ทำเล (Location) ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการเลือกที่อยู่อาศัย หลายๆคนเมื่อกำลังจะมีบ้านก็มักจะนึกถึงทำเลก่อนจะเรื่องอื่นๆด้วยซ้ำ แต่ละคนก็มีเหตุผลในการตัดสินใจเลือกทำเลที่แตกต่างกัน เช่นความคุ้นเคย ใกล้ที่ทำงาน ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก หรือ เดินทางสะดวก ปัจจุบันอสังหาริมทรัพย์มีตัวเลือกมากขึ้น มีโครงการน้อยใหญ่แข่งกันขึ้นเต็มไปหมด ในเมืองมีความหนาแน่นของที่อยู่อาศัยมากขึ้น ส่วนพื้นที่ชานเมืองหรือต่างจังหวัดก็มีการขยายตัวของโครงการอสังหาริมทรัพย์ มีตัวเลือกให้คนตัดสินใจซื้อทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมซึ่งส่วนใหญ่มักเกาะกลุ่มกันอยู่ตามแนวรถไฟฟ้าหรือทำเลใกล้สถานที่สำคัญ เดินทางสะดวก ส่วนบ้านแนวราบในระดับราคาเดียวกันจะอยู่ในทำเลที่ไกลออกมาหน่อย  สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องมาจากต้นทุนการพัฒนาโครงการหรือราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นมาก การจะสร้างบ้านใจกลางเมืองให้คุ้มทุนจำเป็นต้องขายราคาสูงจนเกินราคาตลาด เมื่อพัฒนาแล้วก็จะขายไม่ได้ จึงเหมาะกับการสร้างเป็นคอนโดมิเนียมซึ่งห้องได้จำนวนยูนิตมากกว่า ราคาต่อหน่วยจึงถูกลงมาในระดับที่พอหยิบจับได้

การเลือกทำเลที่อยู่อาศัยนั้น ตั้งแต่อดีตแล้วที่คนเรามักจะเลือกปลูกบ้านตามสิ่งอำนวยความสะดวกหรือสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น ในสมัยก่อนที่คนไทยใช้การคมนาคมทางน้ำเป็นหลักจึงนิยมปลูกเรือนตั้งรกรากกันริมฝั่งแม่น้ำ ปัจจุบันจึงมีชุมชนเก่าแก่เกาะกลุ่มอยู่ริมแม่น้ำ เช่นในย่าน เจริญกรุง พระราม3 ท่าช้าง ท่าพระจันทร์ เป็นต้น อีกตัวอย่างหนึ่งคือการนิยมเลือกที่อยู่อาศัยใกล้วัดซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทย ถ้าลองสังเกตดูจะเห็นว่ารอบๆวัดมักจะมีลักษณะเป็นชุมชน มีตลาด และ ร้านค้าต่างๆอยู่มากมาย

ต่อมาเริ่มมีการตัดถนนหนทาง คนเปลี่ยนมานิยมใช้การคมนาคมทางบกมากขึ้น บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ใกล้ถนนจึงเป็นที่นิยมเนื่องจากความสะดวกสบายในการเดินทาง โดยเฉพาะทำเลที่ติดถนนใหญ่ ใกล้ทางด่วนจะมีความหนาแน่นของบ้านเรือนมากกว่าทำเลที่ไกลออกไป ถ้าย้อนกลับไปซัก 10-20 ปี ในสมัยปู่ย่าตายายเราที่อยู่อาศัยจะมีแค่บ้าน ตึกแถว และ อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียมมีน้อยมากๆ ต่อมาความต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลที่สะดวกสบายมีมากขึ้น ทั้งจากคนกรุงเทพฯเอง รวมถึงประชากรที่ย้ายรกรากจากต่างจังหวัดเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ประกอบกับราคาอสังหาริมทรัพย์เริ่มแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนคนทำงานทั่วๆไปมีรายได้ไม่พอที่จะซื้อบ้านใกล้ที่ทำงานใจกลางเมือง อาคารที่อยู่อาศัยรวมหรือคอนโดมิเนียมจึงเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น มีผู้ประกอบการพัฒนาโครงการออกมาแข่งกันขาย ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการอยู่อาศัยของเราค่ะ

