รีวิวฉบับที่ 2116 … สร้างเสร็จพร้อมให้เข้าอยู่กันแล้วนะคะสำหรับโครงการ The Tree หัวหมาก อินเตอร์เชนจ์ คอนโด High Rise ใกล้สถานี Interchange แยกลำสาลี 350 m. และติดกับสะพานข้ามคลองแสนแสบไป The Mall บางกะปิได้ มีความเป็นส่วนตัว ห้องหน้ากว้างดีไซน์ใหม่ จุดเด่นอยู่ที่ส่วนกลางให้มาเยอะ วางไว้บนชั้นสูงสุด ชมวิวได้ มี Sky Walk เชื่อมต่อทุกอาคาร เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในราคาเริ่มต้น 2.19 ล้านบาท
โครงการจัดงาน Exclusive Open House จัดโปรราคาพิเศษในวันที่ 29-30 สิงหาคมนี้ ใครสนใจคลิกละทะเบียนได้ที่นี่เลยค่ะ https://bit.ly/3l4GqS6
ข้อมูลโครงการ
29 August 2020
- The Tree Hua Mak Interchange (เดอะ ทรี หัวหมาก อินเตอร์เชนจ์)
- บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน)
- MAIN CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment ได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ : ถนนรามคำแหง เขตบางกะปิ
- คอนโด High Rise และ Low Rise ทั้งหมด 5 อาคาร จำนวน 589 ยูนิต และร้านค้า 1 ยูนิต แบ่งเป็น
- อาคาร A (อาคารส่วนกลางและร้านค้า) สูง 4 ชั้น
- อาคาร B, C และ D (อาคารชุดพักอาศัย) สูง 31 ชั้น
- อาคาร E (อาคารส่วนกลางและที่จอดรถ) สูง 10 ชั้น
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 7 ยูนิต
- ที่จอดรถประมาณ 271 คันคิดเป็น 46% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน)
- ที่ดินประมาณ 3-2-69.6 ไร่
- เริ่มก่อสร้าง : เดือนธันวาคม ปี 61
- สร้างเสร็จพร้อมอยู่ : เดือนกันยายน ปี 63
- ห้องพักอาศัย
- Studio 23.02 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.19 ล้านบาท
- 1 Bedroom 25.49-28.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.54 ล้านบาท
- 1 Bedroom Plus 37 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.1 ล้านบาท
- 2 Bedroom 42.5-42.82 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.2 ล้านบาท
สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มค่ะ
ทำเลที่ตั้ง
พิกัด Google Maps : 13.762427, 100.641840
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
แผนที่จากทางโครงการ The Tree Hua Mak Interchange (เดอะ ทรี หัวหมาก อินเตอร์เชนจ์) ค่ะ
โครงการ The Tree หัวหมาก อินเตอร์เชนจ์ ตั้งอยู่ในย่านบางกะปิ–รามคำแหง เป็นย่านแห่งมหาวิทยาลัย โดยมีมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ทั้งรามคำแหง และอัสสัมชัญ เรียกได้ว่าเป็น “แคมปัสทาวน์” อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ที่มีการแข่งขันกีฬารายการใหญ่มีผู้ชมนับแสนคน นับเป็นย่านที่มีศักยภาพสูง มีความคึกคักตลอดสาย และยังเป็นแหล่งชุมชนหนาแน่นดั่งเดิมที่มีมานาน จึงมีความอุดมสมบูรณ์พร้อมสำหรับการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัย
ด้านความอุดมสมบูรณ์ที่ใกล้โครงการมากที่สุดคงหนีไม่พ้นห้างร้านและตลาดต่างๆบริเวณแยกบางกะปิ ทั้ง The Mall บางกะปิ, ตะวันนา, Makro, Tesco Lotus, ตลาดบางกะปิ และห้างพันธุ์ทิพย์ โดยตัวโครงการเองยังมีอีกหนึ่งจุดเด่นคืออยู่ใกล้หรือจะเรียกว่าติดกับสะพานข้ามคลองแสนแสบให้เดินไปยังฝั่ง The Mall ได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องไปอ้อมให้รถติดที่แยกลำสาลีและแยกบางกะปิให้เสียเวลา จึงอยู่ใกล้แหล่งความอุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่ในระยะเดินถึงได้เลยค่ะ
เนื่องจากโครงการอยู่บนถนนรามคำแหงฝั่งขาออกมุ่งหน้าไปทางแยกลำสาลี โดยถนนเส้นนี้ขึ้นชื่อว่ารถติดมาก ยิ่งในปัจจุบันมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม จึงทำให้เราจะยังคงเห็นรถติดหนักอยู่แบบนี้อีกอย่างน้อย 2 – 3 ปี แต่เมื่อโครงการรถไฟฟ้าก่อสร้างแล้วเสร็จก็คาดว่าน่าจะช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรไปได้มากทีเดียว
ตัวโครงการตั้งอยู่ติดถนนรามคำแหงฝั่งขาออกจึงทำให้สะดวกต่อการเดินทางไปโซนบางกะปิ, ลาดพร้าว, นวมินทร์ และเสรีไทยหรือจะลงใต้เพื่อเชื่อมต่อกับถนนพัฒนาการ ถนนเพชรบุรี หรือไปอ่อนนุช สมุทรปราการได้สะดวกมากกว่าการเข้าเมืองมาทางฝั่ง ม.รามคำแหง หรือพระราม 9 นะคะ
สำหรับการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะของย่านนี้ ถือว่ามีตัวเลือกที่หลากหลาย ในปัจจุบันมีทั้งรถเมล์ เรือ Taxi วิมอเตอร์ไซค์ และที่สำคัญในตอนนี้ได้มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรมฯ – มีนบุรี) ซึ่งสถานีที่ใกล้ที่สุดคือ MRT สถานีลำสาลี ซึ่งเป็นสถานี Interchange กับสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และสายสีน้ำตาล (แคราย-ลำสาลี) โดยสถานีแยกลำสาลีจะอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 350 m. ซึ่งถือว่าเป็นระยะที่สามารถเดินได้สบาย
รถไฟฟ้าที่จะเสร็จเป็นสายแรกในทำเลรอบโครงการคือ สายสีเหลืองที่คาดว่าจะสร้างเสร็จและเปิดใช้บริการช่วงกลางปี 65 ตามมาด้วยสายสีส้มที่กำหนดเสร็จเลื่อนไปประมาณปี 67 ตามข่าวล่าสุดของ รฟม. ส่วนสายสีน้ำตาลคงต้องรอกันอีกหน่อยเพราะมีข่าวว่าจะเปิดประมูลช่วงปี 64
นอกจากการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าแล้วยังสามารถเดินทางด้วยเรือโดยสารที่คลองแสนแสบได้ โดยท่าเรือที่ใกล้ที่สุดคือ ท่าเรือ The Mall บางกะปิ ซึ่งอยู่ด้านหลังโครงการเพียงเดินข้ามสะพานลอยไปเท่านั้นเอง มีระยะห่างจากโครงการประมาณ 150 m. วัดระยะทางจากประตูหลัง แต่ถ้าจากหน้าโครงการที่ติดถนนรามคำแหงจะมีระยะห่างประมาณ 350 m. สามารถนั่งเรือเข้าเมืองไปทางอโศก ประตูน้ำ ไปสุดจนถึงผ่านฟ้าได้ง่ายมากๆ
การเดินทางในวันนี้จะพาเดินมาจากท่าเรือ The Mall บางกะปิ แล้วใช้สะพานข้ามคลองแสนแสบเดินมายังหน้าโครงการที่ติดถนนรามคำแหง มีระยะประมาณ 350 m. ค่ะ
เส้นทางการเดินทาง
ท่าเรือ The Mall บางกะปิ นับว่าเป็นท่าเรือที่มีคนขึ้น-ลงเยอะสถานีหนึ่งในเส้นทางคลองแสนแสบนี้เลยนะคะ
จากโครงการเราจะพาไปดูบรรยากาศบริเวณรอบๆ บนถนนรามคำแหงกันอีกสักหน่อย โดยจะพาเดินไปบริเวณแยกลำสาลี ซึ่งเป็นตำแหน่งของที่ตั้งสถานี Interchange แยกลำสาลีในอนาคต มีระยะจากโครงการประมาณ 350 เมตร
จากหน้าโครงการ The Tree หัวหมาก Interchange ให้เราเดินไปทางฝั่งซ้ายผ่านหน้าโชว์รูม Mazda ไปนะคะ
บรรยากาศบริเวณริมถนนรามคำแหงเป็นอาคารพาณิชย์ดั้งเดิมที่เปิดชั้นล่างเป็นร้านค้าไปตลอดทาง มีทั้งร้านขายผ้าม่าน, สตูดิโอแต่งงาน, ร้านทำผม, รร.สอนขับรถ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนในย่านนี้
เดินมาไม่ไกลมี UK Plaza ที่เปิดเป็นศูนย์อาหาร มีทั้งร้านขายอาหาร ร้านขายกาแฟ ซึ่งเราถามพี่วินแถวนี้เค้าบอกว่าจะคึกคักช่วงเย็นๆ หน่อยนะ
วันนี้เราแวะทานข้าวที่นี่แหละ เพราะมีร้านอาหารบางส่วนที่เปิดในช่วงกลางวันด้วยเช่นกัน
ถัดไปเป็น 7-11 ที่อยู่ใกล้แยกลำสาลีเลย ถ้าในอนาคตลงจากสถานี Interchange ก็สามารถมาแวะซื้อของกินของใช้ก่อนกลับเข้าโครงการได้ หรือในช่วงที่ 7-11 หน้าโครงการยังไม่เปิดก็มาพึ่งพิงที่สาขานี้ก่อนได้ค่ะ
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ
มาดูบริบทโดยรอบโครงการกันบ้างค่ะ ที่ดินโครงการตั้งอยู่บนถนนรามคำแหงฝั่งขาออก ซึ่งเป็นฝั่งถนนที่ไม่มีอาคารสูงมาบังวิวเลย โดยรอบเป็นชุมชนที่พักอาศัยแนวราบสูงไม่เกิน 8 ชั้น สามารถสรุปได้ดังนี้
- ทิศเหนือ เป็นด้านหลังของโครงการ ติดกับคลองแสนแสบ ฝั่งตรงข้ามเป็นห้าง The Mall, ตะวันนา และ Makro
- ทิศใต้ เป็นด้านหน้าโครงการ ติดกับถนนรามคำแหง มีทางยกระดับอยู่ด้านหน้าและในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าใต้ดินวิ่งผ่าน ฝั่งตรงข้ามเป็นอาคารพาณิชย์และธนาคารสูงไม่เกิน 8 ชั้น และเยื้องๆ กันทางขวาเป็นคอนโดสูง 23 ชั้น
- ทิศตะวันออก ติดกับลานจอดรถของ The Mall ถัดออกไปเป็นอาคารพักอาศัยและคอนโดสูงไม่เกิน 8 ชั้น
- ทิศตะวันตก ติดกับโชว์รูม Mazda และอาคารพาณิชย์และหอพักสูงไม่เกิน 8 ชั้น
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- ตะวันนา ไนท์ บาร์ซาร์ ~ 400 ม.
