การที่เราจะมีคอนโดมิเนียมเป็นของตัวเองสักหลังนั้น ไม่ใช่แค่ซื้อห้องมาแล้วก็จะจบนะคะ เราต้องมีการเผื่องบประมาณในการตกแต่งห้องด้วย ซึ่งจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับของที่ทางโครงการให้มาและความต้องการของเรานั่นเองค่ะ ในบทความนี้เราจะพาไปดูกันว่าการที่จะแต่งห้อง 1 ห้องนอนให้ครบทุกอย่างในงบที่ไม่บานปลายนั้นมีขั้นตอนอะไรบ้าง ไปชมกันเลยค่ะ 

ก่อนที่เราจะเริ่มทำการตกแต่งห้อง เราก็ต้องรู้ก่อนค่ะว่าโครงการให้อะไรเรามาบ้าง เพื่อที่จะได้วางแผนและจัดเตรียมงบประมาณถูก โดยทั่วไปแล้วรูปแบบการขายของโครงการมีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับแผนการตลาดของแต่ละโครงการและโปรโมชั่นในช่วงเวลานั้นๆ โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแบบ Fully Furnished หรือ Fully Fitted สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่ามันต่างกันยังไง เดี๋ยวเรามาทำความรู้จักกับรูปแบบการขายแต่ละแบบกันค่ะ

Fully Furnished

หลายๆคนคงรู้จักหรือคุ้นหูกับคำนี้อยู่แล้ว โดย Fully Furnished คือห้องที่เปิดขายแบบให้ เฟอร์นิเจอร์แต่งครบ พร้อมเข้าอยู่ ได้เลย ซึ่งจะมีทั้งเฟอร์นิเจอร์ Built-in และลอยตัวมาให้ เช่น เคาน์เตอร์ครัว, ตู้เก็บของ, ชั้นวาง TV, ชุดห้องนั่งเล่น, เตียง, โต๊ะข้างเตียงและชั้นวางของ, ชุดสุขภัณฑ์ทั้งหมด เป็นต้น ลูกบ้านแค่ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและของตกแต่งบางชิ้นก็พร้อมเข้าอยู่เลยค่ะ ห้องแบบ Fully Furnished นี้ ส่วนใหญ่ทางโครงการเค้าจะเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีขนาดและการจัดวางพอดีลงตัวกับพื้นที่ภายในห้อง เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหิ้วกระเป๋ามาเข้าอยู่เลย หรือต้องการปล่อยเช่าโดยไม่อยากเสียเวลาในการไปเลือกซื้อของเอง

ห้องที่ได้แบบ Fully Furnished มีข้อดีคือ ชุดเฟอร์นิเจอร์ที่โครงการนั้นมักจัดมาให้ จะเข้าชุดเป็นโทนเดียวกัน สำหรับบางคนที่ไม่ถนัดในการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องซื้อมาแล้วไม่เข้ากันค่ะ บางโครงการอาจจะมีชุดเฟอร์นิเจอร์หลากหลายชุดให้เลือก เราสามารถเลือกสีหรือเลือกสไตล์ได้แล้วแต่โปรโมชั่นของทางโครงการค่ะ

สำหรับใครที่เลือกซื้อห้องแบบ Fully Furnished ทางเรามีข้อแนะนำเล็กน้อย คือลูกบ้านควรขอดูรายการเฟอร์นิเจอร์จากทางโครงการด้วยนะคะ เพราะบางครั้งทางโครงการก็มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโดยที่เราไม่ทราบ อย่างเช่นตอนซื้อนั้นบอกว่าจะได้เฟอร์นิเจอร์ 8 ชิ้นแต่เมื่อได้รับห้องจริงกลับมีแค่ 7 ชิ้น และแบบอาจจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย เราจึงควรถ่ายภาพไว้เปรียบเทียบหรือเข้าไปตรวจดูห้องก่อนรับโอนให้ชัดเจนก่อนค่ะ ไม่อย่างนั้นอาจจะทำให้แผนการตกแต่งห้องของเราผิดพลาดได้

ข้อดีอีกข้อของห้อง Fully Furnished ก็คือ เราจะได้เฟอร์นิเจอร์ที่มีขนาดลงตัวกับพื้นที่ห้องของเราค่ะ ปัจจุบันในคอนโดนั้นเราก็ทราบกันอยู่แล้วว่ามีพื้นที่ใช้สอยไม่มากนัก ดังนั้นจึงควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้เข้ากับพื้นที่ด้วย ห้องแบบ Fully Furnished จึงทำให้หมดปัญหาเรื่องการเลือกซื้อมาแล้วไม่พอดีกับห้อง ต้องนำไปเปลี่ยนหลายครั้ง และบางครั้งการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์เข้า-ออกก็ทำให้เกิดการขูดขีดทั้งพื้นและผนังห้องให้เป็นรอยได้ การที่โครงการขายพร้อมติดตั้งเฟอร์นิเจอร์นั้น บางโครงการก็ได้เลือกใช้แบรนด์ของเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่ได้มีขายตามท้องตลาดหรือสั่งทำเฉพาะ ทำให้ขนาดออกมาพอดีกับตัวห้อง เราจะรู้ตำแหน่งการวางเฟอร์นิเจอร์ชัดเจน ไม่เกิดปัญหากับ Wallpaper และตำแหน่งเครื่องปรับอากาศ ถ้าเราต้อง Built-in เอง เวลาขนย้ายเฟอร์นิเจอร์หรือติดตั้งอาจจะขูดขีดกับ Wallpaper หรือตำแหน่งไม่พอดีเพราะตรงกับตำแหน่งเครื่องปรับอากาศได้ค่ะ

  • Partly Furnished

ห้องที่เปิดขายแบบ Partly Furnished ส่วนใหญ่จะไม่ได้มีให้เห็นมากนัก ลักษณะการขายจะคล้ายกับ Fully Furnished เลยค่ะ แต่จะแตกต่างตรงที่ห้องแบบ Partly Furnished นั้นจะขาดเฟอร์นิเจอร์ไปเพียงบางชิ้นเท่านั้นเอง เช่น ได้เฟอร์นิเจอร์ Built-in และเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวบางส่วน ขาดโต๊ะข้างเตียง, โต๊ะกลาง หรือชั้นวาง TV เป็นต้น

