THE BASE Sukhumvit 50

รีวิวฉบับที่ 2006 …  THE BASE Sukhumvit 50 เป็นคอนโด Low Rise จากแสนสิริที่ตั้งอยู่กลางซอยสุขุมวิท 50 ใกล้กับทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนเฉลิมมหานคร อันที่จริงทำเลนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีโครงการคอนโดมิเนียมขึ้นเยอะเลยนะคะ เพราะมีความสะดวกสบายทั้งการเดินทาง มีทางด่วน มีรถไฟฟ้า และยังมีความอุดมสมบูรณ์สูง ทั้งตลาด , Tesco Lotus และ Century Movie Plaza แต่จุดเด่นที่ทำให้ THE BASE Sukhumvit 50 นี้แตกต่างจากโครงการอื่นที่อยู่รอบๆคือการ Design ที่มี Concept จากคำว่า Camouflage ในยุคหลังสงครามโลกที่ทำให้หน้าตาโครงการมีลวดลายกราฟฟิกแบบพรางตาและสีสัดจัดจ้านกว่าโครงการอื่นๆในย่านนี้ ปัจจุบันโครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่เต็มที เราไปดูโครงการจริงพร้อมกันเลยค่ะ

Fact @ 29 November 2019

  • THE BASE Sukhumvit 50 (เดอะ เบส สุขุมวิท 50)
  • บริษัท สิริ ที เค ทรี จำกัด
  • UPPER CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ใน : ซอยสุขุมวิท 50 เขตคลองเตย
  • คอนโด Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร 415 ยูนิต
  • อาคารคลับเฮาส์ สูง 2 ชั้น 1 อาคาร
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 31 ยูนิต
  • ที่จอดรถไม่รวมจอดซ้อนคัน 151 คัน คิดเป็น 36.38% จอดรถแบบซ้อนคันได้อีก 41 คัน
  • ที่จอดรถจักรยานยนต์ 5 คัน
  • ที่ดินประมาณ 3 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง : พฤษภาคม 2561
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ : ธันวาคม 2562
  • 1 Bedroom 25 – 26.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท
  • 1 Bedroom 30.75 – 32 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท
  • 1 Bedroom 34.25 – 42 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาท
  • 2 Bedrooms 45.5 – 56.75 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.89 ล้านบาท
  • ฝ้าเพดานสูง 2.5 เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 100,000 บาท/ตร.ม.
  • EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : ผ่านแลัว
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • Call Center : 1685

สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างค่ะ


เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

พิกัด Google Maps : 13.705449, 100.592213
หรือสามารถคลิกที่นี่

แผนที่จากทางโครงการค่ะ

ที่ตั้งของโครงการ THE BASE Sukhumvit 50 ตั้งอยู่ในซอยเริ่มเจริญ ซึ่งเป็นซอยย่อยจากซอยสุขุมวิท 50 อีกที โดยซอยสุขุมวิท 50 นี้ถือว่าเป็นซอยที่มีความสำคัญคือ เป็นซอยที่เชื่อมต่อระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนทางรถไฟสายเก่าปากน้ำ ที่เชื่อมต่อไปยังสมุทรปราการและพระราม 4 ได้ นอกจากนี้ยังเป็นซอยที่มีจุดขึ้น-ลงทางด่วน 2 สาย คือทางด่วนฉลองรัชและทางด่วนเฉลิมมหานคร นอกจากนี้ที่ปากซอยสุขุมวิท 50 จะเป็นตำแหน่งของรถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช มี Hyper Market และห้างสรรพสินค้าอย่าง Tesco Lotus และ Century Movie Plaza ตั้งอยู่ ดั้งนั้น ทำเลนี้ถือว่าเป็นทำเลที่สะดวกทั้งในแง่การเดินทางด้วยรถส่วนตัวและรถสาธารณะ รวมไปถึงการเข้าถึงแหล่งความอุดมสมบูรณ์ต่างๆอีกด้วยค่ะ

โครงการนี้เราได้เขียนอธิบายเกี่ยวกับทำเลไว้แล้ว สามารถเข้าไปอ่านกันได้ที่
> ทำเล THE BASE สุขุมวิท 50


เจาะลึกตัวโครงการ

THE BASE Sukhumvit 50 เป็นคอนโด Low Rise จากแสนสิริ ที่เปิดขายกันไปในช่วงกลางปี 2018 (ปีที่แล้ว) โครงการมีอยู่ 2 อาคาร สูง 8 ชั้นทั้งคู่ รวม 415 ยูนิต ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดประมาณ 3 ไร่ ภายในซอยเริ่มเจริญ ซึ่งเป็นซอยย่อยของซอยสุขุมวิท 50

โครงการนี้จะเห็นได้ว่าสไตล์การออกแบบจะค่อนข้างโดดเด่นเลย โดยแนวความคิดในการออกแบบมาจากคำว่า Camouflage ที่เป็นคาแรกเตอร์สมัยสงครามโลกเกี่ยวกับการพรางตัว มาผสมผสานกับช่วงหลังสงครามที่ผู้คนออกมาเฉลิมฉลองกัน การออกแบบภายนอกและภายในอาคารจึงเลือกนำสีสด อย่างสีน้ำเงิน และ เหลือง มาเป็นคู่สีในการออกแบบ ผสมผสานไปกับลวดลายที่เรียกว่า Op Art เป็นลายกราฟฟิกบนตัวอาคารและ Facade ที่มาจากการพรางตา ซึ่งพออาคารสร้างเสร็จออกมาเราว่าคู่สีถือว่าจัดจ้านนะคะ แต่ก็ดูสวยดี เหมือนกับฉากหนังของ Wes Anderson เลยทีเดียว

มาดูที่ผังอาคารกันค่ะ โครงการนี้จะมีอยู่ 2 อาคาร อาคาร A จะอยู่ใกล้กับทางเข้าออกที่สุด ตัวอาคารจะทาสีน้ำเงิน ส่วนอาคาร B จะอยู่ข้างๆเป็นอาคารสีเหลืองค่ะ ที่ชั้น 1 นี้จะถูกจัดเป็นพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมด ทางเข้าออกจะมีอยู่ทางเดียวติดกับซอยเริ่มเจริญ เมื่อเข้ามาจะเจอกับพื้นที่ Drop off ที่หน้าอาคาร A หรือจะวนรถเข้าไปที่ใต้อาคาร A เพื่อจอดรถก็ได้ โดยทางเดินรถจะเป็นแบบ One Way นะคะ จำนวนที่จอดรถจะสามารถจอดได้ทั้งหมด 151 คัน คิดเป็น 36.38% และสามารถซ้อนคันอีก 41 คัน จะมีไม้กั้นกระดกกั้นอยู่ก่อนเข้าไปใต้อาคาร A ดังนั้น ถ้ามี Visitor หรือเพื่อนมาเยี่ยม จะสามารถจอดได้ตรงหน้าอาคารข้างรั้วรอบๆ Drop-off ได้เท่านั้น โดยรวมถือว่าที่จอดรถไม่ได้ให้มามากในทำเลที่ใช้ทางด่วนสะดวกแบบนี้นะคะ (ทำเลโครงการนี้อยู่ใกล้ทางด่วน 2 สาย คือทางด่วนฉลองรัช และ ทางด่วนเฉลิมมหานคร) แต่ว่าโครงการนี้จะมี Shuttle Service ให้มาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนที่ใช้รถไฟฟ้า BTS ด้วยโดยจะรับ-ส่งที่ BTS สถานีอ่อนนุชค่ะ

จาก Drop-off จะเข้ามายังพื้นที่ภายในอาคาร A ซึ่งถือว่าเป็นทางเข้าหลักของโครงการนี้ เข้ามาจะเจอกับพื้นที่ทำงานของนิติบุคคลอยู่ทางซ้ายมือและจะมี Smart Locker ไว้ให้บริการตรงบริเวณนี้ ตรงเข้ามาจะเป็นพื้นที่ Lobby ของอาคาร A ที่สามารถออกไปยังพื้นที่ส่วนกลางระหว่างอาคารได้ค่ะ โดยอาคาร B จะสามารถเข้าได้ 2 ทางจากทางเชื่อมระหว่าง Lobby A และ Lobby B (มีหลังคาปกคลุม) และเข้าจากพื้นที่จอดรถใต้อาคาร B ค่ะ โดยทั้ง 2 อาคารจะมี Lift อยู่ 2 ตัวต่ออาคาร แยก Mail Room ไว้ให้แต่ละอาคาร ตำแหน่งอยู่หน้าโถงลิฟต์

ระหว่างอาคาร A และ อาคาร B จะเป็นพื้นที่ส่วนกลางหลัก ซึ่งจะจัดพื้นที่นั่งเล่น สระว่ายน้ำ ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวไว้ เป็นพื้นที่พักผ่อน และกลายเป็นวิวให้กับห้องพักอาศัยด้านใน โดยจะมีอาคาร Clubhouse สูง 2 ชั้น อยู่ระหว่าง 2 อาคาร มีฟังก์ชันฟิตเนสที่ชั้นบน มีห้องน้ำ ห้องสุขา Locker และ Laundry อยู่ชั้นล่างค่ะ โดยอาคารนี้จะมีลิฟต์ไว้ 1 ตัว เป็นการออกแบบที่คำนึงถึง Universal Design เพื่อให้ทุกคนสามารถขึ้นไปใช้งานพื้นที่ฟิตเนสที่ชั้น 2 ได้นั่นเอง

ที่ชั้น 2 จะเริ่มเป็นชั้นพักอาศัย แต่ที่อาคาร A จะมีพื้นที่ส่วนกลางที่ด้านหน้าอาคาร ตรงนี้จะเป็นห้อง Co-Working Room, Meeting Room และ Entertainment Room ค่ะ การขึ้นมาใช้งานจะต้องขึ้นมาจากอาคาร A เท่านั้น แต่จะมีแยกทางเดินคนละทางกับทางเดินฝั่งห้องพักอาศัยค่ะ เพื่อให้คนที่อยู่ชั้นนี้ไม่ถูกรบกวนจากคนที่มาใช้งานพื้นที่ส่วนกลางค่ะ ที่ชั้นนี้ของอาคาร A จะมีอยู่ 27 ห้อง ส่วนอาคาร B จะอยู่ที่ 28 ห้องค่ะ

THE BASE Sukhumvit 50

ชั้น 3-8 จะเป็น Typical Floor คือมีแต่ห้องพักอาศัยทั้งชั้น โดยจำนวนยูนิตต่อชั้นที่อาคาร A จะอยู่ที่ 31 ยูนิตและ จำนวนยูนิตต่อชั้นของอาคาร B จะอยู่ที่ 29 ยูนิต ห้องแบบ 1 Bedroom จะอยู่ตรงกลาง และห้องแบบ 2 Bedrooms จะถูกวางตำแหน่งมุมอาคารได้วิวที่ดีค่ะ ซึ่งที่อาคาร A มีจำนวนยูนิตเยอะกว่าก็เพราะว่ามีห้องขนาดเล็กมากกว่าอาคาร B ด้วยค่ะ

วิเคราะห์ตำแหน่งห้อง

ทีนี้เรามาลองดูกันดีกว่าค่ะ ว่าห้องตำแหน่งไหนดี ไม่ดีอย่างไร เพื่อให้คนที่กำลังเลือกซื้อห้องตัดสินใจได้ง่ายขึ้นค่ะ ดูไปพร้อมๆกันตามตัวเลขเลย

1. อาคาร B ห้องที่หันออกไปนอกโครงการ ตำแหน่งห้องนี้อาจจะดูเหมือนอยู่ไกลสุด ทั้งระยะจากทางเข้าอาคาร แต่ก็จะเป็นห้องที่ได้ความสงบมากสุดค่ะ ส่วนเรื่องวิว มองออกไปโซนนี้จะเป็นบ้านพักอาศัยสูง 2 ชั้น ดังนั้นถ้าห้องชั้น 3 เป็นต้นไปก็จะได้วิวที่โล่งอยู่นะคะ
2. ยังอยู่ที่อาคาร B ฝั่งเดิมค่ะ แต่จะเป็น 3-4 ห้องที่อยู่ใกล้ถนนเริ่มเจริญ ข้างๆโครงการจะเป็นสำนักงานสูงประมาณ 4 ชั้น ตัวอาคารนี้ไม่ได้ใหญ่และประชิดมาก แต่ก็ทำให้ห้องชั้นล่างๆไม่ได้วิวเปิดโล่งนะคะ
3. อาคาร B มี 3 ยูนิตที่หันออกไปยังถนน จะได้วิวที่ค่อนข้างโล่งเลยค่ะ ฝั่งตรงข้ามเป็นสนามเทนนิส
4. อาคาร B จะมี 1 ยูนิตเป็นห้องแบบ 2 Bedrooms หันเข้าในโครงการ ตำแหน่งนี้ถือว่าเป็นอีกห้องหนึ่งที่ดีเลย เพราะว่าได้วิวสระว่ายน้ำและเห็นส่วนกลางที่เป็น Clubhouse นอกจากนี้ยังได้ผนังห้องที่ไม่ติดกับห้องเพื่อนบ้านเท่าไหร่ จึงไม่มีเรื่องเสียงข้างห้องรบกวน แต่ห้องนี้จะเป็นห้องที่หันไปทางทิศใต้นะคะ ซึ่งระบายลมได้ดี แต่ก็จะได้แดดเต็มๆ ซึ่งห้องที่ชั้นล่างๆก็จะดีกว่าหน่อย เพราะจะได้ร่มเงาจากตัวอาคาร A มาช่วยบังไว้ด้วยทำให้ไม่ร้อนจนเกินไปค่ะ
5. ตำแหน่งนี้จะเป็นห้องที่หันหน้าเข้ามาภายในโครงการ และเป็นโซนที่เห็นวิวส่วนกลางที่เป็นสระว่ายน้ำพอดี ซึ่งทั้งอาคาร A และ B จะหันหน้าชนกันอยู่ ห้องที่อยู่ชั้นล่างๆบางตำแหน่งจะมีต้นไม้สูงที่ปลูกกลางพื้นที่ส่วนกลางช่วยพรางสายตาจากห้องฝั่งตรงกันข้ามได้ อาคาร B จะเป็นอาคารที่แดดบ่ายส่องเข้ามากหน่อย แต่ก็จะเป็นทิศที่รับลมเข้าห้องเช่นกันค่ะ ใครที่ชอบวิวแต่ชอบร่มเงาก็เลือกห้องที่อาคาร A ได้ ส่วนใครที่ชอบห้องลมเข้า วิวดี ไม่ค่อยใช้งานห้องตอนบ่ายๆก็เลือกที่อาคาร B ได้นะคะ
6. ตำแหน่งนี้จะคล้ายกับตำแหน่งเบอร์ 5 เลยค่ะ เพียงแต่มองลงไปตรงๆจะเป็นพื้นที่จอดรถแทน ถ้าใครอยากได้วิวสระว่ายน้ำก็อาจจะต้องเลือกห้องที่ชั้น 3 ขึ้นไปนะคะ เพราะว่าชั้น 2 ยังเป็นห้องที่ใกล้กับอาคาร Clubhouse ที่สูง 2 ชั้นอยู่ ทำให้ตัว Clubhouse ยังวิวสระได้อยู่ค่ะ
7. ห้องนี้จะมีความพิเศษคล้ายกับเบอร์ 4 คือเป็นห้องมุม ที่ได้วิวทั้ง 2 ฝั่ง ห้องที่อยู่ชั้น 3 ขึ้นไปจะมองได้ไกลขึ้น เห็นวิวพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นสระว่ายน้ำได้ค่ะ
8. ตรงนี้จะเป็นห้องที่อยู่ด้านในสุดของอาคาร A หันไปทางด้านหลังของโครงการที่เป็นบ้านพักอาศัยแนวราบ ดังนั้นใครอยากได้วิวที่โล่งหน่อยก็อาจจะต้องเลือกห้องที่ชั้น 3 ขึ้นไปค่ะ
9.ฝั่งนี้จะเป็นห้องที่หันออกด้านนอกของอาคาร A ซึ่งฝั่งนี้ในระยะประชิดจะเป็นบ้านพักอาศัยที่เป็นชุมชนอยู่ และถัดออกไปจะเป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น ที่วางแนวยาวขนานไปกับแนวอาคารเราเช่นกัน ดังนั้นตำแหน่งนี้เหมาะกับคนที่ไม่คาดหวังเรื่องวิวนะคะ เหมาะสำหรับคนที่อยากได้ห้องที่รับลมระบายอากาศได้ดี และไปใช้งานพื้นที่ส่วนกลางหรือเข้า-ออกโครงการสะดวกค่ะ

มาดูที่ตัวโครงการจริงกันค่ะ ทางเข้าโครงการจะเลือกใช้สีเหมือนกันตัวอาคาร A มีทั้งไม้กั้นกระดกและประตูบานเลื่อนเปิด-ปิด รปภ.จะอยู่ห้องทางซ้ายมือ ติดกับประตูทางเดินเข้าโครงการค่ะ

รั้วยังเลือกเล่นกับลาย Graphic Op Art ล้อไปกับตัวอาคารค่ะ มีป้ายชื่อโครงการอยู่ฝั่งขวามือ

เมื่อเข้ามาเราจะเจอกับอาคาร A ที่มีทางเข้าไปยังที่จอดรถใต้อาคาร ตรงนี้จะเป็นทางเดินรถทางเดียวนะคะ เข้าที่ใต้อาคาร A วนออกอีกฝั่งใต้อาคาร B โดยพื้นที่ตรงนี้ชั้น 2 จะออกแบบไว้ให้เป็นพื้นที่ส่วนกลาง ทำให้ห้องพักอาศัยที่อยู่ชั้น 3 ขึ้นไปได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

พื้นที่ข้างๆจะเป็นที่จอดรถสำหรับ Visitor ค่ะ รั้วโครงการจะมีทั้งรั้วทึบที่ทาสีเช่นเดียวกับตัวอาคารและมีการจัด Landscape เป็นต้นไม้ใหญ่และไม้พุ่ม สร้างบรรยากาศให้ภายในโครงการและรอบๆร่มรื่นมากขึ้น นอกจากนี้แนวต้นไม้ใหญ่ยังช่วยพรางสายตาที่มองจากภายนอกเข้ามายังตัวห้องพักอาศัยได้ค่ะ

ด้านหน้าอาคาร A จะมีจุด Drop-off อยู่ค่ะ ตรงนี้จะเป็นทางเข้าหลักของทั้ง 2 อาคารค่ะ โดยอาคาร A จะเป็นอาคารสีน้ำเงิน และอาคาร B เป็นอาคารสีเหลืองค่ะ

ใกล้ๆกับ Drop-off จะเป็นที่จอดรถ Shuttle Service ที่ให้บริการรับ-ส่งยัง BTS สถานีอ่อนนุชค่ะ

ไปดูบรรยากาศที่จอดรถใต้อาคารกันค่ะ การจะเข้าไปยังพื้นที่จอดรถใต้อาคารได้นั้นจะต้องสแกน key card อีกครั้งเพื่อให้ไม้กั้นกระดกเปิดขึ้น ที่จอดรถใต้อาคารจะจำกัดความสูงของรถไว้ที่ 2.1 เมตร

ที่จอดรถส่วนใหญ่จะเป็นที่จอดรถในร่ม โดยจะมีการทาสีผนัง ฝ้าเพดาน และท่องานระบบต่างๆให้เหมือนกับสีอาคารเพื่อคุมโทนด้วยนะคะ อาคาร A ทาสีน้ำเงิน อาคาร B ทาสีเหลือง

ตรงนี้จะมีจุดจอดรถ Smart Move และจุดให้บริการ EV Charger ค่ะ

หน้าตาของ Smart Move หรือรถยนต์ให้เช่าจากแสนสิริ ลูกบ้านที่ไม่มีรถสามารถเช่ารถไปใช้งานตามวันและเวลาที่ต้องการได้ผ่าน Application ค่ะ เป็นอีกหนึ่งโปรเจคที่มาจากแนวคิด Sharing Economy เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่นะคะ

มายังด้านหลังจะเป็นที่จอดรถแบบที่มีหลังคาโปร่งปกคลุมระหว่างอาคาร A และอาคาร B ค่ะ

ขอย้อนกลับมายังหน้าอาคารอีกครั้งเดี๋ยวเราจะพาไปดูบรรยากาศภายในอาคารกันต่อ บริเวณทางเข้าจะมีหลังคาปกคลุม และจะต้องสแกน Key Card เพื่อเข้าไปภายในอาคารเท่านั้น (ตรงนี้จะมีระบบ Scan Barcode ไว้ด้วย เช่นกรณีที่มีเพื่อนมาหา เราสามารถส่ง Barcode ไปให้เพื่อนเพื่อสแกนเข้ามารอภายในอาคารที่ Lobby ได้ค่ะ)

เมื่อเข้ามาแล้ว ข้างๆทางเข้าจะเป็นตำแหน่งของ Smart Locker อยู่ตรงข้ามกับห้องทำงานนิติบุคคล พื้นที่ตรงนี้สมมุติว่าเราสั่งของ Online มา เราสามารถแจ้งทางนิติบุคคลให้เก็บของเราไว้ที่ Smart Locker นี้ได้ โดยแต่ละห้องจะมีรหัสส่วนตัวอยู่ เราสามารถมารับของเองได้ ซึ่งข้อดีคือเราสามารถมารับของนอกเหนือเวลาทำงานของทางนิติบุคคลได้ ข้าวของไม่ไปกองรวมกันที่ห้องนิติบุคคลค่ะ

ถัดเข้ามาเราจะเจอกับ Lobby ของอาคาร A ซึ่งมีความสูงแบบ Double Volume เปิดวิวเข้าสู่ระหว่างอาคาร ตรงนี้จะมีไฮไลท์อยู่ที่โคมไฟค่ะ

ตัวโคมไฟที่นี่จะเป็นของ Tom Dixon รูปทรง Freeform ที่เหมือนกับการหลอมละลาย (Melt) โดยแต่ละชิ้นราคาไม่เบาเลยค่ะ ส่วนพื้นที่นั่งเล่นจะเป็นชุดโซฟาหลากหลายแบบ สีสันสดใสค่ะ

จาก Lobby อาคาร A จะมีทางเดินเชื่อมไปยัง Lobby ของอาคาร B เป็นทางเดินที่มีหลังคาปกคลุม

ทางขวามือจะมีโซนนั่งเล่น Outdoor อีกจุด ถึงแม้จะเป็นพื้นที่นอกอาคารแต่เนื่องจากตำแหน่งที่อยู่ระหว่าง 2 อาคาร ทำให้มีร่มเงาจากอาคารเกือบทั้งวัน สามารถมานั่งใช้งานได้สบายๆค่ะ

เราชอบการเลือกใช้สีสันสดๆของโครงการนี้นะคะ สีจัดจ้านก็จริง แต่ไม่ได้ Colorful เกินไป เพราะจะเลือกใช้สีอยู่ไม่กี่สี เช่น เหลือง น้ำเงิน ส้ม เป็นสีพื้น ไม่ลายตาเกินไป

อีกฝั่งจะมีแผงที่ปรับหมุนได้ ตัวแผงจะเลือกใช้ Pattern เดียวกันกับตัวอาคาร แบ่งพื้นที่สระว่ายน้ำและทางเดินให้เป็นสัดส่วนมากขึ้น

ตัวสระว่ายน้ำจะมีความยาวสูงสุด 20 เมตร ลึก 1.2 เมตร แม้จะอยู่ตรงกลาง แต่ก็จะมีการออกแบบ Landscape ที่เป็นต้นไม้ใหญ่รอบๆสระ ดูร่มรื่นและช่วยพรางสายตาจากห้องพักอาศัยรอบๆได้เช่นกันค่ะ

ปลายสุดของสระว่ายน้ำอีกฝั่งจะเป็นอาคาร Clubhouse ที่มีความสูง 2 ชั้น

ข้างๆสระว่ายน้ำจะมีมุมนั่งเล่นอยู่แบบนี้ ลดระดับลงมาจากทางเดินด้านข้างค่ะ และมีแนวต้นไม้กั้นเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการใช้งาน

ทางเดินไปยัง Clubhouse จะมีอยู่ฝั่งเดียว มีต้นไม้สูงขนาบ ดูร่มรื่นดีค่ะ

ด้านข้างทางเดินจะมีพื้นที่ที่ยกระดับขึ้นไป เป็น Recreation Area ซึ่งเป็นลานที่จัดเป็นพื้นที่นั่งเล่น Outdoor อีกมุม โดยเราจะเห็นว่าที่ตัวอาคารชั้น 1 ที่เป็นฟังก์ชันของที่จอดรถ จะมีแนวต้นไม้ และการเล่นกับระดับความสูงของพื้นที่แตกต่างกัน ทำให้พื้นที่ทั้ง 2 ส่วนแยกออกจากกันค่ะ

พื้นที่ตรงนี้ก็จะมีแนวอาคารที่ช่วยสร้างร่มเงาให้เช่นกัน แต่ว่าห้องที่อยู่ชั้น 2 อาจจะสูญเสียความเป็นส่วนตัวได้บ้าง เพราะว่าจากพื้นที่ส่วนกลางก็สามารถมองเข้าไปในห้องพักได้ง่ายๆเลย (แต่ก็จะได้ข้อดีที่เห็นวิวสระว่ายน้ำและพื้นที่สีเขียวค่ะ)

หน้า Clubhouse จะมีพื้นที่นั่งเล่นริมสระอีกมุมหนึ่งและจะเป็นตำแหน่งบันไดขึ้น-ลงหลักของสระว่ายน้ำด้วย

พื้นที่ส่วนกลางนอกอาคารตรงนี้จะสามารถมาใช้งานได้แทบทั้งวันเลยค่ะ เนื่องจากมีตัวอาคารขนาบข้างทั้ง 2 ฝั่งเกิดร่มเงาแทบทั้งวัน

ที่ Clubhouse ของโครงการนี้จะมีลิฟต์ไว้ให้บริการ 1 ตัว เป็นการออกแบบที่คำนึงถึงหลัก Universal Design ให้ทุกคนสามารถขึ้นไปใช้งานข้างบนได้ โดยชั้น 1 จะเป็นทางเดินลงสั้นๆเป็นพื้นที่ Laundry และ ห้องน้ำแยกชาย-หญิง ภายในห้องน้ำจะมีทั้ง Locker, ห้องสุขา และห้องอาบน้ำให้บริการนะคะ ส่วนชั้น 2 จะเป็นพื้นที่ฟิตเนสในร่ม แต่วันที่เราเข้าไปยังโครงการพื้นที่ Clubhouse ยังไม่เรียบร้อยดี เลยไม่มีภาพด้านในมาฝากค่ะ

เข้ามาดูภายในอาคารกันต่อค่ะ ที่โถงลิฟต์ชั้น 1 การตกแต่งบริเวณนี้จะเลือกใช้วัสดุพื้นและผนังเป็นหินขัด Terrazzo จากอิตาลี ซึ่งตัววัสดุนี้เราจะเห็นกันอีกครั้งที่เคาน์เตอร์ครัวของห้องพักอาศัยด้วยค่ะ โดยหน้าโถงลิฟต์จะเป็นตำแหน่งของ Mail Room ด้วย และภายในลิฟต์จะออกแบบด้วยกราฟฟิกที่ดูพรางตา (เข้ากับแนวคิดการออกแบบเรื่อง Camouflage) และเลือกใช้โทนสี Smoky Orange ตัดกับสีดำ)

มาดูพื้นที่ส่วนกลางที่ชั้น 2 กันค่ะ โดยพื้นที่ส่วนกลางตรงนี้จะอยู่ที่อาคาร A ออกแบบให้เป็นห้องกระจกทั้ง 2 ฝั่งเลย ทางเดินหน้าห้องฝั่งหนึ่งจะถูกจัดเป็นพื้นที่นั่งเล่นด้วย

ดีไซน์ของเฟอร์นิเจอร์ที่เลือกมาเป็นวัสดุบุเดียวกันกับ Lobby นะคะ ส่วนพื้นก็จะเป็น Terrazzo เหมือนกัน

ห้องแรกที่จะพากันไปดูคือ Co-Working Room ค่ะ พื้นที่ตรงนี้ถูกจัดเป็นมุมสำหรับนั่งพักผ่อน คุยงานแบบสบายๆ

นอกจากส่วนที่เป็นโซฟานั่งเล่นแล้ว จะมีพื้นที่ส่วนที่เป็นเคาน์เตอร์นั่งทำงาน เราสามารถเอางานมานั่งทำหรือเปิดคอมดูหนังหรือ Series ได้นะคะ พื้นที่ส่วนกลางทั้งตรงนี้และสระว่ายน้ำจะมี Free Wifi ให้บริการด้วย

ถัดเข้าไปจาก Co-Working จะมี Meeting Room แยกออกมาอีกที

ส่วนนี้จะเป็นโต๊ะขนาดใหญ่ สามารถนัดเพื่อนมาคุยงานกันได้ โดยการตกแต่งจะออกแนวสดใส สนุกสนานหน่อย ไม่ดูเป็นทางการมากเกินไป เหมาะกับทำงานสาย Design หรือ Creative

นอกจากพื้นที่ที่เป็นส่วนทำงานและ ทางเดินหน้าห้องจะพาเรามายังพื้นที่อีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่า Entertainment Room

ถ้าห้องเมื่อสักครู่เหมาะกันการสร้างสรรค์ หาไอเดียในการทำงาน ห้องนี้ก็จะเป็นห้องสำหรับพักผ่อน Relax สมองค่ะ

มีโซฟานอนดูหนังแบบนี้เลย ดูไปหลับพักผ่อนไปเลยก็ได้ มีโต๊ะเล็กๆข้างโซฟาสำหรับวางเครื่องดื่มให้ด้วย

ข้างๆกันจะมีเคาน์เตอร์และ Pantry เล็กๆสำหรับนั่งกินขนม ชงเครื่องดื่มระหว่างทำงานก็ได้ค่ะ วันไหน Work from home ก็มาอยู่ที่นี่ได้ทั้งวันเลย ไม่ต้องแวะร้านกาแฟข้างนอกเลย

ที่ชั้นนี้จะมีห้องน้ำให้บริการแยกชาย-หญิงอย่างละห้อง อำนวยความสะดวกสำหรับคนที่มาใช้งานพื้นที่ส่วนกลางที่ชั้นนี้

ภายในจะตกแต่งด้วยกระเบื้องสีส้ม , พื้น Terrazzo กระจกรูปร่างกลม และที่แปลกตาคือภายในห้องน้ำโครงการนี้จะเลือกใช้สุขภัณฑ์สีดำค่ะ

ก่อนที่จะไปดูห้องตัวอย่างกันเรามาดูบรรยากาศที่หน้าโถงลิฟต์และทางเดินชั้นพักอาศัยกันซักนิด ที่โถงลิฟต์จะมีหน้าต่างและช่องแสงอยู่นะคะ มองออกไปเห็นวิวพื้นที่ส่วนกลางที่อยู่ระหว่างอาคารได้ด้วย

ส่วนทางเดินหน้าห้องจะเป็นทางเดินแบบ Double Corridor แทบทั้งหมด (มีห้องพักทั้งสองฝั่งทางเดิน) ปูด้วยกระเบื้องสีครีม ผนังทาสีขาว เรียบๆ พักสายตาจากความจัดจ้านของภายนอกอาคารและพื้นที่ส่วนกลางค่ะ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • Lobby
  • Co-Working Room
  • Entertainment Room
  • Meeting Room
  • Laundry
  • Swimming pool with Jacuzzi
  • Fitness
  • สวนส่วนกลางและรอบๆอาคาร
  • Clubhouse
  • Recreation Area
  • Wifi ที่ Lobby, Entertainment room, Co-Working room, Meeting room, Clubhouse และ รอบๆสระว่ายน้ำ
  • EV Charger
  • Smart Move
  • Smart Locker
  • เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชม.
  • CCTV
  • ลิฟต์โดยสาร 2 ตัว/อาคาร ส่วน Clubhouse มีลิฟต์ 1 ตัว
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 103.75 : 1 (เฉพาะส่วนที่พักอาศัย)
  • ที่จอดรถไม่รวมจอดซ้อนคัน 151 คัน คิดเป็น 36.38% จอดซ้อนคันอีก 41 คัน
  • ที่จอดรถจักรยานยนต์ 5 คัน


Product Walkthrough

THE BASE Sukhumvit 50 รูปแบบห้องหลักๆจะมีขายเป็นห้อง 1 Bedroom และ 2 Bedrooms แต่ว่าจะมีแปลนห้องให้เลือกหลากหลาย Layout อยู่นะคะ โดยขนาดห้องของที่นี่จะเริ่มต้นที่ 25 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท (โครงการนี้ตอนที่เปิดขายใหม่จะอยู่ที่ 2.29 ล้านบาทค่ะ) แต่จะเปลี่ยนรูปแบบการขายเป็น Fully Fitted แทน ซึ่งก็มีทั้งข้อดีตรงที่เราสามารถตกแต่งห้องในแบบที่เป็นเราและไม่เหมือนใครได้ (ลองคิดดูว่าสไตล์ของโครงการค่อนข้างดูโดดเด่นเลย คนที่เลือกโครงการนี้อาจจะต้องการตกแต่งห้องเองก็ได้) แต่ถ้าใครที่คิดไม่ออกว่าจะตกแต่งห้องอย่างไร ทางแสนสิริจะมี Package Furniture ที่เหมาะกับแต่ละ Unit Type มาเป็น Option ให้เลือกค่ะ ส่วนห้องที่ขายเป็นแบบ Fully Furnished เหมือนกับช่วงที่เปิดขายโครงการก็ยังมีอยู่แต่จำนวนยูนิตไม่มากแล้ว

ในวันนี้เราจะพาไปดูห้องตัวอย่าง 2 ห้องนะคะ เป็นห้อง 1 Bedroom ทั้งคู่ ห้องแรกเป็นห้อง 1 Bedroom Type 1B ขนาด 30.75 ตร.ม. ถือว่าเป็นห้องที่มีจำนวนยูนิตเยอะที่สุดในโครงการ ส่วนอีกห้องจะเป็น 1 Bedroom Plus Type 1D ขนาด 41.25 ตร.ม. เป็นห้องหัวมุมที่มีการจัดฟังก์ชันเอาไว้น่าสนใจค่ะ เราไปดูกันเลยนะคะ

1 Bedroom Type 1B ขนาด 30.75-31.5 ตร.ม.

ห้อง 1 Bedroom Type 1B จะเป็นห้องแบบที่มีเยอะที่สุดภายในโครงการนี้แบบหนึ่ง โดยจะเป็นห้องขนาด 30.75-31.50 ตร.ม.ที่เป็นห้องหน้ากว้าง มีฟังก์ชันแบ่งแยกเป็นสัดส่วน ค่อนข้างลงตัว พื้นที่ส่วนแรกที่จะเจอเมื่อเข้ามาภายในห้องจะเป็นครัว ซึ่งจะได้เป็นครัวปิด กั้นแยกกับพื้นที่ส่วน Living Area ด้วยประตูบานเลื่อนกระจก ทำให้แสงสว่างจากบริเวณระเบียง สามารถส่องเข้ามาถึงพื้นที่ครัวได้ และเปิดประตูเลื่อนให้พื้นที่โล่งต่อเนื่องไปยังระเบียงได้เลย ถัดเข้ามาจะเป็นพื้นที่ Living Area ที่สามารถจัดโซฟา มุมพักผ่อนดูทีวีได้ ซึ่งพื้นที่ตรงนี้จะอยู่ติดกับระเบียงห้องที่เอาไว้เป็นพื้นที่ปลูกต้นไม้เล็กๆ ระบายอากาศ ยืนรับลม ชมวิวภายนอกได้ค่ะ ส่วนพื้นที่สำหรับรับประทานอาหารนั้น อาจจะไม่สามารถจัดเป็นโต๊ะขนาดใหญ่ได้ แต่พอจะแบ่งพื้นที่ริมผนังใกล้ประตูครัวจัดเป็นโต๊ะชิดผนัง เพื่อใช้กินข้าวได้ค่ะ และอาจจะเป็นโต๊ะที่ใช้ทำงานเล็กๆน้อยๆได้เหมือนกันนะคะ

ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของห้องจะเป็นห้องนอน ซึ่งผังแบบนี้จะมีข้อดีตรงที่ห้องนอนกั้นแยกออกไว้เป็นสัดส่วน ได้ความเป็นส่วนตัวดี และห้องน้ำภายในห้องนี้จะสามารถเข้าได้ 2 ทาง ทั้งจากห้องนอนเองและจากห้องครัว ทำให้ถ้ามีแขกมาเยี่ยมจะขอใช้ห้องน้ำ ก็ไม่ต้องเดินผ่านห้องนอนที่เป็นสถานที่ส่วนตัวของเราไปนั่นเองค่ะ นอกจากนี้ในห้องนอนจะมีมุมพิเศษ เป็นกระจกเข้ามุมที่ทำให้มองวิวได้กว้างขึ้น และจัดโต๊ะทำงานหรือโต๊ะเครื่องแป้งที่มุมนี้ได้ด้วย เดี๋ยวไปดูห้องตัวอย่างพร้อมกันเลยนะคะ

เข้ามาภายในห้องส่วนแรกที่เราจะเจอเลยคือครัวค่ะ โดยพื้นส่วนครัวนี้จะปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ขนาด 60 x 60 ซม.

พื้นที่ครัวจะมีหน้ากว้าง 2.35 เมตร ลึก 2 เมตร ด้านหนึ่งจะเป็นเคาน์เตอร์ครัวที่ทางโครงการ Built-in มาให้แบบในห้องตัวอย่าง ส่วนอีกฝั่งจะเป็นตำแหน่งวางตู้เย็น และประตูทางเข้าห้องน้ำ

เราจะได้ชุดครัวเต็มพื้นที่เลยค่ะ โดยจะมีให้มาทั้งตู้เก็บของด้านบน และตู้ด้านล่าง อุปกรณ์ครัวจะให้มาครบทั้งเตาไฟฟ้า เครื่องดูดควันและอ่างล้างจาน ของยี่ห้อ MEX โดยเครื่องดูดควันจะเป็นแบบดูดออกนอกอาคาร ทำให้ระบายอากาศภายในห้องได้ดีกว่าแบบหมุนเวียนนะคะ ส่วนตู้ล่างจะเป็นพวกลิ้นชัก และมีพื้นที่สำหรับวางเครื่องซักผ้า(ฝาหน้า)ได้ และวางไมโครเวฟได้ค่ะ

จุดเด่นของครัวคือการดีไซน์ที่เลือกเอาวัสดุอย่างหินขัด Terrazzo มาใช้เป็น Top ของเคาน์เตอร์และ Back Splash ซึ่งวัสดุชนิดนี้คือวัสดุหลักที่ใช้ภายในโครงการนี้โดยเฉพาะค่ะ เราจะเห็นที่ส่วนกลางทั้งพื้นและผนังเลย

พื้นที่ส่วนครัวจะแยกจากพื้นที่นั่งเล่นด้วยประตูบานเลื่อนกระจก ซึ่งกว้างเต็มความกว้างห้องและสูงจากพื้นจรดฝ้าเพดานเลย ทำให้พื้นที่ทั้ง 2 ส่วนดูต่อเนื่องกันค่ะ แสงสว่างจากนอกอาคารยังสามารถส่องเข้ามายังพื้นที่ครัวได้ด้วย เดินมาหยิบขนม หรือเครื่องดื่มที่ตู้เย็นก็ไม่ต้องเปิดไฟ

ชุดประตูนี้เป็นแบบเลื่อนได้ทั้ง 2 ฝั่งนะคะ ตรงนี้จะมีพื้นที่หน้าห้องน้ำเล็กๆ สามารถหาชั้นวางของกว้าง 40 ซม.มาวางได้ เอาไว้สำหรับวางชั้นวางรองเท้าก็ดีนะคะ เพราะห้องนี้ขาดฟังก์ชันนี้อยู่พอดี

พื้นที่ถัดมาจะเป็นส่วน Common Area ของห้อง ฟังก์ชันหลักๆของพื้นที่นี้คือห้องนั่งเล่นที่อยู่ติดระเบียง ตรงนี้จะมีหน้ากว้างประมาณ 2.40 และลึก 3.35 เมตรค่ะ พื้นจะเป็นลามิเนต ส่วนผนังและฝ้าเพดานจะฉาบเรียบทาสีขาว ติดไฟดาวน์ไลท์ให้นะคะ

ติดกับประตูฝั่งครัวสามารถจัดโต๊ะรับประทานอาหารสำหรับ 2 ที่นั่งแบบนี้ได้ หรือจะเป็นโต๊ะขนาดสี่เหลี่ยมจตุรัสเข้ามุมก็ได้ค่ะแต่ระยะขยับเก้าอี้อาจจะไม่สะดวกเท่าไหร่ เวลาใช้งานต้องเลื่อนเข้า-ออกนิดนึง

ส่วนพื้นที่นั่งเล่นจะเป็นผนังทึบสองฝั่ง ปลายทางจะเป็นประตูบานเลื่อนออกไปยังระเบียง แต่ประตูบานนี้จะไม่ได้กว้างสุดหน้ากว้างของห้องนะคะ จะมีผนังทึบเล็กๆ เอาไว้บังตำแหน่งของ Condensing Unit เวลาเราอยู่ในห้องมองออกไปยังระเบียงก็จะไม่เห็นความไม่เรียบร้อยนี้

ผนังทึบหน้าห้องนอนจะมีความกว้าง 2.20 เมตร เลือกโซฟาขนาด 1.80 – 2.00 เมตรมาวางกำลังดี

ฝั่งตรงข้ามเป็นตำแหน่งวางทีวีค่ะ ตรงนี้จะคำนึงถึงตำแหน่งปลั๊กไฟเอาไว้ให้แล้ว คือถ้าใครอยากสลับฝั่งโซฟาอาจจะต้องเดินสายไฟใหม่อีกที

ทุกห้องของโครงการนี้จะให้ระบบ Home Automation มา เป็นของ Google ค่ะ สามารถสั่งเปิด-ปิด ไฟหรือแอร์ผ่านเครื่องกลมๆนี้ได้

ออกไปดูที่ระเบียงกันต่อนะคะ

ประตูทางออกไปยังระเบียงจะเป็นประตูบานเลื่อน เปิดได้ 2 ด้าน บานกรอบประตูทาสีเดียวกันกับตัวอาคาร

พื้นที่ระเบียงจะกว้าง 85 ซม. ส่วนหนึ่งจะปูกระเบื้องเซรามิคยาว 1.70 เมตร เป็นพื้นที่ใช้งาน อีกส่วนยาว 1.00 เมตรพื้นเป็นคอนกรีต เป็นตำแหน่งสำหรับวาง Condensing Unit ค่ะ ราวกันตกจะเป็นระแนงเหล็กกล่อง ทำลายเเนวตั้งและ Facade ที่ล้อไปกับลายของตัวอาคาร

ต่อไปเราไปดูภายในห้องนอนกันค่ะ อย่างที่บอกไปว่าห้องพักแบบนี้จะเป็นห้องหน้ากว้างที่ได้ห้องนอนแยกเป็นสัดส่วน มีประตูบานทึบเปิดเข้าไปอีกที

ภายในห้องนอนจะมีหน้าต่างอยู่ด้านข้างไม่ใหญ่มาก (ทำให้เเสงไม่รบกวนภายในห้องนอนมาก แต่ยังสามารถระบายอากาศได้) ห้องนี้สามารถวางเตียงขนาด Queen size ได้

ในห้องตัวอย่างจะเว้นพื้นที่ระหว่างเตียงกับตู้เสื้อผ้าประมาณ 70 ซม. เดินไปเลือกหยิบเสื้อผ้าได้ง่าย แต่แนะนำให้เลือกตู้เสื้อผ้าแบบที่เป็นบานเลื่อนจะช่วยประหยัดพื้นที่ในการเปิดตู้เสื้อผ้านะคะ

ปลายเตียงเหลือพื้นที่ 50 ซม. ไม่แนะนำให้วางเฟอร์นิเจอร์ตรงนี้นะคะ แต่ยังพอเลือกติดทีวีแบบแขวนผนังได้

อีกฝั่งหนึ่งของห้องจะเป็นผนังทึบครึ่งหนึ่ง และมีพื้นที่เว้าออกไปอีกครึ่งหนึ่งติดกับหน้าต่าง

พื้นที่ตรงนี้มีขนาดประมาณ 1.40 x 0.60 เมตร จัดเป็นมุมทำงานเล็กๆ หรือมุมแต่งหน้าได้

จุดเด่นของมุมนี้คือหน้าต่างเข้ามุม เพิ่มพื้นที่ให้กับเเสงสว่างเข้ามาภายในห้องได้มากขึ้น และมองวิวได้กว้างขึ้น

ตรงข้ามกันจะเป็นทางเข้าห้องน้ำค่ะ ตำแหน่งของตู้เสื้อผ้าจะอยู่หน้าห้องน้ำพอดี ใช้งานได้สะดวก ในห้องตัวอย่างจะวางตู้เสื้อผ้ากว้าง 1.40 เมตรเอาไว้ (ยาวกว่านี้จะไปบังตำแหน่งสวิตซ์ไฟ)

เข้าไปในห้องน้ำจะเจอกับพื้นที่ส่วนแห้งก่อน พื้นและผนังจะกรุกระเบื้องเซรามิคสีขาวครีม พื้นที่ส่วนนี้จะมีขนาด 1.70 x 1.55 เมตร ชุดสุขภัณฑ์ต่างๆภายในห้องน้ำจะเป็นของ Cotto มีกระจกเงากว้างเต็มความกว้างของส่วนแห้งและมีปลั๊กไฟให้ใช้งานในตำแหน่งใกล้ๆอ่างล้างหน้า ขอบล่างของกระจกเงาจะเป็นพื้นที่วางของ เราสามารถหาต้นไม้เล็กๆมาวาง วางเทียนหอม หรือจะเป็นอุปกรณ์ แปรงฟัน ล้างหน้าก็ได้

พื้นที่ส่วนแห้งจะเป็นโทนสีเรียบๆ แต่ห้องอาบน้ำที่เป็นโซนเปียกจะเลือกใช้กระเบื้องลายพรางตา สีขาว-เขียวแทน โดยห้องอาบน้ำจะมีขนาด 0.90 x 1.20 เมตร

ส่วนนี้จะมีฉากกั้นแบบบานเลื่อนให้มาด้วย ตัวฝักบัวจะเป็น Hand Shower ของ Cotto มุมห้องอาบน้ำจะมีชั้นวางสบู่ แชมพูเล็กๆมาให้ค่ะ ถ้าวางไม่พอเราอาจจะหาชั้นวางของมาวางเข้ามุมแทนได้นะคะ เพราะอุปกรณ์อาบน้ำหลายคนจะมีทั้ง Cleanser, Cleansing, สบู่สำหรับอากาศร้อน, อากาศเย็นใช้แบบนี้, ยาสระผมปกติ, ครีมนวดผม, ครีมหมักผม ไหนจะ Scrub ผิวต่างๆ ชั้นวางแค่นี้อาจจะวางไม่พอจริงๆค่ะ

ห้องน้ำนี้จะมีข้อดีที่สามารถเข้า-ออกได้ 2 ทาง จากห้องครัวและจากห้องนอนค่ะ ทำให้พื้นที่ภายในห้องนอนได้ความเป็นส่วนตัวดีค่ะ


1 Bedroom Plus Type 1D ขนาด 41.25-42.00 ตร.ม.

ห้องตัวอย่างอีกหนึ่งห้องที่เราจะพาไปชมกันนะคะ เป็นห้อง 1 Bedroom Plus ที่มีห้องอเนกประสงค์เพิ่มมาให้ โดยห้องนี้จะอยู่ที่ตำแหน่งของมุมอาคาร ทำให้สามารถเปิดช่องแสงหรือหน้าต่างได้ 2 ฝั่งเลย และพื้นที่แต่ละส่วนแยกออกจากกันชัดเจนค่ะ เข้าห้องมา อันดับแรกที่เราเจอเลยคือพื้นที่ห้องครัว สุดทางเดินครัวจะเป็นพื้นที่สำหรับวาง Condensing Unit (พื้นที่ส่วนนี้ไม่ใช่ระเบียงนะคะ แต่ยังสามารถตากผ้าได้อยู่) ถัดเข้าไปทางขวาจะเป็นพื้นที่ส่วน Common Area จะเป็นส่วนรับประทานอาหารและพื้นที่ห้องนั่งเล่นต่อเนื่องกัน ตำแหน่งของห้องอเนกประสงค์จะถูกแยกจากพื้นที่ Common Area ด้วยประตูบานเลื่อนกระจกใส ภายในห้องสามารถจัดฟังก์ชันได้ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัยเลยค่ะ ส่วนห้องนอนนั้นจะได้ความเป็นส่วนตัวอยู่เพราะเป็นห้องมุมในสุด มีประตูทึบเปิดปิด และตัวห้องน้ำสามารถเข้าได้ 2 ทาง ทำให้พื้นที่ส่วนตัวไม่ถูกรุกล้ำค่ะ โดยรวมถือว่าเป็นห้องที่ออกแบบมาได้ค่อนข้างลงตัวเลยนะคะ แต่จะไม่มีระเบียง ดังนั้นถ้าใครชอบระเบียงกว้างๆ ยืนสูดอากาศก็คงไม่เหมาะกับห้อง Layout นี้เท่าไหร่ แต่ถ้าใครชอบแบบนี้ ลองไปดูบรรยากาศห้องจริงกันดีกว่าค่ะ

มาดูที่ทางเข้ากันก่อนเลยค่ะ ตัวประตูจะกรุด้วยลามิเนต มี Digital Door Lock ของ Yale ให้มา

เข้ามาภายในห้องเราจะเจอกับพื้นที่ครัวกันก่อนเลย พื้นตรงนี้จะปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ ผนังฉาบเรียบทาสีค่ะ พื้นที่ตรงนี้จะไม่มืดนะคะ เพราะปลายตาจะเป็นหน้าต่าง เวลาทำครัวก็เปิดระบายอากาศได้เต็มที่ ทางเดินตรงนี้จะกว้าง 95 ซม. ถือว่าเดินเข้า-ออกได้สะดวก

จากเคาน์เตอร์ครัวมายังประตูจะมีพื้นที่โล่งอยู่สามารถวางตู้เย็นและชั้นวางรองเท้าได้ (ระยะที่เหมาะสมกับตู้วางรองเท้าจะมีขนาด 1.00x.045 เมตร สูงไม่เกิน 1 เมตร สูงกว่านั้นจะไปบังสวิตซ์ไฟค่ะ)

ภายในห้องจะให้ชุดครัวมาหน้าตาแบบนี้เลย ตัวเคาน์เตอร์จะกว้าง 1.80 เมตร ลึก 60 ซม. มีตู้บนและตู้ล่างให้มาด้วย

บนเคาน์เตอร์จะเลือกใช้ Top และ Back Splash เป็นหินขัด Terrazzo ลายเดียวกันกับที่เห็นตรงพื้นที่ส่วนกลางค่ะ รายละเอียดอื่นๆบนเคาน์เตอร์ก็จะมีปลั๊กไฟเตรียมไว้ให้แล้ว และมีพื้นที่เตรียมอาหารประมาณ 80 ซม.

อ่างล้างจาน เตาไฟฟ้า และเครื่องดูดควันจะเป็นของ MEX ค่ะ

เห็นได้ว่าเครื่องดูดควันที่ให้จะเป็นแบบดูดออกด้วยนะคะ และด้วยตำแหน่งครัวที่ติดกับหน้าต่างเลย ครัวของห้องนี้เลยเป็นครัวที่เหมาะกับการทำอาหารจริงจังได้ ชั้นวางของก็ให้มาเยอะพอสมควร บานเปิด-ปิดต่างๆก็มีติดตั้ง Soft Close มาให้ วัสดุหน้าบานจะเป็นเมลามีนค่ะ

ใต้เคาน์เตอร์สามารถวางอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างเครื่องซักผ้า และไมโครเวฟได้ด้วยค่ะ

ติดกับเคาน์เตอร์ครัวจะเป็นหน้าต่างบานเลื่อน แต่จะมีผนังก่อสูงขึ้นมาจากพื้นเล็กน้อย แบบที่เรายังเดินข้ามออกไปได้

พื้นที่ตรงนี้จะเป็นพื้นที่สำหรับวาง Condensing Unit ของแอร์เป็นหลักค่ะ แต่ก็จะช่วยระบายอากาศตรงพื้นที่ครัวได้ ช่วยนำแสงสว่างให้เข้ามาภายในห้อง และยังเป็นพื้นที่สำหรับตากเสื้อผ้าได้อยู่นะคะ

หันมาทางขวามือ เรามาดูพื้นที่ส่วนอื่นๆของห้องกันดีกว่า ตรงนี้จะเป็นพื้นที่ Common Area และมีห้องอเนกประสงค์ ห้องนอน และห้องน้ำล้อมรอบ(ไล่จากซ้ายไปขวา) และด้วยความกว้างของพื้นที่ตรงนี้ที่อยู่ที่ 4 เมตร ทำให้ห้องนี้ได้บรรยากาศเหมือนอยู่บ้านเลยค่ะ

ระหว่างครัวกับ Common Area จะแยกจากกันด้วยประตูบานเลื่อนกระจกนะคะ กรอบบานของประตูหน้าต่างจะเลือกใช้สีตามอาคาร เช่นห้องนี้อยู่ที่อาคาร A กรอบบานจึงเป็นสีน้ำเงิน แต่ถ้าอยู่อาคาร B กรอบบานจะเป็นสีเหลืองค่ะ

หน้าห้องน้ำจะมีผนังทึบอยู่ ตรงนี้เราสามารถจัดมุมวางของเล็กๆแบบนี้ได้ หรือว่าจะติดชั้นวางของที่ผนัง เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของให้กับห้องก็ได้ค่ะ

Common Area นี้จะมีขนาด 3.15 x 4.00 เมตร สามารถจัดวางฟังก์ชันนั่งพักผ่อนและพื้นที่รับประทานอาหารขนาดกะทัดรัดแบบในแปลนได้ หรือจะเอาโซฟาใหญ่มาวางแบบในห้องตัวอย่างก็ได้ค่ะ (ในห้องตัวอย่างจะนำเอาฟังก์ชันรับประทานอาหารไปไว้ในห้องอเนกประสงค์แทน)

มีแนวผนังกว้าง 1.60 เมตร สำหรับวางชั้นวางของหรือโต๊ะวางทีวี ซึ่งถ้าเราจัดโซฟาแบบ 2 ที่นั่งไว้ก็ตรงกับตำแหน่งของทีวีพอดีค่ะ

ถัดไปเราไปดูห้องอเนกประสงค์กันต่อ ห้องนี้สามารถจัดเป็นห้องทำงาน ห้องรับประทานอาหาร ห้องนั่งเล่น หรือห้องนอนได้นะคะ

ตรงนี้จะให้มาเป็นประตูบานเลื่อน 3 ตอน วัสดุพื้นจะเป็นลามิเนต ต่อเนื่องมาจากพื้นที่ส่วน Common Area

ห้องนี้ที่น่าสนใจคือจะมีหน้าต่างให้มา 2 ด้านผนังเลย เมื่อรวมกับผนังฝั่งประตูทางเข้าที่เป็นบานเลื่อนกระจกเต็มความกว้างของห้องอีก ทำให้ห้องนี้ได้บรรยากาศโปร่งโล่งมากเลยค่ะ

ห้องนี้จะมีขนาด 2.50×3.15 เมตร เหมาะกับการทำเป็นห้องทำงานนะคะ ใครที่อยู่อาศัย 1-2 คน เป็น Freelance หรือใช้ชีวิตภายในห้องบ่อยๆ มุมนี้ก็อาจจะเป็นมุมส่วนตัวได้เลย

มีผนังทึบกว้าง 3.15 เมตร ทำเป็นชั้นวางของได้ หรือถ้าใครมีเสื้อผ้าเยอะ ตู้เสื้อผ้าภายในห้องนอนไม่พอ จะมาทำ Built-in ที่ห้องนี้ก็ได้ จะได้พื้นที่ใช้งานอีกเยอะเลยค่ะ

ในห้องตัวอย่างจะจัดพื้นที่รับประทานอาหารไว้ 4 ที่นั่ง ไว้กินข้าวก็ได้หรือจะเปลี่ยนเป็นโต๊ะทำงานก็ได้นะคะ

นอกจากโต๊ะที่เห็นแล้ว เรายังเพิ่มโซฟานั่งเล่นได้อีก 1 ตัว เอาไว้นอนอ่านหนังสือ เล่นโทรศัพท์มือถือสบายเลยค่ะ

พอมีห้องอเนกประสงค์ที่เพิ่มเข้ามาให้ เรามองว่าเป็นพื้นที่เพิ่มเติมที่ให้เรามีกิจกรรมหรือใช้ชีวิตภายในห้องพักอาศัยได้มากขึ้น นอกจากเอาไว้นอนนะคะ

มาดูพื้นที่ห้องนอนกันบ้างค่ะ สำหรับห้องนอนของ Type นี้จะให้ความรู้สึกเรียบมากขึ้น มีหน้าต่างอยู่ด้านเดียว และประตูทางเข้าเป็นบานทึบ เราสามารถวางเตียง 5-6 ฟุตได้เลยค่ะ พื้นที่ตรงนี้จะมีขนาด 2.75×3.15 เมตร

การที่กระจกไม่เยอะก็มีข้อดีนะคะ เพราะการใช้งานภายในห้องจะเหมาะสำหรับการนอนพักผ่อนมากขึ้น เพราะห้องนอนคงไม่ใช่ห้องที่ต้องการหน้าต่างมาก เพราะแสงที่มากเกินไปนอกจากจะรบกวนการนอนแล้ว ยังหมายถึงความร้อนที่เข้ามาภายในห้องอีกด้วยนะคะ

ปลายเตียงเหลือทางเดินอยู่ 60 ซม. ถ้าใครอยากติดตั้งทีวีไว้ภายในห้องนอนด้วยอาจจะต้องเลือกเป็นแบบแขวนผนังแทนนะคะ

ห้องนี้ไม่ได้มีขนาดเล็กมากแบบที่เราต้องวางเตียงชิดกับหน้าต่างเลย เราสามารถเว้นระยะของฐานเตียงกับหน้าต่างประมาณ 60 ซม.ได้ เอาไว้เป็นระยะสำหรับติดรางม่าน และวางโต๊ะหัวเตียง ฝุ่นจากผ้าม่านจะได้ไม่อยู่ใกล้เตียงเกินไป เป็นอันตรายกับการหายใจของเราค่ะ (หลายๆคนไม่ได้เอาผ้าม่านไม่ซักบ่อยนักใช่ไหมค่ะ เว้นระยะห่างกับเตียงสักนิดก็ดีค่ะ)

ข้างเตียงอีกฝั่งจะเป็นพื้นที่สำหรับวางตู้เสื้อผ้า โดยที่ตำแหน่งจะอยู่หน้าทางเข้าห้องน้ำพอดี

สามารถเลือกตู้เสื้อผ้ายาว 1.00 – 1.20 เมตรได้ มีระยะทางเดินเข้าห้องน้ำ 1 เมตรพอดี เป็นระยะที่เลือกตู้แบบบานเปิดได้อยู่นะคะ

เข้ามาดูภายในห้องน้ำกันบ้างค่ะ ห้องน้ำนี้จะแยกส่วนเปียกและส่วนแห้งเอาไว้ให้ พื้นและผนังจะกรุด้วยกระเบื้องเซรามิค

ข้อดีของห้องน้ำนี้คือมีประตูทางเข้า 2 ทาง จากห้องนอนและจากห้องนั่งเล่น กรณีที่มีเพื่อนมาเยี่ยมที่บ้านก็เดินเข้าห้องน้ำได้เลย ไม่ต้องผ่านห้องนอนเราซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัว

พื้นที่ส่วนแห้งจะให้กระจกยาวเต็มความกว้างประมาณ 1.5 เมตร มีอ่างล้างหน้าแบบแขวนผนังและโถสุขภัณฑ์ของ Cotto มาให้ ข้างๆอ่างล้างหน้าจะมีปลั๊กไฟให้มาด้วยนะคะ เอาไดร์เป่าผมหรือที่ม้วนผมมาใช้งานในห้องน้ำได้ แต่เราอาจจะติดตั้งฝาครอบปลั๊กกันน้ำกระเด็นเพิ่มเติมได้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย ส่วนขอบล่างกระจกเงาจะมีชั้นวางของอยู่ เป็นที่วางอุปกรณ์แปรงฟัน ล้างมือ เครื่องหอม ของตกแต่งห้องน้ำได้อีก

พื้นที่ส่วนเปียกจะมีดีไซน์แบบพรางตาตามแนวความคิดของโครงการเลยค่ะ เลือกลายกระเบื้องได้ลายตาดีนะคะ พื้นที่ตรงนี้จะมีฉากกั้นกระจกให้มาเป็นบานเลื่อน 3 ตอน

ภายในห้องอาบน้ำจะมีขนาด 0.90 x 1.20 เมตร ใช้งานหมุนตัวคล่อง

ฝักบัวได้ของ Cotto เหมือนกันค่ะ มี Junction Box สำหรับติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นไว้ให้แล้ว และมีพื้นที่สำหรับวางสบู่ให้มาเล็กๆที่มุม

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ

ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 4 December 2019

  • 1 Bedroom 25 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 95,600 บาทต่อตร.ม.
  • 1 Bedroom 30.75 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 90,732 บาทต่อตร.ม.
  • 1 Bedroom 34.25 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 87,300 บาทต่อตร.ม.
  • 2 Bedrooms 45.5  ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.89 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ย 107,473 บาทต่อตร.ม.
  • รูปแบบการขาย Fully Fitted
  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.50 เมตร
  • Kitchen & Sink
  • Hob & Hood / ของยี่ห้อ MEX
  • มีรถ Shuttle Bus ไปกลับ BTS อ่อนนุช
  • จอง 5,000 บาท
  • ทำสัญญา – บาท
  • ค่ากองทุน 600 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 68 บาท/ตร.ม./เดือน 2 ปีแรก 59 บาท/ตร.ม./เดือน

Promotion* ภายในปี 2018 นี้
ทุกห้อง ฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบชุด ผ้าม่าน และ Moving Package มูลค่า 5,000 บาท
สำหรับห้องราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท Free All ค่าใช้จ่ายวันโอน
สำหรับห้องราคาเกิน 3 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียมการโอน

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ


เจาะลึกรวบยอด

ทำเล : ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 50 ย่านอ่อนนุชที่เป็นเส้นใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว เดินทางสะดวก และมีความอุดมสมบูรณ์สูง มีทั้ง Tesco Lotus อยู่ที่ปากซอย เป็น Hyper Market ขนาดใหญ่ของทำเล และมี Century Movie Plaza เป็นห้างใหม่ที่มีทั้งร้านอาหาร โรงหนังและ Supermarket อยู่ภายใน อีกทั้งมีตลาดใกล้ๆทำให้มีผู้คนพลุกพล่านตลอดเวลา และเป็นอีกทำเลยอดนิยมสำหรับคนที่มองหาที่อยู่อาศัยใกล้รถไฟฟ้าสำหรับเรียนหรือทำงาน

การเดินทางโดยใช้รถ : โครงการตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 50 ซึ่งเป็นฝั่งเลขคู่ที่มีจุดเด่นคือใกล้ทางด่วน 2 เส้นคือ ทางด่วนฉลองรัช และ ทางด่วนเฉลิมมหานคร และเป็นฝั่งสุขุมวิทเข้าเมืองอีกด้วย ทำให้สามารถเลือกเส้นทางเดินทางได้ทั้งทางด่วนและเลือกใช้ถนนได้หลากหลาย ซอยสุขุมวิท 50 ไม่ได้เป็นซอยตัน แต่เป็นซอยที่เชื่อมถนนทางรถไฟสายเก่าปากน้ำ ที่ใช้เดินทางออกเมืองไปยังโซนสมุทรปราการได้เช่นกัน อัตราส่วนที่จอดรถแบบไม่ซ้อนคันจะอยู่ที่ประมาณ 36% – 37% ซึ่งถือว่าไม่มาก ใครที่ใช้รถอาจจะต้องภาวนาให้เพื่อนบ้านร่วมโครงการใช้รถไฟฟ้ากันเยอะหน่อยนะคะ

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : โซนสุขุมวิท 50 ถือว่าเป็นโซนที่อิงการใช้รถไฟฟ้าได้เช่นกัน โดยรถไฟฟ้าใกล้สุดจะเป็นรถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช ที่ห่างออกไปจากตัวโครงการพอสมควร (เดินเหนื่อยแน่นอน) แต่ทางโครงการจะมี Shuttle Service เป็นรถรับส่งลูกบ้านจากโครงการไปยัง BTS ให้บริการ ทำให้เราสามารถไปใช้งานรถไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าใครขี้เกียจรอ เดินมาหน้าโครงการ ตรงปากซอยเริ่มเจริญจะมีวินมอเตอร์ไซค์อยู่ เรียกใช้งานได้ค่ะ นอกจากนั้นอาจจะต้องเรียกรถ Taxi ผ่าน Application น่าจะสะดวกกว่าเดินออกไปกวักมือเรียกนะคะ

วัสดุ : ภายในโครงการให้วัสดุมาค่อนข้างตามมาตรฐาน พื้นห้องจะเป็นลามิเนต พื้นครัวได้กระเบื้องแกรนิตโต้ ส่วนพื้นและผนังของห้องน้ำได้กระเบื้องเซรามิค ผนังและฝ้าเพดานภายในห้องจะฉาบเรียบทาสีขาวให้ พร้อมติดไฟดาวน์ไลท์ อุปกรณ์ชุดครัวจะได้ของ MEX ทั้งอ่างล้างจาน เตาไฟฟ้า และเครื่องดูดควันแบบต่อท่อไปภายนอก ที่น่าสนใจคือ Top ครัวและ Back Splash ที่จะได้หินขัด Terrazzo ลายเดียวกับส่วนกลางของอาคาร ส่วนสุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำจะได้ของ Cotto ค่ะ โดยรวมถือว่าบางชิ้นก็ให้ดี บางชิ้นก็ธรรมดานะคะ ในราคาเฉลี่ยตร.ม.ละแสนบาท ตัวห้องได้เป็น Fully Fitted ค่ะ

การออกแบบ : โครงการนี้ถือว่ามีการออกแบบที่ค่อนข้างโดดเด่นเลย จากแนวความคิดในการออกแบบที่นำเอาลายพราง หรือ Camouflage มาเล่น และเลือกใช้โทนสีสดอย่างสีน้ำเงินและสีเหลืองมาตกแต่งภายในและภายนอกอาคาร โดยลวดลาย Op Art ที่ตัวอาคารและ interior ต่างๆ ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ตรง Concept อยู่ ส่วนในแง่ฟังก์ชันการใช้งาน ตัวอาคารจะแบ่งเป็น 2 อาคาร มีพื้นที่ส่วนกลางอยู่ระหว่างอาคาร ทำให้ใช้งานส่วนกลางได้ง่ายทั้งคู่ และสร้างบรรยากาศภายในโครงการให้ได้ความเป็นส่วนตัวด้วย ส่วนรูปแบบห้องพักอาศัย จะเน้นไปที่ห้องหน้ากว้างเป็นหลัก และพื้นที่ใช้สอยภายในห้องจะถูกแยกเป็นสัดส่วนชัดเจน ได้ครัวปิดและห้องนอนประตูทึบเป็นหลักเหมาะกับการใช้งาน (ดูจากแบบห้องส่วนใหญ่ของโครงการ)

สาธารณูปโภค : พื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการนี้จัดมาให้ค่อนข้างเยอะนะคะ เมื่อเทียบกับจำนวนยูนิตพักอาศัย และด้วยตัวโครงการที่แบ่งเป็น 2 อาคาร ทำให้มีพื้นที่ระหว่างอาคารจัดเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นสระว่ายน้ำ สวน และ Clubhouse ที่บรรยากาศออกมาร่มรื่น มีต้นไม้เยอะ (ซึ่งเมื่อดู Concept ตอนแรกและความจัดจ้านของสีอาคารไม่คิดว่าจะได้บรรยากาศร่มรื่นแบบนี้) โดยพื้นที่นั่งเล่นจะมีทั้ง indoor และ outdoor หลากหลายมุม และมีพื้นที่ส่วนกลางในอาคารที่เป็น Co-working Room, Meeting Room และ Entertainment Room มาให้ด้วย โดยเลือกใช้วัสดุและเฟอร์นิเจอร์ที่มีสีสันสดใส ออกแบบดูสนุกสนานจัดเต็มค่ะ

Judgement

การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 100,000 บาท/ตร.ม., 3 December 2019

  • ทำเล 7.25/10 – อยู่ในซอยเริ่มเจริญที่เป็นซอยย่อยจากสุขุมวิท 50 ห่างจากถนนใหญ่พอสมควร
  • เดินทางด้วยรถ 8/10 – อยู่ฝั่งขาเข้าเมือง ใกล้ทางด่วน 2 เส้น
  • ไม่ใช้รถ 7/10 – อยู่ในซอย แต่มี Shuttle Service ให้บริการ
  • วัสดุ 7.75/10 – ขายเป็น Fully Fitted วัสดุบางอย่างดี บางอย่างธรรมดา
  • แบบ 8.75/10 – ดีไซน์ชัด จดจำได้ง่าย ฟังก์ชันดี
  • สาธารณูปโภค 8.75/10 – ออกแบบส่วนกลางน่าใช้งาน มีหลากหลายฟังก์ชัน บรรยากาศร่มรื่น

  • UPPER CLASS
  • 7.7 / 10.00

BOTTOM LINE

 THE BASE Sukhumvit 50 เหมาะกับคนที่ชอบงานดีไซน์ ต้องการที่อยู่อาศัยดีไซน์เด่น ที่มีความสะดวกสบายทั้งด้านการเดินทางและอาหารการกินในย่านอ่อนนุช ชอบโครงการที่มี Facility ร่มรื่นหลากหลาย และห้องพักที่แบ่งโซนชัดเจนได้ความเป็นส่วนตัว มีงบประมาณ 2 ล้านปลายๆ ถึง 5 ล้านกว่าๆ (รวมค่าตกแต่ง) หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 16,800 – 42,000 บาทต่อเดือน


ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving