เครื่องซักผ้าฝาบน ฝาหน้า เลือกแบบไหนดี?

สำหรับใครที่กำลังมองหาเครื่องซักผ้าสักเครื่อง และยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกเครื่องซักผ้าแบบไหน วันนี้เราจะพามาหาตำตอบกันค่ะ กับบทความ เครื่องซักผ้าฝาบน ฝาหน้า เลือกแบบไหนดี ? ที่ตอบโจทย์มากที่สุด รวมไปถึง ข้อดี – ข้อจำกัด ของเครื่องซักผ้าแต่ละแบบ พร้อมตารางเปรียบเทียบเครื่องซักผ้ารุ่นต่างๆ จากแบรนด์ยอดนิยมค่ะ

 

เครื่องซักผ้ามีกี่แบบ ?

ปัจจุบันเครื่องซักผ้าที่เห็นในท้องตลาดมีอยู่หลากหลายแบบ ซึ่งแต่ละประเภทเองจะมีคุณสมบัติและวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ เครื่องซักผ้าฝาบน และฝาหน้า ดังนี้

เครื่องซักผ้าแบบฝาบน (Top-Load Washing Machine) 

ภาพจาก Samsung Catalogue : www.samsung.com

เครื่องซักผ้าแบบฝาบน เป็นเครื่องซักผ้าแบบแรกๆ ที่ถูกผลิตมาให้ใช้งาน ใช้งานโดยการใส่ผ้าจากด้านบน ตัวถังเป็นแบบตั้งตรง แบ่งออกได้ 2 รูปแบบ คือ

  • เครื่องซักผ้าแบบฝาบน ถังคู่ 
  • เครื่องซักผ้าแบบฝาบน ถังเดี่ยว

เครื่องซักผ้าแบบฝาบน ถังคู่ – เป็นถังซัก และถังปั่นแห้ง แบบกึ่งอัตโนมัติ ที่เวลาใช้งานจะต้องเปิด-ปิดวาล์วน้ำ เพื่อถ่ายเทน้ำเข้าออกเอง  เมื่อซักเสร็จต้องยกผ้ามาใส่ถังซัก มาใส่ถังปั่นแห้งเอง

ข้อดี
+ สามารถซักผ้า ปั่นผ้าได้พร้อมกัน เพราะมี 2 ถังแยก
+ ทำงานได้เร็ว
+ ราคาเครื่องที่จับต้องง่ายสุด

ข้อจำกัด
– ต้องคอยเปิด-ปิดวาล์วน้ำ เพื่อถ่ายเทน้ำเข้าออก
– ต้องนำผ้าจากถังซักมาใส่ถังปั่นหมาดเอง
– ผ้าพันกันได้ง่าย และยับกว่า
– มักส่งเสียงรบกวนและมีแรงสั่นในการซัก

เครื่องซักผ้าแบบฝาบน ถังเดี่ยว – เป็นเครื่องซักผ้าอัตโนมัติ ซักและปั่นหมาดในถังเดียว ตัวถังเป็นรูปทรงกระบอก หมุนแบบสลับทิศทาง ทำให้ขจัดสิ่งสกปรกต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่ควรแยกประเภทผ้าให้ชัดเจน ผ้าอาจจะพันจนเสียหาย หรือเสียรูปทรงได้

ข้อดี
+ ทำงานได้เร็วกว่าแบบฝาหน้า
+ ปั่นหมาดได้แห้งเร็วกว่า
+ ราคาเครื่องที่จับต้องง่าย

ข้อจำกัด
– ทำให้ผ้าพันกันได้ง่าย ผ้ายับกว่า
– ต้องใช้น้ำในปริมาณมาก
– มักส่งเสียงรบกวนและมีแรงสั่นในการซัก


เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้า (Front-Load Washing Machine) 

เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้า เป็นที่นิยมสูงในปัจจุบัน ตัวถังเปลี่ยนฝาจากด้านบนมาอยู่ด้านหน้าแทน การหมุนของตัวถังจะใช้ลักษณะหมุนแบบวงล้อแนวนอน สลับกันไปมา ผ้าในถังจะยกขึ้นบนแล้วทิ้งตัวลงด้านล่าง ช่วยถนอมผ้าได้ดี ลดปัญหาผ้าพันกันเป็นก้อน ช่วยให้ผ้ายับน้อยลง และสามารถซักได้ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ

  • เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าทั่วไป
  • เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าซักผ้า-อบผ้าในตัว

เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าทั่วไป – ปัจจุบันมีให้เห็นหลายขนาด และมีฟังก์ชันกันใช้งานที่หลากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นแบบฝาเดี่ยว แต่ปัจจุบันก็มีแบบฝาคู่ออกมาให้เห็นอยู่บ้าง เพื่อแยกการใช้งาน สามารถซักผ้าคนละชนิดอย่างขาว ผ้าสีได้พร้อมๆ กันอีกด้วยค่ะ

ข้อดี
+ มีประสิทธิภาพในการซักผ้าดีกว่า สามารถซักน้ำร้อน-เย็น หรือแบบไอน้ำได้
+ ช่วยถนอมผ้า ไม่ทำให้ผ้าเสียหาย ลดการยับ และผ้าไม่พันกัน
+ ประหยัดน้ำมากกว่า
+ มีโปรแกรมการซักที่เหมาะกับเนื้อผ้าที่หลากหลาย
+ เครื่องทำงานได้เงียบกว่า

ข้อจำกัด
– ราคาค่อนข้างสูง
– ใช้เวลาในการซักผ้าที่นานกว่า

เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าซักผ้า-อบผ้าในตัว – หน้าตาเหมือนเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าแบบปกติเลย แต่จะสามารถซัก และอบผ้าแห้งได้ในเครื่องเดียว ช่วยประหยัดเวลา สามารถนำซักแล้วรอสวมใส่ได้เลย นอกจากนั้นยังประหยัดไฟกว่าเครื่องอบผ้าแห้งแบบเก่า และสามารถลดการเกิดเชื้อราหรือเชื้อโรค แบคทีเรียต่างๆ ได้มากกว่าการตากผ้าแบบปกติ

ข้อดี
+ ประหยัดพื้นที่ภายในบ้าน เป็นเครื่องซักผ้า และอบผ้ารวมกันเป็นเครื่องเดียว
+ ประหยัดเวลา ใช้เวลาไม่นานตั้งแต่ซักจนถึงผ้าแห้งพร้อมใส่
+ ผ้าแห้งโดยที่ไม่ต้องกังวลสภาพอากาศ
+ ถนอมผ้า ยับน้อย ทำให้รีดผ้าได้ง่ายกว่าเดิม
+ การอบผ้าช่วยลดการเกิดเชื้อราหรือเชื้อโรค แบคทีเรียต่าง ๆ ได้ดี

ข้อจำกัด
– ราคาค่อนข้างสูง
– กินไฟกว่า เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าทั่วไป


ตารางเปรียบเทียบการทำงานของเครื่องซักผ้า ฝาบน vs ฝาหน้า

  • ประหยัดน้ำ : เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าประหยัดน้ำได้มากกว่าแบบฝาบน ที่ตัวถังเป็นแบบแนวตั้ง และต้องเติมน้ำให้ต้องท่วมผ้าที่ใส่ลงไป จึงใช้น้ำในปริมาณที่มากกว่า
  • ประหยัดไฟ เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าประหยัดน้ำได้มากกว่าแบบฝาบน ที่ใช้น้ำในการซักในปริมาณมาก ทำให้ต้องใช้แรงในการหมุนถังซักที่มาก ทำให้กินไฟมากกว่า แต่ในปัจจุบันเครื่องซักผ้าแบบฝาบนก็มีรุ่นที่ใช้ระบบ Inverter ซึ่งทำให้ประหยัดไฟได้มากขึ้น
  • ประหยัดเวลา : เครื่องซักผ้าแบบฝาบนซักได้เร็วกว่าแบบฝาหน้า แต่ปัจจุบันก็มีแบบฝาหน้าหลายรุ่นที่มีโหมดซักด่วน ทำให้ประหยัดเวลามากยิ่งขึ้น
  • ความสามารถในการซัก เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าทำได้ดีกว่าเพราะสามารถซักผ้าได้ทั้งแบบน้ำร้อนและน้ำเย็น จึงทำให้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดี
  • ความสามารถในการปั่นหมาด :  เครื่องซักผ้าแบบฝาบนทำได้ดีกว่า เมื่อปั่นผ้าออกมาแล้วผ้าจะแห้งกว่า ในขณะที่แบบฝาหน้า ผ้าที่ปั่นออกมาจะมีความชื้นมากกว่า
  • การถนอมเนื้อผ้า ผ้ายับน้อย ไม่พันกัน เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าทำได้ดีกว่า เนื่องจากการหมุนของตัวถังแบบวงล้อแนวนอน สลับกันไปมา ผ้าในถังจะยกขึ้นบนแล้วทิ้งตัวลงด้านล่าง ผ้าพันกันน้อย และผ้ายับน้อยกว่า
  • เสียง เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าทำงานได้เงียบกว่าแบบฝาบน ที่ใช้วิธีการปั่นผ้าจากด้านล่าง ยิ่งแบบถังคู่จะมีเสียงรบกวนค่อนข้างชัดเจน
  • ราคา : เครื่องซักผ้าแบบฝาบนมีราคาที่จับต้องได้ง่ายกว่า โดยเครื่องซักผ้าฝาบนแบบถังเดี่ยว ในท้องตลาดจะมีราคาเริ่มต้นประมาณ 5,000 บาทค่ะ