  • Fully Fitted

ห้องแบบ Fully Fitted เป็นรูปแบบการขายอีกแบบหนึ่งที่เราอาจจะคุ้นเคยกัน คือเป็นห้องที่ให้เฟอร์นิเจอร์เพียงบางส่วน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ Built-in ในห้องครัวและห้องน้ำ เนื่องจากเกี่ยวเนื่องกับงานระบบประกอบอาคาร ถ้าต้องติดตั้งเองอาจจะต้องมีการเจาะ ต่อกับระบบต่างๆ ถ้าไม่ได้ช่างที่มีมาตรฐานอาจทำให้อาจจะเกิดปัญหาตามมาได้ ในส่วนเฟอร์นิเจอร์อื่นๆลูกบ้านสามารถเลือกมาต่อเติมเองได้ เหมาะสำหรับคนที่ชอบการออกแบบตกแต่งห้องเอง ต้องการพื้นที่ใช้งานที่แตกต่างจากทั่วไป

ห้องแบบที่มีรูปแบบการขายแบบ Fully Fitted ทางโครงการก็มักจะให้เฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะสมลงตัวกับพื้นที่ ส่วนรายการที่ไม่ได้ให้ลูกบ้านก็สามารถเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะกับการใช้งานของตัวเองได้ บางคนแค่ได้จัดพื้นที่ของตัวเองตามสไตล์ที่ตัวเองชอบนั้นก็มีความสุขแล้วค่ะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีเฟอร์นิเจอร์มาให้ครบชุดก็ตาม แต่ห้องที่ขายในลักษณะนี้ก็มีการกั้นหรือแบ่งพื้นที่เพื่อการใช้งานที่เป็นสัดส่วนมาให้แล้ว เช่น มีการกั้นบานเลื่อนกระจกของส่วนครัวมาให้ ช่วยให้เวลาทำอาหารกลิ่นจะไม่ออกมารบกวนภายนอก เป็นต้น เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องกังวลว่าภายในห้องจะไม่เป็นสัดส่วน อย่างไรก็ตามถ้าเราซื้อโครงการที่ขายแบบ Fully Fitted ต้องเผื่องบประมาณส่วนหนึ่งเอาไว้ตกแต่งห้องด้วยนะคะ

  • Partly Fitted

ห้องแบบ Partly Fitted นั้นก็จะคล้ายกับห้อง Fully Fitted เลยค่ะ แต่จะมีเฟอร์นิเจอร์ Built-in บางส่วนเพิ่มมาให้ อย่างเช่น ได้เคาน์เตอร์ครัว, ชุดสุขภัณฑ์ และตู้เสื้อผ้า หรือตู้รองเท้า+ตู้เก็บของ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเราจะนิยมเรียกกันว่า Fully Fitted+เฟอร์นิเจอร์ Built-in กันมากกว่าค่ะ

ในห้องเราจะต้องซื้ออะไรบ้าง??

โดยทั่วไปแล้วห้อง 1 Bedroom ขนาดมาตรฐานส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 24.00-35.00 ตารางเมตร ถ้าเป็นโครงการแบบที่ขายแบบ Fully Furnished จะได้เฟอร์นิเจอร์ประมาณ 9 จุด ดังนี้ค่ะ

  • ชุดเคาน์เตอร์ครัว (Fully Fitted มีให้)
  • ชุดสุขภัณฑ์ (Fully Fitted มีให้)
  • ชุดโต๊ะรับประทานอาหาร
  • โซฟา
  • โต๊ะกลาง
  • ชั้นวางโทรทัศน์
  • เตียง
  • โต๊ะข้างเตียง
  • ตู้เสื้อผ้า

ใครที่ซื้อห้องแบบ Fully Fitted มาก็จะต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติมดังที่กล่าวไปค่ะ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้อยู่อาศัยเองด้วยนะคะ อย่างบางคนไม่ชอบโต๊ะกลางบริเวณห้องนั่งเล่นเพราะจะทำให้ขวางทางเดิน ก็เปลี่ยนเป็นโต๊ะด้านข้างโซฟาหรือชั้นเก็บของรวมกับชั้นวาง TV ไปเลยก็ได้

ขั้นตอนต่อไปเราจะพาทุกคนไปดูวิธีการเลือกเฟอร์นิเจอร์และวิธีการตกแต่งห้องด้วยตัวเองตั้งแต่เริ่มแรกกันเลย เตรียมสมุดปากกาให้พร้อมแล้วไปออกแบบกันเลยค่ะ

ขอบคุณภาพประกอบจาก www.pinterest.com

มาการออกแบบกัน

ขั้นตอนถัดมาคือการออกแบบ ถ้าเราจะตกแต่งห้องด้วยตัวเองนั้นก็มีขั้นตอนที่ไม่ยากเลย ส่วนใหญ่แล้วเราจะมีแบบหรือสไตล์ที่เราชอบกันในใจอยู่แล้วใช่ไหมคะ ถ้าใครที่ยังไม่มีแนะนำให้ลองเปิดรูปภาพตามเว็บไซต์ เกี่ยวกับไอเดียการตกแต่งบ้าน, เว็บไซต์ ของแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ หรือ รีวิวของทาง Think Of Living เองก็มีภาพห้องตัวอย่างของคอนโดหลายๆที่เพื่อดูเป็นแนวทางก็ได้ โดยขั้นตอนการออกแบบจะขอแบ่งเป็นขั้นตอนง่ายๆทั้งหมด 3 ขั้นตอน ดังนี้ค่ะ

1. หาไอเดียการออกแบบ

โดยเปิดหารูป Reference จากเว็บไซต์หรือหนังสือเกี่ยวกับการแต่งบ้าน เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการเลือกเฟอร์นิเจอร์ให้เข้ากับรูปแบบที่เราต้องการ

2.ขีดๆเขียนๆ ลองออกแบบห้องตัวเองดู

ลองวาดแปลนของห้องเราลงบนกระดาษแล้วเขียนดูว่าต้องการเฟอร์นิเจอร์ตรงไหนเพิ่มบ้าง สำหรับคนที่ไม่ถนัดการวาดภาพเท่าไหร่ ลองเปิดภาพแปลนของห้องของตัวเองจากเว็บไซต์โครงการก็ได้ค่ะ ส่วนใหญ่จะมีแปลนห้องพักแต่ละแบบให้อยู่แล้ว วิธีการก็คือให้เราวัดขนาดของพื้นที่จริงที่เราต้องการวางเฟอร์นิเจอร์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซื้อมาแล้วขนาดไม่พอดี ไม่สามารถวางได้ ต้องนำไปเปลี่ยนซึ่งจะเกิดความยุ่งยากในภายหลังได้ เมื่อวัดขนาดสร็จแล้ว เรามาดูกันว่าแต่ละห้อง ควรจะออกแบบอย่างไรกันค่ะ