- The Mall บางกะปิ ~ 500 ม.
- Makro ลาดพร้าว ~ 750 ม.
- รพ.รามคำแหง ~ 1.2 กม.
- Tesco Lotus บางกะปิ ~ 1.8 กม.
- รพ.เวชธานี ~ 2.5 กม.
- รามคำแหง ไนท์ มาร์เก็ต (ตลาดนัด กกท.) ~ 2.5 กม.
- สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ~ 2.6 กม.
- HOMEPRO รามคำแหง ~ 2.6 กม.
- ม.รามคำแหง ~ 2.7 กม.
- ม.รัตนบัณฑิต ~ 3.7 กม.
- รร.สาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง ~ 3.8 กม.
- ม.อัสสัมชัญ (วิทยาเขตหัวหมาก) ~ 4.1 กม.
- รพ.สมิติเวชศรีนครินทร์ ~ 4.4 กม.
- รร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ~ 4.7 กม.
- The Nine Center พระราม 9 ~ 6.2 กม.
- The Mall รามคำแหง ~ 6.6 กม.
- สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น ~ 7.2 กม.
- ม.เกษมบัณฑิต ~ 7.2 กม.
- รพ.ปิยะเวท ~ 10.7 กม.
- รพ.กรุงเทพ ~ 11 กม.
- รพ.พระราม 9 ~ 11.8 กม.
รายละเอียดโครงการ
โครงการ The Tree หัวหมาก อินเตอร์เชนจ์ นับเป็นคอนโด High Rise ที่ออกแบบมาได้น่าสนใจ เราขอสรุปเป็น 3 เรื่องหลักๆ ดังนี้
- การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางของโครงการที่ยก Facilities ไปไว้ชั้นบนของอาคาร ซึ่งคอนโด High Rise ส่วนใหญ่ในทำเลรอบสถานีนี้จะจัดส่วนกลางไว้ที่ชั้นล่างๆ เท่านั้น
- อีกเรื่องหนึ่งคือการออกแบบห้องหน้ากว้าง 8 เมตร ทำให้ห้องพักได้แสงธรรมชาติผ่านเข้ามาตลอดแนว ซึ่งหาไม่ได้จากโครงการในทำเลรอบสถานีนี้อีกเช่นกัน
- เป็นโครงการที่เน้นความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย ในแต่ละชั้นจะมีจำนวนยูนิตของห้องพักอยู่เพียง 7 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งคอนโดส่วนใหญ่ในทำเลนี้มักเป็นอาคารใหญ่ มียูนิตต่อชั้นค่อนข้างเยอะ อยู่ในช่วง 20-60 ยูนิตต่อชั้นเลยทีเดียว
โครงการนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่มองหาคอนโด High Rise มือหนึ่งใกล้สถานี Interchange แยกลำสาลี ใกล้ The Mall แบบเดินไปได้ ให้ความสำคัญกับเรื่องความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย อยากได้ห้องหน้ากว้าง ชอบพื้นที่ส่วนกลางที่อยู่บนชั้นสูง ชมวิวได้ แต่แน่นอนว่าก็โครงการที่ดูเพียบพร้อมแบบนี้ก็ต้องมีราคาที่ขยับขึ้นมาจากเพื่อนๆ นิดหน่อย แต่ส่วนตัวเรารู้สึกว่าไม่ได้แพงกว่าโครงการอื่นๆ มาก ถ้าราคา Package อยู่ในงบก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ
มาดูรายละเอียดของโครงการกันต่อ.. The Tree หัวหมาก อินเตอร์เชนจ์ เป็นคอนโด High Rise สูง 31 ชั้น จำนวน 5 อาคาร บนที่ดินขนาดประมาณ 3 ไร่ครึ่ง แบ่งออกเป็น
- อาคาร A สูง 4 ชั้น เป็นร้านค้า และ Facilities ส่วนกลาง
- อาคาร B, C, D เป็นอาคารพักอาศัยสูง 31 ชั้น 3 อาคาร จำนวนทั้งหมด 589 ยูนิต ตกเฉลี่ยอาคารละไม่ถึง 200 ยูนิต จึงได้ความเป็นส่วนตัว และชั้นบนสุดของทั้ง 3 อาคารเป็น Facilities ส่วนกลางแบบเต็มชั้น สามารถเดินเชื่อมถึงกันได้ทุกอาคาร
- อาคาร E อยู่ด้านในสุดเป็นอาคารจอดรถ 10 ชั้น และมี Facilities ส่วนกลางให้ที่ Roof Top ด้วย
ถึงแม้ว่าที่ดินของโครงการจะเป็นแนวยาว และแบ่งตึกย่อยๆ เป็น 5 อาคารแต่ทุกอาคารจะมี Sky Walk เดินเชื่อมถึงกันได้หมด จึงสามารถใช้งานทุกอาคารได้สะดวก
จาก Master Plan ของโครงการจะเห็นว่าแปลงที่ดินเป็นแนวยาว ด้านหน้าติดถนนรามคำแหงและด้านหลังติดคลองแสนแสบ ซึ่งโครงการเปิดทางเข้า-ออกไว้ทั้ง 2 ทาง โดยด้านหน้าจะเป็นทางเข้าออกหลัก ที่สามารถขับรถยนต์เข้ามาได้ ส่วนด้านหลังจะเป็นประตูคนเดินเข้าออกที่เชื่อมกับทางเดินริมคลอง ทำให้เวลาที่ลูกบ้านอยากเดินข้ามคลองไป The Mall หรือไปขึ้นเรือก็สะดวกเลยนะ
อาคาร A ที่อยู่ด้านหน้าสุดจะเป็นร้านค้า ซึ่งยืนยันแล้วว่าเป็น 7-11 มาเปิดในอนาคต ซึ่งเวลาคนภายนอกเข้ามาใช้บริการร้านค้าจะไม่ต้องเข้าไปรบกวนอาคารพักอาศัยด้านใน ทำให้เกิดความเป็นส่วนตัว
ถัดเข้าไปที่อาคาร B, C, D จะมี Lobby แยกเป็นส่วนตัวในแต่ละอาคาร และอาคารที่อยู่ด้านในสุดคืออาคารจอดรถ เวลาจอดรถเสร็จก็มี Sky Walk ให้เดินเข้าอาคารพักอาศัยได้ง่ายๆ ค่ะ
เราไปเก็บรูปโครงการมาช่วงกลางๆ เดือนสิงหาคม ซึ่งทุกอย่างใกล้จะเรียบร้อยดีแล้ว แต่ยังมีช่างเก็บงานอยู่ในหลายๆ ส่วน ถ้าเสร็จแบบ 100% คงจะดูสวยขึ้นกว่านี้ ><
ทางเข้าโครงการจะไม่ได้มีรั้วชัดเจนเหมือนโครงการอื่นๆ นะคะ เพราะโครงการตั้งใจทำชั้น 1 ของอาคาร A ให้เป็นร้านค้า จึงต้องเปิดพื้นที่ให้โล่ง ดูน่าเข้ามาช้อปปิ้งกันหน่อย และดันไม้กั้นกระดกและซุ้มรปภ. ไปไว้ด้านในนิดนึงด้วย ซึ่งแบบนี้ก็มีข้อดีตรงที่ลูกบ้านมีพื้นที่ให้จอดรถเข้าคิวสแกนบัตร ไม่ทำให้รถติดบนถนนรามคำแหงเพิ่มขึ้น
โครงการแยกพื้นที่ของร้านค้าและทางเข้า Lobby ไว้ชัดเจนเป็นคนละประตูกัน สำหรับแขกของลูกบ้าน สามารถเข้าไปนั่งรอใน Lobby ได้ แต่ไม่สามารถขึ้นในส่วนของพื้นที่พักอาศัยได้เพราะต้องใช้ Key Card
พื้นที่ร้านค้าในตอนนี้ยังคงเป็นสำนักขายอยู่ คาดว่าคงต้องรอให้ปิดการขายทั้งหมดก่อนจึงจะปรับเป็นร้านค้าในภายหลัง เห็นหลายๆ โครงการก็มีวิธีจัดการแบบเดียวกันนี่แหละ จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วนะคะ
สำหรับ Lobby ที่อาคาร A จะเป็น Lobby กลางที่ลูกบ้านทุกอาคารสามารถเข้ามาใช้งานได้ เรามองว่าเป็นพื้นที่ที่เหมาะกับการนัดแขกที่ไม่สนิทมาก อย่างเช่น Private Trainer หรือนัดลูกค้า, Supplier มาคุยงาน เพราะลูกบ้านจะสามารถพาแขกขึ้นไป Co-working Space และ Fitness ที่อยู่บนชั้น 3, 4 ของอาคาร A ได้สะดวก ไม่ต้องเดินข้ามตึกและไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวในการพักอาศัย B, C และ D ด้วย
ทางเข้า Lift Lobby จะต้องใช้ Key Card เพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยนะคะ
Co-Working Space จะอยู่ที่ชั้น 3 และเป็นชั้นที่มี Sky Walk เดินเชื่อมเข้าอาคารพักอาศัย
บรรยากาศภายใน Co-Working Space จัดไว้สวยทีเดียว เรียกว่านัดแขกมาคุยงานก็ไม่อายใคร รู้สึกว่าโครงการให้ความสำคัญกับฟังก์ชันในห้องนี้ เพราะจัดพื้นที่ให้เหมาะกับกิจกรรมหลายๆ อย่างทั้ง นั่งเล่น ทำงาน ประชุม
โต๊ะนั่งทำงานก็มีปลั๊กไฟติดตั้งมาให้
วันไหนอยากได้ความเป็นส่วนตัวหน่อยก็มีห้องประชุมให้ใช้งานได้
ขึ้นมาที่ชั้น 4 เป็นห้อง Fitness ที่ดูโปร่งโล่งด้วยผนังกระจก 2 ด้าน วางเครื่องออกกำลังกายเอาไว้ประมาณ 12 เครื่อง และจัดวางเครื่องออกกำลังกายให้หันหน้าออกไปทางผนังกระจก เพื่อชมวิวได้สะดวก
เครื่องออกกำลังกายภายในห้องมีความหลากหลายทั้งแบบที่เหมาะกับการเล่นเวท สร้างกล้ามและคนที่ต้องการออกกำลังแบบคาร์ดิโอ
ใช้เครื่องออกกำลังกายของยี่ห้อ Life Pro
บนชั้นเดียวกับ Fitness ก็จะมีห้องน้ำหญิง/ชาย แยกไว้เรียบร้อย
ภายในมี Locker ให้มาเก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนออกกำลังกายได้
อีกฝั่งหนึ่งเป็นอ่างล้างมือและห้องน้ำค่ะ
ถัดมาที่อาคารพักอาศัย B, C, D เราขยายแปลน Lobby ชั้น 1 มาให้ดูกันชัดๆ และเนื่องจากอาคารพักอาศัยทั้ง 3 อาคารมีลักษณะคล้ายกัน จึงยกตัวอย่างแปลนชั้น 1 ของอาคาร C มาอาคารเดียวนะ
ตัว Lobby ของอาคารพักอาศัยจะสามารถเข้าออกได้ 2 ฝั่ง ซึ่งต้องใช้ Key Card ในการเข้าออกเพื่อความเป็นส่วนตัวและปลอดภัย ถ้าลูกบ้านมีแขกมาหาก็สามารถมานั่งรอที่ Outdoor Waiting Area ได้
เมื่อสแกน Keycard เข้ามาใน Lobby จะมีชุดโซฟาที่นั่ง 2 ชุด ทางมุมซ้ายเป็นห้อง Mail box ส่วนตรงกลางเป็นโถงลิฟต์ซึ่งมีลิฟต์โดยสารทั้งหมด 2 ตัว
ภายใน Lobby ดูกว้างด้วยเพดานสูงโปร่ง พื้นที่กว้าง ถ้าเทียบขนาด Lobby กับจำนวนยูนิตในคอนโดเราว่าใช้สอยแบบสบายๆ ออกแบบตกแต่งสไตล์เรียบหรูและทันสมัย ใช้หินอ่อนโทนสีดำและเฟอร์นิเจอร์สีเอิร์ธโทน ทำให้ดูเรียบง่าย สว่างและสบายตา
บริเวณ Lobby มีบางส่วนที่ออกแบบเป็นโถงเพดานสูงขึ้นไปถึงชั้น 2 ที่เป็นชั้น Sky Walk จึงทำให้มีช่องเปิดโล่ง (Void) เกิดขึ้นได้ ทำให้ชั้น 1 และ ชั้น 2 มองเห็นกันได้
อีกมุมหนึ่งใน Lobby เป็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ 8 ที่นั่ง ตอบโจทย์การทำงานในสมัยนี้ที่เริ่มมีการ Work From Home มากขึ้น
อีกส่วนหนึ่งที่เราจะพาชมคืออาคารจอดรถ ที่เป็นอาคารด้านในสุด จอดรถได้ประมาณ 271 คันคิดเป็น 46% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน) ขนาดทางขึ้นลงได้มาตรฐานดี
ช่องจอดรถมีขนาดตามมาตรฐาน ด้านหลังมีตัวหนอนเป็นกันชนไว้ให้เรียบร้อย
จากอาคารจอดรถจะมีทางเดินเชื่อมแบบ Sky Walk ที่เชื่อมเข้าบริเวณชั้น 2 ของอาคารพักอาศัย มีหลังคาคลุมเรียบร้อยดี ทำให้สามารถใช้งานได้ดี ช่วยบังแดดบังฝนได้
ชั้นดาดฟ้าของอาคารจอดรถจะมี Facilities ได้แก่ สนามฟุตซอล สนามเด็กเล่น และสวนพักผ่อนบนดาดฟ้า ซึ่งลูกบ้านทุกคนจะสามารถขึ้นมาใช้งานได้
อาจจะไม่ได้มาใช้งานสะดวกมากนัก เพราะจากทางเชื่อมอาคารก็ต้องขึ้นลิฟต์มาอีกหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นการใช้พื้นที่ดาดฟ้าของอาคารจอดรถให้ได้ประโยชน์เต็มพื้นที่จริงๆ
ขึ้นมาที่ชั้น 2 จะยังไม่ได้เป็นชั้นพักอาศัยนะคะ หลักๆแล้วในชั้นนี้จะเป็น Sky Walk ที่เชื่อมตึกยาวตั้งแต่อาคาร A ด้านหน้าสุดที่เป็นร้านค้าและ Facilities ผ่านอาคารพักอาศัยทั้ง 3 อาคาร ไปจนถึงอาคารจอดรถด้านหลังสุด ทำให้ทุกอาคารเดินเชื่อมถึงกันได้หมด
มี Facilities บางส่วนที่จัดไว้บนชั้น 2 ของอาคาร B, C, D โดยจัดเป็น Relaxing Room 3 ห้อง จัดไว้ให้อาคารละ 1 ห้องเลย จึงถือว่าจัดพื้นที่ส่วนกลางมาให้เยอะ แชร์กันใช้ได้สะดวก
ทางเชื่อมอาคารบนชั้น 2 บรรยากาศดูโปร่งโล่ง เพราะได้แสงธรรมชาติที่ส่องผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาในอาคาร การออกแบบที่ใช้โทนสีขาวและหินอ่อนทำให้บรรยากาศดูเรียบร้อย น่าใช้งานดี
Relaxing Room ที่วางตำแหน่งไว้บนชั้น 2 ของทุกอาคาร เป็นพื้นที่นั่งเล่นอีกจุดหนึ่งที่ให้ความเป็นส่วนตัว
ภายใน Relaxing Room จัดวางชุดโซฟาขนาดใหญ่ไว้ นั่งเล่นได้ประมาณ 6-8 คน
โต๊ะกลางที่โครงการเลือกไว้เป็นโต๊ะเล็ก 3 ตัว หากมาเป็นคู่ หรือ 2-3 คน ก็สามารถแยกโต๊ะทำงานได้หลายกลุ่ม
จากทางเดินภายในอาคารพักอาศัยก็จะมี Sky Walk เชื่อมเข้ากับอาคาร A บริเวณชั้น 3 ซึ่ง Sky Walk ของแต่ละอาคารจะมีหลังคาคลุมกันแดดกันฝนได้
สำหรับแปลนชั้นพักอาศัยของทั้ง 3 อาคารจะคล้ายๆ กันทั้งหมด เราจะยกแปลนของอาคาร B มาให้ดูกันนะคะ ..ห้องพักอาศัยจะเริ่มต้นตั้งแต่ชั้น 3 ซึ่งจะใช้แปลนเดียวกันนี้ไปจนถึงชั้น 21 เลย เป็นอาคารรูปตัว I (ไอ) โถงลิฟต์จะมีลิฟต์โดยสาร 2 ตัว และบันไดหนีไฟ 2 ตำแหน่งวางอยู่ตรงกลางอาคารทำให้ทุกห้องพักมาใช้งานได้สะดวก
ห้องพักอาศัยมีให้เลือก 2 ทิศ คือห้องทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก รวมแล้วอาคารชั้นพักอาศัยจะมีจำนวน 7 ยูนิตต่อชั้น และมีอัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 98 : 1 ซึ่งถือว่าไม่หนาแน่นค่ะ ใช้งานได้สบายๆเลย
ห้องพักทางทิศตะวันออกเป็นห้อง 1-Bedroon ทั้งหมด 4 ยูนิต เป็นทิศที่ได้แดดเช้าและไม่ร้อนในตอนบ่าย สามารถมองวิวออกไปได้กว้างเพราะเป็นวิวชุมชนแนวราบ แต่ในอนาคตจะมีคอนโดสูงขึ้นตามแนวถนนรามคำแหงอยู่หลายแห่ง มาบังวิวในระยะไกลอยู่บ้าง แต่ในระยะใกล้ๆ กันนั้นยังไม่มีอาคารบล็อกวิวนะคะ
