1

อยู่สบายในแนวราบตอน – บ้าน คุณค่าที่ต้องใคร่ครวญ (ย้อนไปอ่านตอนเก่าๆได้ที่นี่นะคะ)

สวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณผู้อ่านที่รัก ไปเที่ยวไหนกันมาบ้างเอ่ย คุณนายใช้เวลาช่วงวันหยุดเดินเข้าร้านหนังสือ ก็พบว่า ยุคนี้เรื่องของการลงทุนเป็นเรื่องที่มาแรงจริงๆ นะคะคุณผู้อ่าน หนังสือเกี่ยวกับการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้นเอย ทอง กองทุน อสังหาริมทรัพย์…และอื่นๆ วางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ขนาดเวปบอร์ดของ ThinkofLiving ยังเห็นมีคนมาถามเกี่ยวกับการลงทุนในบ้านและคอนโดอยู่ไม่ใช่น้อย วันนี้คุณนายเลยอยากจะยกเอาเรื่องการลงทุนในบ้านที่อยู่อาศัยขึ้นมาคุยกันซักหน่อยค่ะ 🙂


การซื้อบ้านที่อยู่อาศัยนี่เป็นการลงทุนที่แปลกอย่างนึงนะคะ มันเป็นการลงทุนที่ใช้อารมณ์ร่วมในการตัดสินใจมากเป็นพิเศษ เพราะว่ามันเป็นทรัพย์สินที่จับต้องได้ แถมถึงขนาดเข้าไปอยู่อาศัยได้อีกต่างหาก ผิดกับการลงทุนอื่น อาทิเช่น หุ้น คุณก็เห็นตัวเลขมันขึ้นๆ ลงๆ เขียวๆ แดงๆ แต่เข้าไปจับต้องสัมผัส แสดงอาการเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอะไรไม่ได้ มันเป็นเพียงความเป็นเจ้าของในจินตภาพ การใช้อารมณ์ความรู้สึกร่วมในการตัดสินใจจึงมีน้อยกว่า

สำหรับตัวคุณนายเอง เวลาเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ถึงแม้จะเป็นการลงทุนเพื่อให้เช่าก็ตาม ถ้ามีความรู้สึกว่าไม่ได้ชอบ ก็จะไม่ซื้อ แม้ว่าคำนวณแล้วผลตอบแทนในการลงทุนจะดูโอเคดีก็ตาม ผิดกับการลงทุนชนิดอื่น ซึ่งเรื่องของความรู้สึกไม่ใช่ประเด็น ก็คุณนายไม่ศิลปินขนาดจะมานั่งคิดว่า เรามีความรู้สึกอย่างไรกับ กองทุนรวมตราสารหนี้คุ้มค่ากว่าใครเพื่อน หรือประกันชีวิตซุปเปอร์ชัวร์ เซฟวิ่ง อเมซิ่ง อลังการ (มีปันผล) หรืออะไรอื่นๆ ที่ชื่อยาวพอๆ กัน ฟังแล้วชวนเวียนหัว เอาเป็นว่า พี่ช่วยสรุปมาเลยว่ารีเทิร์นเป็นตัวเลขเท่าไหร่ ตัวไหนรีเทิร์นดี ตอบจุดประสงค์ในการซื้อของเราก็เอาตัวนั้น

ทีนี้ ไอ้เรื่องความรู้สึกนี่แหละค่ะ ที่บางทีก็จะเข้ามาพัวพัน เป็นกับดักสำคัญในการลงทุนในที่อยู่อาศัย เช่นบางทีเราไปเจอบ้าน คอนโด บ้านตากอากาศ สวย ทำเลถูกใจม้ากกกก…..…มันถูกใจ มันอยากได้ แล้วเราก็เลยเริ่มหาเหตุผลร้อยแปดพันประการ เพื่อที่จะมาซัพพอร์ตการซื้อบ้านหลังนี้ให้ได้ แน่นอน เหตุผลที่มักเป็นจำเลย ถูกยกมาอ้างเสมอเวลาจะใช้เงินก้อนใหญ่ก็คือ มันเป็น “การลงทุน”

ไม่ใช่ว่าคุณนายไม่เคยใช้นะคะ ไอ้การยกเรื่องการลงทุนมาอ้างอะไรแบบนี้….. ประจำค่ะ จะซื้อกระเป๋า ซื้อเครื่องประดับ ซื้อบ้านตากอากาศ คุณนายยกเรื่องการลงทุนมาเพื่อหว่านล้อมจูงใจคุณชายใหญ่เสมอ (คุณนายก็ไม่รู้ว่าพี่แกเชื่อจริงๆ หรือตามใจภรรยาเพื่อตัดรำคาญนะ:P) แต่ว่าคนเรานะคะ พยายามหลอกคนอื่นได้ แต่อย่าเพลินจนหลอกตัวเองค่ะ มันจะสบสนในจุดประสงค์ที่แท้จริง

จะซื้อบ้านหรือจะเรียกว่าลงทุนในบ้านก็ตาม นั่งถามใจตัวเองดีๆ เอาจุดประสงค์ให้ชัด จะซื้อเพราะชอบ อยากได้  อยากมีไว้อยู่เอง หรือซื้อเพราะมันทำผลตอบแทนให้เราเป็นค่าเช่าเป็นตัวเงินกันแน่ แล้วเราได้เปรียบเทียบผลตอบแทนของมันกับการลงทุนประเภทอื่นๆ แล้วหรือยัง แล้วถ้าจะให้เช่า เราได้สำรวจตลาดหรือยังว่าแถวนั้นเขาให้เช่ากันเท่าไหร่ มีบ้านหรือคอนโดให้เช่าเยอะมั้ย แล้วทำไมผู้เช่าต้องมาเช่าของเรา มันดีกว่ายังไง? แล้วถ้าเช่าไม่ได้ เราจะสามารถรับความเสี่ยงตรงนี้ได้ไหม? เรามีเวลาหาคนเช่า ดูแล ซ่อมบำรุงมันจริงๆ จังๆ รึเปล่า?

ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณนายว่าถึงเราจะอยากได้ไว้ใช้เอง ไว้อยู่เองเป็นบ้านที่หนึ่ง บ้านที่สอง หรือบ้านพักตากอากาศ มันก็ไม่ผิดนะคะ การมีที่อยู่อาศัยไว้ใช้เอง ไว้แบ่งปันให้คนที่เรารักใช้ ก็นับเป็นรีเทิร์นอย่างหนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้ตีราคาออกมาในรูปของตัวเงิน เราเพียงต้องพยายามประเมินดูว่า สิ่งที่เราจะได้รับจากมัน “คุ้มค่า” กับเราหรือเปล่า ซึ่งความคุ้มค่าที่ไม่ใช่ตัวเงินตรงนี้ มีเพียงเราคนเดียวเท่านั้นที่จะตอบได้

Value is in the eye of the beholder.

คุณนายชอบหลักคิดของพ่อพระเอกมินิมอลลิสต์คนเดิมของคุณนาย คุณโจชัวร์ (Joshua Field Millburn) ในเรื่องเกี่ยวกับการใช้เงินมาก แกเขียนไว้อย่างเก๋ไก๋ว่า “Now, before I spend money, I ask myself one question: Is this worth my freedom?”

ก่อนที่ผมจะจ่ายเงิน ผมถามตัวเองหนึ่งคำถามว่า สิ่งนี้คุ้มค่ากับการแลกมาด้วยอิสรภาพของผมหรือไม่

คุณนายจะขอยกตัวอย่างเช่น เราควรจะถามตัวเองก่อนจะตัดสินใจซื้อรถยนต์ว่า รถคันนี้คุ้มค่ากับการแลกมาด้วยอิสรภาพราคา 1.2 ล้านบาทของเราหรือไม่ บ้านหลังนี้คุ้มค่ากับการแลกมาด้วยอิสรภาพราคา 5 ล้านบาทของเราหรือไม่ อีกนัยหนึ่งก็คือ เราต้องคิดว่าเราจะได้ “คุณค่า” จากของที่เรากำลังจะซื้อนี้มากกว่า หรือเราจะได้ “คุณค่า” จากอิสรภาพของเรามากกว่า

น่าแปลกนะคะ  คนจำนวนมากดิ้นรนหาความมีอิสรภาพทางการเงิน เพราะคิดว่าปัจจุบัน ตัวเองไม่มีอิสรภาพในชีวิต เพราะการมีเงินไม่เพียงพอเป็นข้อจำกัด คุณนายขอให้เราลองคิดในมุมกลับว่า อิสรภาพในชีวิตของเรามีอยู่แล้ว ที่นี่และเดี๋ยวนี้ หากเพียงเราไม่เอามันไปแลกมาด้วยสิ่งของที่ไม่มีคุณค่าพอ 🙂

XOXO

คุณนายสวนหลวง