ควรเลือกถังซักขนาดเท่าไร ?

นอกจากเครื่องซักผ้าแต่ละแบบจะมีคุณสมบัติในการซักที่แตกต่างกันแล้ว ความจุของตัวถังซัก ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึง เพราะมีหลายขนาด และส่งผลด้านราคาของเครื่องด้วย โดยปกติแล้วจะมีหน่วยวัดความจุถังซักเป็นหน่วยกิโลกรัม ซึ่งเป็นการวัดน้ำหนักของผ้าตอนแห้งนะคะ

การตัดสินใจเลือกเครื่องซักผ้าขนาดเท่าไรนั้น ต้องคำนึงว่าซักผ้าบ่อยแค่ไหน กี่ครั้งต่อสัปดาห์ และซักจำนวนเท่าไร ? ซึ่งเมื่อเทียบจำนวนผ้ากับความจุของถังซักผ้าเป็นกิโลกรัมแล้ว จะมีการกำหนดมาตรฐานสากลกันเอาไว้ตามตารางนี้เลยค่ะ

จากตารางนี้ เราสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการคำนวณ เพื่อเลือกความจุของถังซักให้สอดคล้องกับปริมาณผ้าได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น เช่น สามี-ภรรยาอยู่ด้วยกัน 2 คน ซักผ้าสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ใช้เสื้อผ้าคนละประมาณ 4-5 ชิ้นต่อวัน = 2 คน x 7 วัน x 4-5 ชิ้น = อยู่ในช่วง 50-65 ชิ้น = ควรใช้เครื่องซักผ้าขนาด 9-11 กิโลกรัม เป็นต้น


เลือกเครื่องซักผ้าให้เหมาะสมกับพื้นในบ้าน

อีกหนึ่งปัจจัยในการเลือกซื้อเครื่องซักผ้า คือต้องคำนึงถึงตำแหน่งการวางเครื่องซักผ้าที่เรามีอยู่ ว่ามีขนาดเท่าไหร่ ? เป็นพื้นที่แบบไหน ?

คอนโดในปัจจุบันมักจะออกแบบตำแหน่งสำหรับวางเครื่องซักผ้าพร้อมวางงานระบบมาให้เรียบร้อย เพื่อความสะดวกสบายของผู้อยู่อาศัย หากมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ก็จะสามารถเลือกได้เฉพาะบางขนาดเท่านั้น  แต่หากมีพื้นที่กว้าง ก็จะสามารถเลือกประเภทของเครื่องซักผ้าได้หลากหลาย สามารถเลือกได้ตามสะดวกเลยค่ะ

บ้านแนวราบ ค่อนข้างมีพื้นที่ จึงทำให้สามารถเลือกแบบได้ตามใจชอบ แต่ควรคำนึงถึงตำแหน่งที่ติดตั้งเครื่องซักผ้าเป็นหลัก  ว่าเป็นพื้นที่แบบไหน เป็นพื้นที่ภายในบ้าน หรือลานซักล้าง ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีที่แตกต่างกันไปค่ะ