ส่วนห้องทางทิศตะวันตกเป็นทิศที่อาจมีแดดร้อนส่องเข้ามาในเวลาหลังบ่าย และมีห้องเพียง 3 ยูนิตเท่านั้น แบ่งเป็นห้อง 2-Bedroom อยู่ตรงมุมทั้ง 2 ข้าง และมีห้อง Studio เพียงห้องเดียวอยู่ตรงกลาง หันหน้าออกไปได้วิวเปิดโล่งของชุมชนแนวราบอีกเช่นกัน อีกหนึ่งจุดเด่นคือ Corridor ภายในจะไม่ได้ยาวจนสุดอาคาร แต่จะมีพื้นที่เปิดโล่งตรงกลางระหว่างอาคารซึ่งทำให้ห้อง 2-Bedroom สามารถเปิดช่องระบายอากาศเพิ่มขึ้นได้
ชั้นพักอาศัยตั้งแต่ชั้น 22 ขึ้นไป จะมีการปรับแบบจากตอนเปิดตัว โดยลดห้องพักอาศัยแบบ 2-Bedroom ลงเหลือ 1 ห้อง, แบบ 1-Bedroom 5 ห้อง และแบบ 1-Bedroom Plus อีก 1 ห้อง ทำให้ห้องพักอาศัยในโครงการมีจำนวนห้องที่เป็นแบบ 1-Bedroom และ 1-Bedroom Plus เพิ่มขึ้น ราคา Package ต่อห้องก็ถูกลง ในเรื่องของวิวก็ไม่ต่างจากชั้น 3-21 นะคะ แต่เมื่อชั้นสูงขึ้นก็จะมีวิวที่กว้างขึ้นด้วย
โถงลิฟต์ของอาคาร B, C, D มีลิฟต์อาคารละ 2 ตัว อยู่ในประตูหนีไฟ ซึ่งประตูจะหนักหน่อยเพราะเป็นประตูที่ใช้กันไฟได้
บรรยากาศของโถงทางเดินบนชั้นพักอาศัย จะได้แสงธรรมชาติเข้ามาจากหน้าต่างทั้ง 2 ฝั่ง แต่แสงเข้ามาได้ไม่มากนัก คงต้องเปิดไฟตามทางเดินบ้างแม้ในช่วงกลางวัน
ขึ้นมาที่ชั้น 31 เป็นชั้น Main Facilities และห้องพักอาศัย มีทางเดิน Skywalk เชื่อมต่อกันทั้ง 3 อาคาร โดยที่อาคาร B และอาคาร D จะมีห้องพักอาศัยอาคารละ 4 ยูนิต ซึ่งจะต้องมี Key Card จึงจะเข้าไปในโซนห้องพักได้ ห้องพักในชั้นนี้จึงยังได้ความปลอดภัย ส่วนเรื่องของความเป็นส่วนตัวคงไม่เท่ากับชั้นอื่นๆ ที่เป็นห้องพักอาศัยทั้งหมดไม่ได้ แต่ก็ออกมาใช้ Facilities ได้ง่ายมากๆ
สำหรับ Facilities บนชั้นนี้ไล่ตั้งแต่อาคาร B > C > D จะมี Sky Lounge, Theatre Room, O2 Creative Space, ห้องน้ำส่วนกลาง, ทางขึ้นสระว่ายน้ำ, O2 Lounge และ Kid’s Room
แต่ละห้องคงเป็นชื่อที่คุ้นหูกันอยู่แล้วยกเว้น O2 Lounge กับ O2 Creative Space ที่เป็น Signature ซึ่งทางโครงการอธิบายว่าเป็นห้องที่มีปริมาณออกซิเจนมากกว่าบนท้องถนนภายนอกที่มีออกซิเจนอยู่ที่ 19% ในขณะที่ห้องนี้จะมีระบบปรับอากาศที่จะช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนเป็น 21% ทำให้รู้สึกสดชื่น หายใจได้เต็มปอด เปรียบเสมือนได้ไปเที่ยวเขาใหญ่หรือวังน้ำเขียวนั่นเอง พอดีวันที่เราไปถ่ายรูปยังไม่มีการเปิดระบบ O2 ถ้าใครได้ลองเข้าใช้ห้องนี้แล้ว ก็มาคอมเมนต์เล่าให้ฟังกันบ้างนะคะ^^
บนชั้น 31 จะมีทางเดินกลางอาคารที่เชื่อมอาคาร B, C, D ไว้ ทำให้ลูกบ้านทุกอาคารสามารถเข้าถึง Facilities ทั้งหมดได้สะดวก และ Facilities แต่ละห้องก็จะอยู่ 2 ฝั่งซ้ายขวาของโถงทางเดิน เราจะพาไปชมทีละห้องไล่มาจากอาคาร B > C > D นะคะ
เริ่มต้นที่ Sky Lounge เป็นห้องชมวิวที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทำให้สามารถชมอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าได้ และสามารถขึ้นมานั่งใช้งานในตอนกลางวันได้จริงเพราะแดดไม่ร้อนอีกด้วย
บรรยากาศภายในห้องจะได้วิวเมืองเต็มๆ เพราะเค้าออกแบบให้เป็นผนังกระจกบานใหญ่ เกือบ Full Height เลยทีเดียว ภายในจัดชุดโซฟาไว้ให้นั่งเล่นไว้หลายชุด
ฝั่งตรงข้าม Sky Lounge เป็นTheater Room ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศก็สามารถมาเปิดหนังดูที่ห้องนี้แทนได้ พื้นที่ภายในห้องค่อนข้างกว้าง ถ้านับตามที่นั่งของโซฟาก็นั่งชิลๆ ได้ 10 กว่าคน แต่คงต้องถามนิติฯ ดูอีกทีว่ามีวิธีจัดการอย่างไร ต้องจองคิวรึเปล่าค่ะ
ชุดโซฟาแบ่งออกเป็น 2 Step ส่วนนี้จะมีระดับที่สูงขึ้นมาหน่อย ทำให้ดูทีวีได้สะดวก ห้องนี้อยู่ทางทิศตะวันตก ถ้าช่วงเย็นๆ ที่แดดร่มหน่อยก็สามารถเปิดม่าน เพื่อชมวิวไปดูหนังไปก็ได้นะคะ
ถัดมาที่อาคาร C จะมีห้อง O2 Creative Space เป็นห้องที่จัดฟังก์ชันไว้สำหรับนั่งทำงานโดยเฉพาะ โดยแบ่งเป็นโต๊ะเล็กๆ ให้ได้ความเป็นส่วนตัวในการทำงาน พร้อมทั้งติดปลั๊กไฟไว้ให้เรียบร้อยเลยด้วย
บางมุมก็จัดให้นั่งหันออกไปชมวิวได้ ซึ่งตำแหน่งของห้องจะอยู่ทางทิศตะวันออก จึงเหมาะจะใช้งานในช่วงเที่ยงๆ บ่ายๆ ที่แสงอาทิตย์ไม่ส่องผ่านเข้ามาแล้ว
ใครมาเป็นกลุ่มแบบ 2 – 3 คนก็เลือกนั่งโต๊ะแบบนี้แทนได้
ขยับมาที่อาคาร D จัด Facilities ไว้เป็น O2 Lounge ฟังก์ชันคล้ายๆ Sky Lounge นั่นแหละค่ะแต่มีความพิเศษขึ้นมาตรงที่มีปริมาณออกซิเจนในห้องที่สูงกว่าห้องอื่น จึงตกแต่งให้บรรยากาศคล้ายต้นไม้ใหญ่ เพื่อเพิ่มความสดชื่นเวลาขึ้นมานั่งพักผ่อน
นั่งรับออกซิเจนไปก็ชมวิวเมืองไปได้แบบเพลินๆ
ฝั่งตรงข้าม O2 Lounge เป็น Kid’s Room ที่ตกแต่งมาด้วยสีสันเหมือนเทพนิยายเลย
ห้องนี้จะอยู่ทางทิศตะวันตกจึงอาจจะร้อนสักหน่อย เหมาะจะขึ้นมาใช้งานในช่วงเช้า หรือเย็นที่แดดร่มสักนิด วัสดุและเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ภายในห้องดูเหมาะสมกับเด็กๆ ดี โดยปูพรมที่พื้นเพื่อกันเด็กหกล้ม และมีชุดโต๊ะเก้าอี้ตัวจิ๋วให้คุณหนูๆ ได้มานั่งเล่น พบปะกับเพื่อนๆ ด้วย
มีของเล่นเสริมพัฒนาการอย่างชุดครัวให้เด็กๆ ได้มาสนุกกัน
ชั้นสุดท้ายคือ Roof Top ชั้นนี้จะมีแค่อาคาร C เท่านั้นโดยจะเดินขึ้นบันไดมาจากชั้น 31 อีกทีหนึ่ง ฟังก์ชันหลักๆ บนชั้นนี้คือ สระว่ายน้ำขนาด 30 x 6 m. ภายในแบ่งเป็น Kid’s Pool และ Jacuzzi
นอกจากนี้ยังมีบันไดเดินต่อขึ้นมาชั้นบนอีกนิดหน่อย เป็น Panoramic View Deck ไว้ขึ้นไปชมวิวได้
บรรยากาศของสระว่ายน้ำที่เปิดให้ชมวิวเมืองได้ตลอดแนวความยาวของสระเลย เป็นสระแบบ Outdoor จึงเหมาะกับการขึ้นมาใช้ในช่วงเย็นๆ หน่อยที่แดดร่มหน่อย และเหนือสระขึ้นไปจะมีบันไดให้ขึ้นไปชมวิวบน Panoramic View Deck ได้ค่ะ
ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดของโครงการก็จะขอปิดท้ายด้วยเรื่องวิว ซึ่งห้องพักอาศัยของโครงการนี้มีให้เลือกอยู่ 2 ฝั่งคือ ห้องทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ดูๆ จากบริบทโดยรอบแล้วยังไม่มีอาคารสูงขึ้นมาบล็อกวิวในระยะประชิดทั้ง 2 ฝั่ง แต่เนื่องจากถนนรามคำแหงเป็นถนนที่มีศักยภาพคงมีการพัฒนาของที่ดินในอนาคตอย่างแน่นอน
ทิศตะวันออก : ปัจจุบันติดกับโชว์รูม Mazda ซึ่งแปลงที่ดินด้านในยังเป็นที่ดินเปล่า ก็คงต้องรอดูว่าในอนาคตจะถูกพัฒนาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นหรือไม่ แต่เท่าที่ทราบตอนนี้ก็จะมีคอนโดสูงมาเตรียมขึ้นทางฝั่งตะวันออกอยู่ 1 โครงการ แต่มีระยะห่างจากโครงการพอสมควรไม่ได้บังวิวในระยะประชิดค่ะ
ทิศตะวันตก : ติดกับลานจอดรถของ The Mall ซึ่งก็ต้องรอดูเหมือนกันว่าในอนาคตจะยังคงเป็นลานจอดรถหรือจะถูกพัฒนาไปขึ้นอาคารหรือไม่ ถัดไปเป็นคอนโดและหอพัก ซึ่งเป็นแบบ Low Rise ก็จะบังวิวระยะไกลหน่อยของห้องพักในชั้นล่างๆ ถ้าเลือกห้องที่สูงขึ้นมาหน่อยสักชั้น 10 ก็ไม่โดนบังแล้ว เราเก็บภาพจากห้องพักทั้ง 2 ฝั่งมาฝากกันค่ะ
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นวิวของห้องพักอาคาร D ที่มองไปทาง The Mall วิวเคลียร์มากๆ เลย ยังไม่มีอาคารสูงขึ้นมาบัง ได้วิวของบ้านพักอาศัยในย่านนี้
ทิศตะวันออกก็ยังได้วิวที่เคลียร์อยู่ แต่ในอนาคตจะมีอาคารสูงขึ้นบนถนนรามคำแหงมากขึ้นอย่างแน่นอน เท่าที่เห็นตอนนี้คือมีอาคารสูงจะขึ้นอยู่ 1 อาคาร บนแปลงที่ดินเปล่าสีเขียว แต่มีระยะห่างจากโครงการพอสมควร ไม่ได้บล็อกวิวในระยะประชิดค่ะ
ทิศตะวันออกเฉียงใต้จะมองผ่านถนนรามคำแหงไปฝั่งตรงข้าม ตอนนี้ยังได้วิวเคลียร์ๆ อยู่เช่นกันค่ะ
ถัดมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จะได้วิวบนถนนรามคำแหงที่มองเข้าเมืองไปทาง ม. รามคำแหง จะเริ่มเห็นอาคารสูงริมถนนรามคำแหงทยอยมาสร้างใหม่กันอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในระยะประชิด หรือทำให้วิวดูอึดอัดนะคะ
ทิศตะวันตกได้วิวโล่งๆ เคลียร์ๆ ถ้าไม่ติดว่ามีแปลงที่ดินลานจอดรถของ The Mall อยู่ เราคิดว่าฝั่งนี้น่าจะไม่มีอาคารสูงมาบังวิวในระยะประชิดได้ เพราะถัดจากแปลงที่จอดรถของ The Mall ก็จะเป็นกลุ่มคอนโด และหอพัก ซึ่งรวมแปลงที่ดินได้ยากแล้วค่ะ
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือจะได้วิวคลองแสนแสบและ Makro ซึ่งวิวจะดูโล่งๆ แบบนี้ หากที่ดินตรง Makro ไม่ได้ถูกนำไปขึ้นเป็นอาคารสูงนะคะ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
อาคาร A
- Shop
- Lobby
- Co-Working Space
- Fitness
อาคาร B, C, D
- Sky Lounge
- Theatre Room
- O2 Lounge
- O2 Creative Space
- Co-Kid’s Playground
- Swimming Pool 1 สระ ระบบเกลือ ขนาด 30 x 6 เมตร
- Jacuzzi
- Kid’s Pool
- Kids Room
- Courtyard Garden
- Play Ground
- ลิฟต์โดยสาร 2 ตัว/อาคาร
- อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 98 : 1
- อัตราส่วนลิฟต์ตึก B 100 : 1
- อัตราส่วนลิฟต์ตึก C 98 : 1
- อัตราส่วนลิฟต์ตึก D 100 : 1
- ที่จอดรถประมาณ 271 คันคิดเป็น 46 % (ไม่รวมจอดซ้อนคัน)
- ระบบ CCTV / Access Card
แบบห้อง
โครงการ The Tree หัวหมาก อินเตอร์เชนจ์ มีห้องให้เลือกหลักๆ อยู่ 2 แบบ คือ
- Studio 23.02 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.19 ล้านบาท
- 1 Bedroom 25.49-28.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.54 ล้านบาท
- 1 Bedroom Plus 37 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.1 ล้านบาท
- 2 Bedroom 42.5-42.82 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.2 ล้านบาท
ลองมาดูแปลนห้องแบบต่างๆ กันนะคะ
แบบ Studio ขนาด 23.02 ตร.ม.
โครงการขายแบบ Fully Fitted คือให้ชุดครัว, สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ และติด Wallpaper มาให้
วัสดุที่ได้ ดังนี้
- พื้นไม้ลามิเนต
- ผนังติด Wallpaper สีขาว
- ประตู Digital Door Lock ของ Secuon
โซนครัว
- Top เคาน์เตอร์ครัวหินสังเคราะห์
- Backsplash ติดกระเบื้องแกรนิตโต้
- Hob&Hood ของ Franke (ปล่อยออกด้านนอก)
- Sink จาก Franke
ห้องน้ำ
- สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ของ American Standard
ห้องตัวอย่างที่เราจะพาไปชมวันนี้มีทั้งหมด 2 ห้องคือ ห้อง 1-Bedroom ขนาด 26.23 ตร.ม. ที่เป็นห้องหน้ากว้าง 8 เมตร และอีกแบบหนึ่งคือห้อง 2-Bedroom ขนาด 42.5 ตร.ม. ไปชมกันเลยค่ะ
ห้องแบบแรกคือห้อง 1 Bedroom ขนาด 26.23 ตารางเมตร ถือเป็นจุดเด่นของโครงการด้วยห้องหน้ากว้าง 8 m. ที่ได้รับการออกแบบใหม่ต่างจากโครงการรุ่นพี่ ทำให้ทุกๆฟังก์ชันในห้องจะติดกับช่องหน้าต่าง มีแสงธรรมชาติส่องเข้ามาและ Take View ภายนอกได้ทุกจุด
เมื่อเข้ามาภายในห้องจะเจอกับพื้นที่ห้องนั่งเล่นตรงกลางที่อยู่ติดกับหน้าต่าง และมีมุมเล็กๆ สำหรับวางโต๊ะทานอาหารอยู่ด้านหน้าห้อง เป็น Living&Dining Area ที่เชื่อมต่อกัน ห้องนอนจะอยู่ทางด้านขวา กั้นด้วยผนังทึบได้ความเป็นส่วนตัว
ส่วนด้านซ้ายเป็นโซนห้องครัว, ห้องน้ำและระเบียงที่ออกแบบเผื่อให้สามารถกั้นประตูเพื่อแบ่งโซนเป็นครัวปิดได้ แต่หากไม่กั้นครัวก็สามารถเปิดประตูระเบียงเพื่อระบายกลิ่นควันจากห้องครัว และห้องน้ำได้โดยตรง
ห้องแบบนี้จึงเหมาะกับคนที่ชอบความเป็นสัดส่วน ชอบห้องหน้ากว้างที่โปร่งโล่ง มีช่องแสงทุกฟังก์ชัน และสามารถปรับเปลี่ยนหรือต่อเติมห้องครัวให้กั้นแยกฟังก์ชันในภายหลังเพื่อทำอาหารจริงจังได้
ประตูหน้าห้องเป็นบานไม้สำเร็จรูปสีขาว มีระบบ Digital Door Lock ของ Secuon ติดตั้งให้ตามมาตรฐานโครงการ พร้อม Door Stopper ที่ด้านหลังบานประตู
เมื่อเปิดประตูเข้าห้องมาจะเจอกับ Living & Dining Area เป็นส่วนแรก พื้นปูด้วยไม้ลามิเนต ผนังติดวอลเปเปอร์ลายสีขาว และมีความสูงจากพื้นถึงฝ้า 2.6 m.
