รีวิวโครงการ
บ้าน Pool Villa 3 ชั้น พร้อมลิฟต์ในตัว THE ONE Signature Bangna-Rama9 | คิดเรื่องอยู่ EP.770
15 มิถุนายน 2024
รีวิว The One Signature Bangna-Rama9 (เดอะ วัน ซิกเนเจอร์ บางนา-พระราม9) บ้านระดับ Luxury 3 ชั้นโครงการใหม่ ใกล้เมกาบางนา ติดทางคู่ขนานวงแหวนกาญจนาภิเษก ในราคาเริ่มต้น 28-40 ล้านบาท ซึ่งเราคิดว่าโครงการมีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายประเด็นเลยค่ะ ตามลิสต์นี้…
- เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้นที่มีราคาน่าสนใจกว่าโครงการอื่นเล็กน้อย เริ่มต้น 28 ล้านบาท เพราะราคาบ้านเดี่ยว 3 ชั้นในโซนนี้มีราคา 30 ล้านขึ้นไปจนถึง 60 ล้านกันแล้วนะคะ
- ออกแบบบ้านทุกหลังให้เป็นทรงตัว L ล้อมคอร์ท ทำให้ทุกห้องนอนและห้องนั่งเล่นมองเห็นสระและสวน เรียกว่าได้วิวดีทุกห้องเลย
- โครงการใช้หลายเทคนิคในการออกแบบให้ได้ความเป็นส่วนตัวสูง เช่น การออกแบบช่องเปิดไม่ให้ชนกับบ้านข้างเคียง, การใช้ Double Facade เพื่อช่วยให้แสงและลมผ่านตัวบ้านได้ ในขณะเดียวกันก็บังสายตาจากเพื่อนบ้านข้างเคียงได้ด้วยเช่นกัน
- มี Butler Service ไว้คอยอำนวยความสะดวก เช่น ดูแลสระว่ายน้ำ, ตัดแต่งสวน, ทําความสะอาดบ้าน, ล้างแอร์, ตรวจเช็คระบบประปา-ระบบไฟฟ้า, บริการซื้อสินค้าที่ นัมเบอร์วันมาร์เก็ต เป็นต้น ซึ่งโครงการหรูหลายๆ ที่ยังไม่ได้มีบริการรูปแบบนี้นะคะ
- มีแบบบ้าน Pool Villa ให้เลือก เหมาะกับใครที่ต้องการสระว่ายน้ำพร้อมใช้งานไม่ต้องต่อเติมเอง
รายละเอียดจะเป็นอย่างไรตามไปชมรีวิวกันค่ะ
ข้อมูลโครงการ
The One Signature Bangna-Rama9 (เดอะ วัน ซิกเนเจอร์ บางนา-พระราม9) ณ วันที่ 26 มกราคม 2567
ชื่อโครงการ | The One Signature Bangna-Rama9 (เดอะ วัน ซิกเนเจอร์ บางนา-พระราม9) |
ชื่อผู้ประกอบการ | บริษัท นัมเบอร์วันเฮ้าส์ซิ่ง ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด |
SEGMENT CLASS | LUXURY CLASS (รายละเอียดของ Segment บ้านปี 2023 ) |
โครงการตั้งอยู่ | ถนนทางคู่ขนานกาญจนาภิเษก เขตประเวศ |
ที่ดิน | 24 ไร่ |
จำนวนยูนิต | 71 ยูนิต |
ประเภทบ้าน |
|
ความสูงจากพื้นถึงฝ้า | ชั้น 1-3 สูง 2.9 เมตร, Double Volume สูง 6.6 เมตร, ที่จอดรถสูง 3.2 เมตร |
ราคาที่ดินเพิ่มลดตารางวาละ | 160,000 บาท |
เริ่มก่อสร้าง | Q1 ปี 2566 |
คาดว่าจะแล้วเสร็จ | มกราคม ปี 2570 (บางส่วน) |
เว็บไซต์โครงการ | https://theonesignature.com |
โทร | 099-382-8899 |
ทำเลที่ตั้ง
พิกัด Google Maps : 13.701140298568328, 100.70083047217359
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
แผนที่จากทางโครงการ The One Signature Bangna-Rama9 (เดอะ วัน ซิกเนเจอร์ บางนา-พระราม9)
ทำเลของโครงการ The One Signature Bangna-Rama9 (เดอะ วัน ซิกเนเจอร์ บางนา-พระราม9) เรียกได้ว่าเป็นทำเลโซนบางนา-อ่อนนุช อยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งก็จะตอบโจทย์สำหรับคนที่เดินทาง (ด้วยเครื่องบิน) บ่อยๆ หรือทำงานภายในสนามบิน รวมถึงเจ้าของกิจการ โรงงาน ในย่านบางนา, ชลบุรี, สมุทรปราการ ที่ยังต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ตัวเมืองกรุงเทพฯ โดยข้อดีหลักๆ ของถนนเลียบวงแหวนกาญจนาภิเษก คือคนส่วนใหญ่จะใช้เป็นเส้นทางเพื่อข้ามไปมาระหว่างบางนา-ตราด, พระราม9 และลาดกระบังได้โดยไม่ต้องเสียค่าทางด่วน
บนถนนเส้นนี้จะมีทางลัดเลาะต่างๆ เชื่อมต่อกันได้เยอะ อย่างเช่นสามารถลัดไปออกบางนา-ตราด ช่วงก่อนถึงสะพานกลับรถเพื่อข้ามไป Mega Bangna ได้ทันที หรือจะใช้ลัดเพื่อไปออกถนนเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 9 เพื่อเชื่อมต่อไปยังถนนศรีนครินทร์หรือถนนพัฒนาการก็ได้ หรือจะใช้ลัดเข้าไปถนนกิ่งแก้วได้
นอกจากนี้แล้ว ในทำเลนี้ยังมีตัวเลือกในการเดินทางด้วยทางพิเศษ (ทางด่วน) 3 สายสำคัญอย่าง ทางพิเศษหมายเลข 7 (มอเตอร์เวย์ หรือกรุงเทพ-ชลบุรี สายใหม่), ทางพิเศษบูรพาวิถี และ ถนนกาญจนาภิเษก พระราม2-บางปะอิน อีกด้วย จากทั้งหมดที่กล่าวมาจึงทำให้ทำเลนี้มีความสะดวกในการเดินทางด้วยรถยนต์มากทีเดียว
สำหรับการเดินทางด้วยรถสาธารณะอาจจะไม่ได้สะดวกเท่ากับรถยนต์ส่วนตัวนะคะ แต่ก็ยังพอเรียกรถผ่าน Application ได้ นอกจากนั้นก็มีตัวเลือกเป็น Airport Rail Link (เส้นสีแดงทึบ) สถานีทับช้างประมาณ 5 กิโลเมตร สามารถใช้เป็นตัวเลือกในการเดินทางได้ เนื่องจากจะไปเชื่อมต่อกับ BTS สายสีเขียว สถานีพญาไท และ MRT สายสีน้ำเงิน ที่สถานีมักกะสัน หรือไปสนามบินสุวรรณภูมิได้เลย และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีเอี่ยม ที่ตัดกับถนนศรีนครินทร์เชื่อมต่อ BTS สายสีเขียว สถานีสำโรงค่ะ
พูดถึงเรื่องความอุดมสมบูรณ์รอบๆ โครงการกันต่อค่ะ ภาพรวมเป็นย่านใหญ่ถือว่ามีให้เลือกค่อนข้างเยอะ มีแหล่งจับจ่ายใช้สอยหลากหลายให้ช้อปปิ้งกันได้ไม่เบื่อเลย แต่จะต้องใช้รถขับไปสักหน่อย โดยจะแบ่งเป็นทำเลใหญ่ๆ ดังนี้
ถนนสุขาภิบาล 2 : ใกล้โครงการมากที่สุดก็คือร้านรวงต่างๆ บนถนนสุขาภิบาล 2 เยอะเลยค่ะ เช่น ใน K Space Mini Mall ที่มีทั้งร้านสไตล์บุฟเฟต์, ร้านอาหารญี่ปุ่น, ร้านเสริมความงาม ฯลฯ รวมถึงร้านสะดวกซื้อทั้ง Tesco Lotus, 7-Eleven ก็มีตลอดทั้งเส้นเช่นกัน
ถนนบางนา-ตราด : มี Mega Bangna ที่ภายในนอกจากจะเป็นห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์แล้ว ก็ยังมี IKEA ศูนย์รวมเครื่องใช้และเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านด้วย หรือบนถนนเส้นบางนา-ตราดเองก็จะมี Market Village, Makro บางพลี และ Central บางนา นอกจากนี้ยังมีห้างขายอุปกรณ์และของตกแต่งบ้านมาเปิดกันอีกหลายแบรนด์ทั้ง SB, Chic Republic, Index Living mall, ไทวัสดุ, บุญถาวร
ถนนศรีนครินทร์ : มีห้างใหญ่อย่าง Seacon Square, ตลาดนัดสวนรถไฟ มีคาเฟ่ให้เลือกนั่งพักผ่อน และ Paradise Park นอกจากนั้นยังใกล้กับสวนหลวง ร. 9 อีกด้วย
ถนนอ่อนนุช-ลาดกระบัง : มี Community Mall อย่าง Paseo ลาดกระบัง ถัดมาอีกไม่ไกล ก็มีห้างสรรพสินค้าสร้างใหม่อย่าง Robinson ลาดกระบัง ที่อยู่ไม่ไกลจากโครงการ (ประมาณ 5.8 km.) และมีโรงภาพยนตร์ให้ใช้บริการ
นอกจากแหล่งจับจ่ายใช้สอยแล้ว ในทำเลนี้ยังมีครบทั้งโรงพยาบาล, โรงเรียนนานาชาติ, มหาวิทยาลัย, สวนสาธารณะ เช่น Charter International School, D-PREP International School, Berkeley International School เป็นต้น รวมถึงใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิด้วยค่ะ
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ
สภาพแวดล้อมของโครงการ The One Signature Bangna-Rama9 (เดอะ วัน ซิกเนเจอร์ บางนา-พระราม9) ส่วนใหญ่เป็นที่พักอาศัยแนวราบ จึงไม่ได้มีประเด็นอะไรที่ส่งผลต่อการพักอาศัย แต่รั้วทางทิศใต้จะติดกับที่ตั้งของบริษัท Toyota Boshoku Asia ทำธุรกิจค้าส่งและส่งออกอุปกรณ์รถยนต์ ซึ่งวันที่เราไปถ่ายรีวิวก็ไม่ได้เห็นประเด็นอะไรที่ส่งผลต่อการพักอาศัยนะคะ หากเพื่อนๆ อยู่ในโซนนั้นก็สามารถคอมเม้นต์ให้ข้อมูลกันได้ เพื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนคนอื่นที่กำลังตัดสินใจนะคะ
สำหรับประเด็นเรื่องติดถนนใหญ่ โครงการจะมี Buffer Zone ด้านหน้าเป็นลำรางสาธารณะ ช่วยกรองเสียงและฝุ่นจากถนนหน้าโครงการให้ลดลงได้
บรรยากาศทางคู่ขนานถนนกาญจนาภิเษกบริเวณหน้าโครงการ เป็นถนนสวนเลนได้จึงใช้งานได้สะดวก
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
ตัวช่วยในการเดินทาง
- วงแหวนกาญจนาภิเษก ~ 2.8 km.
- สนามบินสุวรรณภูมิ ~ 14.2 km.
ห้างสรรพสินค้า / ตลาด
- โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ลาดกระบัง ~ 5.8 km.
- นัมเบอร์วัน มาร์เก็ต ~ 5.9 km.
- เมกา บางนา ~ 9.4 km.
- เซ็นทรัล บางนา ~ 12.5 km.
- ไบเทค บางนา ~ 16.9 km.
โรงพยาบาล
- โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต ~ 5.1 km.
- โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ~ 10.5 km.
- โรงพยาบาลวิภาราม ~ 10.7 km.
- โรงพยาบาลไทยนครินทร์ ~ 11.9 km.
- โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ ~ 13.3 km.
โรงเรียน
- Charter International School ~ 3 km.
- โรงเรียนสาธิต ม.รามคำแหง 2 ~ 5.3 km.
- มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนา (รามคำแหง 2) ~ 6.3 km.
- เตรียมอุดมศึกษา พัฒนาการ ~ 9.8 km.
- D-PREP International School ~ 9.8 km.
- Berkeley International School ~ 20.6 km.
รายละเอียดโครงการ
Highlights :
- Clubhouse อยู่ด้านหน้าโครงการ ใช้เป็นหน้าเป็นตารับแขกได้ และเราจะได้วิวสวนส่วนกลางทุกครั้งที่เข้าออกโครงการเลยค่ะ
- Facilities จัดฟังก์ชันหลากหลายสมราคา
- มี Butler Service ไว้คอยอำนวยความสะดวก เช่น ดูแลสระว่ายน้ำ, ตัดแต่งสวน, ทําความสะอาดบ้าน, ล้างแอร์, ตรวจเช็คระบบประปา-ระบบไฟฟ้า, บริการซื้อสินค้าที่นัมเบอร์วันมาร์เก็ต เป็นต้น ซึ่งโครงการหรูหลายๆ ที่ยังไม่ได้มีบริการรูปแบบนี้นะคะ
- The One Signature Bangna-Rama9 (เดอะ วัน ซิกเนเจอร์ บางนา-พระราม9) พัฒนาโดย Number One Housing Development ที่เคยมีผลงานด้านอสังหาฯ มาหลายโครงการ สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวที่น่าจะมีชื่อคุ้นหูกันในโซนนี้ก็คือ Blue Lagoon 1 และ 2 ซึ่ง Slod Out กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนอกจากนี้ยังมีอีกธุรกิจหนึ่งที่ช่วย Support ความต้องการในชีวิตประจำวันได้คือ นัมเบอร์วันมาร์เก็ต ซึ่งอยู่ในโซนรามคำแหง 2 ใกล้ๆ นี้เองค่ะ
Masterplan
โครงการ The One Signature Bangna-Rama9 (เดอะ วัน ซิกเนเจอร์ บางนา-พระราม9) เป็นโครงการบ้านเดี่ยวหรู 3 ชั้น จำนวน 71 ยูนิต บนพื้นที่โครงการ 24 ไร่
หากดูจาก Master Plan ประเด็นที่น่าสนใจจะมีอยู่ 2 เรื่องด้วยกันค่ะ ประเด็นแรก คือ อาคาร Clubhouse จะวางไว้อยู่โซนด้านหน้าของโครงการทำหน้าที่เป็นพื้นที่ต้อนรับ เสริมสร้างบรรยากาศทางเข้าให้ดูดี เราจะมองเห็นวิวสวนด้านหน้าทุกครั้งที่เข้าออกโครงการ หรือถ้ามีแขกมาหา ก็สามารถรับรองที่ Clubhouse ด้านหน้าได้เลย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อให้ลูกบ้านไม่ต้องเสียความเป็นส่วนตัวค่ะ
ประเด็นที่ 2 คือ “ทิศของบ้าน” บ้านส่วนใหญ่ในโครงการจะหันทางทิศเหนือและใต้เป็นหลัก ซึ่งเป็นทิศยอดนิยมสำหรับการอยู่อาศัยเลยทีเดียว บ้านที่หันทิศเหนือจะได้แสงธรรมชาติที่ไม่แรงมาก ส่วนบ้านทิศใต้จะได้ลมดี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแปลนบ้านด้วยว่าช่องหน้าต่างที่ใช้รับลมอยู่ทางทิศไหน หรือหากชอบนอนตื่นสายก็อาจจะเหมาะกับห้องนอนที่ไม่ได้อยู่ทางทิศตะวันออก เป็นต้น
ประเด็นที่ 3 มีให้เลือกทั้งตำแหน่งบ้านที่อยู่บนถนนหลัก เหมาะกับคนชอบตำแหน่งบ้านที่เข้าออกได้ง่าย (กรอบสีส้ม) และมีตำแหน่งบ้านในซอยตัน จะได้ความเป็นส่วนตัวหน่อย (กรอบสีม่วง) สำหรับบ้านที่มี Value มากกว่าโซนอื่นๆ เรามองว่าเป็นบ้านหน้าสวน เพราะได้วิวสวนและไม่มีบ้านฝั่งตรงข้ามนั่นเอง แต่ก็จะเสียความเป็นส่วนตัวไปบ้าง จากสายตาของเพื่อนบ้านที่มาใช้ Facilities ส่วนกลางด้วยเหมือนกัน
ซุ้มประตูด้านหน้าโครงการดูทันสมัยและใหญ่โตโอ่อ่า ตกแต่งด้วยสี Copper เพื่อเพิ่มความหรูหรา ตัวซุ้มประตูออกแบบมาให้มีหลังคาคลุมกันแดดกันฝนทั้งฝั่งขาเข้าและขาออก
ซึ่งทางเข้าออกจะต้องผ่านคลองปักหลักที่เป็น Buffer Zone ช่วยกรองเสียงและฝุ่นจากถนนหน้าโครงการให้ลดลงได้
ประตูเข้าออกโครงการเป็นประตูเหล็กบานเลื่อนให้ความปลอดภัยได้ดีกว่าแบบไม้กั้นกระดก มีการแยกเลนระหว่าง Visitor กับลูกบ้านทั้งฝั่งขาเข้าและขาออกเพื่อความคล่องตัวในการใช้งาน ลูกบ้านจึงสามารถขับรถผ่านได้สะดวก โดยไม้กั้นกระดกจะเปิดอัตโนมัติด้วยการสแกนป้ายทะเบียน (License Plate) ซึ่งลงทะเบียนรถได้บ้านละ 3-4 คัน ตามจำนวนช่องจอดรถของแต่ละ Type บ้าน แบบนี้ก็น่าจะช่วยลดปัญหาการจอดรถหน้าบ้านไปได้นะคะ
ถ้าหากจะมี Visitor มาหาก็สามารถแจ้งเลขทะเบียนรถไว้ล่วงหน้าได้ ซึ่งทางพี่รปภ. ก็จะ VDO Call ไปสอบถามด้วยว่าใช่แขกของลูกบ้านรึเปล่า เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัยค่ะ
นอกจากประตูหลักแล้วก็จะมีประตูเล็กแยกไว้ให้เดินเข้า-ออก เพื่อความปลอดภัย
เข้ามาในโครงการจะมีถนนหลักที่จ่ายลูกบ้านออกไปตามซอยต่างๆ โดยถนนหลักบริเวณหน้าโครงการมีความกว้าง 12 m. ปิดผิวด้วยแสตมป์คอนกรีตดูสวยงาม และเมื่อขยับเข้าไปด้านในทั้งถนนหลักและในซอยจะกว้าง 9-10 m. เป็นระยะที่กว้างดี ขับรถสวนกันได้สะดวก ก่อสร้างเป็นถนนแอสฟัลท์ (ลาดยาง) จึงนุ่มนวลเป็นมิตรกับล้อรถมากกว่าถนนคอนกรีต แต่ในเรื่องความคงทนแข็งแรงถนนคอนกรีตจะดีกว่านะคะ
สำหรับ Clubhouse จะติดกับซุ้มประตูโครงการเลย เข้ามาปุ๊บก็จะเห็นเด่นเป็นสง่า เป็นงานสถาปัตยกรรมทรงเก๋ๆ สูง 2 ชั้น โดยพื้นที่อาคาร Clubhouse และสวนส่วนกลางก็จะมีขนาดรวมกันประมาณ 2 ไร่กว่าๆ
ทางขึ้น Clubhouse นอกจากบันไดหลักตามปกติแล้ว ก็จะมีทางลาดเพื่อให้ผู้สูงอายุใช้งานได้สะดวก
Lobby Lounge
Lobby Lounge
ภายใน Lobby จัดชุดโซฟาไว้หลายชุด เป็นสถานที่ที่ลูกบ้านสามารถมานั่งประชุมหรือนัดพบปะ คุยธุระต่างๆ โดยไม่ต้องพาเข้าบ้านก็ได้ และห้องนี้ก็จะได้วิวสระและมองเห็นสวนในระยะไกลด้วยค่ะ
Swimming Pool
Swimming Pool
ถัดมาที่สระว่ายน้ำจะมีทั้งโซนเด็กและโซนผู้ใหญ่ เป็นสระกลางแจ้งระบบเกลือขนาด 7 x 25 m. ลึก 1.2 m. ใช้ว่ายออกกำลังกายได้จริงจัง แต่เหมาะกับการใช้งานในช่วงเย็นที่แดดร่มสักหน่อย หากว่ายน้ำเหนื่อยๆ ก็มานั่งพักข้างสระได้ มี Daybed ไว้รองรับ ชมวิวสระและสวนกันได้แบบเพลินๆ และมีจุดล้างตัวด้านข้างสระ เพื่อให้ใช้งานได้สะดวก
ที่ไม่พูดไม่ได้คือการดีไซน์สระว่ายน้ำแบบ Infinity Edge Pool ให้มองออกเห็นวิวสวนได้แบบต่อเนื่อง ซึ่งตัวสระเป็นระบบน้ำล้นก็จะมีเสียงเหมือนน้ำตกดังอยู่ตลอด ช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้เหมาะกับการพักผ่อน
ห้องน้ำ
ห้องน้ำ
ห้องน้ำจะหลบมุมเข้าไปด้านใน จึงได้ความเป็นส่วนตัวและดูมิดชิดขึ้น ภายในมีห้องสุขา ห้องอาบน้ำ และตู้ล็อคเกอร์ครบครัน
ทางเดินภายใน Clubhouse
ทางเดินภายใน Clubhouse
แต่ละฟังก์ชันภายใน Clubhouse จะมีทางเดินแบบ Outdoor เชื่อมต่อกัน ให้บรรยากาศเหมือนทางเดินในสวน ใกล้ชิดธรรมชาติ มีร่มเงาจากต้นไม้เพื่อช่วยบังแดด แต่ในช่วงฤดูฝนคงต้องพกร่มมาด้วยค่า
Private Salon
Private Salon
Private Salon เป็นห้องแยกออกมาจากอาคารหลัก เตรียมไว้รองรับการเรียกช่างส่วนตัวมาทำผม, แต่งหน้า ภายในมีเตียงสระผมและโต๊ะเครื่องแป้งไว้ให้
Meeting Room
เป็นห้องประชุมแบบ Indoor ที่ลูกบ้านสามารถมาจองใช้ได้ ภายในจัดชุดโต๊ะประชุมตัวยาวไว้ ขนาด 7-8 ที่นั่ง มีจอโทรทัศน์เอาไว้เผื่อแชร์จอคอมพิวเตอร์ คุยงานกันได้สบายๆ ตำแหน่งของห้องนี้จะได้วิวสวน ดูร่มรื่น
Co-Working Space
เป็นอีกมุมสงบที่น่ามานั่งอ่านหนังสือ หรือเวลาที่ต้องการเปลี่ยนสถานที่ทำงานเพื่อหาแรงบันดาลใจ ห้องนี้ก็น่าจะตอบโจทย์ เป็นห้องแอร์แบบ Indoor ใช้งานได้สบายค่ะ
Kid Room
Kid Room
ห้องเล่นสนุกให้คุณหนูๆ ได้ออกมาเปลี่ยนบรรยากาศ เรามองว่าเป็นพื้นที่สำคัญที่ทำให้พวกเขาได้พบปะเพื่อนๆ ได้เรียนรู้การเข้าสังคมด้วยค่ะ ภายในมีของเล่นไว้เพียบเลย
Play Area
Play Area
นอกจากพื้นที่ Indoor สำหรับคุณหนูๆ แล้ว โครงการก็จะมีพื้นที่ Outdoor สำหรับเด็กให้ใช้เสริมสร้างกล้ามเนื้อ, ยืดเส้นยืดสายด้วยเช่นกัน เหมาะกับเวลาที่พ่อแม่มาทำกิจกรรมใน Clubhouse ก็จะมีพื้นที่ให้ลูกๆ วิ่งเล่นพักผ่อนได้
ชั้น 2
บนชั้น 2 จะมีอีก 2 ฟังก์ชันที่น่าสนใจก็คือ Fitness และ Signature Lounge
Signature Lounge
Signature Lounge
ห้องนี้เอาใจสายปาร์ตี้ โดยลูกบ้านสามารถจองใช้งานแบบเป็นส่วนตัวได้ ภายในมีโซฟานั่งเล่น, TV, โต๊ะทานอาหารขนาด 10 ที่นั่ง และเคาน์เตอร์บาร์สำหรับชงเครื่องดื่มและทำอาหารเล็กๆ น้อยๆ ได้ ซึ่งโครงการเตรียมอุปกรณ์ในครัวไว้ให้พร้อมเลย ทั้งเตาอบ, ตู้เย็น, เครื่องชงกาแฟ, ซิงค์ล้างจาน เป็นต้น
Fitness
Fitness
ภายใน Fitness จะจัดวางเครื่องออกกำลังกายส่วนใหญ่ไว้ติดหน้าต่าง เพื่อให้รับวิวสระและสวนได้ บรรยากาศในห้องจึงดูโปร่งโล่ง ไม่อึดอัด ใน Fitness มีอุปกรณ์ครบครันจาก True Fitness รองรับทั้งการออกกำลังกายแบบ Cardio และ Weight Training
สวนส่วนกลาง
สวนส่วนกลาง
ภายในสวนเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และไม้พุ่ม ซึ่งโครงการจัดมุมนั่งเล่นไว้เยอะทีเดียวทั้งแบบม้านั่งในสวนและที่นั่งจริงจังแบบ Pavilion จุดที่เราชอบก็คือมีโคมไฟในสวนเยอะมาก ทำให้สวนดูสว่างไสว สามารถใช้งานจนเย็น-ค่ำได้
ตอนนี้ทางโครงการก่อสร้างบ้านในโซนด้านหน้าที่ติดกับสวนใกล้จะแล้วเสร็จแล้วค่ะ ใครอยากเห็นบรรยากาศจริงในโครงการก็สามารถแวะมาชมได้แล้วนะคะ
อีกบริการพิเศษที่ไม่ได้มีทุกโครงการหรูก็คือ Butler Services ที่เป็นเหมือนผู้ดูแลแลอำนวยความสะดวกภายในบ้านให้กับเจ้าบ้านแต่ละหลัง สามารถใช้บริการแบบ Tailor Made (ตามสั่ง) ที่ลูกบ้านสามารถเลือกได้ตามความต้องการในราคาพิเศษ ครอบคลุมในเรื่องของการ maintenance ส่วนสำคัญของบ้าน เช่น สระน้ำ และ สวน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านและลดความเสี่ยงในการ เข้า-ออกโครงการของคนแปลกหน้า ซึ่ง Supplier ต่างๆ ทาง Butler Service จะคัดเลือกมืออาชีพมาเป็นผู้ดูแลบ้านให้กับลูกค้าของโครงการค่ะ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- อาคาร Clubhouse บริเวณหน้าโครงการประกอบไปด้วย
- ชั้น 1
- Lobby
- Co-Working Space
- Meeting Room
- Private Salon
- Kid Room
- Play Area
- สระว่ายน้ำ 1 สระ ระบบเกลือ ขนาด 7×25 เมตร ลึก 1.2 เมตร ภายในแบ่งสระเด็กไว้เป็นสัดส่วน
- Signature Lounge
- Fitness
แบบบ้าน
Concept ที่ใช้ในการออกแบบโครงการมาจากแนวคิด “Private Luxury Living Residences” คือการออกแบบที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นแต่ยังมีกลิ่นอายที่เรียบหรู โดยจุดเด่นของบ้านโครงการ The One Signature Bangna-Rama9 (เดอะ วัน ซิกเนเจอร์ บางนา-พระราม9) มีความน่าสนใจหลายประเด็นทีเดียว ได้แก่
- เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้นที่มีราคาน่าสนใจกว่าโครงการอื่นสักหน่อยเริ่มต้น 28 ล้านบาท เพราะราคาบ้านเดี่ยว 3 ชั้นในโซนนี้มีราคา 30 ล้านขึ้นไปจนถึง 60 ล้านกันแล้วนะคะ
- อีกจุดเด่นหลักที่เราเห็นว่าแตกต่างจากโครงการในโซนนี้คือ “การออกแบบที่โปร่งโล่ง ทุกห้องนอนห้องพักผ่อนสามารถมองเห็นสระว่ายน้ำและสวนได้ จึงมีระเบียงแทบทุกห้องเลย”
- โครงการใช้หลายเทคนิคในการออกแบบให้บ้านได้ความเป็นส่วนตัวสูง เช่น การออกแบบช่องเปิดไม่ไห้ชนกับบ้านข้างเคียง, การใช้ Double Facade เพื่อช่วยให้แสงและลมผ่านตัวบ้านได้ ในขณะเดียวกันก็บังสายตาจากเพื่อนบ้านข้างเคียงได้
โครงการมีแบบบ้านทั้งหมด 2 แบบ ดังนี้
- Trenda บ้านเดี่ยว 3 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 87.4-135.3 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 560 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 6 ห้องน้ำ / 1 ห้องอเนกประสงค์ / 1 ห้องแม่บ้าน / 4 ที่จอดรถ / ลิฟต์ / สระว่ายน้ำส่วนตัว
– ราคาเริ่มต้น 40 ล้านบาท - Venti บ้านเดี่ยว 3 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 66.9-91.2 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 400 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 5 ห้องน้ำ / 1 ห้องอเนกประสงค์ / 1 ห้องแม่บ้าน / 3 ที่จอดรถ / ลิฟต์
– ราคาเริ่มต้น 28 ล้านบาท
โครงสร้างและวัสดุในบ้าน
- โครงสร้างแบบ Conventional ก่ออิฐฉาบปูน รองรับการทุบต่อเติมได้ในอนาคต
- หลังคาทรง Flat Slab โครงหลังคา Smart Truss น้ำหนักเบา + เมทัลชีทพร้อมติดฉนวนกันความร้อน
- ที่จอดรถในร่มใช้เสาเข็มเดียวกับตัวบ้าน ปูพื้นด้วยกระเบื้อง Kenzai ชิ้นเล็ก 10×10 cm. เพื่อให้ดูแลซ่อมแซมง่าย
- ประตู Tostem เป็นประตู Aluminium ลายไม้ สำเร็จรูปคุณภาพสูง
- มือจับประตูพร้อม Digital Door Lock แบรนด์ Alpha ชนิด Push Pull Handle ระบบล็อค 2 ชั้นตามมาตรฐานญี่ปุ่น รองรับ 3 ระบบ ได้แก่ Password, Keycard และ กุญแจ
- พื้นชั้น 1 : กระเบื้องแกรนิตโต้ 60×60 cm., 60×120 cm.
- พื้นชั้น 2,3 : Engineering Wood
- กรอบหน้าต่างอลูมิเนียมผิวทราย Zahara, กระจกตัดแสง
- สุขภัณฑ์และวัสดุในห้องน้ำใช้ของ Kohler เป็นหลัก
- ฉากกั้นอาบน้ำ กระจก Tempered หนา 10 mm.
- อ่างอาบน้ำยี่ห้อ KASCH สีขาว ขนาด 183×82 cm. สูง 60 cm.
- โครงสร้างบันไดคอนกรีตเสริมเหล็ก ปิดผิวด้วย Engineering Wood, ราวกันตกกระจก Tempered 8 mm. มือจับเป็นไม้เนื้อแข็ง
- ลิฟต์ ของ Hitachi ระบบสลิง รองรับ 300 kg. (4 คน)
- แอร์
- แบบ Trenda ให้ Daikin Inverter Cassette 4 ทิศทาง 10 ตัว, แอร์ติดผนัง 1 ตัว
- แบบ Venti ให้ Daikin Inverter Cassette 4 ทิศทาง 9 ตัว, แอร์ติดผนัง 1 ตัว
Home Automation ควบคุมการทำงานผ่าน Application
- เปิด-ปิด ไฟฟ้าส่องสว่าง
- เปิด-ปิด เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น TV, เครื่องปรับอากาศ
- เปิด-ปิด ประตูรั้วหน้าบ้าน
- VDO Door Bell/ VDO Door Phone
- CCTV 1 ตัว
- แจ้งเตือนขอความช่วยเหลือจากภายในลิฟต์ไปที่ Application ในมือถือและ Alarm ในบ้าน
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ
บ้านตัวอย่างแบบ Trenda
หน้าตาบ้านแบบ Trenda
หน้าตาบ้านที่เห็นว่าดูเรียบหรูแบบโมเดิร์นๆ แบบนี้มีการเลือกใช้วัสดุที่หลากหลายทั้งปูน, อลูมิเนียมลายไม้และ Stone veneer แผ่นหินที่มีความบางพิเศษ ทำให้ภาพรวมเป็นโทนสีน้ำตาล-เทา
ในเรื่องของช่องแสงถ้าดูจากหน้าบ้านจะรู้สึกเหมือนว่าตัวบ้านไม่ได้มีช่องแสงเยอะนัก แต่จริงๆ แล้วเมื่อเข้าไปในบ้านจะเห็นว่ามีหน้าต่างเยอะมาก เพียงแค่ผู้ออกแบบเลือกเปิดในจุดที่มีความเป็นส่วนตัว และในหลายๆ จุดที่เลี่ยงไม่ได้จะใช้เทคนิค Double Facade เพื่อบังสายตาจากเพื่อนบ้านรอบข้าง
ชั้น 1
Trenda เป็นแบบบ้าน Pool Villa ของโครงการจัดฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ จอดรถได้ถึง 4 คัน ที่ดินเริ่มต้นมีขนาด 87.4-135.3 ตร.วา ซึ่งตัวบ้านเป็นทรงตัว L วางแบบเต็มที่ดินมีขนาดพื้นที่ใช้สอยถึง 560 ตร.ม. มาพร้อมสระว่ายน้ำ เหมาะกับคนที่ชอบพื้นที่ใช้สอยในบ้านเยอะๆ และชอบบ้านที่มีสระว่ายน้ำมาให้เลยไม่ต้องไปก่อสร้างต่อเติมเองภายหลัง รองรับครอบครัวที่มีสมาชิก 4-6 คนกำลังดี และรองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุด้วย เพราะมีลิฟต์ให้ขึ้นลงได้สะดวก
ชั้น 1 – เป็น Common Area โปร่งโล่ง เชื่อมถึงกันทั้งพื้นที่นั่งเล่นและทานอาหาร ซึ่งจะมีจุดที่เป็น Double Volume ให้บรรยากาศที่โอ่อ่า และมีห้องอเนกประสงค์อีก 1 ห้องที่ได้วิวสระว่ายน้ำพร้อมห้องน้ำในตัว ครัวจะได้เป็นแบบครัวปิด มีประตูเชื่อมต่อกับโซนแม่บ้านด้านหลังเพื่อให้ใช้งานเชื่อมต่อกันได้สะดวก
ทางเข้าบ้านจะมีประตูสำหรับเดินเข้า-ออกที่แยกออกจากรถยนต์ ซึ่งออกแบบมาเป็นซุ้มมีหลังคาบังแดดบังฝนให้
บริเวณประตูก็จะมี VDO Door Bell ติดตั้งไว้ให้ เวลาที่มีแขกมากดกริ่งหน้าบ้าน ผู้อยู่อาศัยในบ้านก็สามารถมองเห็นว่าเป็นใครได้ รวมถึงสามารถคุยโต้ตอบกับผู้ที่มากดกริ่งได้ด้วยค่ะ
ในส่วนของประตูรั้วหน้าบ้านจะเป็นประตูรั้วพร้อมระบบอัตโนมัติ สั่งเปิดได้ผ่านรีโมทและ Apps โดยพื้นที่จอดรถจะเป็นแบบจอดในร่มได้ 4 คัน ขนาดความกว้าง 10 m. ในส่วนที่มีหลังคาคลุมลึก 5.1 m. ซึ่งในส่วนนี้ทางโครงการจะลงเสาเข็มความยาวเท่าตัวบ้านไว้ให้เลย จึงไม่ต้องกลัวทรุดแยกออกจากตัวบ้าน
ถ้าใครขับรถที่มีความยาวเป็นพิเศษ เช่น รถตู้ Alphard ก็สามารถจอดได้ เพราะระยะจากรั้วถึงกำแพงที่จอดรถมีระยะ 6.35 m. แต่หลังคาจะบังแดดไม่ได้ทั้งคัน ซึ่งเป็นส่วนที่ลูกบ้านนิยมต่อเติมกันมากที่สุด
ภายในที่จอดรถจะมีจุดรองรับการติดตั้ง EV Charger ไว้ให้ ซึ่งระบบไฟของบ้าน Type นี้เป็น 3 เฟส 50/150 และมีห้องเก็บของมาให้ สามารถใช้เก็บของชิ้นใหญ่อย่างถุงกอล์ฟได้นะคะ
บริเวณโรงจอดรถจะติดตั้ง CCTV มาให้ 1 จุด
พื้นที่สวนข้างบ้านนั้นขึ้นอยู่กับขนาดที่ดินของแต่ละแปลง ซึ่งบ้านตัวอย่างหลังนี้เป็นบ้านหลังมุมจึงมีพื้นที่สวนข้างบ้านเยอะหน่อย แต่ถ้าเราไม่ได้ชอบดูแลสวนสักเท่าไหร่ ก็เลือกแปลงอื่นที่มีที่ดินรอบบ้านไม่เยอะนักก็ได้ค่ะ
ประตูหลักบริเวณหน้าบ้านจะอยู่ใต้ชายคาที่ช่วยบังแดดบังฝนได้ ซึ่งเราสามารถเดินเชื่อมต่อจากที่จอดรถได้สะดวกเลย
ประตูหน้าบ้านยี่ห้อ Tostem เป็นประตู Aluminium ลายไม้ สำเร็จรูปคุณภาพสูง ประตูนี้มีความน่าสนใจดีนะ มีน้ำหนักเบาและความกว้างของประตูสูงสุดถึง 1.4 m. ในส่วนของมือจับของแบรนด์ Alpha Digital Door Lock ชนิด Push Pull Handle ระบบล็อค 2 ชั้นตามมาตรฐานญี่ปุ่น รองรับ 3 ระบบ ได้แก่ Password, Keycard และ กุญแจ
Foyer
เข้ามาด้านในบ้าน พื้นที่ส่วนแรกจะเป็น Foyer คือโถงต้อนรับ ทำให้ตัวบ้านดูโอ่อ่า เหมาะกับการออกแบบให้เป็นพื้นที่ใส่รองเท้า/เก็บรองเท้า และเป็นมุมนั่งพักคอย
จาก Foyer เราจะมองเห็นสระว่ายน้ำและสวนได้นิดหน่อย ทำให้บ้านดูโปร่งแต่ก็ไม่เห็นสระว่ายน้ำชัดเกินไปจนเสียความเป็นส่วนตัวนะคะ ซึ่งจากตรงนี้จะมีทางแยกออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งซ้ายเป็น Multi-Purpose Room และฝั่งขวาเป็น Common Area
Multi-Purpose Room
Multi-Purpose Room สามารถปรับใช้งานได้หลากหลายตามแต่ไลฟ์สไตล์เลยค่ะ จะปรับเป็น Game Room ตามแบบในห้องตัวอย่างก็ได้ หรือจะใช้เป็นห้องนอนผู้สูงอายุ, ห้องนอนแขก ก็ได้ค่ะเพราะมีห้องน้ำในตัว
Multi-Purpose Room
ความน่าสนใจของห้องนี้อยู่ที่วิวนี่แหละ เพราะเป็นห้องที่ได้วิวสระและมองเห็นสวนหน้าบ้าน ทำให้บรรยากาศดูโปร่งโล่งน่าพักผ่อนมากๆ เลย
ห้องน้ำใน Multi-Purpose Room
ห้องน้ำใน Multi-Purpose Room
ในส่วนของห้องน้ำจะได้สุขภัณฑ์ที่ได้จะเป็นแบบครบชุดเหมือนในบ้านตัวอย่าง ระดับพื้นจะแยกพื้นที่ส่วนเปียกส่วนแห้งไว้เป็นสัดส่วนด้วยฉากกั้นอาบน้ำ ดูๆ แล้วห้องน้ำนี้ออกแบบมาให้เหมาะกับคนทั่วไปและผู้สูงอายุที่ยังเดินเหินได้สะดวก มีการออกแบบและขนาดตามมาตรฐานทั่วไป
โครงการเลือกใช้สุขภัณฑ์ของ Kohler เป็นหลัก ในส่วนของ Shower Box มีขนาดประมาณ 1×1.5 m. พอให้ยืนหมุนตัวอาบน้ำได้พอสมควร
Swimming Pool & Garden
Swimming Pool and Garden
โครงการจะก่อสร้างสระว่ายน้ำไว้ให้พร้อมใช้งานได้เลย เป็นสระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาด 4×7 เมตร ลึก 1.2 เมตร เราชอบตำแหน่งของสระมากๆ เพราะถูกล้อมด้วยบ้าน 2 ฝั่งเป็นทรงตัว L ตัวบ้านจึงช่วยบังสายตาของเพื่อนบ้านรอบข้างไปได้ และทำให้เมื่อมองออกมาจากในตัวบ้านเราจะมองเห็นสระและสวนได้แทบทุกมุมของบ้าน
Common Area (Living+Dining)
อีกฝั่งหนึ่งของตัวบ้านจัดเป็น Common Area กว้างๆ เชื่อมต่อกันระหว่างพื้นที่นั่งดูทีวีและทานอาหาร โดยบ้านมาตรฐานจะได้ตามแบบในรูปด้านล่าง พื้นชั้น 1 ปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ 60×120 cm. ผนังติด Wallpaper ให้ทุกห้องยกเว้นในห้องครัว และติดตั้งไฟดาวน์ไลท์ไว้ให้
Living Area
Living Area
พื้นที่นั่งเล่นดูโปร่งโล่งด้วยฝ้าเพดานแบบ Double Volume สูง 6.6 m. รองรับชุดโซฟาขนาดใหญ่ 6-7 ที่นั่งได้สบายๆ สามารถใช้ทีวีขนาด 70″ ขึ้นไปได้เลย
Highlight ของพื้นที่นั่งเล่น Double Volume ที่เราสามารถมองขึ้นไปเห็นทางเดินบนชั้น 2 และจากชั้น 2 ก็สามารถมองเห็นสมาชิกชั้นล่างด้วยเช่นกัน ช่วยเอื้อให้ปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวเกิดขึ้นได้ง่าย
Dining Area
พื้นที่รับประทานอาหารจะเชื่อมต่อกับพื้นที่นั่งเล่นเลย จึงสามารถทานอาหารไปดูทีวีไปได้ พื้นที่รับประทานอาหารรองรับโต๊ะขนาด 6-8 ที่นั่งได้สบายๆ ฝ้าเพดานในบ้านสูง 2.9 m. ทำให้สามารถติดตั้งแอร์ระบบฝังฝ้าเพดานตามแบบในบ้านตัวอย่าง หรือจะทำฝ้าหลุมเพื่อเพิ่มความสวยงามก็ได้
ด้านข้างบ้านมีประตูกระจกเพื่อเปิดเชื่อมกับสวนได้ อีกทั้งยังเป็นส่วนที่รับแสงจากธรรมชาติ ทำให้ในบ้านดูสว่างและปลอดโปร่ง ประตูที่เปิดเข้าสู่สระและสวนเป็นประตูกระจกบานใหญ่ สูงจากพื้นถึงฝ้าเลย ทำให้เห็นวิวภายนอกได้แบบเคลียร์ๆ ทำให้กรอบบานประตูต้องหนาเป็นพิเศษ และวางตัวรางเท่ากับพื้นบ้านเพื่อกันสะดุดค่ะ
อีกฝั่งหนึ่งของบ้านที่ไม่ได้อยู่ติดสระและสวนจะเป็น Service Zone ได้แก่ Pantry, ห้องน้ำ, ครัวไทย, ลิฟต์และบันได
Pantry และ Powder Room
Pantry
บริเวณหน้าห้องครัวไทยจะมีพื้นที่อเนกประสงค์ ที่เหมาะจะจัดเป็น Pantry สำหรับเตรียมเครื่องดื่ม, อุ่นอาหารเล็กๆ น้อยได้สะดวก ติดกันเป็น Powder Room ใช้สำหรับรับรองแขกจึงไม่ได้มีพื้นที่อาบน้ำ ซึ่งสุขภัณฑ์ของห้องนี้จะให้มาเป็นแบบอัตโนมัติใช้งานได้สะดวก แขกไปใครมาน่าจะชอบค่ะ
Kitchen
Kitchen
ภายในครัวจะเป็นห้องโล่งๆ ไม่ได้มีชุดครัวมาให้ เราสามารถออกแบบเคาน์เตอร์ครัวตามแบบที่เราต้องการได้ ซึ่งพื้นที่ห้องค่อนข้างใหญ่สามารถใช้งานได้แบบเต็มที่ ส่วนที่เราชอบคือ ห้องนี้มีประตูให้เปิดระบายอากาศได้ 2 ฝั่ง ทำให้ถ่ายเทอากาศและกลิ่นควันได้ดี
ประตูทางเชื่อมกับ Maid Area ใช้ของ Tostem รุ่นนี้มีความพิเศษที่เป็นแบบ 2 ชั้น คือชั้นแรกเป็นมุ้งลวดเพื่อให้ลมผ่านได้ และชั้นที่ 2 เป็นกระจกเพื่อความปลอดภัยในเวลากลางคืน ลูกบ้านสามารถเลือกเปิดปิดได้ รวมถึงมีตัวล็อกติดตั้งมาให้ด้วยค่ะ
สำหรับประตู Tostem เราเองค่อนข้างให้เครดิตกับยี่ห้อนี้ เพราะลองใช้ดูแล้วรู้สึกว่าโช้คเค้าดี เปิดปิดง่าย และโครงการก็ติดตั้ง Sensor เอาไว้ที่ประตูและหน้าต่างทุกบานบนชั้น 1 และ 2 เพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้อยู่อาศัย
Maid Area
Maid Area
ครัว – พื้นที่วางเครื่องซักผ้า – ห้องแม่บ้าน จะอยู่ในโซนเดียวกันทำให้การทำงานและการอยู่อาศัยของแม่บ้านน่าจะสะดวกทีเดียว และมีห้องน้ำของแม่บ้านอยู่ในโซนนี้ด้วยเช่นกัน
ลิฟต์
ลิฟต์
สำหรับลิฟต์ที่โครงการเลือกใช้เป็นของ Hitachi ลิฟต์รองรับ 300 kg. ขึ้นได้ทีละประมาณ 4 คน หรือผู้สูงอายุนั่งรถเข็นก็สามารถเข็นเข้าได้ เพราะมีพื้นที่ในตัวลิฟต์ประมาณ 0.9×1.1 m. ปุ่มกดเป็นแบบ Universal Design จึงอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สูงมาก เด็กๆ ก็กดถึงค่ะ
บันได
บันได
ในส่วนของบันไดจะใช้โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กและปิดผิวด้วยพื้น Engineering Wood ทนทานกว่าพื้นไม้ลามิเนตทั่วไป ส่วนราวกันตกเป็นกระจก Tempered หนา 8 mm. ช่วยให้บรรยากาศดูคลีนๆ ไม่มีอะไรมาบังสายตา สุดท้ายคือมือจับเป็นไม้เนื้อแข็งเข้ากับพื้นไม้
ข้างบันไดจะมีจอ Monitor ติดตั้งไว้ ซึ่งเราสามารถดูภาพจากกล้อง CCTV บริเวณหน้าประตูโครงการและบริเวณหน้าบ้านได้จากจุดนี้ หรือหากมี VDO Door Phone/Bell เข้ามาก็สามารถรับสายหรือพูดตอบโต้กับพี่รปภ. หรือแขกที่มาอยู่บริเวณหน้าบ้านเราได้ค่ะ
ชั้น 2
ชั้น 2 – พื้นที่ส่วนใหญ่บนชั้นนี้เป็นของ Master Bedroom ที่มีขนาดใหญ่และจัดฟังก์ชันมาแบบเต็มที่มาก และบนชั้นนี้ยังมี Family Room อีก 1 ห้องที่อยู่ทางฝั่งหลังบ้านค่ะ
โถงทางเดินบนชั้น 2 จะเปิดให้เห็นพื้นที่ชั้นล่างได้ผ่าน Double Volume และจะมีแสงธรรมชาติผ่านหน้าต่างเข้ามายังทางเดินช่วยให้ดูโปร่งโล่ง
Master Bedroom ( Foyer+Walk-in Closet+Bathroom+Bedroom)
Foyer
Foyer
มาเริ่มกันตั้งแต่เปิดประตู Master Bedroom เข้ามาเลย โซนแรกที่เห็นคือ Foyer เป็นพื้นที่ต้อนรับลำดับแรกที่เราสามารถจัดวางของสะสมของตกแต่ง เพื่อแสดงออกถึงตัวตน-ความชอบ ได้เลย ข้อดีของ Foyer ที่อยู่ในโซนหน้าสุดก็คือเป็น Buffer Zone ให้กับฟังก์ชันอื่นๆ ช่วยลดเสียงรบกวนจากโถงทางเดิน และเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับเจ้าของห้อง
Highlights ของบริเวณนี้คือ “สวน” ซึ่งในบ้านตัวอย่างตกแต่งไว้ให้ดูเป็นตัวอย่างว่าสามารถแทรกพื้นที่สีเขียวเข้ามาในตัวบ้านได้ เพราะทำท่อระบายน้ำไว้รองรับการรดน้ำแล้วด้วย ซึ่งเราก็แนะนำเป็นต้นไม้กระถางที่ทนหน่อย ไม่ได้ต้องการแดดจัดนัก หรือจะเป็นต้นไม้ปลอมก็ดูแลง่ายดีค่ะ
จากตำแหน่งของ Foyer จะแยกพื้นที่ออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็น Walk-in Closet+Bathroom และอีกฝั่งหนึ่งเป็น Bedroom ตามเราไปดูทีละฝั่งค่ะ
Walk-in Closet
Walk-in Closet
ภายใน Walk-n Closet มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สามารถ Built-in ตู้เสื้อผ้าได้รอบห้องเลย และยังมีพื้นที่เพียงพอสำหรับทำตู้ Island ด้วย บรรยากาศภายในห้องดูร่มรื่นด้วยหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดเชื่อมกับสวนบริเวณ Foyer ได้ จึงเป็นช่องแสงที่ได้ทั้งวิวสวนและยังคงความเป็นส่วนตัวไว้ได้ ส่วนตัวเราเองชอบเลยค่ะ
Bathroom
Bathroom
ส่วนที่เราชอบมากอีกอย่างคือ Master Bathroom นี่แหละ เพราะเป็นห้องน้ำที่สว่างได้แสงธรรมชาติเข้ามาแบบเต็มที่ จุดที่ตั้งอาบอาบน้ำก็มองเห็นต้นไม้บริเวณและท้องฟ้าได้เลย ซึ่งตำแหน่งระเบียงก็ไม่ได้เปิดมาเจอกับเพื่อนบ้านโดยตรงนะคะ และมีระแนงบังสายตาอีกชั้นหนึ่งด้วย สำหรับอ่างอาบน้ำจะเป็นแบบลอยตัวของ KASCH สีขาว ขนาด 183×82 cm. สูง 60 cm.
Bathroom
สำหรับสุขภัณฑ์และ Shower Box จะมีฉากกั้นกระจกติดตั้งมาให้ แยกเป็นสัดส่วนชัดเจน โดยพื้นที่อาบน้ำมีขนาด 1.7×1.1 m. สามารถหมุนตัวอาบน้ำได้สะดวก พร้อมติดตั้งอุปกรณ์เอาไว้ ได้ฝักบัวทั้งรูปแบบ Hand Shower และ Rain Shower ซึ่งวัสดุอุปกรณ์ทั้งหมดในห้องน้ำนี้จะให้ของ Kohler เป็นหลักเช่นกัน แต่พิเศษที่สุขภัณฑ์จะได้เป็นแบบอัตโนมัติ ในส่วนของอ่างล้างหน้าจะออกแบบมาให้เป็น His and Her ใช้งานพร้อมกันได้ 2 คนเลยค่ะ
Bedroom
Bedroom
Bedroom จะเป็นห้องที่ถัดเข้ามาด้านใน เพื่อให้ได้ความสงบมากขึ้น ภายในห้องมีหน้าต่าง 2 ฝั่งเลย ได้หน้าต่างบานใหญ่ตั้งแต่พื้นสูงเกือบจรดฝ้า ทำให้ดูโปร่งโล่งขึ้นกว่าปกติ
พื้นที่ภายใน Master Bedroom มีขนาดใหญ่ สามารถวางเตียงใหญ่ King Size ได้ และมีพื้นที่ปลายเตียงเหลือพอจะวางชุดโซฟาและทีวี สำหรับนั่งดูทีวีเป็นส่วนตัวภายในห้องได้ด้วย
Terrace
Terrace
โซนสุดท้ายที่จะพาไปชมในห้องนอนใหญ่คือระเบียง ซึ่งเป็นอีก Gimmick หนึ่งของตัวบ้าน เพราะแทบทุกห้องมีระเบียง แต่จะใหญ่เล็กก็ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ใช้สอยของห้องนั้นๆ อย่างห้องนี้มีขนาด 4.7×1.3 m. นอกจากขนาดที่กว้างแล้ว ในการออกแบบทางโครงการยังได้เน้นความเป็นส่วนตัว ด้วยการให้ระเบียงหันเข้าหาสระและสวนในบ้าน เพื่อให้พักผ่อนได้อย่างสบายใจ ไม่หันไปชนข้างบ้านค่ะ
พื้นที่ทางฝั่งหลังบ้านบนชั้นนี้จัดเป็น Family Room ที่มีขนาดใหญ่อีกเช่นกัน
Family Room
Family Room
พื้นที่นั่งเล่นของครอบครัวอีกจุดหนึ่งที่สามารถพักผ่อนได้แบบจริงจัง เพราะห้องนี้มีขนาดใหญ่ วางชุดโซฟา 3-4 ที่นั่งได้สบายๆ หรือจะแบ่งโซนเป็นที่ออกกำลังกายเล่นโยคะ ตามแบบในบ้านตัวอย่างก็ได้ เวลาคุณพ่อคุณแม่มีแขกที่ชั้นล่างลูกๆ ก็พักผ่อนที่ชั้นบนได้ไม่รบกวนกัน หรือเวลากลางคืนอยากรวมตัวดูทีวีด้วยกันก่อนเข้านอน ห้องนี้ก็น่าจะตอบโจทย์ค่ะ
Family Room : Terrace
สิ่งที่เราชอบมากที่สุดของห้องนี้คือ ระเบียงมีขนาดใหญ่ถึง 2.6×3.2 m. เลยนะคะ เป็นพื้นที่แบบ Semi-Outdoor มีหลังคาคลุมบังแดดบังฝนได้ จึงใช้งานได้ตลอด และจากระเบียงก็มองลงไปเห็นสระว่ายน้ำได้พอดีด้วยค่ะ
Family Room : Pantry
นอกจากนี้ใน Family Room ยังมีห้อง Pantry สำหรับเตรียมน้ำ, ขนม ได้ด้วย เกิดหิวน้ำในตอนกลางคืนก็ไม่ต้องลงไปถึงชั้น 1 เพราะมี Pantry บนชั้น 2 เตรียมไว้อีกจุดหนึ่งแล้วค่ะ
ชั้น 3
ชั้น 3 – เป็นชั้นที่อบอุ่นมากเพราะรวมห้องนอนลูกๆ ไว้ 3 ห้อง และมี Living Area อีกจุดหนึ่งอยู่บริเวณหน้าห้องนอนทั้ง 3 ค่ะ
ติดกับบันไดจะเป็น Bedroom 2 และ 3
Bedroom 2
มาที่ Bedroom 2 กันก่อน แม้ว่าจะเป็นห้องนอนลูกแต่ก็มีขนาดใหญ่พอสมควรเลยนะคะ มีห้องน้ำในตัว, พื้นที่วางตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่และระเบียงครบถ้วน โซนแรกที่เข้ามาจะเป็นทางเดินและห้องน้ำ ทำให้โซนพักผ่อนถูกดันเข้าไปไว้ด้านในจึงได้ความเป็นส่วนตัวในการพักผ่อนมากขึ้น
เนื่องจากโครงการเน้นให้พื้นที่พักผ่อนมีขนาดใหญ่ก็ทำให้พื้นที่ภายในห้องน้ำมีความกระทัดรัด แต่ก็จัดฟังก์ชันมาครบตามมาตรฐานการใช้งาน โดยแบ่งโซนเปียกแห้งมาให้เรียบร้อยด้วยฉากกั้นอาบน้ำ พื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ 1.7×0.9 m. ติดตั้งสุขภัณฑ์และวัสดุต่างๆ มาครบเหมือนบ้านตัวอย่าง โดยใช้ของ Kohler เป็นหลัก
Bedroom 2 : Walk-in Closet
ถัดเข้ามาจะเป็นพื้นที่สำหรับทำเป็น Walk-in Closet ซึ่งสามารถ Built-in ตู้เสื้อผ้าได้รอบด้านเลย แต่บริเวณนี้จะไม่มีหน้าต่างนะคะ ต้องใช้แสงสว่างจากไฟฟ้าช่วยค่ะ
Bedroom 2
ภายในห้องนอนสามารถวางเตียงขนาด 6 ฟุตได้แบบที่มีพื้นที่เหลือรอบเตียงให้เดินได้สบายๆ และมีระเบียงทั้ง 2 ฝั่งเลย จึงเลือกออกไปเดินเล่นเปลี่ยนบรรยากาศได้ทั้งคู่ ซึ่งระเบียงฝั่งที่หันเข้าสระและสวนในบ้านจะมีขนาดใหญ่กว่า มีขนาด 3.2x 2 m. สามารถวางชุดโต๊ะเก้าอี้นั่งเล่นได้ ส่วนระเบียงฝั่งหน้าบ้านเราขอแนะนำให้วางต้นไม้กระถางเพื่อเพิ่มความร่มรื่นและช่วยบังสายตาจากบ้านฝั่งตรงข้ามค่ะ
Bedroom 3
Bedroom 3
เป็นห้องนอนที่มีขนาดเล็กสุดในบรรดาห้องนอนของลูกๆ นะคะ หากครอบครัวไหนมีลูก 2 คนก็อาจจะปรับฟังก์ชันเป็นห้องอ่านสมุด, ห้องคาราโอเกะ แทนก็ได้ หรือหากจัดเป็นห้องนอนตามแบบในบ้านตัวอย่างก็สามารถวางเตียงไซส์ใหญ่ 5-6 ฟุตได้เช่นเดียวกัน แต่จะไม่ได้ Walk-in Closet ขนาดใหญ่และไม่มีระเบียงเหมือนห้องนอนอื่นๆ เท่านั้นเองค่ะ
ฝั่งด้านหลังบ้านเป็นตำแหน่งของ Living Area และ Bedroom 4
Living Area
Living Area จะอยู่บริเวณหน้าห้องของลูกๆ จึงเป็นพื้นที่ให้เด็กๆ ได้มารวมตัวกัน เหมาะจะจัดเป็นพื้นที่นั่งเล่นเกมส์, ดูการ์ตูน และอาจจะมีพื้นที่นั่งทำการบ้านให้เด็กๆ ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ปรึกษากันค่ะ
Bedroom 4
Bedroom 4
สำหรับ Bedroom 4 เป็นห้องนอนลูกอีกห้องหนึ่งพื้นที่ใช้สอยพอกับ Bedroom 2 เลยค่ะ ฟังก์ชันก็พอๆ กันครบถ้วนทั้ง Walk-in Closet, ห้องน้ำ, โต๊ะเขียนหนังสือ แม้ว่าจะไม่มีระเบียงแต่ก็ได้หน้าต่างบานใหญ่ที่มองออกไปเห็นสระและสวนด้านล่างได้เช่นเดียวกัน
บ้านตัวอย่างแบบ Venti
บ้านอีก Type หนึ่งเป็นแบบ Garden Villa จึงเปลี่ยนจากสระว่ายน้ำเป็นสวนแทน ซึ่งบ้านนี้ยังมีมีจำนวนห้องนอน 4 ห้องเช่นเดียวกับบ้านหลังแรก แต่จะรองรับที่จอดรถได้ 3 คัน ในราคาที่ลดลงมาเป็น 10 ล้านบาทเลยค่ะ เริ่มต้น 28 ล้านบาท
ชั้น 1
Venti เป็นแบบบ้าน Garden Villa ซึ่งออกแบบบ้านมาเป็นทรงตัว L คล้ายแบบแรกเลย โดยมีขนาดพื้นที่ใช้สอย 400 ตร.ม. รองรับครอบครัวที่มีสมาชิก 4-6 คน กำลังดี และรองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุด้วย เพราะมีลิฟต์ให้ขึ้นลงได้สะดวก
ชั้น 1 – เป็น Common Area โปร่งโล่ง เชื่อมถึงกันทั้งพื้นที่นั่งเล่นและทานอาหาร ซึ่งจะมีจุดที่เป็น Double Volume ให้บรรยากาศที่โอ่อ่า และมีห้องอเนกประสงค์อีก 1 ห้องที่ได้วิวสวน ครัวจะได้เป็นแบบครัวปิด มีประตูเชื่อมต่อกับโซนแม่บ้านด้านหลังเพื่อให้ใช้งานเชื่อมต่อกันได้สะดวก
ทางเข้าบ้านจะมีประตูสำหรับเดินเข้า-ออกที่แยกออกจากรถยนต์ ซึ่งออกแบบมาเป็นซุ้มมีหลังคาบังแดดบังฝน พร้อมติดตั้ง VDO Door Bell มาให้
พื้นที่จอดรถจะเป็นแบบจอดในร่มได้ 3 คัน ขนาดความกว้าง 7.6 m. ในส่วนที่มีหลังคาคลุมลึก 5.1 m. ซึ่งในส่วนนี้ทางโครงการจะลงเสาเข็มความยาวเท่าตัวบ้านไว้ให้เลย จึงไม่ต้องกลัวทรุดแยกออกจากตัวบ้าน
ถ้าบ้านไหนใช้รถตู้ Alphard ก็สามารถจอดได้ เพราะระยะจากรั้วถึงกำแพงที่จอดรถมีระยะ 6.5 m. แต่หลังคาจะบังแดดไม่ได้ทั้งคัน ซึ่งเป็นส่วนที่ลูกบ้านนิยมต่อเติมกันมากที่สุด ระบบไฟของบ้าน Type นี้เป็น 3 เฟส 30/100 รองรับการติดตั้ง EV Charger
ประตูหลักบริเวณหน้าบ้านจะอยู่ใต้ชายคาที่ช่วยบังแดดบังฝนได้ ซึ่งเราสามารถเดินเชื่อมต่อจากที่จอดรถได้สะดวก ประตูหน้าบ้านยี่ห้อ Tostem สเปกเดียวกับบ้านหลังแรกนะคะ
Foyer
เข้ามาด้านในบ้าน พื้นที่ส่วนแรกจะเป็น Foyer คือโถงต้อนรับ ทำให้ตัวบ้านดูโอ่อ่า เหมาะกับการออกแบบให้เป็นพื้นที่ใส่รองเท้า/เก็บรองเท้า และเป็นมุมนั่งพักคอย
จาก Foyer มองเข้าไปจะเห็น Common Area ขนาดใหญ่ ซึ่งทางฝั่งซ้ายจะมี Multi-Purpose Room เป็นห้องที่เหมาะกับการใช้รับแขก, คุยงาน แบบเป็นส่วนตัว เพราะเป็นห้องที่อยู่ด้านหน้าสุดค่ะ
Multi-Purpose Room
Multi-Purpose Room
Multi-Purpose Room สามารถปรับใช้งานได้หลากหลายตามไลฟ์สไตล์เลย เช่นเป็นห้องเรียนพิเศษของเด็กๆ, ห้องรับรองแขกที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ซึ่งตำแหน่งของห้องนี้ก็จะได้วิวสวนทั้ง 2 ฝั่ง
Garden
Garden
พื้นที่ในสวนนอกจากต้นไม้ที่จะปลูกหญ้า พร้อมต้นไม้ริมรั้วและต้นไม้ใหญ่ให้ 1 ต้นแล้ว ก็จะมี Terrace ทรงตัว L ปูกระเบื้องลายไม้ ขนาด 20×120 cm. ไว้ให้ ในส่วนที่เชื่อมกับตัวบ้าน เพื่อให้เป็นมุมนั่งเล่นพักผ่อนในสวน
การออกแบบตำแหน่งของสวนถูกใจเราเหมือนเดิม เพราะถูกล้อมด้วยบ้าน 2 ฝั่งเป็นทรงตัว L ตัวบ้านจึงช่วยบังสายตาของเพื่อนบ้านรอบข้างไปได้ และทำให้เมื่อมองออกมาจากในตัวบ้านเราจะมองเห็นสวนได้แทบทุกมุมของบ้าน
Common Area (Living+Dining)
Common Area (Living+Dining)
พื้นที่ที่มีขนาดใหญ่สุดในชั้น 1 จะเป็น Common Area กว้างๆ เชื่อมต่อกันระหว่างพื้นที่นั่งดูทีวีและทานอาหาร โดยบ้านมาตรฐานจะได้ตามแบบในรูปด้านล่าง พื้นชั้น 1 ปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ 60×120 cm. ผนังติด Wallpaper ให้ทุกห้องยกเว้นในห้องครัว และติดตั้งไฟดาวน์ไลท์ไว้ให้
Common Area : Double Volume
Highlight ของพื้นที่นั่งเล่น Double Volume ที่เราสามารถมองขึ้นไปเห็นทางเดินบนชั้น 2 และจากชั้น 2 ก็สามารถมองเห็นสมาชิกชั้นล่างด้วยเช่นกัน ช่วยเอื้อให้ปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวเกิดขึ้นได้ง่าย
อีกฝั่งหนึ่งของบ้านที่ไม่ได้อยู่ติดสระและสวนจะเป็น Service Zone ได้แก่ ห้องน้ำ, ครัวไทย, ลิฟต์และบันได
ห้องน้ำ
Powder Room ใช้สำหรับรับรองแขกจึงไม่ได้มีพื้นที่อาบน้ำ ซึ่งสุขภัณฑ์ของห้องนี้จะให้มาเป็นแบบอัตโนมัติใช้งานได้สะดวก แขกไปใครมาน่าจะชอบค่ะ
Kitchen
Kitchen
ภายในครัวจะเป็นห้องโล่งๆ ไม่ได้มีชุดครัวมาให้ เราสามารถออกแบบเคาน์เตอร์ครัวตามแบบที่เราต้องการได้ ซึ่งพื้นที่ห้องค่อนข้างใหญ่สามารถใช้งานได้แบบเต็มที่ ส่วนที่เราชอบคือ ห้องนี้มีประตูให้เปิดระบายอากาศได้ 2 ฝั่ง ทำให้ถ่ายเทอากาศและกลิ่นควันได้ดี
อีกทั้งประตูที่เชื่อมกับ Maid Area ก็ใช้ของ Tostem รุ่นที่เป็นแบบ 2 ชั้น คือชั้นแรกเป็นมุ้งลวดเพื่อให้ลมผ่านได้ และชั้นที่ 2 เป็นกระจกเพื่อความปลอดภัยในเวลากลางคืน ลูกบ้านสามารถเลือกเปิดปิดได้ รวมถึงมีตัวล็อกติดตั้งมาให้ด้วยค่ะ
Maid Area
Maid Area
ครัว – พื้นที่วางเครื่องซักผ้า – ห้องแม่บ้าน จะอยู่ในโซนเดียวกันทำให้การทำงานและการอยู่อาศัยของแม่บ้านน่าจะสะดวกทีเดียว และมีห้องน้ำของแม่บ้านอยู่ในโซนนี้ด้วยเช่นกัน
ลิฟต์และบันไดจะให้สเปกเดียวกับบ้านหลังแรก ถือว่าได้ตามมาตรฐานของระดับราคานี้ค่ะ
ชั้น 2
ชั้น 2 – พื้นที่ส่วนใหญ่บนชั้นนี้เป็นของ Master Bedroom ที่มีขนาดใหญ่และจัดฟังก์ชันมาแบบเต็มที่มาก และบนชั้นนี้ยังมี Family Area ที่อยู่ทางฝั่งหลังบ้านด้วยค่ะ
โถงทางเดินบนชั้น 2 จะเปิดให้เห็นพื้นที่ชั้นล่างได้ผ่าน Double Volume และจะมีแสงธรรมชาติผ่านหน้าต่างเข้ามายังทางเดินช่วยให้ดูโปร่งโล่ง
หลายคนอาจจะสังเกตได้ว่า Double Volume ของบ้าน Type นี้ใหญ่กว่าหลังแรก ซึ่งมีข้อดีคือทำให้ชั้น 2 ของบ้านหลังนี้ดูโปร่งกว่า แต่บ้านหลังแรกจะมี Family Area ทางฝั่งหลังบ้านที่ใหญ่กว่า ใช้งานได้หลากหลายกว่า ทั้ง 2 แบบบ้านจึงมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันนะคะ
Family Area
Family Area
พื้นที่นั่งเล่นของครอบครัวบนชั้น 2 ที่สามารถวางชุดโซฟา 3-4 ที่นั่งได้สบายๆ ซึ่งเวลาคุณพ่อคุณแม่มีแขกที่ชั้นล่างลูกๆ ก็พักผ่อนที่ชั้นบนได้ไม่รบกวนกัน หรือเวลากลางคืนอยากรวมตัวดูทีวีด้วยกันก่อนเข้านอน ห้องนี้ก็น่าจะตอบโจทย์ค่ะ
Master Bedroom
Foyer
มาต่อกันที่ Master Bedroom โซนแรกที่เห็นคือ Foyer เป็นพื้นที่ต้อนรับลำดับแรกที่เราสามารถจัดวางของสะสมของตกแต่ง เพื่อแสดงออกถึงตัวตน-ความชอบ ได้เลย ข้อดีของ Foyer ที่อยู่ในโซนหน้าสุดก็คือเป็น Buffer Zone ให้กับฟังก์ชันอื่นๆ ช่วยลดเสียงรบกวนจากโถงทางเดิน และเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับเจ้าของห้อง
จากตำแหน่งของ Foyer จะแยกพื้นที่ออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็น Walk-in Closet+Bathroom และอีกฝั่งหนึ่งเป็น Bedroom ตามเราไปดูทีละฝั่งค่ะ
Walk-in Closet
Master Bedroom : Walk-in Closet
ภายใน Walk-n Closet มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สามารถ Built-in ตู้เสื้อผ้าได้รอบห้องและยังมีพื้นที่เพียงพอสำหรับทำตู้ Island ด้วย ซึ่งโครงการออกแบบให้มีหน้าต่าง 1 จุดเพื่อตอบโจทย์การวางโต๊ะเครื่องแป้งไว้ในที่ๆ ติดหน้าต่าง เพราะ “แสงธรรมชาติ” คือแสงสว่างที่ดีที่สุดเพื่อใช้ในการแต่งหน้าเนื่องจากให้โทนสีผิวที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดค่ะ
Bathroom
Master Bedroom : Bathroom
Master Bathroom ยังคงคอนเซปต์การออกแบบให้สว่างได้แสงธรรมชาติ ตำแหน่งของอ่างอาบน้ำก็มองเห็นต้นไม้และท้องฟ้าได้เลย ซึ่งตำแหน่งระเบียงก็ไม่ได้เปิดมาเจอกับเพื่อนบ้านโดยตรงนะคะ และมีระแนงบังสายตาอีกชั้นหนึ่งด้วย สำหรับสุขภัณฑ์และ Shower Box จะมีฉากกั้นกระจกติดตั้งมาให้ แยกเป็นสัดส่วนชัดเจน โดยพื้นที่อาบน้ำมีขนาด 1.4×1.1 m.
ซึ่งวัสดุอุปกรณ์ทั้งหมดในห้องน้ำนี้จะให้ของ Kohler เป็นหลักนะคะ สำหรับอ่างอาบน้ำจะเป็นแบบลอยตัวของ KASCH สีขาว ขนาด 183×82 cm. สูง 60 cm.
Bedroom
Master Bedroom : Bedroom
Bedroom จะเป็นห้องที่ถัดเข้ามาด้านในจึงได้ความสงบมากขึ้น พื้นที่ภายใน Master Bedroom มีขนาดใหญ่ สามารถวางเตียงใหญ่ King Size ได้ และมีช่องแสงทั้ง 2 ฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นระเบียงหันเข้าหาสระและสวนในบ้าน เพื่อให้พักผ่อนได้อย่างสบายใจ ไม่หันไปเจอหน้าต่างของเพื่อนบ้านค่ะ
ชั้น 3
ชั้น 3 – รวมห้องนอนลูกๆ ไว้ 3 ห้อง และมี Living Area อีกจุดหนึ่งอยู่บริเวณหน้าห้องนอนทั้ง 3 ค่ะ เราว่าชั้นนี้เค้าออกแบบได้ดีเลยเพราะห้องนอนทุกห้องมีระเบียง และห้องน้ำทุกห้องก็มีบานเปิดระบายอากาศได้
ติดกับบันไดจะเป็น Bedroom 2 และ 3
Bedroom 2
Bedroom 2
Bedroom 2 มีขนาดใหญ่เลยนะคะ เรามี 2 จุดที่ชอบในห้องนี้ก็คือ การวางตำแหน่งเตียงนอนไว้ด้านในสุดทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวในการพักผ่อนมากขึ้น และ ภายในห้องน้ำจะมีประตูเปิดระบายอากาศได้ ทำให้อากาศถ่ายเทแต่ก็ยังรักษาความเป็นส่วนตัวไว้ได้ ด้วยเทคนิคการออกแบบ Double Facade ช่วยบังสายตาจากเพื่อนบ้าน
Bedroom 3
Bedroom 3
เป็นห้องนอนที่มีขนาดเล็กสุดในบรรดาห้องนอนของลูกๆ ได้ฟังก์ชันครบแต่ขนาดจะกระทัดรัดกว่าห้องนอนอื่นๆ อยู่บ้าง จุดที่เราชอบคือระเบียงที่มีความเป็นส่วนตัวในการพักผ่อน แต่เป็นระเบียงแบบ Outdoor ต้องระวังเรื่องแดด, ฝนด้วยนะคะ
อีกจุดที่ชอบคือ เทคนิคการออกแบบ Double Facade ภายในห้องน้ำ ก็คือเหมือนห้องนอน 2 เลยค่ะมีประตูระเบียงให้เปิดระบายอากาศได้ แต่ก็มี Facade อีกชั้นช่วยบังสายตาจากเพื่อนบ้านไว้ด้วยเช่นกัน
ฝั่งด้านหลังบ้านเป็นตำแหน่งของ Living Area และ Bedroom 4
Living Area
Living Area
Living Area จะอยู่บริเวณหน้าห้องของลูกๆ จึงเป็นพื้นที่ให้เด็กๆ ได้มารวมตัวกัน ซึ่งบริเวณนี้ก็มีระเบียงให้ออกไปนั่งเล่น ซึ่งจะมองเห็นสวนที่ชั้น 1 ด้วยค่ะ
Bedroom 4
Bedroom 4
สำหรับ Bedroom 4 เป็นห้องนอนลูกอีกห้องหนึ่งพื้นที่ใช้สอยพอกับ Bedroom 2 เลยค่ะ ฟังก์ชันก็พอๆ กันครบถ้วนทั้ง Walk-in Closet, ห้องน้ำ, โต๊ะเขียนหนังสือและระเบียงค่ะ
ราคา
The One Signature Bangna-Rama9 (เดอะ วัน ซิกเนเจอร์ บางนา-พระราม9) ราคา ณ วันที่ 26 มกราคม 2567