ตำแหน่งในการติดตั้ง

Image 1/2
ติดตั้งเครื่องซักผ้าที่ระเบียง

ติดตั้งเครื่องซักผ้าที่ระเบียง

ติดตั้งเครื่องซักผ้าที่ระเบียง หรือลานซักล้าง : สำหรับการติดตั้งเครื่องซักผ้าที่ระเบียงนั้นพบเห็นได้บ่อยๆ ในคอนโดนะคะ ตรงนี้ต้องดูด้วยว่าระเบียงขนาดเท่าไหร่ มีคอมเพรสเซอร์แอร์ด้านบนแขวนอยู่สูงไหม ถ้าแขวนอยู่ค่อนข้างต่ำอาจจะใช้ได้แค่แบบฝาหน้าเท่านั้นค่ะ ส่วนบ้านแนวราบส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ลานซักล้างหลังบ้านมาให้ ถ้าเราตั้งใจจะวางเครื่องซักผ้าตรงนี้แล้ว ควรเป็นพื้นที่มีหลังคาคลุมเพื่อกันแดด กันฝนด้วยนะ

ข้อดี : สามารถใช้งานได้ง่าย หากน้ำรั่วซึมจะไม่มีผลกระทบกับพื้นที่อื่นๆในห้อง

ข้อเสีย : มีโอกาสที่ตัวเครื่องจะโดนแดดส่องถึง อาจทำให้ประสิทธิภาพ และอายุการใช้งานลดลง ซึ่งตรงนี้เราสามารถหาซื้อผ้าใบมาคลุมตัวเครื่องซึ่งจะสามารถป้องกันแดด ฝนได้ระดับหนึ่งค่ะ

ติดตั้งเครื่องซักผ้าใต้เคาน์เตอร์ : จุดนี้จะสามารถวางได้เฉพาะเครื่องซักแบบฝาหน้าเท่านั้น โดยเฉพาะคอนโดหลายโครงการเองก็ออกแบบให้ติดตั้งเครื่องซักผ้าใต้เคาน์เตอร์ที่ Built-in มาให้ ซึ่งเราต้องคำนึงว่ามีพื้นที่กว้าง – ลึกเท่าไร เพื่อให้สอดคล้องกับขนาดเครื่องซักผ้าที่ต้องการ

ข้อดี : ใช้พื้นที่ได้เต็มประสิทธิภาพ เป็นระเบียบเรียบร้อยดี และหากติดตั้งใต้เคาน์เตอร์ในคอนโดแล้ว จะทำให้สามารถใช้พื้นที่ระเบียงได้เต็มที่ ตากเสื้อผ้าได้มากยิ่งขึ้น

ข้อเสีย : หากมีปัญหาน้ำรั่วซึม อาจจะทำให้เป็นปัญหากับพื้นที่ภายในได้

ติดตั้งเครื่องซักผ้าในห้องซักรีด : การติดตั้งเครื่องซักผ้าไว้ในห้องที่แยกฟังก์ชันชัดเจนนั้น จะทำให้สามารถใช้งานได้สะดวก สามารถซัก อบ รีด ได้ในบริเวณเดียวกัน และยังช่วยให้ที่อยู่อาศัยดูเรียบร้อยอีกด้วย

ข้อดี : แยกพื้นที่เป็นสัดส่วนชัดเจน ใช้งานได้สะดวก เสียงรบกวนจากการใช้งานเครื่องซักผ้าไม่ค่อยกระทบพื้นที่ส่วนอื่นๆ และหากน้ำรั่วซึมก็จะไม่ส่งผลกระทบกับพื้นที่ในบ้านส่วนอื่นด้วยเช่นกัน

ข้อเสีย : เป็นพื้นที่ใช้สอยเพิ่มเติม อาจจะไม่เหมาะกับที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่จำกัด


เปรียบเทียบ เครื่องซักผ้าฝาหน้า แบรนด์ยอดนิยม

เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้า เป็นเครื่องซักผ้าที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นเครื่องซักผ้าที่มีประสิทธิภาพในการซักสูง มีโปรแกรมการซักที่หลากหลาย อีกทั้งยังเป็นรูปแบบที่ประหยัดน้ำ ประหยัดไฟมากที่สุด เราจึงได้นำเครื่องซักผ้าฝาหน้ารุ่นต่างๆ จากแบรนด์ยอดนิยมมาจัดกลุ่มเพื่อเทียบให้เห็นความแตกต่าง และช่วงราคา เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นค่ะ

คุณสมบัติสำคัญที่น่าสนใจ มีดังต่อไปนี้ค่ะ

  • เทคโนโลยีการซักอัตโนมัติ : นอกจากการซักผ้าแบบปกติทั่วไปแล้ว ปัจจุบันเทคโนโลยีการซักผ้าได้มีพัฒนาขึ้นมาหลากหลายรูปแบบ ตอบโจทย์การซักผ้าที่มีประสิทธิภาพ และสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยหลักการคือ การซักผ้าอัจฉริยะที่ตัวเครื่องสามารถ ตรวจสอบชนิดของผ้า หรือมีการชั่งน้ำหนักของผ้าในถังอัตโนมัติ เพื่อเลือกรูปแบบการซัก การหมุนของถังซักให้เหมาะสมกับผ้ามากที่สุด
  • ระบบไอน้ำขจัดเชื้อโรค : หรือ Steam ซึ่งปัจจุบันเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าส่วนใหญ่จะสามารถซักผ้าโดยใช้ระบบนี้ได้ โดยระบบไอน้ำสามารถเข้าถึงเนื้อผ้าได้ดี สามารถขจัดคราบสกปรกฝังลึกได้มากกว่าการซักทั่วไป อีกทั้งมีประสิทธิภาพสูงในการขจัดเชื้อโรค และสารก่อภูมิแพ้ สำหรับเครื่องซักผ้าบางรุ่นอาจจะไม่มีระบบซักผ้าด้วยไอน้ำ แต่จะมีระบบการซักด้วยน้ำร้อนเพิ่มเติมมาให้นะคะ
  • โปรแกรมล้างถังซัก : โปรแกรมทำความสะอาดถังซักด้านในของเครื่องซักผ้า ช่วยป้องกันแบคทีเรีย รักษาประสิทธิภาพของเครื่องซักผ้า กำจัดแบคทีเรีย และยังสามารถขจัดสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ออกจากขอบยางที่ฝาเปิดได้อีกด้วย
  • ระบบปล่อยน้ำยาซักอัตโนมัติ : เรียกว่า Auto Dosing System หรือบางแบรนด์เรียกว่า Auto Dispenser ระบบการจ่ายผงซักฟอก และน้ำยาปรับผ้านุ่มตามปริมาณที่เหมาะสมอัตโนมัติ ลดปัญหาการเติมผงซักฟอก และน้ำยาปรับผ้านุ่มในปริมาณที่ไม่สอดคล้องกับปริมาณผ้าที่ซัก และไม่ต้องเติมเองทุกครั้งที่ซักผ้า
  • เทคโนโลยีทำงานเงียบ : มีอยู่หลายรูปแบบเช่นกัน ทั้งมอเตอร์แบบ Direct Drive ที่ต่อตรงกับตัวถังเลยโดยไม่ต้องผ่านสายพานทำให้การทำงานเงียบ หรือระบบ Inverter ที่นอกจากจะช่วยให้ประหยัดพลังงานแล้ว ยังช่วยให้เสียงรบกวนลดลงได้ และนอกจากระบบที่กล่าวมาแล้ว ยังมีเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนามาช่วยลดเสียงรบกวนรูปแบบอื่น ๆ อีกด้วยค่ะ
  • ลดคราบผงซักฟอก : ผงซักฟอกจะถูกเปลี่ยนให้เป็นโฟมก่อนการซัก เพื่อลดปัญหาเรื่องผงซักฟอกไม่ละลาย ติดเป็นคราบบนเสื้อผ้า และเพิ่มประสิทธิภาพการซักได้ดี ผ้าสะอาดมากยิ่งขึ้น  นอกจากนั้นยังมีระบบผสมน้ำยาซักผ้า หรือน้ำยาปรับผ้านุ่มให้เข้ากันกับน้ำก่อนจ่ายลงถังซัก เพื่อให้เสื้อผ้าสะอาด และไม่เกิดคราบผงซักฟอกติดบนเสื้อผ้าอีกด้วย
  • ลดรอยยับ : โปรแกรมลดรอยยับทั้งจากการซักผ้าด้วยระบบไอน้ำที่นอกจากจะช่วยขจัดเชื้อโรคแล้ว ยังช่วยลดรอยยับได้อีกด้วย นอกจากนั้นยังมีระบบปั่นผ้ารอบน้อย ที่ใช้ความเปียกที่ยังคงค้างอยู่ในผ้า ถ่วงน้ำหนักดึงผ้าให้ตึง ทำให้ผ้ายับน้อยลงมาก
  • ควบคุมผ่าน Smart Phone : เชื่อมต่อWifi ผ่าน Application ใน Smart Phone ช่วยให้สามารถตั้งค่าการซักต่างๆ ได้ง่าย ละเอียด และสะดวกยิ่งขึ้น
  • ประกันมอเตอร์ Motor Warranty : การประกันมอเตอร์เครื่องซักผ้าส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 10 ปีขึ้นไป โดยแบรนด์ที่มีการรับประกันนานที่สุดอยู่ที่ 12 ปีค่ะ นอกจากนั้นในบางแบรนด์ยังมีประกันอะไหล่เพิ่มมาให้ด้วยค่ะ


วิธีดูแลเครื่องซักผ้า ให้ใช้งานได้นานๆ

เมื่อเราได้เครื่องซักผ้าที่หมาะกับตนเองมาแล้ว ย่อมต้องการใช้งานซักผ้าไปได้นานๆ คุ้มค่ากับราคาที่ได้จ่ายไปอยู่แล้ว ฉะนั้นหัวข้อสุดท้ายนี้เราจึงรวบรวม วิธีดูแลเครื่องซักผ้า ให้ใช้งานได้นานยิ่งขึ้น ซึ่งหลายประเด็นเป็นวิธีการใช้งานเบื้องต้นง่ายๆ ที่หากหมั่นทำเป็นประจำ จะช่วยยืดอายุเครื่องซักผ้าได้นานยิ่งขึ้นค่ะ

  1. เลือกความจุเครื่องซักผ้าให้เหมาะสม : ควรเลือกขนาดเครื่องซักผ้าให้เหมาะสมกับการใช้งาน ตามตารางแนะนำที่เราได้สรุปไว้ให้ด้านบน และที่สำคัญไม่ควรใส่ผ้าแน่นเครื่องซักผ้าเกินไป ไม่อย่างนั้นเครื่องซักผ้าจะทำงานหนัก และยังทำให้ผ้าไม่สะอาด ประสิทธิภาพการทำงานลดลงอีกด้วยค่ะ
  2. เลือกตำแหน่งการวางให้เหมาะสม : หลีกเลี่ยงตำแหน่งที่โดนแดดโดนฝน อีกทั้งไม่ควรวางชิดติดผนังจนเกินไป ควรวางให้ห่างออกจากผนังประมาณ 10 ม. เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเครื่องกระทบผนัง และระบายอากาศได้ดีค่ะ
  3. ใช้ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม ในปริมาณที่เหมาะสม : เป็นเรื่องเล็กๆ ที่ช่วยในการยืดอายุการใช้งานเครื่องซักผ้าได้ เพราะหากใส่น้ำยามากเกินไป จะอาจส่งผลทำให้เกิดตะกอนสะสมอยู่ที่บริเวณก้นถังซักผ้า ซึ่งหากมีตะกอนมากขึ้นจะทำให้เกิดการอุดตันของท่อระบายน้ำได้ ส่งผลทำให้เครื่องซักผ้ามีปัญหาได้ อีกทั้งยังทำให้ซักผ้าไม่สะอาด และเกิดคราบสิ่งสกปรก หรือคราบผงซักฟอกตกค้างบนผ้าได้
  4. ตรวจเช็กเหรียญ หรือเศษขยะในเสื้อผ้าก่อนซัก : ซึ่งสิ่งของเล็กๆ เหล่านี้มักเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่อระบายน้ำ หรือกลไกของเครื่องซักผ้า เกิดการอุดตัน ทำให้เกิดความเสียหาย หรือพังได้
  5. ควรเปิดฝาระบายอากาศหลังการใช้งาน : อีกทั้งเมื่อซักเสร็จก็ไม่ควรทิ้งผ้าเอาไว้ในเครื่องนานๆเช่นกัน เพื่อลดเชื้อรา และกลิ่นอับชื้นต่างๆ ทั้งยังลดเกิดความเสียหายภายในตัวเครื่องซักผ้าได้
  6. ทำความสะอาดเครื่องซักผ้า เดือนละ 1 ครั้ง : จะช่วยเพิ่มความสะอาดให้กับเสื้อผ้าของเราได้มากขึ้น เพราะตัวถังนั้นรองรับสิ่งสกปรกที่มาจากเสื้อผ้าต่างๆ เป็นเวลานาน ซึ่งนอกจากจะสร้างสุขอนามัยที่ไม่ดีแล้ว ยังทำให้เกิดการอุดตันภายในตัวเครื่องด้วย ซึ่งวิธีในการล้างเครื่องซักผ้าสรุปได้ดังนี้
     – ทำความสะอาดฝาเครื่องซักผ้า ที่ฝาด้านในของตัวเครื่องซักผ้า บริเวณยางมักจะมีคราบสกปรกสะสมอยู่ ดังนั้นควรจะทำความสะอาดบริเวณนี้ ยิ่งถ้าหลังซักผ้าเสร็จแล้วไม่ค่อยเปิดฝาเพื่อระบายอากาศ อาจส่งผลให้ฝาของเครื่องซักผ้าเกิดเชื้อรา หรือแบคทีเรียขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรเช็ดทำความสะอาด โดยใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำ เช็ดบริเวณด้านในและหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาที่มีฤทธิ์เป็นกรด เพราะอาจจะกัดกร่อนซีลยางของเครื่องซักผ้าได้
     – ทำความสะอาดตัวถัง โดยเครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ จะสามารถใช้โหมดการล้างถังซักผ้าได้ แต่ถ้าหากใช้เป็นเครื่องซักผ้ารุ่นเก่าที่ไม่มีโหมดนี้ จะต้องใช้ผงทำความสะอาดถัง แล้วเลือกโปรแกรมซัก เพื่อทำความสะอาดถังซักผ้าค่ะ
     – ทำความสะอาดตัวกรอง จะเป็นส่วนที่อยู่ติดกับถังซักผ้า เวลาเครื่องซักผ้าเสร็จแล้ว พวกเศษผ้า หรือสิ่งสกปรกจะเข้าไปอุดตันตัวกรองปั๊ม หากไม่ทำความสะอาดส่วนนี้อาจทำให้ปั๊มท่อระบายน้ำเครื่องซักผ้าเสียหายได้ และการระบายน้ำของตัวเครื่องไม่ดีเท่าที่ควร หรือทำให้ตัวถังมีกลื่นอับได้ ดังนั้นจึงควรถอดตัวกรองออกมาล้างบ้าง
     – ทำความสะอาดช่องใส่ผงซักฟอก เมื่อใช้งานเครื่องซักผ้าไปนานๆ เศษผงซักฟอกจะเกิดการจับตัวกันเป็นก้อน หรือเป็นคราบน้ำยาปรับผ้าเหนียวๆ ติดช่องใส่น้ำยา ส่งผลให้ผ้าที่ซักไม่สะอาด หรือทำให้เกิดการอุดตันภายในเครื่องได้ ดังนั้นควรหมั่นถอดออกมาทำความสะอาด

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลเพื่อเลือกเครื่องซักผ้า สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และได้เครื่องซักผ้าที่ถูกใจกันไปนะคะ สามารถแชร์ประสบการณ์ หรือพูดคุยกันต่อได้ที่ comment ด้านล่างนี้ได้เลย ส่วนคราวหน้า Think of Living จะมีบทความอะไรดีๆมาฝากกันอีก อย่าลืมติดตามชมกันด้วยนะ ^^


สำหรับใครที่กำลังมองหาแหล่งซื้อของตกแต่งบ้าน วัสดุก่อสร้าง หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ในยุคออนไลน์แบบนี้ชีวิตเราง่ายขึ้นเยอะ แค่โหลดแอป NocNoc หรือเข้าไปที่ Website https://bit.ly/45HPnrk ก็มีข้าวของเครื่องใช้ในบ้านให้เราเลือกเยอะมากมาย หลายสไตล์ให้เลือกซื้อ พิเศษสำหรับทุกคนที่อ่านบทความนี้ อย่าพลาดที่จะมางาน Living Expo 2023 วันที่ 23-26 พ.ย. ที่ สยามพารากอน เพราะ NocNoc มีโปรโมชัน ของรางวัล รวมถึง Voucher ราคาพิเศษ เฉพาะในงานนี้เท่านั้น รับรองว่าถูกใจคนอยากมีบ้านแน่นอน