เลือกเฟอร์นิเจอร์

พอเราได้แบบที่ต้องการคร่าวๆแล้ว ถ้าอยากจะประหยัดงบประมาณแนะนำให้เลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัว ก่อนซื้อแนะนำให้ลองหาข้อมูลคร่าวๆในเว็บไซต์หรือร้านเฟอร์นิเจอร์แล้วทำงบประมาณ (BOQ) คร่าวๆ เดี๋ยวจะสอนทำในหัวข้อถัดไปนะคะ ก่อนไปเดินเลือกหรือให้เราลองไปเดินเลือกดูก่อนซื้อจริง ชอบตัวไหนก็ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ก่อน

ปัจจุบันร้านค้าขายเฟอร์ทั้งหลายได้มีการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ให้เหมาะกับการใช้ชีวิตในคอนโดมากขึ้น เน้นใช้งานพื้นที่ขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีการรวมฟังก์ชั่นหลากหลายเข้าไปในเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวกัน ในราคาที่ไม่แพง โดยแต่ละแบรนด์ก็ทำออกมาแตกต่างกันไป เราจะเลือกแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับความชอบของเจ้าของห้องเลยค่ะ

  • ห้องครัว

ห้องครัวส่วนใหญ่ทางโครงการจะมีเคาน์เตอร์ครัวมาให้แล้วนะคะ ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่เราต้องซื้อเพิ่มเติมคือโต๊ะอาหาร เก้าอี้ หรือตกแต่งผนังกันเปื้อน เป็นต้น โดยห้องนี้เป็นห้องที่ใช้งานแล้วมีโอกาสที่จะเลอะเทอะ ดังนั้นควรใช้เฟอร์นิเจอร์และวัสดุที่ทำความสะอาดได้ง่าย เช่น กระเบื้องเซรามิค หรือหินแกรนิต หรือวัสดุผิวลื่นเพื่อให้เช็ดทำความสะอาดได้ง่าย สำหรับผนังทาสีก็ควรเป็นสีน้ำมันหรือสีอะคริลิค กึ่งเงา แทนการใช้สีน้ำพลาสติกสำหรับภายในทั่วไป เนื่องจากทำความสะอาดเขม่า คราบมันได้ดีกว่า

เฟอร์นิเจอร์ในส่วนครัวจะมีดังนี้

เคาน์เตอร์ครัว : ส่วนใหญ่แล้วในคอนโดจะมักจะมีการติดตั้งเคาน์เตอร์ครัวมาให้ ซึ่งจะมีลิ้นชัก ช่องเก็บของและช่องสำหรับวางเครื่องไมโครเวฟ ฯลฯ มาให้เลยค่ะ เนื่องจากเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานระบบ สิ่งสำคัญของเคาน์เตอร์ครัวจะอยู่ที่วัสดุในการทำ Top ด้านบนเพราะเป็นส่วนที่โดนใช้งาน และต้องทำความสะอาดบ่อยที่สุด ซึ่งสามารถดูรายละเอียด และข้อดี-ข้อเสียของวัสดุแต่ละแบบได้ที่  “วัสดุยอดนิยมของท๊อปครัว”

ในปัจจุบันได้มีการออกแบบเคาน์เตอร์ให้เหมาะกับพื้นที่ห้องที่จำกัด อยู่หลากหลายแบบ บางที่ได้นำฟังก์ชันโต๊ะรับประทานอาหารมารวมกับส่วนของเคาน์เตอร์ครัว เพื่อประหยัดพื้นที่ด้วยค่ะ

ตัวอย่างโต๊ะรับประทานอาหารที่สามารถพับเก็บได้เป็นโต๊ะขนาดเล็กหรือเป็นโต๊ะขนาดใหญ่สำหรับทำงานได้

ตัวอย่างโต๊ะรับประทานอาหารที่สามารถเลื่อนเก็บเข้ากับเคาน์เตอร์ครัว เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการเดินให้ห้องดูกว้างมากขึ้น เป็นต้น

ชุดโต๊ะรับประทานอาหาร : นอกจากส่วนเคาน์เตอร์ครัวแล้ว เฟอร์นิเจอร์ที่คู่กับห้องครัวก็คงหนีไม่พ้นชุดรับประทานอาหาร ซึ่งโดยทั่วไปห้อง 1 Bedroom นั้นเหมาะกับการวางโต๊ะรับประทานอาหารประมาณ 2 ที่นั่ง ซึ่งจะมีทั้งแบบรูปทรงสี่เหลี่ยม เข้ามุมกับส่วนของผนังห้อง เหมาะกับห้องที่มีเหลี่ยมมุมของผนัง การตั้งโต๊ะรับประทานอาหารชิดผนังช่วยให้ประหยัดพื้นที่วางเก้าอี้เหลือเพียงด้านเดียว ทำให้ห้องดูกว้างขึ้น และแบบโต๊ะวงกลม สำหรับการตั้งวางบนพื้นที่โล่ง ไม่สามารถหาพื้นที่วางโต๊ะติดผนังได้ การวางโต๊ะกลมจะช่วยให้พื้นที่เดินรอบโต๊ะมีมากขึ้น

ราคาโต๊ะรับประทานอาหาร 2 ที่นั่งจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 – 7,000 บาทค่ะ

  • ห้องนั่งเล่น

ก่อนเลือกเฟอร์นิเจอร์มาทำความรู้จักกับลักษณะของห้องนี้สักเล็กน้อย จะได้เลือกเฟอร์นิเจอร์กันถูกเนอะ ห้องนั่งเล่นนั้นควรมีลักษณะที่โล่ง สามารถเดินใช้งานได้สะดวก ไม่ควรมีเฟอร์นิเจอร์ที่ขวางทางเข้า-ออก และโดยส่วนใหญ่แล้วส่วนของห้องนั่งเล่นภายในคอนโดจะติดกับส่วนหน้าต่างหรือระเบียง ซึ่งไม่ควรวางโซฟาหันหลังให้กับประตูหน้าต่าง นอกจากจะกีดขวางทางเดินทำให้ห้องดูคับแคบและอึดอัดด้วยแล้ว ยังทำให้ไม่สามารถมองเห็นวิวภายนอกอาคารได้อีกด้วย

บริเวณห้องนั่งเล่นควรได้รับแสงสว่างที่เพียงพอ สำหรับห้องที่อยู่ติดกับหน้าต่างหรือระเบียงอยู่แล้วก็คงไม่มีปัญหาในส่วนนี้เนื่องจากสามารถรับแสงธรรมชาติจากภายนอกเข้ามาได้เลย แต่สำหรับห้องรับแขกที่อยู่ด้านใน แสงสว่างส่วนใหญ่จะมาจากฝ้าเพดาน ถ้ารู้สึกว่าไม่เพียงพอแนะนำให้ติดตั้งไฟกิ่ง , ไฟติดผนัง หรือโคมไฟตั้งพื้น ในบริเวณที่ต้องการแสงเพิ่มเติม ซึ่งแนะนำว่าสำหรับห้องนั่งเล่นควรใช้แสงไฟที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย ควรจะเป็นแสงไฟสีส้ม หรือสีขาวโทนอุ่น เช่นหลอดไฟ Warm White และ Cool White ค่ะ

