ทำไมควรใช้เครื่องกรองน้ำ?

โดยปกติแล้วร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 60% ของน้ำหนักตัว ซึ่งการดื่มน้ำที่สะอาดและเพียงพอ จะทำให้ระบบต่างๆในร่างกายของเราได้รับการกระตุ้นและพร้อมที่จะทำงาน เพราะฉะนั้นน้ำจึงเป็นส่วนสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี จากสถิติแล้วเราควรที่จะดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว หรือคิดเป็นปริมาตรอยู่ที่ 1.5 ลิตร ซึ่งการเลือกดื่มน้ำในชีวิตประจำวัน ก็ควรจะดื่มน้ำที่สะอาดและปราศจากสิ่งปนเปื้อน ถึงจะถือเป็นการดื่มน้ำที่ส่งผลดีต่อร่างกาย

โดยคนส่วนใหญ่ก็จะมีวิธีเลือกการบริโภคที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขวดน้ำสำเร็จรูป หรือการติดตั้งเครื่องกรองน้ำเพื่อใช้ในครัวเรือน ซึ่งหากเทียบกับปริมาณและความคุ้มค่าในระยะยาว ทุกคนก็คงจะเทใจมาทางเครื่องกรองน้ำมากกว่าใช่มั้ยล่ะคะ แต่ก็อาจจะมีบางคนที่รู้สึกว่าขวดน้ำสำเร็จรูปสะดวกสบายมากกว่า แต่ก็อย่าลืมว่าขวดน้ำที่เราใช้จะกลายเป็นขยะพลาสติก ซึ่งไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยนะ หรือหากอยากเปรียบเทียบในแง่ของราคา ว่าแบบไหนจะคุ้มค่ามากกว่า เราจึงลองคำนวณออกมาเป็นแนวทางไว้ให้ได้ดังนี้ค่ะ

ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยในความเหมาะสมของการใช้งานในแต่ละคนด้วยนะคะ แต่สิ่งที่เราจะนำมาเสนอเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆในวันนี้ก็คือ การทำความรู้จักกับเครื่องกรองน้ำ ก่อนที่จะเลือกซื้อเข้าบ้าน เพราะเครื่องกรองน้ำในปัจจุบันมีนวัตกรรมในการผลิตที่หลากหลาย เราจึงคัดเนื้อหาสำคัญมาให้ทุกคนได้อ่าน ก่อนนำไปต่อยอดเพื่อตัดสินใจกันนะคะ ซึ่งรายละเอียดจะมีอะไรกันบ้าง ไปติดตามกันต่อได้เลยค่ะ

 

1. เลือกเครื่องกรองน้ำจากระบบกรองน้ำ

ก่อนอื่นก็ต้องรู้จักระบบกรองน้ำของเครื่องกรองน้ำกันก่อนนะคะ เพราะถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการเลือกเลยทีเดียว โดยระบบกรองน้ำในปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ก็คือระบบ Reverse Osmosis (RO) ระบบ Ultra Violet (UV) และระบบ Ultre Filtration (UF) ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีข้อดีข้อเสียและความแตกต่างกันดังต่อไปนี้ค่ะ

  • ระบบ Reverse Osmosis (RO)

เป็นระบบกรองที่มีความละเอียดในการกรองสูง ประกอบด้วยขั้นตอนการกรองถึง 5 ขั้นตอน จึงสามารถกรองสิ่งปนเปื้อนออกจากน้ำได้มากถึง 99.99% และสามารถใช้กรองน้ำประปาที่เค็มให้มีความสะอาดมากขึ้นได้ด้วย แต่ด้วยความเป็นระบบกรองที่มีความละเอียดสูง อาจจะทำให้กรองแร่ธาตุในน้ำที่มีความจำเป็นต่อร่างกายออกไปด้วย

ข้อดี : เหมาะกับน้ำดิบที่มีความปนเปื้อนมาก เพราะมีความละเอียดสูง สามารถกรองสารปนเปื้อนออกได้มากถึง 99.99% เหมาะสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคไต โรคหัวใจหรือเด็กเล็ก

ข้อเสีย : ใช้ไฟฟ้าในการทำงาน มีราคาสูง และด้วยความละเอียดที่มาก อาจจะกรองแร่ธาตุในน้ำออกไปด้วย การดูแลก็จะค่อนข้างซับซ้อนกว่าระบบอื่นๆค่ะ