จนมาถึงปัจจุบันได้มีปัจจัยหนึ่งซึ่งเข้ามาเปลี่ยนแปลงความนิยมในการเลือกที่อยู่อาศัยอีกครั้งหนึ่ง นั่นก็คือการมาของรถไฟฟ้า ทำให้ทำเลไหนที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้าเป็นที่ต้องการและมีราคาที่สูงขึ้น เนื่องด้วยความสะดวกสบายในการเดินทาง ประหยัดเวลาในชั่วโมงที่เร่งด่วน บางทำเลก็ไม่สามารถหาที่ดินมาปลูกเป็นบ้านแนวราบในระดับราคาที่คนฐานะธรรมดาจะหยิบจับได้ เช่น สีลม สาทร เพลินจิต คนที่อยากอยู่ในทำเลใกล้รถไฟฟ้าจึงเลือกอยู่คอนโดมิเนียมแทน เพราะนอกจากจะเดินทางสะดวก ราคาพอหยิบจับได้แล้ว ยังมีพื้นที่ส่วนกลางให้ใช้งาน แลกมากับความเป็นส่วนตัวที่น้อยลง ห้องมีพื้นที่จำกัดมากขึ้นและไม่มีที่ดินอย่างบ้านนั่นเอง

ถ้าสังเกตเราจะเห็นว่าในทำเลเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นในย่านใจกลางเมืองอย่างรัชดาภิเษก-ลาดพร้าวคอนโดมิเนียมจะมีราคาตารางเมตรละประมาณ 9x,xxx – 14x,xxx บาทต่อตารางเมตร สมมติว่าเราซื้อห้องขนาด 30 ตารางเมตร ราคาตารางเมตรละ 120,000 บาทมา ก็จะต้องจ่ายราคา 3.6 ล้านบาท ถ้าจะซื้อบ้านเดี่ยวอาจจะมีราคาสูงถึงประมาณ 20 ล้านบาทเลยทีเดียว นั่นเป็นเพราะอย่างที่ได้กล่าวไว้ตอนแรกๆว่าราคาขายนั้นขึ้นอยู่กับต้นทุนการพัฒนาโครงการ การทำคอนโดมิเนียมผู้พัฒนาโครงการสามารถแบ่งย่อยห้องออกมาขายได้จำนวนมากกว่า จึงขายในราคาที่ย่อมเยากว่าบ้านที่แบ่งแปลงขายไม่กี่หลัง แต่ก็มีบ้านที่แพงมากๆหรือ Super Luxury House ที่มักอยู่ใจกลางเมืองทำเลเทียบเคียงกับคอนโดมิเนียมเลย ผลิตภัณฑ์นี้จะมีกลุ่มลูกค้าเฉพาะ นั่นก็คือกลุ่มที่มีรายได้สูงที่ซื้อของด้วยความชื่นชอบส่วนบุคคล ทำเลจึงไม่ใช่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อ

สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วหากเรามีเงินอยู่ในงบประมาณที่จำกัด หรือ อยากได้ทำเลที่เดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้าก็อาจจะต้องพิจารณาซื้อคอนโดมิเนียมแทน ถ้าเดินทางด้วยรถยนต์เป็นหลักอยากได้ที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่มากหน่อยก็จะเหมาะกับทาวน์โฮมหรือบ้านในทำเลที่ไกลออกมาหน่อย แต่ก็ยังใกล้สาธารณูปโภคต่างๆ มีความสะดวกสบาย บางทำเลก็ไม่สามารถพัฒนาโครงการแนวราบได้ง่ายๆหรือถ้าทำออกมาแล้วราคาจะสูงมากๆเป็นบ้านระดับ Super Luxury ไปเลย ทำเลนั้นอย่างเช่น สีลม สาทร เพลินจิต เป็นต้น บ้านราคาย่อมเยาที่พอหยิบจับได้จึงมักจะอยู่ในพื้นที่รอบนอกเมืองหรือชานเมือง จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมคนเราจึงติดภาพว่าคอนโ ดมิเนียมต้องอยู่ใจกลางเมือง และบ้านแนวราบต้องอยู่ชานเมืองนั่นเองค่ะ

ทำเลไหนคอนโด ทำเลไหนบ้าน ?

ในแต่ละทำเลจะมีลักษณะเฉพาะตัวที่เหมาะสมกับการพัฒนาโครงการแต่ละรูปแบบอยู่ อย่างที่เราได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ยิ่งถ้าทำเลไหนเหมาะสมมากก็จะสังเกตเห็นได้ว่าจะมีผู้พัฒนาโครงการมาแข่งกันขึ้นโครงการอยู่เต็มไปหมด ลักษณะของทำเลที่ถูกนำมาพัฒนาเป็นโครงการแต่ละประเภทเป็นดังนี้ค่ะ

คอนโดมิเนียม = ใจกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้าเดินทางสะดวก

จุดขายของทำเลที่นิยมนำมาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมคือ ใกล้รถไฟฟ้า อย่างที่เรามักจะได้ยินได้เห็นป้ายโฆษณาโครงการต่างๆกล่าวไว้ว่า “คอนโดใหม่ ใกล้รถไฟฟ้า” หรือ “5 นาทีจาก MRT เป็นต้น” นั่นเป็นเพราะคนที่ซื้อคอนโด เขาซื้อความสะดวกสบายในการเดินทาง เช่น มนุษย์เงินเดือนที่มองหาคอนโดใกล้ๆที่ทำงาน หรือ คุณแม่ที่ซื้อคอนโดใกล้โรงเรียนให้ลูกเป็นต้น นอกจากนั้นบางโครงการถึงแม้ว่าจะไม่ใกล้รถไฟฟ้าในระยะเดินถึงแต่จะอยู่ใกล้ทางด่วน สามารถใช้รถยนต์ได้สะดวก มีเส้นทางลัด หรือ ติดถนนใหญ่แทน สามารถเรียกรถสาธารณะต่างๆเช่น มอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ ได้สะดวก บางโครงการก็มีรถ Shuttle Bus วิ่งรับส่งสถานีรถไฟฟ้ามาให้

ที่อยู่อาศัยแนวราบ = รอบนอกเมือง รถไม่ติด ใกล้ทางด่วน มีเส้นทางลัด

ลักษณะของทำเลที่นิยมถูกนำมาพัฒนาเป็นบ้านจะแตกต่างจากคอนโดมิเนียมตรงที่มักเป็นทำเลที่ไกลออกมาจากตัวเมืองชั้นในหน่อยหรืออยู่ชานเมือง ไม่ได้ติดกับรถไฟฟ้าในระยะเดินเท่ากับคอนโด แต่ก็ยังมีความสะดวกสบาย เดินทางสะดวก ใกล้ทางด่วน ใกล้ถนนใหญ่ หรือใกล้สถานที่สำคัญต่างๆ มีเส้นทางลัดในหลบรถติด เน้นการเดินทางด้วยรถยนต์มากกว่า เนื่องจากอยู่ถัดจากตัวเมืองออกมา การจราจรในบางทำเลจึงเบาบางกว่า ส่วนบางทำเลที่มีประชากรอยู่เยอะอย่างรังสิต-นครนายก ในช่วงเวลาเร่งด่วนการจราจรก็ติดขัดค่ะ แต่เป็นทำเลที่สะดวกสบาย มีสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆครบครัน  ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งที่บ้านมักจะอยู่รอบนอกเมืองเพราะเป็นทำเลที่มีพื้นที่พัฒนาโครงการได้เพียงพอ เนื่องจากจุดเด่นของบ้านคือพื้นที่ใช้สอยและพื้นที่ดิน ทำเลใจกลางเมืองบางแห่งมีที่ดินจำกัด ไม่สามารถพัฒนาโครงการจัดสรรขนาดใหญ่ได้ จึงมักทำออกมาเป็นโครงการที่มีอยู่ไม่กี่หลัง ไม่มีพื้นที่ส่วนกลาง และราคาค่อนข้างสูงค่ะ

อย่างไรก็ตามการเลือกทำเลนั้นก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตเราด้วย  จะเห็นได้ว่าถ้าเราเลือกแบบไหนก็จะกลายเป็นตัวกำหนด Lifestyle ของเราขึ้นมาทันที คนที่อยู่คอนโดมิเนียมจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง เดินทางด้วยรถไฟฟ้า ส่วนคนที่อยู่บ้านมักจะอยู่ในทำเลที่ไกลออกมาหน่อย เป็นพื้นที่รอบนอกเมืองหรือชานเมือง เดินทางด้วยรถยนต์ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัว เป็นต้น  โดยเราจะเหมาะกับการอยู่ในที่อยู่อาศัยประเภทไหนขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้ค่ะ

  • พฤติกรรมและความชอบ

พฤติกรรมหรือนิสัยของเราเป็นตัวกำหนดว่า เราเหมาะสมกับอยู่ทำเลแบบไหน เช่น คนที่ชอบอยู่คอนโดมิเนียม มักจะเป็นคนที่ชอบเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ชอบเดินห้าง ชอบใช้พื้นที่ส่วนกลาง ส่วนคนที่อยู่บ้านจะชอบพื้นที่ใช้สอยกว้างๆ มีพื้นที่เก็บของ ทำอาหารได้ มีที่ดินให้ออกมาปลูกผัก ปลูกต้นไม้เลี้ยงสัตว์ เป็นต้น

