คอนโด The Origin Ramintra 83 Station (ดิ ออริจิ้น รามอินทรา 83 สเตชั่น) เป็นแบรนด์คอนโดน้องใหม่ของ Origin ที่ทำออกมาให้ตอบโจทย์วัยรุ่นที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน กลุ่มนักเรียนนักศึกษา และคนที่อยากได้อสังหาฯ ราคาเอื้อมถึงไม่ยากแบบล้านปลายๆ 2 ล้านกว่า เป็นทรัพย์สินติดไม้ติดมือ เรามองว่าที่นี่เค้ามีจุดที่เป็น Highlights หลักๆ อยู่ 2 เรื่อง ดังนี้
- ทำเล : โครงการอยู่ติดถนนใหญ่รามอินทรา ซึ่งจุดที่น่าสนใจคือ ในอนาคตอันใกล้ ประมาณต้นปี 65 โครงการนี้จะเป็นคอนโดใกล้รถไฟฟ้า ที่สามารถเดินไปสถานีรามอินทรา กม.9 ได้ในระยะเพียง 70 เมตร (ข้อมูลจากทางโครงการ) เมื่อถึงเวลานั้นลูกบ้านจะเดินทางสะดวกทั้งทางรถไฟฟ้าและรถยนต์ แถมยังอยู่ใกล้ห้างสำคัญของย่านอย่าง Fashion Island และ The Promenade ในระยะแค่ 1 สถานีรถไฟฟ้าเท่านั้นค่ะ
- Facility ส่วนกลาง : ตอบโจทย์การใช้งานได้ครบครันมาก เด่นๆ เลยก็คือเค้าออกแบบส่วนกลางมาให้เพื่อให้วัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่ได้มีพื้นที่สร้างผลงาน สร้างแบรนด์ ทำงานได้สะดวกยกตัวอย่าง เช่น Co-Working Space ที่เปิดให้ใช้งานกันถึง 24 ชั่วโมง, Private Meeting Room ที่เราสามารถนัดมาคุยงานได้ง่ายที่คอนโดเลย, Co-Kitchen ที่สามารถนัดครูมาเรียนทำอาหารหรือ Live สด, Studio สำหรับถ่ายภาพสินค้า ซึ่งภายในก็จะมีฉาก มีไฟมาให้พร้อมใช้งาน เป็นต้น
เราไปดูตึกจริงที่พร้อมเปิดให้เข้าอยู่แล้วกันดีกว่าค่ะ
ข้อมูลโครงการ
The Origin Ramintra 83 Station (ดิ ออริจิ้น รามอินทรา 83 สเตชั่น) ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2564
ชื่อโครงการ | The Origin Ramintra 83 Station (ดิ ออริจิ้น รามอินทรา 83 สเตชั่น) |
ชื่อผู้ประกอบการ | บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) |
SEGMENT CLASS | MAIN CLASS (รายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2021 ) |
โครงการตั้งอยู่ | ถนนรามอินทรา เขตคันนายาว |
ที่ดิน | 6-3-53 ไร่ |
ประเภทคอนโด | Low Rise 8 ชั้น 8 อาคาร |
จำนวนยูนิต | ห้องพักอาศัย 879 ยูนิต, ร้านค้า 3 ยูนิต |
ยูนิตต่อชั้นสูงสุด | 17 ยูนิต |
ที่จอดรถ | 369 คัน คิดเป็น 42% รวมซ้อนคัน |
เริ่มก่อสร้าง | ปี 2562 |
สร้างเสร็จพร้อมอยู่ | ปี 2564 |
ประเภทห้องพัก |
|
ฝ้าเพดานสูง | 2.4 เมตร |
ราคาเริ่มต้น | 1.89 ล้านบาท |
ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ | ประมาณ 79,900 บาท/ตร.ม. |
ช่วงราคาต่อตารางเมตร(ต่ำสุด-สูงสุด) | 82,000 – n/a |
EIA (ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) | – |
เว็บไซต์โครงการ | https://www.origin.co.th/condo/the-origin-ramintra-83-station/ |
Call Center | 02-030-0000 |
ทำเลที่ตั้ง
พิกัด Google Maps : 13.835263, 100.666293
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
ที่ตั้งโครงการ The Origin รามอินทรา 83 สเตชั่น อยู่ติดถนนรามอินทราช่วงกม. 9 จุดสังเกตคืออยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาลสินแพทย์นั่นเองค่ะ และอยู่ติดกับโครงการรุ่นน้องที่คลอดตามมาติดๆ เมื่อปีที่แล้วคือ The Origin Plug & Play รามอินทรา สิ่งที่ทำให้พื้นที่บริเวณนี้น่าสนใจและมีโครงการอย่างคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นมา ปัจจัยแรกคือ Infrastructure ในอนาคตอันใกล้ที่เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างและคาดหวังในการใช้งานได้อย่าง รถไฟฟ้าสายสีชมพู นั่นเอง โดยโครงการนี้ก็เป็นอีกโครงการที่เรียกว่าใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า “รามอินทรา กม.9” ในระยะราวๆ 70 ม. ก็เรียกว่าใช้งานได้สะดวก เราอัพเดทข่าวล่าสุดคาดว่าน่าจะเปิดให้บริการกันได้ช่วงต้นปี 2565 นี้แล้วนะคะ
ส่วนใครที่ขับรถยนต์ส่วนตัว เราเองก็มองว่าไม่ยากเช่นกัน เพราะอันดับแรกโครงการอยู่ติดกับถนนใหญ่เลย และยังอยู่ระหว่างทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ กับวงแหวนกาญจนาภิเษก จึงมีเส้นทางให้เลือกวิ่งเข้า-ออกเมืองได้ง่ายอยู่เหมือนกันค่ะ
โดยรวมแล้วสำหรับทำเลเรามองว่าหากใครที่อยู่ย่านนี้ ทำงานใกล้ๆ ไม่ว่าจะเป็นโซนห้าง โซนโรงพยาบาล หรือมีนบุรีเอง จะขยับขยายออกมาอยู่คอนโด ใกล้รถไฟฟ้าในอนาคตหน่อยเผื่อเดินทางไปโซนอื่นๆ ได้สะดวกโครงการนี้ก็เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ควรมาแวะดูกันค่ะ
โครงการของเราเรียกว่าใกล้แหล่งความอุดมสมบูรณ์หลักของคนในย่านนี้เลย อย่าง Fashion Island และ Promenade มีครบทั้ง Shopping Center, Dining และ Lifestyle Mall แบบ All-in-One เรียกได้ว่าไป 2 ห้างนี้ก็ครบจบแล้ว และในอนาคตถ้ารถไฟฟ้าเปิดให้ใช้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องขับรถไปอย่างเดียว สามารถนั่งรถไฟฟ้าได้เลยแค่ 1 สถานีเท่านั้นเองค่ะ
นอกจากนี้รอบโครงการก็มีทั้งตลาด, Tesco Lotus และ KFC Drive-Thru อยู่ในระยะที่เดินไปหาของกินได้ง่ายๆหรือละแวกใกล้ๆก็มีซอยคู้บอน ที่เป็นแหล่งชุมชน มีความคึกคักพอสมควร
ถัดมาที่เรื่องการเดินทางด้วยรถยนต์ก็สะดวกเพราะใกล้ทางด่วนถึง 2 เส้นทาง โดยจุดแรกคือทางพิเศษฉลองรัช หรือที่ทุกคนเรียกกันติดปากสำหรับย่านนี้ว่า ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ สามารถเข้าเมืองได้โดยกลับรถไปถนนรามอินทราฝั่งขาเข้า แล้วเลี้ยวซ้ายที่ถนนประดิษฐ์มนูธรรม โดยมีระยะทางประมาณ 8.4 กม. แต่ต้องบอกก่อนว่าถนนรามอินทราในช่วงเวลาเร่งด่วน มีรถหนาแน่นเลยทีเดียว เราจึงมีอีกทางมาแนะนำให้ใช้ จะได้ประหยัดเวลาเดินทางได้มากขึ้น
ในเมื่อโครงการใกล้กับทางด่วนวงแหวนกาญจนาภิเษก ซึ่งตรงนี้ไม่เสียค่าผ่านทางด้วยนะ เราสามารถเลี้ยวซ้ายวิ่งตามทางไป เพื่อขึ้นทางด่วนรามอินทรา-อาณรงค์ (ด่านจตุโชติ) ได้เลย โดยมีระยะทางประมาณ 9.8 กม. แม้จะดูแล้วอ้อมหน่อย แต่ก็ช่วยประหยัดเวลาการเดินทางไปได้เยอะพอสมควรเลยค่ะ
และที่ขาดไม่ได้คือทางด่วนวงแหวนกาญจนาภิเษก ซึ่งมีจุดขึ้นอยู่บริเวณแถวๆหน้า Fashion Island โดยเราขับตรงขึ้นสะพานเลี้ยวเข้าทางด่วนได้เลย โดยมีระยะประมาณ 2.7 กม. ใช้เวลาประมาณ 3 นาทีเองนะคะ
สำหรับการเดินทางมายังโครงการวันนี้ เราแนะนำมาจากถนนประดิษฐ์มนูธรรม หรือเลียบทางด่วน-รามอินทรา ขึ้นสะพานกลับรถเข้าถนนรามอินทราฝั่งมุ่งหน้ามีนบุรี พอเข้าถนนรามอินทราให้ขับตรงไปตามทาง ขึ้นสะพานข้ามแยกคู้บอนไป หลังจากลงมาแล้ว ให้ชิดซ้าย โครงการเราอยู่ฝั่งซ้ายมือค่ะ
เส้นทางการเดินทาง
เริ่มการเดินทางบนถนนประดิษฐ์มนูธรรมให้มุ่งหน้าไปทางมีนบุรี โดยให้ขับขึ้นสะพานตามป้ายมีนบุรีไป
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ The Origin รามอินทรา 83 สเตชั่น ยังเป็นโซนที่พักอาศัยแนวราบอยู่ค่อนข้างเยอะนะคะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอาคารสูงเลย ก็พอจะมีโรงพยาบาลสินแพทย์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับคอนโดมิเนียมเยื้องๆ ถัดออกไปหน่อย ซึ่งไม่ได้มีผลกระทบในระยะประชิดเกินไปเลยค่ะ จะเห็นเป็นวิวมากกว่า
ส่วนที่ระยะประชิดจริงๆ คือคอนโดรุ่นน้องอย่าง The Origin Plug & Play ซึ่งจะเป็นคอนโด High Rise สูง 18-19 ชั้น ดังนั้นคงต้องยอมรับว่าอาคารฝั่งทิศตะวันออกเฉียงใต้ ก็จะโดนบล็อกวิวแน่นอน แต่…ถ้าใครรับได้กับการโดนบล็อกวิว เราคิดว่าน่าจะเป็นโซนห้องที่ได้ราคาดีกว่าโซนอื่นๆ นะ ถ้าใครกลัวว่าจะโดนบังวิว แนะนำเลือกห้องที่หันเข้าภายในโครงการ เพื่อการันตีวิวค่ะ
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
ห้างสรรพสินค้า / ตลาด
- Fashion Island ~ 1.3 กิโลเมตร
- เดอะ พรอมานาด ~ 1.3 กิโลเมตร
- Big C คู้บอน ~ 4.5 กิโลเมตร
- Tesco Lotus สุขาภิบาล ~ 4.9 กิโลเมตร
- ตลาดสดมีนบุรี ~ 8.2 กิโลเมตร
- ตลาดสดถนอมมิตร ~ 8.9 กิโลเมตร
โรงพยาบาล
- โรงพยาบาลสินแพทย์ ~ 300 ม. (ระยะเดิน)
- โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ ~ 4.6 กิโลเมตร
โรงเรียน
- มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ~ 6.6 กิโลเมตร
สถานที่ราชการ
- สวนสยาม (Siam Park City) ~ 4.5 กิโลเมตร
- Safari World ~ 7.2 กิโลเมตร
รายละเอียดโครงการ
โครงการ The Origin รามอินทรา 83 สเตชั่น จัดเป็นแบรนด์คอนโดที่ทำออกมาเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) และกลุ่มที่กำลังต้องการซื้อคอนโดมิเนียมเป็นทรัพย์สินอย่างแรก (First Condo Buyer) เราจึงได้เห็นราคาที่จับต้องง่ายเริ่มต้น 1 ล้านปลายๆ ถึง 2 ล้านกว่าๆ ซึ่งส่วนที่เราว่าโครงการนี้น่าสนใจนอกจากจะเป็นเรื่องของทำเลแล้ว Facility ส่วนกลาง ก็เป็นอีกจุดเด่นหนึ่งค่ะ
เราขอยกตัวอย่าง Facility ที่เราคิดว่าเค้าตอบโจทย์กลุ่มวัยรุ่นยุคนี้มากคือ Co-Working Space ที่เปิดให้ใช้งานกัน 24 ชั่วโมง คล้ายกับพวกร้านแบบ Too Fast Too Sleep ที่เด็กๆ วัยเรียนชอบไปนัดติวหนังสือหรือวัยทำงานเองก็ไปนั่งทำงานยาวได้ ไม่โดนขัดจังหวะ ซึ่งเราคิดว่าตอบโจทย์กับ Target ของเค้าพอดี
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ The Origin รามอินทรา 83 สเตชั่น เป็นส่วนหนึ่งของ Mega Project มิกซ์ยูสที่มีชื่อว่า Origin Smart City Ramintra ที่จะประกอบไปด้วย Condominium, Office, Community Mall ,Hotel & Serviced Apartment เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและการอยู่อาศัย ซึ่งตอนนี้ก็เห็นความคืบหน้ามาถึงเฟส 2 ที่เปิดขายคอนโด The Origin Plug & Play รามอินทรา กันแล้ว ต่อไปก็น่าจะเป็นคิวของอาคาร One Ramintra ที่เป็น Hotel&Retail ซึ่งต้องติดตามความคืบหน้ากันต่อไป
การวางผังของอาคารเป็นแบบหันหน้าเข้าหากัน ระยะห่างตรงกลางประมาณ 17 เมตร ทำให้มีพื้นที่เหลือจัดสวนหย่อมตรงกลางได้ ส่วน Main Facility จะอยู่ที่อาคาร A เพราะเป็นอาคารแรกสุด ที่นับจากประตูทางเข้า ทำให้เข้าถึงได้ง่าย ทุกคนต้องผ่านตึกนี้ก่อน ส่วนอาคาร B, C, D, H และ G จะเน้นอยู่อาศัยเองทั้งหมด ไม่เน้นใช้งาน Facility
ถัดมาที่ตึกหลังสุดอย่างอาคาร E,F เนื่องจากอาคารไกลกว่าชาวบ้านเลย ทำให้โครงการจัด Facility บางส่วนมาให้ ซึ่งก็เหมาะกับคนที่อยากได้ Facilty ในตึกตัวเอง ไม่อยากเดินใช้งานไกลๆ ส่วนชั้นดาดฟ้าจะเป็น Highlight ของโครงการอีกจุดหนึ่งคือ มี Sky Running เชื่อมทุกอาคาร ทำให้สามารถวิ่งรอบได้
สำหรับที่จอดรถจะอยู่ชั้น 1 ทั้งหมดจึงไม่รบกวนการใช้งานกันส่วนพักอาศัย โดยโครงการให้ที่จอดรถมาประมาณ 42% รวมจอดซ้อนคัน ถือว่าให้มาไม่มาก แต่ถ้าเทียบว่าเป็นโครงการตามแนวรถไฟฟ้าที่เดินได้ ก็ถือเป็นจำนวนที่กำลังดีค่ะ
ตำแหน่งตัวอาคารจะขยับเข้าไปด้านในไม่ได้ติดถนนซะทีเดียว จึงช่วยกันเสียงและฝุ่นจากริมถนนใหญ่ได้บ้าง ช่วยทำให้บรรยากาศภายในโครงการดูสงบและน่าอยู่ขึ้นนะคะ
ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่จะมีพี่รปภ. ที่คอยดูแล 24 ชั่วโมง และไม้กั้นกระดกที่อยู่บริเวณหน้าอาคาร A
ส่วนใครที่เดินเท้าก็จะมีทางเดินเข้าอยู่ก่อนถึงไม้กั้นกระดก นั่นหมายความว่าโครงการตั้งใจเปิดให้คนเดินเข้าออกได้สะดวก เพื่อสร้าง Traffic ให้กับร้านค้าที่จะมาเปิดใต้อาคาร A ด้วย แต่ลูกบ้านไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยไปนะคะ เพราะการเข้าอาคารทุกตึกต้องใช้ Key Card จึงเข้าออกได้เฉพาะลูกบ้านเท่านั้นค่ะ
พื้นที่รอบอาคารเกือบทั้งหมดในชั้น 1 ก็จะเป็นพื้นที่สำหรับจอดรถนี่แหละค่ะ มีพิเศษหน่อยที่อาคาร A จะมีร้านค้า 3 ยูนิต ซึ่งต้องรอคอนเฟิร์มว่าเป็นร้านอะไรบ้าง
สำหรับโครงการนี้มีช่องจอดชาร์ต EV Charger มาให้ 3 ช่อง ช่วยตัดปัญหาของลูกบ้านที่ต้องการใช้รถไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งในอนาคตอาจมีการเพิ่มจำนวนช่องอีกได้หากมีจำนวนการใช้เพิ่มขึ้นและเป็นเสียงโหวตจากลูกบ้านส่วนใหญ่นะคะ
ที่จอดรถในร่มก็จะอยู่ใต้อาคารพักอาศัยทั้งหมด ไม่ได้ Fixed ที่นะคะ จอดใต้อาคารไหนก็ได้ ส่วนมอเตอร์ไซค์จะมีที่จอดเฉพาะให้เป็นสัดส่วนอยู่ทางซ้ายมือค่ะ
ช่องจอดรถมีขนาดมาตรฐานดีนะคะ ได้แสงธรรมชาติรอบด้าน ในช่วงกลางวันจึงไม่จำเป็นต้องเปิดไฟเลย ช่วยประหยัดค่าส่วนกลางได้อีกด้วย
ถึงแม้ว่ายูนิตภายในโครงการจะดูเยอะถึง 879 ยูนิต แต่เรามองว่าการแบ่งห้องออกเป็นอาคารละ 100 ยูนิตกว่าๆ และแยก Lobby ของแต่ละอาคารเอาไว้ ก็ช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวของลูกบ้านไว้ได้ หากใครชอบความสงบมากๆ ก็แนะนำให้เลือกอาคารที่ไม่มี Facility ส่วนกลางแทนนะคะ
พื้นที่ตรงกลางระหว่างอาคารหลักๆ แล้วก็จะถูกจัดให้เป็นที่จอดรถเช่นกัน แต่จะมีบางส่วนที่ทำเป็นสวนไว้ให้ได้มาเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจอยู่เหมือนกันนะ
บรรยากาศภายในสวนก็ดูร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่และไม้พุ่ม มีทางขึ้นลงเป็นทางลาดตามหลัก Universal Design
วันที่ไปถ่ายภาพนั้นสวนยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี เราจึงเก็บภาพมาได้แค่บางส่วนนะคะ ส่วนที่เราคิดว่าวัยรุ่นน่าจะชอบก็คือมุมชิงช้านั่งเล่นที่จะมองเข้าไปเห็นวิวสวนพอดิบพอดี
ต่อไปเราจะพาไปชม Facility ภายในอาคารกันนะคะเริ่มจาก อาคาร A ที่เป็น Main Facility ซึ่งมีพื้นที่ส่วนกลางทุกชั้น ดังนี้
- ชั้น 1
- Visitor Lobby
- Mail Room + Smart Locker
- Sharing Service
- Self Storage
- Laundry Service
- Vending Machine
- 3 Shops
- Co-Living Space
- Co-Working Space (Open 24 hour)
- Co-Passion Room
- Meeting Room
- Private Dining Room
- Co-Kitchen Space
- สระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาด 7 x 25 เมตร ลึก 1.20 เมตร
- สระเด็ก ลึก 0.60 ซม.
- Sauna
- Jacuzzi
- Fitness
ชั้นที่ 1 Tower A เป็น Lobby Area ค่ะ
ภายใน Lobby มีส่วนที่เป็น Double Volume ทำให้ห้องดูกว้างขึ้น และมีมุมนั่งพักให้เลือกหลายหลายรูปแบบ มองออกไปเห็นสวนหย่อมได้
ด้านในก็จะมีชุดโซฟาจัดไว้ให้นั่งอีกหลายมุมด้วยกัน
สำหรับอาคาร A จะมีบันไดเดินเชื่อมขึ้นไปยัง Co-Living Space ที่ชั้น 2 เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่เราสามารถนัดคุยงาน หรือให้แขกนั่งรอได้ สำหรับห้องพักในอาคารนี้จะต้องใช้ Keycard เยอะนิดนึง เพราะการขึ้นโซนพักอาศัยจะต้องสแกนบัตรเพื่อผ่านเข้า Lift Lobby ไปอีกที แต่ก็เพื่อความเป็นปลอดภัยและเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัยเองค่ะ
เดินขึ้นไปชั้น 2 เป็น Co-Living Space
บริเวณนี้จะวางเก้าอี้และโซฟาขนาดใหญ่ไว้หลายจุด ให้ใช้งานหลายคนได้พร้อมกัน
สังเกตว่าเค้าจะออกแบบโดยใช้ฉากกั้นเพื่อแบ่งที่นั่งออกเป็นโซนๆ ให้ใช้งานได้เป็นส่วนตัวขึ้น
ถัดมาที่ชั้น 3-4 จะเป็นพื้นที่ Co-working Space ที่เรามองว่าน่าใช้งานมาก
ความน่าสนใจลำดับแรกของห้องนี้คือ เปิดให้ใช้งานตลอด 24 ชม. ตอบโจทย์ Lifestyle ของวัยรุ่นที่ทำงานไม่เป็นเวลา หากมีไฟขยันลุกโชนขึ้นมาเมื่อไหร่ก็สามารถมาใช้ได้ตลอด หรือหากทำงานติดพันยังไม่เสร็จห้องนี้ก็ไม่มีปิด นั่งทำงานยาวๆ ไปได้
เค้าออกแบบมุมนั่งทำงานไว้หลายมุม ใครชอบโซนส่วนตัวก็มีให้เลือก
มุมนี้เป็นพื้นที่นั่งขั้นบันไดแบบ Theater พร้อมเบาะและหมอนที่สามารถนั่งได้เลย ให้บรรยากาศเหมือนห้องสมุดในมหาวิทยาลัย อาจจะนั่งทำงานไม่สะดวกเหมือนมีโต๊ะ แต่ก็เอาไว้เปลี่ยนบรรยากาศทำให้เรานั่งยืดขาทำงานได้
เดินขึ้นบันไดมาจะเห็นว่าชั้นบนมี Private Meeting Room ให้จองใช้ประชุมงานได้ และมี Shooting Studio Room ที่ตอบโจทย์การค้าขายออนไลน์มากๆ
ภายใน Private Meeting Room จะได้ความเป็นส่วนตัวขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง
ส่วน Studio มีฉากและไฟติดตั้งมาให้ เหมาะกับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เลย
ขึ้นมาที่ชั้น 5-6 เป็นพื้นที่ Co-Dining และ Co-Kitchen ซึ่งถูกออกแบบมาให้จัด Party เล็กๆได้ด้วย
ภายในพื้นที่ Co-Dining เป็นฝ้าเพดานสูง ที่ทำให้ภายในดูโล่ง พร้อมจัดชุดที่นั่งมาให้หลากรูปแบบ สามารถใช้งานพร้อมกันหลายคนได้เลย
สำหรับพื้นที่ Co-Kitchen จะสามารถปิดประตูใช้งานแบบ Private ได้ โดยออกแบบให้มี Island ตรงกลาง บรรยากาศเหมือนอยู่ในคอนโดหรูเลย เราว่าหากพ่อครัวแม่ครัวคนไหนเป็น Youtuber ก็มีพื้นที่สวยๆ ไว้ Live ทำอาหารแล้ว หรือใครจะจ้างครูมาสอนทำอาหารก็มีพื้นที่รองรับด้วยเช่นกัน
เครื่องครัว ตู้เย็นก็มีติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน และด้านในสุดมีห้องน้ำด้วยนะ
หากใครอยากได้ความเป็นส่วนตัวก็มีพื้นที่ Private Dining อยู่ด้านบนไว้รองรับอีกโซนหนึ่งนะคะ
บรรยากาศที่ได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เผื่อนัดเพื่อนๆ มาปาร์ตี้ได้
ถัดมาที่ชั้น 7 เป็นสระว่ายน้ำและฟิตเนส
ตัวสระเป็นระบบเกลือยาว 25 x 7 เมตร หรือ Half Olympic ที่เราสามารถว่ายน้ำจริงจังได้
พื้นที่ภายในสระว่ายน้ำส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ Semi-Outdoor ทำให้สามารถมาว่ายน้ำในช่วงกลางวันได้นะคะ อย่างเราไปตอนเที่ยงๆ ก็มีโซนร่มๆ และมีการวาง Day Bed ไว้ให้นั่งเล่นชิลๆ ริมสระด้วย
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ Jacuzzi มาให้นั่งนวดตัวผ่อนคลายพร้อมชมวิวเมืองไปด้วยได้
ข้างสระมี Sunken Seat ให้บรรยากาศที่ใกล้ชิดกับสระว่ายน้ำ ช่วงเช้าหรือเย็นๆ น่าจะได้บรรยากาศชิลๆ ดีทีเดียวค่ะ
เจ้า Sunken นี่ไม่ได้มีเฉพาะริมสระนะคะ จะมีในสวนด้วย ช่วยสร้างบรรยากาศใหม่ๆในการนั่งชมสวนค่ะ
ถัดมาเป็นห้องฟิตเนส ซึ่งเป็นกระจก 2 ฝั่ง รับแสงได้เต็มที่
พร้อมมองออกไปเห็นวิวสระได้ด้วยนะ
ภายในมีทั้งเครื่องเล่นแบบ Cardio และ Weight Training ครบครัน
ส่วนที่เราไม่ได้เห็นบ่อยๆ ในคอนโดระดับนี้ก็คือมุมต่อยมวย ซึ่งเค้าก็จัดเตรียมกระสอบทรายและนวมมาให้แล้ว แต่หากใครเคยชกมวย เราแนะนำเป็นนวมส่วนตัวจะดีกว่านะคะ^^
ถัดมาเป็น Facility ที่อาคาร E และ F กันบ้าง จะมีส่วนกลาง 3 ห้องหลักๆ คือ Library Room, Play Room และ Theater Room มาให้ใช้งาน ทดแทนกับระยะที่ห่างจากอาคาร A และทางเข้าโครงการประมาณ 170 เมตรนั่นเองค่ะ
- อาคาร E
- ชั้น 7-8 : Library Room
- ชั้น 7-8 : Play Room และ Theater Room
มาดูที่อาคาร E กันก่อน เป็นห้องสมุดสูงแบบ Double Volume ที่ทำให้ภายในดูโปร่งโล่งดี ซึ่งตรงนี้จะมี Sky Bridge เชื่อมกับอาคาร F ที่เดินไปใช้งาน Facility อีกฝั่งได้ พร้อมหลังคาคลุม ไม่ต้องกลัวเปียกค่ะ
Library Room ที่อาคาร E ก็เป็นแบบ Double Volume เช่นกัน พอเค้าวางตำแหน่งให้อยู่ที่ชั้นบนแบบนี้ ทำให้ได้หน้าต่างสูงเต็มพื้นที่ รับแสงธรรมชาติและวิวได้ดีเลย
บรรยากาศภายในก็ดูโปร่งๆ ดีค่ะ
ภายในจัดชุดเก้าอี้มาให้เลือกหลากหลายแบบเลย มีทั้งแบบนั่งอ่านหนังสือคนเดียว โดยเป็นซุ้มที่นั่งติดกำแพง
บางจุดต้องปีนบันไดขึ้นไปใช้งาน น่าสนุกดี
ถ้าชอบความเป็นส่วนตัว มุมแปลกๆ หน่อย ต้องปีนขึ้นไปนั่ง
ขึ้นมาที่ชั้น 8 ก็จัดเป็นพื้นที่ทำงานอีกเช่นกัน
ส่วนตัวเราชอบการวางตำแหน่ง Facility ทั้ง 2 อาคารให้อยู่ตรงข้ามกันนะคะ เพราะเราจะได้เห็นส่วนกลางอีกฝั่งหนึ่งด้วย ดูคึกคักดี ซึ่งระหว่างอาคาร E และ F จะมี Sky Bridge ที่ไว้เดินเชื่อม 2 อาคารด้วยนะคะ
ถัดมาที่อาคาร F กันบ้างจะเป็นโซน Entertainment ให้มาผ่อนคลายก็จะมี Play Room และ Theater Room ค่ะ
ภายในจะเป็นห้อง Play Room ที่ทางโครงการจัดเครื่องเล่นบางส่วนมาให้ พร้อมชุดเก้าอี้สำหรับนั่งเล่นได้
ส่วน Theater Room รองรับได้ประมาณ 8 คน ออกแบบเป็นผนังเก็บเสียง เพื่อให้เสียงดูสมจริงเหมือนนั่งอยู่ในโรงหนัง ซึ่งตรงนี้ต้องจองใช้งานหรือไม่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการโดยนิติบุคคลของคอนโดนะคะ
บนชั้น 8 ก็จะจัดเป็นมุมอเนกประสงค์ ที่สามารถมานั่งเล่นได้
ส่วนชั้นดาดฟ้าเป็น Sky Running ของโครงการ โดยมีระยะทางประมาณ 400 เมตร ตรงนี้จะไม่มีลิฟต์ขึ้นมาถึง เป็นการวอมออกกำลังกายโดยการวิ่งขึ้นมาใช้งาน แต่แอบเสียดายที่ไม่มีห้องน้ำข้างบน เวลาใช้งานต้องลงไปใช้ที่ห้องตัวเองหรือพื้นที่ส่วนกลางนะคะ
Sky Running ของโครงการจะตีเส้นแบ่งเป็นลู่ไว้ชัดเจน แต่ด้วยสภาพอากาศของไทยก็เหมาะจะมาใช้งานช่วงเย็นที่แดดร่มแล้วนะคะ
ถึงแม้ว่าการออกแบบอาคารของที่นี่จะแบ่งเป็นอาคารเล็กๆ ถึง 8 ตึก แต่เค้าจะมีทางเชื่อมกันที่ชั้นดาดฟ้า ทำให้มี Sky Running ที่วิ่งต่อเนื่องกันได้ทุกตึกเลยนะคะ
ราวกันตกเป็นกระจกใสด้วย ส่วนตัวเราชอบนะดูโปร่งไม่เกะกะสายตาดี แต่ใครที่กลัวความสูงก็เดินตรงกลางๆ นิดนึงค่ะ
บนดาดฟ้าของแต่ละอาคารก็จะมีมุมให้มานั่งพักได้ แต่หลังคาเป็นระแนงโปร่งไม่ได้ช่วยกันแสงทั้งหมด เพราะเค้าตั้งใจทำไว้ให้มานั่งพักหลังวิ่งในช่วงเย็นๆ ค่ะ ต่อไปเราจะพาไปชมโซนพักอาศัยกันต่อเลย
เริ่มจากแปลนของชั้นพักอาศัยที่เหมือนกันทุกอาคารคือ มีลิฟต์โดยสาร 2 ตัว/อาคาร ทางเดินเป็น Double Corridor ที่อาจจะเปิดมาจ๊ะเอ๋กับเพื่อนบ้านได้ ถัดมาข้อพูดถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละอาคารนะคะ
- อาคาร A ตั้งอยู่ด้านหน้าสุดสามารถเข้าถึงได้ง่าย เป็นตึกที่มี Main Facility ของโครงการโดยทั้งตึกมีแค่ 65 ยูนิต สูงสุด 13 ยูนิต/ชั้น อัตราส่วนลิฟต์ 33 : 1 ถือว่าน้อยเลยถ้าเทียบเฉพาะคนพักอาศัย แต่เนื่องจากเป็นตึก Main Facility ทำให้มีคนใช้งานร่วมกันค่อนข้างเยอะ อาจจะเสียความเป็นส่วนตัวอยู่บ้าง แต่ก็เข้าถึงได้ง่าย เน้นใช้งานส่วนกลางสะดวก
- อาคาร B ถัดไปหันออกหน้าโครงการเหมือนกัน โดยจะเป็นลักษณะ L-Shape มีจำนวน 112 ยูนิต สูงสุด 16 ยูนิต/ชั้น อัตราส่วนลิฟต์ 56 : 1 ที่ถือว่ายังไม่หนาแน่นมาก ได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และยังเข้าถึงพื้นที่ส่วนกลางได้ง่ายอยู่
- อาคาร C,D,H,G ลักษณะอาคารเหมือนกันเลย โดยมีทั้งหมด 119 ยูนิต สูงสุด 17 ยูนิต/ชั้น อัตราส่วนลิฟต์ 60 : 1 ก็ยังไม่หนาแน่นมากนัก ส่วนอาคารหันหน้าชนกันเอง เวลาใช้งานจริงห้องตรงข้ามอาจจะมองเข้ามาในห้องได้ แต่ก็มองเห็นวิวสวนของโครงการค่ะ
- อาคาร E,F เป็นตึกหลังสุดของโครงการ มีจำนวน 113 ยูนิต สูงสุด 17 ยูนิต/ชั้น อัตราส่วนลิฟต์ 56 : 1 ภายในมีพื้นที่ส่วนกลางมาบางส่วน อย่าง Library Room, Play Room และ Theater Room มาให้ใช้งาน ทดแทนกับระยะที่ห่างจากทางเข้าประมาณ 170 เมตร เหมาะกับคนที่เน้นใช้ Facility แต่ไม่อยากเดินไปใช้งานตึกอื่น
ภายใน Lift Lobby ของโซนพักอาศัยก็จะมีพื้นที่สำหรับยืนรอลิฟต์ บรรยากาศน่าจะดูโปร่ง ได้แสงธรรมชาติมากกว่านี้ แต่ตอนนี้เค้ายังไม่ได้ลอกฟิล์มที่กระจกออกนะคะ
ข้างลิฟต์จะเป็น Mail Box ของลูกบ้านแยกกันไปแต่ละอาคาร
หากเป็นชั้นที่มี Facility ส่วนกลางด้วย ก็จะมีประตูแบ่งโซนพักอาศัยแยกเอาไว้ต่างหากนะคะ
ภายในโซนพักอาศัยก็จะเป็นทางเดินตามรูปแบบของคอนโดปกติ ซึ่งได้แสงธรรมชาติผ่านหน้าต่างปลายทางเดิน ช่วยให้ไม่มืดด้วยค่ะ
สำหรับอาคาร A มีห้องน่าสนใจอยู่ 2 ห้อง คือเบอร์ 01 และ 06 ที่ไม่มีห้องฝั่งตรงข้าม ทำให้ไม่มีคนมองเห็นภายในห้องได้ ซึ่งก็จะได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น รวมถึงทั้ง 2 ฝั่งหันออก ถนนรามอินทรา ที่การันตีวิวได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีตึกมาบังวิวในอนาคตค่ะ
สำหรับอาคาร B จะมีห้องที่ผนังไม่ติดกับเพื่อนบ้านเลยอยู่ 2 ห้อง คือห้องเบอร์ 01 และ 16 ที่จะไม่มีเสียงรบกวนจากห้องข้างๆ รวมถึงหันเข้าภายในโครงการ ซึ่งเป็นการการันตีวิวได้ด้วย นอกจากนี้พอตัวอาคารเป็นรูปตัว L- Shape แล้ว จึงทำให้เกิดทางเดินแบบ Single Corridor ที่ประตูไม่ตรงกับพื้นบ้านฝั่งตรงข้าม ซึ่งก็ได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
สำหรับอาคาร C,D,E จะอยู่ลักษณะคล้ายๆกันนะคะ โดยตึกนี้ที่มองว่าน่าสนใจคือห้อง 2 Bedrooms ที่ไม่มีผนังติดกับคนอื่น รวมถึงหันหน้าเข้าโครงการเห็นสวนหย่อมได้ด้วย แต่ก็ต้องแลกกับความเป็นส่วนตัวที่จะลดลง ทำให้ห้องพักฝั่งตรงข้าม อาจจะมองเข้ามาเห็นภายในห้องได้นะ
สำหรับอาคาร F,G,H ลักษณะคล้ายกันๆ วางขนานกับอาคารด้านบน ห้องที่น่าสนใจก็เหมือนกัน แต่ฝั่งนี้ห้องที่หันออกภายนอกโครงการ ต้องดูดีๆเพราะอาจจะมีอาคารบังวิวในอนาคตได้ เพราะเป็นที่ดินพื้นใหญ่เหมือนกันค่ะ
ถัดมาที่เรื่องวิว เอาจริงๆ พอเป็นอาคารที่สร้างเสร็จแล้วเราจะไม่ค่อยห่วงเรื่องวิวเท่าไหร่ เพราะเราสามารถเห็นวิวจริงได้แล้ว และยิ่งคุณเลือกซื้อคอนโด Low Rise ความคาดหวังต่อวิวก็คงไม่ใช่เป้าหมายหลัก แถมเมื่อรถไฟฟ้าสายสีชมพูเปิดใช้งานก็อาจมีการรวมแปลงที่ดินเพื่อขึ้นอาคารสูงก็ได้นะคะ
วิวทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จากชั้น 7 ที่มองออกไปทางถนนรามอินทรา จะมีกลุ่มอาคาร 2-4 ชั้น ที่บังวิวชั้นล่างๆ ไปบางส่วนค่ะ
วิวทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทางฝั่งนี้ไม่ต้องลุ้นแล้วนะ เพราะทาง Origin เองเค้าเตรียมขึ้นคอนโดสูง 18-19 ชั้นชื่อว่า The Origin Plug&Play เรียบร้อยแล้ว
สำหรับวิวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือจะดูโปร่งกว่า เพราะที่ดินด้านข้างเป็นแปลงย่อยๆ ที่ขึ้นอาคารสูง 2-5 ชั้น และในปัจจุบันยังเห็นว่ามีระยะร่นจากกันพอสมควรค่ะ
สำหรับห้องพักที่หันเข้าด้านในโครงการจะมีระยะห่างระหว่างตึกประมาณ 17 เมตร เป็นระยะที่ยังสามารถมองเห็นอาคารตรงข้ามด้วยอยู่นะคะ แต่ถ้าเลือกอาคาร D,G ประมาณชั้น 2-3 ก็จะได้ต้นไม้ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวอีกหน่อยค่ะ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- อาคาร A : Main Facility
- ชั้น 1
- Visitor Lobby
- Mail Room + Smart Locker
- Sharing Service
- Self Storage
- Laundry Service
- Vending Machine
- 3 Shops
- Co-Living Space
- Co-Working Space (Open 24 hour)
- Co-Passion Room
- Meeting Room
- Private Dining Room
- Co-Kitchen Space
- สระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาด 7 x 25 เมตร ลึก 1.20 เมตร
- สระเด็ก ลึก 0.60 ซม.
- Sauna
- Jacuzzi
- Fitness
- ชั้น 7-8
- Library Room
- ชั้น 7-8
- Play Room
- Theater Room
- Sky Running ยาว 400 เมตร
- Sky Garden
- Pocket Seat
แบบห้อง
สำหรับห้องพักอาศัยของโครงการมีทั้งหมด 5 แบบ ดังนี้
- 1 Bedroom 22.5 ตร.ม.
- 1 Bedroom 26 – 27 ตร.ม.
- 1 Bedroom แบบ Smart Walk-in Closet 26 – 27 ตร.ม.
- 1 Bedroom Plus 30 – 34.5 ตร.ม.
- 2 Bedroom 43.5 – 44 ตร.ม.
รูปแบบการขายของโครงการเป็นแบบ Fully Fitted ที่จะได้เฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติมบางส่วน อย่าง ตู้เสื้อผ้า, ตู้เก็บรองเท้า, ฐานเตียง 5 ฟุต และ Built-in บางส่วน ซึ่งแต่ละห้องจะได้ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ยังได้ Digital Door Lock , Home Automation และแอร์ Daikin หรือเทียบเท่า เป็นมาตรฐานด้วย เอาจริงๆก็ได้เฟอร์ฯ มาเกือบครบแล้วขาดแค่พวกลอยตัวนิดหน่อย เราไปดูกันค่ะ
ห้องตัวอย่างแบบ 1 Bedroom ขนาด 26 ตร.ม. แบบที่ได้ครัวปิดติดระเบียง เหมาะกับคนที่ชอบทำครัวบ่อยๆ อยากให้ระบายกลิ่นควันได้ดี ถ้าดูจากฟังก์ชันภายในห้องแล้วก็สามารถอยู่อาศัย 1-2 คนได้ แต่ด้วยขนาดพื้นที่แล้วเราเชียร์ให้อยู่ 1 คนจะพอดีๆ มากกว่า จะได้มีพื้นที่ส่วนตัว ไม่อึกอัดเกินไปค่ะ
โครงการนี้มี Digital Door Lock ยี่ห้อ COLT มาให้ทุกห้องนะคะ ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งการตั้งรหัส คีย์การ์ด กุญแจ
เมื่อเปิดประตูมาจะพบพื้นที่ Common Area ก่อน ซึ่งแม้จะไม่ได้เห็นวิวข้างนอก แต่ก็ยังได้รับแสงจากห้องนอนช่วยไม่รู้สึกมืดทึบ / ความสูงพื้นถึงฝ้าที่ 2.40 เมตร พื้นเป็นลามิเนต หนา 8 มม. ผนังจะได้เป็นฉาบเรียบทาสีขาวนะคะ
โครงการจะ Built-in ตู้รองเท้ามาให้หน้าห้องเลยนะคะ ซึ่งจะช่วยเก็บกลิ่นของรองเท้าได้ รวมถึงพื้นภายในห้องยังไม่เลอะอีกด้วยนะ
สำหรับชั้นวางทีวีชุดนี้ก็จะติดตั้งมาให้ด้วย
เราจะเห็นว่าบนชั้นนั้นมี Home Automation ที่โครงการติดตั้งเพิ่มมาให้ สามารถควบคุมการเปิด-ปิดไฟ แอร์ Smart Mirror ผ่านทาง Application ในมือถือมาให้ทุกห้องอีกด้วย เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านค่ะ
หันกลับมาตรงนี้จะสามารถวางโซฟาสำหรับ 2-3 ที่นั่งได้ และมีพื้นที่เหลือด้านข้างให้วางโต๊ะทานข้าวสำหรับ 2 ที่นั่งได้อีกด้วย
ด้านหลังชั้นวางทีวีก็จะเป็นตำแหน่งของห้องน้ำ และตรงข้ามกันจะเป็นห้องครัวค่ะ
หน้าห้องน้ำจะมีพื้นที่อเนกประสงค์ให้สามารถทำเป็นมุมโต๊ะเครื่องแป้ง หรือไว้ใช้นั่งทำงานได้
เข้ามาในส่วนห้องน้ำกันต่อนะคะ สำหรับห้องน้ำนี้มีการแบ่งโซนเปียกและแห้งเป็นสัดส่วนด้วยฉากกั้นกระจกเรียบร้อย
พื้นและผนังเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้เหมาะกับการใช้งานในห้องน้ำ ทนความชื้นและทำความสะอาดได้ง่าย กระจกเงาที่นี่นอกจากเป็นกระจกขนาดใหญ่กว้างเท่ากับความกว้างผนังเลย
อ่างล้างมือจะได้ของยี่ห้อ American Standard เป็นมาตรฐาน ตัวอ่างจะลอยเหนือพื้น ซึ่งจะง่ายต่อการทำความสะอาดพื้นห้องน้ำค่ะ
ภายในห้องน้ำมีปลั๊กกันน้ำ ที่ภายในมีช่องเสียบ 1 จุด + ช่องเสียบสาย USB มาให้ด้วยนะ
สำหรับโถสุขภัณฑ์ยี่ห้อ American Standard เช่นกัน มาพร้อมสายฉีดชำระและที่วางทิชชู่ ซึ่งจะอยู่ด้านข้างเป็นตำแหน่งที่ใช้งานได้สะดวก
ถัดมาในโซนพื้นที่อาบน้ำ มีฉากกั้นกระจกแบบบานเปิด พร้อมมือจับด้านหน้าแขวนผ้าเช็ดตัวได้ ฝักบัวแบบ Hand Shower และด้านข้างเจาะช่องทำชั้นวางของมาให้ วางอุปกรณ์อาบน้ำได้
ภายในพื้นที่อาบน้ำยกขอบธรณีขึ้นเล็กน้อยกันน้ำไหลย้อน มีพื้นที่อาบน้ำขนาดประมาณ 95 x 75 ซม. เป็นระยะที่พอใช้งานหมุนตัวอาบน้ำได้ ส่วนประตูมีตัว Stopper มาให้กันกระแทกค่ะ
ถัดมาที่ห้องครัวเป็นครัวที่มีประตูเปิดปิดได้ พื้นที่ทางเดินภายในห้องกว้างประมาณ 70 ซม. ไม่ได้กว้างมากแค่พอเดินทำอาหารได้นะคะ
เคาน์เตอร์ครัวเราได้ตามนี้เลย หน้าบานกรุด้วยลามิเนต Top เป็นกระเบื้องพอร์ซเลนของทาง Cotto ที่ทนความร้อนและรอยขูดขีดได้ดี ถึงจะไม่กว้างมากแต่ก็มีพื้นที่สำหรับล้าง เตรียม และปรุงอาหารครบ
ตรงกลางเป็นตู้แบบดึงออกมาไว้วางเครื่องปรุงได้ ส่วนขวามือสุดเป็นตู้ใต้ซิงค์ ที่วางของชิ้นใหญ่ได้ ซึ่งตู้พวกนี้จะพร้อมติด Soft Close มาให้ด้วย
ชุดเตาไฟฟ้าแบบ 2 หัวพร้อมเครื่องดูดควัน ยี่ห้อ Hafele ค่ะ
อ่างล้างจานสแตนเลสหลุมเดี่ยวแบบฝั่งในเคาน์เตอร์ ขนาดพอให้ล้างหม้อ กระทะได้ไม่มีปัญหา
ชั้นบนแบ่งชั้นวางของมาให้แล้วเรียบร้อย โดยมีทั้งส่วนปิดที่วางเครื่องปรุงได้ และส่วนเปิดที่วางแก้วน้ำ จาน ชามได้ รวมถึงมีชั้นที่ยื่นออกมาสำหรับวางไมโครเวฟได้ด้วย
ติดกันเป็นประตูระเบียงแบบบานเลื่อน 3 ตอน กรอบบานอลูมิเนียม Powder Coat พ่นสีเทา + กระจกสีเขียวตัดแสง ที่สามารถป้องกัน UV ได้ พร้อมทั้งแขวน Condensing Unit ไว้ด้านข้างเรียยร้อย
พื้นที่ระเบียงภายนอกมีขนาด 1.2 x 0.9 เมตร สามารถวางเครื่องซักผ้าได้ แต่ราวตากผ้าต้องเป็นราวแขวนเอานะ พื้นเป็นกระเบื้องเซรามิคช่วยเพื่อกันลื่นได้ดีค่ะ
ถัดไปขอพูดถึงห้องนอนกันต่อ โดยกั้นด้วยมีประตูบานเลื่อน 3 ตอน แต่จะไม่สูงเต็มผนังนะ เพราะต้องการเหลือพื้นที่ให้ติดแอร์ได้ด้วย ซึ่งจะได้เป็นขอบอลูมิเนียมสีดำ Powder Coat + กระจกสีเขียวตัดแสง เหมือนหน้าต่างข้างนอกเลยนะ
ห้องนอนเหมาะกับวางเตียงขนาด 5 ฟุต กำลังดีเลย มีพื้นที่เหลือเดินรอบเตียงได้อยู่นะคะ ซึ่งตำแหน่งเตียงก็จะตรงกับหน้าต่างที่รับแสงธรรมชาติและวิวภายนอกได้
โครงการจะให้ฐานเตียง 5 ฟุตมาด้วย
ซึ่งดีไซน์จะมีลิ้นชักใต้เตียงไว้เก็บของส่วนตัวได้
ถ้าใครชอบดูทีวีในห้องนอน ก็แนะนำเป็นแบบแขวนนะคะ
เสียดายนิดนึง ที่หน้าต่างห้องมีเสากั้นทำให้มองวิวได้ไม่เต็มที ซึ่งนอกจากหน้าต่างบาน Fix แล้วยังได้บานกระทุ้งมาถึง 2 บาน ที่ระบายอากาศภายในห้องได้ดียิ่งขึ้น โดยได้เป็นขอบอลูมิเนียม Powder Coat พ่นสีดำ พร้อมกระจกสีเขียวตัดแสง ที่สามารถป้องกัน UV ได้ระดับนึงค่ะ
นอกจากนี้ทางโครงการได้ Built-in ตู้เสื้อผ้าตามห้องตัวอย่างให้เป็นมาตรฐานเลยนะคะ หน้าบานขวามือสุดจะเป็นกระจกเงาสำหรับแต่งตัวได้ ส่วนบานอื่นจะเป็นบานทึบปิดผิวด้วยลามิเนต
มือจับมีขอบยื่นออกมา ทำให้เปิดใช้งานได้ง่าย พร้อมบานพับแบบ Soft-close ยี่ห้อ Hafele เพื่อป้องกันบานประตูกระแทกค่ะ
ถัดมาที่ห้อง 1 Bedroom 26 ตร.ม. อีกแบบหนึ่ง เป็นห้องฟังก์ชันใหม่จาก Origin ที่มีชื่อว่า Smart Walk-in Closet ทำออกมาเพื่อตอบโจทย์คนที่ชอบแต่งตัว มีเสื้อผ้าเยอะหรืออยากได้พื้นที่เก็บของแบบเน้นๆ ซึ่งเป็นปัญหาในคอนโดปัจจุบันที่มีพื้นที่เก็บของน้อย โดยจัดให้มีห้อง Walk-in Closet ขนาดใหญ่อยู่หน้าห้องน้ำและเชื่อมต่อกับระเบียงไปเลย ตู้เสื้อผ้านี้ทางโครงการก็แถมมาให้ด้วยนะคะ ซึ่งจะมีมุมที่แบ่งมาทำเป็นโต๊ะเครื่องแป้งได้ด้วย
ห้องนอนเชื่อมต่อกับพื้นที่นั่งเล่นไปเลย ไม่ได้กั้นผนังมาให้ ซึ่งห้องแบบนี้ในความหมายของ Thinkofliving เราเรียกห้อง Studio เพราะ ไม่มีการแยกใช้งานห้องนอนและห้องนั่งเล่นออกจากกัน โดยพอเป็นแบบนี้จะทำให้เราสามารถวางโซฟาขนาด 3-4 ที่นั่งได้เลย นั่งใช้งานได้สบายๆ หรือถ้าอยู่อาศัยเองจะปรับเป็นโซฟา 2 ที่นั่ง + โต๊ะกินข้าวก็ได้ ส่วนห้องครัวเป็นครัวปิดอยู่บริเวณหน้าห้อง ซึ่งฝั่งตรงข้ามเคาน์เตอร์ครัวเป็นตู้รองเท้าที่จัดวางได้หลายคู่มากๆ เดี๋ยวเราเข้าไปดูในห้องกันค่ะ
เข้ามาในห้องเราจะเจอกับห้องครัวที่มีการกั้นประตูระหว่างห้องนั่งเล่นและห้องนอนทำเป็นครัวปิด ทำให้เราสามารถทำอาหารจริงจังได้ พื้นบริเวณนี้จะเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ซึ่งมีคุณสมบัติในการซักล้างทำความสะอาดได้ง่ายเหมาะกับการใช้งานในครัวค่ะ
ชุดครัวได้ตามห้องตัวอย่าง ซึ่งจะเป็นชุดเดียวกับทั้งโครงการเลยนะคะ
หันกลับไปฝั่งตรงข้ามเราจะได้ชุดนี้ทั้งหมดเลยนะ เป็นตู้รองเท้า ที่ออกแบบชั้นมาให้วางรองเท้าได้เยอะพอสมควรเลย สาวๆ Fashionista น่าจะชอบ ด้านข้างมีช่องให้วางตู้เย็นได้ ส่วนตู้ด้านบนยังสามารถเก็บของใช้ได้อีกด้วยนะ
ระหว่างห้องครัวกับห้องนั่งเล่นถูกกั้นด้วยประตูบานเลื่อนกระจก กรอบบานอลูมิเนียม 4 ตอน สูงตั้งแต่พื้นถึงฝ้า แบบนี้เลยนะคะ นอกจากเอาไว้กันกลิ่นและควันเวลาทำอาหารแล้วยังถือเป็นการแบ่งฟังก์ชันการใช้งานด้วย
ถัดเข้ามาเป็นห้องนั่งเล่น+ห้องนอนต่อเนื่องกันยาวๆเลย ซึ่งข้อดีคือเราจะได้ความโปร่งโล่ง ได้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาถึงห้องนั่งเล่นเลย แต่ถ้าอยู่กัน 2 คน หากคนนึงเข้านอนก่อนแล้วอีกคนดูทีวีอาจจะต้องเบาเสียงกันนิดนึงค่ะ
ระยะทีวีประมาณ 2.1 เมตร ซึ่งขนาดทีวีที่เหมาะกับระยะสายตาอยู่ที่ประมาณ 47″-55″ จัดว่าวางทีวีขนาดใหญ่ได้อยู่นะ ส่วนชั้นวางทีวีจะได้เฉพาะด้านล่าง ซึ่งถ้าใครมีของเยอะ แนะนำให้ทำชั้นวางของเพิ่มเหมือนห้องตัวอย่างได้
ความกว้างของพื้นที่ส่วนนี้สามารถวางโซฟาขนาด 3-4 ที่นั่งแบบห้องตัวอย่าง หรือจะเปลี่ยนเป็นโซฟาสำหรับ 2 ที่นั่ง + โต๊ะสำหรับนั่งทำงาน 1 ที่นั่งก็ได้นะคะ
ถัดมาเป็นพื้นที่นอนพักผ่อนซึ่งเราจะได้ฐานเตียงมาอย่างเดียว ตำแหน่งของเตียงจะอยู่ด้านข้างหน้าต่าง นอนชมวิวได้สบาย
นอกจากฐานเตียงขนาด 5 ฟุต ที่มีการทำลิ้นชักมาให้แล้ว สำหรับห้อง Type นี้ยัง Built in โต๊ะหัวเตียงมาให้ ความพิเศษคือสามารถชาร์จมือถือแบบ Wifi ได้ ซึ่งจะรองรับกับโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ค่ะ
ส่วนปลายเตียงจะเป็นทางไปห้อง Smart Walk-in Closet ที่เป็นไฮไลท์ของห้องนี้
Smart Walk-in Closet ออกแบบให้บริเวณหน้าห้องน้ำมีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่แบ่งออกเป็นชั้นวางของหลายๆช่อง มีราวแขวนชุดสั้นและชุดเดรสยาว มีพื้นที่เก็บของชิ้นใหญ่ด้านบน ให้มาทั้งตู้แบบนี้ มีโต๊ะเครื่องแป้ง พร้อมกระจกเงา ที่มีลูกเล่นด้วยนะ เดี๋ยวเราไปดูกันค่ะ
บริเวณกระจกเงามีไฟสำหรับแต่งหน้ามาให้ ที่สามารถควบคุมผ่าน Application ให้เปลี่ยนสีได้ตามสั่ง หรือจะเปลี่ยนไฟตามจังหวะเพลงก็ได้นะ
ข้างโต๊ะเครื่องแป้งเป็นพื้นที่ระเบียง ทำให้เปิดระบายอากาศโซนนี้ได้สะดวกเลย พื้นที่ระเบียงจะมีขนาด 1.4 x 0.9 เมตร ใช้วางเครื่องซักผ้าได้แต่จะมีพื้นที่เหลือไม่มากนะคะ
พอห้องถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนแบบนี้แล้ว ก็ช่วยประหยัดไฟไปได้เหมือนกันนะคะ อย่างในห้องตัวอย่าง Type นี้คือติดแอร์เครื่องเดียวก็เพียงพอแล้ว ส่วนด้านในสุดของ Smart Walk-in Closet จะเป็นห้องน้ำ
ภายในห้องน้ำแบ่งออกเป็นส่วนแห้งส่วนเปียกเป็นสัดส่วน กั้นด้วยฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัย สุขภัณฑ์และกระเบื้องที่กรุตามพื้นและผนังได้ตามนี้เลยค่ะ
แปลนห้อง 1 Bedroom ขนาด 22.5 ตร.ม. หรือจริงๆแล้ว Type นี้ก็ยังเป็น Studio สำหรับเรานะ เพราะยังไม่ได้แยกพื้นที่ Bedroom ให้เป็นสัดส่วนได้จริงๆ แต่ Type นี้เป็นขนาดเริ่มต้นของโครงการ แถมได้ครัวปิดด้วยค่ะ
สิ่งที่ได้ภายในห้อง Home Automation, Digital Door Lock, แอร์ Daikin, ตู้เก็บรองเท้า, ชุดครัว, ชั้นวางทีวี, ฐานเตียง 5 ฟุต 2 ชิ้น, ตู้เสื้อผ้า
1 Bedroom 22.5 ตร.ม.
แปลนห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 30-34.5 ตร.ม. ส่วนตัวเราชอบการออกแบบของห้องนี้ เพราะมีฉากกั้นระหว่าง Bedroom กับ ห้องอเนกประสงค์ที่สามารถเปิดเชื่อมกันได้ แล้วทำให้ห้องดูกว้างเลยค่ะ แลกมากับการได้พื้นที่ครัวเปิด เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยทำอาหารบ่อยนักนะคะ
สิ่งที่ได้ภายในห้อง Home Automation, Digital Door Lock, แอร์ Daikin, ตู้เก็บรองเท้า, ชุดครัว, ชั้นวางทีวี, ฐานเตียง 5 ฟุต, ตู้เสื้อผ้า และ Smart Mirror ในห้องน้ำ
สุดท้ายแปลนห้อง 2 Bedrooms ขนาด 43.5 – 44 ตร.ม. เป็นห้อง Type ใหญ่สุดในโครงการ ซึ่งสามารถรองรับครอบครัว 1-3 คนได้
สิ่งที่ได้ภายในห้อง Home Automation, Digital Door Lock, แอร์ Daikin, ตู้เก็บรองเท้า, ชุดครัว, ชั้นวางทีวี, ฐานเตียง 5 ฟุต 2 ชุด, ตู้เสื้อผ้า 2 ชุด และ Smart Mirror
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ
ราคา
The Origin Ramintra 83 Station (ดิ ออริจิ้น รามอินทรา 83 สเตชั่น) ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2564
- 1 Bedroom ขนาด 22.5 – 27 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท
- 1 Bedroom แบบ Smart Closet ขนาด 26 – 27 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.19 ล้านบาท
- 1 Bedroom Plus ขนาด 30 – 34.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาท
- 2 Bedroom ขนาด 43.5 – 44 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท
- รูปแบบการขาย Fully Fitted + เฟอร์นิเจอร์ Built-in บางส่วน
- ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.4 เมตร
- Kitchen & Sink / ท็อปกระเบื้องพอร์ซเลน
- Hob & Hood / ของยี่ห้อ Hafele
- ค่ากองทุน 450 บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 48 บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ
บทสรุป
ทำเล :
โครงการ The Origin รามอินทรา 83 สเตชั่น ตั้งอยู่บริเวณถนนรามอินทราช่วงตอนกลาง เยื้องกับรพ.สินแพทย์ ตำแหน่งอยู่ระหว่างทางด่วน 2 เส้นทำให้มีตัวเลือกในการใช้งานมากขึ้น รวมถึงใกล้ Fashion Island ที่เป็นแหล่งความอุดมสมบูรณ์จุดใหญ่ของคนในย่านนี้เลย ซึ่งทำเลโครงการของเราได้เปรียบที่เดินทางเข้าห้างได้เลยไม่ต้องกลับ และความอุดมสมบูรณ์ในระยะที่เดิน ใกล้ๆก็มีให้เห็นทั้งตลาดนัด ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ดังนั้นเรื่องความอุดมสมบูรณ์ถือว่าหาของกินของใช้ได้ง่าย
การเดินทางโดยใช้รถ :
ด้วยความที่ตัวโครงการอยู่ติดถนนใหญ่รามอินทราเลย ดังนั้นการเดินทางด้วยรถยนต์จึงค่อนข้างสะดวก ใกล้ทางด่วนกาญจนาภิเษก ที่ใช้งานได้ทั้งขาเข้า-ออก จะวิ่งไปเชื่อม Motorway หรือทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ก็ได้ โดยที่ไม่ต้องไปกลับรถเลยนะคะ ซึ่งตัวโครงการให้พื้นที่จอดรถมาทั้งหมด 42% ถือว่ามาตรฐานสำหรับโครงการใกล้รถไฟฟ้า
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ :
ในอนาคตโครงการนี้จะกลายเป็นคอนโดมิเนียมที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าในระยะที่เดินได้ง่าย เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนในย่านนี้ที่ไม่อยากย้ายทำเลเข้าเมือง แต่ต้องการความสะดวกในการใช้รถไฟฟ้าในอนาคต ซึ่งตัวโครงการจะอยู่ห่างจากสถานีรามอินทรา กม. 9 ที่คาดว่าไม่น่าจะเกิน 70 ม. (คงต้องรอให้เห็นบันไดขึ้นลงที่ชัดเจนก่อนจึงคอนเฟิร์มได้) ส่วนปัจจุบันใครที่ต้องพึ่งพิงระบบขนส่งสาธารณะก็ใช้งานได้สะดวก เพราะโครงการติดถนนใหญ่ มีรถประจำทาง, รถตู้ผ่านไปผ่านมาตลอด เพราะส่วนใหญ่จุดปลายทางจะอยู่ที่มีนบุรี ซึ่งต้องผ่านคอนโดเราก่อนอยู่แล้ว รวมไปถึงจะเรียกพี่แท็กซี่ก็ไม่ยากค่ะ
วัสดุ :
ให้มาค่อนข้างดี ขายแบบ Fully Fitted + เฟอร์นิเจอร์ Built-in มาหลายชิ้นทั้งตู้รองเท้า ตู้เสื้อผ้า ฐานเตียง เอาจริงๆ ขาดแค่เฟอร์ฯ ลอยตัวไม่กี่ชิ้นก็เขาอยู่ได้แล้วนะคะ จุดที่คิดว่าค่อนข้างดีคือ เคาน์เตอร์ครัว Top กระเบื้องพอร์ซเลนสีขาว อุปกรณ์ครัวและสุขภัณฑ์ของ Hafele และการให้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น ระบบ Home Automation ที่ชาร์จมือถือ แบบ wifi , Smart Mirror ในห้องน้ำเป็นต้น
การออกแบบ :
ตัวอาคาร – ภายในโครงการแบ่งเป็น 8 อาคาร แต่ละอาคารจึงมีห้องพักอาศัยไม่มากนัก น้อยสุดที่ 65 ยูนิต มากที่สุด 119 ยูนิต ต่ออาคาร ทำให้ยังมีความเป็นส่วนตัว และอัตราส่วนลิฟต์แต่ละอาคารก็ไม่หนาแน่น ทางเดินเป็นแบบ Double Corridor ที่อาจจะเปิดมาเจอกับเพื่อนบ้านได้ แต่ก็มีบางตำแหน่งที่ได้ Single Corridor อยู่นะ ส่วนช่องแสงให้มาถึง 3 จุด ที่ช่วยประหยัดไฟบริเวณทางเดินได้
ส่วนที่เราชอบเลยก็คือการออกแบบ Facility ส่วนกลางที่ให้มาจุใจจริงๆ แต่ก็แชร์กับเพื่อนบ้านที่เยอะหน่อย และสำหรับคอนโด Low Rise เราคงต้องเอาปัจจัยเรื่องวิวมาพิจารณาหลังราคา กับทำเลสักหน่อยนะคะ โดยวิวที่น่าเป็นห่วงเลยคือฝั่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ที่ติดกับคอนโดสูง 18-19 ชั้นค่ะ
ตัวห้อง – สำหรับห้องพักมีให้เลือกหลากหลาย ฟังก์ชันก็ต่างกัน เช่น ครัวปิด ครัวเปิด มีห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ หรือมีห้องนอนขนาดใหญ่ เมื่อโครงการทำมาให้เลือกหลายแบบแล้ว เราก็เลือกให้เหมาะกับ Lifestyle เราได้นะ
ห้องที่เราว่าน่าสนใจคือ 1 Bedroom Plus ที่พอเปิดพื้นที่เชื่อมกัน ก็ทำให้ห้องนอนดูใหญ่ขึ้นทันตาเลย แต่เหมาะกับคนที่ไม่ได้ชอบทำอาหารบ่อยๆ เพราะได้เป็นห้องครัวเปิด แถมได้เป็นพื้นลามิเนตที่ต้องระวังการใช้งานด้วยนะ
อีกห้องหนึ่งคือ 1 Bedroom (Smart Closet) ก็ออกแบบมาได้ลงตัว เหมาะกับคนที่ต้องการพื้นที่ Smart Walk-in Closet ขนาดใหญ่ ตอบโจทย์คนทีชอบแต่งตัวหรือเก็บของได้เป็นอย่างดี พร้อมครัวปิดที่สามารถทำอาหารจริงจังได้ ส่วนห้องนอนจะรวมกับห้องนั่งเล่น ซึ่งเหมาะอยู่อาศัยคนเดียวมากกว่าค่ะ
สาธารณูปโภค :
ด้วยความที่เป็นโครงการที่มีจำนวนยูนิตเยอะพอสมควร จึงได้ Facility ค่อนข้างหลากหลาย ฟังก์ชัน น่าใช้งานและให้มาแบบจุใจ ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มลูกบ้านที่ชอบส่วนกลางเยอะๆ ได้มาใช้บ่อยๆ ซึ่งเค้าก็เน้นให้ตอบรับกับกิจกรรมของกลุ่มวัยรุ่นโดยเฉพาะการเรียน การทำงาน การสังสรรค์ โดยออกแบบให้กระจาย Facility หลักๆไปถึง 3 อาคาร เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย เริ่มตั้งแต่ Main Facilities จะอยู่ที่อาคาร A ตึกแรก ส่วนอาคารด้านหลังก็จะมี Facility พิเศษ เพื่อทดแทนระยะที่ห่างจากข้างหน้าประมาณ 170 เมตร นอกจากนี้ตรงกลางอาคารยังมีสวนหย่อมให้เดินเล่นได้อีก นอกจากนี้ก็จะมี Sky Running บนชั้นดาดฟ้าที่เชื่อมทุกอาคารเข้าด้วยกัน ทำให้เส้นทางยาวต่อเนื่องไปถึง 400 เมตรเลยค่ะ เทียบกับค่าส่วนกลางแล้วก็เรียกว่าสมน้ำสมเนื้ออยู่นะคะ
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 79,900 บาท/ตร.ม., 28 พฤษภาคม 2564
- ทำเล 8.25/10 – ทำเลติดถนนใหญ่ ใกล้ Fashion Island อยู่ติดถนนใหญ่รามอินทรา ไม่ไกลจากทางด่วน 2 ฝั่ง หักคะแนนเล็กน้อยเมื่อเทียบราคากับโครงการเพื่อนบ้าน
- เดินทางด้วยรถ 7.5/10 – รถยนต์ใช้ทางด่วนง่าย ที่จอดรถให้มา 42% รวมซ้อนคัน
- เดินทางโดยไม่ใช้รถ
- กรณีไม่ใช้รถไฟฟ้า 7.25/10 – ติดถนนใหญ่เลือกเดินทางได้สะดวกทั้งรถเมล์ รถตู้และแท็กซี่
- กรณีใช้รถไฟฟ้า 8.25/10 – ใกล้สถานีรถไฟฟ้า 70 เมตร เดินไปใช้สะดวก
- MAIN CLASS
- 7.93 / 10.00
- 8.08 / 10.00 (กรณีใช้รถไฟฟ้า)
The Origin รามอินทรา 83 สเตชั่น เหมาะกับใคร
โครงการ The Origin รามอินทรา 83 สเตชั่น เหมาะกับคนในย่านรามอินทรา ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของทำเลเป็นหลัก เป็นคอนโดใกล้รถไฟฟ้า ใกล้ Fashion Island ใกล้ทางด่วน ชอบโครงการที่ให้ส่วนกลางเยอะๆ หลากหลาย น่าใช้งาน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องวิวมากนัก ต้องการห้องที่ขนาดไม่ใหญ่มาก 22.5 – 44 ตร.ม. มีงบประมาณเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท หรือมีกำลังผ่อนเริ่มต้น 13,000-28,000 บาทต่อเดือน
ThinkofLiving มี LINE Official Account แล้วนะ
ไม่อยากพลาดข้อมูลข่าวสารก็ Add เลย > https://lin.ee/svACOxc