หันกลับมาด้านหน้าห้อง ทางด้านซ้ายมีมุมเล็กๆ ที่สามารถวางโต๊ะทานอาหารตามแบบในห้องตัวอย่าง หรือถ้าชอบทานอาหารที่โซฟาหน้าทีวี ก็ใช้มุมนี้วางตู้เก็บรองเท้า ตู้เก็บของใช้ก็เหมาะนะ
หากวางโต๊ะทานตามห้องตัวอย่าง ก็ให้เลือกโต๊ะขนาดกะทัดรัดหน่อยขนาด 2 ที่นั่ง
พื้นที่นั่งเล่นมีระยะดูทีวีประมาณ 2 m. ซึ่งจริงๆ ระยะนี้จะวางทีวีขนาด 46 นิ้วก็ได้ แต่ถ้าจะเลือกให้พอดีกับผนัง ไม่เกินออกมาขวางทางเดินต้องเลือกขนาด 40 นิ้วนะคะ แต่ทีวีอาจไม่ตรง Center กับโซฟาสักเท่าไหร่ วิธีแก้คืออาจติดทีวีแขวนผนังแบบที่สามารถเลื่อนขยับหรือหันทีวีให้ตรงมากขึ้นได้ เวลาไม่ใช้ก็แค่เก็บเข้าที่เดิมก็ไม่เกะกะแล้วค่ะ
พื้นที่ห้องนั่งเล่นจะอยู่ติดกับช่องหน้าต่างที่ช่วยดึงแสงธรรมชาติเข้ามาภายในห้อง
กระจกบานเลื่อนสามารถเปิดเพื่อระบายอากาศได้ กรอบเป็นอลูมิเนียมสีเทาเข้ม กระจกเป็นสีเทาตัดแสง มีตัวล็อคและติดผ้ากำมะหยี่ช่วยกันเสียงเข้ามาในห้องพักได้เป็นอย่างดี
ต่อไปเป็นโซนครัว ซึ่งทางโครงการออกแบบไว้เผื่อใครอยากกั้นพื้นที่เป็นครัวปิดก็สามารถทำได้ ช่วยป้องกันกลิ่นและความชื้นเข้ามารบกวนพื้นที่พักผ่อนได้
โถงทางเดินตรงส่วนนี้กว้างประมาณ 80 cm. สามารถเดินผ่านได้สะดวก ฝั่งขวามีช่องสำหรับวางตู้เย็น ขนาดประมาณ 70 x 80 cm. ด้านในสุดเป็นตำแหน่งของเคาน์เตอร์ครัวที่อยู่ระหว่างห้องน้ำและระเบียง เวลาทำครัวเราก็สามารถเปิดระเบียงเพื่อช่วยระบายอากาศได้
เคาน์เตอร์ครัวด้านล่างเป็นตู้มีบานปิดไว้ให้เก็บของใช้ในครัว และมีตู้ช่องโล่งสำหรับวางไมโครเวฟ
ส่วนบนของเคาน์เตอร์ติดตั้งเตาไฟฟ้าพร้อมเครื่องดูดควัน และซิงค์ล้างจานของ Franke เหมาะกับการทำอาหารเล็กๆ น้อยเท่านั้น เพราะมีพื้นที่สำหรับเตรียมอาหารไม่มากนัก
ส่วนที่ทำให้เราแปลกใจคือ ตัว Top หินสังเคราะห์ที่เราลองเคาะดูแล้วได้ยินเสียงก๊องๆ ซึ่งทางช่างของโครงการอธิบายว่า การติดตั้ง Top หินสังเคราะห์ของที่นี่จะวางลงบนเคาน์เตอร์ครัวโดยตรง ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเคาน์เตอร์สำเร็จส่วนมากที่ไม่ได้มีแผ่นไม้มาให้ แต่ก็น่าเสียดายนิดนึงที่น่าจะทำติดแผ่นไม้มาให้ก่อนวางหินสังเคราะห์ค่ะ
ตู้ลอยสำหรับเก็บของด้านบนเป็นตู้บานเปิดปิด ภายในแบ่งเป็นช่องเก็บของย่อยๆ
เตาไฟฟ้าแบบ 2 หัวของ Franke จะใช้อุ่นอาหารเล็กๆ น้อยๆ หรือ ทำอาหารทานกันในห้องก็ได้ มาพร้อมเครื่องดูดควันที่เป็นระบบต่อท่อออกด้านนอก ก็จะช่วยระบายกลิ่นควันได้ดีกว่าแบบหมุนเวียน
ซิงค์ล้างจานของ Franke เราลองใส่หม้อลงไปก็วางได้พอดีและมีความลึกพอสมควร ที่ล้างหม้อแล้วน้ำไม่กระเด็นออกมา
ทางขวาของครัวเป็นประตูกระจกบานเลื่อนที่ช่วยดึงแสงธรรมชาติเข้ามาภายใน ช่วยระบายกลิ่นในห้องครัวหรือความชื้นในห้องน้ำได้โดยตรง
ราวกันตกเป็นลูกกรงเหล็กทำให้สามารถมองลอดออกไปเห็นวิวได้ ดูบรรยากาศโปร่งๆ ดี ด้านซ้ายที่แขวน Condensing unit วางแบบเป่าลมร้อนออกไปด้านนอก ทำให้สามารถใช้งานระเบียงได้จริง
โครงการเก็บรายละเอียดมาให้เรียบร้อยทั้งการติดเส้นกำมะหยี่กันเสียงและขอบธรณีที่ยกสูงขึ้นมา เพื่อกันไม่ให้น้ำฝนสาดเข้าภายในห้องได้
ระเบียงมีขนาดพื้นที่ 0.7 x 1.75 m. เป็นพื้นที่ที่เดินท่อเตรียมไว้ให้สำหรับวางเครื่องซักผ้า ส่วนราวตากผ้าแนะนำให้เลือกใช้แบบแขวนติดกับผนังจะช่วยประหยัดพื้นที่ได้ดีกว่า
มาดูห้องน้ำกันต่อ ผนังและพื้นภายในห้องปูด้วยกระเบื้องทั้งหมด ต่างกันที่ส่วนของพื้นจะเป็นผิวด้านเพื่อกันลื่น ส่วนผนังจะเป็นกระเบื้องผิวมันค่ะ
ภายในแยกพื้นที่ส่วนเปียกส่วนแห้งออกจากกันอย่างเป็นสัดส่วน ได้ชุดสุขภัณฑ์ทั้งหมดเป็นของ American Standard
อ่างล้างหน้าขนาดกะทัดรัดของ American Standard มีขอบด้านหลังกว้างประมาณ 10 cm. สามารถใช้วางของได้
สุขภัณฑ์ของ American Standard อีกเช่นกัน มาพร้อมสายชำระและที่แขวนกระดาษชำระ
พื้นที่อาบน้ำจะอยู่อีกฝั่งหนึ่งแบ่งพื้นที่ไว้ด้วยฉากกั้นอาบน้ำและระดับพื้นที่ลดลงจากพื้นที่ส่วนแห้ง แต่ห้องจริงที่ส่งมอบจะไม่ได้มีฉากกั้นอาบน้ำให้นะคะ ต้องติดเพิ่มเองค่ะ
พื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ 0.9 x 1 m. พื้นลดระดับลงไปเล็กน้อยเพื่อป้องกันน้ำไหลซึมมาที่พื้นที่ส่วนแห้ง
ภายในพื้นที่อาบน้ำติดตั้งฝักบัวอาบน้ำไว้ให้เรียบร้อย ด้านข้างมีพื้นที่สำหรับทำติดตั้งชั้นวางของใช้ในห้องน้ำ เช่น สบู่ แชมพู
ติดตั้ง Hand Shower มาให้ ของ American Standard มีขนาดจับได้ถนัดมือดี
พื้นที่อีกฝั่งหนึ่งของห้องเป็นตำแหน่งของห้องนอน
ห้องมีขนาดพอสมควรให้วางเฟอร์นิเจอร์ได้ครบ ถ้าวางเตียงขนาด 5 ฟุตไว้ชิดหน้าต่างก็จะมีพื้นที่อีกฝั่งหนึ่งหนึ่งสำหรับ Built-in ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งได้
เราสามารถนอนชมวิวได้จากบนเตียงนอนเลย และหากจะติดทีวีในห้องนอน แนะนำให้ติดแบบแขวนผนังจะช่วยประหยัดพื้นที่ได้ค่ะ
ด้านขวาของเตียงมีพื้นที่ให้ติดตั้งตู้เสื้อผ้าและโต๊ะอเนกประสงค์หรือจะทำเป็นโต๊ะเครื่องแป้งก็ได้
ฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสีขาว และโคมไฟเป็นแบบดาวน์ไลท์ค่ะ
ขยับมาที่ห้อง 2-Bedroom ขนาด 42.5 ตารางเมตร เป็นห้องพิเศษที่มีแค่ชั้นละ 1 ห้อง ฟังก์ชัน 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ เหมาะกับครอบครัว 2-3 คน ที่ต้องการห้องนอน 2 ห้อง แยกออกจากกันเพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัว
การออกแบบเน้นให้ Living & Dining Area ดูโปร่งโล่งและอยู่ติดกับระเบียง จึงได้แสงธรรมชาติเข้ามาแบบเต็มๆ ซึ่งเค้าเคลียร์ระเบียงมาให้กว้าง ไม่ต้องแบ่งพื้นที่วางเครื่องซักผ้าด้วย ทำให้ใช้งานระเบียงได้แบบเต็มๆ
Master Bedroom มีห้องน้ำในตัว แต่จะไม่ได้ช่องแสงบานใหญ่มากนัก ได้เป็นมุม Bay Window เก๋ๆ ที่สามารถจัดเป็นมุมทำงาน หรือวางโซฟานั่งเล่นชมวิวได้ ส่วน Bedroom ก็มีพื้นที่กว้างพอสมควรให้วางเฟอร์นิเจอร์ได้ครบ
ส่วนที่เรารู้สึกว่าทำออกมาได้โอเคสำหรับห้องไซส์นี้ คือห้องน้ำทั้ง 2 ห้อง ที่มีขนาดพื้นที่เหมาะสม ใช้งานได้ลงตัว แต่ห้องแปลนนี้จะเหมาะกับครอบครัวที่ไม่ได้ชอบทำอาหารที่มีกลิ่นและควันฟุ้งมากนัก เพราะครัวที่ได้มาเป็นครัวเปิด ที่ต้องพึ่งระบบระบายอากาศในอาคารล้วนๆ
