด็กโตใช้อยู่อาศัยยาวๆ ได้เลย เพราะมีห้องน้ำในตัวเรียบร้อยค่ะ

สำหรับพื้นที่ Walk-in Closet ในห้องนอนใหญ่จะมีให้ 2 โซนเลย แบ่งเป็น His&Her ได้สบาย แต่หากไม่ได้มีเสื้อผ้าเยอะมากนักใช้โซนเดียวก็พอ ก็สามารถปรับฟังก์ชันอีกโซนหนึ่งเป็นพื้นที่นั่งเล่นดูทีวีได้นะคะ ซึ่งเป็นพื้นที่ติดระเบียงเหมาะกับการพักผ่อนดีเลยค่ะ

Master Bedroom

เข้ามาในห้องจะเจอกับ Mini Bar เป็นโซนแรก ต้องขอชมเลยว่าออกแบบผังในห้องมาดี โดยการดันพื้นที่วางเตียงนอนเข้าไปไว้ด้านในอีกโซนหนึ่ง ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวสูงสุด

Walk-in Closet

พื้นที่ฝั่งหนึ่งที่ติดกับ Mini Bar เป็น Walk-in Closet ขนาดใหญ่ที่เชื่อมกับห้องน้ำ

ภายใน Walk-in Closet มีความกว้างเพียงพอให้ Built-in ตู้เสื้อผ้าได้เต็ม 2 ฝั่ง และยังสามารถวางตู้เก็บของแบบ Island ตรงกลางได้อีกด้วย

ถัดจาก Walk-in Closet จะเชื่อมเข้าถึงห้องน้ำ จะเห็นว่าผู้ออกแบบเรียงฟังก์ชันตามลำดับการใช้งานค่ะ

Master Bathroom

Highlight ของห้องน้ำนี้เลยคือ อ่างอาบน้ำทรงกลมขนาดใหญ่ ของ Kohler ที่วางตำแหน่งไว้ได้น่าใช้งานมาก อยู่ติดกับหน้าต่างบานใหญ่ที่สูงจากพื้นจรดฝ้า จึงสามารถนอนแช่อ่างพร้อมชมวิวต้นไม้ด้านนอกไปได้ และมี Double Facade เป็นระแนงบังสายตาเพื่อนบ้านไว้อีกชั้นหนึ่ง

อ่างล้างหน้าเป็นแบบฝังใต้เคาน์เตอร์แบบ His&Her ของ Kohler หัวก็อกแบบผสม ซึ่งโครงการจะติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อนของ Stiebel Eltron มาให้

ห้องอาบน้ำถูกแยกเป็นสัดส่วน มีขนาดให้ใช้งานได้สบายๆ ติดตั้งฝักบัวมาพร้อม Rain Shower และชั้นวางของด้านข้าง

ในส่วนของสุขภัณฑ์จะถูกแยกห้องไว้เป็นสัดส่วน โดยสุขภัณฑ์จะเป็นแบบอัตโนมัติของ Kohler อีกเช่นกัน

Walk-in Closet 2 (Multi-Purpose Area)

ถัดมาที่ Walk-in Closet อีกฝั่งหนึ่งที่สามารถจัดเป็นพื้นที่เก็บเสื้อผ้าได้เยอะ และสามารถวางตู้ Island ได้เช่นกัน ซึ่งหากไม่ได้มีเสื้อผ้าเยอะนักก็สามารถปรับฟังก์ชันเป็นห้องนั่งเล่น ห้องทำงานอดิเรก จะวางโซฟา ติดทีวี หรือตั้งเฟรมวาดภาพก็เป็นมุมพักผ่อนที่เป็นส่วนตัวของเจ้าของบ้านได้

ระเบียงใน Master Bedroom

เป็นระเบียงที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 1.2 x 2.7 เมตร มาในรูปแบบ Semi-Outdoor จึงมานั่งเล่นพักผ่อนได้แบบไม่ต้องกลัวแดด ซึ่งโครงการยังคงรักษา Gimmick ที่สามารถปลูกต้นไม้ใหญ่บริเวณระเบียงได้ ทำให้พื้นที่ดูร่มรื่นสบายตาและได้ร่มเงาจากต้นไม้

ต้นไม้บนระเบียงนี้จะมีการเปิดช่อง ให้ยอดของต้นไม้ทะลุขึ้นไปยังชั้น 3 เพื่อสร้างบรรยากาศให้ดูร่มรื่นเช่นเดียวกัน

สำหรับพื้นที่วางเตียงนอนจะขยับเข้าไปด้านในสุดของตัวห้อง โดยมีทางเดินเชื่อมเข้าไปด้านในอีกที

เราสามารถวางเตียงขนาด 6-7 ฟุตได้สบาย จะแขวนทีวีปลายเตียง เพื่อนอนดูหนังจากบนเตียงเลยก็ได้ ข้างเตียงจะมีหน้าต่างบานใหญ่จึงสามารถมองเห็นต้นไม้ด้านนอกได้ และเปิดระบายอากาศได้ ที่โครงการกล้าใช้หน้าต่างหรือผนังกระจกใหญ่ๆ เพราะจะมี Double Facade ที่เป็นระแนงช่วยบังสายตาจากบ้านใกล้เรือนเคียงอีกชั้นหนึ่ง

นอกจากหน้าต่างก็ยังมีราวกันตก เป็นกระจกเต็มบาน ดูมินิมอลไม่เกะกะสายตา เป็นดีไซน์ที่ทำให้ใกล้ชิดธรรมชาติเหมือนอยู่บ้าน 2 ชั้นเลยค่ะ

อีกฝั่งหนึ่งของห้องเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ที่สามารถวางโซฟาเก๋ๆ สักตัว เป็นมุมพักผ่อนในห้องแอร์แต่ยังได้เห็นต้นไม้บนระเบียง ดูร่มรื่น

Nursery (Multi-Function Room)

ถัดมาที่ห้องนอนที่ติดกับห้องนอนใหญ่ ในบ้านตัวอย่างจัดเป็นห้องสำหรับเลี้ยงเบบี๋ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เข้าถึงได้ง่าย มีห้องน้ำในตัว จึงสามารถใช้ประโยชน์เป็นห้องของเด็กโต, ห้องรับรองแขก หรือห้องอเนกประสงค์ใดๆ ได้หมดนะคะ

พื้นที่ภายในห้องมีขนาดประมาณ 2.85 x 3.2 เมตร เหมาะกับการวางเตียงเดี่ยว ส่วนตำแหน่งของห้องน้ำจะอยู่บริเวณหน้าห้อง ติดกับประตูเลยค่ะ

ภายในห้องน้ำแบ่งพื้นที่เปียกแห้งออกเป็นสัดส่วน มีขนาดพอให้ใช้งานได้สบายๆ

ชั้นบนสุดของตัวบ้าน แบ่งพื้นที่ออกเป็นห้องนอนขนาดใหญ่ 2 ห้องที่มีห้องน้ำ, Walk-in Closet และระเบียงในตัว ถ้าครอบครัวไหนมีลูก 2 คนก็แบ่งกันคนละห้องได้สบายเลย แต่ห้องในกรอบสีเหลืองจะได้ห้องน้ำที่มีขนาดใหญ่กว่า เหมาะจะเป็นห้องนอนของลูกคนโปรด

นอกจากนี้ยังมี Living Room เป็นพื้นที่ส่วนกลางที่พี่น้องสามารถมาใช้เวลาร่วมกัน ทั้งทำการบ้าน, ดูหนัง, เล่นเกมส์ หรือเวลาที่คุณพ่อคุณแม่มีแขกมาหา เด็กๆ ก็สามารถมาพักผ่อนบนชั้นนี้ได้เป็นสัดส่วน

จากโถงบันไดเราจะเห็นหน้าต่างบานใหญ่ที่รับแสงเข้ามาในบ้าน

ช่องนี้มีฟังก์ชันเป็นพื้นที่ติดตั้งบันไดสำหรับขึ้นไป Service เจ้า Solar Cell ซึ่งโครงการจะติดตั้งมาให้ทุกหลังของ Gunkul จำนวน 20 แผ่น ผลิตไฟได้ประมาณ 9.6 kW

Living Room

Living Room บนชั้น 3 เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สามารถจัดชุดโซฟาให้เด็กๆ นั่งดูหนัง, เล่นเกมส์ได้ และมีพื้นที่เหลือพอสำหรับแบ่งไปเป็นมุมทำการบ้าน

Bedroom 2

มาดูห้องนอน 2 กันต่อ ภายในห้องดูโปร่งโล่งด้วยหน้าต่างบ้านใหญ่ สูงจากพื้นจรดฝ้า ซึ่งโอบล้อม 2 ฝั่งของห้อง ทำให้แสงธรรมชาติผ่านเข้ามาได้เยอะ แต่ก็มี Double Facade กั้นไว้อีกชั้นหนึ่งเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวจากสายตาของเพื่อนบ้าน

ระเบียงของห้องนี้เป็นระเบียงทรงยาว ที่สามารถออกมาเดินรับลมธรรมชาติ เปลี่ยนบรรยากาศได้ เป็นระเบียงแบบ Semi-Outdoor มีหลังคากันแดดกันฝน และมีระแนง Facade ช่วยบังแดดให้อีกชั้นหนึ่ง ถ้าอยากได้วิวก็สามารถเปิดระแนง Facade ออกไปได้ เรียกว่าน่าใช้งานดีเลยค่ะ

อีกฝั่งหนึ่งของตัวห้องจัดเป็น Walk-in Closet ซึ่งอยู่ติดกับห้องน้ำ จึงใช้งานต่อเนื่องกันได้สะดวก โซนนี้สามารถ Built-in ตู้เสื้อผ้าได้ทั้ง 2 ฝั่ง ตำแหน่งวางโต๊ะเครื่องแป้งก็ถือว่าลงตัวดีเพราะมีช่องหน้าต่างเปิดรับแสงธรรมชาติเข้ามาด้วย

ห้องน้ำจะแบ่งโซนเปียกแห้งไว้เรียบร้อย ขนาดพอใช้งานได้สะดวก

Bedroom 3

ปิดท้ายด้วยห้องนอน 3 ซึ่งเราขอเรียกว่าห้องนอนของลูกคนโปรด เพราะเป็นห้องที่มีขนาดระเบียงและห้องน้ำใหญ่กว่าห้องนอน 2 ค่ะ เข้ามาโซนแรกจะเป็นทางเดินยาวที่เราสามารถ Built-in ตู้เสื้อผ้าตามแนวทางเดินได้เลย

ห้องน้ำจะอยู่บริเวณหน้าห้องเชื่อมต่อกับ Walk-in Closet จึงใช้งานง่าย สุดปลายทางเดินจะได้แสงธรรมชาติผ่านหน้าต่าง จึงเป็นบริเวณที่เหมาะกับการวางโต๊ะเครื่องแป้งนะคะ

ห้องน้ำแบ่งโซนอาบน้ำและโซนแห้งออกจากกันอย่างชัดเจนด้วย Shower Box ห้องนี้จะได้ความเก๋ของการออกแบบ Double Facade ที่ชั้นแรกเป็นประตูกระจกแบบ Full Height ให้สามารถเปิดระบายอากาศได้ ส่วนชั้นที่ 2 เป็นผนังปูนเจาะรูแบบรังผึ้ง เพื่อช่วยบังสายตาจากเพื่อนบ้านแต่ลมก็ยังสามารถผ่านได้

ถัดเข้ามาด้านในจึงเป็นพื้นที่สำหรับวางเตียงนอน พื้นที่กว้างมากจะวางเตียง 6 ฟุตก็ไม่มีปัญหา ถ้าอยากดูทีวีในห้องแนะนำเป็นทีวีพร้อมขาตั้ง จะได้ไม่ต้องตั้งชั้นวางทีวีด้วย เหมาะกับห้องที่ดูโปร่งโล่ง

ปลายเตียงมีพื้นที่สำหรับจัดเป็นมุมอ่านหนังสือ นั่งเล่นได้อีกหน่อย ซึ่งจะได้แสงธรรมชาติที่ผ่านหน้าต่างบานใหญ่แบบเต็มที่ และได้วิวต้นไม้เขียวๆ บริเวณระเบียงด้วยค่ะ

ระเบียงของห้องเป็นทรงตัว L ล้อมห้องไว้ ไอเดียหนึ่งที่อยากเสนอคือ จัดวางกระถางต้นไม้ตามแนวระเบียง เวลาเปิดม่านออกมาจะได้บรรยากาศที่เขียวๆ ดูร่มรื่น

ส่วนตัวแล้วชอบงานออกแบบ Double Facade ของโครงการนี้มากเลย เพราะในพื้นที่ใจกลางเมืองแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้นสายตาของเพื่อนบ้านข้างเคียง ซึ่งดีไซน์ Double Facade ช่วยลดปัญหานี้ได้ แต่เทคนิคนี้ไม่ได้ออกแบบง่ายๆ ถ้าคิดเรื่องระยะไม่ดีจะทำให้รู้สึกอึดอัด แต่โครงการนี้ทำระแนงมาปิดชั้นนอกแล้วยังทำให้ด้านในไม่รู้สึกว่าถูกล้อมกรอบจนเกินไป ต้องขอปรบมือให้จริงๆ ค่ะ

ราคา

VI ARI (วี อารีย์) ราคา ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2566

  • บ้านเดี่ยว 3.5 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 53-56.4 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 550 ตร.ม.
    ฟังก์ชัน 3 ห้องนอน (สูงสุด 5 ห้องนอน) / 5 ห้องน้ำ + 1 Powder Room / 3 ที่จอดรถ / 1 ห้องแม่บ้าน / สระว่ายน้ำ ราคาเริ่มต้น 82 ล้านบาท
  • จองและทำสัญญา 7% ของราคาขาย
  • ค่าส่วนกลาง 400 บาท/ตร.วา/เดือน
    **ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ

บทสรุป

ทำเลและความสะดวกในการเดินทาง : Vi Ari (วี อารีย์) นั้นได้เปรียบในเรื่องของโลเคชั่นที่ตั้งอยู่ใจกลางอารีย์แบบจริงๆ ในซอยอารีย์ 3 จึงได้บรรยากาศความเป็นอารีย์มากกว่าโครงการอื่น เราสามารถเดินไปคาเฟ่หรือร้านอาหารที่อยู่ในโซนนี้ได้ มีเพื่อนบ้านซอยข้างๆ เป็นร้านอาหารชื่อดังเลยค่ะ

เข้า-ออกได้ 2 ฝั่งทั้งถนนพระราม 6 และถนนพหลโยธิน จึงเชื่อมต่อไปยังถนนสำคัญได้ง่ายและไปขึ้นทางพิเศษศรีรัชได้ง่ายมาก ทำให้การเดินทางของคนที่อยู่อาศัยในย่านนี้สามารถใช้ได้ทั้งรถไฟฟ้า รถสาธารณะและรถส่วนตัวเลย แต่มีข้อจำกัดอยู่นิดหน่อยว่าที่ตั้งของโครงการในซอยอารีย์ 3 นั้นเป็นถนน One Way หากต้องการไปซอยพหลโยธิน 7 จะต้องไปวนไปเข้าซอยอารีย์ 5 อีกทีค่ะ

ความปลอดภัยในโครงการและตัวบ้าน :  โครงการนี้ไม่ใช่โครงการจัดสรร เพราะมีจำนวนเพียง 6 ยูนิต จึงไม่จำเป็นต้องมีรั้วโครงการหรือพี่ รปภ. ก็ได้ แต่ความพิเศษของโครงการนี้คือ มีรั้วรอบขอบชิด, มีประตูโครงการที่ช่วยรักษาความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง พร้อมพี่ รปภ. ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง

ในส่วนของตัวบ้านก็มีระบบรักษาความปลอดภัยทั้ง CCTV บริเวณที่จอดรถ, Magnetic+ Shock Sensor ทุกชั้น, Smoke Alarm, Heat Detector, ระบบแจ้งเตือนเหตุผ่าน Siren และ Application

การออกแบบโครงการและพื้นที่ใช้สอย :

ผังโครงการ – ออกแบบให้มีถนนหลักอยู่กลางโครงการแล้วหันหน้าบ้านแต่ละหลังเข้าหาถนนโครงการ ต่างจากหลายๆ โครงการที่อยู่หันหน้าบ้านเข้าหาถนนสาธารณะ ทำให้ได้ที่นี่ได้ความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยมากกว่าโครงการอื่น

ตัวบ้าน – เทียบในกลุ่มบ้าน Super Luxury ด้วยกัน เราว่าดูสวยทุกโครงการเลย แตกต่างกันที่สไตล์การออกแบบ สำหรับที่นี่เราชอบที่เค้าเอาแรงบันดาลใจในการออกแบบจากบ้านพักอาศัยในย่านอารีย์ในยุค 70-80 และนำมาพัฒนาให้มีความทันสมัยขึ้น ทำให้ยังมีกลิ่นอายของทำเลเดิม ดูกลมกลืนกับพื้นที่ เช่น

  • การออกแบบหลังคาที่มีระยะยื่นยาวออกมาจากตัวอาคารและมีความลาดชันไม่มาก
  • ขนาดโครงสร้างหลังคาที่บาง
  • มีการสอดแทรกพื้นที่สีเขียวไปแต่ละชั้น
  • จุดที่ชอบที่สุดคือ Double Facade ที่มีแรงบันดาลใจมาจากระแนงไม้กันตก นำมาดัดแปลงเป็นระแนงกันแดดที่กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของตัวบ้าน ช่วยกรองแสง, ลดความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน เพิ่มความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย ซึ่งเทคนิคนี้ถ้าออกแบบไม่ละเอียดจะทำให้พื้นที่ภายในบ้านทึบตัน แต่ที่นี่ยังทำให้บริเวณด้านในไม่รู้สึกว่าถูกล้อมกรอบ ต้องขอชื่นชมค่ะ

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจของโครงการนี้คือ เราสามารถ Customize ได้ เอาใจคนที่อยากจะสร้างบ้านเองแต่ก็ไม่อยากจะรอสร้างนาน ก็สามารถปรับเลือกฟังก์ชัน (ก่อนการก่อสร้าง) และกำหนด Theme สีภายในบ้านตามแบบที่ชอบได้

วัสดุ : วัสดุส่วนใหญ่ใช้แบรนด์ Top และของนำเข้าที่เคยเห็นในบ้านระดับ Super Luxury อยู่แล้ว มีที่พิเศษในวัสดุปูพื้นที่ใช้ไม้สน Accoya มาปูพื้นชั้นบน เป็นไม้ที่ผ่านเทคโนโลยีในการปรับปรุงคุณภาพไม้ โดยการดึงสารอาหารสำหรับแมลงต่างๆ ออกจนเกือบหมด ทำให้ไม่มีอาหารของปลวกและแมลงอยู่ในตัวไม้ มีความสวยงามและคงทน มีการรับประกันสินค้าสูงสุดถึง 50 ปี

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี VI CARE SMART HOME ผ่าน Apps Life Smart ที่ออกแบบมาทั้งเพื่อความปลอดภัย, ความสะดวกสบาย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่นการติดตั้ง Solar Cell, เครื่องบดเศษอาหาร, เครื่องย่อยเศษอาหาร, EV Charger มาให้เรียบร้อย

สภาพโครงการ : โครงการมีภาพรวมที่เรียบร้อย เดินท่อร้อยสายไฟลงดิน

สาธารณูปโภค : พื้นที่สีเขียวหรือ Clubhouse ในโครงการนั้นไม่มีนะคะ เพราะถูกออกแบบไว้ในตัวบ้านแล้วเพื่อให้ใช้งานได้อย่างเป็นส่วนตัว แต่ยังมีการเรียกเก็บค่าส่วนกลาง 400 บาท/ตร.วา/เดือน เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับพี่ รปภ., การดูแลถนนในโครงการ และดูแลไปจนถึงสระว่ายน้ำและสวนในบ้านให้ด้วย อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ราคาค่อนข้างสูงก็เพราะแชร์กับลูกบ้านเพียง 6 ยูนิตเท่านั้นค่ะ

Judgement

สำหรับโครงการนี้เป็นโครงการระดับ Super Luxury เราจึงขอไม่ให้คะแนนนะคะ เพราะการตัดสินใจซื้อโครงการระดับนี้จะมีเหตุผลที่นอกเหนือจากความคุ้มค่าทางด้านฟังก์ชัน อย่างเช่นความชื่นชอบในเรื่องดีไซน์ ความสวยงาม ซึ่งเป็นอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยค่ะ

Vi Ari (วี อารีย์) เหมาะกับใคร

Vi Ari (วี อารีย์) เหมาะกับคนที่อยากได้บ้านในซอยอารีย์จริงๆ สามารถเดินไปคาเฟ่หรือร้านอาหารชื่อดังที่อยู่ในโซนนี้ได้ มองหาบ้านในโครงการที่มีรั้วรอบขอบชิด มีพี่รปภ. ดูแลรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมากๆ ไม่อยากอยู่บ้านที่หันหน้าเข้าถนนสาธารณะ ชอบบ้านที่ออกแบบให้มี Double Facade ช่วยบังสายตาจากคนภายในแต่เมื่ออยู่ภายในแล้วไม่อึดอัด มีพื้นที่สีเขียวและต้นไม้ใหญ่สอดแทรกในตัวบ้าน ไม่มี Clubhouse ในโครงการไม่เป็นไรแค่มีฟังก์ชันจัดไว้ให้ในบ้านครบถ้วนก็เพียงพอ มีงบประมาณเริ่มต้น 82 ล้านบาท (งบนี้ยังไม่รวมค่าตกแต่งนะคะ)