  • ที่จอดรถ

ที่จอดรถเป็นเหตุผลสำคัญในการตัดสินใจเลือกบ้านหรือคอนโดได้เลย สำหรับคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ที่จอดรถจะมีให้จำกัด 1 คันต่อ 1 ห้องเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับคนที่มีรถหลายคันหรืออยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่  บางโครงการที่มีที่จอดรถมาให้น้อย ถึงแม้ว่าเราจะมีรถเพียงคันเดียวก็ตามก็อาจจะประสบปัญหาที่จอดไม่เพียงพอได้ ส่วนบ้านนั้นถ้าเป็นโครงการขนาดเล็กอย่างทาวน์โฮมจะจอดรถได้ไม่เกิน 2 คัน ถ้าเป็นบ้านเดี่ยวจะจอดได้ 2 คันขึ้นไปขึ้นอยู่กับขนาดบ้าน ยิ่งเป็นบ้านที่ปลูกเองก็เลือกทำที่จอดรถเยอะๆได้ ที่จอดรถก็เป็นของเราแน่นอน ไม่ต้องไปแย่ง ไปแชร์กับใครค่ะ

  • สถานที่สำคัญหรือสิ่งอำนวยความสะดวก

เนื่องจากคอนโดมิเนียมมักตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองหรือรถไฟฟ้า จึงทำให้ใกล้สถานที่สำคัญต่างๆที่ถือเป็นศูนย์กลางของชุมชนนั้นๆ เช่น ศูนย์การค้า  โรงเรียน อาคารสำนักงานเป็นต้น ส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบที่อยู่ไกลออกมาหน่อย ถ้ามีห้างค้าปลีกค้าส่ง โรงเรียน ร้านค้า ร้านอาหาร ตลาดอยู่ใกล้ๆ ก็ถือว่าเป็นทำเลที่สะดวกสบายแล้วค่ะ ถ้าอยากจะไปเดินห้างก็สามารถขับรถไปได้ไม่ยาก

ทำเลไม่ได้ดูเฉพาะภายนอกโครงการนะ!!

นอกจากทำเลรอบๆโครงการแล้ว ทำเลภายในโครงการก็สำคัญไม่แพ้กัน คำว่า “ทำเลภายใน” คือ ตำแหน่งของห้องหรือบ้านที่เราอยู่นั่นเอง ซึ่งถ้าเราเลือกผิดก็ส่งผลเสียก่อทำให้เกิดความรำคาญ เดือดเนื้อร้อนใจ หรืออยู่ไม่สบายได้ เมื่อเราตัดสินใจได้แล้วว่าจะอยู่บ้านหรือคอนโด ขั้นตอนต่อมาคือการตัดสินใจว่าจะอยู่หลังไหน โดยสิ่งที่ต้องคำนึงจะมีดังนี้ค่ะ

คอนโดมิเนียม

  • ตำแหน่งของห้อง

ก่อนอื่นเรามาดูเรื่องตำแหน่งของห้องก่อนเลยค่ะ เนื่องจากคอนโดมิเนียมเป็นอาคารพักอาศัยรวมที่มีลูกบ้านอยู่รวมกันหลายยูนิต มีห้องหลากหลายตำแหน่งให้เลือก ซึ่งแต่ละตำแหน่งก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไปและมีความเหมาะสมกับเจ้าของห้องแตกต่างกันอีกด้วย บางคนชอบห้องที่ขึ้นมาแล้วก็เจอเลยไม่ต้องเดินไกล บางคนชอบความสงบชอบห้องที่ถัดออกมาหน่อย จะเดินไกลหน่อยก็ไม่เป็นไร บางคนชอบห้องมุมเพราะจะได้เปิดรับวิวทั้งสองฝั่ง บางคนเอาเลขห้องไปดูว่าถูกโฉลกหรือไม่ก็เคยเจอมาแล้ว ส่วนห้องที่ไม่แนะนำให้อยู่ใกล้ๆคือห้องที่ใกล้ลิฟต์และห้องขยะ เพราะจะได้กลิ่นและเสียงอาจทำให้เกิดความรำคาญได้ แต่ข้อดีของห้องแบบนี้คือจะมีราคาที่ถูกลงมาหน่อยนั่นเอง สำหรับโครงการที่มีลักษณะเป็นกลุ่มอาคารจะต้องพิจารณาตำแหน่งของอาคารนั้นๆด้วย เช่น อาคารที่อยู่ด้านหน้าโครงการจะเข้า-ออกสะดวก แต่อาจจะมีความเป็นส่วนตัวไม่เท่าอาคารที่อยู่ด้านในโครงการ เป็นต้น

  • ชั้น

ห้องที่อยู่ในชั้นสูงๆจะเห็นวิวได้ดีกว่าชั้นเตี้ยๆ แต่ถ้าสูงไปก็อาจจะต้องรอลิฟต์นานหรือมีปัญหาเรื่องสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต  ในคอนโด Low Rise บางอาคารที่ห้องพักเริ่มต้นที่ชั้น 1 เลย คนที่อยู่ชั้นนี้จะเข้า-ออกโครงการได้สะดวก เดินไม่ไกลก็ถึงห้องโดยไม่ต้องขึ้นลิฟต์ด้วยซ้ำ แต่อาจจะไม่ค่อยเป็นส่วนตัวเนื่องจากเป็นชั้นที่ใกล้ทางเข้าออกจึงมีคนเดินผ่านตลอดทั้งวัน อีกชั้นที่เราอาจจะเสียความเป็นส่วนตัวคือชั้นของพื้นที่ส่วนกลางเพราะเป็นชั้นที่มีคนลงมาใช้งานบ่อยเหมือนกัน ถ้าใครชอบใช้พื้นที่ส่วนกลางจะเหมาะกับการซื้อห้องในชั้นนี้  แต่ถ้าห้องของเราอยู่ในชั้นนี้จะต้องดูเพิ่มเติมว่าโครงการมีการออกแบบแบ่งโซนห้องพักให้อยู่ห่างจากส่วนกลางเป็นสัดส่วนหรือไม่ มีประตูกั้นที่ใช้คีย์การ์ดในการผ่านเข้าไปอีกชั้นหรือไม่ เพื่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้นค่ะ

  • ทิศ

ทิศมีผลต่อความเป็นอยู่ของเจ้าของห้องพอสมควรเลยค่ะ ห้องที่อยู่ทางทิศเหนือจะเป็นทิศที่จะถูกแสงอาทิตย์โดยตรงน้อยที่สุดเหมาะสมในการอยู่อาศัย ส่วนทิศใต้ตรงข้ามกับทิศเหนือคือเป็นทิศที่โดนแดดแต่ก็จะได้ลมด้วย ทิศตะวันออกจะได้รับแสงอาทิตย์ ช่วงเช้า-เที่ยง เป็นช่วงเวลาสั้นๆในแต่ละวัน เหมาะกับคนที่อยากได้แดดเช้ามาช่วยปลุก และ ไม่ค่อยอยู่ห้องในเวลากลางวัน ทิศตะวันตกเป็นทิศที่ได้รับแดดช่วงบ่ายจะทำให้ห้องเหล่านี้ร้อนแม้เป็นเวลากลางคืน ละถ้ามีการติดเครื่องปรับอากาศที่ห้องเหล่านี้ ก็จะทำให้เปลืองค่าไฟอีกด้วย ทิศนี้ราคาจึงค่อนข้างถูก และมักเป็นห้องขนาดเล็ก

  • วิว

วิวเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกห้องอยู่เหมือนกัน ถ้าเราได้วิวที่เปิดโล่ง ไม่อาคารสูงมาบดบัง เป็นวิวธรรมชาติ พอมองออกไปก็จะรู้สึกผ่อนคลาย ไม่อึดอัด แต่ละคนมีวิวที่ชอบไม่เหมือนกันบางคนชอบวิวเมือง บางคนชอบวิวเปิดโล่งเห็นพื้นที่สีเขียวหรือแม่น้ำ บางห้องที่ไม่ได้วิวเช่นในชั้นเตี้ยๆหรือห้องที่โดนบังวิวโดยอาคารข้างเคียงก็จะมีราคาที่ต่ำลงหน่อย

จากสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงในการเลือกห้องในคอนโดมิเนียมที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น พอเรามาเลือกจริงๆจะพบว่าผังของอาคารแต่ละโครงการมีรูปร่างไม่เหมือนกัน มีดีมีเสียต่างกันไป เราลองมาดูผังอาคารแต่ละรูปแบบกันค่ะ

แปลนรูปตัว I

เป็นแปลนที่มีลักษณะเป็นรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวๆ โถงลิฟต์มักจะอยู่ตรงกลางแบ่งห้องพักออกเป็น 2 ฝั่งในแนวเหนือ-ใต้ หรือ ตะวันออก-ตะวันตก ห้องที่ใกล้ลิฟต์อาจจะมีได้ยินเสียงรบกวนบ้าง ส่วนห้องมุมทางโครงการมักจะวางเป็นห้องขนาดใหญ่ ห้อง 2-3 ห้องนอนเป็นต้น  ถึงแม้ว่าพอออกจากลิฟต์มาแล้วจะเดินไกลหน่อยแต่ก็ได้ความสงบเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้น และ เป็นห้องที่ได้วิวจากทั้ง 2 ฝั่ง ห้องที่อยู่ตรงกลางถ้าเป็นทิศที่แดดร้อนๆมักจัดเป็นห้องขนาดเล็ก 1 ห้องนอนหรือ Studio นั่นเอง

แปลนรูปตัว L

แปลนแบบนี้โถงลิฟต์มักจะวางอยู่ตรงกลาง แล้วแบ่งห้องพักออกเป็น 2 ฝั่งทั้งทิศเหนือ-ใต้ และ ตะวันออก-ตะวันตก ห้องที่อยู่ปลายสุดของขาตัว L แต่ละฝั่งจะเดินค่อนข้างไกล ส่วนห้องที่อยู่บริเวณฉากของตัวอาคาร ถ้าวางผังออกมาไม่มีช่องแสงอาจทำให้พื้นที่บริเวณนี้มืดทึบได้และ ในกรณีที่โถงลิฟต์ไม่ได้วางอยู่ตรงกลางและบริเวณมุมของอาคารวางเป็นห้องพัก จะมีบางห้องที่อยู่ติดกันบริเวณฉากของอาคารหันชนกันพอดี ถ้าเรานั่งอยู่ในห้องแล้วมองออกมาจะเห็นห้องฝั่งตรงข้ามทำให้ไม่เป็นส่วนตัวได้ ห้องที่หันออกภายในจะได้วิวเปิดโล่ง ส่วนห้องที่อยู่ฝั่งภายใน ทางโครงการมักนิยมวาง Facilities เอาไว้ฝั่งนี้เพื่อให้เรามองวิวออกมาแล้วเห็นพื้นที่ส่วนกลางค่ะ

แปลนรูปตัว U

โถงลิฟต์มักค่อนมาทางฝั่งใดฝั่งหนึ่งมีห้องที่เดินใกล้และเดินไกล การวางผังห้องมักวางห้องขนาดใหญ่เป็นห้องมุม ส่วนห้องอื่นๆถ้าเป็นทิศที่แดดร้อนจะวางห้องขนาดเล็กกว่าเช่นพวกห้อง Studio เป็นต้น ฝั่งตรงกลางด้านในของผังในลักษณะนี้มักจะจัดชั้นใดชั้นหนึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลาง มองลงมาด้านล่างก็จะเห็นวิวไม่เป็นสวนก็เป็นสระว่ายน้ำ แปลนรูปแบบนี้มักนิยมในคอนโดมิเนียม Low Rise ค่ะ

แปลนรูปตัว H

แปลนรูปแบบนี้ไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่นัก มักปรากฎในโครงการขนาดใหญ่ที่มีจำนวนยูนิตเยอะๆ ลักษณะเหมือนเอาแปลนรูปตัว U มาประกบกันในฝั่งตรงข้าม ซึ่งในแต่ละชั้นจะมีจำนวนห้องพักค่อนข้างหนาแน่น โถงลิฟต์มักจะอยู่ตรงกลาง ค่อนมาทางฝั่งใดฝั่งหนึ่ง มีห้องที่เดินใกล้และเดินไกลเช่นเดียวกัน ห้องที่อยู่ตรงกลางของตัว H และห้องที่อยู่รอบนอก ถ้าไม่มีอาคารข้างเคียงมาบดบัง จะเห็นวิวที่ค่อนข้างโล่ง ส่วนฝั่งด้านในจะมองเห็นห้องต้องข้าม ซึ่งมีวิธีออกแบบโดยการจัดให้ขาของตัว H สั้น-ยาว ไม่เท่ากันช่วยให้มีห้องที่เห็นวิวเปิดโล่งเพิ่มมากขึ้น สำหรับพื้นที่ส่วนกลางก็จะวางอยู่ฝั่งด้านใน จะด้านเดียวหรือทั้ง 2 ด้านขึ้นอยู่กับการออกแบบค่ะ

แปลนรูปตัว O

แปลนรูปแบบนี้มักจัดให้โถงลิฟต์ ห้องงานระบบ ห้องขยะ อยู่ตรงกลาง จัดทางเดินเป็น Single Corridor ทำให้ห้องพักที่อยู่ด้านในค่อนข้างเป็นส่วนตัว ไม่มีห้องที่หันหน้าชนกับใคร  ห้องมุมมักเป็นห้องขนาดใหญ่ แต่ละชั้นมีจำนวนยูนิตไม่เยอะ ติดตรงที่ถ้าออกแบบมาไม่ดีจะไม่ค่อยมีช่องแสง ซึ่งจะทำให้บริเวณโถงทางเดินมืดได้ บางโครงการจะเอาช่องแสงเอาไว้ด้านบนและเปิด Court ตรงกลางโล่งๆเพื่อให้แสงส่องลงมายังโถงทางเดินค่ะ

ส่วนแปลนที่เป็นรูปร่างอื่นๆ เราสามารถพิจารณาเลือกห้องได้โดยใช้ปัจจัยต่างๆที่แนะนำไป อย่างไรก็ตามแต่ละคนก็เหมาะสมหรือต้องการห้องตำแห่งที่แตกต่างกันไป บางห้องที่อยู่ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยจะดีนัก แต่อาจจะเป็นห้องที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับห้องอื่นๆ เป็นราคาที่พอเหยิบจับได้ ก็ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งค่ะ

ที่อยู่อาศัยแนวราบ

  • ตำแหน่งของบ้าน

การเลือกบ้านในโครงการที่มีจำนวนหลายหลัง บ้านแปลงมุมจะได้พื้นที่ดินมากกว่า เหมาะกับคนที่อยากจัดสวนหรือเลี้ยงสัตว์ บ้านที่อยู่ใกล้ทางเข้า-ออกจะค่อนข้างสะดวก พอเข้าโครงการมาแล้วไม่ต้องเดินไกลก็ถึง เป็นตำแหน่งที่มีคนผ่านตลอดไม่ค่อยเปลี่ยว แต่อาจจะไม่ค่อยสงบเท่าบ้านที่อยู่ในซอยย่อย สำหรับบ้านที่อยู่ใกล้พื้นที่ส่วนกลาง จะคึกคักหน่อย ถ้าอยู่ใกล้สวนหย่อม บรรยากาศรอบๆจะค่อนข้างร่มรื่น  

  • ทิศ

บ้านที่ไม่ค่อยโดนแดดคือบ้านที่วางในแนวเหนือ-ใต้ ทิศเหนือจะร่มตลอดทั้งวัน ทำให้บ้านไม่ค่อยร้อน ส่วนทางทิศใต้จะเป็นทิศที่ลมพัดถ่ายเทตลอดเวลา ทำให้บ้านไม่อับชื้น ไม่ขึ้นรา ภายในบ้านก็ไม่ร้อนค่ะ ทิศตะวันออกจะได้แดดตอนเช้า-สาย ส่วนทิศตะวันตกจะได้แดดบ่าย-เย็น ทำให้ความร้อนสะสมเวลากลางคืน ใครที่อยู่ทิศนี้แนะนำการเลือกใช้กันสาด หรือระแนงมาช่วยบังแดด

  • เพื่อนบ้านและสภาพแวดล้อม

ถ้าซื้อคอนโดมิเนียมต้องคำนึงถึงวิว การเลือกซื้อบ้านแนวราบก็ต้องดูเพื่อนบ้านและสภาพแวดล้อมเช่นกัน เพราะสามารถก่อให้เกิดความรำคาญได้ ใครที่ซื้อโครงการบ้านมือสองอาจจะสังเกตเพื่อนบ้านเราได้ไม่ยาก แต่ถ้าเป็นโครงการมือหนึ่งจะไม่สามารถคาดเดาว่าใครจะมาอยู่บ้านติดกับเราได้ การซื้อโครงการจากระดับราคาก็เป็นตัวคัดกรองคุณภาพของสังคมและเพื่อนบ้านได้ ซึ่งในเรื่องนี้จะมีกล่าวถึงอย่างละเอียดในบทต่อๆไปค่ะ

เรามาลองดูผังของโครงการแนวราบกัน ส่วนใหญ่แล้วจะมีลักษณะดังนี้ค่ะ เข้ามาในโครงการผ่านซุ้มประตูและป้อมรปภ.มักจะเจอกับพื้นที่ส่วนกลาง  Clubhouse และสวนหย่อมเป็นพื้นที่สำหรับให้ลูกบ้านมาใช้งานร่วมกัน หรือจะใช้เป็นพื้นที่นัดพบปะญาติหรือบุคคลที่เราไม่อยากให้เข้าไปในบ้านก็ได้ ถัดมาจึงจะเริ่มเป็นพื้นที่ของบ้าน ซึ่งบ้านที่อยู่ใกล้ๆทางเข้าออกจะค่อนข้างสะดวกเดินไม่ไกล แต่อาจจะคึกคักหน่อยเพราะจะมีคนเดินผ่านบ่อย ถ้าอยากได้ความสงบขึ้นมาหน่อยแนะนำให้เลือกบ้านที่อยู่ในซอย แต่ถ้าลึกเกินไปก็อาจจะทำให้เดินไกลและห่างไกลจากสายตารปภ.ได้ โครงการขนาดใหญ่บางโครงการจะจัดให้มีพื้นที่สวนหย่อมอยู่กลางโครงการอีกจุดหนึ่งซึ่งถ้าเลือกบ้านบริเวณนี้ก็จะได้สภาพแวดล้อมรอบบ้านเป็นพื้นที่สีเขียวค่ะ

อีกรูปแบบหนึ่งของโครงการแนวราบคือโครงการที่มีขนาดเล็ก จำนวนยูนิตไม่เยอะ มักไม่ได้จัดสรร ไม่มีพื้นที่ส่วนกลาง ระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆไม่เท่ากับบ้านโครงการ บ้านมักวางผังเรียงกันตามแนวยาวไปเลย แบ่งออกเป็น 2 ฝั่งหันหน้าเข้าหากัน ปัจจัยในการตัดสินใจเลือกจึงน้อยลง โดยพิจารณาจากความใกล้-ไกลทางเข้าออก แปลงมุมหรือแปลงกลาง หรืออาจจะดูสภาพแวดล้อมฝั่งที่อยู่ติดด้านหลังโครงการว่าพอมองจากบ้านออกมาจะเป็นเช่นไร พิจารณาจากความปลอดภัยว่าถ้าอยู่หลังสุดท้ายๆมีรั้วกั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยดีหรือไม่ และสุดท้ายหากเป็นไปได้ก็ต้องดูเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกับเราเป็นต้น

 

โดยสรุปแล้ว  ทำเลของบ้านและคอนโดมิเนียมนั้นมีความแตกต่างกัน คอนโดมิเนียมมักตั้งอยู่ใกล้สถานที่สำคัญ เช่น ใกล้แหล่งงาน โรงเรียน ศูนย์การค้า ห้างค้าปลีกค้าส่ง เป็นต้น เนื่องมาจากความสะดวกสบายถ้าเรามีคอนโดอยู่ใกล้ที่ทำงานก็เดินทางไม่เหนื่อย ใช้เวลาน้อยลง มีเวลาเอาไปให้ครอบครัวหรือพักผ่อนได้มากขึ้น ถ้าใกล้ศูนย์การค้าก็มาเดินจับจ่ายใช้สอยได้ไม่ยาก ใกล้ตลาด ร้านอาหาร พอกลับบ้านมาก็ไม่ต้องเรียกรถหรือขับรถไปหาอะไรให้เหนื่อยจึงเหมาะกับผู้อยู่อาศัยที่เป็นคนทำงานหรือนักเรียน นักศึกษา กลุ่มครอบครัวขนาดเล็ก คนที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทาง หรือ ใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวก หรือคนที่มีงบประมาณจำกัดไม่สามารถซื้อบ้านในทำเลที่ต้องการได้ ชอบใช้พื้นที่ส่วนกลาง หรือบางคนซื้อเพราะเรื่องของวิว  ไม่เน้นพื้นที่ใช้สอยภายในห้อง บางรายซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2

สำหรับโครงการแนวราบทั้ง บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และ ทาวน์เฮ้าส์ มักตั้งอยู่ในทำเลที่ไกลออกมาจากใจกลางเมืองชั้นใน แต่ก็ยังคงความสะดวกสบายในการเดินทาง ใกล้ถนนใหญ่หรือทางด่วน มีลักษณะเป็นชุมชน หาซื้อของกินได้ง่าย มีสิ่งอำนวยความสะดวกพวกห้างค้าปลีกค้าส่ง Tesco Lotus , Big C , Makro , 7-11 หรือตลาดเป็นพื้นฐาน เหมาะกับกลุ่มครอบครัวขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ต้องการพื้นที่ดินและพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น ต้องการที่จอดรถ บางรายต้องการเลี้ยงสัตว์หรือพื้นที่สำหรับปลูกต้นไม้ ชอบสังคมเพื่อนบ้าน มีรถยนต์หรือเน้นการเดินทางด้วยรถยนต์เป็นหลัก

การเลือกว่าเราจะอยู่บ้านหรือคอนโดมิเนียมดี ทำเลเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจค่ะ เพราะทำเลของอสังหาริมทรัพย์แต่ละประเภทมีลักษณะไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เราเลือกทำเลแทนกันไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับความชอบและความจำเป็นของแต่ละบุคคลด้วยนะ