เมื่อเข้ามาภายในห้องจะเจอกับพื้นที่ Living & Dining Area เป็นพื้นที่ตรงกลางห้องที่เชื่อมห้องนอนทั้ง 2 ห้องเอาไว้
บริเวณด้านหน้าห้องเป็นตำแหน่งของเคาน์เตอร์ครัวที่โครงการ Built-in ไว้ให้เรียบร้อย มีการเว้นพื้นที่ด้านซ้ายไว้ให้วางตู้เย็นขนาดพื้นที่ประมาณ 70 x 85 cm. ซึ่งการเลือกซื้อตู้เย็นอย่าลืมคำนึงถึงทิศทางการเปิดตู้ที่เหมาะสมด้วยนะคะ จะได้ใช้งานได้สะดวก
ส่วนที่แตกต่างจากห้องแรกคือแบบ 2-Bedroom นี้จะมีการเดินท่อสำหรับติดตั้งเครื่องซักผ้ามาให้ข้างใต้เคาน์เตอร์ครัวด้วย แบบนี้มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อดีคือทำให้เราไม่ต้องเสียพื้นที่ระเบียงไป แต่ข้อเสียก็คือจะมีพื้นที่เก็บของใต้เคาน์เตอร์ครัวลดลงค่ะ
ถัดมาในส่วนของ Living & Dining Area ซึ่งอยู่ติดกับระเบียงทำให้รู้สึกโปร่งโล่ง เราชอบแปลนแบบนี้นะ เพราะสามารถนั่งทานอาหารไปดูทีวีไปได้ และถึงแม้ว่าสมาชิกในครอบครัวจะทำกิจกรรมที่ต่างกัน เช่น ดูหนังหรือนั่งทานข้าวก็ยังสามารถพูดคุย เห็นหน้ากันได้
พื้นที่โต๊ะทานอาหารสามารถวางโต๊ะได้ขนาด 2 ที่นั่งได้ ซึ่งเราคิดว่าการเลือกใช้โต๊ะกลมแบบห้องตัวอย่างก็ดูเหมาะสมดีนะ
ระยะดูทีวีของห้องนี้อยู่ที่ 2.1 m. ไม่ต่างจากห้องที่แล้วมากนัก แต่ผนังจะกว้างกว่าจึงทำให้เราสามารถเลือกทีวีขนาด 46 นิ้วได้
ส่วนชั้นวางทีวีจะสามารถวางตู้แบบลอยตัวแบบนี้ก็ได้นะ ห้องจะได้โล่งๆไม่ดูอึดอัดจนเกินไป แต่ถ้าใครมีของเยอะอยากใช้พื้นที่ให้คุ้มก็แนะนำให้ Built in เต็มผนังเลยก็ได้ แต่ก็อย่าลืมเว้นระยะเปิดม่านเอาไว้หน่อยด้วยนะคะ
ด้านในสุดเป็นประตูกระจกบานเลื่อนสำหรับเปิดออกไประเบียง ซึ่งช่วยให้แสงธรรมชาติผ่านเข้ามาในห้องได้
พื้นที่ระเบียงค่อนข้างกว้างมีขนาดประมาณ 0.8 x 3.6 m. ใช้วางราวตากผ้าและปลูกต้นไม้ได้สบายๆ
ทางด้านซ้ายเป็นตำแหน่งที่จัดไว้สำหรับวาง Condensing Unit จะได้ไม่เกะกะสายตา ด้านบนติดตั้งไฟส่องสว่างไว้ให้เรียบร้อย
เก็บวิวจากห้องพักจริงมาฝากสักนิด วิวแบบนี้อยู่ประมาณชั้น 20 ค่ะ
ด้านในสุดของห้องเป็น Master Bedroom ซึ่งผนังห้องและประตูเป็นแบบทึบได้ความเป็นส่วนตัว
ภายในห้องสามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุตไว้กลางห้อง แล้วยังมีเหลือให้สามารถเดินได้รอบเตียง
หน้าต่างของห้องนี้บานไม่ใหญ่นัก แต่มีความเก๋ตรงที่ได้เป็น Bay Window ขนาดพื้นที่ประมาณ 0.9 x 1.6 m. สามารถวางโต๊ะเขียนหนังสือติดหน้าต่างได้ตามแบบในห้องตัวอย่าง และช่องหน้าต่างทางด้านขวาสามารถเปิดออกเพื่อระบายอากาศได้ด้วย
หน้าต่างตรงส่วนนี้จะเป็นหน้าต่างเข้ามุมแบบ Bay Window ที่จะช่วยเพิ่มมุมมองให้กว้างมากขึ้นได้ ติดนิดนึงที่มีเส้นกรอบหน้าต่างอยู่ตรงมุมกระจกจึงอาจบังวิวไปบ้าง แต่โดยรวมก็ถือว่าเป็นมุมที่ได้วิวสวยดี
อีกด้านหนึ่งของห้องมีพื้นที่ให้ Built-in ตู้เสื้อผ้า ที่อยู่ติดกับทางเข้าห้องน้ำ แนะนำให้ใช้เป็นตู้เสื้อผ้าแบบบานเลื่อนจะช่วยประหยัดพื้นที่เปิดตู้ได้ค่ะ
ภายในห้องน้ำของ Master Bedroom จัดฟังก์ชันต่างๆ ไว้ครบและมีการแยกพื้นที่ส่วนเปียกกับส่วนแห้งออกจากกันอย่างเป็นสัดส่วน และใช้สุขภัณฑ์ของ American Standard เหมือนห้องอื่นๆ
พื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ 1.45 x 0.85 cm. สามารถใช้งานได้สะดวก พื้นลดระดับลงไปเล็กน้อยช่วยกันน้ำไหลซึมมาที่ส่วนแห้งได้ แต่โครงการไม่ได้ติดฉากกั้นอาบน้ำไว้ให้นะ ถ้าอยากให้การใช้งานสะดวกจริงๆ แนะนำให้ติดเพิ่มเองนิดนึงค่ะ
สำหรับ Bedroom อีกห้องหนึ่งจะใช้ห้องน้ำร่วมกับพื้นที่ส่วนกลาง ตัวห้องได้ความเป็นส่วนตัวจากกำแพงและประตูแบบทึบเช่นกัน
เข้ามาภายใน Bedroom พื้นที่ส่วนแรกจะเป็นตำแหน่งที่ออกแบบไว้ให้ Built-in ตู้เสื้อผ้า ส่วนเตียงนอนจะถูกจัดไว้ด้านในติดกับหน้าต่าง
ทางเข้าห้องกว้างประมาณ 1 m. สามารถเดินเข้า-ออกห้องได้สะดวก และมีพื้นที่หน้าประตูให้สามารถ Built-in ตู้เสื้อผ้าได้ประมาณนี้ แนะนำเป็นตู้แบบบานเลื่อนจะได้ไม่เกะกะทางเดิน
ด้านในมีพื้นที่ให้วางโต๊ะอเนกประสงค์หรือโต๊ะเครื่องแป้งได้อีกนิดหน่อย
ภายในห้องสามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุตแล้วยังเหลือพื้นที่ให้เดินได้รอบเตียง เราสามารถ Take View ได้จากบนเตียงนอนเลยนะ และสำหรับใครที่อยากติดทีวีในห้องนี้ก็แนะนำให้ติดทีวีแบบแขวนผนังค่ะ
ปิดท้ายด้วยห้องน้ำส่วนกลางของห้อง ซึ่งภายในจัดฟังก์ชันและสุขภัณฑ์มาตรฐานของ American Standard เหมือนกับห้องน้ำใน Master Bedroom เลย
ลักษณะห้องน้ำนี้จะเป็นรูปตัว L โดยพื้นที่ส่วนแห้งจะมีขนาด 1.5 x 1.5 m. สามารถใช้งานได้สะดวก
พื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ 0.85 x 1 m. พื้นลดระดับลงไปเล็กน้อยเพื่อป้องกันน้ำไหลซึมมาพื้นที่ส่วนแห้ง และไม่ติดฉากกั้นอาบน้ำมาให้เช่นเคย ซึ่งเราแนะนำให้ติดเพิ่มเองนะคะ
หน้าตาของสวิตซ์ไฟที่ให้ตามมาตรฐานของโครงการ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ
ราคา
29 August 2020
- Studio ขนาด 23.02 ต.ร.ม. ราคาเริ่ม 2.19 ล้าน
- 1 Bedroom ขนาด 25.7 ตร.ม. ราคาเริ่ม 2.54 ล้าน
- 1 Bedroom ขนาด 28 ตร.ม. ราคาเริ่ม 3.2 ล้าน
- 1 Bedroom Plus ขนาด 37 ตร.ม เริ่ม 4.1 ล้าน
- 2 ห้องนอน ขนาด 42 ต.ร.ม. ราคาเริ่ม 4.2 ล้าน
- รูปแบบการขาย Fully Fitted
- ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.60 เมตร
- Kitchen & Sink / ท็อปหินสังเคราะห์
- Hob & Hood / ของยี่ห้อ Franke
- ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 55 บาท/ตร.ม./เดือน
โปรโมชันพิเศษในวัน Open House 29-30 สิงหาคม 63
- ฟรีแอร์และเฟอร์นิเจอร์**
- จอง 5,900 บาท (ฟรีค่าทำสัญญา+เงินดาวน์)**
- ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน**
- กู้ไม่ผ่าน คืนเงิน**
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ
บทสรุป
ทำเล : โครงการ The Tree หัวหมาก อินเตอร์เชนจ์ นับเป็นคอนโด High Rise บนถนนรามคำแหงที่อิงกับโซนบางกะปิ ที่ตั้งโครงการมีข้อดีคือ ด้านหลังติดกับคลองแสนแสบซึ่งก็มีสะพานข้ามคลองไปฝั่ง The Mall บางกะปิ ได้สะดวกมากๆ อีกทั้งยังมี ตะวันนา, Makro, Tesco Lotus, ตลาดบางกะปิ และห้างพันธุ์ทิพย์ ซึ่งอยู่ในระยะที่สามารถเดินถึงได้อีกด้วย
เรื่องวิวในปัจจุบันยังไม่มีตึกสูงบังอยู่ในระยะประชิดเลย ทำให้ Take View ไปได้ไกล แต่ในอนาคตก็คงหลีกเลี่ยงเรื่องอาคารสูงที่จะก่อสร้างขึ้นมาใหม่ในทำเลนี้ไม่ได้ เพราะเป็นย่านที่มีศักยภาพในการพัฒนา
การเดินทางโดยใช้รถ : ถือว่าสะดวกสำหรับขาออกเมืองมากกว่าขาเข้าเมือง จากที่ตั้งอยู่ใกล้กับแยกลำสาลีที่สามารถเชื่อมต่อไปได้หลายเส้นทาง ที่ใกล้สุดก็จะเป็นโซนบางกะปิ ลาดพร้าว นวมินทร์ และเสรีไทยได้ หรือจะลงใต้เพื่อเชื่อมต่อกับถนนพัฒนาการ ถนนเพชรบุรี หรือไปอ่อนนุช สมุทรปราการก็สะดวก
ส่วนทางด่วนก็มีให้เลือกใช้ถึง 3 เส้นทาง ทั้งทางพิเศษศรีรัชและมอเตอร์เวย์และวงแหวนกาญจนาฯ โครงการมีที่จอดรถประมาณ 271 คันคิดเป็น 46% ไม่รวมจอดซ้อนคัน ไม่ได้เป็นสัดส่วนที่มากนักแต่ก็ถือว่าพอกับเพื่อนๆ โครงการอื่นบนทำเลนี้
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ถือว่าค่อนข้างสะดวกเลยเพราะโครงการนี้มีตัวเลือกการเดินทางที่หลากหลาย โครงการอยู่ติดถนนใหญ่รามคำแหงจึงเรียกรถสาธารณะได้ง่าย มีวินมอเตอร์ไซค์อยู่ติดรั้วหน้าโครงการ และยังมีท่าเรือ The Mall บางกะปิ อยู่ทางด้านหลังโครงการในระยะเดินเพียง 150 m. จากประตูด้านหลังอีกด้วย
นอกจากนี้โครงการยังอยู่ใกล้สถานี Interchange แยกลำสาลี ที่เป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้า 3 สาย (ส้ม-เหลือง-น้ำตาล) ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในปัจจุบันตรงบริเวณแยกลำสาลี ห่างจากโครงการออกไปประมาณ 350 m. ซึ่งเป็นระยะที่สามารถเดินถึงได้ค่ะ
วัสดุ : มีการปรับรายการเฟอร์นิเจอร์เพิ่มขึ้นจากตอนเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ด้วย ทำให้ดูสมราคามากขึ้น โดยขายเป็นแบบ Fully Fitted พื้นปูด้วยไม้ลามิเนต, ผนังติดวอลเปเปอร์สีขาว, ส่วนชุดครัวใช้ท็อปเป็นหินสังเคราะห์ มี Sink และ Hob & Hood ของ Franke, ได้ชุดสุขภัณฑ์ต่างๆในห้องน้ำของ American Standard และติดตั้งเครื่องปรับอากาศมาให้ในห้อง
เสียดายนิดเดียวที่น่าจะแถมตู้เสื้อผ้าให้อีกสักนิด จะได้เป็นไปตามมาตรฐานของระดับราคา และเพื่อนๆ โครงการอื่นในทำเลนี้ก็ให้กันนะคะ
การออกแบบ : ต้องขอชมเลยโดยเฉพาะเรื่องความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยที่ออกแบบมาได้ดีกว่าโครงการอื่นๆ ในทำเลรอบๆสถานี Interchange นี้ โดยอาคารพักอาศัยหลักๆ จะเป็น High Rise 3 อาคาร ทำให้จำนวนยูนิตแต่ละอาคารมีจำนวนไม่เกิน 200 ยูนิต และแต่ละชั้นจะมีจำนวนยูนิตของห้องพักอยู่เพียง 7 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งคอนโดส่วนใหญ่ในทำเลนี้มักเป็นอาคารใหญ่ มียูนิตต่อชั้นค่อนข้างเยอะ อยู่ในช่วง 20-60 ยูนิตต่อชั้นเลยทีเดียว
โครงการวางอาคารตามความยาวของที่ดินและหันห้องพักอาศัยออก 2 ฝั่ง ทำให้ไม่บังวิวกันเอง มีทางเข้า-ออกรถทางเดียวเพื่อความปลอดภัย และยังมีประตูคนเดินทางด้านหลังโครงการช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกบ้านได้ดี วางโถงลิฟต์และงานระบบเอาไว้กลางอาคารทำให้ง่ายต่อการใช้งานทุกยูนิต
ตัวอาคารดีตรงที่แต่ละอาคารมี Sky Walk เชื่อมต่อกันยาวตั้งแต่อาคารแรกไปจนถึงอาคารจอดรถด้านหลัง และมีหลังคาคลุมจึงทำให้เป็นฟังก์ชันที่ใช้งานได้จริง ส่วน Facilities หลักจะถูกยกขึ้นไปอยู่ชั้นบนสุดของแต่ละอาคาร และยังเชื่อมต่อถึงกันจึงทำให้ได้ส่วนกลางขนาดใหญ่ อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 98 : 1 ซึ่งถือว่าหนาแน่นน้อยใช้งานสะดวก
การออกแบบห้องพักถือว่าทำได้ดี ห้องออกแบบใหม่ต่างจากโครงการรุ่นพี่ เป็นห้องหน้ากว้างและมีฟังก์ชันลงตัว ซึ่งภายในห้องจะมีช่องหน้าต่างกระจกที่ช่วยดึงแสงธรรมชาติเข้ามาและ Take View ภายนอกได้ทุกจุดของห้อง ออกแบบฟังก์ชันได้เป็นสัดส่วน
สาธารณูปโภค : จุดเด่นของ Facilities โครงการนี้คือ มีการยกพื้นที่ส่วนกลางไว้ที่ชั้นบนสุด (ชั้น 31 และ Rooftop) ซึ่งคอนโด High Rise ส่วนใหญ่ในละแวกนี้จะจัดส่วนกลางไว้ที่ชั้นล่างๆ เท่านั้น
ซึ่งโครงการก็รู้ว่าเป็นจุดเด่นจึงเน้นการออกแบบแต่ละฟังก์ชันให้ชมวิวได้ โดยทำเป็น Sky Lounge, Theatre Room, Kid’s Room และมีการเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับ O2 Loungeและ O2 Creative Space ที่เพิ่มออกซิเจนภายในห้องให้มากกว่าภายนอก ส่วน Swimming Pool, Jacuzzi และ Panoramic View Deck จะถูกวางไว้บน Roof Top นอกจากนี้ยังมี Facilities อื่นๆ ที่กระจายอยู่ในส่วนต่างๆของโครงการ
เริ่มตั้งแต่อาคารด้านหน้าที่โครงการแพลนไว้ว่าจะเป็น 7-11 อยู่หน้าโครงการ ด้านบนเป็น Co-Working Space และ Fitness ส่วนชั้น 1 ของแต่ละอาคารพักอาศัยจะมี Lobby แยกออกจากกันชั้น 2 เป็น Skywalk เชื่อมต่อกันทุกอาคารและมี Relaxing Room แทรกอยู่ทุกอาคาร สุดท้ายที่ Roof Top ของอาคารจอดรถก็จัดเป็นสนาม Futsal สนามเด็กเล่น และสวนพักผ่อนบนดาดฟ้าของอาคารจอดรถด้วย ถือว่าให้มาครบและหลากหลายดีค่ะ
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 110,000บาท/ตร.ม., 29 August 2020
- ทำเล 8.5/10 – ติดถนนใหญ่ ใกล้ห้างและทางลัดข้ามคลองไป The Mall รอบด้านไม่มีตึกสูงบังวิว
- เดินทางด้วยรถ 8/10 – สะดวก ใกล้แยกลำสาลี เดินทางได้หลายเส้นทาง
- ไม่ใช้รถ 9/10 – ตัวเลือกการเดินทางหลากหลาย อนาคตมีรถไฟฟ้าสถานี Interchange ในระยะเดินถึง
- วัสดุ 7/10 – Fully Fitted ให้มาน้อยไปนิดต้องตกแต่งเพิ่ม
- แบบ 8.5/10 – ออกแบบดี มีความเป็นส่วนตัวสูง ห้องหน้ากว้าง ฟังก์ชันลงตัว
- สาธารณูปโภค 8.5/10 -ให้มาเยอะบนชั้นสูงสุด ส่วนกลางเชื่อมถึงกัน ได้พื้นที่ขนาดใหญ่น่าใช้งาน
- MAIN CLASS
- 8.275 / 10.00
BOTTOM LINE
โครงการ The Tree หัวหมาก อินเตอร์เชนจ์ เหมาะกับคนที่ทำงานหรือใช้ชีวิตในย่านรามคำแหง-บางกะปิเป็นส่วนใหญ่ อยากอยู่ใกล้ The Mall แบบเดินไปได้ และใกล้สถานี Interchange แยกลำสาลี อยากอยู่คอนโด High Rise ยอมจ่ายเงินเพิ่มนิดหน่อยแลกกับความเป็นส่วนตัวและพื้นที่ส่วนกลางที่อยู่บนชั้นสูง ชมวิวได้ ชอบห้องหน้ากว้าง และต้องมีเงินเผื่อสำหรับแต่งห้องเพิ่ม มีงบประมาณระดับ 2.19 – 4.2 ล้าน หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 15,000 – 29,000 บาท/เดือน
ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving