ปัจจุบันสังคมของประเทศไทยเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น เห็นได้จากปริมาณของกลุ่มผู้สูงวัยที่เพิ่มจำนวนขึ้น หลายครอบครัวอยู่ร่วมกันกันคุณพ่อ คุณแม่ ที่เข้าสู่วัยสูงอายุแล้ว และในอีกหลายครอบครัวก็ไม่สามารถอยู่กับผู้สูงอายุได้ตลอดเวลา เพราะมีปัจจัยอื่นเช่น การทำงานที่ต้องอยู่ห่างกัน การแยกครอบครัวออกไป เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะกรณีไหนทุกครอบครัวต่างก็ต้องการที่จะดูแลคนในครอบครัวที่เรารักให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและปลอดภัยอยู่เสมอ

ผู้สูงอายุ จัดเป็นกลุ่มช่วงวัยที่มีสภาพร่างกายและจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไป แตกต่างจากวัยหนุ่มสาว หรือวัยกลางคน โดยเฉพาะสภาพร่างกายทางกายภาพ นอกจากสิ่งที่ควรเตรียมพร้อมเรื่องการออกแบบหรือปรับเปลี่ยนพื้นที่บ้านบางส่วนให้เหมาะสมแล้ว ยังมีสิ่งที่ต้องระวังและควรหลีกเลี่ยง เพื่อให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัย จริงๆ แล้วสถานที่ที่เกิดอุบัติเหตุได้ค่อนข้างบ่อยก็คือบ้านของเรานี่เอง ไม่ว่าจะเป็นการหกล้ม สิ่งของหล่นทับหรือบาดเจ็บตามร่างกาย ไปจนถึงการหลงลืมจากอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มีสภาพร่างกายที่เปราะบางกว่าคนปกติทั่วไป ทำให้ไม่สามารถใช้กิจวัตรประจำวันได้เหมือนคนในวัยอื่นๆ แต่อุบัติเหตุเหล่านี้สามารถป้องกันได้ นอกจากเราจะระมัดระวังตัวเองเพิ่มมากขึ้นแล้ว เราก็สามารถปรับพื้นที่ภายในบ้านให้เหมาะสม เลือกใช้ระบบรักษาความปลอดภัยภายในบ้านที่ออกแบบมาเพื่อคำนึงถึงความปลอดภัยสำหรับหรับกลุ่มผู้สูงอายุโดยเฉพาะ จะมีอะไรบ้างตามไปชมกันค่ะ

Image 1/6
พื้นที่ภายในห้องที่ให้ผู้สูงอายุอยู่ ควรเรียบเสมอกัน ไม่ยกพื้นต่างระดับหรือมีธรณีประตู

พื้นที่ภายในห้องที่ให้ผู้สูงอายุอยู่ ควรเรียบเสมอกัน ไม่ยกพื้นต่างระดับหรือมีธรณีประตู

1. การปรับพื้นที่บ้านเพื่อสร้างความปลอดภัย

พื้นบ้าน หรือพื้นที่ภายในห้องที่ให้ผู้สูงอายุอยู่ ควรเรียบเสมอกัน ไม่ยกพื้นต่างระดับหรือมีธรณีประตู วัสดุกรุพื้นผิวต้องไม่เรียบลื่นจนเกินไป หรือเลือกใช้ Shock Absorption Floor หรือพื้นลดแรงกระแทก วัสดุชนิดนี้มีโฟมอยู่ด้านล่างทำให้สามารถลดแรงกระแทก สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้

แสงสว่าง ห้องของผู้สูงอายุ ควรมีช่องรับแสงสว่างที่เพียงพอ หรืออยู่ในทิศตะวันออกเพื่อรับแสงยามเช้าทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ติดไฟแสงสว่างให้เพียงพอ ไม่มืดหรือสลัวจนเกินไป เพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องสายตา ฉะนั้นการมีแสงสว่างที่เพียงพอภายในห้องจึงมีความสำคัญมาก

ทางลาด ในพื้นที่ที่ต้องใช้งานเป็นประจำ เช่น ที่จอดรถ ทางเข้า-ออกหลักของตัวบ้าน การเพิ่มทางลาดจะช่วยให้การเข็นรถเข็นได้สะดวกและปลอดภัย การออกแบบทางลาดควรใช้สัดส่วน 1:12 ถ้าพื้นสูง 10 เซนติเมตร ต้องมีทางลาดยาวไปถึง 120 เซนติเมตร และทางลาดต้องใช้วัสดุต่างสัมผัส มองแล้วรู้ว่าต่างกันระหว่างพื้นเรียบกับพื้นลาด

ห้องน้ำ ควรมีการแยกระหว่างส่วนเปียกและส่วนแห้ง แต่ไม่ควรมีพื้นต่างระดับ พื้นห้องน้ำควรมีผิวสัมผัสที่หยาบและกันลื่น ควรเลือกใช้สุขภัณฑ์ให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ ติดตั้งราวจับเพื่อช่วยในการพยุงตัวทั้งสองข้างของอ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์ พื้นที่ส่วนอาบน้ำไม่ควรมีการลดระดับพื้นมากจนเกินไป

บานประตู ควรออกแบบให้เป็นบานเลื่อน เพื่อให้เปิด-ปิดง่าย หรือเป็นบานเปิดที่มีความกว้างพิเศษ สามารถเข็นรถเข็นผ่านได้ ไม่ควรมีรอยต่อระหว่างพื้นด้านนอกและด้านใน เพื่อป้องกันการสะดุดล้ม

สวิตช์และปลั๊กไฟฟ้า ควรติดตั้งให้กระจายอยู่ในจุดที่เข้าถึงได้สะดวก มีแสงสว่างส่องถึง ระดับของสวิตช์ไฟฟ้า ไม่ควรสูงเกินไปเพื่อให้ผู้สูงอายุกดได้สะดวก เอื้อมถึงได้ง่าย หรือไม่อยู่ในระดับที่ต่ำจนเกินไป เนื่องจากผู้สูงอายุมักจะก้มต่ำไม่ไหว อาจจะทำให้หน้ามืดได้ ตำแหน่งของปลั๊กจึงควรอยู่สูงระดับอกของผู้สูงอายุ

Image 1/3
กล้อง CCTV

กล้อง CCTV

2. การเลือกระบบและอุปกรณ์เพื่อเสริมความปลอดภัย

นอกจากวัสดุอุปกรณ์ทั่วไปที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้แล้ว ยังมีระบบรักษาความปลอดภัย และเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น

กล้อง CCTV การติดกล้อง CCTV ภายในบ้านมากขึ้น นอกจากช่วยดูแลความปลอดภัยจากโจร หรือคนร้ายแล้ว ยังมีการติดตั้งเพื่อดูแลผู้สูงอายุให้อยู่ในสายตาของเรา ผ่าน Application บนโทรศัพท์มือถือ

Motion Sensor (เซ็นเซอร์ตรวจจับเคลื่อนไหว) นอกจากกล้อง CCTV ทั่วไปแล้ว ปัจจุบันยังมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ทำให้เราสามารถทราบสถานการณ์ภายในบ้านได้

Panic Button (ปุ่มกดฉุกเฉิน) ขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน มีทั้งแบบพกพา และแบบติดตั้งอยู่ภายในห้อง โดยผู้สูงอายุสามารถกดปุ่มเพื่อขอความช่วยเหลือไปยังผู้ดูแลหรือผู้ให้บริการดูแลความปลอดภัยในกรณีฉุกเฉินได้ทันที ซึ่งถือว่ามีความจำเป็นเพราะหากผู้สูงอายุเกิดอุบัติเหตุและต้องการความช่วยเหลือ ก็จะมีเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์เข้าช่วยเหลือได้ทันเวลา

เลือกผู้ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยเจ้าไหนดี ?

ปัจจุบันมีผู้ให้บริการด้านระบบรักษาความปลอดภัยอยู่หลากหลาย แต่ละเจ้าก็จะมีรูปแบบการให้บริการที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาคือผู้ให้บริการที่เข้าใจกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี และมีประสบการณ์ด้านการบริการที่เชื่อถือได้ จึงจะสามารถมั่นใจได้ว่าจะสามารถมาดูผู้สูงอายุที่เป็นคนในครอบครัวของเราได้อย่างสบายใจ

SECOM ผู้ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยอันดับหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น มีบริษัทในเครือทั่วโลกครอบคลุม 17 ประเทศและดินแดน ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยและโซลูชันครบวงจร และธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ช่วยมอบความปลอดภัยในทุกพื้นที่ไม่ว่าจะเป็น สนามบิน โรงงานอุตสาหกรรม กิจการห้างร้าน รวมไปถึงที่พักอาศัย สำหรับในประเทศไทย SECOM ดำเนินธุรกิจภายใต้ชื่อ บริษัท รักษาความปลอดภัย ไทยซีคอม จำกัด มาตั้งแต่ปี 2530 ดำเนินธุรกิจติดตั้งและวางระบบรักษาความปลอดภัยครบวงจร รวมถึงให้บริการพนักงานรักษาความปลอดภัย โดยปัจจุบันมีศูนย์บริการมากกว่า 50 สาขา

ความปลอดภัยที่เหนือกว่า ด้วยจุดเด่นของ SECOM

SECOM มีประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพด้านความปลอดภัย และเป็นระบบรักษาความปลอดภัยเดียว ที่ป้องกันความเสี่ยงอย่างครบวงจร ตั้งแต่มาตรการป้องกันก่อนเกิดเหตุไปจนถึงหลังเกิดเหตุ เพื่อควบคุมและลดความเสียหายจากเหตุฉุกเฉิน ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่มีจุดเด่น 3 ด้าน ได้แก่

  • One Intelligent Platform : บริการสุดทันสมัย ให้คุณจัดการควบคุมทั้งเซ็นเซอร์ กล้อง และระบบอัตโนมัติได้อย่างสะดวกสบายใน Application เดียว
  • Monitoring 24/7 : ศูนย์ควบคุมคอยเฝ้าระวังสัญญาณจากเซ็นเซอร์ตลอด 24 ชม. อุ่นใจได้หากตรวจพบเหตุการณ์ผิดปกติ ทางศูนย์จะติดต่อลูกค้า พร้อมมีบริการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานดับเพลิงได้ตามความต้องการ
  • Interactive Solution : แจ้งเตือนจาก Application เมื่อมีผู้มาเยี่ยมบ้าน หรือตรวจพบผู้บุกรุก พร้อมบันทึกภาพจากกล้องบน Cloud และตรวจจับคนและสัตว์ได้อัตโนมัติ

ด้วยประสบการณ์ที่เหนือกว่า ปัจจุบันได้เปิดตัว SECOM Smart Security ระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรที่นอกเหนือจากการดูแลความปลอดภัยของธุรกิจและที่อยู่อาศัยแล้ว ยังมีบริการเพื่อการดูแลผู้สูงวัยภายในบ้าน (SECOM Smart Security Care) โดยเฉพาะที่มาพร้อมแนวคิดใหม่เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

ทำความรู้จัก SECOM Smart Security

ซีคอม สมาร์ท ซีเคียวริตี้ (SECOM Smart Security) คือ โซลูชันรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร ให้คำปรึกษาด้านความปลอดภัย บริการออกแบบระบบได้ตามความต้องการ ติดตั้งโดยทีมงานมืออาชีพ พร้อมบริการเฝ้าระวังสัญญาณผิดปกติตลอด 24 ชั่วโมงและโทรแจ้งตามเบอร์ติดต่อที่ให้ไว้ได้ทันที บริการซ่อมบำรุงรักษา นอกจากนี้ยังมีกล้องที่มาพร้อมระบบวิเคราะห์ภาพอัจฉริยะ (Video Analytics) และเซ็นเซอร์ที่สามารถตรวจจับความผิดปกติต่าง ๆ แจ้งเตือนลูกค้าผ่านสมาร์ทโฟน รวมทั้งบริการส่งทีมเข้าพื้นที่กรณีฉุกเฉินตามความจำเป็นอีกด้วย

4 ทีมงานมืออาชีพของ SECOM

  1. ทีมที่ปรึกษาความปลอดภัยมืออาชีพ พร้อมให้คำแนะนำแพ็กเกจระบบความปลอดภัยที่เหมาะสม รวมทั้งช่วยวางแผนระบบความปลอดภัยที่ตอบโจทย์ความต้องการและการใช้งานของลูกค้า
  2. ทีมบริการเทคนิคมืออาชีพ พร้อมให้บริการติดตั้งอุปกรณ์ และเปิดระบบ รวมถึงให้บริการบำรุงรักษาตามระยะเวลา อย่างมืออาชีพ
  3. ทีมศูนย์ควบคุมมืออาชีพ พร้อมเฝ้าระวังสัญญาณตลอด 24 ชม.เพื่อแจ้งเตือนลูกค้าเมื่อมีเหตุผิดปกติเกิดขึ้น รวมถึงการส่งทีมปฏิบัติการเข้าพื้นที่เพื่อตรวจสอบ และประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลืออย่างฉับไว
  4. ทีมปฏิบัติการมืออาชีพ พร้อมออกปฏิบัติการในพื้นที่เกิดเหตุอย่างฉับไว เพื่อช่วยเหลือและจัดการเหตุฉุกเฉิน อย่างมืออาชีพ แม้ในเวลาที่คุณไม่อยู่บ้าน

SECOM Smart Security เหมาะกับใครบ้าง

  • Smart Security Business เหมาะสำหรับธุรกิจประเภท SME ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม อาทิ ออฟฟิศขนาดกลางถึงขนาดย่อม อาคารพาณิชย์ และร้านอาหาร
  • Smart Security Personal เหมาะสำหรับที่อยู่อาศัยโดยมีบริการใหม่ Smart Security Care สำหรับการดูแลที่อยู่อาศัยที่มีผู้สูงวัยภายในบ้านโดยเฉพาะ

SECOM Smart Security ดูแลผู้สูงอายุได้อย่างไร

บริการของ SECOM Smart Security Care ภายใต้คอนเซ็ปต์ Caring By Your Side มุ่งให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่เพียงลำพัง ด้วยโซลูชันอัจฉริยะที่จะทำให้สมาชิกในครอบครัวรู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น แม้จะอยู่คนละที่ โดยมีจุดเด่นในการให้บริการ 3 ด้าน ได้แก่

  • ด้านความปลอดภัย ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงโดยทีมงานมืออาชีพ ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ SECOM จะติดต่อลูกค้าและประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
  • ด้านสุขภาพ แอปพลิเคชันช่วยให้คุณสามารถติดตามกิจกรรมและพฤติกรรมในแต่ละวันของผู้สูงวัยได้สะดวก
  • ด้านการช่วยเหลือฉุกเฉิน แจ้งเตือนทั้งสมาชิกในครอบครัวและ SECOM ในกรณีฉุกเฉิน SECOM จะช่วยโทรเรียกรถพยาบาลตามความจำเป็น

โดยอุปกรณ์ที่แนะนำนั้นควรติดตั้งในบ้านเพื่อให้ครอบคลุมกับการใช้งานในทุกตำแหน่งภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จะใช้เวลาในช่วงกลางวันมากเป็นพิเศษ , ห้องครัวที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษเพราะใช้เป็นพื้นที่เตรียมอาหาร มีความความเสี่ยงในเรื่องการเกิดเพลิงไหม้ได้ , ห้องนอน ที่ใช้เวลาในช่วงเวลากลางคืน ที่มีความเป็นส่วนตัวสูงจึงจำเป็นต้องติดตั้งอุปกรณ์ที่สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือได้ง่าย สุดท้ายคือห้องน้ำ เป็นอีกบริเวณที่มีความเสี่ยงสูงจากการใช้งาน จึงควรติดตั้งอุปกรณ์แจ้งเตือนเพื่อความปลอดภัยไว้เช่นกัน

กล้อง WI-Fi สำหรับใช้ภายในบ้าน (Indoor Wi-Fi Camera)

  • กล้องที่สามารถสอดส่องดูแลความปลอดดภัยให้กับผู้สูงวัยได้ทุกที่ทุกเวลา
  • สามารถพูดคุย โต้ตอบ มอนิเตอร์แบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชันในมือถือได้ตลอด 24 ชั่วโมง
  • มีระบบวิเคราะห์ภาพอัจฉริยะ (Video Analytics) สามารถตรวจจับได้ว่า มีคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน และแจ้งเตือนทันทีผ่านแอปพลิเคชัน

ปุ่มฉุกเฉินทางการแพทย์ (Medical Button)

  • อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้สูงวัยกดขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นหากต้องอยู่เพียงลำพัง เช่น ลื่นล้มในห้องน้ำ ตกบันได
  • เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น สัญญาณจะถูกส่งไปยังสมาชิกภายในบ้านให้รับรู้ และนอกจากนี้ยังส่งสัญญาณไปที่ศูนย์ควบคุมของซีคอม ให้เข้ามาช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที
  • สามารถติดตั้งในตำแหน่งที่ผู้สูงอายุใช้งานเป็นประจำ เช่น ห้องน้ำ ข้างเตียง บันได ในระยะที่สามารถเอื้อมกดปุ่มได้สะดวก

เซ็นเซอร์ตรวจจับควัน (Smoke Detector)

  • ทำหน้าที่ตรวจจับควันที่มากเกินปกติ
  • ติดตั้งภายในครัวเพื่อป้องกันความเสียหายจากเพลิงไหม้เนื่องการทำอาหาร
  • ช่วยยับยั้งการลุกลามของเหตุเพลิงไหม้ได้ทัน

เซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำรั่ว (Water Leakage Sensor)

  • ช่วยป้องกันกรณีที่ผู้สูงอายุเปิดใช้น้ำแล้วลืมปิด
  • สามารถช่วยตรวจจับการรั่วไหลของน้ำแบบเรียลไทม์ เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากน้ำท่วมห้อง
  • หากอุปกรณ์ตรวจจับน้ำในปริมาณมากเกินกำหนดจะส่งแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือของสมาชิกในครอบครัวทันที

เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว (Motion Sensor) หรือเซ็นเซอร์เฝ้าระวังการเปิด-ปิดประตู (Door Contact)

  • เครื่องมือที่ช่วยติดตามการใช้ชีวิตของผู้สูงวัย
  • ติดตั้ง Motion Sensor ในห้องนอนเพื่อตรวจจับเวลาตื่นนอนในแต่ละวัน
  • ติดตั้ง Door Contact ที่ตู้เย็นในห้องครัวเพื่อดูว่าทานอาหารตรงเวลาหรือไม่
  • ติด Door Contact ไว้ที่กล่องยาหรือตู้ยา สามารถแจ้งเตือนให้ทานยาตรงเวลา ช่วยป้องกันการลืมทานยา เพราะหากกล่องยาหรือตู้ยาไม่ได้ถูกเปิดตามเวลาที่ตั้งไว้ ระบบจะแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือของสมาชิกในครอบครัวทันที และสามารถพูดคุย แจ้งเตือนผ่านกล้องวงจรปิดแบบไร้สายให้ทานยาได้แบบเรียลไทม์

อยากใช้ระบบ SECOM Smart Security ต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่

SECOM Smart Security จะมีค่าบริการรายเดือนให้เลือก 3 แพ็กเกจ ตามการใช้งานได้ ดังนี้

  • Smart Video ค่าบริการรายเดือน เริ่มต้น 199 บาท โดยจะมีค่าอุปกรณ์ 5,999 บาท และค่าติดตั้ง 3,000 บาท (ราคาเริ่มต้น)
  • Smart Security Home ค่าบริการรายเดือน เริ่มต้น 599 บาท โดยจะมีค่าอุปกรณ์ 17,999 บาท และค่าติดตั้ง 3,000 บาท (ราคาเริ่มต้น)
  • Smart Security Care ค่าบริการรายเดือน เริ่มต้น 1,099 บาท โดยจะมีค่าอุปกรณ์ 24,999 บาท และค่าติดตั้ง 3,000 บาท (ราคาเริ่มต้น)

SECOM Smart Security และ Smart Security Care สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการทั่วประเทศไทย Line : @secomthailand โทร 02-026-6593 หรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://bit.ly/3vIwlV3