รีวิวฉบับที่ 2114 … บจก.อัคร บ้านและที่ดิน เปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ THE MATIAS กัลปพฤกษ์ – กาญจนาภิเษก เน้นการออกแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ในสไตล์ Dutch Colonial กับโปรดักส์บ้านที่ดิน 100 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 288 – 335 ตร.ม. มีเพื่อนบ้านน้อยเพียง 37 ยูนิตเท่านั้น ถือว่าเป็นส่วนตัวมากๆ รายละเอียดจะเป็นอย่างไรไปชมกันครับ
ข้อมูลโครงการ
20 August 2020
- THE MATIAS Kalapapruek – Kanchanapisek (เดอะ เมเธียส กัลปพฤกษ์ – กาญจนาภิเษก)
- บริษัท อัคร บ้านและที่ดิน จำกัด
- HIGH CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment บ้านปี 2020 ได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ : ซ.กาญจนาภิเษก 3 ถ.กาญจนาภิเษก เขต บางแค
- เนื้อที่โครงการ 16-0-62 ไร่ จำนวน 37 ยูนิต
- Milda บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 100 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 288 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 4 ที่จอดรถ (แบบซ้อนคัน)
– ราคาเริ่มต้น 9.59 ล้านบาท (Promotion) - Memphis บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 100 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 303 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 6 ที่จอดรถ (แบบซ้อนคัน)
– ราคาเริ่มต้น 12.19 ล้านบาท - Madison บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 122.6 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 335 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 6 ที่จอดรถ (แบบซ้อนคัน)
– ราคาเริ่มต้น 15.49 ล้านบาท - ความสูงจากพื้นถึงฝ้า – 2.7 เมตร
- ที่ดินเพิ่มลดตารางวาละ 90,000 บาท
- โครงการเริ่มก่อสร้าง : ต.ค. ปี 2561
- คาดว่าแล้วเสร็จทั้งโครงการ : ปี 2565
- เว็บไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- โทร : 082-491-8995
ทำเลที่ตั้ง
พิกัด Google Maps : 13.681746, 100.395402
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
โครงการตั้งอยู่ในซอยกาญจนาภิเษก 3 (เข้าซอยประมาณ 2.4 km.) ซึ่งเป็นซอยลัดเลาะออกได้ถึง 3 ทางคือ ถนนกาญจนาภิเษก ถนนบางบอน และถนนเพชรเกษม การเดินทางเข้าเมืองด้วยทางด่วนจะมีให้เลือก 2 จุดนั่นก็คือ ถนนกาญจนาภิเษก และทางพิเศษเฉลิมมหานคร ซึ่งจะต้องไปขึ้นบนถนนพระราม 2 ที่อยู่ไม่ไกลครับ หรือใครจะใช้รถไฟฟ้า MRT ที่สถานีหลักสองก็ได้นะ เพราะจะมีอาคารจอดแล้วจรตั้งอยู่ด้วย ขับรถจากบ้านไปจอดเอาไว้ แล้วนั่งรถไฟฟ้าเข้าเมืองสะดวกมากๆ
ส่วนความอุดมสมบูรณ์สูงสุดของโซนกรุงเทพฝั่งตะวันตกนี้คือ The Mall บางแค และซีคอนบางแค หรือใครจะมาใช้ Big C ก็ได้ง่ายๆ โดยใช้ ซ.เพชรเกษม 63 และวนกลับมายังโครงการด้วยถนนบางบอน 3 ซึ่งก็มีตลาดอยู่ในถนนเส้นนี้พอสมควร แต่จริงๆแล้วหากเราใช้ถนนกาญจนาฯเป็นเส้นทางหลักอยู่แล้ว ตรงบริเวณปากซอยจะมีปั๊มน้ำมันอยู่ติดๆกัน 3 แบรนด์คือ PT, บางจาก และ ปตท. ซึ่งจะมีร้านอาหารและ drive thru ให้แวะซื้อกันแบบง่ายๆได้อีกด้วย
และนี่คือบรรยากาศร้านค้าในปั๊มน้ำมันต่างๆที่บอกครับ ซึ่งจะมีการเปิดเส้นทางเชื่อมระหว่างถนนใหญ่กาญจนาภิเษก และซอยกาญจนาภิเษก 3 ที่อยู่ด้านหลังด้วย (แต่จะมีเวลาเปิด-ปิดอยู่นะ)
รวมถึงร้านอาหารหรือคาเฟ่เจ๋งๆของโซนนี้ก็มีเยอะเลย ที่ผมชอบไปบ่อยๆและใช้นั่งเขียนรีวิวในครั้งนี้ ก็เห็นจะเป็น The Hay – Equestrian Center & Eatery ที่อยู่แถวบางบอนเนี่ยแหละครับ ซึ่งห่างจากโครงการเพียงแค่ 15 – 20 นาทีเท่านั้น
เส้นทางไปขึ้นทางด่วนต่างๆ คลิกชมรูปใน Gallery ด้านล่างได้เลยครับ
ทางด่วนที่ใกล้ที่สุดคือ กาญจนาภิเษก ห่างจากโครงการประมาณ 6.9 km. สามารถขึ้นไปฝั่งสมุทรปราการ ศรีนครินทร์ บางนาได้ครับ
การเดินทางวันนี้ก็ไม่ยากครับ แค่เราขับมาบนถนนกาญจนาภิเษกเรื่อยๆ พอถึงถนนเอกชัยก็ให้เตรียมออกทางคู่ขนาน แล้วเลี้ยวเข้าซอยกาญจนาภิเษก3ได้เลย ขับเข้ามาในซอยตามทางเรื่อยๆประมาณ 2.4 km. จากนั้นก็เลี้ยวขวาเข้าสู่ซอยเล็กๆ ที่ชื่อว่าซอยทองหล่อ ขับรถเข้ามาประมาณ 150 m. ก็จะเจอโครงการตั้งอยู่ทางซ้ายมือครับ
ขับมาบนถนนกาญจนาภิเษกเรื่อยๆ ให้สังเกตป้ายทางลัดไปบางบอน ก็ให้เตรียมเลี้ยวซ้ายเข้าซอยกาญจนาภิเษก 3 ด้านหน้าได้เลยครับ
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ
โดยรอบส่วนใหญ่ยังคงเป็นพื้นที่การเกษตรครับ เบื้องต้นเห็นทางโครงการแจ้งว่าเค้าจะปลูกกล้วยไม้กันนะ บรรยากาศจึงค่อนข้างเงียบสงบ เป็นส่วนตัวอยู่พอสมควร แต่ก็จะมีหมู่บ้านแนวราบแทรกตัวอยู่บ้าง และที่น่าสังเกตคือ ด้านขวาโครงการจะมีเสาไฟฟ้าแรงสูงอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ได้พาดผ่านตัวโครงการโดยตรง สามารถสรุปได้ดังนี้
- ทิศเหนือ : ติดกับ คลองบางอ้าย และหมู่บ้านณิชากร
- ทิศใต้ : เป็นทางเข้าหลักโครงการ ติดกับ ซอยทองหล่อ ซึ่งเป็นถนนภาระจำยอมกับบ้านที่อยู่ด้านใน แต่ก็เป็นซอยตันสั้นๆ ไม่พลุกพล่าน
- ทิศตะวันออก : ติดกับ ที่ดินว่างเปล่า และเสาไฟฟ้าแรงสูง
- ทิศตะวันตก : ติดกับ สวนกล้วยไม้
ภาพบรรยากาศถนนด้านหน้าโครงการครับ ภาพแรกคือถนนซอยกาญจนาภิเษก 3 และภาพที่สองคือซอยทองหล่อที่เป็นถนนภาระจำยอม
เมื่อตรงเข้ามาในซอยประมาณ 150 m. ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ทางซ้ายมือครับ ซึ่งด้านซ้ายและขวาจะยังเป็นที่ว่าง ที่เค้าทำการเกษตร(ปลูกกล้วยไม้)กันอยู่นั่นเอง
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- The Explace Mall ~ 4.5 km.
- Big C ~ 4.8 km.
- รพ. เกษมราษฎร์ ~ 6.1 km.
- ตลาดสุขสวัสดิ์ ~ 6.4 km.
- The Mall บางแค ~ 7.5 km.
- รร.เลิศหล้าถนนกาญจนาภิเษก ~ 9 km.
- Tesco Lotus พระราม 2 ~ 11.4 km.
- ซีคอน บางแค ~ 11.6 km.
- รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า ~ 15 km.
- มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ~ 22 km.
รายละเอียดโครงการ
ก่อนจะไปชมโครงการผมขอพูดถึงแบรนด์สักนิดนะครับ โดย THE MATIAS ถือเป็นแบรนด์ใหม่ของ บจก.อัคร บ้านและที่ดิน และทำเลนี้ก็เป็นโครงการตัวแรกอีกด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้เค้าเคยทำแบรนด์ที่มีชื่อว่า The Miracle เป็นทาวน์โฮมราคา 2 – 3 ล้านบาท และ The Obsidian บ้านเดี่ยวราคา 34 – 45 ล้านบาท จึงทำให้ THE MATIAS เป็นแบรนด์ที่อยู่ในช่วงกลางของเค้านั่นเองครับ
Master Plan โครงการมีขนาดที่ดิน 16-0-62 ไร่ กับมีบ้านจำนวนเพียง 37 ยูนิต ถือว่าเป็นส่วนตัวมากๆ โดย Facilities จะอยู่บริเวณด้านหน้าเป็นส่วนต้อนรับ ประกอบด้วย Clubhouse ด้านซ้าย ซึ่งจะเข้าจากด้านนอกโครงการ สามารถใช้เป็นที่รับรองแขกได้ โดยบ้านในโครงการจะไม่เสียความเป็นส่วนตัว ส่วนด้านขวาจะเป็นสวนขนาด 232 ตร.วา
โดยที่เค้าจัดสวนเอาไว้มุมนี้ก็เพราะ เป็นส่วนที่อยู่ใกล้เสาไฟฟ้าแรงสูง (ที่ผ่านมาใกล้ๆมุมที่ดินโครงการพอดีเลย) และได้จัดถนน Main เอาไว้ริมขวาสุดยาวไปจนถึงด้านใน ช่วยเพิ่มระยะห่างของบ้านกับเสาไฟเพื่อความปลอดภัยมากขึ้นครับ จึงทำให้ไม่มีบ้านแปลงไหนของโครงการที่จะอยู่ใกล้เสาไฟฟ้ามากนัก (ยิ่งโซนลึกด้านในจะยิ่งห่างจากเสาไฟฟ้า เพราะแนวเส้นเสาไฟฟ้าจะค่อยๆเบนออกจากโครงการ)
บ้านที่อยู่ในแต่ละซอยจะมีเพียง 4 ยูนิตเท่านั้น นับว่ามีความเป็นส่วนตัวสูงมากทีเดียว สำหรับบ้าน Type ใหญ่จะเป็นแปลงที่อยู่ด้านในสุดของซอย 2 หลัง ซึ่งได้ที่ดินเยอะเป็นรูปตัว L ด้วยครับ ส่วนแปลงหัวมุมด้านหน้าจะเป็น Type กลาง ซึ่งก็มีจำนวน 15 ยูนิตเท่าๆกัน
ส่วน Type เล็กสุดจะมีอยู่เพียง 5 หลังเท่านั้น และอยู่ด้านในสุดเลยครับ ซึ่งใครที่สนใจบ้านหลังเล็กก็อาจต้องอดใจรอกันสักนิดนึง (ประมาณ 2-3 ปี) เพราะเค้าจะค่อยๆทยอยก่อสร้างจากด้านหน้าเข้าไปเรื่อยๆครับ และนอกจากนี้บ้านทุกหลังยังหันหน้าไปทางทิศเหนือ-ใต้อีกด้วย ซึ่งจะได้รับลมค่อนข้างดี แดดก็ไม่ร้อนมากครับ บรรยากาศของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลย
ซุ้มประตูทางเข้าด้านหน้าเป็นสไตล์ Modern เรียบๆ มีหลังคาคลุมเรียบร้อยดี ป้อมยามจะอยู่ตรงกลาง และใช้ระบบ Easy Pass ในการเข้า-ออก (ทั้งประตูเหล็กเลื่อน และไม้กั้นกระดกที่จะมาติดตั้งเพิ่มในอนาคต) พร้อมกับมี CCTV ติดไว้เพื่อความปลอดภัยด้วยครับ
ส่วนด้านซ้ายจะเป็นอาคาร Clubhouse สามารถจอดรถที่ด้านหน้าได้ประมาณ 2 คัน โดยทางเข้าหลักมาอยู่ด้านนอกโครงการแบบนี้ เวลามีคนมาติดต่อจะทำให้ภายในโครงการที่เป็นส่วนพักอาศัย จะยังคงมีความเป็นส่วนตัวอยู่ครับ (แลกกับที่ลูกบ้านก็ต้องอ้อมมาเข้าด้านนอกด้วยเช่นกัน)
เข้ามาภายในส่วนนี้จะเป็น Lobby เล็กๆ ที่เอาไว้รับแขกหรือนั่งเล่นได้ และสามารถมองออกไปเห็นสระว่ายน้ำภายนอกได้อีกด้วย โดยปัจจุบันยังคงเป็นสำนักงานขายอยู่นะครับ และเมื่อปิดโครงการแล้วก็จะคืนพื้นที่ให้กับลูกบ้านเหมือนเดิม
ประตูทางซ้ายมือจะเป็นโถงทางเดินไปยังห้องน้ำ(แยกชาย-หญิง) มีทางออกไปสระว่ายน้ำ และบันไดขึ้นชั้น 2 ด้วยครับ
ภายในห้องน้ำจะมีทั้งตู้ล็อคเกอร์ โถสุขภัณฑ์ และห้องอาบน้ำครบเลย
ส่วนถ้าเราเดินออกมาที่ประตูด้านหลัง ก็จะมาโผล่ตรงที่นั่งพักผ่อนปลายสระว่ายน้ำพอดีครับ ขวามือจะมีที่ล้างตัวอีก 2 จุด เป็นตำแหน่งฟังก์ชันที่ใช้งานได้สะดวกดี
ส่วนสระว่ายน้ำก็จะมีขนาด 3 x 11 m. พร้อมแยกสระเด็กเอาไว้ให้ข้างๆด้วย
ขึ้นมาที่ชั้น 2 ซ้ายมือจะเป็นห้องนิติบุคคล(ในอนาคต) ส่วนประตูกระจกด้านในสุดจะเป็น Fitness นะครับ
ปัจจุบันโครงการยังใช้ห้องนี้เป็นห้องรับรองแขกที่มาเยี่ยมชมอยู่นะ จึงยังไม่มีเครื่องออกกำลังกายมาลงครับ ขนาดห้องกำลังดีไม่เล็ก-ไม่ใหญ่เกินไป มองจากหน้าต่างลงไปเห็นสระว่ายน้ำด้านล่างได้ด้วย
เข้ามาภายในโครงการจะเจอกับถนน Main กว้าง 12 m. ก่อนจะลดขนาดลงที่ถนนด้านในเหลือ 9 m. ตามปกติ
ส่วนขวามือจะเป็นสวนสาธารณะขนาด 232 ตร.วา ซึ่งพันธุ์ไม้ที่โครงการเลือกใช้จะเป็นจำพวกสนและไม้ดอกสีสันสวยงาม โดยเน้นความโปร่งโล่งแบบสวนสไตล์อังกฤษครับ
โดยตรงกลางของสวนจะมีศาลาเล็กๆ เอาไว้ให้นั่งเล่นพักผ่อนได้ด้วยครับ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- อาคาร Clubhouse
- สระว่ายน้ำ 1 สระ ระบบเกลือ ขนาด 3 x 11 เมตร
- สระเด็ก
- ห้องออกกำลังกาย
- พื้นที่สวนหย่อมในโครงการ 1 จุด รวมประมาณ 232 ตร.วา
- ระบบ CCTV ที่ Main Gate และภายในโครงการ 35 จุด
- รั้วรอบโครงการสูง 2.5 เมตร
- ถนนหลักกว้าง 12 ม. และถนนภายในกว้าง 9 ม.
- Key Card Access ระยะไกล
- เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
- ประตูรั้วโครงการแบบ รั้วกั้นไม้กระดก และประตูเลื่อนไฟฟ้า
แบบบ้าน
แบบบ้านของโครงการนี้จะมีอยู่ทั้งหมด 3 แบบ ประกอบด้วย
- Milda บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 100 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 288 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 4 ที่จอดรถ (แบบซ้อนคัน) - Memphis บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 100 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 303 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 6 ที่จอดรถ (แบบซ้อนคัน) - Madison บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 122.6 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 335 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 6 ที่จอดรถ (แบบซ้อนคัน)
โดยบ้านตัวอย่างที่เราจะได้ชมกันวันนี้จะเป็น Type ใหญ่ที่สุดของโครงการครับ และยังจะมีบ้านเปล่าเป็น Type กลางให้ดูกันอีก 1 หลังด้วย
ส่วนเรื่องโครงสร้างของที่นี่จะใช้อิฐมวลเบานะครับ นั่นจึงทำให้เราสามารถทุบหรือต่อเติมในอนาคตได้ด้วย ส่วนโครงหลังคาเค้าก็จะใช้เป็นเหล็กที่มีน้ำหนักเบา ซึ่งช่วยลดน้ำหนักของโครงสร้างบ้านไปได้เยอะเลยทีเดียว (ไปลองยกมาแล้ว เบาจริงครับ)
และอีกหนึ่งจุดที่น่าสังเกตคือ หลังคาของโครงการนี้จะใช้ “หลังคายางมะตอย Shingle roof” ซึ่งค่อนข้างทนทานมากๆ (ทนกว่าพวกกระเบื้อง ที่จะมีความเปราะมากกว่า) อายุการใช้งานก็ยาวนาน แถมน้ำหนักก็เบา (หลังคากระเบื้อง 50 kg./ตร.ม., ยางมะตอย 18 kg./ตร.ม. และเมทัลชีท 5 kg./ตร.ม.) แต่ที่เราไม่ค่อยได้เห็นโครงการอื่นๆใช้กันเท่าไหร่ เป็นเพราะวัสดุชนิดนี้มีราคาค่อนข้างสูงนั่นเองครับ
วิธีการติดตั้งหลังคา คือ ปูพื้นหลังคาด้วยไม้อัดหรือสมาร์ทบอร์ดก่อน จากนั้นจะปูด้วยแผ่นกันน้ำอีกชั้นนึง แล้วค่อยเอาแผ่น Shingle roof มาปิดผิวทับเป็นชั้นสุดท้าย (ลักษณะจะเป็นแผ่นเล็กๆเหมือนกระเบื้องไวนิล ซึ่งพื้นผิวด้านบนจะเป็นเม็ดทรายสีต่างๆ) เหมาะกับบ้านสไตล์โมเดิร์นหรือหลังคาที่มีรูปทรงแปลกๆนั่นเอง
- Madison บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 122.6 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 335 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 6 ที่จอดรถ (แบบซ้อนคัน)
เป็นแบบบ้านไซส์ใหญ่ที่สุดของโครงการ ซึ่งทุกคนจำตอนที่ผมบอกไปในช่วง Master Plan ได้มั๊ยครับ ว่าบ้าน Type นี้ส่วนใหญ่จะเป็นแปลงด้านในที่มีที่ดินรูปตัว L ดังนั้นของจริงของบางหลังอาจจะมีพื้นที่สวนให้ใช้สอยมากกว่านี้อีกนะ เหมาะกับคนชอบปลูกต้นไม้ทำสวน หรืออยากทำบ่อปลา และสระว่ายส่วนตัว เป็นต้น ซึ่งลักษณะบ้านหน้ากว้างแบบนี้เอง ที่ทำให้เพื่อนบ้านในแต่ละซอยมีจำนวนน้อย และได้ความเป็นส่วนตัวนั่นเองครับ
ฟังก์ชันในบ้านชั้น 1 ของจริงจะเป็นพื้นที่เปิดโล่ง เชื่อมต่อถึงกันหมดแบบนี้แหละครับ ซึ่งหากใครต้องการความเป็นสัดส่วนหรือมีแขกมาหาบ่อยๆ ก็สามารถกั้นผนังแบ่งโซนกันได้ตามอัธยาศัย (แต่ถ้าปล่อยให้เชื่อมต่อแบบนี้ ผมก็ว่าโปร่งโล่งดี) รวมถึงมีห้องนอนชั้นล่างสำหรับแขกหรือผู้สูงอายุอีกด้วย แต่ที่ผมชอบเลยคือ Back of house หรือส่วนของแม่บ้านจะแยกออกไปเป็นสัดส่วน มีประตูปิดเพื่อความเป็นส่วนตัว แถมยังสะดวกเวลาขนของลงจากรถมาเก็บในครัวอีกด้วย
ส่วนห้องนอนชั้น 2 ทุกห้องจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่(โดยเฉพาะ Master Bedroom) พร้อมกับมี Walk in closet และห้องน้ำในตัวทุกห้อง ถือว่ามีความเป็นส่วนตัวมากๆทีเดียว และมี Family area ให้ใช้เป็นพื้นที่ส่วนรวมของครอบครัวได้ หรือใครจะกั้นทำเป็นห้องพระหรือห้องทำงานอื่นๆก็ได้อีกเช่นกัน ของจริงจะเป็นอย่างไรไปชมกันเลย
หน้าตา Facade ตัวบ้านจะเป็นสไตล์ Dutch Colonial ซึ่งได้ลดทอนรายละเอียดลงมาให้มีความทันสมัยมากขึ้น แต่ยังโดดเด่นด้วยหน้ากากหลังคาทรงจั่ว ช่องกระจกที่เยอะ และการเล่นระดับของผนังบ้านที่มีหลาย Layer ครับ
ในขณะที่ด้านข้างของตัวบ้านเค้าจะไม่ค่อยมีช่องเปิดเลย ซึ่งนั่นก็ทำให้บ้านแต่ละหลังจะได้ความเป็นส่วนตัว จากบ้านหลังที่อยู่ข้างๆกันด้วยนั่นเอง
ประตูเหล็กรางเลื่อนจะได้เป็นมาตรฐานทุกหลัง เป็นแบบ 3 ตอน โดยเราสามารถเลือกเปิดใช้งานเฉพาะช่องที่เราต้องการจะนำรถออกได้ครับ (ไม่ต้องเปิดทั้งหมด) คันไหนที่ใช้บ่อยๆ ก็ให้จอดไว้ทางซ้ายสุดนั่นเอง
นอกจากนี้ยังติดตั้งประตูไฟฟ้าให้เป็นมาตรฐานทุกหลังอีกด้วยครับ มีประตูคนเดินแยกไว้ให้ต่างหากด้วย พร้อมกริ่ง ตู้จดหมาย(ตรงป้ายบ้านเลขที่) และช่องทิ้งขยะที่เปิดได้ทั้ง 2 ทาง
ส่วนที่จอดรถจะปูพื้นเป็น Stamp Concrete มาให้แบบนี้เลยครับ พร้อมกับลงเสาเข็มให้มาจนถึงระยะของเสาบ้านซ้ายมือ ส่วนที่เหลือจะเป็นแบบ On Ground โดยความกว้างของที่จอดรถในร่ม วัดจากเสาถึงผนังคือ 5.2 m. ลึก 6.3 m. (ถ้าวัดจากประตูรั้วจะลึก 9.6 m.) และที่จอดนอกอาคารซ้ายสุดจะกว้างประมาณ 2.4 m.
ส่วนรอบๆบ้านจะกว้าง 2 m. และของจริงจะปูหญ้ามาให้ทั้งหมดเลย แต่ที่ผมอยากให้สังเกตคือ รั้วของบ้านจะเป็นอิฐบล็อคลายหิน และผนังด้านหน้าบ้านก็จะเป็นผนังพ่นทรายลายหิน ซึ่งก็สวยงามดีทีเดียวครับ ถือว่าภายนอกมีรายละเอียดที่ดีพอสมควรเลย
สวนหน้าบ้านจะค่อนข้างกว้าง สามารถจัดสวนสวยๆ และทำทางเดินเป็นส่วนต้อนรับแขกจากประตูคนเดินได้เลยครับ
ทางเข้าบ้านจะมีเฉลียงเล็กๆยื่นออกมา พร้อมกับมี Digital door lock ที่ให้เป็นมาตรฐานทุกหลังเลย เพียงแต่ผนังที่ยื่นออกมาจากชั้น 2 อาจไม่ได้ตรง หรือครอบคลุมเฉลียงนี้ได้ทั้งหมดนะครับ อาจมีแดดส่องหรือฝนสาดได้อยู่บ้างนะ (เป็นเรื่องของงาน design)
เข้ามาด้านในจะเป็น Foyer เอาไว้รับแขกและใส่รองเท้าได้ตรงนี้ ของจริงจึงอาจต้อง Built in ตู้เก็บรองเท้าทั้ง 2 ฝั่งเพิ่มเติมนะครับ ส่วนพื้นจะปูด้วยกระเบื้องลายหินอ่อน และฝ้าเพดานปกติจะสูง 2.7 m.
ซ้ายมือเป็นพื้นที่รับแขกที่ถือเป็นอีกหนึ่ง Highlight ของบ้านหลังนี้ ซึ่งจะเป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากตัวบ้าน และได้ฝ้าเพดานสูง 4.5 m. อีกด้วยครับ ที่ชอบคือโดยรอบเราจะได้ช่องแสงเยอะมากๆ บรรยากาศโปร่งโล่งเชื่อมต่อกับธรรมชาติภายนอกสุดๆ
ส่วนด้านหลังโซฟาก็สามารถเปิดประตูออกไปนั่งเล่นที่เฉลียงหลังบ้านได้ด้วยครับ
หันมาทางซ้ายของตัวบ้านกันบ้าง จะมีโถงทางเดินตรงกลางเชื่อมฟังก์ชันต่างๆเอาไว้
เริ่มกันที่พื้นที่ทานอาหารด้านขวามือ เราจะได้เป็น Double Volume ฝ้าเพดานสูง 6.5 m. ไปจนถึงชั้น 2 เลยครับ และส่วนนี้ก็ยังคงได้ช่องแสงขนาดใหญ่เช่นเดิม ทำให้บริเวณกลางบ้านค่อนข้างสว่างและโปร่งโล่งดีทีเดียว สามารถวางโต๊ะได้ 6 – 8 ที่นั่งแบบนี้
ส่วนฝั่งตรงข้ามของโต๊ะทานอาหาร(หรือส่วนด้านหน้าบ้าน) จะเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ครับ
โดยตรงนี้ของจริงจะเป็นพื้นที่โล่งๆ แต่บ้านตัวอย่างเค้ากั้นมาให้ดูเป็นไอเดีย ซึ่งผมว่าทำให้บ้านดูเป็นสัดส่วนมากขึ้น แถมการใช้กระจกก็ยังคงได้ความโปร่งโล่งอยู่ด้วย
ถัดเข้ามาด้านในจะมีห้องนอนชั้นล่างอยู่ทางซ้ายมือ และห้องน้ำกับห้องครัวอยู่ด้านขวา
เริ่มที่ห้องนอนชั้นล่างเหมาะจะเป็นห้องรับรองแขกมากครับ จะปรับเป็นห้องผู้สูงอายุก็ได้ เพราะมีห้องน้ำชั้นล่างรองรับ หรือจะใช้เป็นห้องอื่นๆที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ตาม Lifestyle ของแต่ละครอบครัวก็ได้ครับ
ส่วนห้องน้ำเราจะได้ทุกอย่างตามนี้เลยครับ สุขภัณฑ์ทุกอย่างเป็นของ Kohler มีฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัยมาให้ โดยพื้นจะมี step อยู่ประมาณ 5 cm. เพื่อกั้นแยกส่วนแห้งกับส่วนเปียกออกจากกัน (อาจไม่ได้เหมาะกับผู้สูงอายุที่ต้องใช้รถเข็น แต่ต้องเป็นคนที่พอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้างครับ หรือจะดัดแปลงเพิ่มทางลาดเองก็ได้เหมือนกัน)
ถัดมาจากห้องน้ำจะเป็นห้องครัวและเคาน์เตอร์เตรียมอาหาร แต่จริงๆพื้นที่นี้จะเป็นแบบโล่งๆเลย ไม่ได้ Built ให้นะครับ
แต่ส่วนตัวผมชอบฟังก์ชันนี้จะ ลองจินตนาการดูว่าเราสามารถเดินมาจิบเครื่องดื่มเบาๆ ตอนก่อนจะออกหรือกลับจากบ้านแบบเร็วๆได้ หรือจะใช้เป็นพื้นที่เตรียมอาหารไว้เสริฟที่โต๊ะหลักก็ดี ผมว่าเรานำไอเดียนี้ไปใช้แต่งบ้านส่วนนี้ก็ลงตัวดีทีเดียวครับ
ส่วนในห้องครัวก็มีขนาดค่อนข้างใหญ่ทีเดียว สามารถ Built เคาน์เตอร์ได้ทั้ง 2 ฝั่ง ช่วยกันทำอาหารได้หลายๆคนเลย เพียงแต่ของจริงเราจะได้เป็นห้องโล่งๆ ต้องทำเพิ่มเองนะครับ
เปิดประตูถัดจากห้องครัวมาจะเป็นโซน Back of house ซึ่งจะมีประตูทั้งหมด 5 บานคือ ประตูห้องครัว ประตูที่จอดรถ ประตูลานซักล้างหลังบ้าน ห้องแม่บ้าน และห้องน้ำแม่บ้าน ซึ่งพื้นที่โถงตรงนี้จะมีก๊อกและท่อน้ำเตรียมเอาไว้ให้ สามารถทำเป็นส่วน Laundry วางเครื่องซักผ้าได้ครับ
แต่จุดที่ต้องระวังสักนิดคือเรื่องน้ำเจิ่งนอง เพราะพื้นทางเดินจะมีระดับเท่ากับห้องครัวและในบ้านเลยนั่นเอง และส่วนที่ผมค่อนข้างชอบคือ เวลาเปิดประตูส่วนที่จอดรถกับหลังบ้านพร้อมกันแล้ว ลมโกรกดีมากๆ ไม่รู้สึกอึดอัดเลยครับ
ส่วนห้องแม่บ้าน (ขนาด 2 x 2.1 m.) และห้องน้ำก็มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ใช้งานพอดีๆครับ
กลับเข้ามาที่โถงบันไดในบ้าน ตรงบริเวณใต้บันไดจะมีห้องเก็บของเหมือนปกติทั่วไป แต่ที่พิเศษกว่าคือ จะมีช่องหน้าต่างถึง 3 ช่องด้วยกัน ซึ่งจริงๆแล้วเค้าตั้งใจออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของ Facade หน้าบ้านเนี่ยแหละ แต่ก็ได้ประโยชน์เรื่องแสงสว่างและการระบายอากาศในส่วนนี้ไปด้วยนั่นเอง ภายในก็กว้างขวางดี สูงประมาณ 1.8 m. เดินเข้าไปได้ไม่ต้องก้มเลย
ส่วนบันไดจะเป็นโครงสร้าง คสล. ปิดผิวด้วยไม้ยางพารา กว้าง 1 m. ลูกตั้ง 18 cm. ลูกนอน 28 cm. และที่ชอบเป็นพิเศษคือ ได้ช่องแสงถึง 3 ช่องเลยครับ ซึ่งทำให้สว่างและโปร่งโล่งดีมากๆ โดยเราสามารถหา Chandelier สวยๆมาติดสักชิ้น ก็จะทำให้โถงบันไดนี้สวยงามมากขึ้นแน่นอน
ส่วนชั้น 2 ก็จะมีความสูง 2.7 m. เหมือนชั้นล่างเลยครับ และเปลี่ยนวัสดุปูพื้นเป็นกระเบื้องยางไวนิลลายไม้(ค่อนข้างทนกว่าไม้ลามิเนต) ซึ่งโถงบันไดชั้น 2 เราจะเจอกับทางเดินที่แยกออกซ้าย-ขวา โดยเราจะไปดูทางขวากันก่อนนะ
บริเวณนี้จะเป็น Family area (ขนาด 2.9 x 4 m.) ซึ่งค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากกว่าชั้นล่าง โดยทางโครงการจัดเป็นโต๊ะนั่งทำงานมาให้ดูครับ หรือใครจะใช้เป็นหิ้งพระก็เหมาะนะ
ซึ่งตรงจุดนี้จะสามารถมองลงไปเห็นโต๊ะทานอาหารชั้น 1 ก่อนหน้านี้ได้ แถมยังได้แสงจากช่องหน้าต่างขนาดใหญ่อีกด้วย แต่จุดที่แปลกตาก็คงจะเป็นหน้าต่างด้านขวามือ จากห้อง Master Bedroom นั่นเองครับ
ภายใน Master Bedroom มีขนาดที่ใหญ่มากๆเลย โดยผมวัดได้ประมาณ 5.7 x 4.7 m. ซึ่งหากเราจัดแบ่งฟังก์ชันดีๆ ก็จะทำให้ดูเป็นสัดส่วนและใช้พื้นที่ให้คุ้มค่ามากกว่านี้ได้อีกครับ (บ้านตัวอย่างเค้าจัดมาเพื่อต้องการให้เห็น space ทั้งหมดว่าใหญ่จริงๆนะ)
โดยห้องนี้จะได้ช่องแสงหลักๆคือบริเวณหัวเตียง เป็นส่วนของมุกหน้าบ้านที่ยื่นออกไปเป็น Facade ประมาณ 1 m. ซึ่งพอดีกับการวางเตียงเลยครับ ส่วนปลายเตียงก็จะมีช่องหน้าต่างอีกเช่นกัน ซึ่งพอจะได้รับแสงจากภายนอกอยู่บ้าง
ส่วนพื้นที่ Walk in closet ของจริงก็จะเป็นห้องโล่งๆให้มา Built ตู้เองครับ ซึ่งก็สามารถทำเป็นตู้รูปตัว L แบบนี้ได้เลย เก็บของได้เยอะอยู่นะ
ห้องน้ำจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ใช้งานได้พอดีๆ ให้สุขภัณฑ์ทุกอย่างที่เห็นตามนี้เลยครับ
ภายในมีการแบ่งโซนการใช้งานเป็นพื้นที่ส่วนเปียกจะมีอ่างอาบน้ำแบบลอยตัว และพื้นที่ส่วนแห้งเป็นอ่างล้างหน้า ซึ่งใต้อ่างก็จะ Built ตู้ พร้อมกับมีเครื่องทำน้ำร้อนติดตั้งเอาไว้ให้แล้วด้วย
ส่วนอีกด้านของห้องเราจะได้โถสุขภัณฑ์ของ Kohler เหมือนเดิม แต่จะเป็นไซส์ใหญ่กว่าห้องอื่นๆ พร้อมกับ Shower box กั้นกระจกเข้ามุมมาให้แบบนี้เลยครับ
ต่อไปเราจะมาดูทางด้านซ้ายของโถงบันไดกันบ้างครับ ซึ่งจะมีห้องนอนอีก 2 ห้องนะ
เริ่มกันด้วยห้องนอนที่ 2 ซึ่งจะอยู่ทางหน้าบ้าน เหมาะกับลูกชายคนโต มีขนาดพื้นที่ใช้งานกว้างขวางดีทีเดียว แล้วยังได้ช่องหน้าต่างถึง 2 ด้านอีกด้วย
ส่วนปลายเตียงก็ติดทีวีแขวนผนังได้ครับ และมี Walk in closet เล็กๆให้ Built เพิ่มเองเหมือนเดิมนะ ขนาดถือว่าใช้ได้ เพียงพอกับการอยู่อาศัย 1 คน
ส่วนห้องน้ำก็จะได้ตามมาตรฐานเหมือนเดิมครับ มีการแยกส่วนแห้งส่วนเปียกชัดเจน
สุดท้ายคือห้องนอนที่ 3 ซึ่งจะอยู่โซนด้านหลังบ้าน ถูกจัดออกมาให้เป็นห้องนอนลูกสาว แต่ขนาดห้องก็ใกล้เคียงกับห้องที่แล้วเลยครับ
ซึ่งอีกด้านก็จัดเป็นตู้เสื้อผ้ามาให้ดูเพิ่มเติมด้วย (กรณีผู้หญิงอยู่ แล้วมีเสื้อผ้าเยอะๆ) ส่วนห้องน้ำก็ได้ตามมาตรฐานเหมือนเดิมครับ
- Memphis บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 100 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 303 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 6 ที่จอดรถ (แบบซ้อนคัน)
เป็นบ้าน Type กลางที่ฟังก์ชันจะคล้ายๆกับหลังที่แล้วเลยครับ เพียงแต่ชั้น 1 จะไม่มีพื้นที่อเนกประสงค์แล้ว ห้องรับแขกก็จะไม่ได้ยื่นออกมาด้านข้างของตัวบ้าน และไม่ได้ฝ้าเพดานสูง 2 จุดเหมือนหลังก่อนหน้านี้แล้วเท่านั้น แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือ เฉลียงบ้านที่มากถึง 3 จุด ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่า หากเฉลียงทั้ง 3 นี้เชื่อมต่อกัน ก็จะสามารถเดินได้รอบบ้านโดยไม่ต้องใส่รองเท้าลงไปเดินบนพื้นหญ้าให้เลอะเลยนั่นเอง (เพราะบางคนอาจจะทำบ่อปลา หรือสระว่ายน้ำข้างบ้านก็ได้)
และที่ชอบอีกอย่างคือ เสา 3 ต้นที่เฉลียงด้านหน้าบ้าน ซึ่งจะทำหน้าที่ช่วยบังสายตาจากภายนอก เพิ่มความเป็นส่วนตัวได้มากขึ้น ส่วนชั้น 2 ทุกห้องก็จะมีห้องน้ำและ Walk in closet เช่นเดิม เพียงแต่จะมีขนาดที่เล็กลง และไม่มี Family area ด้านบนครับ ซึ่งบ้านที่จะได้ชมต่อไปนี้จะเป็นบ้านเปล่า ที่เราจะได้แบบนี้เป็นมาตรฐานทุกอย่างเลย จะเป็นอย่างไรไปชมกันครับ
หน้าตา Facade จะยังคงเป็นสไตล์ Dutch Colonial เหมือนเดิมนะครับ
และที่จอดรถก็จะสามารถจอดได้ 6 คันแบบซ้อนคัน
สำหรับหลังนี้ซึ่งเป็นแปลงเข้ามุมพิเศษ จะได้เป็นประตูบานเลื่อนแบบโค้ง ซึ่งใช้งานค่อนข้างสะดวก และประหยัดพื้นที่มากๆอีกด้วย
ส่วนจุดนี้คือเสาตรงเฉลียงหน้าบ้าน ซึ่งผมบอกไปก่อนหน้านี้ว่าจะช่วยบังสายตาให้ภายในบ้านได้นั่นเองครับ
เข้ามาก็จะเจอกับ Foyer ก่อนเช่นเดิม ซึ่งจะยังคงมองไม่เห็นพื้นที่ส่วนอื่นของบ้านมากนัก จึงยังคงได้ความเป็นส่วนตัวอยู่บ้างครับ
ซ้ายมือคือพื้นที่รับแขก รวมถึงเป็นห้องนั่งเล่นหลักของบ้านด้วยครับ โดยรอบเป็นผนังกระจกทั้งหมดเลย ค่อนข้างโปร่งโล่งดีทีเดียว
ส่วนประตูกระจกทางขวามือเราสามารถเปิดออกได้ทั้ง 2 ชุดอยู่แล้ว ดังนั้นเราอาจไม่ค่อยได้ใช้งานประตูบานทึบที่อยู่ตรงกลางเท่าไหร่นัก ผมแนะนำให้หาตู้หรือชั้นวางของมาไว้ตรงประตูนี้ เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของแทนก็ได้นะครับ
ส่วนนี่คือเฉลียงหลังบ้านซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เหมาะที่จะนำเก้าอี้มาวางนั่งเล่นกลางแจ้ง หรือปิ้ง BBQ. กันมากๆครับ
ส่วนอีกด้านหนึ่งของบ้านก็จะเป็นพื้นที่ทานอาหารเช่นเดิม
และจะได้เป็นฝ้าเพดานสูง Double Volume ไปถึงชั้น 2 แบบนี้ด้วยนะครับ
นอกจากนี้ก็จะมีห้องนอนชั้นล่าง ห้องน้ำ และห้องครัวเช่นเดิม เพียงแต่อาจจะไม่มีพื้นที่พอจะให้ทำ Pantry ครัวได้แล้วเท่านั้น และส่วนตัวผมคิดว่าประตูห้องครัวดูสวยดีทีเดียวนะ
ภายในครัวก็จะมีขนาดเล็งลง(ประมาณครึ่งนึง) แต่ยังใช้งานได้สะดวกอยู่พอสมควรเลย
ส่วน Back of house ก็จะมีฟังก์ชันเหมือนเดิมนะครับ ที่จะต่างออกไปหน่อยคือ จำนวนช่องหน้าต่างห้องเก็บของใต้บันไดจะเหลือเพียง 1 ช่องเท่านั้น แต่ก็ถือว่ายังได้แสงสว่างอยู่พอสมควร
โถงบันไดก็จะมีช่องหน้าต่างที่ลดลงเหลือ 1 ช่องเช่นกันครับ โดยพื้นที่ผนังด้านข้างก็อย่าให้สูญเปล่า เราอาจหารูปภาพมาติด หรือ Built in เป็นตู้และชั้นวางของเพิ่มเติมได้อีกด้วย
โถงบันไดชั้น 2 จะต่างจากหลังที่แล้ว เพราะตรงจุดนี้จะเป็นพื้นที่ช่องแสง Double Volume พอดี จึงมีความโปร่งโล่งและสว่างมากกว่าครับ
และสามารถมองลงไปเห็นชั้น 1 ได้แบบนี้
ซ้ายมือจะเป็นห้อง Master Bedroom ซึ่งแยกออกมาเป็นส่วนตัว
ภายในมีขนาดพื้นที่กว้างขวาง และมีช่องแสงที่ติดกับภายนอกถึง 2 ด้าน ซึ่งเยอะกว่าหลังที่แล้ว และรู้สึกโปร่งโล่งกว่าพอสมควร
ส่วนอีกด้าน(ตรงประตูทางเข้าห้อง) ก็จะมี Walk in closet และห้องน้ำในตัวครับ
โดย Walk in closet จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ทีเดียว เพียงพอต่อการอยู่อาศัย 2 คน
และห้องน้ำก็มีขนาดมาตรฐาน ใช้งานได้พอดีๆเช่นเดิม
ที่ต่างจาก Master Bedtroom หลังที่แล้วเล็กน้อยคือ โถสุขภัณฑ์ที่ลดสเปคลงมาเท่าห้องอื่นครับ
ส่วนทางด้านขวามือของโถงบันไดจะมีห้องนอนอีก 2 ห้อง
สำหรับห้องด้านหน้าบ้านจะเจอกับโถงทางเดินตรงประตูก่อน จึงทำให้ในภายห้องเป็นส่วนตัวมากขึ้น
ซึ่งพื้นที่ใช้สอยก็มีขนาดกำลังดีครับ ช่องแสงก็เยอะถึง 2 ช่องเลย
ส่วน Walk in closet ก็เหลือเฟือสำหรับ 1 คน และอยู่ติดกันจะเป็นห้องน้ำในตัวด้วย
ซึ่งห้องน้ำก็ได้ของเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือหน้าต่างขนาดใหญ่ เพราะอยู่ในโซนหน้าบ้านพอดี จึงเป็นส่วนหนึ่งของ Facade นั่นเองครับ
ส่วนห้องนอนอีกห้องที่อยู่โซนหลังบ้าน เข้ามาจะเจอกับ Walk in closet กับห้องน้ำก่อน ซึ่งถือว่าแปลกกว่าห้องนอนอื่นๆของโครงการครับ ส่วนตัวก็ค่อนข้างชอบมากๆ เพราะดูเป็นส่วนตัวดีทีเดียว
ภายในห้องนอนมีขนาดพื้นที่ใช้สอยเท่าๆกับห้องเมื่อกี้เลย ที่เพิ่มเติมมาก็คือ เราจะได้ช่องแสงถึง 3 ด้านเลยทีเดียว
ส่วนห้องน้ำก็จะได้ฟังก์ชันและสุขภัณฑ์เหมือนเดิมครับ
- Milda บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 100 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 288 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 4 ที่จอดรถ (แบบซ้อนคัน)
เป็นแบบบ้าน Type เล็กที่สุดของโครงการ ซึ่งจะไม่ได้มีบ้านตัวอย่างให้ดูนะครับ โดยจะเป็นโซนด้านในสุดของโครงการที่จะพัฒนาเป็นเฟสสุดท้าย (มีอยู่เพียง 5 ยูนิตเท่านั้น และคนที่ซื้อบ้านแบบนี้ก็ต้องอดใจรอก่อสร้างนานกว่าแบบอื่นๆหน่อย)
ซึ่งสิ่งที่ถูกลดทอนออกไปก็คือ Back of house หรือโซนแม่บ้าน กับพื้นที่ฝ้าเพดานสูงแบบ Double Volume จะไม่มีแล้วครับ รวมถึงการจอดรถก็จะจอดได้ 2 – 4 คัน จึงอาจเหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก-กลาง ที่เน้นการใช้งานพื้นที่ Common area รูปตัว L ขนาดใหญ่ที่ชั้น 1 เป็นหลัก ส่วนเรื่องความเป็นส่วนตัวของห้องนอนต่างๆ ที่มี Walk in closet และห้องน้ำในตัวจะยังคงมีเหมือนเดิมเลย
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
ส่วนรูปบรรยากาศอื่นๆของโครงการ ที่ผมถ่ายมาฝากกันเพิ่มเติม สามารถคลิกชมได้ที่ Gallery ด้านล่างนี้เลยครับ
ราคา
20 August 2020
- Milda บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 100 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 288 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 4 ที่จอดรถ (แบบซ้อนคัน)
– ราคาเริ่มต้น 9.59 ล้านบาท (Promotion) - Memphis บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 100 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 303 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 6 ที่จอดรถ (แบบซ้อนคัน)
– ราคาเริ่มต้น 12.19 ล้านบาท - Madison บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 122.6 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 335 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 6 ที่จอดรถ (แบบซ้อนคัน)
– ราคาเริ่มต้น 15.49 ล้านบาท - จอง 50,000 บาท
- ทำสัญญา 500,000 บาท
- ที่ดินเพิ่มลด ราคาตารางวาละ 90,000 บาท
- ค่าส่วนกลาง 30 บาท/ตร.วา/เดือน จัดเก็บล่วงหน้า 2 ปี
- ค่าจดจำนอง ผู้ซื้อเป็นผู้ชำระ
- ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ซื้อแล้วผู้ขายชำระฝ่ายละครึ่ง
- ค่าประกัน มิเตอร์ไฟฟ้า ประปา ผู้ซื้อเป็นผู้ชำระ
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
บทสรุป
ทำเลและความสะดวกในการเดินทาง : บ้านเดี่ยวในย่านกรุงเทพฝั่งตะวันตกนี้ ถ้าเป็นโครงการที่อยู่ติดกับถนนกาญจนาภิเษกเลย จะมีราคาตั้งแต่ 15 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งหากต้องการบ้านเดี่ยวพื้นที่ใช้สอยเยอะๆ และราคาจับต้องง่ายรองลงมา ก็อาจต้องมองหาบ้านทำเลในซอยครับ โดยโครงการ THE MATIAS กัลปพฤกษ์ – กาญจนาภิเษก จะตั้งอยู่ในซอยกาญจนาภิเษก 3 เป็นบริเวณกลางซอยที่เข้ามาประมาณ 2.4 km.
ส่วนตัวผมมองว่าทำเลค่อนข้างเงียบสงบ เป็นส่วนตัว และยังเข้า-ออกถนนหลักได้ 3 เส้นทางอีกด้วย ซึ่งคนละแวกนี้ก็มักจะใช้เป็นทางลัดกันอยู่บ่อยๆ โดยการขับรถเข้าเมืองจะมีให้เลือกทั้งถนนกาญจนาฯ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร หรือจะไปใช้ MRT ที่สถานีหลักสอง ซึ่งมีอาคารจอดแล้วจรก็ได้เหมือนกัน ส่วนความอุดมสมบูรณ์พวกห้างใหญ่ๆแถวๆบางแค อาจต้องใช้เวลาขับรถประมาณ 15 – 20 นาทีครับ หรือใครจะแวะ drive thru ตรงปากซอยก่อนง่ายๆก็ได้เหมือนกัน
ความปลอดภัยในโครงการและตัวบ้าน : โครงการมีทางเข้า-ออกแค่จุดเดียว ทำให้ง่ายต่อการดูแลรักษาความปลอดภัย ซึ่งจะมี รปภ. ดูแลตลอด 24 ชม. พร้อมกล้อง CCTV ด้านหน้าและภายในโครงการ รวมถึงการเข้า-ออกด้วยระบบ Easy Pass โดยจะมีทั้งไม้กั้นกระดกและประตูเหล็กเลื่อน 2 ชั้นเลยครับ ส่วนภายในตัวบ้านอาจต้องหาติดตั้งกันเอง ตามความเหมาะสมและความต้องการของแต่ละคนครับ
การออกแบบโครงการ : แนวคิดการออกแบบจะเป็นสไตล์ Dutch Colonial ซึ่งจะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่เมืองนอกเลยล่ะครับ แต่จุดที่ผมอยากพูดถึงจริงๆคือ Master Plan เนื่องจากที่ดินโครงการจะมีเสาไฟฟ้าแรงสูงผ่านอยู่ใกล้ๆ ทางโครงการจึงได้จัดวางให้บริเวณนั้นกลายเป็นพื้นที่สวนและถนน จึงทำให้บ้านแต่ละหลังมีระยะห่างที่ปลอดภัยจากแนวสายไฟฟ้าอยู่พอสมควร รวมถึงแต่ละซอยย่อยก็มีเพื่อนบ้านเพียง 4 หลังเท่านั้น ทั้งโครงการก็มีเพียง 37 ยูนิต ถือว่าเด่นเรื่องความเป็นส่วนตัวมากๆครับ
การออกแบบบ้านและพื้นที่ใช้สอย : สิ่งที่ชอบอย่างแรกคือขนาดที่ดินของตัวบ้าน ทุกหลังเริ่มต้นที่ 100 ตร.วาขึ้นไป ส่วนพื้นที่ใช้สอยก็เยอะ 288 – 335 ตร.ม. เหมาะกับครอบครัวขนาดกลาง-ใหญ่ครับ ฟังก์ชันของแต่ละ Type จะมีลักษณะที่ต่างกันออกไปเล็กน้อย ซึ่งยิ่งหลังใหญ่มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะมีช่องแสงที่เยอะและโปร่งโล่งมากขึ้นเท่านั้น มีพื้นที่อเนกประสงค์ให้ใช้งานและกั้นฟังก์ชันได้เพิ่มขึ้น รวมถึงจะมีการแยกส่วน Back of house ออกไปเป็นสัดส่วนอีกด้วย แต่ที่ชอบเป็นพิเศษคือ ทุกห้องนอนจะมี Walk in closet และห้องน้ำในตัว ถือว่าเป็นส่วนตัวมากๆ โดยต้องบอกก่อนว่าขนาดห้องน้ำของโครงการนี้จะไม่ได้ใหญ่มากนัก (พอดีกับการใช้งาน) แต่จะไปเน้นพื้นที่ภายในห้องนอนที่กว้างขวางแทนครับ
วัสดุ : จุดที่ผมคิดว่าดีเลยก็คือ โครงหลังคาที่ใช้เป็นเหล็กน้ำหนักเบา กับ Shingle roof ยางมะตอยที่เราไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยๆนัก ซึ่งช่วยกันความร้อนและลดน้ำหนักโครงสร้างบ้านได้ดีเลย รวมถึงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆอย่าง รั้วบ้านที่เป็นอิฐบล็อกลายหิน และผนังพ่นทรายลายหินของตัวบ้าน ซึ่งผมคิดว่าสวยดี นอกจากนี้ยังมีช่องแสงและกระจกค่อนข้างเยอะอีกด้วย ส่วนตู้ Built in ชุดครัวและอื่นๆ อาจต้องทำเพิ่มเองนะครับ
พื้นที่สีเขียวและสภาพโครงการ : ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับว่า ณ วันที่ผมเข้าไปรีวิวนี้ ผมได้เห็นเฉพาะโซนด้านหน้าที่เป็นบ้านตัวอย่างและสวนเท่านั้น เลยไม่แน่ใจว่าถนนภายในโครงการจะมีการปลูกต้นไม้ข้างทางร่มรื่นแค่ไหน และหากใครที่คิดว่าสวนของที่นี่ดูไม่ร่มรื่นเท่าไหร่นัก ผมต้องบอกก่อนว่าเค้าตั้งใจออกแบบเป็น “สวนสไตล์อังกฤษ” ครับ ซึ่งจะเน้นเป็นต้นไม้จำพวกสนและไม้ดอกสีสันสวยงามมากกว่า จะไม่ใช่ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นแบบที่เราคุ้นตากัน ตรงส่วนนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลนะครับ
สาธารณูปโภค : ถือว่ามีให้ใช้งานครบ ทั้ง Clubhouse, Lobby, Fitness, สระว่ายน้ำ และสวนสาธารณะ ซึ่งอาจไม่ได้มีขนาดที่ใหญ่มากนัก แต่ก็เหมาะสมกับขนาดโครงการที่มีลูกบ้านอยู่เพียง 37 หลังเท่านั้น
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเลและความสะดวกในการเดินทาง 40%, ความปลอดภัย 15%, การออกแบบและพื้นที่ใช้สอย 15%, วัสดุ 10%, พื้นที่สีเขียวและสภาพโครงการ 10%, และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับแพคเกจ 10 – 15 ล้านบาท, 20 August 2020
- ทำเลและความสะดวกในการเดินทาง 7.75/10 – เข้าซอย 2.4 km. แต่เป็นซอยลัด เข้า-ออกได้หลายทาง เงียบสงบ เป็นส่วนตัว
- ความปลอดภัย 7.5/10 – มีรั้วกั้นไม้กระดก กับประตูเลื่อนไฟฟ้า รปภ. และ CCTV
- การออกแบบและพื้นที่ใช้สอย 7.75/10 – Facade สไตล์ยุโรป เน้นความเป็นส่วนตัว พื้นที่ใช้สอยเยอะ
- วัสดุ 7.5/10 – ให้ตามมาตรฐาน ใช้โครงหลังคาดี ปิดผิวรั้วและผนังบ้านสวย ต้อง Built in เพิ่มเองทั้งหมด
- พื้นที่สีเขียวและสภาพโครงการ 7.5/10 – มีสวนอยู่ด้านหน้าโครงการ แต่จะเน้นต้นสนที่ลำต้นสูงโปร่งและไม้ดอกต่างๆ
- สาธารณูปโภค 7.75/10 – มีหลักๆให้ใช้งานครบ ขนาดเหมาะสมกับจำนวนยูนิต
- 7.66 / 10.00
BOTTOM LINE
THE MATIAS กัลปพฤกษ์ – กาญจนาภิเษก เหมาะกับคนที่หาบ้านในย่านกรุงเทพฝั่งตะวันตก ทำเลในซอยเข้า-ออกได้หลายทาง มีทางด่วนและรถไฟฟ้าให้เลือกใช้เข้าเมืองได้ ชอบบ้านหน้าตาสไตล์ยุโรป เน้นความเป็นส่วนตัว มีเพื่อนบ้านน้อย ที่ดินและพื้นที่ใช้สอยเยอะ มีงบประมาณ 10 – 15 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีกำลังผ่อนต่อเดือนประมาณ 67,000 – 108,000 บาท
ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving