…หากผมพูดชื่อ Ten Thai Development หลายๆคนอาจจะพอคุ้นหูกันอยู่บ้าง ซึ่งไม่ใช่ Developer เจ้าใหม่ แต่มีประสบการณ์ทำคอนโดมากว่า 10 ปี ภายใต้ชื่อแบรนด์ The UNIQUE Condo และ Totnes Condo ที่เป็นที่รู้จักกันดีในย่านลาดพร้าว-รัชดา-เกษตร-นวมินทร์ (สมัยพี่บีมพี่โอ๋เขียนโน่นแหน่ะครับ) โดยปัจจุบันใช้ชื่อบริษัทว่า The One Estate Development

ซึ่งโครงการ BIBURY VILLAGE ศรีนครินทร์ ถือเป็นโปรดักส์แนวราบแห่งแรกของ Developer เจ้านี้ โดยจับกลุ่มตลาดบ้านแพงระดับ Luxury ในย่านศรีนครินทร์ ซึ่งมี Highlight หรือว่าจุดเด่นของโครงการ ที่ทำให้ผมเลือกที่จะมา Walk-in รีวิว และนำข้อมูลมาฝากกันดังนี้

  • ขนาดพื้นที่ใช้สอย : เป็นบ้านสร้างเกือบเต็มที่ดินบ้าน บวกกับความสูงถึง 4 ชั้น จึงทำให้มีขนาดพื้นที่ใช้สอย 501 – 710 ตร.ม. ในพื้นที่ 50 ตร.วา ซึ่งถ้าเทียบกับขนาดที่ดินของบ้าน 2 ชั้นทั่วไปที่ 50 – 70 ตร.วาเหมือนกัน จะได้พื้นที่ใช้สอยประมาณ 200 – 300 ตร.ม. จึงถือว่าโครงการนี้ให้มาค่อนข้างเยอะทีเดียวครับ
  • แบบบ้าน : บ้านเดี่ยวสูงถึง 4 ชั้น พร้อมดาดฟ้าและสระว่ายน้ำส่วนตัว เน้นพื้นที่ใช้สอยแนวตั้ง และสร้างเต็มพื้นที่ดินบ้าน ซึ่งต่างจากโครงการอื่นในละแวกเดียวกัน
  • ทำเล : ใกล้สวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่าง สวนวนธรรม และสวนหลวง ร.9 และยังอยู่ใกล้กับห้าง Paradise Park อีกด้วย ถือว่ามีความอุดมสมบูรณ์และเป็นทำเลเฉพาะตัวมากๆ
  • ความเป็นส่วนตัว : ทั้งขนาดโครงการที่มีเพื่อนบ้านเพียง 18 ยูนิตเท่านั้น และในเรื่องการออกแบบช่องเปิดของผนังบ้าน ไม่ให้ปะทะกับเพื่อนบ้านโดยตรงครับ

ข้อมูลโครงการ

29 July 2020

  • Bibury Village Srinakarin  (ไบบิวรี่ วิลเลจ ศรีนครินทร์)
  • บริษัท เดอะ วัน เอสเตท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด
  • LUXURY – SUPER LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment บ้านปี 2020 ได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ : ซ. 7 แยก 4 ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 เขต ประเวศ
  • เนื้อที่โครงการ 3-3-74 ไร่ จำนวน 18 ยูนิต
  • Type A : Sapphire บ้านเดี่ยว 4 ชั้น (ไม่รวมดาดฟ้า) ที่ดิน 50-51.3 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 501 ตร.ม.
    – ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 6 ห้องน้ำ / 3 ที่จอดรถ
  • Type B : MoonStone บ้านเดี่ยว 4 ชั้น (ไม่รวมดาดฟ้า) ที่ดิน 51.7-56.8 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 601 ตร.ม.
    – ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 6 ห้องน้ำ / 4 ที่จอดรถ
  • Type C : Larimar บ้านเดี่ยว 4 ชั้น (ไม่รวมดาดฟ้า) ที่ดิน 65.7-69.5 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 710 ตร.ม.
    – ฟังก์ชัน 5 ห้องนอน / 7 ห้องน้ำ / 4 ที่จอดรถ
  • ราคาเริ่มต้น 34 – 50.9 ล้านบาท
  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้า 4 เมตร
  • ที่ดินเพิ่มลดตารางวาละ 120,000 – 150,000 บาท
  • เว็บไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • โทร  : 099-403-4444 , 061-696-4414

ทำเลที่ตั้ง

พิกัด Google Maps : 13.683460, 100.653560
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

แผนที่ภาพรวมของทำเลนี้จากทางโครงการครับ จะเห็นว่านอกจากถนนเส้นหลักทั้ง 4 อย่าง ถนนศรีนครินทร์ ถนนอุดมสุข ถนนอ่อนนุช และถนนกาญจนาภิเษกแล้ว อนาคตก็จะมีรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-บางกะปิ-สำโรง) ให้ใช้อีกด้วยครับ ส่วนความอุดมสมบูรณ์ก็มีห้างสรรพสินค้าและสวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่าง Paradise Park และสวนหลวง ร.9 ถือเป็นทำเลเฉพาะที่มีทุกอย่างค่อนข้างครบทีเดียว

ลองซูมเข้ามาดูใกล้ๆโครงการกันบ้างครับ ทำเลของ Bibury Village Srinakarin ตั้งอยู่ในถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 7 แยก 4 ที่สามารถเข้าได้ 2 ทาง ซึ่งโดยปกติแล้วคนในพื้นที่ก็มักจะใช้เป็นทางลัดจากศรีนครินทร์ เพื่อมาข้ามแยกศรีอุดมจากถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ไปยังถนนสุขุมวิท เพราะมีสะพานข้ามแยกได้เลย ไม่ต้องเสียเวลารถติดบนถนนใหญ่นานๆ และนอกจากนี้ก็ยังมีรายละเอียดอื่นๆที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

  1. หากเข้าจากทางถนนเฉลิมพระเกียรติ จะมีระยะทางจากปากซอยประมาณ 950 m. โดยที่หน้าปากซอยจะมี Tops ตั้งอยู่อีกด้วย
  2. หากเข้ามาจากถนนศรีนครินทร์ หรือมาจากห้าง Paradise จะมีระยะทางประมาณ 1.4 km. แถมระหว่างทางยังมีโรงเรียนนานาชาติตั้งอยู่อีกด้วย (รับ-ส่งลูกไปเรียน และเดินชอปปิ้งรอที่ห้างได้เลย) คิดว่าหากเราอยู่ที่นี่ก็อาจได้ใช้เส้นทางนี้บ่อยๆ ใช้วิธีวิ่งลัดเลาะในซอยเอา ไม่ต้องเสียเวลาไปอ้อมไกลๆหรือรถติดที่ถนนใหญ่เลยครับ
  3. สวนสาธารณะที่ใกล้โครงการที่สุดคือ สวนวนธรรม ห่างจากโครงการประมาณ 250 m. สามารถเดินมาใช้งานก็ยังได้
  4. สวนหลวง ร.9 อยู่ห่างจากโครงการเพียง 500 m. เหมาะกับคนที่ต้องการบ้านใกล้สวน ชอบธรรมชาติ ไปได้ทุกวันไม่มีเบื่อ และนอกจากนี้ถ้าผมจำไม่ผิด วันเสาร์-อาทิตย์ จะมีตลาดนัด/ตลาดสด มาตั้งขายกันตั้งแต่เช้ามืดอีกด้วยนะ ใครสนใจก็แวะมาจับจ่ายใช้สอยกันได้ครับ

ส่วนบรรยากาศของซอยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 7 แยก 4 จะเป็นถนน 2 เลนที่รถขับสวนทางกันได้พอดีครับ ไม่มีทางเท้าให้เดิน และไม่ได้มีรถสาธารณะอย่างวินมอไซค์หรือแท็กซี่ผ่านมาบ่อยนัก ดังนั้นคนในทำเลนี้จึงต้องอาศัยการเดินทางด้วยรถส่วนตัวเป็นหลัก และบรรยากาศบ้านในซอยเหล่านี้ส่วนใหญ่ ก็จะเป็นบ้านแพงๆหลังใหญ่ๆ ที่สร้างเองและอยู่กันมานานแล้ว

และนี่คือบริเวณด้านหน้าโครงการครับ จะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีการล้อมรั้วและกำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้างบ้านตัวอย่างอยู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนตุลาคมนี้

โครงสร้างบ้านใช้เป็นผนังมวลเบา ซึ่งสามารถทุบหรือต่อเติมได้ไม่ยาก ทำให้ตัวบ้านมีความยืดหยุ่นในการปรับฟังก์ชันอยู่อาศัยในอนาคต

บรรยากาศรอบๆโครงการ ด้านซ้ายจะติดกับคลองหนองบอน ฝั่งตรงข้ามเป็นเต็นท์ขายรถ และด้านขวาเป็นบ้านพักอาศัยครับ โดยรวมแล้วบรรยากาศเงียบสงบไม่พลุกพล่าน แต่ก็ไม่ถึงขั้นเปลี่ยว เพราะอย่างที่บอกว่าซอยนี้คนส่วนใหญ่ใช้เป็นทางลัด ดังนั้นจึงมีรถขับผ่านเป็นระยะๆตลอดเวลาครับ

และที่ผมอยากเพิ่มเติมในเรื่องทำเลก็คือ ร้านกาแฟและสวนสาธารณะที่ใกล้โครงการเพียง 250 m. สามารถเดินไปได้เลยครับ แต่ก็อย่างที่บอกว่าซอยนี้ไม่ได้มีทางเท้าให้เดิน ดังนั้นก็สามารถขับรถมาได้เช่นกัน เพราะบริเวณหน้าสวนก็มีที่จอดรถไว้รองรับด้วย (จอดได้ 10 กว่าคันอยู่นะ)

เริ่มที่ร้านกาแฟชื่อว่า One Third Club & Cafe บรรยากาศร้านเหมาะกับคนชอบความเป็นธรรมชาติ และส่วนตัวผมก็ชอบฟังก์ชันของร้าน เพราะมีมุมให้นั่งทำงานจริงจังได้ด้วย ส่วนรสชาติกาแฟก็อร่อยมากๆครับ แนะนำ Apple pie latte iced ที่หอมชินนามอนและน้ำผลไม้มากๆ

ที่ผมพูดถึงร้านนี้เพราะ…สมมุติว่าเราอาศัยอยู่ที่โครงการ Bibury ซึ่งบางทีอาจไม่สะดวกที่จะพาคนภายนอกเข้าบ้านใช่มั๊ยครับ ดังนั้นเราก็สามารถใช้สถานที่แห่งนี้ในการนัดพบ รับรองแขก คุยงานหรือธุระต่างๆ และพาลูกๆมานั่งเรียนพิเศษได้นั่นเอง ซึ่งค่อนข้างสะดวกและทำให้บ้านพักอาศัยไม่เสียความเป็นส่วนตัวอีกด้วยครับ

ติดๆกับร้านกาแฟจะเป็นสวนวนธรรม ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ (ประมาณ 43 ไร่) สามารถเข้าไปใช้งานได้ฟรีครับ เปิดให้บริการตั้งแต่เช้ามืดถึงหัวค่ำเลย จะมาวิ่งออกกำลังกายหรือนั่งพักผ่อนริมน้ำชิลๆได้

และถ้าใครเดินมาบริเวณศาลาริมน้ำ ก็อาจจะได้เจอกับ “น้อนนนนน~~เป็ด” น่ารักๆฝูงหนึ่ง ซึ่งเป็นเป็ดรับแขกนะครับ ผมเดินเล่นอยู่ดีๆก็เดินเข้ามาทักทาย ส่ายก้นให้ดูกันด้วย ฮ่าๆๆ

และเนื่องจากบ้านตัวอย่างของโครงการยังไม่แล้วเสร็จดี ดังนั้นเราจึงจะเดินทางไปยัง Sale Gallery ที่ตั้งอยู่ในซอยเสรีวิลล่า 3 ด้านหลังห้าง Paradise นี่เองครับ ซึ่งระหว่างทางก็จะทำให้เราได้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ และความสะดวกในการเดินทางของทำเลไปด้วยในตัวนะ

Sale Gallery ปัจจุบันมาเช่าพื้นที่ของ Daily Lane ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้มอลล์เล็กๆ อยู่ตรงหัวมุมของซอยเสรีวิลล่า 3 พอดีเลยครับ สามารถไปจอดรถด้านหลังได้เลยนะ โดยแถวนี้ก็จะมีร้านค้าร้านอาหารค่อนข้างอุดมสมบูรณ์เลยทีเดียว สามารถแวะซื้อของหรือทานข้าวก่อนกลับบ้านได้เลย

ส่วนภายใน Sale Gallery จะมีโมเดลโครงการ และแบบบ้านทั้ง 3 Type ให้ได้ชมกันครับ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจและเห็นภาพ/รายละเอียดได้มากขึ้น พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่คอยอธิบายและให้ข้อมูลอยู่ตลอดเวลาเลย ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันต่อเลยครับ

รายละเอียดโครงการ

Bibury Village ศรีนครินทร์ เป็นโครงการบ้านเดี่ยวจัดสรรขนาดเล็ก ที่มียูนิตเพียง 18 หลังเท่านั้น และมีการล้อมรั้วมิดชิด เพื่อความปลอดภัยและเป็นส่วนตัว จัดซุ้มประตูและป้อม รปภ. อยู่ทางด้านหน้าคอยดูแลตลอด 24 ชม. และยังมีส่วนกลางให้ใช้งานกันอีกด้วย ซึ่งค่าส่วนกลางก็จะอยู่ที่ 120 บาท/ตร.วา ครับ

และด้วยความสูง+การสร้างบ้านเกือบเต็มพื้นที่แบบนี้ ทำให้ผนังบ้านแต่ละหลังจะมีระยะห่างจากกันไม่มากนัก จนดูเผินๆแล้วบางคนอาจคิดว่าเป็นทาวน์โฮมหรือป่าว? …แต่จริงๆแล้วก็คือบ้านเดี่ยวเนี่ยแหละครับ ซึ่งเค้ามีการออกแบบผนังและช่องแสงด้านข้างให้ทึบและเป็นส่วนตัว ทำให้สามารถเว้นระยะ set back ด้านข้างจากปกติ 2 m. (ตามกฎหมาย) เหลือเพียง 1 m. ได้นั่นเอง

Master Plan ทางเข้าและส่วนกลางจะอยู่แยกกันคนละฝั่งของโครงการ ดังนั้นเวลามาใช้งาน Clubhouse ที่อยู่ด้านในจึงค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากๆ และทางโครงการยังแจ้งว่า Clubhouse ของจริงจะมีเพียงอาคารเดียวเท่านั้นนะครับ โดยจะปรับเปลี่ยนอีกอาคารเป็นพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้นแทน (โมเดลและผังโครงการ รอการอัพเดทอีกทีในอนาคต)

และจากผังจะเห็นการวางแปลงบ้าน ที่คละแบบกันออกไปในแต่ละโซน มีผลทำให้บ้านแต่ละหลังจะไม่เผชิญหน้ากับบ้านฝั่งตรงข้ามโดยตรงแบบแปะๆ (โดยมีถนนกว้าง 9 m. คั่นกลางไว้อยู่) ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้ในระดับหนึ่ง รวมถึงบ้านทุกหลังยังหันไปทางทิศเหนือ-ใต้ ซึ่งจะค่อนข้างรับลมได้ดี และแดดก็ไม่ส่องเข้าบ้านโดยตรง ทำให้บ้านไม่ร้อนอีกด้วยครับ

สำหรับโปรดักส์บ้านแพงที่ผมเคยเขียนรีวิวมา ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่มักจะมีรถส่วนตัวใช้กันหลายคัน จึงให้ความสำคัญกับจำนวนที่จอดรถค่อนข้างมาก แต่ ณ วันที่ผมเข้ามาชมโครงการในวันนี้ บ้านไซส์เล็กสุดซึ่งจอดรถได้ 3 คัน กลับขายได้ดีกว่า ซึ่งตอนนี้เหลือเพียง 2 หลังจาก 5 หลังเท่านั้น หากใครสนใจบ้าน Type นี้ก็อาจลองพิจารณาดูได้ครับ ส่วนหลังอื่นๆทั้งหมดจะจอดรถได้ 4 คันหมดเลย

สำหรับภาพบรรยากาศตัวอย่างจากทางโครงการ สามารถคลิกชมได้ที่ Sale Gallery ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

Image 1/8

แบบบ้าน

เนื่องจาก ณ วันที่ผมเข้ามาชมโครงการ บ้านตัวอย่างยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จดี (จะเสร็จประมาณเดือนตุลาคม) ดังนั้นรีวิวนี้เราจะมาเจาะลึกกันในเรื่องฟังก์ชันบ้าน จากแปลนของบ้านทั้ง 3 แบบกันนะครับ ซึ่งประกอบด้วย

Image 1/3
Type A : Sapphire บ้านเดี่ยว 4 ชั้น (ไม่รวมดาดฟ้า) ที่ดิน 50-51.3 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 501 ตร.ม. ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 6 ห้องน้ำ / 3 ที่จอดรถ

Type A : Sapphire บ้านเดี่ยว 4 ชั้น (ไม่รวมดาดฟ้า) ที่ดิน 50-51.3 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 501 ตร.ม. ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 6 ห้องน้ำ / 3 ที่จอดรถ

โดย Highlight ของโปรดักส์บ้านจะมีดังต่อไปนี้

  1. เป็นบ้านสร้างเกือบเต็มพื้นที่ ไม่ได้เน้นพื้นที่สวนรอบบ้าน
  2. มีขนาดพื้นที่ใช้สอยภายในที่เยอะ (พื้นที่แนวตั้งสูง 4 ชั้น และดาดฟ้า)
  3. การแบ่งฟังก์ชันของแต่ละโซนค่อนข้างชัดเจน เพื่อความเป็นส่วนตัว
  4. ทางสัญจรในบ้านเยอะ ทั้งบันไดหลัก ลิฟต์โดยสาร และบันไดหนีไฟจริงจัง
  5. การออกแบบผนังทึบและช่องแสงด้านข้าง ให้ความเป็นส่วนตัว

ซึ่งรายละเอียดที่ว่ามาทั้งหมดจะเป็นอย่างไร เราไปชมแปลนของจริงพร้อมๆกันเลยครับ

Type A : Sapphire บ้านเดี่ยว 4 ชั้น (ไม่รวมดาดฟ้า) ที่ดิน 50-51.3 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 501 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 6 ห้องน้ำ / 3 ที่จอดรถ

สำหรับพื้นที่ชั้นแรกจะเห็นว่า บ้านหลังนี้ถูกก่อสร้างเกือบเต็มที่ดินบ้านเลยครับ ซึ่งตามปกติแล้วบ้านเดี่ยวจะต้อง set back จากเขตที่ดินด้านละ 2 m. แต่บ้านหลังนี้ set back เพียง 1 m. เท่านั้น เนื่องจากผนังด้านข้างถูกออกแบบให้เป็นผนังทึบซะส่วนใหญ่ ซึ่งต่างจากบ้านเดี่ยวทั่วไปที่จะมีพื้นที่รอบบ้านให้ปลูกต้นไม้ทำสวนได้มากกว่านี้ แต่ส่วนตัวผมมองว่า บ้านโครงการนี้ออกแบบมา เพื่อตอบสนองคนที่เน้นพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านเป็นหลักมากกว่าครับ (ซึ่งก็ต้องแลกกันไปนะ)

ส่วนฟังก์ชันชั้น 1 ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการอยู่อาศัยหลักสำหรับเจ้าของบ้านครับ เพราะ Common area จริงๆจะอยู่บนชั้น 2 มากกว่า ส่วนชั้นนี้ส่วนตัวผมมองว่าเป็น Foyer ที่เอาไว้นั่งคอย(ตอนจะออก/กลับมาบ้าน) หรือเอาไว้นั่งใส่รองเท้าโดยทำตู้เก็บรองเท้าใหญ่ๆไปเลยก็ได้ หรือบางทีเราอาจไว้รับแขกที่ไม่สนิทชั่วคราวตรงนี้ได้เหมือนกัน (เช่น ลูกน้องแวะมาคุยงาน มีคนมาส่งพัสดุ/เอกสาร เพื่อนบ้านเอากับข้าวมาฝาก เป็นต้น) ส่วนอีกด้านก็จะเป็นครัวและพื้นที่ของแม่บ้านแยกออกไปเป็นสัดส่วนครับ

จุดที่แปลกและส่วนตัวผมก็ยังไม่ค่อยเห็นมีใครทำกันคือ การออกแบบให้บ้านมีบันไดหนีไฟที่แยกออกจากบันไดหลักต่างหากอีกจุดหนึ่ง ซึ่งหลายคนอาจมองว่าค่อนข้างเสียพื้นที่หรือป่าว? เพราะชีวิตจริงเราอาจไม่มีโอกาสได้ใช้ แต่คนที่ใช้อาจเป็นแม่บ้านมากกว่า เพราะเค้าต้องขึ้นไปทำความสะอาดชั้นบนๆ รวมถึงอาจต้องขึ้นไปตากผ้าที่ดาดฟ้าอีกด้วย ซึ่งเราที่เป็นเจ้าของบ้านก็คงไม่อยากให้เค้าต้องเดินผ่าน หรือใช้ทางสัญจรร่วมกับเราให้เสียความเป็นส่วนตัวใช่มั๊ยครับ และอีกเรื่องหนึ่งผมขอยกตัวอย่างให้ฟัง สมมุติว่าอนาคตเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ผมคิดว่าเส้นทางหนีไฟที่ได้มาตรฐานนี้แหละ ที่อาจจะช่วยชีวิตคุณและคนในครอบครัวได้สะดวกและปลอดภัยมากขึ้นนั่นเองครับ

สำหรับชั้น 2 นี้จะเป็นชั้นที่ทุกคนในครอบครัวจะได้มาใช้งานร่วมกันเป็นหลัก ซึ่งการยกฟังก์ชัน Common area และสระว่ายน้ำขึ้นมาอยู่ชั้นบนแบบนี้ เราจะได้ความเป็นส่วนตัวเพิ่มมากขึ้น เพราะคนที่ผ่านไป-มาหน้าบ้านจะมองเข้ามาไม่ได้แน่นอน ถ้าเป็นบ้านฝั่งตรงข้ามก็ยังพอจะมีระยะห่างจากกันอยู่พอสมควร หรือจะทำระแนงและรั้วต้นไม้เพิ่มเติมก็ยังได้ครับ ซึ่งนอกจากจะมีพื้นที่นั่งเล่นแล้ว ยังมีพื้นที่วางโต๊ะทานอาหาร และครัวฝรั่งเล็กๆเอาไว้รองรับอีกด้วย สามารถอุ่นอาหารทานเบาๆด้วยตัวเองได้ครับ

และสำหรับครอบครัวไหนที่มีผู้สูงอายุอาศัยอยู่ด้วย ผมมองว่าบ้านนี้มีลิฟต์เป็นตัวเลือกสัญจรที่ค่อนข้างสะดวกอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไรครับ (ซึ่งขนาดของลิฟต์อาจต้องรอดูของจริงในอนาคต ว่าจะกว้างพอที่จะรองรับรถวีลแชร์ได้หรือป่าวนะครับ) แต่จากข้อมูลที่ได้มาเห็นว่า ลิฟต์ของโครงการนี้จะเป็นลิฟต์กระจก และยังสามารถปรับสีของแสงไฟได้ตามต้องการอีกด้วย ถือว่าเป็น gimmick เล็กๆที่แปลกดีครับ

ชั้น 3 จะเริ่มเป็นห้องนอนเล็กสำหรับลูกๆแล้วครับ ซึ่งแต่ละห้องจะมีห้องน้ำในตัวทั้งหมดเลย สิ่งที่น่าสังเกตคือ การออกแบบช่องแสงเพียงแค่ด้านเดียว เพื่อที่ด้านข้างและหน้าบ้านต้องการปิดเป็นผนังทึบ ป้องกันเรื่องความเป็นส่วนตัวจากบ้านฝั่งตรงข้าม และไม่ให้มีช่องเปิดมาทำให้ต้องเว้นระยะ set back ข้างบ้านตามกฎหมายควบคุมอาคาร ซึ่งเค้าใช้วิธีแก้ไขโดยการ เพิ่ม Void แล้วทำช่องเปิดด้านข้าง ที่ไม่ได้หันไปหาบ้านข้างๆโดยตรงนั่นเองครับ

ชั้น 4 จะเป็นห้อง Master Bedroom และห้องนอนอีกหนึ่งห้อง โดยสิ่งที่สะดุดตาผมอย่างแรกคือ Foyer ตรงกลางบ้าน(หมายเลข 13) ถ้าให้ผมเดาคือ เค้าต้องการกั้นแยกออกจากโถงบันไดเพื่อความเป็นส่วนตัวครับ แต่ลองจินตาการดูแล้วผมว่าพื้นที่ส่วนนี้ค่อนข้างปิดทึบ ไม่มีช่องแสง อาจทำให้ดูอึดอัด และเข้า-ออกห้องได้ลำบากมากขึ้น (ต้องเปิดประตูถึง 2 ชั้น) อาจแก้ได้ด้วยการเอาประตูด้านซ้ายออกไปสักบานก็ได้ครับ

สำหรับชั้นดาดฟ้าจะเข้ามาช่วยทดแทนพื้นที่รอบบ้านที่สูญเสียไป โดยทางโครงการจะมีการปลูกต้นไม้ไว้ให้แบบนี้เลย ซึ่งเราอาจทำศาลาเพิ่มเติมเอาไว้นั่งเล่นชิลๆได้ ซึ่งความสูงขนาดนี้ยังทำให้ชมวิวโดยรอบได้ด้วยครับ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นบ้านแนวราบ 2 ชั้นเท่านั้น รวมถึงจะมีอ่าง Jacuzzi เอาไว้เป็นมาตรฐานให้แบบนี้ด้วยครับ และในความเป็นจริงแล้วช่วงเวลากลางวันก็ยังสามารถใช้งานตากผ้าได้อีกด้วย ซึ่งแม่บ้านก็สามารถใช้บันไดหนีไฟในการสัญจร ขนเสื้อผ้าขึ้น-ลงได้ ไม่รบกวนเจ้าของบ้านเลยครับ

Type B : MoonStone บ้านเดี่ยว 4 ชั้น (ไม่รวมดาดฟ้า) ที่ดิน 51.7-56.8 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 601 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน / 6 ห้องน้ำ / 4 ที่จอดรถ

สิ่งที่เพิ่มเข้ามาสำหรับแบบบ้านหลังนี้คือ จำนวนที่จอดรถเพิ่มขึ้นเป็น 4 คัน ซึ่งทั้งหมดยังคงจอดรถในร่มใต้ชายคา และสามารถเดินเข้าบ้านได้เลย (ไม่ต้องตากแดดตากฝน) และอีกจุดหนึ่งคือ เราจะได้เฉลียงหลังบ้านขนาดใหญ่ เนื่องจากตำแหน่งของบันไดหนีไฟจะถูกขยับออกไปตรงมุมบ้าน จึงทำให้พื้นที่อเนกประสงค์ชั้นล่างนี้มีความโปร่งโล่งและน่าใช้งานมากขึ้น เหมาะที่จะทำเป็นห้องรับรองแขกจริงจังได้มากขึ้น ซึ่งเค้าก็ได้มีการเพิ่มประตูกั้นโถงบันไดและลิฟต์แยกเอาไว้ เพื่อความเป็นส่วนตัวอีกชั้นหนึ่งด้วยครับ

ชั้น 2 ยังคงเป็น Common area เช่นเดิม เพิ่มเติมคือขนาดที่ใหญ่มากขึ้นเยอะเลยทีเดียว รวมถึงมีการปรับตำแหน่งสระว่ายน้ำจากหน้าบ้านมาเป็นด้านข้าง และถูกโอบล้อมด้วยตัวบ้านทรงตัว L ซึ่งนอกจากจะมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นแล้ว ยังทำให้เกิดระเบียงและเฉลียงขนาดใหญ่เชื่อมต่อกับพื้นที่ภายในบ้าน กลายเป็นพื้นที่ที่เหมาะกับจัดปาร์ตี้สังสรรค์ริมสระว่ายน้ำ อากาศถ่ายเทสะดวก และในบ้านก็ดูโปร่งโล่งมากขึ้นอีกด้วยครับ

ชั้น 3 ฟังก์ชันยังคงเป็น 2 ห้องนอนเช่นเดิมครับ เพิ่มเติมคือขนาดของห้องทางขวาที่ค่อนข้างใหญ่ (รองลงมาจาก Master Bedroom เลยทีเดียว) โดยชั้นนี้เราจะเห็นการพยายามออกแบบช่องเปิดด้านข้างของตัวบ้านให้มากขึ้น ซึ่งทำให้บ้านดูโปร่งและระบายอากาศได้ดีกว่าแบบก่อนหน้านี้ รวมถึงมีการทำผนังกั้นบริเวณหน้าประตูห้องนอนเพื่อบังสายตา ทำให้ภายในห้องมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นอีกด้วย (แลกกับขนาดพื้นที่ใช้งานห้องที่ดูเล็กลงไปบ้าง)

ชั้น 4 ขอบอกว่าห้อง Master Bedroom มีขนาดใหญ่มากครับ (กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของชั้นเลยทีเดียว) ถ้าพิจารณาจากพื้นที่การใช้งาน ผมคิดว่าพื้นที่บางจุดยังจัดให้มาน้อยไปหน่อย เช่น บ้านระดับราคานี้กับ Walk in closet อาจต้องมีขนาดที่ใหญ่กว่านี้ เพื่อให้เก็บเสื้อผ้าและเครื่องประดับได้เพียงพอ

หรือใช้วิธีการปรับการวางเฟอร์นิเจอร์ภายใน เช่น วางเตียงชิดผนังแทนการวางกลางห้อง จะประหยัดพื้นที่ใช้สอย และทำโต๊ะเครื่องแป้ง หรือมุมทำงานเพิ่มเติมได้ครับ ส่วนวิธีการขึ้นไปใช้งานดาดฟ้าสำหรับเจ้าของบ้าน จะใช้เป็นบันไดวนแทน ซึ่งก็สวยและเก๋ดีไปอีกแบบ แต่เวลาใช้งานอาจต้องระมัดระวังมากขึ้นหน่อย เพราะขั้นบันไดสามเหลี่ยมจะค่อนข้างเดินได้ลำบากกว่าบันไดปกติครับ

ส่วนชั้นดาดฟ้าก็จะมีขนาดที่ใหญ่มากขึ้นตามขนาดของตัวบ้านครับ สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือ ช่องแสงที่เชื่อมต่อไปยังระเบียงของห้องนอนชั้น 3 และ 4 ได้นั่นเอง

Type C : Larimar บ้านเดี่ยว 4 ชั้น (ไม่รวมดาดฟ้า) ที่ดิน 65.7-69.5 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 710 ตร.ม.
– ฟังก์ชัน 5 ห้องนอน / 7 ห้องน้ำ / 4 ที่จอดรถ

เป็นแบบบ้านขนาดใหญ่ที่สุดของโครงการ แน่นอนว่าฟังก์ชันภายในย่อมมีขนาดใหญ่ขึ้นตามมาด้วยครับ ซึ่งเราสามารถกั้นฟังก์ชันให้เป็นสัดส่วนเพิ่มได้ รวมถึงผมชอบตรงส่วนของแม่บ้านครับ เพราะเค้าสามารถใช้งานได้สะดวกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนที่กว้างขึ้น สามารถเดินเข้าห้องน้ำ และมาทำงานในครัวได้ง่ายๆ โดยยังอยู่ใต้ชายคา ไม่ต้องเดิมอ้อมไปหลังบ้านเหมือนบ้านแบบแรก (เว้นแต่ตอนจะใช้บันไดหนีไฟขึ้นชั้นบน ก็ยังอาจต้องอ้อมไปหลังบ้านอยู่บ้าง)

ชั้น 2 ขนาดของพื้นที่ Common area และสระว่ายน้ำจะมีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิมอีกครับ ภายในสามารถแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนเพิ่มเติมได้อีกเยอะ รวมถึงมีพื้นที่ริมสระเพิ่มขึ้นอีกจุดหนึ่งด้วย เหมาะที่จะจัด Pool party แบบสุดๆ และรองรับแขกได้เยอะมาก หรือเป็นคนที่ชอบพื้นที่บ้านกว้างๆ มี Space เชื่อมต่อทั้งภายในและภายนอกก็ค่อนข้างเหมาะทีเดียว

ชั้น 3 เนื่องจากตัวบ้านมีความกว้างมากขึ้น จึงทำให้มีห้องนอนเล็กเพิ่มขึ้นที่ชั้นนี้ได้อีก 1 ห้อง สิ่งที่แลกมาคือห้องน้ำที่อยู่กลางบ้าน อาจต้องพึ่งพัดลมดูดอากาศแทนการเปิดหน้าต่างโดยตรงครับ ส่วนห้องนอนด้านขวาซึ่งเป็นห้องนอนรองจะมีขนาดใหญ่มาก เหมาะที่จะเป็นห้องลูกคนโตหรือผู้สูงอายุ ภายในมีห้องน้ำและช่องแสงขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยเรื่องความโปร่งโล่งได้ดีขึ้น

ชั้น 4 จะเป็นห้องนอนเล็กและ Master Bedroom เหมือนกับหลังอื่นๆ ที่เพิ่มเติมคือมี Walk in closet มาให้เป็นสัดส่วนทั้ง 2 ห้องเลย และเช่นเคยสำหรับห้อง Master Bedroom จากแปลนตัวอย่างยังคงดูจัดฟังก์ชันไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่นัก อาจจ้างสถาปนิกมาออกแบบอีกสักหน่อยอาจจะดีขึ้นครับ

ส่วนชั้นดาดฟ้าก็เหมือนกับบ้านหลังอื่นๆครับ และอาจมีโซนซิงค์ล้างจานหรือเตาปิ้ง BBQ. เพิ่มขึ้นมาด้วย ซึ่งจะสามารถจัดปาร์ตี้เล็กๆ หรือทานอาหารเปลี่ยนบรรยากาศได้อีกด้วยนะ

สำหรับภาพบรรยากาศตัวอย่างจากทางโครงการ สามารถคลิกชมได้ที่ Sale Gallery ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

Image 1/4

ราคา

เมื่อผมลองสำรวจตลาดบ้านเดี่ยวในย่านนี้ดูแล้ว พบว่าราคาถูกแบ่งตามโซนค่อนข้างชัดเจน ถามว่า…ทำไมโซนที่ 1 ถึงมีราคาที่สูงกว่า 2 – 3 เท่าตัว? นั่นเพราะความอุดมสมบูรณ์ส่วนใหญ่ของทำเลนี้ จะอิงเส้นถนนศรีนครินทร์ทั้งหมดครับ เนื่องจากเป็นถนนเส้นใหญ่ที่เชื่อมต่อถนนสำคัญของกรุงเทพหลายสาย (จากเหนือ-ลงใต้)

มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อย่าง Seacon Square และ Paradise Park รวมถึง 2 ข้างทางยังมีอาคารสำนักงาน โรงแรม และอนาคตก็จะมีรถไฟฟ้าสายสีเหลืองวิ่งผ่านอีกด้วย ซึ่งโครงการในระดับ Segment เดียวกับ Bibury Village ปัจจุบันผมมองว่ามีอยู่แค่ 3 แห่งเท่านั้น ที่เป็นบ้านไซต์ใหญ่ พื้นที่ใช้สอยเยอะ และมีราคาช่วง 30 ล้านบาทขึ้นไปเหมือนกัน

และเพิ่มเติมสำหรับเงื่อนไขของโครงการ Bibury Village เนื่องจากเป็นโครงการเพิ่งเปิดใหม่ และตัวบ้านก็ยังสร้างไม่แล้วเสร็จดี จึงยังไม่สามารถทำธุรกรรมกับธนาคารได้ ซึ่งก็จะต้องมีการผ่อนดาวน์กับโครงการไปก่อนนะครับ โดยการดาวน์ 30% ถือว่าเป็นมูลค่าที่ค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน ดังนั้นคนที่จะซื้อโครงการนี้ก็อาจต้องมีเงินสดอยู่กับตัวพอสมควร ซึ่งเราลองมาคิดกันดูคร่าวๆนะครับ

สมมุติ บ้านราคาเริ่มต้น 34 ล้านบาท ดาวน์ 30% = 10.2 ล้านบาท หากบ้านใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี เราอาจต้องผ่อนดาวน์กับโครงการประมาณ 24 งวด = 425,000 บาท/เดือน (คิดแบบไม่มีบอลลูน)

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ

บทสรุป

เนื่องจากข้อมูลโครงการยังมีไม่มากพอ และยังไม่มีบ้านตัวอย่างของจริงให้ชมกัน ดังนั้นผมจะขอสรุปด้วยข้อมูลเท่าที่มีในปัจจุบันนะครับ โดยแยกเป็นประเด็นสำคัญๆดังนี้

การออกแบบและพื้นที่ใช้สอย :

ถือเป็นจุดเด่นที่สุดที่แตกต่างจากเพื่อนบ้านในย่านเดียวกันมากๆ โดยเฉพาะ “แบบบ้าน” ซึ่งปกติแล้วบ้านเดี่ยวระดับนี้มักจะมีขนาดที่ดินค่อนข้างใหญ่ (เกือบๆ 100 ตร.วา) และมีพื้นที่สวนรอบบ้านค่อนข้างเยอะ แต่สำหรับบ้านโครงการ Bibury จะสร้างบ้านเกือบเต็มพื้นที่ เน้นพื้นที่ใช้สอยภายใน(เยอะที่สุดในย่าน) กับจำนวนชั้นที่มากถึง 4 ชั้นพร้อมดาดฟ้า จึงอาจไม่ได้เหมาะกับคนที่ชอบมีพื้นที่สวนปลูกต้นไม้รอบบ้าน หรือชอบใช้พื้นที่แนวตั้งในการขึ้น-ลงบันไดบ่อยๆนัก แต่ก็มีดาดฟ้าให้ขึ้นไปใช้งานทดแทนกันได้ และถ้าใครที่ชอบวิวสูงๆนี่เหมาะเลยครับ เพราะรอบๆไม่มีอาคารสูงอื่นๆมาบังวิวเลยนะ

ความเป็นส่วนตัว :

โครงการนี้มีจำนวนเพื่อนบ้านเพียง 18 ยูนิต ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดในย่าน ณ ตอนนี้แล้วครับ ส่วนตัวบ้านเองก็พยายามออกแบบโดยใช้ผนังทึบ หลีกเลี่ยงการเปิดช่องหน้าต่างที่อาจปะทะกับเพื่อนบ้านโดยตรง ส่วนนี้ผมคิดว่าเค้าทำได้ค่อนข้างโอเค (แต่เรื่อง Space ภายใน จะโปร่งโล่งแค่ไหนต้องรอดูของจริงอีกที) สุดท้ายคือการแบ่งโซนฟังก์ชันบ้าน ผมว่าเค้าทำได้ดีครับ ทั้งการยกพื้นที่อยู่อาศัยของเจ้าของบ้านมาอยู่บนชั้น 2 และการแยกโซนใช้งานของแม่บ้านออกไปเป็นสัดส่วน เป็นต้น

บันไดหนีไฟในบ้าน :

เรื่องนี้เป็นไปตามข้อกำหนดกฎหมายควบคุมอาคาร บ้านที่มีความสูงตั้งแต่ 4 ชั้นขึ้นไป จะต้องมีบันไดหนีไฟเพื่อความปลอดภัยครับ ซึ่งหลายๆโครงการที่ผมเคยเจอก็มักจะใช้บันไดลิงกันซะมากกว่า แต่สำหรับโครงการนี้จัดมาให้เป็นบันไดจริงจังตามมาตรฐาน อย่างที่ผมยกตัวอย่างให้ฟังครับว่าจะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ บางคนมองว่าอาจเสียพื้นที่ บางคนมองว่าให้แม่บ้านใช้สัญจรทำงานแยกไปก็ดี หรือบางคนก็มองเผื่ออนาคตเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันจริงๆ ซึ่งจะให้เด็กเล็กๆหรือผู้สูงอายุปีนบันไดลิงก็คงจะไม่ไหว สุดท้ายขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนนะครับ ว่าคุณจะให้ความสำคัญกับเรื่องไหนมากกว่ากัน

ทำเล :

ส่วนตัวผมชอบเรื่องนี้นะ เพราะนอกจากจะเข้า-ออกถนนหลักได้ 2 ทางแล้ว ยังสามารถลัดเลาะไปยังห้าง Paradise Park และสวนหลวง ร.9 จากด้านหลังได้ โดยไม่ต้องไปรถติดที่ถนนใหญ่ด้านนอกอีกด้วย รวมถึงยังมีอีกสวนวนธรรมที่อยู่ใกล้ในระยะเดินถึง เรียกได้ว่าเป็นทำเลเฉพาะที่เอาใจคนรักธรรมชาติ ชอบเดินเล่นหรือออกกำลังกายในสวนใหญ่ๆแบบสุดๆ แต่ยังอยู่ใกล้ความอุดมสมบูรณ์และเข้าเมืองไม่ยากครับ


…สำหรับคนที่สนใจโครงการก็สามารถเข้าไปชม และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกันที่ Sale Gallery ของโครงการได้ครับ หรือหากใครอยากจะรอชมบ้านตัวอย่างก่อนก็ได้นะ (ประมาณเดือนตุลาคมนี้) ซึ่งผมมองว่าการได้เห็น Space และวัสดุของจริงก่อนถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญ เพราะตัวบ้านก็เป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง จะได้ช่วยประกอบการตัดสินใจได้มากขึ้นครับ

และสำหรับรายละเอียดโครงการ BIBURY VILLAGE ศรีนครินทร์ ถ้าทีมงาน Thinkofliving ได้มีข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้ หรือได้เข้าไปทำรีวิวฉบับเต็ม ทางเราจะรีบมาอัพเดทให้ รอติดตามอ่านกันนะครับ 😀


ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving