รีวิวฉบับที่ 2072 รามอินทรา ถือเป็นอีกย่านที่มีโครงการบ้านเดี่ยวอยู่ค่อนข้างเยอะนะคะ เนื่องจากยังมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการพัฒนาโครงการแนวราบซึ่งมักจะขึ้นอยู่ตามแนวถนนหลักและเส้นรองหลายสายที่เชื่อมต่อถึงกัน ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน เข้าออกเมืองได้สะดวก ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยของของคนที่กำลังมองหาบ้านค่ะ รีวิวฉบับนี้เราจะพาไปชมโครงการ The City รามอินทรา 2 โครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ในซอยจตุโชติ ติดถนนเลียบวงแหวนตะวันออก ใกล้ทางด่วนจตุโชติเพียง 2.5 กิโลเมตร ราคา 9-15 ล้านบาทค่ะ

ข้อมูลโครงการ

Fact @28 April 2020

  • The City รามอินทรา 2 (เดอะ ซิตี้ รามอินทรา 2)
  • บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)
  • UPPER CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment บ้านได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่: ถนนเลียบวงแหวนกาญจนาฯ จตุโชติ เขตสายไหม
  • เนื้อที่โครงการ 32 ไร่ จำนวน 116 ยูนิต
  • บ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 5 แบบ

  • แบบบ้าน VIREO พื้นที่ใช้สอย 190 ตารางเมตร  4 ห้องนอน, 3 ห้องน้ำ, 2 ห้องพักผ่อน, ที่จอดรถ 2 คัน
  • แบบบ้าน MOONWAKE พื้นที่ใช้สอย 225 ตารางเมตร  4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ห้องพักผ่อน ที่จอดรถ 2 คัน
  • แบบบ้าน INSCAPE พื้นที่ใช้สอย 275 ตารางเมตร  4 ห้องนอน, 5 ห้องน้ำ, 2 ห้องพักผ่อน, ที่จอดรถ 3 คัน 1 ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำในตัว
  • แบบบ้าน BRIVET พื้นที่ใช้สอย 330 ตารางเมตร  4 ห้องนอน, 5 ห้องน้ำ, 2 ห้องพักผ่อน, ที่จอดรถ 3 คัน 1 ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำในตัว
  • แบบบ้าน VESPERTINE พื้นที่ใช้สอย 380 ตารางเมตร  5 ห้องนอน, 6 ห้องน้ำ, 2 ห้องพักผ่อน, ที่จอดรถ 3 คัน 1 ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำในตัว

  • ที่ดินแปลงมาตรฐาน เริ่มต้น 54.6 ตารางวา
  • ราคาเริ่มต้น 9 ล้านบาท
  • โครงการเริ่มก่อสร้าง : สิงหาคม 2561
  • คาดว่าแล้วเสร็จทั้งโครงการ : ธันวาคม 2563
  • เว็บไซต์โครงการ : คลิกที่นี่ 
  • Call Center: 1623
  • ทำเลที่ตั้ง

    พิกัด Google Maps : 13.880608, 100.685355
    หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

    แผนที่จากทางโครงการค่ะ

    อันดับแรก เรามาดูที่ตั้งของโครงการ The City รามอินทรา 2 กันก่อนค่ะ โครงการนี้ตั้งอยู่ในซอยจตุโชติ โดยเป็นซอยที่เชื่อมต่อกับถนนเลียบวงแหวนรอบนอกตะวันออก ถนนเส้นรองที่วิ่งขนานไปกับถนนกาญจนาภิเษกฝั่งตะวันออกหรือถนนวงแหวนรอบนอกตะวันออก บางคนอาจเรียกว่าทางด่วนรามอินทรา-วงแหวนนั่นเองค่ะ ซึ่งทางด่วนเส้นนี้จะวิ่งยาวไปโซนลำลูกกา จังหวัดปทุมธานีได้ หรืออีกด้านหนึ่งจะเชื่อมต่อกับทางพิเศษช่วงรามอินทรา–อาจณรงค์ วิ่งเข้าสู่ย่านลาดพร้าว พระราม 9  ยาวไปโซนรามคำแหง พัฒนาการ และศรีนครินทร์ ก่อนจะเชื่อมต่อไปยังโซนบางนาและบางพลีได้อย่างสะดวกค่ะ

    ที่ตั้งของโครงการ The City รามอินทรา 2 อยู่ในซอยจตุโชติช่วงต้นๆเลยค่ะ ติดกับถนนเลียบวงแหวนรอบนอก ซึ่งซอยจตุโชติจะสามารถทะลุไปยังถนนพระยาสุเรนทร์และคู้บอนได้  โดยภาพรวมแล้วโซนรามอินทรา-วงแหวน มีโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมอยู่เยอะพอสมควร เรียกได้ว่าเป็นย่าน ที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อบ้าน ต้องการพื้นที่กว้างขวาง มีแบบบ้านให้เลือกเยอะ หลายระดับราคา และได้ความสะดวกในเรื่องของการเดินทางด้วยค่ะ แม้จะอยู่นอกเมืองมาเสียหน่อย แต่เดินทางเข้าเมืองผ่านถนนเส้นสำคัญได้หลายสาย ใครเร่งรีบก็สามารถใช้ทางด่วนได้เลย จุดขึ้นลงทางด่วนที่ใกล้ที่สุดคือด่านจตุโชติ อยู่ห่างจากตัวโครงการประมาณ 2.5 กิโลเมตรค่ะ

    ส่วนใครที่ใช้ถนนรามอินทรา ถ้าได้ขับรถย้อนไปทางหลักสี่ ก็จะผ่านบริเวณแยกถนนเลียบด่วนรามอินทรา เลี้ยวซ้ายไปวิ่งเลียบด่วนได้ และจะมีจุดขึ้นลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ เราสามารถใช้เส้นทางนี้เข้าเมืองได้เช่นกัน หรือถ้าเปลี่ยนเป็นขับตรงไปอีกก็จะเจอกับแยกถนนรามอินทราตัดกับถนนพหลโยธิน ตรงบริเวณวัดพระศรีมหาธาตุ เราสามารถเลี้ยวซ้ายไปโซนเกษตร-งามวงศ์วานได้ง่าย อีกทั้งจุดนี้จะมีเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มส่วนต่อขยาย หมอชิต-คูคต ผ่านยาวไปจนถึงปทุมธานี คาดว่าจะเปิดใช้บริการได้ภายในปีนี้ ส่วนใครที่อยากใช้เส้นวิภาวดีเข้าออกเมือง หรือไปโซนแจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด ก็สามารถขับตรงไปบนถนนรามอินทรา ออกไปถึงช่วงหลักสี่ และเชื่อมต่อเส้นทางที่ต้องการได้อย่างไม่ลำบากค่ะ

    จากแต่ก่อนโซนรามอินทรา-วงแหวน เป็นพื้นที่เกษตรกรรม มีทุ่งนาผืนใหญ่ สภาพเป็นชานเมืองเหมือนอยู่ต่างจังหวัดเลยค่ะ แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาด้วยโครงสร้างพื้นฐานต่างๆมากขึ้น โดยเฉพาะการคมนาคมที่ได้สร้างถนนเส้นใหม่ตัดผ่านหลายสายในย่านนี้ ไม่ว่าจะเป็นถนนรามอินทรา คู้บอน เลียบวงแหวนตะวันออก รวมถึงทางด่วนเส้นทางล่าสุดอย่างทางพิเศษรามอินทรา-วงแหวนรอบนอก ส่วนต่อขยายฝั่งเหนือของทางพิเศษฉลองรัชที่ได้สร้างเสร็จและเปิดใช้บริการไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ช่วยให้การการสัญจรเดินทางของผู้คนที่อาศัยในย่านนี้เข้าเมืองสะดวกสบายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีศูนย์การค้าใหญ่อย่าง Fashion Island และ The Promenade พร้อมร้านค้า ร้านอาหารเกิดขึ้นอีกมากมาย รองรับการขยายตัวของชุมชนเมืองที่เริ่มเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯรอบนอกและปริมณฑล เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนค่ะว่า โซนรามอินทรา-วงแหวน หน้าตาเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อเทียบกับสิบกว่าปีที่แล้ว และยิ่งในอนาคตอันใกล้นี้จะมีการเปิดใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ที่เริ่มวิ่งจากโซนนนทบุรี แจ้งวัฒนะ พาดผ่านถนนรามอินทราและไปสิ้นสุดที่มีนบุรี ปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนของการก่อสร้าง ใครที่เดินทางผ่านไปโซนนั้นก็คงจะเห็นเค้าก่อสร้างงานกันมาสักระยะหนึ่งแล้วค่ะ เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี 2564-2565 นี้

    พื้นที่รามอินทรา-วงแหนรอบนอก ได้รับการพัฒนาด้วยโครงสร้างพื้นฐานต่างๆทั้งจากภาครัฐและเอกชนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความเจริญที่เข้าสู่พื้นที่นี้ ก่อเกิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยขึ้นมาด้วยเช่นกัน เพื่อตอบรับกลุ่มดีมานด์ ที่ได้ขยายตัวออกมานอกเมืองและมีความต้องการบ้านเพื่ออยู่อาศัย ไว้ขยายครอบครัว เนื่องจากที่ดินในย่านรามอินทรา-วงแหวนยังมีเหลือเพียงพอสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ และระดับราคาเอื้อมถึงง่ายกว่าโซนที่อยู่ใจกลางเมือง สิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษาและสถานพยาบาล ส่วนแหล่งอาหารการกินก็หาซื้อ หาทานได้ง่าย โดยเฉพาะช่วงรามอินทรา กม. 8-10 เป็นที่ตั้งของศูนย์การค้า Fashion Island และ The Promenade ใกล้โรงพยาบาลสินแพทย์ โรงพยาบาลอินทรารัตน์และโรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์

    ความอุดมสมบูรณ์ในย่านนี้ ต้องยกให้บริเวณแยกรามอินทรา-คู้บอน (กม. 8 ) โดยจะมีตลาดใหญ่อย่างตลาดสายเนตร กม. 8 ซึ่งเป็นแหล่งซื้อขาย อาหารสด อาหารปรุงสุก และร้านค้าอื่นๆอีกมาก ก่อนจะเลี้ยวเข้าสู่ถนนคู้บอนที่มีความอุดมสมบูรณ์ไม่แพ้กัน โดยเส้นนี้เราก็จะเจอกับร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ อาคารพาณิชย์ต่างๆทั้งสองฝั่งถนน มีปั๊มน้ำมัน ห้าง Big C Market และ Tesco Lotus Express เปิดให้บริการ มีสถานีตำรวจ สน.คันนายาว รวมถึงวัดคู้บอนและโรงเรียนคู้บอนอยู่บริเวณใกล้ทางด่วนวงแหวนรอบนอกตะวันออก ซึ่งเป็นจุดตัดที่เราจะเลี้ยวเข้าสู่ถนนเลียบวงแหวนเพื่อไปยังโครงการ The City รามอินทรา 2 โดยจะเป็นคนละเส้นทางกับถนนคู้บอนค่ะ

    ถนนเลียบวงแหวนมีอยู่ 2 ฝั่งค่ะ โดยจะวิ่งขนานซ้ายขวาไปกับทางด่วนรามอินทรา-วงแหวนรอบนอกตะวันออก (กาญจนาภิเษก) โดยทั้ง 2 เส้นคือถนนหมายเลข 9301 และ 9302 หากเทียบความอุดมสมบูรณ์บนถนนเลียบวงแหวนรอบนอก 9301 และ 9302 กับถนนคู้บอนช่วงปลายที่แยกไปอีกทางเนี่ย จะค่อนข้างแตกต่างกันพอสมควร เนื่องจากถนนเลียบวงแหวนจะไม่ค่อยมีร้านรวงสักเท่าไร บรรยากาศจะเงียบสงบกว่า เห็นทุ่งนาและที่ดินธรรมชาติตลอดทาง โดยจะมีโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมแทรกอยู่ทั้ง 2 ฝั่งเหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย ได้พื้นที่เยอะๆ ใกล้ชิดธรรมชาติ ส่วนเวลาที่ต้องการซื้อของหรือหาอะไรทาน แนะนำว่าควรเดินทางไปยังถนนคู้บอนเอาค่ะ จะเป็นคู้บอนช่วงต้นหรือช่วงปลายก็ได้ เพราะร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อจะไปรวมกันอยู่บนเส้นคู้บอนซะเยอะ เรียกได้ว่าเป็นชุมชนใหญ่เลย แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในละแวกเดียวกัน อยู่ในรัศมีไม่ไกลจากเส้นเลียบวงแหวนค่ะ

    การเดินทางในย่านนี้เน้นการใช้รถยนต์เป็นหลักนะคะ บนถนนเลียบวงแหวนไม่มีรถประจำทางเลยค่ะ ส่วนรถแท็กซี่ก็มีผ่านมานานๆมี ใครที่อยากใช้รถสาธารณะอาจจะต้องไปขึ้นแถวถนนคู้บอนหรือถนนรามอินทราแทน ดังนั้นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่อยากใช้รถสาธารณะก็คือการเรียก Grab Car หรือ Grab Bike ค่ะ

    สำหรับการเดินทางไปยังโครงการ The City รามอินทรา 2 ของ ThinkofLiving ในครั้งนี้ เราได้เริ่มต้นจากถนนรามอินทรา ช่วงกม. 10 บริเวณหน้าศูนย์การค้า Fashion Island และ The Promenade ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กแหล่งการค้าที่สำคัญในโซนนี้ จากจุดนี้เราสามารถเดินทางเพื่อไปยังโครงการ The City รามอินทรา 2 ได้หลายเส้นทางด้วยกัน แต่วันนี้เราจะขับรถไปบนถนนรามอินทรา ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่กำลังก่อสร้าง และเลือกที่จะวิ่งเข้าสู่ถนนคู้บอน ช่วงกม. 8 ค่ะ เนื่องจากเป็นโซนที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง  เราจึงอยากพาทุกคนไปดูบรรยากาศจริงของถนนเส้นนี้กัน เผื่อใครซื้อบ้านที่นี่แล้วอยากมาซื้อของ หาอะไรกิน จะได้รู้เส้นทางด้วยเลยค่ะ

    หลังจากขับเข้าถนนคู้บอนมาจนถึงแยกคู้บอนตัดกับทางด่วนรามอินทรา-วงแหวนรอบนอกตะวันออก เราจะเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเลียบวงแหวน (ฝั่งขาออก) จากนั้นวิ่งตรงไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร ก็จะถึงโครงการค่ะ

    Image 1/17
    เริ่มต้นจากบริเวณหน้าศูนย์การค้า Fashion Island ขับวนมาอีกฝั่งตรงข้ามห้างเพื่อตรงไปบนถนนรามอินทรา มุ่งหน้าไปยังกม. 8

    เริ่มต้นจากบริเวณหน้าศูนย์การค้า Fashion Island ขับวนมาอีกฝั่งตรงข้ามห้างเพื่อตรงไปบนถนนรามอินทรา มุ่งหน้าไปยังกม. 8

    สภาพแวดล้อมรอบโครงการ

    อย่างที่บอกค่ะว่าที่ดินของโครงการ The City รามอินทรา 2 อยู่ช่วงต้นของซอยจตุโชติ หากดูจากแผนที่จะเห็นว่าซอยจตุโชติจะติดกับถนนเลียบวงแหวน (9301) ซึ่งจะมีรถแล่นผ่านตลอดค่ะ  ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์วิ่งเข้าออกเมือง เพราะถ้าตรงไปอีกเรื่อยๆก็จะเข้าสู่โซนสายไหมและลำลูกกา ส่วนเส้นทางกาญจนาภิเษกหรือวงแหวนรอบนอกที่เป็นทางพิเศษตรงกลางเนี่ยจะมีรถบรรทุกส่งของแล่นผ่านเยอะ แต่จะไม่ได้โผล่มาเส้นเลียบวงแหวนที่โครงการตั้งอยู่นะคะ เพราะคนละเส้นทางกัน ดังนั้นสบายใจได้ค่ะว่าเวลาขับรถบนถนนเลียบวงแหวนที่แม้จะเป็นถนนสองเลนสวนกัน จะมีแต่รถเล็กๆผ่านเท่านั้น ลดความเสี่ยงไปได้เยอะเลย แต่ก็อย่าลืมดูรถดีๆเวลาจะวิ่งแซงหรือลดความเร็วเวลาผ่านเขตชุมชนด้วย เพื่อความปลอดภัยค่ะ

    ลักษณะที่ดินของโครงการจะเป็นทรงคล้ายสี่เหลี่ยมคางหมู ด้านหน้าทางเข้าของโครงการจะติดกับซอยจตุโชติ หันไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บรรยากาศโดยรอบค่อนข้างเงียบสงบ เป็นส่วนตัวสูง รายล้อมไปด้วยที่ดินเปล่า มีธรรมชาติอยู่เยอะทั้งต้นไม้ใหญ่ สวน และทุ่งนา ซึ่งเห็นได้ตลอดสองข้างทางเมื่อเริ่มเข้าสู่ถนนเลียบวงแหวนรอบนอก 9301 บรรยากาศจะต่างจากบนถนนคู้บอนอย่างเห็นได้ชัด โดยระหว่างทางก็จะเจอกับโครงการบ้านอยู่บ้างประมาณ 3-4 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นโครงการเก่า ขายหมดแล้ว แต่อีกฝั่งหนึ่งถนนเลียบวงแหวน 9302 ก็จะมีบรรยากาศคล้ายๆกัน คือมีที่ดินเปล่ารอการพัฒนา และโครงการแนวราบ ทั้งนี้ฝั่งตรงข้ามจะมีโครงการใหม่ที่เปิดขายอยู่หลายแห่ง แต่เรื่องการเดินทางและสิ่งอำนวยความสะดวกจะแตกต่างกัน ซึ่งเราจะขอพูดในหัวข้อต่อๆไปละกันค่ะ

    โดยรอบพื้นที่โครงการ The City รามอินทรา 2 ด้านข้างทางทิศใต้จะเป็นชุมชนเล็กๆ ถัดเข้าไปตามถนนจตุโชติก็จะมีชุมชนอยู่ด้านในอีกค่ะ เส้นทางนี้จะเชื่อมกับถนนพระยาสุเรนทร์และไปออกถนนคู้บอนช่วงปลายได้ มีโครงการบ้านจัดสรรอยู่ด้านในอีกเยอะพอสมควร ซึ่งแนะนำว่าหากจะหาซื้อของหรือหาอะไรกิน แนะนำให้เข้าซอยจตุโชติเข้ามาแถวชุมชนพระยาสุเรนทร์หรือถนนคู้บอนช่วงปลายนี้ได้ค่ะ มีร้านค้า ร้านอาหารอยู่เยอะเลย รวมถึงมีตลาดอยู่ตรงสี่แยกพระพรหมคลองสอง ห่างออกไปประมาณ 2.8 กิโลเมตรค่ะ  ด้านทิศเหนือของโครงการจะเป็นที่ดินเปล่าและโครงการบ้านจัดสรรเช่นกัน ส่วนทางทิศตะวันออก จะถูกกั้นด้วยคลองบึงพระยาสุเรนทร์ที่ยาวล้อมรอบไปกับชุมชนที่อยู่ทางด้านหลังค่ะ

    สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆรวมระยะกลับรถ เช่น

    • ตลาดน้ำพระยาสุเรนทร์ ~ 900 ม.
    • ตลาดสี่แยกพระพรหมคลองสอง ~ 2.8 กม.
    • Max Value ~ 4.1 กม.
    • Big C Matket คู้บอน ~ 5.6 กม.
    • ตลาดสายเนตร กม.8 ~  5.8 กม.
    • The Promenade ~  6.5 กม.
    • Fashion Island ~ 6.7 กม.
    • ตลาดนัดเลียบด่วนรามอินทรา ~ 8.9 กม.
    • Central Plaza รามอินทรา ~ 14.2 กม.
    • Central Festival East Ville ~ 14.6 กม.
    • Safari World ~  7.4 กม.
    • สวนสยาม ~ 9.5 กม.
    • รพ.อินทรารัตน์ ~ 6.2 กม.
    • รพ.พญาไท นวมินทร์ ~ 8.2 กม.
    • รพ.นพรัตน์ราชธานี ~ 8.2 กม.
    • รพ.สินแพทย์ ~  8.2 กม.
    • รร.วัดพระยาสุเรนทร์ ~  900 ม.
    • รร.กลางคลองสอง ~ 2.8 กม.
    • รร.วัดคู้บอน ~  3.7 กม.
    • รร.นวมินทราชูทิศ เบญจมราชาลัย ~ 4.8 กม.
    • รร.ประชาราษฎร์อุปถัมภ์วิทยา ~  5.4 กม.
    • รร.จินดาบำรุง ~ 5.8 กม.
    • รร.สารสาสน์สายไหม ~  8.1 กม.
    • รร.สาธิตพัฒนา ~ 8.9 กม.
    • วัดพระยาสุเรนทร์ ~ 900 กม.
    • วัดคู้บอน ~ 7.9 กม.
    • สถานีตำรวจนครบาลคันนายาว ~ 7.6  กม.

    รายละเอียดโครงการ

    ที่ดินของโครงการ The City รามอินทรา 2 อยู่ในซอยจตุโชติ ซึ่งลักษณะแปลงที่ดินจะเป็นแนวยาวไปทางด้านหลัง จนถึงบริเวณคลองบึงพระยาสุเรนทร์ ขนาดที่ดินรวมทั้งสิ้น 32 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่พักอาศัย 116 แปลง ส่วนพื้นที่ส่วนกลางจะคิดเป็นประมาณ 5.5% ของพื้นที่จัดสรรทั้งโครงการ โดยรวมมีส่วนกลางให้ลูกบ้านเยอะพอสมควรค่ะ ซึ่งหลักๆแล้วก็จะมีคลับเฮาส์ตั้งอยู่บริเวณส่วนหน้า ติดกับทางเข้าโครงการเลยค่ะ หากเราเดินทางเข้ามาก็จะเห็นเป็นซุ้มประตูขนาดใหญ่ ซึ่งด้านบนที่เป็นซุ้มนั่นแหละค่ะ เค้าได้ดีไซน์ให้เป็นพื้นที่ส่วนกลางเชื่อมไปเป็นส่วนเดียวกับอาคารคลับเฮาส์ ประกอบไปไปด้วย ห้องทำงาน ห้องดูหนัง โซนเด็กเล่น ฟิตเนส เป็นต้น  ส่วนด้านล่างก็จะเป็นพวกห้องนั่งเล่น สระว่ายน้ำ ห้องน้ำ ห้องซาวน่า และพื้นที่ด้านข้างคลับเฮาส์จะเป็นสวนสีเขียวขนาดใหญ่ มีต้นไม้ใหญ่และสนามหญ้ากว้างขวาง สามารถวิ่งเล่น ปั่นจักรยานและทำกิจกรรมกลางแจ้งอื่นๆได้ค่ะ

    ถนนหลักของโครงการ The City รามอินทรา 2 จะกว้าง 12 เมตร ซึ่งเป็นระยะตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้ามาจนถึงบริเวณสำนักงานขาย จากนั้นจะเป็นโซนพักอาศัย ซึ่งถนนรองที่แยกไปตามซอยบ้านต่างๆ จะอยู่ที่ 9 เมตร ถือเป็นระยะที่กว้างพอสมควร รถสวนกันได้สบายๆค่ะ อีกอย่างที่นี่เค้าพยายามวางตัวบ้านให้เฉียงๆไปในแนวตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ เบี่ยงองศาทิศทางของแดดเพื่อให้บ้านไม่ร้อนจนเกินไป และทั่วทั้งโครงการมีต้นไม้ใหญ่ที่เค้าได้นำมาลงปลูกไว้ให้ลูกบ้าน ให้สีเขียว สดชื่น สบายตาดีค่ะ ยิ่งนานวันไปต้นไม้จะยิ่งโตขึ้น ก็จะให้ร่มเงาร่มรื่นมากกว่าเดิมแน่นอน ยังไงเราไปเริ่มดูภาพบรรยากาศจริงภายในโครงการกันเลยค่ะ

    เริ่มต้นจากบริเวณด้านหน้าทางเข้าโครงการค่ะ หากขับรถมาจากถนนเลียบวงแหวนก่อนเลี้ยวเข้าซอยจตุโชติ เราจะสามารถมองเห็นตัวคลับเฮาส์ของโครงการ The City รามอินทรา 2 ได้อย่างชัดเจน ตัวอาคารที่เห็นด้านหน้าสุดนี้จะเป็นคลับเฮาส์นะคะ รูปทรงอาคารจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวยาวแบบนี้เลย มีการดีไซน์กรอบหน้าต่างไล่ระดับให้ดูมีมิติ และใช้สีขาวคุมโทนค่ะ เพื่อคงคอนเซ็ปต์สถาปัตยกรรมสไตล์โมเดิร์น

    เห็นได้ว่าด้านบนที่เป็นซุ้มทางเข้า ทางโครงการเค้าได้ออกแบบให้เป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่น หากมองขึ้นไปเนี่ยก็จะเห็นว่าห้องอยู่ทางด้านบนเลย ข้อดีก็คือช่วยประหยัดพื้นที่และยังเป็นหน้าเป็นตาของโครงการได้ด้วย เวลาใครผ่านไปมาก็จะมองเห็นพื้นที่ส่วนนี้ก่อนเป็นอันดับแรก นอกจากนี้การจัดคลับเฮาส์ไว้บริเวณด้านหน้า ยังช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยของลูกบ้านได้ดีเลยทีเดียว เนื่องจากเวลาใช้งานพื้นที่ส่วนกลาง ลูกบ้านจะต้องเดินทางมาใช้ที่พื้นที่ส่วนนี้ที่แยกไว้แล้วอย่างชัดเจน ไม่ปะปนไปกับพื้นที่พักอาศัยค่ะ รวมถึงเวลานัดหมาย Visitor มาเจอกัน คุยธุระต่างๆ ก็ไม่ต้องเข้าไปวุ่นวายด้านในโครงการ สร้างความปลอดภัยได้ระดับนึงค่ะ

    ก่อนเข้าไปในโครงการ ก็จะเจอกับป้อมรปภ. ตรงนี้ก่อนนะคะ ฝั่งนี้จะเป็นทางเข้าค่ะ มีรั้วกั้นไม้กระดกและรั้วเลื่อนไฟฟ้า พร้อมกล้อง CCTV ติดตั้งไว้ด้วย หากเป็นลูกบ้านสามารถใช้ Key Card Access ผ่านไม้กั้นกระดกและเลื่อนเปิดประตูไฟฟ้าเพื่อเข้าสู่โครงการได้เลย แต่ถ้าเป็น Visitor ต้องแลกบัตรก่อน รปภ.จะเป็นคนอนุญาตเปิดให้ค่ะ

    ด้านข้างฝั่งซ้ายของทางเข้าโครงการ จะเป็นอาคารคลับเฮาส์ค่ะ ซึ่งห้องด้านล่างที่เห็นนี้จะเป็นห้องนั่งเล่น ลูกบ้านสามารถมานั่งพักผ่อน หรือนัดหมายเพื่อนๆมานั่งคุยกันได้ เนื่องจากห้องนี้จะติดกับทางเข้าเลย Visitor สามารถแลกบัตรและเข้ามาได้อย่างสะดวกค่ะ

    บรรยากาศในห้องค่ะ จะมีเก้าอี้ โซฟา และโต๊ะขนาดเล็กจัดวางไว้ให้ ผนังเป็นกระจกใสบานใหญ่ล้อมรอบเลย ให้แสงธรรมชาติเข้ามาได้ทุกทิศทาง เพดานสูงทำให้ห้องดูโปร่งโล่ง สบายค่ะ

    อีกด้านหนึ่งจะวางโต๊ะใหญ่ไว้ให้ นั่งได้ประมาณ 6 คน ใครอยากนั่งทำงาน นัดเพื่อนทำงานกลุ่มอะไรแบบนี้ มุมนี้ก็โอเคเลยเพราะเก้าอี้จะยกสูง นั่งได้พอดีกับโต๊ะเลยค่ะ

    ถัดไปจะเป็นทางขึ้นคลับเฮาส์ ซึ่งจะแยกไปห้องน้ำ ทางขึ้นชั้นสอง และพื้นที่ลานโล่ง ด้านข้างเป็นสระว่ายน้ำค่ะ

    สระว่ายน้ำที่นี่จะเป็นระบบเกลือ แยกสระผู้ใหญ่และสระเด็ก พร้อม Jacuzzi ให้ด้วยค่ะ เห็นบรรยากาศล้อมรอบด้วยวิวสวน

    สระว่ายน้ำระบบเกลือขนาดใหญ่ค่ะ รองรับการใช้งานของลูกบ้านได้หลายคนพร้อมกัน ด้านข้างสระจะไม่ติดถนนเลยซะทีเดียว พอมีพื้นที่ขยับเข้ามาเล็กน้อยและพื้นที่ตั้งสระจะยกสูงขึ้นกว่าระดับถนน ซึ่งทางโครงการตั้งใจจะให้สระอยู่ห่างจากระดับสายตาของคนที่ผ่านเข้าออกโครงการ ช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวให้มากขึ้นนั่นเอง

    ถัดเข้าไปด้านในจะเป็นพื้นที่ลานในร่มข้างสระว่ายน้ำ เป็นพื้นไม้ เวลาขึ้นมาจากสระจะไม่ลื่นค่ะ

    พื้นที่ลานในร่มนี้ออกแบบโดยเล่นกับเส้นสายทั้งในส่วนของพื้น ขอบสระ และหลังคา ดูสวยมีมิติไปอีกแบบ และไม่แน่ว่าในอนาคต ทางโครงการอาจจะจัดพื้นที่ส่วนนี้ให้เป็นที่นั่งพักผ่อน มีเก้าอี้และเตียงริมสระมาวางเพิ่มให้ เวลาลูกบ้านใช้งานจะได้วางของและนั่งพักผ่อนได้อย่างสบายๆค่ะ

    ถัดมาจุดนี้จะเป็นป้ายที่บอกรายละเอียดของสระว่ายน้ำ ทั้งกฎการใช้งานและผลการตรวจวัดค่าคลอรีนและค่า ph รายวัน ดูผลออกมาเป็นอย่างไร ก็จะแจ้งให้ผู้มาใช้งานได้ทราบค่ะ

    ข้างๆสระว่ายน้ำจะเป็นห้องน้ำแยกชายหญิง

    ด้านในห้องน้ำจะแบ่งเป็นส่วนของห้องสุขา ห้องอาบน้ำ ห้องซาวน่า และอ่างล้างมือ

    มุมขวาจะเป็นอ่างล้างมือ ติดตั้งไว้ 2 จุด อยู่หน้ากระจกบานใหญ่แบบนี้เลยค่ะ

    ห้องตรงกลางที่เป็นประตูไม้ จะเป็นห้องซาวน่า หน้าตาแบบนี้เลย ใครที่ออกกำลังกายที่ฟิตเนสด้านบนมาหรือว่ายน้ำเสร็จแล้ว อาจจะแวะห้องนี้ก่อนได้ เพื่อปรับสมดุลร่างกาย สร้างความผ่อนคลายก่อนกลับบ้านค่ะ

    ส่วนฝั่งซ้ายมือจะเป็นห้องสุขาและห้องอาบน้ำแยกกัน มีอยู่ 4 ห้อง

    ต่อไปเราจะขึ้นไปดูชั้นบนของคลับเฮาส์กันค่ะ ที่นี่จะเป็นบันได 2 ตอนแบบนี้นะคะ ผนังคอนกรีตและขั้นบันไดปูกระเบื้องยังคุมโทนเป็นสีขาว ดูสะอาดตา

    ขึ้นไปถึงชั้น 2 จะเห็นได้ว่าเป็นผนังกระจกใสและหน้าต่างกระจกบานกระทุ้งขนาดใหญ่ เปิดรับแสงธรรมชาติ สามารถมองเห็นวิวสระและสวนสีเขียวด้านล่างได้ 180 องศาเลยทีเดียว

    ห้องแรกของชั้นบนที่เราจะพาไปดูกัน คือห้องนั่งเล่นและนั่งทำงานค่ะ ซึ่งจะรวมอยู่ในห้องเดียวกันเลย สามารถแบ่งได้หลายโซน แต่เพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัด เค้าจึงดีไซน์ให้เพดานห้องนี้ยกสูง ช่วยให้โปร่งโล่ง ขณะเดียวกันก็แทรกการตกแต่งด้วยฝ้าที่ทำมาจากวัสดุไม้เอามาทำไดคัทเป็นทรงโค้ง เกิดเป็นรูปทรงที่สวยงาม ดูแปลกตาดีค่ะ และใช้ผนังกระจกเพื่อให้เป็นช่องแสงรับแสงธรรมชาติเข้ามา

    ส่วนแรกของห้องนี้ คือมุมเด็กเล่นค่ะ ก็จะมีเก้าอี้ โต๊ะขนาดเล็ก เบาะนั่ง รวมถึงชั้นวางหนังสือและชั้นวางของตกแต่งต่างๆไว้ให้ชิดริมผนัง ผู้ปกครองสามารถพาบุตรหลานมานั่งเล่นมุมนี้ได้ ซึ่งการจัดพื้นที่ของเด็กไว้โซนแรกของห้องนี้ ก็เพื่อไม่ให้เสียงเด็กๆดังไปรบกวนถึงมุมทำงานหรืออ่านหนังสือทางด้านในนั่นเองค่ะ

    ขยับเข้าไปจะเป็นโซนนั่งทำงานและอ่านหนังสือค่ะ จะประกอบไปด้วยโต๊ะสูงและเก้าอี้วางไว้ให้หลายจุดด้วยกัน ผนังยังคงเป็นกระจกบานใหญ่ทั้งสองข้างเลย สว่างมากเลยค่ะ

    ถัดเข้าไปจะเป็นโต๊ะพูลวางไว้ตรงกลางห้องค่ะ สำหรับให้ลูกบ้านเล่นหลังจากอ่านหนังสือหรือทำงานหนักมา ก็จัดสักเกมสองเกม ช่วยให้หายเครียดได้ค่ะ

    ด้านในสุดของห้องจะมุมโซฟาและโต๊ะขนาดเล็กๆ วางไว้ให้หลายจุด มีโทรทัศน์ให้ดูด้วยหนึ่งเครื่อง

    โซฟาที่จัดวางให้มีหลายแบบค่ะ เป็นแบบแนวยาว นั่งสบายๆแบบนี้ก็มี ผนังเป็นกระจก เห็นวิวของถนนด้านนอกโครงการด้วย

    และก่อนจะออกห้องนี้ไป ย้อนไปที่ข้างๆ มุมเด็กเล่น จะมีห้องเล็กๆแยกออกไปห้องหนึ่งค่ะ ซึ่งจะเป็น Theater Room ไว้สำหรับดูหนัง โดยจะมีโทรทัศน์เครื่องใหญ่ติดผนังไว้ให้ และโซฟาตัว L ขนาดใหญ่ นั่งดูกันได้หลายคนเลยค่ะ

    ห้องอีกด้านหนึ่งจะเป็นห้องฟิตเนสค่ะ เปิดเข้าไปจะเจอหน้าตาประมาณนี้เลย เพดานสูงและผนังเป็นช่องแสงเช่นกัน ฟิตเนสที่นี่ประกอบไปด้วยเครื่องเล่นถึง 6 ชนิด แบ่งเป็นโซน Cardio มีลู่วิ่ง เห็นวิวสวนสีเขียว และ โซน Weight Training มีเครื่อง Machine อยู่ทางด้านหลังค่ะ

    ส่วนริมประตูทางเข้าออก โครงการได้วางดัมเบล จัดเป็นโซน Free Weight พร้อมติดกระจกตรงผนังไว้ให้

    เราออกมาดูโซน Outdoor กันบ้างค่ะ ด้านข้างคลับเฮาส์จะเป็นพื้นที่สวนสีเขียวขนาดใหญ่ ซึ่งโครงการได้จัดไว้ให้ลูกบ้านไว้อย่างสวยงาม ตัดแต่งหญ้าเป็นระเบียบ และปลูกต้นไม้ไว้หลายจุดด้วยกัน สามารถมาเดินเล่นได้ช่วงเช้าหรือช่วงเย็น อากาศกำลังดีค่ะ

    นอกจากนี้สวนที่นี่ยังมีทำเป็นลานวิ่ง Jogging เล็กๆไว้ให้ด้วย เผื่อใครอยากวิ่งออกกำลังกายด้านนอก สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ ก็สามารถใช้งานได้ค่ะ

    ต่อไปจะเป็นถนนของโครงการค่ะ โดยถนนหลักนับตั้งแต่ Main Gate มา จะมีขนาดกว้าง 12 เมตรค่ะ โดยจะยาวไปจนถึงบริเวณหน้าสำนักงานขาย ผ่านหน้าบ้านที่อยู่ในโซนแรกๆ

    สำนักงานขาย (Sale Gallery)  นับจากซุ้มทางเข้าโครงการไปประมาณ 200-300 เมตร อยู่ทางซ้ายมือค่ะ ก่อนถึงสำนักงานขายจะมีลานจอดรถอยู่ด้านข้างอาคาร

    สำนักงานขายของโครงการ The City รามอินทรา 2  จะอยู่ติดกับบ้านตัวอย่างที่เปิดให้เข้าชม ลักษณะจะเป็นบ้าน 2 หลังติดกันแบบนี้ โดยโครงการได้นำเอาแบบบ้าน Brivet ซึ่งเป็นแบบบ้านรองจากบ้านขนาดใหญ่ นำมาต่อเติมส่วนด้านหน้าให้มีพื้นที่เชื่อมถึงกัน ทำให้สามารถเดินทางสำนักงานไปบ้านตัวอย่างได้อย่างสะดวกค่ะ

    บรรยากาศด้านในสำนักงานขาย เค้าได้จัดโต๊ะ เก้าอี้และวางโซฟาให้หลายจุด รองรับลูกค้าที่มาเข้าชมโครงการค่ะ

    จุดนี้จะเป็นทางเชื่อมบ้าน Brivet ทั้ง 2 หลังค่ะ ทางโครงการได้ต่อเติมพื้นที่เพิ่มเข้ามาสำหรับเดินเชื่อมกัน ระหว่างสำนักงานขายและบ้านตัวอย่าง ส่วนป้ายสีเหลืองที่เราเห็นจะเป็นการประชาสัมพันธ์แอพลิเคชัน KATSAN โดยเป็นแอพลิเคชันที่ให้ลูกบ้านใช้งานโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันโครงการของ AP แทบจะทั้งหมดได้มีการใช้ระบบ KATSAN เพื่อควบคุมดูแลรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกด้านต่างๆภายในโครงการ (ข้อมูลเพิ่มเติมระบบ KATSAN คลิกที่นี่)

    สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

    • อาคาร Clubhouse บริเวณทางเข้าโครงการ ประกอบไปด้วย

    • สระว่ายน้ำระบบเกลือ แยกสระเด็กและสระผู้ใหญ่พร้อม Jagucci
    • ห้องออกกำลังกาย (ฟิตเนส) พร้อมเครื่องเล่น ห้องเพดานโปร่งสูง มองเห็นวิวสวน
    • Kid’s Room
    • Co-working Space
    • Theater Room

  • พื้นที่สวนหย่อมในโครงการขนาดใหญ่ กว่า 1 ไร่ มีลาน Jogging และซุ้มทำกิจกรรมกลางแจ้ง
  • ระบบ CCTV ที่ Main Gate และภายในโครงการ 32 จุด
  • รั้วรอบโครงการสูง 2.5 เมตร
  • ถนนหลักกว้าง 12 ม. และถนนภายในกว้าง 9 ม.
  • เข้าออกโครงการด้วย Key Card Access
  • เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง
  • ประตูรั้วโครงการแบบ รั้วกั้นไม้กระดก และประตูเลื่อนเหล็กสีดำ
  • สัญญาณกันขโมย ระบบ Magnetic & Shock Sensor ทุกหลัง
  • แบบบ้าน

    บ้านในโครงการ The City รามอินทรา 2 มีทั้งหมด 5 แบบด้วยกัน ซึ่งเป็นรูปแบบบ้านเดี่ยวทั้งหมด ขนาดที่ดินเริ่มต้น 54.6 ตารางวาขึ้นไป รายละเอียดบ้านแต่ละแบบดังต่อไปนี้

    • แบบบ้าน VIREO บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 54.6 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 190 ตร.ม. ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 2 ห้องพักผ่อน / ที่จอดรถ 2 คัน
    • แบบบ้าน MOONWAKE บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 60.9 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 225 ตร.ม. ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 2 ห้องพักผ่อน / ที่จอดรถ 2 คัน
    • แบบบ้าน INSCAPE บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 64.9 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 275 ตร.ม. ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 5 ห้องน้ำ / 2 ห้องพักผ่อน / ที่จอดรถ 3 คัน / 1 ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำในตัว
    • แบบบ้าน BRIVET บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 73.8 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 330 ตร.ม. ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 5 ห้องน้ำ / 2 ห้องพักผ่อน / ที่จอดรถ 3 คัน / 1 ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำในตัว
    • แบบบ้าน VESPERTINE บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 94.5 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 380 ตร.ม. ฟังก์ชัน 5 ห้องนอน / 6 ห้องน้ำ / 2 ห้องพักผ่อน / ที่จอดรถ 3 คัน / 1 ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำในตัว

    บ้านที่เปิดขายเป็นบ้านเปล่าทั้งหมด จำนวน 116 แปลง ปัจจุบันก่อสร้างเกือบแล้วเสร็จทั้งหมดแล้ว ซึ่งบ้านตัวอย่างที่เราจะพาไปดูในวันนี้คือบ้านแบบ Brivet ที่ดินมาตรฐาน 73.8 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 330 ตร.ม. ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ห้องพักผ่อน ที่จอดรถ 3 คันค่ะ ซึ่งจะอยู่ที่เดียวกันกับสำนักงานขายเลยค่ะ

    แบบบ้าน Brivet บ้านตัวอย่างที่เปิดให้เข้าชมค่ะ แต่จากภาพจะแตกต่างจากแบบบ้านจริงพอสมควร เนื่องจากมีการต่อเติมพื้นที่ด้านหน้าบ้านเข้าไปด้วยค่ะ

    ส่วนที่ไฮไลท์ไว้จะเป็นพื้นที่ต่อเติมของบ้านตัวอย่างและสำนักงานขายค่ะ โดยจะเชื่อมต่อถึงกันด้านหน้าแบบในภาพ ส่วนบ้านของจริงนั้นจะไม่มีพื้นที่ปิดส่วนนี้ แต่จะเป็นลานจอดรถและที่ดินของบ้านค่ะ

    ภาพจำลองบรรยากาศบ้านแบบ Brivet  ค่ะ

    เรามาเริ่มต้นดูแปลนบ้านชั้นล่างของแบบบ้าน Brivet กันดีกว่าค่ะ  แบบบ้านนี้เป็นขนาดใหญ่รองลงมาจาก Vespertine จะสามารถจอดรถได้ถึง 3 คันค่ะ (บ้านที่สามารถจอดรถได้ถึง 3 คันจะมีเพียง 3 แบบ ได้แก่ Inscape, Brivet และ Vespertine) ด้านหน้าบ้านจะมีการปูพื้นไว้ให้เรียบร้อย โดยจะครอบคลุมตั้งแต่ด้านหน้าสวนเข้าไปจนถึงหน้าประตูทางเข้าบ้าน เมื่อเข้าไปส่วนแรกจะเจอกับโถงเล็กๆตรงกลางบ้าน บรรยากาศโปร่งโล่ง สว่าง เนื่องจากมีช่องแสงเยอะหลายจุด  ด้านข้างจะเป็น Living Area หรือมุมนั่งเล่น เอาไว้รับแขกก็ได้ค่ะ วางชุดโซฟา โต๊ะวางของได้ตามขนาดของพื้นที่ค่ะ ด้านในสุดของมุมนี้จะเป็นประตูกระจกบานเลื่อน รับแสงธรรมชาติจากข้างนอกได้และยังสามารถเปิดออกไปยังสวนข้างบ้านได้อีกด้วย ซึ่งทางโครงการเค้าก็ได้ปูพื้นไว้ให้ด้านข้างด้วยเช่นกันค่ะ

    ข้างๆมุมนั่งเล่นจะมีห้องเล็กๆแยกออกไปห้องหนึ่งค่ะ เป็นห้องอเนกประสงค์ สามารถใช้ทำเป็นห้องทำงานหรือห้องรับแขกก็ได้ เนื่องจากมีความเป็นส่วนตัว อีกทั้งยังอยู่โซนหน้าบ้าน มีช่องแสงเยอะ สามารถชมวิวสวนหน้าบ้านได้อย่างสบายๆ ค่ะ ถัดเข้ามาด้านในสุดกันบ้าง เราจะเจอกับมุมรับประทานอาหาร ซึ่งสามารถจัดโต๊ะรับประทานอาหารแบบนั่ง 6 คนวางไว้ได้อย่างพอดี ไม่อดอัดจนเกินไป ส่วนฝั่งตรงข้ามโต๊ะทานอาหารจะเป็นห้องครัวค่ะ ซึ่งของจริงจะไม่มีเคาท์เตอร์ตัว L ให้อย่างในแปลนนะคะ หากเจ้าของบ้านอยากได้ต้อง Built เองค่ะ และด้านในสุดจะเป็นห้องครัวปิดค่ะ ซึ่งจะมีประตูเปิดไปข้างหลังบ้านได้ด้วย ห้องนอนและห้องน้ำแม่บ้านจะแยกไปอยู่โซนหลังบ้านค่ะ ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับพื้นที่อยู่อาศัยด้านในของเจ้าของบ้าน

    ขยับมาฝั่งของบันไดกันบ้างค่ะ โซนนี้จะแยกไป 2 มุมด้วยกัน มุมแรกด้านหน้าเลยจะเป็นห้องน้ำชั้นล่าง อยู่ใต้บันไดเลยค่ะ ห้องนี้จะไม่ใหญ่มาก โครงการไม่ได้ทำส่วนอาบน้ำมาให้นะคะ จะมีแค่โถสุขภัณฑ์และอ่างล้างมือ ส่วนอีกฝั่งของบันไดจะเป็นทางเดินเข้าไปยังห้องนอนชั้นล่าง  ซึ่งห้องนอนนี้จะมีห้องน้ำภายในตัวด้วย เหมาะสำหรับทำเป็นห้องนอนผู้สูงอายุหรือเด็กเล็กที่อาจจะขึ้นบันไดลำบากค่ะ

    ขึ้นไปชั้นสองของบ้านกันบ้างค่ะ บันไดบ้านนี้จะเป็นแบบ 2 ตอน พอขึ้นไปถึงชั้นบน จะเจอกับ Common Area ทางส่วนหน้าของบ้าน สามารถจัดวางโซฟา โต๊ะวางของไว้นั่งเล่น นั่งทำงานได้อย่างเป็นส่วนตัวค่ะ มีช่องแสงด้านข้าง รวมถึงช่องแสงจากประตูระเบียงที่อยู่ใกล้ๆกัน สามารถเปิดไปรับลมชมวิวด้านนอกได้ค่ะ พื้นที่ระเบียงกว้างมาก ใครมีไอเดียอยากจัดวางชุดโต๊ะเก้าอี้ไว้นั่งเล่นก็ได้ หรือจะปลูกต้นไม้เล็กๆ วางไว้บนชั้นเพื่อสร้างบรรยากาศร่มรื่น สบายตาก็เข้าท่าดีเหมือนกันค่ะ นอกจากนี้ก็มีห้องเก็บของเล็กๆให้ห้องหนึ่ง เราสามารถเก็บพวกกระเป๋า รองเท้า หรือ Accessories อื่นๆได้ค่ะ

    ชั้นบนจะประกอบไปด้วย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ (ห้องน้ำในตัวทุกห้องค่ะ) ห้องนอนแรกที่จะพูดถึงคือ Master Bedroom จะมีขนาดกว้างที่สุด โดยจะกินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของบ้านชั้นบนค่ะ พื้นที่ห้องจะยาวไปในแนวหน้า-หลังของตัวบ้าน มีโซนแต่งตัวและห้องน้ำอยู่ทางด้านหลัง มาพร้อมอ่างอาบน้ำให้ด้วยค่ะ ส่วนห้องนอนอีก 2 ห้องจะมีขนาดเล็กกว่า โดยจะอยู่อีกครึ่งหนึ่งของบ้าน วางตำแหน่งอยู่ในโซนหน้าและโซนหลัง แต่ละห้องจะมีช่องแสงเปิดไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ พอจะรับลมได้เย็นๆได้ มาพร้อมห้องน้ำในตัว แต่จะไม่มีอ่างอาบน้ำให้ค่ะ

    ต่อไปเรามาดูภาพบ้านตัวอย่างของจริงกันเลยค่ะ  เริ่มต้นจากบริเวณหน้าบ้าน อย่างที่บอกไปว่าบ้านตัวอย่างเค้ามีการต่อเติมเพิ่ม ดังนั้นบ้านของจริงจะมีแค่ส่วนที่ขีดเส้นเอาไว้ จะเป็นพื้นที่ Outdoor สำหรับจอดรถ และประตูเข้าบ้านด้านหน้ากับด้านข้างค่ะ

    ประตูบ้านทำจากไม้สักแท้ค่ะ ให้มาบานใหญ่เลย ซึ่งทางโครงการเค้าได้ติด Digital Door Lock ให้ด้วย เพิ่มความปลอดภัยเวลาเข้าออกบ้านต้องกดรหัสก่อน โดยเป็นส่วนหนึ่งของระบบ Home Automation ของทางโครงการที่ให้อุปกรณ์รักษาความปลอดภัย และควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติมาหลายอย่างเลย อุปกรณ์จะมีอะไรบ้างนั้นเราไปดูกันสักเล็กน้อยค่ะ

    ก่อนเข้าบ้าน อย่างแรกที่จะเจอเลยก็คือ CCTV อยู่บริเวณหน้าประตูบ้านเลยค่ะ ซึ่งจะคอยบันทึกภาพตลอด 24 ชั่วโมง เจ้าของบ้านสบายใจ หายห่วงได้ ไม่ว่าจะอยู่บ้านตอนกลางคืน ไปต่างประเทศหรือต่างจังหวัดไกลๆ ไม่กลับบ้าน ก็สามารถเช็คดูความปลอดภัยได้ค่ะ นอกจากนี้ก็จะติดตั้ง Digital Door Lock ให้ด้วยทุกหลัง

    ภายในบ้านมีการติดอุปกรณ์กันขโมย Magnetic & Shock Sensor มาให้ทุกหลัง โดยบริเวณประตูและหน้าต่างทุกจุดในบ้าน ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง เวลาที่จุดไหนถูกงัดแงะจากภายนอกเข้ามา สัญญาณเตือนภัยก็จะทำงานค่ะ

    นอกจากนั้นยังมี CCTV ให้อีกด้วย โดยจะส่องไปในตำแหน่งประตูทางเข้า เวลาใครเข้ามาในบ้านก็จะบันทึกภาพไว้ทั้งหมดค่ะ และมีแผง Touch Switch กดเปิดปิดไฟในบ้านได้ง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้นค่ะ

    เรามาดูบ้านตัวอย่างกันต่อเลยค่ะ เมื่อเข้ามาในบ้านก็จะเห็นภาพประมาณนี้เลย ตรงนี้จะเป็นโถงกลางเล็กๆที่จะแยกไปส่วนต่างๆของบ้าน ทั้งโซนนั่งเล่น ครัว ห้องนอนเล็ก ห้องน้ำ และบันไดขึ้นไปชั้นบน โครงสร้างของบ้านจะเป็นอิฐมวลเบา ฉาบปูนเรียบ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ให้ค่ะ

    โซนนั่งเล่นจะอยู่ด้านข้างค่ะ บ้านตัวอย่างเค้าได้จัดเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆให้ดูเป็นไอเดีย โดยเราสามารถวางโต๊ะ โซฟานั่งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก จัดได้ตามความเหมาะสมได้ที่มุมนี้เลย Built ชั้นวางไว้ริมผนังหรือถ้ากลัวจะอึดอัด เดินผ่านลำบากก็แนะนำให้ซื้อโทรทัศน์ที่แขวนได้มาใช้แทนค่ะ จะช่วยประหยัดพื้นที่ไม่ต้องทำชั้นวางก็ได้

    ส่วนมุมด้านใน จะเป็นพื้นที่สำหรับวางโต๊ะรับประทานอาหาร เราสามารถจัดวางโต๊ะขนาดกลาง-ใหญ่  นั่งได้ถึง 6 คนมาไว้ที่มุมนี้ โดยจะได้รับแสงธรรมชาติจากหน้าต่างบานใหญ่ที่ติดเรียงกันบนผนังทั้ง 2 มุม ช่วยให้บรรยากาศโปร่งโล่ง หากเปิดหน้าต่างก็ยิ่งช่วยให้อากาศถ่ายเทสะดวกยิ่งขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีประตูกระจกบานเลื่อนติดไว้ที่โซนนั่งเล่น เราสามารถเปิดประตูนี้ทะลุไปสวนข้างบ้านได้ ซึ่งทางโครงการได้ปูพื้นกระเบื้องให้เหมือนในภาพเลยค่ะ

    ต่อไปมาดูห้องอเนกประสงค์ชั้นล่าง ซึ่งจะอยู่ริมประตูทางเข้า หันออกไปทางหน้าบ้านค่ะ

    ห้องอเนกประสงค์สามารถจัดเป็นห้องรับแขก ห้องทำงานหรือห้องนอนเล็กๆเพิ่มอีกห้องก็ได้ เพราะพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ขนาดอยู่ที่ประมาณ 2.8 x 5 เมตร มองเห็นวิวหน้าบ้านได้ เพราะโครงการได้ติดช่องแสงไว้ให้ ทำเป็นผนังบานใหญ่เลย หากแสงเข้ามากเกินหรืออยากได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้นก็ปิดผ้าม่านบังเอาได้ค่ะ

    อย่างบ้านตัวอย่างเค้าจัดห้องอเนกประสงค์ทำเป็นห้องนั่งเล่นและรับแขกไว้เป็นไอเดียค่ะ เผื่อมีแขกมาคุยงาน คุยธุระต่างๆจะได้เข้ามาใช้งานห้องนี้ได้ โดยฟังก์ชันที่เหมาะมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีประตูบานเลื่อนที่สามารถเชื่อมต่อกับพื้นที่หน้าบ้านได้เลย เวลาที่นัดแขกมาจะได้ไม่ต้องเข้าผ่านประตูหลักของบ้าน ช่วยสร้างความเป็นส่วนตัวได้ค่ะ

    ถัดไป เรามาดูส่วนห้องครัวกันต่อค่ะ ห้องครัวจะอยู่ตรงข้ามกับมุมรับประทานอาหาร ซึ่งตามบ้านตัวอย่างเค้าได้ทำ Built-in เคาน์เตอร์ ด้านนอกเพิ่ม ไว้สำหรับทำเป็นบาร์เตรียมอาหารเบาๆได้ แต่บ้านจริงจะเป็นพื้นที่โล่งๆ ใครที่อยากได้ Built-in เหมือนบ้านตัวอย่างก็ต้องต่อเติมเองค่ะ อาจติดตั้งกระจกเพิ่มตรงผนังช่วยให้บ้านดูกว้างขึ้นได้ค่ะ

    เลี้ยวเข้ามาทางขวาจะเป็นห้องครัว  พื้นที่ก็กว้างขวางใช้ได้เลย สามารถทำครัวได้อย่างไม่อึดอัด มาพร้อมหน้าต่างบานใหญ่ด้านข้าง ช่วยเพิ่มแสงและช่วยระบายอากาศค่ะ

    ทางโครงการได้ติดตั้ง เคาน์เตอร์ ล่างตัว L ติดกันให้ 2 มุมแบบในรูปด้านบนเลย และให้ที่ดูดควันด้วยค่ะ เราสามารถติดตั้ง Built-in ด้านบนเพิ่มได้สำหรับเก็บอุปกรณ์ทำครัว ช่วยให้ใช้พื้นที่ได้คุ้มค่ามากขึ้น

    อีกด้านก็มีเคาน์เตอร์ ล่างให้เช่นเดียวกัน และให้อ่างล้างจานด้วยค่ะ ที่ว่างด้านข้างสามารถวางตู้เย็นได้เครื่องหนึ่ง นอกจากนี้ในห้องครัวยังได้ต่อระบบน้ำดี น้ำทิ้งให้แล้วเรียบร้อย

    มีประตูครัวเปิดทะลุไปด้านหลังบ้านได้ด้วยค่ะ ไว้เปิดระบายอากาศเวลาที่ทำครัวหนักๆ

    ด้านหลังบ้านตัวอย่างจะเป็นพื้นที่สวนเล็กๆค่ะ เนื่องจากหลังนี้เป็นบ้านตัวอย่างจึงมีพื้นที่ด้านหลังค่อนข้างกว้างและไม่ได้กั้นรั้ว แต่บ้านจริงจะมีพื้นที่ขยับเข้ามาน้อยกว่านี้ค่ะ พร้อมกั้นรัวให้ด้วย

    บันไดจะอยู่ตรงกลางบ้าน มีพื้นที่แยกไปฝั่งซ้ายและขวา ซึ่งแต่ละฝั่งจะมีห้องแยกย่อยไปอีกค่ะ เรามาเริ่มต้นดูฝั่งขวาที่เป็นห้องน้ำกันก่อน

    ห้องน้ำรวมชั้นล่างจะอยู่ริมบันไดค่ะ (ฝั่งหน้าบ้าน) และมีพื้นที่ห้องอยู่ใต้บันได ทำให้การออกแบบต้องมีการลดหลั่นลงไปเป็นขั้นแบบนี้ เพื่อให้ได้เพดานห้องน้ำสูงโปร่งขึ้น หากไม่ทำลดระดับลงไป เพดานก็อาจติดกับขั้นบันไดได้ค่ะ ถือเป็นการปรับโครงสร้างของบ้านที่อาจมีข้อจำกัดอยู่บ้างได้ดีเลยทีเดียว

    ห้องน้ำรวมนี้จะให้แค่โถสุขภัณฑ์และอ่างล้างมือค่ะ แต่จะไม่มีโซนอาบน้ำ พวกฝักบัว รวมถึงฉากกั้นให้ หากจะอาบน้ำต้องไปใช้ห้องน้ำภายในห้องนอนแทนค่ะ

    สุขภัณฑ์อ่างล้างหน้าเป็นของแบรนด์ American Standard มีกระจกติดผนังให้พร้อมเลย และแม้จะเป็นห้องน้ำเล็กแต่เค้าก็ยังทำผนังขึ้นมาเป็นชั้นวางของให้ด้วยค่ะ ลูกบ้านไม่จำเป็นต้องไปทำเพิ่มเองแต่อย่างใด

    โถสุขภัณฑ์เป็นของแบรนด์ American Standard เช่นเดียวกัน โดยจะอยู่ด้านในสุดเลยค่ะ

    ส่วนอีกด้านหนึ่งของบันได จะเป็นทางแยกไปยังห้องนอนชั้นล่างและห้องเก็บของค่ะ โดยต้องเดินทางผ่านช่องทางเดินมุมนี้ ซึ่งส่วนตัวเรามองว่าการทำทางเดินไปแบบนี้ก็มีข้อดีเหมือนกัน เพราะจะช่วยให้ห้องนอนด้านล่างไกลจากพื้นที่ Living Area ตรงกลางบ้านมากขึ้น เพิ่มความเป็นส่วนตัว และไม่วุ่นวายกับสมาชิกคนอื่นๆ

    ห้องนอนชั้นล่างมีขนาดค่อนข้างกว้างค่ะ พื้นที่ประมาณ 3.4*3 เมตร (ไม่รวมพื้นที่ห้องน้ำ) ซึ่งสามารถจัดวางเตียง King Size 6 ฟุต ก็ยังไหวค่ะ แต่อาจจะเหลือพื้นที่น้อยลง ดังนั้นแนะนำว่าจัดเตียงขนาด 5 ฟุตกำลังดี หรือถ้านอนคนเดียว อยากได้แบบกะทัดรัด เตียงเดี่ยว 3.5 ฟุตก็ยิ่งเหลือพื้นที่เยอะ

    ห้องตัวอย่างเค้าได้จัดโต๊ะทำงานไว้ให้ด้วย เนื่องจากยังเหลือพื้นที่ข้างเตียงพอสมควร

    ส่วนพื้นที่ปลายเตียงและอีกด้านหนึ่งของเตียง ก็ยังเหลือพื้นที่เล็กน้อย พอวางโต๊ะขนาดเล็ก หรือติด Built-in วางของได้เพิ่มอีก แต่ถ้าใครไม่อยากรู้สึกอึดอัดจนเกินไป จะไม่ติด Built-in ก็ได้ เวลาอยากดูโทรทัศน์ก็เดินไปดูด้านนอกแทนค่ะ

    อีกฝั่งหนึ่งของห้องจะมีพื้นที่วางตู้เสื้อผ้าได้ หรือติด Walk-in Closet ส่วนด้านข้างจะเป็นห้องน้ำค่ะ

    ห้องน้ำนี้จะสามารถอาบน้ำได้ เนื่องจากทางโครงการเค้าได้กั้นโซนอาบน้ำ แยกโซนแห้งและเปียก พร้อมติดตั้งฝักบัวมาให้เรียบร้อย

    สุขภัณฑ์เป็นของ American Standard เช่นเดิม ติดกระจกให้ตรงผนัง Built ชั้นวางของให้เสร็จสรรพไปจนถึงโซนอาบน้ำ เพื่อวางของใช้ อุปกรณ์อาบน้ำได้

    โครงการติดตั้งฝักบัวไว้ให้แล้ว แต่เราอาจจะต้องไปติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นเอง สังเกตได้ว่ามีการสร้างขั้นตรงพื้นขึ้นมากั้นเป็นโซนแห้งและโซนเปียก เวลาอาบนำ้จะได้ไม่เลอะออกมา แต่จะไม่มีฉากกั้นอาบน้ำให้ เราสามารถติดตั้งเพิ่มได้ ซึ่งจะช่วยไม่ให้พื้นด้านนอกเปียก

    หน้าตาฝักบัวอาบน้ำได้จะประมาณนี้ค่ะ ของ American Standard เช่นเดียวกัน

    และต่อไปเราจะขึ้นบันไดไปดูชั้นสองกันค่ะ โครงสร้างบันไดจะเป็นคอนกรีต ปูทับด้วยไม้ยาง ซึ่งจะเหมือนไม้จริงมาก ข้อดีคือมีความแข็งแรง ไม่ผุกร่อนได้ง่าย และวัสดุติดแน่นทนนาน เวลาใช้งานขึ้นลงบันไดจะได้ความปลอดภัยและไม่เสียงดังค่ะ

    บันไดจะเป็นแบบ 2 ตอน พื้นที่กว้างขนาด 2 คนเดินสวนกันได้เลย และมีชานพักเป็นสี่เหลี่ยม เวลาก้าวเดินจะมีความปลอดภัยกว่าชานพักที่เป็นสามเหลี่ยมค่ะ นอกจากนี้ยังมีระเบียงกั้นด้านบนเป็นกระจกใส ช่วยให้แสงผ่านมามองเห็นขั้นบันได้ได้ชัดเจนขึ้น

    เมื่อขึ้นไปถึงบนชั้นสองจะเห็นห้องต่างๆแยกออกไปทั้งฝั่งซ้ายและขวา รวมถึงด้านหลังด้วยค่ะ

    จุดแรกที่สะดุดตาเลยเมื่อขึ้นไปบนชั้นสอง ก็คือมุมนั่งเล่นค่ะ ซึ่งเป็น Common Area ที่สมาชิกในบ้าน สามารถมาแชร์ใช้งานร่วมกันได้ จะนั่งเล่น ดูหนัง ทำงาน อ่านหนังสือก็ตามสะดวกเลยค่ะ

    จุดนี้เค้าจะมีช่องแสงเปิดกว้างเป็นหน้าต่างบานใหญ่อยู่ทางด้านข้าง ซึ่งจะเป็นฝั่งหน้าบ้านค่ะ บ้านตัวอย่างได้จัดโซฟาไว้นั่งดูโทรทัศน์ พร้อม Built-in วางของติดผนัง กลายเป็นมุมนั่งเล่นน่ารักๆแบบนี้ บรรยากาศดูโปร่งสบายดีค่ะ

    สำหรับห้องชั้นบนเราจะมาดู Master Bedroom กันก่อนเป็นห้องแรกค่ะ ซึ่งห้องนี้จะมีขนาดใหญ่ที่สุด กินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของบ้านชั้นบน พื้นที่จะเป็นแนวยาวตัดหน้า-หลังไปกับตัวบ้าน เราสามารถวางเตียง King Size ได้อย่างสบายๆ ไม่อึดอัด แถมยังเหลือพื้นที่ว่างอีกเยอะเลย

    พื้นที่ข้างเตียงเหลือวางโต๊ะขนาดกลาง-เล็กได้

    ด้านข้างเตียงอีกฝั่งจะมีพื้นที่เหลือเยอะ เนื่องจากพื้นที่มุมนี้ถูกดีไซน์ขยายไปด้านนอก ขยับออกไปเท่ากับความกว้างของระเบียงเลยค่ะ โดยเราสามารถจัดวางโซฟาเล็กไว้นั่งเล่นได้อย่างพอดี พร้อมวางโต๊ะเล็กๆถัดไปใช้วางของไว้ข้างเตียง มีช่องแสงใหญ่ให้ด้วยตรงมุมนี้ หากแสงเข้ามากไปก็สามารถติดผ้าม่านกรองแสงได้ค่ะ

    ประตูระเบียงจะอยู่ถัดมาค่ะ เป็นกระจกใสบานเลื่อน เปิดออกมาจะเจอกับพื้นที่ระเบียงเป็นแนวยาวแบบนี้ เราสามารถออกมายืนชมวิวหรือวางเก้าอี้เล็กๆนั่งเล่นยามเช้าหรือเย็นได้ (กลางวันอาจจะร้อนไปหน่อยนะคะ)

    มุมจากระเบียง มองเข้าไปในห้องนอน จะเห็นได้ว่าแสงธรรมชาติส่องเข้าไปในห้องได้อย่างเต็มที่ ทำให้ห้องดูโปร่งโล่ง กว้างขวาง บรรยากาศสบายๆ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดไฟในตอนกลางวัน

    ถัดเข้าไปจะเป็นมุมแต่งตัวค่ะ เราสามารถกั้นเป็นห้องเล็กๆได้หากต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยตู้เสื้อผ้าจะวางไว้ที่มุมนี้ได้ถึง 2 ฝั่งเลย หรือจะติดเป็น Walk-in Closet ก็จะช่วยประหยัดพื้นที่ใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ติดตั้งโต๊ะเครื่องแป้งหรือ Built-in วางของเพิ่มก็ได้ เผื่อสมาชิกท่านไหนมีของใช้ส่วนตัวเยอะ สามารถจัดเก็บไว้ได้อย่างเป็นระเบียบค่ะ

    บ้านตัวอย่างได้จัดมุมแต่งตัวมาให้ดูเป็นไอเดียประมาณนี้ โดยได้กั้นเป็นห้องเล็กๆ ไว้ เปิดปิดเข้าออกได้ง่าย สร้างความเป็นส่วนตัวเวลาอาบน้ำเสร็จ ก็พร้อมใส่เสื้อผ้าต่อได้เลย

    เข้าไปด้านในสุดจะเป็นห้องน้ำของ Master Bedroom ค่ะ พื้นที่กว้างมาก ความยาวเท่ากับห้องนอนเลยค่ะ แต่ความกว้างจะแคบกว่า ปูด้วยพื้นกระเบื้อง มาพร้อมสุขภัณฑ์ต่างๆหลายชิ้น ส่วนบรรยากาศพอเข้าไปแล้วจะเห็นได้ว่าแสงธรรมชาติส่องผ่านหน้าต่างในห้องน้ำเข้ามาหลายจุดเลย และคุมโทนด้วยสีขาว ช่วยให้ห้องสว่าง ดูโปร่งและกว้างยิ่งขึ้น

    โถสุขภัณฑ์จะอยู่ด้านข้าง พร้อมมุมอาบน้ำแยกโซนแห้งเปียกให้เลย ซึ่งเค้าได้ให้ฉากกั้นกระจกอาบน้ำมาให้ค่ะ มุมนี้ก็ยังมีช่องแสงให้ถึง 2 จุด เป็นบานกระทุ้งเปิดระบายอากาศได้ด้วย ช่วยให้ห้องน้ำไม่อับชื้น

    สุขภัณฑ์ชั้นบนก็ยังเป็นของแบรนด์ American Standard ค่ะ แต่ได้ อัพเกรดขึ้นมาใช้รุ่นที่เป็นนวัตกรรม Aqua Ceramic ซึ่งจะช่วยให้ผิวสุขภัณฑ์มีความเรียบลื่น ทำให้โมเลกุลของน้ำแทรกตัวเข้าไปชะล้าง ทำความสะอาดสิ่งสกปรกได้ เราจึงใช้งานได้นานขึ้น วัสดุงานดีเลยทีเดียว

    ส่วนโซนอาบน้ำจะแยกโซนให้แบบนี้เลยค่ะ โดยจะเป็นฉากกั้นกระจกใสติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน ป้องกันหยดน้ำกระเด็นออกมาบนพื้น แต่เวลาใช้งานฉากกั้นแบบนี้อาจต้องหมั่นทำความสะอาดบ่อยๆหน่อยนะคะ ไม่เช่นนั้นหยดน้ำอาจจะกระเด็นมาเกาะกระจกจนเป็นคราบติดแน่นได้ค่ะ

    มีฝักบัวติดมาให้ และเจาะช่องวางของให้เรียบร้อย ไม่ต้อง Built เพิ่ม

    ความพิเศษอีกอย่างของห้องน้ำใน Master Bedroom คือจะมีอ่างอาบน้ำให้ด้วยค่ะ โดยจะแยกมาอยู่อีกด้าน อ่างจะอยู่บนแท่นคอนกรีตอีกที ซึ่งทางโครงการก็ได้ดีไซน์มาให้กลายเป็นพื้นที่วางของ วางอุปกรณ์อาบน้ำต่างๆ หยิบใช้งานได้อย่างสะดวกค่ะ

    ฝักบัวที่ได้มากับอ่างอาบน้ำจะเป็นทรงนี้ค่ะ สามารถดึงออกมาใช้งานได้ โดยจะมีปุ่มปิดเปิด และระบบระบายน้ำมาให้ตามมาตรฐาน

    ออกมาดูห้องอื่นๆกันบ้างค่ะ ถัดจาก Master Bedroom ห้องแรกทางซ้ายมือ จะเป็นห้องอเนกประสงค์เล็กๆ ซึ่งสามารถใช้เป็นห้องเก็บพวกกระเป๋า รองเท้า และ Accessories ต่างๆได้ค่ะ

    อย่างบ้านตัวอย่างเค้าได้ใช้เก็บกระเป๋าและรองเท้าค่ะ เหมาะสำหรับคนที่มีของใช้ส่วนตัวค่อนข้างเยอะ และไม่ต้องการเก็บไว้ในห้องนอนให้รกจนเกินไป ก็สามารถแยกเอาของมาเก็บไว้ที่ห้องนี้ได้ ซึ่งขนาดของห้องจะไม่ได้ใหญ่มาก พื้นที่อยู่ที่ประมาณ 1.5 x 3.6 เมตร พอวางชั้นวางของได้ 2 ฝั่ง ติดกระจกเพิ่มตรงผนังได้ จะช่วยให้ห้องดูกว้างขึ้น

    ห้องต่อมาคือห้องนอนที่ 2 ค่ะ ห้องนี้ขนาดจะเล็กลงมา เหมาะสำหรับทำเป็นห้องของเด็กๆได้ค่ะ มีพื้นที่รองรับเตียงใหญ่ ได้ถึง 6 ฟุต แต่ถ้าอยากได้พื้นที่ห้องกว้างขึ้นก็อาจจะลดขนาดเตียงมา จะได้มีพื้นที่ข้างเตียงเหลือวางโต๊ะได้ค่ะ

    ปลายเตียงสามารถติดชั้นวางของหรือวางโทรทัศน์ได้โดยยังเหลือพื้นที่ สามารถเดินผ่านปลายเตียงได้สบายๆค่ะ

    มุมตรงข้ามเตียงมีช่องแสงให้ เราอาจจะวางโทรทัศน์ไว้ปลายเตียงมุมเดียวกันนี้ เอาไว้นอนดูซีรีย์ได้เพลินๆเลย ส่วนข้างๆก็พอมีที่ว่างสามารถวางโต๊ะเครื่องแป้งได้ บ้านตัวอย่างเค้าได้ Built ผนังเพิ่มขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับทำเป็นที่วางของแบบถาวรเลย กั้นให้เป็นสัดส่วนมากยิ่งขึ้น

    ผนังตรงข้ามสามารถวางตู้เสื้อผ้าหรือติดตั้ง Walk-in Closet ได้ค่ะ ด้านในสุดจะเป็นห้องน้ำ

    ห้องน้ำจะเป็นฟังก์ชันมาตรฐาน มีสุขภัณฑ์เหมือนห้องน้ำด้านล่างเลยค่ะ แต่จะเพิ่มส่วนอาบน้ำโดยได้สร้างผนัง Built ขึ้นมาให้เลย โดยเราไม่จำเป็นต้องติดฉากกั้นเพิ่ม มีช่องแสงให้หนึ่งจุดช่วยระบายความชื้น

    ได้โถสุขภัณฑ์และอ่างล่างมือ ซึ่งมีช่องเก็บของด้านล่างให้ด้วย ผนังติดกระจกให้พร้อมค่ะ

    ย้อนกลับออกมาที่โถงกลาง อีกด้านหนึ่งจะเป็นทางเชื่อมไปห้องนอนที่ 3 ของชั้นบนค่ะ ได้แสงสว่างส่องผ่านเข้ามาทางระเบียงทางขวามือ

    เนื่องจากแสงผ่านจากระเบียงเข้ามามุมนี้ ซึ่งเป็นมุมทางขึ้นลงบันไดพอดี ทางโครงการเค้าก็เลยทำระเบียงกั้นตรงนี้โดยใช้วัสดุเป็นกระจกใสค่ะ เพื่อให้แสงสามารถส่องผ่านลงไปได้เห็นขั้นบันไดได้อย่างชัดเจน ขึ้นลงจะได้สะดวก ปลอดภัยยิ่งขึ้น ไม่ต้องเปิดไฟเวลากลางวัน

    ระเบียงตรงกลางของชั้น 2 ค่ะ เราสามารถเปิดประตูระเบียงไปใช้งานได้จริง เนื่องจากได้พื้นที่กว้างมาก ขนาด 1.9 x 2.4 เมตรเลยทีเดียว บางคนอาจจัดวางชุดโต๊ะ เก้าอี้ไว้นั่งเล่น พร้อมทำเป็นโซนสวนในร่มเล็กๆ ปลูกไม้ประดับในกระถางได้ สร้างบรรยากาศให้ร่มรื่น สบายตาค่ะ

    และห้องสุดท้ายคือห้องนอนที่ 3 ขนาดจะต่างจากห้องนอนก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่โดยรวมก็ยังสามารถวางเตียง 5-6 ฟุตได้ มีพื้นที่ข้างเตียงเหลือวางโต๊ะทำงานและโต๊ะวางของได้เช่นกันค่ะ

    ส่วนผนังด้านข้างเป็นกระจกบานใหญ่ แสงสว่างเข้ามาได้อย่างเต็มที่ ปลายเตียงติด Built-in วางของ วางโทรทัศน์ได้ โดยยังเหลือที่ว่างประมาณนึงเลย

    ส่วนอีกด้านจะเป็นโซนแต่งตัวและห้องน้ำค่ะ

    พื้นที่ส่วนนี้จะเหลือพอสมควร บ้านตัวอย่างเค้าให้ไอเดียทำเป็นโซนแต่งตัวค่ะ โดยทำผนังให้เป็นรูปทรงบ้าน และติดตั้ง Walk-in Closet เข้าไปทั้ง 2 ฝั่ง

    มองมุมตรงๆจะเป็นแบบนี้ค่ะ โซนนี้เก็บของได้เยอะเลย และลึกเข้าไปด้านในจะเป็นห้องน้ำ

    ห้องน้ำจะกั้นโซนอาบน้ำด้วยผนังเหมือนห้องน้ำก่อนหน้านี้เลยค่ะ

    แสงสว่างผ่านเข้ามาทางกระจกบานกระทุ้ง เปิดระบายอากาศได้ ส่วนสุขภัณฑ์ต่างๆได้เหมือนเดิม ตามมาตรฐานของโครงการค่ะ

    ต่อไปนี้จะเป็นภาพบ้านจริงของแต่ละ Type ที่เหลือค่ะ ซึ่ง Thinkofliving ได้เก็บภาพบรรยากาศหน้าบ้านมาฝากกัน และจะขออธิบายความน่าสนใจของแปลนบ้านแต่ละแบบให้ดูกันนะคะ

    แบบบ้านตัวเล็กสุด คือ Vireo ที่ดินมาตรฐาน 54.6 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 190 ตร.ม. ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 2 ห้องพักผ่อน / ที่จอดรถ 2 คัน

    ต่อมาคือแบบบ้าน Moonwake ที่ดินมาตรฐาน 60.9 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 225 ตร.ม. ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 2 ห้องพักผ่อน / ที่จอดรถ 2 คัน

    Moonwake เป็นแบบบ้านที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมา ที่ดินและพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น แต่โดยรวมแล้วแปลนชั้นล่างจะคล้ายกับแบบบ้าน Verio ค่ะ จอดรถได้ 2 คัน มีพื้นที่นั่งเล่น มุมรับประทานอาหาร ห้องครัว ห้องนอนและห้องน้ำอยู่ด้านล่าง

    แต่ความแตกต่างจะอยู่ที่ชั้น 2 ค่ะ บ้านแบบ Moonwake ชั้นบนจะมี 3 ห้อง 3 ห้องน้ำ โดยห้องน้ำจะอยู่ในตัวห้องนอนทุกห้องค่ะ (ยกเว้นชั้นล่าง) โดยห้องน้ำใน Master Bedroom จะมีขนาดใหญ่ขึ้น และเพิ่มอ่างอาบน้ำไว้ให้ด้วย ส่วนด้านนอกจะยังคง Common Area ไว้ให้เช่นเดิม

    แบบบ้าน Inscape จะมีขนาดพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นมาเยอะพอสมควร ฟังก์ชันห้องต่างๆภายในบ้านจึงมีเพิ่มเข้ามาจากแบบเดิม เริ่มต้นจากแปลนชั้น 1 จะได้ที่จอดรถถึง 3 คันค่ะ เมื่อเข้าไปแล้วจะเจอกับมุมนั่งเล่น ขยับไปกลางบ้านจะเป็นมุมรับประทานอาหาร โดยมีห้องครัวแยกไปอยู่ทางด้านข้าง ส่วนห้องนอนล่างจะมีอยู่ส่วนหน้าบ้านติดกับสวนเลยค่ะ พร้อมห้องน้ำในตัว ส่วนด้านหลังสุดตรงข้ามกับห้องครัว จะได้พื้นที่เพิ่มซึ่งสามารถกั้นเป็นห้องพักผ่อนได้ โดยห้องนี้เราสามารถปรับฟังก์ชัน จะทำเป็นห้องนั่งเล่นหรือห้องทำงานก็ตามสะดวก โดยจะสามารถเปิดประตูออกไปด้านนอกสวนได้ด้วย จุดนี้ทางโครงการเค้าได้ปูเฉลียงไว้ให้เรียบร้อยค่ะ ด้านหลังบ้านมีห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำในตัวให้ด้วย

    แปลนชั้น 2 จะพบว่า Master Bedroom จะอยู่ขนานไปทางหน้าบ้าน มีประตูเปิดไประเบียงที่อยู่ส่วนกลางของบ้านได้ ส่วนห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง จะอยู่โซนด้านหลัง ทุกห้องจะมีห้องน้ำในตัวและมีช่องแสงเยอะค่ะ ขยับมาตรงกลางบ้านชั้นบนจะเป็น Common Area ไว้จัดมุมนั่งเล่นได้ โดยจะมีระเบียงอยู่ตรงจุดนี้ให้เลย ช่วยรับแสงธรรมชาติส่องผ่านเข้ามาได้อย่างเต็มที่

    และแบบบ้านใหญ่สุดของโครงการก็คือ Vespertine ที่ดินมาตรฐาน 94.5 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 380 ตร.ม. ฟังก์ชัน 5 ห้องนอน / 6 ห้องน้ำ / 2 ห้องพักผ่อน / ที่จอดรถ 3 คัน / 1 ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำในตัว

    แบบบ้านนี้จะมีพื้นที่ใช้สอยมากที่สุดค่ะ  ลักษณะฟังก์ชันจะคล้ายกับแบบบ้านตัวอย่าง Brivet หากเป็นชั้นล่างจะมีมุมนั่งเล่น รับแขก รับประทานอาหาร ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องนอนล่าง (พร้อมห้องน้ำในตัว) และพื้นที่อเนกประสงค์ ซึ่งสามารถกั้นเป็นห้องเพิ่มได้ แตกต่างกันที่ตำแหน่งของบางห้องและบันไดเท่านั้นเอง พื้นที่ในบ้านกว้างขวางขึ้น ได้ห้องแม่บ้านที่มีห้องน้ำในตัวอยู่ด้านนอก โดยห้องแม่บ้านจะมีพื้นที่ที่เชื่อมต่อกับห้องครัวค่ะ จะได้เข้าออกได้อย่างสะดวกเวลาทำงาน

    มาดูแปลนชั้น 2 ของแบบบ้าน Vespertine กันบ้างค่ะ ชั้นนี้ประกอบไปด้วย 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำในตัว Master Bedroom อยู่ฝั่งด้านหน้าของบ้าน ขนานเป็นแนวยาวไปกับตัวบ้าน ได้พื้นที่สามารถทำเป็นห้องแต่งตัวได้ และมีห้องน้ำขนาดใหญ่ มาพร้อมโซนอาบน้ำที่มีฉากกั้นและอ่างอาบน้ำให้ด้วย ส่วนห้องนอนและห้องน้ำอื่นขนาดจะเล็กลงไปบ้าง แต่โดยรวมก็ยังถือว่ากว้างขวางดี มีช่องแสงให้เยอะ ตรงมุมบ้านทางริมขวาสุดมีพื้นที่เหลือ สามารถจัดเป็นโซนนั่งเล่น ดูโทรทัศน์ร่วมกันได้ บ้านนี้เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ มีสมาชิก 5-6 คน รองรับการอยู่อาศัยได้อย่างไม่แออัดค่ะ

    **รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ

    ราคา

    28 April 2020

    • แบบบ้าน VIREO บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 54.6 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 190 ตร.ม.
      – ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 3 ห้องน้ำ / 2 ห้องพักผ่อน / ที่จอดรถ 2 คัน
    • แบบบ้าน MOONWAKE บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 60.9 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 225 ตร.ม.
      – ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 4 ห้องน้ำ / 2 ห้องพักผ่อน / ที่จอดรถ 2 คัน
    • แบบบ้าน INSCAPE บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 64.9 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 275 ตร.ม.
      – ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 5 ห้องน้ำ / 2 ห้องพักผ่อน / ที่จอดรถ 3 คัน / 1 ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำในตัว
    • แบบบ้าน BRIVET บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 73.8 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 330 ตร.ม.
      – ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 5 ห้องน้ำ / 2 ห้องพักผ่อน / ที่จอดรถ 3 คัน / 1 ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำในตัว
    • แบบบ้าน VESPERTINE บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่ดินมาตรฐาน 94.5 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 380 ตร.ม.
      – ฟังก์ชัน 5 ห้องนอน / 6 ห้องน้ำ / 2 ห้องพักผ่อน / ที่จอดรถ 3 คัน / 1 ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำในตัว
    • ราคาเริ่มต้น 9 ล้านบาท
    • ที่ดินเพิ่มลด ราคาตารางวาละ 120,000 บาท
    • ค่าส่วนกลาง 36 บาท/ตร.วา/เดือน
    • ค่าจดจำนอง ผู้ซื้อเป็นผู้ชำระ
    • ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ซื้อแล้วผู้ขายชำระฝ่ายละครึ่ง
    • ค่าประกัน มิเตอร์ไฟฟ้า ประปา ผู้ซื้อเป็นผู้ชำระ

    **ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ

    บทสรุป

    ทำเลและความสะดวกในการเดินทาง : ทำเลของโครงการ The City รามอินทรา 2 อยู่ในซอยจตุโชติช่วงต้น ซึ่งอยู่ติดกับถนนเลียบวงแหวนรอบนอก (3901)โดยจะขนานไปกับทางด่วนกาญจนาภิเษก หรือถนนรามอินทรา-วงแหวนรอบนอกตะวันออก บรรยากาศของถนนเส้นนี้ค่อนข้างเงียบสงบ เต็มไปด้วยธรรมชาติ มีที่ดินเปล่าเหลืออยู่เยอะ รวมถึงพบโครงการแนวราบอยู่หลายแห่งแต่จะไม่มีรถประจำทางผ่านเลยค่ะ แท็กซี่ผ่านมาบ้างนานๆที หากต้องการใช้บริการรถสาธารณะอาจจะนั่งรถส่วนตัวไปยังโซนถนนคู้บอนหรือรามอินทราแทน ดังนั้นการเดินทางจะเน้นการใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นหลักจะสะดวกมากที่สุด หรือใช้วิธีการเรียกรถสาธารณะผ่านแอพลิเคชันได้ค่ะ

    สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ร้านค้าสะดวกซื้อ ร้านอาหาร รวมถึงสถานที่สำคัญต่างๆในทำเลที่ตั้งของโครงการ จะค่อนข้างหายากหน่อยค่ะ เนื่องจากไม่ใช่แหล่งชุมชมหนาแน่น แต่ที่นี่จะเน้นบรรยากาศที่สงบ ไม่วุ่นวาย เหมาะสำหรับคนที่ชอบการอยู่อาศัยแบบเป็นส่วนตัว หากต้องการไปจับจ่ายซื้อของสามารถเดินทางไปยังตลาดสี่แยกพระพรหมคลองสอง ซึ่งห่างออกไปประมาณ 2.8 กิโลเมตรได้ หรือจะแวะที่ตลาดสายเนตร กม.8 บริเวณแยกคู้บอนก่อนเข้ามายังโครงการก็ได้เช่นกันค่ะ ส่วนร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ตามรายทางถนนเลียบวงแหวนก็พอมีอยู่บ้าง แต่ไม่ใกล้โครงการซะทีเดียว ต้องขับรถออกไปสักระยะหนึ่ง

    ส่วนความสะดวกสบายในการใช้ถนนเส้นนี้ก็ค่อนข้างโอเคค่ะ แม้จะอยู่ไกลออกมาเสียหน่อย แต่ก็เป็นถนนฝั่งที่สามารถเดินทางไปถึงศูนย์การค้า Fashion Island และ The Promenade ได้อย่างไม่ยาก เนื่องจากเป็นถนน 2 เลน สามารถวิ่งเข้าออกได้สองทิศทางในเส้นทางเดียว (แต่อาจต้องระมัดระวังหน่อยนะคะ เนื่องจากเป็นถนน 2 เลน จึงมีพื้นที่แคบ เวลารถสวนกันต้องดูให้ดีๆค่ะ) หากออกจากโครงการมาก็แค่เลี้ยวซ้ายแล้ววิ่งยาวอย่างเดียวจะเชื่อมต่อกับถนนรามอินทราได้เลย นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อถนนเส้นอื่นๆได้อีกหลายสาย ทั้งคู้บอน พระยาสุเรนทร์ ปัญญาอินทรา ช่วงเวลาเร่งรีบอย่างช่วงเช้าและช่วงค่ำอาจมีติดขัดบางที่บริเวณถนนคู้บอนและรามอินทรา เพราะเป็นเส้นทางหลักของย่านนี้ มีหมู่บ้านอยู่เยอะด้วย จึงต้องกะเวลาในการเดินทางให้ดีค่ะ แต่ถ้าจะให้เซฟเวลาอีกทางเลือกหนึ่งคือใช้ทางด่วนวิ่งเข้าเมืองได้เลย โดยตัวโครงการอยู่ใกล้กับทางด่วนด่านจตุโชติ เพียง 2.5 กิโลเมตรเท่านั้นค่ะ แต่อาจจะต้องขับรถข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระยะที่ไกลจนเกินไป นับว่าเป็นข้อดีของทำเลโครงการค่ะ

    เปรียบเทียบกับโครงการที่อยู่บนถนนเลียบวงแหวนเช่นเดียวกัน แต่เป็นฝั่งตรงข้าม (3902) ถนนเส้นนั้นจะแยกออกไปจากถนนคู้บอน บริเวณหน้าวัดคู้บอน วิ่งขนานไปกับถนนรามอินทรา-วงแหวนรอบนอกตะวันออกในทิศทางเดียวกันเลยค่ะ ซึ่งพบโครงการบ้านอยู่เยอะกว่า ส่วนใหญ่เป็นโครงการใหม่ที่ยังเปิดขาย ตัวทำเลถนนฝั่ง 3902 จะมีบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับฝั่ง 3901 เลยค่ะ มีที่ดินว่างเปล่าอยู่หลายแปลง แต่ผู้คนจะค่อนข้างพลุกพล่านมากกว่า เนื่องจากมีหมู่บ้านและชุมชนหลายแห่ง ดังนั้นเราจะพบร้านค้า ร้านสะดวกซื้อถี่กว่าอีกฝั่ง นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อเข้าไปยังถนนคู้บอนช่วงต้นที่เป็นแหล่งชุมชนได้สะดวก แต่ในช่วง Peak Time อาจจะต้องเจอกับปัญหารถติดบริเวณแยกเข้าสู่ถนนคู้บอน ติดยาวไปบนถนนเลียบวงแหวน 3902 ในบางช่วง เพราะคนที่อาศัยในหมู่บ้านแถวนี้ก็ต้องพึ่งพารถยนต์กันส่วนตัวแทบจะทุกรายอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติที่จะทำให้การจราจรติดขัดอยู่บ้างค่ะ แต่สำหรับฝั่ง 3901 ถ้าจะเชื่อมต่อถนนรามอินทราโดยตรงจะสามารถวิ่งยาวไปได้เลยโดยไม่ต้องเข้าถนนคู้บอน ส่วนทางด่วนด่านจตุโชติ ถนน 2 ฝั่งทั้ง 3901 และ 3902 สามารถเชื่อมต่อได้ในระยะที่ใกล้เคียงกันค่ะ

    ความปลอดภัยในโครงการและตัวบ้าน : The City รามอินทรา 2 มีความปลอดภัยเป็นไปตามมาตรฐานค่ะ เริ่มต้นจากทางเข้าโครงการจะเจอกันป้อม รปภ.ก่อนเป็นอันดับแรก จุดนี้จะเป็นจุดสแกนเข้าออกทั้งลูกบ้านและ Visitor ก่อนเข้าสู่โครงการ หากเป็นลูกบ้านจะสามารถเข้าออกผ่าน Keycard Access ได้เลย แต่ถ้าเป็น Visitor ต้องแลกบัตรก่อนเข้าโครงการ โดยจะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยช่วยอำนวยความสะดวกให้ค่ะ นอกจากนี้ก็จะมีกล้อง CCTV ติดไว้ที่ทางเข้าออก รวมถึงจุดต่างๆทั่วทั้งโครงการเลยค่ะ พร้อมเจ้าหน้าที่อยู่เวรยามประจำจุดตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกบ้านได้ว่าจะได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ไม่เพียงเท่านี้โครงการ The City รามอินทรา 2 ยังได้ใช้ระบบ KATSAN หรือที่เรียกว่าผู้คุ้มกันส่วนตัวอัจฉริยะ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยจะคอยดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ลูกบ้านผ่านฟังก์ชันการใช้งานของแอปพลิเคชัน KATSAN ลูกบ้านสามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวกค่ะ

    นอกจากนี้ บ้านทุกหลังจะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ทางโครงการเค้าได้ติดตั้งมาให้ด้วยค่ะ นั่นก็คืออุปกรณ์สัญญาณกันขโมย Magnetic & Shock Sensor โดยจะติดไว้ให้ที่กรอบบานประตูหน้าต่างภายในบ้านทั้งชั้นบนและชั้นล่างค่ะ หากบ้านถูกงัดแงะจากภายนอกมา เครื่องนี้ก็จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนนั่นเองค่ะ

    การออกแบบโครงการและพื้นที่ใช้สอย : โครงการ The City รามอินทรา 2 เน้นการออกแบบบ้านสไตล์โมเดิร์น ทันสมัย ตกแต่งน้อย เรียบง่ายแต่ขณะเดียวกันก็ยังให้ความหรูหราได้ดี จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน ต้องการขยายครอบครัว ซึ่งมีคนหลายวัยอยู่รวมกันไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุก็สามารถอยู่อาศัยได้ เห็นได้จากโครงสร้างเป็นหลังใหญ่ มีฟังก์ชันการใช้งานเป็นห้องต่างๆหลากหลาย อย่างน้อยจะเริ่มต้นที่ 4 ห้องนอน โดยจะมีห้องนอนชั้นล่างเสมอ แสดงให้เห็นว่าทางโครงการได้ให้ความสำคัญในการอยู่อาศัยของคนทุก  Generation ได้ออกแบบพื้นที่ใช้งานที่คำนึงกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย

    พื้นที่ใช้สอยในบ้านค่อนข้างกว้าง บ้านไซส์เล็กสุดเริ่มต้นที่ 190 ตารางเมตรเลยทีเดียว หากเปรียบเทียบกับโครงการบ้านเดี่ยวที่อยู่ใกล้เคียงกัน บ้านไซส์เล็กสุดจะมีพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นน้อยกว่า โดยอยู่ที่ราว 160-180 ตารางเมตร ถ้าบ้านครอบครัวไหนมีสมาชิกมากกว่า 4 คนขึ้นไป The City รามอินทรา 2 ก็ยังมีแบบบ้านที่รองรับการอยู่อาศัยได้ 5-6 คนเลยทีเดียว พื้นที่ใช้สอยของแบบบ้านใหญ่สุด ตามมาตรฐานจะอยู่ที่ 380 ตารางเมตร พร้อมห้องแม่บ้านที่ให้มาด้วยครบเลยค่ะ ส่วนด้านดีไซน์ก็มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด บางโครงการจะเน้นการออกแบบสไตล์ยุโรป หรูหรา ใหญ่โต ตกแต่งเยอะๆ บางโครงการจะเป็นแนวโมเดิร์นเหมือนกัน แต่จะเพิ่มเติมการตกแต่งให้ดูโฉบเฉี่ยวและทันสมัยมากขึ้น ซึ่งก็แล้วแต่คนชอบ แต่สำหรับ The City รามอินทรา 2 เรามองว่าการออกแบบเป็นแนวโมเดิร์นที่กำลังพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป กลุ่มคนที่ชอบก็ไม่เชิงเป็นวัยรุ่นซะทีเดียวแต่น่าจะโดนใจกลุ่มคนทำงานวัย 30 ขึ้นไปด้วยเช่นกันค่ะ

    วัสดุ : วัสดุที่ใช้เป็นไปตามมาตรฐานของโครงการค่ะ ซึ่งโดยรวมก็ไม่หนีไปจาก The City โครงการอื่นๆสักเท่าไร วัสดุแบรนด์เค้าเลือกดีมาให้อยู่แล้ว มีความแข็งแรง ทนทาน ยิ่งเป็นบ้านไซส์ใหญ่ ราคาสูงขึ้น ก็จะมีการปรับเปลี่ยนวัสดุ อุปกรณ์ภายในบ้านที่มีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย เช่น โถสุขภัณฑ์ในห้องน้ำของ Master Bedroom ก็จะมีการปรับเปลี่ยนรุ่นที่ดีขึ้น และใหม่ขึ้นให้ เป็นต้น สำหรับโครงสร้างบ้านเป็นอิฐมวลเบา ฉาบปูนเรียบ ให้ความแข็งแรง วัสดุส่วนอื่นๆก็ค่อนข้างสมราคาและคุ้มค่า เรื่องของวัสดุเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลต่อระดับราคาบ้าน แต่หลักๆแล้วน่าจะอยู่ที่เรื่องของดีไซน์ ขนาดพื้นที่ใช้สอยและพื้นที่ดินค่ะ

    พื้นที่สีเขียวและสภาพโครงการ : พื้นที่สีเขียวภายในโครงการ The City รามอินทรา 2 ถือว่าให้มากว้างค่ะ เริ่มต้นตั้งแต่บริเวณคลับเฮาส์จะมีสวนอยู่ด้านข้าง ไล่ระดับจากเนินลงไปแผ่เป็นสนามหญ้าใหญ่ ท่ามกลางต้นไม้ที่โครงการได้เอามาปลูกให้หลายจุดเลยค่ะ คาดว่าอีก 1-2 ปี ก็คงให้ร่มเงา สูงใหญ่ และเย็นสบายมากขึ้น นอกจากนี้พื้นที่สวนตรงบริเวณคลับเฮาส์ยังมีลานวิ่งเล็กๆและซุ้มทำกิจกรรม Outdoor ด้วย ลูกบ้านสามารถมาใช้งานพื้นที่สวนจุดนี้ได้ โดยเฉพาะช่วงเวลาเช้าหรือเย็น บรรยากาศจะร่มรื่น ไม่ร้อนจนเกินไปค่ะ นอกจากนี้ยังมีสวนอยู่ที่ท้ายโครงการด้วยเป็นพื้นที่สวนเล็กๆ ตามบ้านแต่ละหลังก็จะมีการปลูกต้นไม้ใหญ่และปูหญ้าไว้ให้ลูกบ้านค่ะ

    สาธารณูปโภค : พื้นที่ส่วนกลาง ระบบสาธารณูปโภคภายในโครงการถือว่าให้มาครบครัน และเพียงพอต่อจำนวนลูกบ้านค่ะ สัดส่วนพื้นที่ส่วนกลางต่อพื้นที่จัดสรรอยู่ที่ประมาณ 5.5% ก็ถือว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามข้อกำหนดของโครงการบ้านจัดสรร ส่วนพื้นที่ใช้งาน ห้องในคลับเฮาส์ รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆที่จัดเตรียมไว้ให้ลูกบ้าน โดยรวมออกแบบมาดี ของมีคุณภาพ ไม่พังง่าย ดูน่าใช้งานค่ะ

    Judgement

    เนื่องจากยังขาดข้อมูลราคาของบ้านแต่ละแบบ จึงยังไม่สามารถให้คะแนนได้ ถ้าได้ราคามาแล้วจะ update ให้อีกทีนะคะ

    BOTTOM LINE

    The City รามอินทรา 2 เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดกลาง-ใหญ่ สมาชิก 4-5 คนขึ้นไป อยู่ด้วยกันหลาย Generation อยากได้บ้านที่รองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุและเด็กเล็ก  เช่น มีพื้นที่ใช้สอยเยอะ มีห้องนอนชั้นล่าง จอดรถได้ 2-3 คัน ชอบโครงการที่มีพื้นที่ส่วนกลางครบครัน  บรรยากาศเงียบสงบ เป็นส่วนตัว ไม่พลุกพล่าน ไม่แออัด มีพื้นที่สีเขียวเยอะ โดยจะต้องมีงบประมาณ 9-15 ล้านบาท ค่ะ


    ติดตามพวกเราได้ที่
    Website : www.thinkofliving.com
    Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
    YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
    Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
    Facebook : ThinkofLiving