- Trenda บ้านเดี่ยว 3 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 87.4-135.3 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 560 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 6 ห้องน้ำ / 1 ห้องอเนกประสงค์ / 1 ห้องแม่บ้าน / 4 ที่จอดรถ / ลิฟต์ / สระว่ายน้ำส่วนตัว
– ราคาเริ่มต้น 40 ล้านบาท - Venti บ้านเดี่ยว 3 ชั้น ที่ดินเริ่มต้น 66.9-91.2 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 400 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 5 ห้องน้ำ / 1 ห้องอเนกประสงค์ / 1 ห้องแม่บ้าน / 3 ที่จอดรถ / ลิฟต์
– ราคาเริ่มต้น 28 ล้านบาท - จอง 200,000 บาท
- เงินจอง+ทำสัญญา 15% จากราคาบ้าน
- ที่ดินเพิ่มลด ราคาตารางวาละ 160,000 บาท
- ค่าส่วนกลาง 65 บาท/ตร.วา/เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ
บทสรุป
ทำเลและความสะดวกในการเดินทาง :
จุดเด่นหนึ่งของโครงการ The One Signature Bangna-Rama9 (เดอะ วัน ซิกเนเจอร์ บางนา-พระราม9) คือทำเลติดถนนใหญ่ทางคู่ขนานวงแหวนกาญจนาภิเษก จึงเชื่อมต่อกับทางด่วน 3 สายสำคัญอย่างทางด่วนมอเตอร์เวย์ พระราม9 กรุงเทพ-ชลบุรี จึงสามารถเดินทางเข้าโซนพระราม9 ได้ง่าย และถนนกาญจนาภิเษกยังเชื่อมต่อทางด่วนบูรพาวิถี เข้าสู่โซนบางนา-บางพลีได้สะดวก อีกทั้งยังเชื่อมต่อทางด่วนกาญจนาภิเษก พระราม2-บางปะอิน เข้าสู่โซนเทพารักษ์-บางปูได้สะดวกด้วยเช่นกัน
โดยภาพรวมแล้วทำเลของโครงการตอบโจทย์เจ้าของกิจการ โรงงาน ในย่านบางนา, ชลบุรี, สมุทรปราการ ที่ยังต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ตัวเมืองกรุงเทพฯ และอยากอยู่ใกล้ศูนย์การค้าใหญ่ของย่านอย่าง Mega Bangna รวมถึงทำเลโครงการอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งก็จะตอบโจทย์สำหรับคนที่เดินทาง (ด้วยเครื่องบิน) บ่อยๆ หรือทำงานภายในสนามบินด้วยค่ะ
ความปลอดภัยในโครงการและตัวบ้าน :
ความปลอดภัยในโครงการ – ออกแบบตามมาตรฐานของบ้านหรู แต่ที่เรามองว่าไม่ได้มีในโครงการหรูทุกโครงการคือ VDO Door Phone เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัยค่ะ
ความปลอดภัยในตัวบ้าน – ในตัวบ้านมีระบบรักษาความปลอดภัยเยอะมาก เช่น MagneticและShock Sensor บริเวณชั้น 1 และ 2 และมี Video Door Bell ที่ทำให้เราสามารถพูดคุยเห็นหน้าคนที่มากดกริ่งหน้าบ้านเราได้, Cube Motion Sensor ตรวจจับความเคลื่อนไหว พร้อมส่งข้อความแจ้งเตือน และใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ LifeSmart สั่งงานเปิดไฟทางเดิน, CCTV บริเวณโรงรถ และ Digital Door Lock ค่ะ
การออกแบบโครงการและพื้นที่ใช้สอย :
การออกแบบตัวโครงการ – ออกแบบ Clubhouse ไว้ด้านหน้าโครงการ ใช้เป็นหน้าเป็นตารับแขกได้ และเราจะได้วิวสวนส่วนกลางทุกครั้งที่เข้าออกโครงการเลย อีกทั้งทิศของบ้านส่วนใหญ่ในโครงการจะหันทางทิศเหนือและใต้เป็นหลัก ซึ่งเป็นทิศยอดนิยมสำหรับการอยู่อาศัยเลยทีเดียว ตำแหน่งบ้านจะมีให้เลือกหลากหลายทั้งบ้านที่อยู่บนถนนหลัก เหมาะกับคนชอบตำแหน่งบ้านที่เข้าออกได้ง่าย และมีตำแหน่งบ้านในซอยตันที่จะได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า
การออกแบบตัวบ้าน – ขอชมเชยเรื่องการออกแบบบ้านที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูง หลังจากที่ดูแต่ละห้องแล้วจะเป็นได้ว่ามีการออกแบบช่องเปิดไม่ไห้ชนกับบ้านข้างเคียง, การใช้ Double Facade เพื่อช่วยให้แสงและลมผ่านตัวบ้านแต่ในขณะเดียวกันก็บังสายตาจากเพื่อนบ้านข้างเคียงได้ด้วย
อีกประเด็นคือ ทุกห้องนอน-ห้องนั่งเล่นเปิดรับวิวสระและสวนได้ทุกฟังก์ชัน ได้ระเบียงแทบทุกห้องทำให้เข้าถึงธรรมชาติได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องอยู่แต่ในห้องแอร์นะคะ เสียดายนิดเดียวที่ห้องน้ำบางห้องดูจะมีขนาดกระทัดรัดไปสักหน่อย และ Laundry Area จะเป็นพื้นที่แบบ Semi-Outdoor ขนาดกระทัดรัดหน่อยเช่นเดียวกัน
วัสดุ :
โครงการ The One Signature Bangna-Rama9 (เดอะ วัน ซิกเนเจอร์ บางนา-พระราม9) ขายแบบบ้านเปล่าที่มีห้องน้ำมาให้ครบ แต่ครัวจะไม่ได้ Built-in มาให้ ซึ่งก็สะดวกในการออกแบบต่อเติมให้เหมาะสมกับแต่ละครอบครัวในภายหลัง สำหรับวัสดุมาตรฐานให้มาเหมาะสมกับระดับราคา มีการใช้ผนังกระจกบานใหญ่แทบทั้งหลังซึ่งมีราคาแพงกว่าผนังทึบแบบบ้านทั่วไป อย่างไรก็ตามการดูแลรักษาก็ยากขึ้นด้วยเช่นกันค่ะ
พื้นที่สีเขียวและสภาพโครงการ :
บริเวณทางเข้าจะปลูกต้นไม้เอาไว้ตลอดแนวถนนหลัก และมีสวนส่วนกลางอยู่บริเวณกลางโครการเลยทำให้ดูร่มรื่น หมู่บ้านนำสายไฟลงดินทั้งโครงการ ทำให้มีทัศนียภาพสวยงาม สะอาดตาสมกับเป็นโครงการบ้านระดับ Luxury ค่ะ
สาธารณูปโภค :
ให้มาเยอะสมราคา จัดฟังก์ชันมาให้หลากหลาย ตอบโจทย์ทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณหนูๆ และที่พิเศษไม่ได้ในโครงการหรูทุกที่ก็คือ Butler Service ที่เป็นเหมือนผู้ดูแลแลอำนวยความสะดวกภายในบ้านให้กับเจ้าบ้านแต่ละหลัง สามารถใช้บริการแบบ Tailor Made (ตามสั่ง) ในราคาพิเศษต้องจ่ายเพิ่มจากค่าส่วนกลางนะคะ ซึ่งจะมีบริการครอบคลุมในเรื่องของการ maintenance ส่วนสำคัญของบ้าน เช่น สระน้ำ และ สวน เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกบ้านและลดความเสี่ยงในการ เข้า-ออกโครงการของคนแปลกหน้าค่ะ
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเลและความสะดวกในการเดินทาง 40%, ความปลอดภัย 15%, การออกแบบและพื้นที่ใช้สอย 15%, วัสดุ 10%, พื้นที่สีเขียวและสภาพโครงการ 10%, และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับแพคเกจ 28-40 ล้านบาท, 26 มกราคม 2567
- ทำเลและความสะดวกในการเดินทาง 7.5/10 – ติดถนนใหญ่ทางคู่ขนานวงแหวนกาญจนาภิเษก เชื่อมบางนา-ตราดและมอเตอร์เวย์ได้สะดวก
- ความปลอดภัย 8.5/10 – ประตูเลื่อนไฟฟ้า, License Plate, รปภ. 24 ชั่วโมง, CCTV ทั่วโครงการ, รั้วสูง 2.5-4.5 m., VDO Door Phone/Bell และระบบรักษาความปลอดภัยอื่นๆ ในตัวบ้าน
- การออกแบบและพื้นที่ใช้สอย 9/10 – เป็นส่วนตัวสูง, ทุกห้องนั่งเล่น ห้องนอนมองเห็นสระและสวน เสียดายบางฟังก์ชันกระทัดรัดไปหน่อย
- วัสดุ 7.75/10 – มาตรฐานของระดับราคานี้
- พื้นที่สีเขียวและสภาพโครงการ 8/10 – เอาสายไฟลงดิน บรรยากาศดี
- สาธารณูปโภค 8/10 – ฟังก์ชันหลากหลาย, มี Butler Service
- 8.00 / 10.00
The One Signature Bangna-Rama9 (เดอะ วัน ซิกเนเจอร์ บางนา-พระราม9) เหมาะกับใคร
The One Signature Bangna-Rama9 (เดอะ วัน ซิกเนเจอร์ บางนา-พระราม9) เหมาะกับครอบครัวที่มองหาบ้าน 3 ชั้นในโซนบางนา-ลาดกระบัง ชอบโครงการที่ติดถนนใหญ่ เดินทางโดยใช้ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก, บางนา-ตราด, มอเตอร์เวย์-พระราม9, ลาดกระบัง เป็นประจำ
ชอบโครงการที่มี Facilities ส่วนกลางครบครัน หลากหลายฟังก์ชัน รวมถึง Butler Service ชอบบ้านที่ออกแบบโดยเน้นความเป็นส่วนตัว หลีกเลี่ยงสายตาจากเพื่อนบ้านรอบข้าง ทุกห้องนอนและห้องนั่งเล่นมองเห็นสระและสวนได้ มีระเบียงแทบทุกฟังก์ชัน มีลิฟต์ รองรับครอบครัวที่มีสมาชิก 4-6 คนกำลังดี มีงบเริ่มต้น 28 ล้านบาท และสำหรับบ้านที่มีสระว่ายน้ำพร้อมใช้งาน งบเริ่มต้น 40 ล้านบาท
Think of Living รวบรวมมาให้แล้ว!
โครงการเปิดใหม่ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮมและคอนโดมิเนียม ในทำเลทั่วกรุงเทพและปริมณฑล ในทุกๆเดือนย้อนหลัง ใครที่กำลังมองหาบ้านห้ามพลาด อาจจะมีโครงการในราคาและทำเลที่เพื่อนๆ ตามหาอยู่ก็เป็นได้นะ
เข้ามาชมบทความรายเดือนได้เลย คลิกที่นี่