สวัสดีครับ ช่วงวันหยุดปีใหม่ Mr.Oe มีเวลาว่างๆ เลยนั่งรวบรวมข้อมูล 10 อันดับของตัวป่วนที่ชอบกวนใจคนมีบ้าน มาเล่าสู่กันฟังครับ เจ้าพวกนี้บางคนก็มองเป็นปัญหา บางคนก็เฉยๆ และหลายตัวดูเหมือนจะหาทางกำจัดได้ยากเย็น ไหนๆก็รวบรวมมาแล้ว ผมก็เลยขอนำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหาไปด้วยเลย … เริ่มแนะนำกันเลยนะครับ
อันดับที่ 10 : ตัวเหี้ย
เจ้าตัวนี้มีหลายชื่อครับ บ้างก็เรียกตัวเงินตัวทอง บ้างก็เรียกตัวกินไก่ …จริงๆถ้าเราเรียกว่า ตัวเหี้ยกันตรงๆ ถือว่าถูกต้องไม่น่าเกลียดเท่าไร แต่ถ้าเรียกว่า “เหี้ย” เฉยๆ หรือเติมตัวไอ เข้าไปเป็น “iเหี้ย” จะถือเป็นคำหยาบคายที่ไม่สุภาพทันที … ตัวเหี้ยบ้านเราคือ Water Monitor ซึ่งเป็นคนละชนิดกับ ตะกวด นะครับ จุดสังเกตคือ ตะกวดเขาจะเป็นสีน้ำตาลไม่มีลาย ผิวนวลๆอมน้ำผึ้ง น่ารักน่ากอดครับ ส่วน ตัวเหี้ยนี่จะเป็นสีพื้นดำ มีลายจุดๆเหลืองเป็นวง คนโบราณเรียกว่า “ดอกทอง” เวลาโดนเรียกว่า “eดอกทอง” นี่จึงอาจจะพอเข้าใจได้ว่าเขากำลังชื่นชมเราว่า เหี้ย นี่เอง … ช่างยอกย้อนนัก
ด้วยรูปร่างที่ไม่น่ารักในสายตาเราๆ แถมเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่ชอบกินซาก และของเน่า พวกเราส่วนใหญ่จึงมักจะตั้งข้อรังเกียจตัวเหี้ยกัน แต่แม้ว่าคนเราจะรังเกียจตัวเหี้ยกันแค่ไหน กลับหารู้ไม่ว่า “เรา” นี่แหละคือสิ่งมีชีวิตที่พระเจ้าประทานมาให้อนุรักษ์ตัวเหี้ยเลยนะฮะ เพราะทั้งท่อระบายน้ำมากมาย เป็นเครือข่ายเข้าสู่บ้าน กองขยะที่อุดมไปด้วยซากเศษอาหารเน่าและหนูที่เป็นแหล่งอาหารโปรด ทำให้ตัวเหี้ยสุขสบายราวสวรรค์กับการอาศัยอยู่ในเมืองปะปนกับพวกเราอย่างกลมกลืน จนบางตัวสามารถยึดเอารัฐสภา เป็นบ้านของตัวเองมาไม่รู้กี่ชั่วอายุเหี้ยแล้ว … ส่วนตามบ้านเรือนทั่วไป ก็พบเจอกันได้เป็นเรื่องไม่แปลก แม้บ้านหรูย่านใจกลางเมืองก็ไม่มีข้อยกเว้นครับ
แต่วันไหนเจอคุณพี่เขาเดินอยู่ในบ้านนี่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเท่าไร เพราะเป็นไปได้ที่เขาจะเข้ามาทำรังใต้บ้าน ตามท่อ หรือแวะมาคาบลูกหมาลูกแมวสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆไปเล่นในน้ำได้ โชคดีที่นิสัยส่วนใหญ่ของตัวเหี้ยนั้นเป็นสัตว์ขี้กลัว ไม่ชอบเผชิญหน้า (ยกเว้นตัวเก๋าๆ ที่ขนาดใหญ่ๆระดับเมตรกว่าขึ้นไป สามารถไฝ้ว กะหมาได้อย่างสูสี) ตัวเหี้ยนี่โดยทั่วไปแค่เราไล่ตะเพิดนี่ก็รีบเผ่นแล้ว ส่วนใหญ่ตัวเหี้ยเขาจะเรียนรู้ได้เองว่า ตรงไหนไม่ควรไป ตรงไหนควรไป ไม่ดื้อไม่ซนเท่าไร… อัตราการป่วนและความเดือดร้อนที่ตัวเหี้ยสามารถสร้างได้ ถือว่าน้อยมากครับ ออกแนวน่ารังเกียจมากกว่าและในความเป็นจริงตัวเหี้ยถือเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ด้วยซ้ำไป จึงถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 10
สำหรับคนที่รังเกียจและรับตัวเหี้ยไม่ได้จริงๆ สามารถป้องกันตัวเหี้ยเข้าบ้านได้ไม่ยากเย็นเท่าไรครับ คือดูแลบ้านให้สะอาดเรียบร้อย ไม่ให้เหมาะเป็นที่อยู่อาศัยของตัวเหี้ย หรือสัตว์เล็กๆที่ตัวเหี้ยชอบกิน ทำรั้วสูงหน่อย (ตัวโตๆปีนไม่เก่ง ตัวเล็กๆปีนเก่งมาก) ยอดรั้วติดเหล็กโค้งหรือวัสดุที่ไม่ให้ปีนเข้าได้ และประตูหน้าบ้านก็ปิดให้มิดชิด ถ้ามีรูด้านล่างให้ใส่ตระแกรงด้วย และอย่าลืมปิดฝาท่อรอบบ้านให้มิดชิด หรือใส่ตระแกรงสแตนเลสอีกชั้นก็ดี … ไม่ยากแค่นี้ ก็ลดทอนโอกาสที่ตัวเหี้ยจะแวะมาป่วนบ้านเราได้เยอะแล้วครับ
อันดับ 9 : นกพิราบ
สัญลักษณ์แห่งอิสระภาพ เสรี และสันติ .. นกพิราบมันกลายมาเป็นตัวกวนป่วนบ้านได้ยังไง… ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจและรู้จักเจ้านกชนิดนี้กันก่อนนะครับ … นกพิราบที่เห็นกันเกลื่อนเต็มเมืองนี้ เป็นนกพิราบหิน ที่แต่เดิมอยู่ตามผาตามหิน แถวเอเชียกลาง ก่อนจะแพร่กระจายมาอาศัยทั่วโลก เป็นปัญหาของเมืองอยู่ในปัจจุบัน