ช่วงราคา : 5,000-30,000 บาท

อายุการใช้งาน : ตัวเครื่องไฟเบอร์ 10-15 ปี (ไม่รวมไส้กรอง)

  • ระบบ Ultra Violet (UV)

ระบบจะกรองสิ่งสปกรก เชื้อโรคและสารปนเปื้อนจากน้ำได้ด้วยการปล่อยแสง UV ซึ่งเป็นลำแสงมาตรฐานที่ใช้สำหรับการฆ่าเชื้อโรค ทำให้น้ำสะอาดแต่ยังคงแร่ธาตุเอาไว้ แต่การอาบประจุแสง UV นั้น ไม่ใช่การกรองผ่านชั้นกรอง จึงจำเป็นที่จะต้องมีการใช้ไส้กรองแบบอื่นๆมาใช้ร่วมด้วย เพื่อช่วยปรับคุณภาพของน้ำให้ดีขึ้น ซึ่งตัวไส้กรองนี้ก็สามารถซื้อมาเปลี่ยนเองได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน

ข้อดี : เป็นระบบกรองที่เพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค โดยที่ยังคงแร่ธาตุในน้ำเอาไว้ ดูแลและทำความสะอาดได้ง่าย ช่วยปรับรสชาติของน้ำให้ดีขึ้นได้ค่ะ

ข้อเสีย : ใช้ไฟฟ้าในการทำงาน สามารถฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียได้ แต่ไม่ได้กำจัดออกจากน้ำ ไม่เหมาะกับสภาพน้ำที่มีตะกอนมาก ต้องใช้ร่วมกับระบบกรองอื่นๆเช่น UF

ช่วงราคา : ชุดหลอด + อุปกรณ์ต่อ 1,000-2,000 บาท / หลอด UV 500-1,000 บาท

อายุการใช้งาน : 12-18 เดือน

  • ระบบ Ultra Filtration (UF)

เป็นระบบกรองที่พัฒนาและต่อยอดมาจากระบบ UV สามารถกรองได้ 4-5 ขั้นตอน มีความละเอียดในระดับที่สามารถกรองสิ่งสกปรก เชื้อจุลินทรีย์ แบคทีเรียและไวรัสได้ แต่ยังคงแร่ธาตุเอาไว้ในน้ำดื่ม นอกจากนี้ระบบ UF ยังสามารถแก้ปัญหาน้ำกร่อย น้ำโคลน กรองสารคลอรีนและโลหะหนักได้ดีอีกด้วย ซึ่งตัวระบบนี้ทำงานได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ติดตั้งง่ายและไม่จำเป็นต้องใช้ปั๊มน้ำค่ะ

ข้อดี : สะดวกในการเปลี่ยนถ่ายไส้กรอง ประหยัดในการดูแลรักษามากกว่าระบบ RO และ UV แก้น้ำกร่อย กรองเชื้อโรคและแบคทีเรียได้

ข้อเสีย : ไม่สามารถใช้ร่วมกับน้ำบาดาลที่มีปริมาณของแข็งละลายอยู่สูงได้ จึงเหมาะสำหรับใช้กับน้ำประปาเท่านั้น และควรหมั่นทำความสะอาดอยู่เสมอ

ช่วงราคา : 3,000-20,000 บาท

อายุการใช้งาน : ตัวเครื่องไฟเบอร์ 10-15 ปี (ไม่รวมไส้กรอง)

 

2. เลือกจากรูปแบบการติดตั้ง

นอกจากระบบกรองที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกเครื่องกรองน้ำแล้ว รูปแบบในการติดตั้งก็มีส่วนเช่นเดียวกัน เพราะบางคนก็อาจมีข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่ หรือบางคนที่มีสมาชิกในครอบครัวไม่มาก ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องกรองน้ำที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งขนาดของเครื่องนี้ก็ถือว่ามีความสำคัญที่ทำให้ราคาแตกต่างกันด้วยนะคะ โดยวิธีการเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งานจะมีอะไรบ้าง ไปชมกันเลยค่ะ

  • เครื่องกรองน้ำชนิดติดตั้งโดยตรงกับก็อกน้ำ

ลักษณะเครื่องกรองน้ำชนิดนี้จะเป็นหลอดขนาดเล็ก ติดตั้งโดยตรงเข้ากับก็อกน้ำเพื่อทำให้น้ำสะอาดค่ะ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย สะดวกสบาย รวมถึงราคาก็ไม่แพงด้วย และในปัจจุบันเราก็จะเห็นได้ว่าเริ่มมีผู้ผลิตนำแนวคิดนี้มาออกแบบก๊อกน้ำที่มีตัวเสริมการกรองในลักษณะแบบนี้เข้าไปด้วย ถือว่าเป็นรูปแบบเครื่องกรองน้ำที่มีให้เลือกใช้ได้อย่างหลากหลายเลยทีเดียว

แต่ข้อเสียก็ยังมีอยู่นะคะ เพราะด้วยความที่มีไส้กรองขนาดเล็ก อาจจะทำให้เราต้องเปลี่ยนไส้กรองบ่อยๆ เพื่อไม่ให้มีสิ่งสกปรกอุดตันอยู่ค่ะ โดยระยะเวลาการเปลี่ยนจะอยู่ที่ประมาณ 2-4 เดือนนั่นเอง

  • เครื่องกรองน้ำแบบแทงก์ 

เป็นรูปแบบที่นิยมติดตั้งในอาคารบ้านเรือนมากที่สุด เป็นเครื่องกรองน้ำที่มีไส้กรองอยู่ข้างใน ลักษณะการติดตั้งจะเป็นแบบแขวนติดเข้ากับผนัง ซึ่งลักษณะการใช้งานจะคล้ายแบบที่ติดเข้ากับก็อกน้ำ ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือสายต่อและแทงก์กรอง เพียงแค่กดสวิตช์หรือเปิดก็อกน้ำที่ตัวเครื่อง ไส้กรองขนาดใหญ่ก็จะทำหน้าที่กรองน้ำบริสุทธิ์ออกมาให้คุณดื่มแล้วค่ะ  โดยข้อดีของเครื่องกรองแบบแทงก์ก็คือ ตัวไส้กรองจะมีความละเอียดในการกรองมากกว่า แบบอื่นๆ การบำรุงรักษาก็ทำได้ง่าย เพียงแต่ต้องหมั่นทำความสะอาดหรือเปลี่ยนไส้กรองทุก 1-2 ปีค่ะ

  • เครื่องกรองน้ำแบบไม่ติดตั้ง

ส่วนใหญ่เครื่องกรองน้ำชนิดนี้ จะมีขนาดกะทัดรัดสามารถเคลื่อนย้ายได้ โดยตัวเครื่องจะมีไส้กรองอยู่ภายใน เวลาที่ต้องการจะดื่มน้ำก็เพียงแค่เทน้ำเข้าไปในตัวเครื่อง สิ่งสกปรกก็จะถูกกรองออกไป กลายเป็นน้ำสะอาดที่เราสามารถนำมาดื่มหรือทำอาหารได้ค่ะ

ซึ่งด้วยขนาดที่เล็กก็อาจจะทำให้ได้น้ำที่กรองออกมาในปริมาณที่จำกัด จึงไม่เหมาะกับคนที่มีความต้องการใช้น้ำในปริมาณครั้งละมากๆ และตัวไส้กรองก็มีอายุใช้งานที่ค่อนข้างสั้น จึงต้องหมั่นเปลี่ยนทุกๆ 2-3 เดือนค่ะ แต่สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในคอนโดที่มีพื้นที่จำกัด เครื่องกรองน้ำแบบนี้ก็ถือว่าสะดวกสบายเลยทีเดียวนะคะ

 

3. รู้จักชนิดของไส้กรองที่ใช้ในเครื่องกรองน้ำ

พูดถึงเรื่องไส้กรองกันมาหลายบรรทัด ทุกคนก็คงจะสงสัยกันใช่มั้ยคะว่า ไส้กรองแต่ละแบบมีอะไรบ้าง แล้วส่งผลต่อประสิทธิภาพในการกรองน้ำยังไง ซึ่งก็ต้องขอบอกก่อนว่าประเภทของไส้กรองนั้นมีหลากหลาย และคุณสมบัติของการใช้งานก็แตกต่างกันไป ทำให้โดยปกติแล้วในเครื่องกรองน้ำเครื่องหนึ่งจะมีไส้กรองภายในอยู่ 1-2 ประเภทขึ้นไป จึงสามารถตอบได้ว่ายิ่งผ่านขั้นตอนการกรองมาก หรือไส้กรองมีอนุภาคขนาดเล็ก ก็จะทำให้ได้น้ำที่สะอาดและบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น

ยกตัวอย่างเช่น ไส้กรองหยาบ (PP) สามารถกรองได้ 5 ไมครอน ไส้กรองเมมเบรนกรองได้ 0.0001 ไมครอน แสดงว่าไส้กรอง Membrane สามารถกรองได้สะอาดกว่าค่ะ

หลักการทำงานของไส้กรองจะมี 2 แบบด้วยกัน คือ ไส้กรองแบบปล่อยให้น้ำทะลุผ่านและไส้กรองแบบที่น้ำผสมทำปฏิกิริยากับสารกรอง ซึ่งขนาดของไส้กรองที่ใช้ทั่วไปจะอยู่ที่ 10 นิ้ว 12 นิ้ว และ 20 นิ้ว โดยเราสามารถจำแนกไส้กรองประเภทต่างๆ ความสามารถและอายุในการใช้งานได้ดังนี้

ภาพแสดงกระบวนการทำงานของเครื่องกรองน้ำ

  • ไส้กรอง PP

เป็นไส้กรองน้ำอย่างหยาบที่ทำจากเส้นใย Polypropylene โดยไส้กรองน้ำ PP นี้เราจะนิยมนำมาเป็นไส้กรองชั้นแรกของเครื่องกรองน้ำเสมอ เพื่อคอยกรองสิ่งสกปรกที่มีอนุภาคขนาดใหญ่ เช่นเศษหิน ดิน ฝุ่น สนิม โคลน หรือสารแขวนลอยต่างๆออกให้ก่อน เพื่อให้ไส้กรองในลำดับชั้นถัดไปทำงานได้ง่ายขึ้น

ช่วงราคา : 200-1,000 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดไส้กรองและตัวเครื่อง)

อายุการใช้งาน :  ประมาณ 6 เดือน

  • ไส้กรองคาร์บอน 

เป็นคาร์บอนธรรมชาติที่นิยมใช้มากที่สุด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นระบบกรองแบบไหนก็จะมีไส้กรองคาร์บอนเป็นส่วนประกอบ โดยมีคุณสมบัติพิเศษ ช่วยลดระดับคลอรีนในน้ำ กำจัดกลิ่นหรือรสชาติที่ไม่พึ่งประสงค์ และช่วยขจัดโลหะหนักที่ปนเปื้อนมากับน้ำประปาได้ค่ะ

ช่วงราคา : 300-3,000 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดไส้กรองและตัวเครื่อง)

อายุการใช้งาน : 1-2 ปี

  •  ไส้กรองแอนทราไซต์

ถ่านหินคุณภาพสูง มีน้ำหนักเบา คุณสมบัติคือสามารถดักจับและเก็บตะกอนน้ำได้ดี โดยเฉพาะสารแขวนลอย มีลักษณะเป็นเกล็ดสีดำ ไม่เปราะหรือแตกหักง่าย สมารถทำความสะอาดได้ และมีความทนทานต่อสารเคมีสูง

ช่วงราคา : 500-2,000 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดไส้กรองและตัวเครื่อง)

อายุการใช้งาน : 1-2 ปี

  • ไส้กรองเรซิ่น

คุณสมบัติพิเศษ คือ ช่วยเปลี่ยนประจุในน้ำ คอยกรองพวกหินปูนในน้ำออก ลดการเกิดนิ่ว และส่งผลให้รสชาติของน้ำมีความกระด้างน้อยลง เหมาะสำหรับการกรองน้ำดิบ น้ำกร่อยหรือน้ำบาดาล เพราะช่วยลดความเค็มของน้ำได้ และทำให้รสชาติดีขึ้นอีกด้วย

ช่วงราคา : 300-3,000 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดไส้กรองและตัวเครื่อง)

อายุการใช้งาน : 6-8 เดือน

  • ไส้กรองเมมเบรน

เป็นไส้กรองที่ทำมาจากวัสดุสังเคราะห์ มีลักษณะเป็นแผ่นเนื้อเยื่อ ช่วยกรองสารละลายที่ปนเปื้อนมากับน้ำ มีความละเอียดในการกรองมากถึง 0.0001 ไมครอน ซึ่งสามารถทำให้กรองแบคทีเรียและเชื้อจุลินทรีย์ได้ และสามารถกรองน้ำเค็มให้มีรสจืดได้ด้วย

ช่วงราคา : 900-5,000 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดไส้กรองและตัวเครื่อง)

อายุการใช้งาน : 1-1 ปีครึ่ง

  • ไส้กรองโพสคาร์บอน

เป็นคาร์บอนชนิดหนึ่ง มักจะอยู่ในรูปแบบของแคปซูลหรือที่เรียกกันว่า Inline โดยโพสคาร์บอนนี้จะอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการกรองน้ำ มีคุณสมบัติเด่นคือ ช่วยปรับสภาพน้ำ ปรับค่า PH และปรับรสชาติของน้ำให้ดียิ่งขึ้น

ช่วงราคา : 500-3,000 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดไส้กรองและตัวเครื่อง)

อายุการใช้งาน : 2-3 ปี

 

4. รู้จักสภาพน้ำในพื้นที่

การเลือกซื้อเครื่องกรองน้ำ นอกจากจะต้องรู้จักประเภทแล้ว ยังต้องรู้จักสภาพของน้ำในพื้นที่ของเราด้วย เพราะลักษณะของน้ำดิบในแต่ละพื้นที่ก็มีความแตกต่างกัน ทำให้เครื่องกรองน้ำบางประเภท อาจไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะกรองสิ่งปนเปื้อนในน้ำได้ทั้งหมด อย่างในกรุงเทพน้ำประปาร้อยละ 90 จะเป็นน้ำที่กรองมาใสในระดับนึงแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องกลิ่นคลอรีนและความสะอาดของท่อที่ทำให้น้ำที่ออกมาอาจยังสะอาดไม่เพียงพอ เครื่องกรองน้ำจึงเป็นอุปกรณ์สำคัญที่มาช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้

ซึ่งส่วนใหญ่แล้วในกรุงเทพสามารถเลือกใช้ระบบกรองน้ำได้ทุกประเภท แต่ระบบที่แนะนำจะเป็นระบบ UF (Ultra Filtration) ที่สามารถกรองเชื้อโรคและแบคทีเรียได้อย่างสมบูรณ์โดยยังคงไว้ซึ่งแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย และการใช้งานไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้า เพราะไม่ต้องใช้ปั๊มในการเพิ่มแรงดันน้ำ แต่ถ้าเป็นน้ำบาดาลหรือน้ำในพื้นที่ต่างจังหวัด อาจจะต้องตรวจสอบความสะอาดของน้ำดิบก่อนว่าอยู่ในระดับไหน แต่เพื่อความปลอดภัยสำหรับน้ำดื่ม ระบบ RO ก็จะถือว่าเป็นระบบกรองน้ำที่ดีที่สุดค่ะ

 นอกจากนี้การศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมของเครื่องกรองน้ำแต่ละยี่ห้อ ก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญนะคะ เพราะแต่ละรุ่นก็จะมีข้อมูลจำเพาะและข้อจำกัดที่ไม่เหมือนกัน เช่น ระบบ RO จะต้องมีที่ทิ้งน้ำ บางรุ่นต้องใช้ไฟฟ้า บางรุ่นผลิตน้ำช้า บางรุ่นต้องล้างไส้กรองหรือบางรุ่นไม่ต้องล้างไส้กรอง ซึ่งไม่ว่าจะมีรายละเอียดแบบไหน สิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ มาตรฐานรับรองการผลิต เพื่อให้ได้เครื่องกรองน้ำที่มีคุณภาพอย่าง ISO9001 ,Water Quality Association (WQA),Thailand Trusted Mark หรือ NFS ซึ่งเป็นมาตรฐานการรับรองผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่ตรงตามระดับสากล

แต่ในการรับประกันหลังการขาย อาจไม่ได้รับประกันในทุกส่วนของเครื่องกรองน้ำ เพราะขึ้นอยู่กับสภาพน้ำในแต่ละพื้นที่ที่นำไปใช้ ซึ่งส่วนใหญ่จะรับประกันเฉพาะอายุการใช้งานของตัวเครื่อง ส่วนไส้กรองภายในอาจเป็นการเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมภายหลังค่ะ

 

Tips วิธีทดสอบว่าได้น้ำที่มีคุณภาพมาหรือไม่

เพื่อความมั่นใจว่าเครื่องกรองน้ำที่เราซื้อมานั้น มีประสิทธิภาพในการกรองน้ำที่ดีจริงหรือไม่ เราจึงมีวิธีทดสอบง่ายๆมาให้ทุกคนได้ลองทำตามกันค่ะ โดยรายละเอียดของขั้นตอนจะมีดังต่อไปนี้

1) ซื้อน้ำยาทดสอบความกระด้างน้ำ และเตรียมน้ำ 200 ซีซี ที่ผ่านการกรองแล้วมาเตรียมไว้

2)หยดน้ำยาทดสอบความกระด้างลงไป 1 หยด แล้วสังเกตสีของน้ำที่เปลี่ยนแปลงไปค่ะ

3)ถ้าน้ำเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อนๆ ก็ถือว่าผ่านแน่นอน แต่ถ้าเป็นสีอื่นๆก็แสดงว่า เครื่องกรองน้ำของเรายังไม่มีประสิทธิภาพที่เพียงพอนั่นเอง

ซึ่งขั้นตอนในการทดสอบนี้สามารถใช้กับเครื่องกรองน้ำได้ทุกประเภทนะคะ หรือแม้แต่ในน้ำขวดสำเร็จรูปก็ได้ เท่านี้ทุกคนก็สามารถมั่นใจได้แล้วว่าน้ำที่ตัวเองดื่มอยู่ทุกวันนั้น เป็นน้ำที่มีคุณภาพจริงหรือไม่

 

เปรียบเทียบยี่ห้อเครื่องกรองน้ำมาแรงในปี 2022  ข้อมูล ณ วันที่ 13 กรกฎาคม 2565

ตารางนี้จัดทำขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า เครื่องกรองน้ำยี่ห้อใดถูกค้นหามากที่สุดในเวลานี้ ซึ่งก็ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆที่เรายังจะต้องไปศึกษากันเพิ่มเติมนะคะ นอกจากเรื่องระบบและยี่ห้อที่ทำให้ราคาของเครื่องกรองน้ำแตกต่างกันแล้ว ความจุของถังและประสิทธิภาพในการผลิตน้ำต่อวันก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญด้วย ยกตัวอย่างเช่น

เครื่องกรองน้ำระบบ RO ที่มักจะเห็นคำว่า 50GPD หรือ 75GPD ซึ่งตัว GPD นี้ย่อมาจาก Gallons Per Day (แกลลอน/วัน) ซึ่งโดยทั่วไป เราอาจคุ้นชินกับคำว่า ลิตร มากกว่า แต่ค่า GPD นี้ ก็สามารถแปลงเป็นหน่วยลิตรได้เช่นกันค่ะ โดย 1 GPD = 3.785 ลิตร 50 GPD จึงเท่ากับ 50*3.785 ได้เป็น 189.25 ลิตร/วันนั่นเอง เท่านี้เราก็จะสามารถทราบได้แล้วนะคะ ว่าปริมาณน้ำที่ได้เพียงพอกับความต้องการหรือไม่

อีกจุดสำคัญก็คือขั้นตอนในการกรอง จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่ายิ่งผ่านการกรองมาก น้ำก็จะยิ่งมีความบริสุทธิ์ แต่ในปัจจุบันไส้กรองต่างๆก็มีการผลิตกันออกมาอย่างหลากหลาย ถึงจะระบุว่าเป็นการกรองระบบ RO หรือ UF อาจจะไม่ใช่ตัวกำหนดราคาได้ทั้งหมดนะคะ เพราะยังมีไส้กรองและวัสดุอื่นๆอย่างท่อหรือตัวถัง ที่ทำให้ต้นทุนแตกต่างกันอยู่อีกด้วย

 

คราวหน้า Think of Living จะมีบทความอะไรดีๆมาฝากกันอีก อย่าลืมติดตามชมกันด้วยนะคะ