เฟอร์นิเจอร์ในส่วนนี้จะมีดังนี้

โซฟา : การเลือกโซฟานั้นสามารถเลือกรูปทรงเป็น ตัว I หรือตัว L ก็ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะของพื้นที่ห้อง โดยส่วนใหญ่แล้วห้อง 1 Bedroom จะเหมาะกับโซฟาขนาด 2-3 ที่นั่งค่ะ ในปัจจุบันมีการออกแบบโซฟาให้มีช่องเก็บของ ช่วยลดพื้นที่วางชั้นเก็บของ เหมาะสำหรับห้องที่มีขนาดจำกัด หรือบางแบบเป็นโซฟาที่สามารถดึงออกมาเป็นเตียงนอนได้ด้วย

ราคาโซฟา 2-3 ที่นั่งขนาดไม่ใหญ่มากเหมาะกับ 1 ห้องนอนก็จะอยู่ที่ประมาณ 4,000- 2x,xxx บาท

ตัวอย่างโซฟาที่สามารถเลื่อนด้านล่างออกมาเก็บของได้

ตัวอย่างโซฟาที่ช่องด้านข้างเปิดเก็บของได้ค่ะ

โต๊ะกลาง หรือ โต๊ะข้าง  :  โต๊ะกลางเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ขึ้นอยู่กับเจ้าของห้องเลยค่ะว่าต้องการใช้สำหรับทำอะไร เช่น วางหนังสือ วางขนมแก้วน้ำ หรือต้องการโต๊ะที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย โต๊ะกลางควรจัดให้ห่างจากโซฟาประมาณ 30-45 เซนติเมตร บางคนที่ต้องการเดินเข้า-ออกที่โซฟาง่ายๆโดยไม่ต้องโดนโต๊ะกลางขวางก็อาจจะไม่เลือกวางโต๊ะตรงกลางแต่เลือกใช้เป็นโต๊ะข้างโซฟาแทนได้ค่ะ

ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 850 บาทเป็นต้นไปค่ะ

ชั้นวางของ/ชั้นวางTV : ชั้นวาง TV นั้นมีทั้งแบบลอยตัวและแบบ Built-in ซึ่งมีหลากหลายแบบให้เลือกขึ้นอยู่กับสไตล์ของเจ้าของห้องเองเลยค่ะ โดยส่วนใหญ่แล้วจะมาพร้อมกับตู้เก็บของด้านบนด้วย สำหรับคนที่จะติดตั้งแบบ Built-in ควรวัดระยะและเลือกขนาดให้เข้ากับพื้นที่ภายในห้องค่ะ ราคามีหลากหลายขึ้นอยู่กับรูปแบบค่ะ  

  • ห้องนอน

ห้องนอนโดยปกติแล้วจะมี 2 ส่วน คือ ส่วนพักผ่อน เป็นพื้นที่จัดวางเตียงนั่นเองค่ะ ซึ่งการออกแบบห้องนอนนั้นไม่ควรให้เตียงนอนของเราอยู่ใกล้กับหน้าต่างมากเกินไป เนื่องจากประตูหน้าต่างที่มีม่านเป็นแหล่งสะสมของฝุ่นได้ โดยทั่วไปแล้วควรจะติดผ้าม่าน 2 ชั้นในห้องนอน ชั้นแรกเป็นม่านโปร่งช่วยบังแสงแดดในยามเช้าให้ไม่แรงเกินไป แต่ก็ยังรับแสงธรรมชาติเข้ามาในห้องได้ และช่วยกันความร้อนบางส่วน ชั้นที่ 2 เป็นม่านทึบช่วยกันแสงจากภายนอก และบังสายตาจากที่อื่นไม่ให้มองเข้ามาภายในห้องของเราค่ะ นอกจากนั้นทิศทางการวางเตียงนอนไม่ควรวางให้ปลายเตียงหันไปทางเครื่องปรับอากาศค่ะ เนื่องจากลมของเครื่องปรับอากาศจะเข้าสู่ตัวเราได้โดยตรงทำให้รู้สึกคัดจมูก หรือไม่สบายได้

ส่วนที่ 2 เป็นส่วนแต่งตัว สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งตัวหรือแต่งหน้า พื้นที่ส่วนนี้ควรอยู่ใกล้กับห้องน้ำ หรือใกล้กับทางเข้าห้องนอนค่ะ

เฟอร์นิเจอร์ในส่วนนี้จะมีดังนี้

เตียงนอน  : เตียงนั้นมีหลายขนาดมากค่ะ จะเริ่มตั้งแต่ 3.5 ฟุต ซึ่งเป็นเตียงเดี่ยวสำหรับนอนคนเดียว ช่วยประหยัดพื้นที่ เหลือพื้นที่ภายในห้องสำหรับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นๆได้ เตียง Queen Size ขนาด 5 ฟุต เหมาะสำหรับคนที่ชอบนอนสบายๆคนเดียวหรือนอน 2 คนก็ได้ และเตียง King Size ขนาด 6 ฟุต จะเหมาะสำหรับนอน 2 คนแบบสบายๆค่ะ ส่วนความหนาของที่นอนนั้นก็มีตั้งแต่ 3, 4, 6 และ 8 นิ้ว โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 8,000 – 2x,xxx บาท

โต๊ะข้างเตียง : โต๊ะข้างเตียง ขึ้นอยู่กับความชอบของเจ้าของเลยค่ะ แต่วิธีการเลือกนั้นจะต้องวัดขนาดด้านข้างให้พอดีนะคะ โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 1,xxx-5,xxx บาท

ตู้เสื้อผ้า /โต๊ะเครื่องแป้ง : ตู้เสื้อผ้าสำหรับโครงการบางแห่งก็มีการ Built-in มาให้เลย แต่ถ้าต้องติดตั้งเอง ก็จะมีให้เลือกค่อนข้างหลากหลายพอสมควร ถ้าเป็นห้องนอนที่มีพื้นที่ไม่มากนัก แนะนำให้เลือกตู็เสื้อผ้าที่เป็นบานเลื่อนค่ะ เนื่องจากบานเปิดจะทำให้เสียพื้นที่ด้านหน้าตู้ไปได้ บางครั้งถ้าวัดขนาดมาไม่ดีตอนเปิดอาจจะติดเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นด้วยค่ะ และถ้าห้องไหนมีพื้นที่เหลือก็นิยมวางโต๊ะเครื่องแป้งอยู่ในบริเวณเดียวกันด้วย โดยราคาของตู้เสื้อผ้าจะมีให้เลือกหลากหลายขึ้นอยู่กับรูปแบบและวัสดุค่ะ

  • ห้องน้ำ

ห้องน้ำจะประกอบด้วย อ่างล้างหน้า (มีเคาน์เตอร์หรือไม่มีก็ได้), โถสุขภภัณฑ์, พื้นที่อาบน้ำ, อุปกรณ์ประกอบเช่น สายชำะ ชั้นวางของ และที่แขวนกระดาษชำระ ซึ่งแต่ละโครงการก็จะให้มาไม่เหมือนกันค่ะ แต่ที่สำคัญภายในห้องน้ำควรมีพัดลมระบายอากาศเพื่อระบายความอับชื้นภายในห้องน้ำ ห้องน้ำจะแบ่งเป็น 2 ส่วนค่ะ ส่วนแรกคือส่วนเปียก เป็นพื้นที่อาบน้ำ มีทั้งแบบฝักบัว และอ่างอาบน้ำ โดยส่วนใหญ่แล้วคอนโด 1 Bedroom จะได้เป็นฝักบัวอย่างเดียวค่ะ บางโครงการก็จะให้ Rain Shower มาด้วย ส่วนของพื้นที่อาบน้ำนี้ควรมีฉากกั้นเพื่อไม่ให้เวลาอาบน้ำแล้วน้ำกระเด็นไปยังส่วนอื่นๆ ซึ่งบางโครงการจะติดตั้งฉากกั้นกระจกมาให้ ถ้าไม่มีเราก็ควรติดตั้งเพิ่มเติมค่ะ

เฟอร์นิเจอร์ในส่วนนี้จะมีดังนี้

เคาน์เตอร์อ่างล้างมือ : ส่วนใหญ่แล้วเคาน์เตอร์อ่างล้างมือทางโครงการจะให้มาพร้อมกับตัวห้อง สามารถใช้วางของ และเก็บของได้ สำหรับห้องที่ติดตั้งอ่างล้างมือแบบลอยตัวมาให้แต่เราอยากได้ Built-in เคาน์เตอร์เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มพื้นที่วางของและเก็บของให้มากขึ้น ทำได้โดยเลือกดูและปรึกษากับร้านค้าก่อนค่ะว่าสามารถทำได้หรือไม่

ชั้นวางอุปกรณ์อาบน้ำ : ปกติแล้วทางโครงการจะทำช่องเก็บของติดกับผนังมาให้เลย แต่ถ้าไม่มีมาให้เราสามารถติดตั้งเพิ่มเติมเองได้ ถ้าไม่ตกแต่งแบบในภาพก็สามารถเลือกซื้อแบบสำเร็จจากร้านของแต่งบ้านทั่วไปได้เลย

ฉากกั้นอาบน้ำ : ฉากกั้นอาบน้ำช่วยให้แยกพื้นที่ส่วนเปียกและส่วนแห้งของห้องน้ำได้ชัดเจนเวลาอาบน้ำแล้วช่วยให้ไม่กระเด็นไปยังส่วนอื่นๆค่ะ ซึ่งฉากกั้นนั้นมีหลายแบบให้เลือกดังนี้

– ฉากกั้นอาบน้ำแบบม่านพลาสติก : เป็นแบบที่ราคาประหยัดที่สุด ใช้ง่ายแต่ค่อนข้างสกปรกง่าย จะต้องเปลี่ยนบ่อยค่ะ โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 250 – 1000 บาทค่ะ

– ฉากกั้นอาบน้ำแบบ Shower Box สำเร็จรูป : เป็นฉากสำเร็จรูป มาพร้อมถาดรองซึ่งสามารถหาซื้อได้จากร้านขายวัสดุประกอบบ้านทั่วไปค่ะ ราคาเริ่มต้นที่ 8,000 – 1x,xxx บาทค่ะ 

– ฉากกั้นอาบน้ำแบบติดตั้งกระจก : มีความสวยงามสามารเลือกได้ตามความชอบซึ่งจะมีทั้งบานเปลือยไร้กรอบ และแบบมีกรอบโครงทั้งอลูมิเนียมและพลาสติก ให้เลือกแล้วแต่งบประมาณของเจ้าของค่ะ ราคาประมาณ 10,000++บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาดและวัสดุค่ะ 

การตกแต่งที่ไม่ใช่เฟอร์นิเจอร์  

การตกแต่งห้องไม่ได้มีแค่เรื่องของเฟอร์นิเจอร์เท่านั้นนะคะ บางคนที่ต้องการความสวยงาม และบรรยากาศภายในห้องมากขึ้น อาจจะมีการตกแต่งผนังซึ่งก็จะรวมอยู่ในงบประมาณที่เราต้องเตรียมไว้เผื่อด้วย อย่างเช่นการตกแต่งผนังส่วนใหญ่จะมีอยู่แค่ 3 แบบ นั่นก็คือ

ขอบคุณภาพประกอบจาก www.pinterest.com

  • Wallpaper

Wallpaper นั่นก็คือแผ่นกระดาษติดผนังที่มีลวดลาย ช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับห้องซึ่งในปัจจุบัน Wallpaper  นั้นมีหลายรูปแบบมากเลยค่ะ ทั้งเรื่องของวัสดุที่ไม่ได้ทำมาจากกระดาษเพียงอย่างเดียว ดีไซน์ที่แปลกใหม่ รวมถึงเทคโนโลยีที่ถูกนำเข้ามาผสมให้มีคุณสมบัติที่ดีมากยิ่งขึ้น เราไปรู้จักประเภทของ Wallpaper กันคร่าวๆสักหน่อยนะคะ

– Duplex Wallpaper :  กระดาษพิมพ์ลาย ไม่เคลือบผิวหรือเคลือบบางๆ ไม่เหมาะกับห้องที่มีความชื้นมากนัก

– Vinyl Wallpaper :  กระดาษเคลือบด้วยไวนิล ใช้การกดลาย มีทั้งผิวมันและผิวด้าน ดูแลรักษาง่าย สามารถใช้น้ำเช็ดได้

– Foam Wallcovering :  วัสดุหลังกระดาษเคลือบ PVC หรือโฟม อบนูนเพื่อให้มีลวดลาย มีความหนา

– Textile Wallcovering :  วัสดุหลังกระดาษปิดทับด้วยวัสดุทอ เช่น ไหม ให้ความรู้สึกหรูหรา

– Non-Woven Wallpaper : วัสดุเป็นเส้นใยเซลลูโลส น้ำหนักเบาและระบายความชื้นได้ดี

– Photo Wall : Wallpaper ที่เป็นรูปภาพติดผนัง

– Fiber Wall  : แผ่นยิปซัมรีดบางเคลือบเส้นใยไฟเบอร์ พิมพ์ลาย ใช้ในห้องน้ำได้

– Wood Backing Wallpaper :  วัสดุเป็นผิวไม้จริง ให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติ

– Fabric Backing Wallpaper : ใช้วัสดุทอเคลือบผิวด้วย PVC มีความทนทานสูง

ซึ่ง Wallpaper แต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติและความเหมาะสมแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ให้เหมาะกับแต่ละห้องค่ะ นอกจากตัววัสดุแล้ว ลายของ Wallpaper เองก็มีผลต่อความรู้สึกภายในห้องด้วยเช่นกันค่ะ อย่างลายที่มีขนาดใหญ่หรือลายสีเข้มก็ไม่เหมาะกับห้องขนาดเล็กเพราะจะทำให้ห้องดูเล็กแคบลงได้ ห้องที่มีพื้นที่จำกัดควรใช้ Wallpaper สีอ่อนและรายละเอียดเล็กๆมากกว่าค่ะ ข้อแนะนำอีกอย่างหนึ่งในการติดตั้ง Wallpaper ก็คือผนังที่ติดตั้งควรเป็นผนังเรียบเพราะถ้าไม่เรียบการติด Wallpaper อาจจะทำให้เห็นเป็นรอยคลื่นที่ชัดเจนมากขึ้นได้ค่ะ

ขอบคุณภาพประกอบจาก www.pinterest.com

ขั้นตอนการติดตั้งนั้นก็มีที่เราสามารถทำได้เองหรือจะจ้างช่างมาติดตั้งให้ก็ได้ค่ะ ซึ่งวิธีการติดตั้งนั้นไม่ยากเลยค่ะ เราลองไปดูกันเลยว่าจะต้องทำอะไรบ้าง

  1. โทรหา Supplier หรือไปเลือกซื้อด้วตนเองที่ร้านขายของตกแต่งบ้านทั่วไป
  2. เลือกลาย Wallpaper ที่ต้องการจะใช้ ซึ่งควรพิจารณาเรื่องขนาดของห้องและบรรยากาศที่ต้องการอย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นด้วยนะคะ
  3. วัดขนาดพื้นที่ที่ต้องจากจะติด
  4. ตีราคาเบื้องต้น และนัดติดตั้ง

ส่วนของขั้นตอนการติดตั้งนั้นก็คือ

  1. เตรียมผนัง หากผนังไม่เรียบให้ขัดแต่งด้วยกระดาษทราย ถ้าผนังร้าวหรือมีรอยให้ปะแต่งผนังให้เรียบร้อยด้วย ยาแนว ยิปซัมตามความเหมาะสม พร้อมทำความสะอาดผนัง ไม่ควรให้มีฝุ่นเกาะเยอะเพราะอาจจะเกิดปัญหาในการติดแผ่น Wallpaper ได้ค่ะ
  2. เตรียมอุปกรณ์ในการติดตั้งให้พร้อม เช่น กาว, ลูกกลิ้งทากาว, ลูกกลิ้งสำหรับติด Wallpaper และคัดเตอร์สำหรับตัดแผ่น Wallpaper
  3. ติดตั้งโดยการตัด Wallpaper ให้เผื่อขนาดด้านบนและล่างด้านละ 1-1.5 นิ้ว
  4. ทากาวลงบนแผ่น Wallpaper เว้นขอบข้างละ 1-1.5 นิ้ว
  5. เริ่มติดจากด้านบนในผนังฝั่งใดฝั่งหนึ่งก่อน ขึ้นตอนนี้ต้องระวังให้แผ่น Wallpaper ตั้งฉากกับพื้นห้องเผื่อไม่ให้ติดเอียงนั่นเองค่ะ เมื่อติดแล้วให้นำลูกกลิ้งรีดค่อยๆจากซ้ายไปขวา หรือขวาไปซ้ายทีละข้าง เพื่อไล่ฟองอากาศออกจนหมดแผ่น
  6. ส่วนขอบที่เว้นไว้ให้รีดกดจนชิดขอบผนังและใช้คัตเตอร์ตัดส่วนเกินออก เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อยค่ะ

ราคาของ Wallpaper  จะมีตั้งต่อตารางเมตรละ 100-1,000++ บาท ค่าติดตั้งจะอยู่ที่ม้วนละประมาณ 1,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวน วัสดุและลวดลายของ Wallpaper ด้วยค่ะ

ขอบคุณภาพประกอบจาก www.pinterest.com

  • ทาสีผนัง

สำหรับคนที่ไม่ต้องการติดตั้ง Wallpaper แต่อยากได้บรรยากาศภายในห้องให้แปลกตาสวยงามนั้นก็สามารถทำได้โดยการเปลี่ยนสีผนังนั่นเองค่ะ สำหรับสำทาผนังนั้นก็มีหลากหลายแบบ และหลายเกรดดังนี้

–   สีน้ำอะครีลิค หรือ สีน้ำพลาสติก : เป็นสีที่ใช้ทางผนังปูน คอนกรีต หรือฝ้าเพดาน มีทั้งสำหรับใช้ภายนอกและภายในบ้าน ซึ่งสีทาภายนอกจะมีความคงทนมากกว่าแต่ราคาก็จะสูงกว่าเช่นกันค่ะ

–  สีน้ำมัน : เป็นสีที่ใช้ทาเหล็กหรือไม้ มีความข้นเหนียวกว่าสีน้ำอะครีลิค หรือ สีน้ำพลาสติก

–  สีย้อมไม้ : สำหรับงานเฟอร์นิเจอร์เพื่อเปลี่ยนสีของวัสดุที่เป็นไม้ให้มีเนื้อสีที่เราต้องการค่ะ

–  สีน้ำเคลือบไม้ : ใช้ทาไม้แต่ยังคงให้เห็นลายไม้ธรรมชาติอยู่

–  สีกันสนิม : สำหรับงานเหล็ก ใช้ทารองพื้นก่อนทาสีจริง

–  สีรองพื้นผิวปูนใหม่/ปูนเดิม : ใช้ทาเพื่อเตรียมพื้นผิว ปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างของผนังทำให้การยึดเกาะสีจริงมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ซึ่งนอกจากการทาสีผนังธรรมดาแล้ว เรายังสามารถทำลวดลายกับผนังได้โดยการใช้ลูกกลิ้งพิมพ์ลาย หรือการใช้แบบพิมพ์เพื่อทำลายบนผนังได้ตามที่เราต้องการ(ดังรูปด้านล่าง)

ขอบคุณภาพประกอบจาก www.pinterest.com

นอกจากนั้นแล้วยังมีการ Paint ผนังให้เป็นลวดลายแบบที่เราต้องการ เหมาะสำหรับคนที่ชอบการวาดภาพ มีความคิดสร้างสรรค์และออกจะเป็นศิลปินหน่อยๆ ก็สามารถตกแต่งผนังเองได้เลย

ขอบคุณภาพประกอบจาก www.pinterest.com

ขั้นตอนการทาสีผนังนั้นแบ่งเป็น 3 ขึ้นตอนคือ

  1. การเตรียมผิวหนัง การเตรียมผิวจะต้องแห้งสะอาดโดยไม่ให้มีสิ่งสกปรก เศษซีเมนต์หรือคราบไขมันติดอยู่ ถ้ามีรอยแตกร้าวเกิน 1 มิลลิเมตรให้ใช้สีโป๊ว ขัดแต่งให้เรียบก่อนทาสี สำหรับผิวปูนเดิม ให้ขัดล้างสีเดิมออกแล้วทิ้งให้แห้ง ทาด้วยน้ำยากำจัดเชื้อราและตะไคร่น้ำทิ้งไว้ 1 คืนแล้วล้างออก ทิ้งไว้ให้แห้งสนิทจึงจะเริ่มทาได้ ถ้าเป็นผิวปูนใหม่ให้ทิ้งไว้ 1 เดือนหลังจากฉาบปูนค่อยทาสีค่ะ
  2. ทาสีรองพื้น ถ้าเป็นผิวปูนเก่า ให้ใช้น้ำยารองพื้นสูตรน้ำมัน ช่วยในเรื่องการยึดเกาะทา 1 ครั้ง ทิ้งไว้ 12 ชั่วโมงก่อนทาสีทับหน้า ถ้าเป็นปูนใหม่ ให้ทาสีรองพื้น 1 รอบทิ้งไว้ 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมงก่อนทาสีทับหน้าค่ะ
  3. ทาสีทับหน้า ควรทาอย่างน้อย 2 รอบ หรือจนกว่าจะกลบหมดโดยแต่ละรอบนั้นควรเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงเพื่อให้สีแห้งก่อน

ราคาของสีทาภายในนั้นจะยู่ที่ แกลลอนละประมาณ 1,000 บาท (ซึ่ง 1 แกลลอนนั้นสามารถทาได้ 25-30 ตารางเมตรต่อรอบ) โดยค่าแรงทาสี(ไม่รวมสี)จะอยู่ที่ 40-70 บาทค่ะ

ขอบคุณภาพประกอบจาก www.pinterest.com

  • การติดตั้งม่าน

นอกจากการติด Wallpaper และทาสีผนังห้องแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในการตกแต่งห้องเลยก็คือผ้าม่านค่ะ เพราะผ้าม่ายช่วยกรองแสงแดดและกั้นความเป็นส่วนตัวจากภายนอกได้ ม่านนั้นมีทั้งทำจากวัสดุผ้าและไม่ได้ทำจากวัสดุผ้า เราจะพาไปดูม่านที่ทำจากวัสดุผ้ากันก่อนนะคะ

–  ผ้าม่าน Dimout : ผ้าม่านธรรมดาจากใยผ้าธรรมชาติ แสงสามารถทะลุผ่านได้บ้าง ส่วนใหญ่เราจะเห็นผ้าม่านแบบนี้กันเยอะค่ะ

–  ผ้าม่านกันแสง : เนื้อผ้าส่วนใหญ่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ ช่วยกันแสงได้มากถึง 80-95% ส่วนใหญ่จะมีแต่สีพิ้นไม่ค่อยมีลวดลายเท่าผ้า Dimout ค่ะ

–  ผ้าม่านกันแสง (Blackout) : มีทั้งผ้าใยสังเคราะห์ผสมและ PVC สามารถกันแสงได้ 100 % ผ้าชนิดนี้ใช้เป็นผ้าซับหลังเท่านั้นค่ะ

–  ผ้าม่านโปร่ง (Sheer Fabric) : เนื้อผ้าใยสังเคราะห์ เนื้อบางช่วยพรางสายตาแต่ก็สามารถเห็นวิวด้านนอกได้ ช่วยให้แสงธรรมชาติดูนุ่มนวลสบายตามากขึ้น

ขอบคุณภาพประกอบจาก www.pinterest.com

โดยแบ่งลักษณะม่านออกเป็น 4 แบบ ดังนี้

– ผ้าม่านจีบ : ลักษณะด้านบนเป็นจีบเล็กๆ ใช้การเลื่อนเปิดด้านซ้าย-ขวา ม่านแบบจีบเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไป เรียบง่ายและสามารถเข้ากับม่านได้ทุกสี

– ผ้าม่านพับ : ก็เป็นอีกแบบที่ได้รับความนิยมค่ะ  ลักษณะการเปิดคือดึงสายด้านข้างเพื่อให้ม่านเลื่อนขึ้นไปด้านบน มีความทันสมัย

– ผ้าม่านตาไก่ : เป็นม่านที่ดูเรียบหรูการเปิดเลื่อนซ้าย-ขวา เหมาะกับห้องที่ดูโมเดิร์น

– ผ้าม่านลอน : เหมาะกับพื้นที่ห้องที่จำกัดเนื่องจากรอยพับเล็ก ลักษณะคล้ายกับผ้าม่านจีบ การเปิดเป็นการดึงสายด้านข้างเพื่อให้เปิดซ้าย-ขวา

ขอบคุณภาพประกอบจาก www.pinterest.com

และนอกจากม่านที่ใช้วัสดุเป็นผ้าแล้วยังมีม่านที่ทำจากวัสดุอื่นๆ ดังนี้ค่ะ

– มู่ลี่ : ช่วยปรับแสงโดยการปรับขึ้น-ลง ทำจากวัสดุหลากหลายไม่ว่าจะเป็น มู่ลี่พลาสติก, มู่ลี่อลูมิเนียม, มู่ลี่ไม้ เป็นต้น ตัวมู่ลี่เองก็มีหลายขนาด สำหรับคอนโดที่มีพื้นที่จำกัดควรใช้มู่ลี่ขนาด 25 มิลลิเมตร ช่วยประหยัดพื้นที่ได้ หรือถ้าต้องการความเป็นโมเดิร์นแนะนำให้ใช้ขนาดที่ใหญ่ขึ้นมา 35-55 มิลลิเมตร

– ม่านปรับแสง : ค่อนข้างเป็นที่นิยม รูปแบบจะคล้ายกับมู่ลี่ในแนวตั้ง ช่วยกรองแสงที่เข้ามาภายในห้อง มักใช้กับพื้นที่ช่องแสงที่มีขนาดใหญ่กว่ามู่ลี่ อย่างเช่น ประตูระเบียง เป็นต้น

– ม่านม้วน : มีลักษณะคล้ายกับม่านพับ แต่จะเป็นลักษณะการม้วนขึ้นไปด้านบน มีทั้งลักษณะเป็นผ้าผืนใหญ่ ม่านแบบนี้ช่วยประหยัดพื้นที่ และไม่เก็บฝุ่นด้วยค่ะ ช่วยกรองแสงและบังสายตา ส่วนใหญ่จะเห็นตามร้านอาหารเนื่องจากเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่และต้องการความโมเดิร์นค่ะ

ซึ่งสำหรับคนที่ต้องการติดตั้งผ้าม่านแบบง่ายๆ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและต้องการความรวดเร็ว เราขอแนะนำการติดตั้งรางม่านสำเร็จรูปและม่านตาไก่ค่ะ ซึ่งมีอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมดังนี้ค่ะ

  1. บันได
  2. เครื่องมือเจาะ เช่น สว่าน, ดอกสว่าน, พุก, ไขควง, ค้อนตอกพุก, ตลับเมตร, ดินสอ, ถุงมือ และผ้ารองหรือหนังสือพิมพ์รองกันฝุ่น เป็นต้น
  3. ชุดราวม่าน เช่น ราวม่าน, ตะขอแขวน,ผ้าม่าน
  4. อุปกรณ์ทำความสะอาด เช่น ไม้กวาด, เครื่องดูดฝุ่น เป็นต้น

ขั้นตอนการติดตั้ง

  1. วัดความสูงและความกว้างของประตูหน้าต่างที่เราจะติดตั้งม่าน เพื่อทำการขีดระยะที่เราจะติดตั้งราวม่าน ซึ่งควรจะเจาะสูงกว่าขอบ 15 เซนติเมตร รวมถึงด้านข้างด้านละ 15 เซนติเมตรเช่นกัน แต่ถ้าสำหรับคนที่ต้องการผ้าม่านลอยจากพื้นควรเผื่อสูงขึ้นอีกประมาณ 2-3 เซนติเมตรค่ะ
  2. เจาะรูเพื่อติดขายึดราวม่าน ซึ่งตอนเจาะจะทำให้เกิดฝุ่น แนะนำให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดไปด้วยค่ะ เสร็จแล้วทำการตอกพุกลงไปพร้อมกับแขวนราวม่าน ขันสกรูให้แน่น
  3. นำม่านใส่ในราวโดยการพับจีบให้เรียบร้อย
  4. นำราวม่านไปวางยังขายึดราวม่าน เสร็จแล้วยึดราวม่านและขายึดให้แน่น แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ

ติดต่อร้านค้า, ผู้รับเหมาติดตั้ง/Supplier

ขั้นตอนสุดท้ายสำหรับคนที่ไม่สะดวกในการติดตกแต่งและติดตั้งด้วยตนเองเราสามารถจ้างช่างมาติดตั้งให้ได้ ซึ่งโดยปกติแล้วร้านค้าที่เราซื้อเฟอร์นิเจอร์หรืออุปกรณ์ตกแต่งจะมีบริการติดตั้งให้อยู่แล้วค่ะ บางที่อาจจะติดตั้งให้ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายด้วยค่ะ

ลองทำ BOQ อย่างง่ายๆ 

เมื่อเราได้แบบ เฟอร์นิเจอร์ และราคาต่างๆจากผู้รับเหมาเรียบร้อยแล้ว ให้เราลองทำ BOQ อย่างง่ายด้วยตัวเอง โดย BOQ หรือ (Bill of Quantities)  คือการที่เราลอง List ว่าในการตกแต่งห้องครั้งนี้จะมีรายการอะไร จำนวนเท่าไหร่บ้าง รวมๆแล้วคาดว่าน่าจะใช้งบประมาณเท่าไหร่ ประโยชน์ของการทำ BOQ คือเราจะรู้ล่วงหน้าได้คร่าวๆว่าเราจะใช้งบเท่าไหร่ในการแต่งห้อง ช่วยป้องกันการซื้อของเพลินจนบานปลาย และสามารถวางแผนได้ว่า รายการไหนจะซื้อก่อนหลัง รายการไหนควรตัดออกด้วยค่ะ

ขั้นตอนในการทำ BOQ คือให้เราดูว่าเราซื้อห้องแบบไหน และ โครงการให้เฟอร์นิเจอร์อะไรเรามาบ้าง จากนั้นให้ List รายการเฟอร์นิเจอร์และรายการอื่นๆที่ต้องตกแต่งเพิ่มเติม ใส่ราคาและจำนวนลงไปตามตารางที่เราให้ไว้ และลองรวมราคาดูว่าใช้งบประมาณในการแต่งห้องไปเท่าไหร่ค่ะ ซึ่งถ้าเราเลือกเฟอร์นิเจอร์สมราคาไม่แพงจนเกินไปก็จะได้ราคาที่ไม่บานปลาย หากรวมราคามาแล้วเกินงบ เราก็สามารถปรับราคาของบางรายการได้ล่วงหน้าก่อนที่เราจะไปซื้อค่ะ

เป็นยังไงกันบ้างคะ ขั้นตอนในการแต่งคอนโดด้วยตัวเอง ไม่อยากเกินไปใช่มั้ยคะ อย่างไรก็ตามอย่างที่โบราณบอกไว้ว่า “ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่” การตกแต่งห้องของเราก็เช่นกันค่ะ ต้องขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตและความชื่นชอบของตัวเอง ซึ่งจะทำให้เราอยู่ได้อย่างสบายใจและมีความสุข ที่สำคัญต้องอยู่ในงบประมาณด้วยนะ แล้วคุณผู้อ่านล่ะค่ะ ใครมีไอเดียอะไรในการแต่งห้อง มาพูดคุยแชร์กันได้นะคะ ^^

————————————————————————————————————————

ถ้าเห็นว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ ช่วยกด LIKE ให้หน่อยนะคะ จะได้มีกำลังใจทำรีวิวถัดๆไปค่ะ

บทความนี้ผู้เขียนพยายามศึกษาและรวบรวมข้อมูลที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่กำลังจะตกแต่งคอนโด หากมีตรงส่วนไหนที่ขาดตกบกพร่องหรือผิดพลาดไป ช่วยกันแนะนำได้นะคะ ^^