ความที่แต่เดิม นกพิราบชนิดนี้ เค้าอยู่ตามโพรงตามซอกหิน ดังนั้นเมื่อย้ายมาอยู่ในเมือง จึงโปรดปรานการทำรังสร้างบ้านอยู่ตามตึก ตามอาคาร โดยเฉพาะระเบียงคอนโดนี่จะนิยมเป็นพิเศษ นกพิราบไม่นิยมสร้างรังตามต้นไม้หรือตามป่านะครับ เรียกว่าปรับตัวเป็นคนเมืองโดยสมบูรณ์แบบ ปัจจุบันแค่ในกรุงเทพ ก็มีนกพิราบเป็นล้านแล้วครับ และนับวันยิ่งมากขึ้นๆเรื่อยๆ ด้วยความที่เราไม่มีการควบคุมอย่างจริงจัง ซึ่งน่าเห็นใจเจ้าหน้าที่เหมือนกันนะ คนไทยใจดี เวลาเจ้าหน้าที่จะกำจัดทีนี่ก็ลำบากมากครับ ฆ่าก็ไม่ได้ เอาไปเลี้ยงก็เปลืองงบ และเป็นปัญหาในชุมชนที่เอาไปเลี้ยงอีก… บางประเทศเขาสนับสนุนให้กินเป็นอาหาร ก็ลดจำนวนประชากรได้เยอะเหมือนกัน
นกพิราบเป็นสัตว์ที่กินง่าย ง่ายมากๆ กินได้แทบทุกอย่างที่คนเรากิน ผมเคยเดินตลาดนัด ที่มีนกพิราบเดินหากินตามพื้น มีคนทำถุงข้าวโพดต้มกับหมูสามชั้นทอดหล่นพื้น ภาพที่ผมเห็นคือ นกพิราบรุมแย่งกันกินหมูสามชั้นทอดโดยไม่เหลียวแลข้าวโพดต้มสักกะนิด… ใครบอกว่ามันเป็นสัตว์กินพืชอย่างเดียวล่ะเนี่ย โลกมันเปลี่ยนไปจริงๆ… เมื่อนกมันกินได้หลากหลาย และอาหารก็มีให้กินมากมายในเมือง แถมศัตรูทางธรรมชาติแทบไม่มี จึงเป็นเรื่องยากถึงยากมากๆ ในการไล่ ลดจำนวนหรือจำกัดนกพิราบในเมือง…ปัญหาของนกพิราบที่สร้างให้บ้านเรา เมื่อก่อนก็มีเฉพาะเรื่องอึนก ที่ขยันผลิตมาก ตรงไหนที่ชอบไปเกาะหรือทำรังนี่ จะเยอะมากเป็นพิเศษ อึนกมีฤทธิ์กัดกร่อนนอกจากสกปรกแล้วยังสร้างปัญหาให้วัด อาคาร และประติมากรรมในเมืองอย่างมาก… ปัจจุบันนี้นอกจากเรื่องอึนกแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องเชื้อโรคที่ค่อนข้างมาก รวมไปถึงโรคร้ายแรงอย่างไข้หวัดนกด้วยครับ… แต่ความที่ตอนนี้นกพิราบจัดอยู่ในระดับน่ารำคาญมากกว่าการสร้างความเสียหายอย่างจริงๆจังๆในประเทศไทย ผมจึงจัดให้อยู่ในลำดับ 9 ครับ
การป้องกันนกพิราบ ถือว่าไม่ง่ายนะครับ นกมีการมองเห็นและได้กลิ่นคล้ายเรา มีนิสัยที่ชอบทำรังตามที่สูงที่เป็นซอกหลืบ และเป็นสัตว์ที่ดื้อหน้ามึนม้ากกกก ลองได้ปักใจชอบบ้านไหนแล้วก็ไล่ไม่ค่อยไปและได้ลองลงหลักทำรังแล้วนะงานยากเลยมันจะคิดว่านี่คือบ้านตัวเองถาวรจะอยู่ไปชั่วลูกชั่วหลานไปอีกหลายๆรุ่นเลย… ดังนั้นถ้าเรายังไม่สร้างบ้าน ให้คิดเผื่อเรื่องซอกหลืบต่างๆที่เอื้อให้นกมาทำรังด้วย ปิดใต้ชายคาเสมอไม่ให้นกเข้าใต้หลังคาได้ ถ้าทำบ้านไปแล้ว ก็อย่ารอจนนกมาทำรังแล้วค่อยไล่ … ให้ป้องกันไว้ก่อนเลย ไม่ว่าจะติดตาข่ายในบางจุด ทากาวไล่นกในจุดที่เหมาะสม ติดแท่งหนามในพื้นที่บนชายขอบ(ติดถี่ๆ) ถ้าทำไม่เป็นแนะนำให้เรียกผู้เชี่ยวชาญมาดูแลครับ ส่วนระเบียงคอนโดต้องหมั่นไล่ครับอย่าเผลอให้มาทำรังเด็ดขาด เพราะลองได้ทำรังแล้วไล่ยากมากๆ คอนโดตากอากาศที่มีปัญหานกพิราบและนานๆไปที ก็ติดตาข่ายแบบเลื่อนเก็บได้ดีกว่า … อ่อ อีกาเป่าลมตัวละ 60 บาทในไดโซ ไม่เวิร์คนะครับ ผมลองมาแล้ว มันอึใส่ให้ดูต่างหน้าด้วย…
อันดับ 8 : มด
อันดับ 8 ตกเป็นของสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก แต่ไม่เล็กตอนสร้างปัญหานะครับ 🙂 มดในบ้านเรานี่มีหลากหลายสายพันธุ์มาก แต่เรามักจะคุ้นกับการแยกหยาบๆว่า มดดำ มดแดง ซะมากกว่า ซึ่งทุกตัวเมื่อบุกรุกบ้านก็สร้างปัญหากวนใจได้มากน้อยต่างกัน มดดำบอบบางว่องไวแต่ไม่กัด นิยมของหวาน และโปรดปรานพื้นที่ในครัว … ส่วนมดแดงมักทำรังนอกบ้านตามสวนตามพื้น มดแดงตัวเล็กที่เรียกว่า กลุ่มมดคันไฟนี่ตัวแสบ แตกต่างจากเจ้าตัวโตๆที่ชอบอยู่ตามต้นไม้ นั่นสร้างปัญหาน้อยเพราะมักหากินตามต้นไม้ไม่ค่อยเข้าบ้าน และมีประโยชน์ในการช่วยเก็บกินแมลงที่มาทำลายต้นไม้เราด้วย… ส่วนการก่อปัญหาในบ้าน เรามักจะคิดไม่ถึงกันนะครับว่ามดเป็นสัตว์เจ้าเล่ห์ คือชอบแอบโดดลงไปในถ้วยแกง ถ้วยขนมของกิน หรือในหม้อข้าว แล้วแกล้งตายคาถ้วย…พอเราเห็นก็ไม่กินเอาไปทิ้ง ซึ่งเข้าทางเค้าเลยครับ พอเราทิ้งอาหารลงถังขยะ ก็จะมีพรรคพวกเพื่อนฝูงของเจ้ามดพวกนี้ ไปรอเก็บกวาดที่ถังขยะเรียบร้อย นับว่าเป็นการวางแผนเป็นทีมที่ลึกซึ้งยิ่งนัก
เจ้ามดคันไฟนี่ กัดเจ็บนะครับ กลุ่มมดคันไฟบางชนิดมีพิษมาก กัดเจ็บและมีรายงานการเสียชีวิตจากการถูกมดรุมกัดในต่างประเทศด้วย โชคดีที่ประเทศไทยยังไม่มีมดชนิดนี้ จะมีแต่มดที่กัดเจ็บสุดๆแต่ไม่ถึงตายอย่างมดตะนอยตัวโตๆครับ… อย่างไรก็ดี มดก็ยังเป็นอันตรายอย่างมาก กับเด็กเล็ก ลูกสัตว์ หรือสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆในบ้านเราครับ เพราะโดนกัดเนี่ยถึงตาย อย่างลูกหนูหรือลูกนกนี่ ถูกรุมกัด และเอาไปกินเป็นเรื่องปกติธรรมชาติเลย ดังนั้นต้องระมัดระวังให้ดี
เด็กที่โดนมดกัดแล้วแพ้ เห็นแล้วก็สงสารครับ คงจะเจ็บน่าดู
ปัญหาเรื่องมด ต้องทำใจนะครับสำหรับคนมีบ้าน คือต้องรบกันไปยาวๆ ยืดเยื้อ ต้องคุมด้วยการพ่นยา (เลือกได้ทั้งแบบเคมี และไม่เคมี) หรือจ้างคนมาดูแลกำจัดป้องกันซึ่งเป็นระบบที่ต้องมีการเข้ามาทำที่บ้านเราเรื่อยๆ ไม่จบในทีเดียว.. ต้องคอยดูแลเรื่องเศษอาหาร และต้องทำลายรังตามต้นไม้ ตามสวน ด้วยยาอยู่ตลอด … ไม่ยาก แต่ต้องทำต่อเนื่องครับ … ส่วนคนอยู่คอนโด นี่ป้องกันก่อนเลยครับ ด้วยการพ่นยาที่วงกบประตูหน้าห้องและธรณีประตู วงกบหน้าต่าง และช่องเปิดต่างๆ (ซึ่งคอนโดมีไม่กี่ช่อง) และอย่าลืมพ่นกรอบช่องพัดลมระบายอากาศ(จากห้องน้ำ) ด้วย แค่นี้ก็ seal ห้องได้แล้ว แต่ต้องหมั่นพ่นเดือนละหนครับ
อันดับ 7 : แมว
เจ้าตัวนี้อาจจะไม่ถูกใจคนรักแมวเท่าไรนะครับ … แต่คงต้องบอกว่า “แมว” คือสัตว์เลี้ยงที่สร้างปัญหาป่วนกวนใจได้มากถึงมากที่สุดสำหรับหลายๆคนที่ไม่เลี้ยงแมวครับ เพราะแมวเป็นสัตว์รักอิสระมากและโดยธรรมชาติไม่ติดคนแถมบางตัวจะมองคนเป็นข้าทาสบริวารที่ต้องบริการแมวด้วยซ้ำไป ดังนั้นบ้านเราจึงนิยมเลี้ยงแมวแบบปล่อย และด้วยทักษะที่ไม่ธรรมดาและเกิดมาเป็นนักล่าโดยธรรมชาติ แมวทั้งที่มีเจ้าของและแมวจร จึงอยู่อาศัยในเมืองกันอย่างสุขสบาย และช่วยกันแพร่ประชากรมากมายเกินเราจะจินตนาการ (เราอาจจะคิดว่าหมามีมากกว่า แต่เชื่อได้เลยว่าแมวมีเยอะไม่แพ้กัน ที่เราเห็นตัวน้อยเพราะเขาตัวเล็กหลบนอนกลางวันและออกมาแฮ้งเอ้าท์กับเพื่อนยามราตรีครับ)
แมวสามารถปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ทั่วโลกได้อย่างสบาย โดยอิงแอบอาศัยใกล้ชิดบ้านเรือนของเรา ปีนรั้วเข้าออกบ้านเรา เดินบนหลังคาบ้านเราในตอนกลางคืนแทบทุกวัน แม้ว่าเราไม่เลี้ยงแมวบ้านไม่เลี้ยงแมวก็เหมือนเลี้ยงแมวโดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขามากันทุกคืน เพราะบ้านเราเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญ ซึ่งอุดมไปด้วยเศษอาหาร อาหารแห้ง ของเหลือเก็บ รวมไปถึงหนูและสัตว์เล็กๆในบ้าน ที่ถ้าไม่อยู่ในกรงที่มิดชิด ก็มีสิทธิ์หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยได้ง่ายๆ (เพื่อนๆที่เลี้ยงกระต่ายหรือแฮมเสตอร์คงเข้าใจดี)
ความที่แมวเป็นสัตว์น่ารักน่าเอ็นดู และในหลายๆวัฒนธรรมก็มีข้อห้ามในการฆ่าและกำจัดแมว คนเราจึงมักจะมองข้ามอันตรายและปัญหาที่เจ้าขนฟูปุกปุยนี่สามารถทำได้ ซึ่งมีเบาๆตั้งแต่เป็นตัวอันตรายต่อสัตว์เล็กๆในระบบนิเวศน์แทบทุกชนิด รวมถึงสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ปรสิตทั้งพยาธิ และหมัดแมว และโรคติดเชื้อต่างๆที่มากับแมวที่อันตรายมากเช่น โรคพิษสุนัขบ้า และเชื้อ toxoplasmosis ซึ่งมีในอึแมว ซึ่งทำให้แท้งบุตรได้… อ้าวบางคนก็คิดว่า ไม่ได้ไปจับอึมันจะติดได้ไง ติดง่ายมากกว่าที่เราคิดครับ เพราะแมวมันสัมผัสอึทางเท้าและติดขนได้ ถ้าเราไปจับมือเท้าหรือลูบขนแมว ก็มีสิทธิติดเชื้อทั้งนั้น บางคนหอมแมวจูบแมวเป็นประจำด้วยซ้ำไป… และยังมีเด็กมีคนอีกมากในสังคมที่แพ้ขนแมวครับ แม้ว่าไม่ได้เลี้ยงแมวที่บ้าน แต่ไม่ได้แปลว่าบ้านจะปลอดจากแมว เพราะแมวข้างบ้าน แมวในหมู่บ้าน แมวจร มันเข้ามาบ้านเราได้ไม่ยากเลย
การป้องกันแมวเข้าบริเวณบ้าน เป็นสิ่งที่ไม่ยากไม่ง่าย คล้ายกับการป้องกันสัตว์ไม่พึงประสงค์ทั่วไป คือการกำจัดแหล่งอาหารของแมวซะก่อนเลย และทำรั้วบ้านให้แมวเดินด้านบนไม่ได้ แมวเป็นสัตว์หวงเท้า และไม่ชอบหนาม บริเวณรั้วบ้านเราอาจปลูกไม้พุ่มที่มีหนามเล็กๆ บ้างก็ได้ บริเวณพื้นดินที่ร่วน แมวมักจะหมายตาจับจองทำส้วมส่วนตัว นี่ก็ต้องดูดีๆ ถ้าปลูกพืชคลุมดินหรือโรยกรวดได้ก็หมดปัญหาครับ
ส่วนบ้านที่เป็นทาวน์โฮม หรือตึกแถว มักเจอปัญหาแมวระดับตัวเก๋า ที่มีนิสัยชอบไปอึตามระเบียง ตามดาดฟ้า ตามจุดที่เขาขึ้นไปได้และสงบไม่มีคนรบกวน ส่งกลิ่นรบกวนและสกปรกมาก ไล่ไม่ไหวหรอกครับ พวกนี้มาตอนดึกๆและมีนิสัยชอบมาอึที่เดิมซ้ำๆ ถ้าอยู่ในจุดที่เราไล่หรือเฝ้าดูไม่ได้ แนะนำให้ปิดการเข้าถึงจุดนั้นไปเลยครับ หรือปรับ Slope ให้มีความลาดเทมากๆ หรือติดหนามแท่งๆ กันได้ทั้งนกและแมวไปเลย ก็พอจะช่วยได้
อันดับ 6 : แมลงวัน
อันดับ 6 ผมยกให้แมลงวันเป็นตัวป่วนอันน่ารำคาญเป็นอย่างมากสำหรับบ้านเราครับ ความที่ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน อันมีสภาพอากาศอันแสนเหมาะสมกับการดำรงชีพของแมลงวันยิ่งนัก จึงสามารถพบเจอแมลงวันได้ตลอดปี ทุกที่ทั่วไทยอย่างเท่าเทียม แมลงวันที่พบเจอประจำๆจนคุ้นหน้าคุ้นตาอันดับหนึ่งคือ แมลงวันบ้าน(ตัวซ้ายสุด) รองลงมาก็แมลงวันหัวเขียว(คนตั้งชื่อนี่ก็แปลก ดูดีๆสิหัวมันเขียวตรงไหน ตัวมันต่างหากที่เขียว…แหม่) ส่วนเบอร์สามคือแมลงวันหลังลาย (ขวาสุด)… สามตัวนี้มีนิสัยชอบตอมอาหาร มูลสัตว์และของเน่าเสียเหมือนกัน แต่มีข้อแตกต่างกันตรงที่แมลงวันหัวเขียวมักจะชอบอยู่แถวถังขยะร้านอาหารเป็นพิเศษ ส่วนเจ้าหลังลายนี่โปรดปรานสัตว์ตายหรือเนื้อเน่าปลาเน่ามากๆ …จริงๆถ้าบ้านไม่ค่อยจะมีหัวเขียวหรือหลังลาย แล้วอยู่ดีๆพบเจอชุกชุมผิดปกติให้สันนิษฐานได้เลยว่ามีอะไรตายอยู่ในบริเวณบ้านเราครับ
อันตรายของแมลงวันคือการแพร่สารพัดโรคโดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เพราะนิสัยชอบตอมของเน่าและมูลสัตว์ แค่บินผ่านอาหารเฉียดๆ ก็ปล่อยเชื้อร่วงลงจานเราเยอะแยะแล้ว สมัยก่อนแมลงวันเป็นสาเหตุการตายด้วยโรคท้องร่วงและอหิวาตกโรคมากนะครับ แต่ในปัจจุบันการสาธารณสุขเราดีขึ้นมาก ปัญหาเรื่องนี้ก็ค่อยๆลดน้อยลงไปจนไม่น่ากังวล … แมลงวันยังคงสร้างปัญหาให้ในบางพื้นที่ ที่มีแมลงวันชุกชุมมาก เช่น พื้นที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้แหล่งเสื่อมโทรม, บ่อขยะ, กลุ่มร้านอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ, ตลาดสด, โรงฆ่าสัตว์, สะพานปลา และพวกโรงเลี้ยงไก่ หมู ฟาร์มสัตว์ที่ไม่ได้มาตรฐาน จะมีแมลงวันชุกชุมมากเป็นพิเศษ
ปัญหาแมลงวันชุกชมนี่โหดร้ายกับชุมชนชาวบ้านมากนะครับ เป็นข่าวมาทุกปี เช่นที่บ้านหนองปึ๋ง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ตามรูปข้างบน ที่มีฟาร์มไก่มาตั้งที่หมู่บ้าน หลังจากนี้ก็งานเข้า กินนอนไม่มีอันเป็นสุข ชาวบ้านต้องกางมุ้งกินข้าว จะพูดคุยหัวเราะร่าเริงเหมือนก่อนก็ไม่ได้ แมลงวันมันจะบินเข้าปากเอา… ทรมานจริงๆนะไม่ได้ล้อเล่น (Credit ภาพและข่าว จาก นสพ.เดลินิวส์ ฉบับ 13 สค.56)
การป้องกัน คงต้องเน้นการกำจัดในบริเวณกว้างนะครับ เป็นปัญหาที่ชุมชนต้องช่วยกันจัดการ ซึ่งก็จัดการยากมากครับ บางทีต้องพึ่งภาครัฐเข้ามาช่วยด้วย เช่นพวกโรงงาน โรงแปรรูป ฟาร์ม ที่ไม่ได้มาตรฐานที่ก่อให้เกิดแมลงวัน , ร้านอาหาร , ตลาด พวกนี้ชาวบ้านจะไปทำอะไรได้ ต้องเป็นภาครัฐตรวจสอบและบังคับครับ… ส่วนการป้องกันแมลงวันในบ้านเราทั่วๆไป นอกจากเรื่องดูแลความสะอาด และปรับปรุงที่ทิ้งขยะให้มีฝาปิดมิดชิดแล้ว การป้องกันเน้น มุ้งลวด และฉีดพ่นยาเรื่อยๆครับ ส่วนการกำจัดแมลงวันนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ถ้าที่บ้านมีเด็กหรือผู้สูงอายุ ผมแนะนำให้ซื้อไม้ช๊อตแมลงที่หน้าตาเหมือนไม้เทนนิส ให้คนละอัน ให้เด็กๆกะอากงอาม่า มีกิจกรรมไล่ช๊อตแมลงวันเก็บแต้มสะสมครับ เพลินดี… นอกจากนี้ก็มีพวกโรยผงเหยื่อฆ่าแมลงวัน, กาวดักแมลงวัน … ส่วนคนที่มีตังค์หน่อย ก็ซื้อเครื่องกำจัดแมลงวันที่มีไฟสีๆล่อแล้วช๊อต มาตั้งที่บ้านครับ ไม่แนะนำให้ใช้แบบพ่นยาอัตโนมัติที่นิยมใช้ในร้านอาหารกะซุปเปอร์มาร์เกต เพราะมีสารเคมีสะสมครับ
อันดับ 5 : แมลงสาบ
อันดับ 5 เป็นของสุดยอดสิ่งมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการครองโลกครับ แมลงสาบ … แมลงที่มีสัมผัสพิเศษ ที่จะบินไปหาคนที่เกลียดมันได้อย่างแม่นยำ ยิ่งเกลียดมักยิ่งเจอ แปลกจริงๆ เจ้าพวกนี้ที่เจอในเมืองไทยมักจะมีสองสายพันธุ์หลักนะครับ คือแมลงสาบเยอรมัน(ตัวซ้าย) และแมลงสาบอเมริกัน (ตัวขวา) ถ้าเราเจอตัวขวาในบ้านบ่อยกว่าไม่ใช่ว่ามันเยอะกว่าเสมอไปนะครับ หากแต่เป็นเพราะมันหน้าด้านกว่า หรืออาจจะเข้าใจตัวเองผิดคิดว่าตัวเป็นสัตว์เลี้ยงที่เรารัก เลยออกมาขออาหารบ่อยๆ ส่วนตัวซ้ายแมลงสาบเยอรมันจะตัวเล็กกว่ามากและชอบแอบตามซอกที่เราคาดไม่ถึง เวลาเจอมักจะเจอเป็นครอบครัวใหญ่มีนับสิบ นับร้อยอยู่รวมกันครับ … น่าสยดสยองมากๆ … มีสุภาษิตเยอรมันที่ผมเพิ่งคิดขึ้นเองอันนึง กล่าวว่า “หากคุณเจอแมลงสาบหนึ่งตัว แปลว่ามีแมลงสาบอีกสิบตัวอยู่ในครัว” คือตัวที่เราเจอมักจะเป็นตัวที่จับไม้สั้นไม้ยาวแพ้และต้องออกมาหาอาหารกลับบ้านน่ะครับ
สภาพแมลงสาบเยอรมัน ที่ถูกกำจัดจากหลังตู้เย็นเพียงจุดเดียว…ขนาดตู้เย็นใบเดียวยัง อยู่กันเป็นชุมชนหนาแน่นขนาดนี้กันแล้วทั้งบ้านจะเยอะขนาดไหน…บรื๋ยส์
อันตรายจากแมลงสาบนั้นมีมากนะครับ หลักๆคือเป็นตัวสกปรกและตัวการก่อโรคหลากหลายชนิดครับ ซึ่งคงไม่ต้องบรรยายมาก มนุษย์โลกทุกคนต่างล้วนทราบกันดี แต่มีโรคสามัญประจำบ้านอันนึงที่เรามักคาดไม่ถึงครับคือ “โรคภูมิแพ้” บางคนไอจามบ่อยๆ คิดว่าตัวเองสุขภาพไม่ดี เป็นหวัด หรือแพ้ฝุ่น หอบหืด … หารู้ไม่ว่า แพ้ฝุ่นจากเศษมูลแมลงสาบ หรือเศษซากแมลงสาบครับ
แมลงสาบมันไม่ได้น่ารักพูดรู้เรื่องแบบในหนังเรื่อง Joe’s Apartment นะฮะ เป็นตัวกวนที่ควรป้องกันและกำจัด โดยวิธีการกำจัดนั้น ไม่ยากครับ คล้ายมด ซึ่งต้องป้องกันและกำจัดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการกำจัดแหล่งอาหาร เก็บบ้านให้เรียบร้อยไม่รกไม่สกปรก ทิ้งขยะให้เรียบร้อยมีฝาปิด และพ่นยาป้องกันและกำจัดแบบเดียวกับมดเด๊ะเลย โดยเฉพาะคอนโด ซึ่งเพิ่งย้ายเข้าให้รีบ Seal ห้องด้วยการพ่นยาที่ช่องเปิด กรอบประตูหน้าต่าง ก่อนเราเข้าอยู่ เพราะพอขนของขนเฟอร์และย้ายเข้าอยู่แล้วจะกำจัดลำบาก การ Seal ห้องไว้ด้วยการพ่นยาทุกเดือน จะป้องกันไม่ให้แมลงสาบ(และมด) เข้าห้องเราครับ … ส่วนบ้าน นี่จะกันยากกว่า และถ้ามีเห็นเป็นตัวๆอยู่แล้วให้ลองกำจัดเองก่อน โดยการใช้เหยื่อล่อ พ่นยา และพ่นป้องกันสมาชิกใหม่เข้าบ้าน จนกว่าจะปลอดแมลงสาบ … หากเอาไม่อยู่ให้เรียกผู้เชี่ยวชาญ โดยประสบการณ์ที่ผมเจอ เยอรมันตัวเล็กนี่จะกำจัดยากกว่าอเมริกันมากๆ เพราะถ้ารอดไปตัวเดียว แป๊บเดียวก็แพร่มาได้อีกเยอะแยะ และความที่มันตัวเล็ก สามารถหลบอยู่ในที่ซอกแคบมากขนาดสอดกระดาษได้ ยาเข้าไม่ถึง จึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่อึดและกำจัดออกจากบ้านได้ยากสุดๆ ในต่างประเทศถึงขั้นรื้อผนังและรมควันบ้านทั้งบ้านก็ต้องยอมครับ ไม่งั้นไม่จบ… แม้แมลงสาบจะไม่ได้ก่อภัยรุนแรงมากมายสำหรับเรา แต่ความที่มันกำจัดยากนี่ก็เป็นปัญหาน่าปวดหัวเช่นกัน
อันดับ 4 : หนู
หนูถูกจัดให้อยู่ในลำดับ 4 เพราะนี่คือตัวร้ายกาจที่ไม่ใช่แค่ก่อความน่ารำคาญ แต่สร้างความเสียหายได้มาก และกำจัดให้หมดไปได้ยากยิ่ง หนูในรูปด้านบนนี้คือหนูท่อ หรือหนูนอร์เวย์ ซึ่งพบเจอได้ทั่วไปตามท่อ ตามพื้นที่สาธารณะ และตามตลาดสด กินอาหารได้หลากหลาย และชอบบริโภคเนื้อสัตว์ ซึ่งหาได้อย่างอุดมสมบูรณ์ในตลาดสดแบบมาตรฐานบ้านเรา…จนหนูตามตลาดบางตัวโตมากจนซัดกะแมวตัวต่อตัวได้ก็แล้วกัน … หนูมีศักยภาพสูงมากในการทำลายล้าง เพราะความเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่แพร่พันธุ์ได้เร็วและเยอะมาก แค่การกัดกินอย่างเดียวหนูก็สามารถทำลายเรือกสวนไร่นากันได้ถึงสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่นับโรคที่มากับหนู ที่สามารถคร่าชีวิตผู้คนได้มากหลาย ตั้งแต่โรคฉี่หนู ที่ยังพบเจออยู่เรื่อยๆ และโรคอีกมากที่มากับความสกปรกและเห็บหมัดหนู ส่วนกาฬโรคที่สามารถทำลายล้างมนุษย์ได้นับล้านในอดีต ถูกควบคุมได้แล้ว
หนูที่เจอๆกันในบ้านเรานอกจากหนูท่อ (Norway Rat) แล้วก็มีหนูท้องขาว (Roof Rat) และ หนูหริ่ง (House Mouse) วิธีแยกคือขนาดและลักษณะภายนอกครับ หนูนอร์เวย์ตัวใหญ่สุดโหดสุด อยู่ตามโพรงตามพื้น ตามท่อ ไม่ค่อยชอบปีนป่าย ชอบกินอาหารจำพวกแป้งและเนื้อสัตว์, หนูท้องขาวตัวเล็กลงมาหน่อย มีท้องสีขาว ชอบปีนป่ายมักเจอที่ใต้หลังคา ชายคา ซอกผนัง ชอบกินพืชและเมล็ดพืช ไม่โปรดเนื้อ, ส่วนหนูหริ่งจะตัวเล็กจิ๋วขนาดพอๆกับลูกหนูท้องขาว หูใหญ่ๆ นิสัยเหมือนหนูท้องขาวครับ… หนูทุกชนิดที่กล่าวมา เป็นพาหะนำโรคทั้งนั้น
การป้องกันหนูนั้น ต้องทำสามอย่างครับ คือ
1. กำจัดแหล่งอาหารที่ดึงดูดหนู รวมถึงปิดฝาถังขยะให้มิดชิด
2.ป้องกันหนูเข้าบ้านโดยปิดจุดที่เป็นทางเข้าให้หมด โดยหนูมักจะมาเยี่ยมบ้านเราจากการปีนเข้ามาผ่านต้นไม้และรั้ว, มุดเข้ามาจากท่อระบายน้ำ และเดินเข้ามาเฉยๆตามใต้ประตู ดังนั้นเราต้องปิดตั้งแต่รั้ว และใต้ประตูให้มิดชิด ใต้ชายคาและรอยต่อกระเบื้องหลังคาด้วย และอย่าลืมใช้ตระแกรงสแตนเลสปิดฝาท่อน้ำรอบๆบ้านด้วย
3. กำจัดหนูที่มีอยู่ในบ้าน โดยการดักจับ ใช้กับดัก ใช้ได้ผลในกรณีมีหนูไม่มากนะครับ (ไม่แนะนำให้วางยาเบื่อเอง เพราะหนูมักหนีไปตายในที่ที่เราเข้าไม่ถึง เก็บซากยาก เหม็น และบางทีมันหนีไปตายบ้านคนอื่น เดือดร้อนเขาอีก) บ้านที่หนูเยอะ ควรใช้ผู้เชี่ยวชาญในการจับหรือกำจัด เพราะหนูมันฉลาดและเรียนรู้ไวครับ แป๊บเดียวกับดักที่เคยดักได้ผล ก็ใช้ไม่ได้แล้ว
*** สำหรับคอนโด ก็มีหนูได้นะครับ โดยเฉพาะคอนโดเก่า หรือคอนโดที่ออกแบบมาไม่ละเอียด หนูมันก็เข้ามาตามช่องต่างๆ ได้ คอนโดบางที่ช่องชาร์ฟและท่อต่างๆ ปิดรูไม่มิด หนูมันก็อยู่ในนั้นแหละใช้เป็นทางด่วนสบายเลย…ส่วนคนที่อยู่คอนโด แล้วในห้องมีหนูนี่ควรพิจารณาตัวเองนะครับ ห้องมันคงจะรกเกินไปแล้วล่ะ
อันดับ 3 : งู
คือผมว่า ผมลงรูปนี้รูปเดียวก็น่าจะเป็นตัวแทนความสยดสยองของ งู แล้วนะครับ นี่มันเกิน Limit ของคำว่าตัวกวนป่วนบ้าน ไปหลายเปอร์เซนต์เลย เชื่อว่า ใครเจอพี่เค้าโผล่มาทักทายแบบนี้ จะไม่กล้าเข้าส้วมไปอีกนาน นาน นานนนนนนนนนน เป็นผมก็คงต้องหันมาใช้กระโถนแทนถ้าอั้นไม่ไหวจริงๆนะ
ประเทศไทยเรา เป็นเมืองที่อุดมไปด้วยงูมาแต่ไหนแต่ไรครับ มีทั้งงูพิษที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างงูจงอาง งูชนิดที่ใหญ่อันดับต้นๆของโลกอย่างพี่เหลือมและพี่หลาม และพวกมีพิษรุนแรงและชอบอยู่ใกล้มนุษย์อย่าง งูเห่า งูสามเหลี่ยม งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้ … งูเหล่านี้ ตัวแสบอันตรายที่ชอบโผล่มาแวะบ้านเราบ่อยที่สุดคือเหลือม เพราะอาหารโปรดเขาอยู่ในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นหนูที่วิ่งอยู่ทั่วไป และใต้หลังคา(สาเหตุที่ชอบเจองูบนขื่อ) แมวที่ชอบเดินบนรั้ว (พี่หลามดักอยู่บนต้นไม้ริมรั้ว) และสัตว์เลี้ยงน่ารักที่เราเลี้ยงไว้ในบริเวณบ้าน ล้วนดึงดูดงูเหลือมและหลามเข้ามาได้ทั้งสิ้น… เส้นทางสัญจรหลักของงูพวกนี้ที่อยู่ในเมืองคือ “ท่อ” ครับ ท่อน้ำทิ้งบ้านเรา มันไปเชื่อมกับเครือข่ายท่อน้ำทิ้งของเมือง และคลอง ซึ่งเป็นเส้นทางสัญจรหลักของงูเหลือมและงูหลามนะครับ งูในเมืองมันเยอะถึงขนาดในกรุงเทพมีคนยึดอาชีพจับงูเหลือมขายก็แล้วกัน
งูเห่า งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ และงูสามเหลี่ยม งูจงอาง จะแตกต่างออกไป … อาหารของงูเห่า, กะปะ คือหนู ซึ่งมีอยู่ชุกชุมตามบ้านคน เราจึงมักพบเจองูพวกนี้อยู่เรื่อย ยังดีที่งูเห่ามักจะไม่ชอบเมืองนัก จึงมักพบเห็นตามเขตชานเมืองมากกว่า อีกทั้งยังมักหลบหนีผู้คน ถ้าไม่จนตรอกจริงๆก็ไม่กัด… ส่วนงูกะปะ มีจำนวนน้อย และชอบอยู่ตามกองใบไม้ ถ้าไม่เดินเหยียบหรือเข้าใกล้จริงๆก็ไม่ถูกกัดเช่นกัน… งูเขียวหางไหม้ จะอาศัยตามต้นไม้แทบจะตลอดเวลา โอกาสโดนกัดน้อย
งูสามเหลี่ยม กับจงอาง จะแตกต่างจากงูทั่วไปตรงที่ เป็นงูที่กินงูด้วยกันเองนะครับ ถือเป็นอาหารโปรด เวลาเจอเจ้าพวกนี้ตามบ้าน แปลว่าเขาตามงูอื่นมาอีกที งูสามเหลี่ยมพอหาเจอได้เรื่อยๆ ส่วนจงอางนี่ในเมืองแทบไม่มีนะครับ จะเจอก็แต่พื้นที่ห่างไกล หรือในบางบริเวณเท่านั้นเอง
… เล่ามาซะยาว เพราะถ้าเราเข้าใจ งู แต่ละชนิดแล้ว การป้องกัน มันจะทำได้ง่ายและไม่หวาดวิตกจนเกินกว่าเหตุครับ โดยการกำจัดแหล่งอาหารอย่างหนูออกไป จัดบ้านให้ดีไม่รก ปิดฝาท่อระบายน้ำด้วยตระแกรงสแตนเลส แล้วทับด้วยฝาคอนกรีตหนักๆอีกที … และคนที่กลัวงูโผล่ห้องน้ำ ต้องติดตั้งระบบท่อระบายน้ำให้ถูกต้องตามมาตรฐาน ท่อจากโถสุขภัณฑ์ถ้าลงบ่อเกรอะสำเร็จรูปนี่โอกาสงูและสัตว์อื่นเข้าแทบจะเป็นศูนย์ ส่วนท่อน้ำทิ้งต้องมีตระแกรงปิดให้มิดชิดครับ ตรงส่วนปลายที่ต่อออกท่อภายนอกจะติดวาล์วเพิ่มก็ได้
อันดับ 2 : ปลวก
ปลวกเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่มีพลังการทำลายล้างสูงเกินตัวครับ สูงแบบคาดไม่ถึง โดยเฉพาะถ้าเรากำลังพูดเรื่อง “บ้าน” เพราะปลวกมันทำลายบ้านได้เป็นหลังๆ … แม้จะดูไม่มีพิษสงอะไร แต่การป้องกันกำจัดปลวกด้วยตัวเองนั้นลำบากครับ และเผลอไม่อยู่ไม่ดูแลบ้านไม่กี่เดือนกี่ปี ปล่อยให้พี่แกเข้าไปตั้งรกรากได้ก็งานเข้าเลยละครับทีนี้
ปลวกเป็นสัตว์สังคม ที่มีราชินีเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง โดยราชินีมีหน้าที่ออกลูกหลานมาเป็นประชากรปลวกที่คอยทำงานทั้งหมดเพื่อดำรงสังคมปลวกนั้นไว้ ในรูปข้างบนตัวอวบอ้วนตรงกลางนี่แหละครับราชินีปลวก
ปลวกในรังจะมี ราชินี ตัวเดียว , มีปลวกตัวผู้, ปลวกทหาร (มีจำนวนรองจากปลวกงาน ทำหน้าที่ปกป้องรัง), ปลวกงาน(มีจำนวนมากสุดทำหน้าที่ต่างๆทั้งหาอาหาร ดูแลตัวอ่อน) และแมงเม่า (คนละชนิดกับ แมงเม่าที่ชอบเสียสละตัวเองช้อนซื้อหุ้นแล้วขึ้นดอยนะครับ)
ใครคิดว่าปลวกมันเจาะได้แต่ไม้ ก็ลองดูรูปข้างบนนี้ครับ 🙂 พี่แกเจาะอิฐ และหาจุดเปราะบางของแนวปูนเพื่อเจาะทำลายได้ด้วยซ้ำ … ความเสียหายที่ปลวกสร้างไว้ เฉพาะในอเมริกาประเทศเดียว(ที่มีการเก็บประเมินสถิติ) ก็มีมูลค่านับหลายหมื่นล้านบาทแล้วครับ ถ้านับเป็นบ้านก็คงราวๆ 12,000 หลังขึ้นไป ลองคิดดูเอาครับว่าทั้งโลกจะเป็นเท่าไร ขนาดว่าอเมริกานี่เขามีมาตรฐานการป้องกันที่ดีแล้วนะ รวมๆแล้วผมว่าบ้านนับแสนหลังต่อปี ถูกทำลายโดยปลวกครับ … ช่างเป็นการทำลายล้างที่รุนแรงยิ่งกว่าทอร์นาโดอีก… ยังดีที่ความเสียหายจากปลวก มันเป็นอันตรายแค่บ้านและสิ่งนอกกาย ปลวกแทบไม่ได้ทำอันตรายใดๆต่อมนุษย์เลย … ดังนั้นแม้จะทำลายบ้านได้อย่างมากที่สุด แต่ผมก็ไม่จัดให้เป็นอันดับหนึ่งครับ
การป้องกันกำจัดปลวก มุ่งเน้นการใช้สาร(ทั้งเคมีและออร์เกนิค) ป้องกัน กำจัด และเหยื่อล่อ จุดสลบของปลวกคือราชินี จัดการได้ก็เดี้ยงยกรัง … แต่การรบกับปลวก มันไม่ใช่สงครามวันเดียว หากแต่เราต้องต่อสู้ปกป้องบ้านจากการหลั่งไหลมุ่งสู่แสงไฟของปลวกจากภายนอก … กำจัดรังที่หนึ่งจบไป แมงเม่าและราชินีตัวสดใหม่ ก็พร้อมจะบินเข้ามาครับ ดังนั้นหากคุณมีบ้าน แนะนำว่าจ่ายรายปีให้มืออาชีพเขาดูแลเถอะครับ เด็ดขาดกว่า
อ้อ คนที่อยู่คอนโดใช่ว่าจะปลอดปลวกนะครับ มีครับ ไม่ต้องน้อยใจ มีแน่ๆ ธรรมชาติจัดให้ครับ การป้องกันและกำจัด ทางนิติต้องจัดการที่พื้นที่ส่วนกลางครับ และห้องที่อยู่ข้างล่าง ใช่ว่าจะเสี่ยงมากกว่าข้างบน เพราะบางคอนโดผมเจอมากับตัวเอง ปลวกมันมาทางท่อน้ำครับ ห้องที่ปล่อยทิ้งนานๆท่อแห้ง มันขึ้นมาตามท่อระบายน้ำก็เคยเจอ ดังนั้น ต้องหมั่นคอยดูแลนะครับอย่าประมาท เวลามันเข้าห้องในคอนโดได้ พื้น วอล์เปเปอร์ และเฟอร์นิเจอร์ไปก่อนครับ…
อันดับ 1 : เพื่อนบ้าน
ข่าวเพื่อนบ้านทะเลาะกัน ถึงขั้นเอาชีวิต มีให้เราดูทุกปี ปีละหลายๆครั้ง หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทย ที่เรียกตัวเองว่า ชาวพุทธ สยามเมืองยิ้ม บ้างอาจจะรู้สึกว่าความอดทนและเอื้ออาทรต่อคนข้างเคียงของคนสมัยนี้ทำไมมันช่างน้อยเสียเหลือเกิน … ผมอยากให้ทำใจนะครับ บ้านเมืองเรามีคน 60 กว่าล้านคน คน Here Here ที่สร้างปัญหาที่เป็นข่าว มีอยู่ไม่ถึง 1% ซึ่งเราต้องทำใจครับ ว่าสังคมมันย่อมมีทั้งคนดี คนเลว คนจุดเดือดต่ำ คนอดทนสูง มนุษย์ลุง มนุษย์ป้า คนไร้เดียงสา และจิตอาสาที่เสียสละทำเพื่อสังคม ล้วนปะปนหลอมรวมเป็นสังคมเดียวกัน
ถ้าเรา Search Google ด้วยคำว่า “เพื่อนบ้าน” เราจะเจอหัวข้อข่าวที่ชวนหดหู่ใจพวกนี้ครับ บางเรื่องก็ช่างไม่เป็นสาระ บางเรื่องก็หมักหมมเรื้อรัง บางเรื่องก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้เลย… ปัญหาเรื่องเพื่อนบ้าน เป็นปัญหาที่คนไทยต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวครับ เพราะแต่เนิ่นนานมา สังคมเราพึ่งพากัน ใช้แรงงานร่วมกัน จึงมีความเอื้ออาทรต่อกัน ความกดดันในการใช้พื้นที่ก็น้อย เรามีที่ดินมากมาย ปลูกบ้านมีระยะห่างกันได้เกือบจะตามใจ… แต่ปัจจุบันเราถูกบีบให้อยู่ใกล้ชิดติดกันมากขึ้น จากบ้านจัดสรรยุคแรกที่มีที่ดิน 200 ตารางวา ปัจจุบันบ้านเดี่ยวสมัยนี้ที่ดิน 50 ตารางวา … ส่วนทาวน์โฮมไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้ 16-18 ตารางวา ผนังเดียวกัน แค่เปิดเพลงเสียงดัง ก็แทบจะออกมาตบกันหน้าบ้านแล้วครับ… คอนโดมิเนียมจะแตกต่างออกไป เพราะแม้จะพื้นที่น้อย แต่คนก็ไม่ค่อยทำกิจกรรมล้ำเส้นกันนัก ไม่มีหมาแมว และมักไม่มีเด็ก … สิ่งที่ควรระวังก็แค่สาวข้างห้องจะแอบมาฉกแฟนเราไปกินหรือเปล่าเท่านั้นเอง
เรื่องเพื่อนบ้านนี้ เราต้องรู้จักใช้สติในการบริหารจัดการครับ อันดับแรกคือ ก่อนเราจะไปสร้างบ้านซื้อบ้านอยู่ที่ใด เราควรจะต้องรู้จัก “เลือก” เพื่อนบ้านซะก่อน บางคนคิดว่าบ้านในโครงการ A แพงกว่า ออกไปสร้างเอง แต่อาจจะลืมคิดปัจจัยเรื่องเพื่อนบ้านรายรอบไปด้วย ราคาบ้านและเงินทอง ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการเลือกเพื่อนบ้านที่ดีเสมอไป (แม้ว่าส่วนใหญ่มันจะเป็นเช่นนั้น เพราะคนตังค์เยอะ อยู่บ้านแพง ต้นทุนชีวิตเขาสูงต้องคิดเยอะ ไม่ออกมาต่อยกะใครง่ายๆ) ที่พูดแบบนี้ เพราะโดยประสบการณ์ บ้านราคาถูก ไม่แพง ก็มีสังคมที่ดี ที่น่ารักเอื้ออาทรต่อกันได้เช่นกัน ซึ่งนี่แหละคือการบ้านข้อแรกที่เราต้องทำ ก่อนจะซื้อหรือย้ายเข้าไปอยู่ในชุมชนใดๆ
หลังจากที่เราเป็นส่วนหนึ่งในสังคมบ้านนั้นๆแล้ว มีสิ่งที่ต้องพึงกระทำอีกคือ การช่วยเหลือกัน ออกกฎกติกา และควบคุมด้วยตัวแทนที่เข้มแข็งเสียสละ จริงจัง ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากลูกบ้านโดดประชุม ไม่สนใจ ไม่ร่วมมือกัน เพราะเมื่อไหร่ที่กรรมการหรือสังคมลูกบ้านหย่อนยาน สันดานคนชอบเอาเปรียบและคนนิสัยไม่ดี จะกำเริบขึ้นมาทำเรื่องที่ไม่น่าทำ และเกิดปัญหาเป็นลูกโซ่ดังที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
สุดท้าย ถ้าเราเจอสังคมเพื่อนบ้านที่แย่ เกินอดทนและเกินเยียวยา ผมแนะนำว่า ให้ย้ายออกมาเถอะครับ คนไม่ใช่ควาย จะอดทนจมปลักอยู่ทำไม …
ผมยกให้ “เพื่อนบ้าน” เป็นตัวปัญหาอันดับหนึ่ง หาใช่เพราะมองโลกในแง่ร้าย เพื่อนบ้านดีๆก็มีถมไปครับมากกว่าเพื่อนบ้านแย่ๆเยอะ แต่ปัญหาเพื่อนบ้าน เป็นพื้นฐานสำคัญที่สังคมไทยต้องเรียนรู้ร่วมกันทุกคน หากเราเรียนรู้อยู่ด้วยกันด้วยการเคารพกฎกติกาในสังคมเล็กๆของเรา เอื้ออาทรต่อเพื่อนบ้านรั้วติดกัน และสนใจตรวจสอบทรัพย์สมบัติส่วนกลางที่เราต่างเป็นเจ้าของร่วมกัน… จากในสเกลเล็กๆอย่างหมู่บ้านและคอนโดของเรา มันจะค่อยๆลามไปสู่ระดับสังคม และระดับชาติ อันจะทำให้สังคมโดยรวมของเรา เจริญและน่าอยู่ยิ่งขึ้นครับ… 🙂