รีวิวฉบับที่ 1824 …. สำหรับใครที่ชื่นชอบความโดดเด่นของวัสดุและการออกแบบในสไตล์ Loft อยู่แล้วนั้น คงจะพลาดตัวนี้ไปไม่ได้เลยครับ… The Lofts Asoke เป็นคอนโด High Rise 211 ยูนิต ระดับ Super Luxury ที่มีการออกแบบที่เป็นเอกลักษ์ในสไตล์ Loft ตั้งอยู่บนถนนอโศกมนตรีค่อนไปทางถนนเพชรบุรี ที่จอดรถ 100% และห่างจาก MRT สถานีเพชรบุรีเพียง 200 เมตร ปัจจุบันโครงการพึ่งสร้างเสร็จสดๆร้อนๆ และมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 8.2 ล้านบาท แอบบอกได้ว่าเหลืออยู่ไม่มากแล้วนะ ใครที่สนใจก็รีบตามผมมาเลยครับ…
Fact @ 28 February 2019
- The Lofts Asoke (เดอะลอฟท์ อโศก)
- บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน)
- SUPER LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ในเขต : คลองเตยเหนือ
- คอนโด High Rise 37 ชั้น 7 ชั้นลอย และ 1 Roof Top Garden 211 ยูนิต
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 7 ยูนิต/ชั้น
- ที่จอดรถประมาณ 216 คัน (211 คัน รอบอาคารและ Automated / 5 คันสำหรับ Visitor) คิดเป็น 100%
- ที่ดินประมาณ 1-2-65.8 ไร่
- เริ่มก่อสร้าง : ธันวาคม 2016
- 1 Bedroom 35 – 49 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 8.3 ล้านบาท
- 2 Bedrooms 74 – 87 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 13.3 ล้านบาท
- Duplex 76 – 145 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 30.1 ล้านบาท
- ฝ้าเพดานสูง 3.15 เมตร สำหรับห้อง Loft / 5.6 เมตร สำหรับห้อง Loft Duplex
- ห้องเริ่มต้น 8.2 ล้านบาท
- ราคาต่อตารางเมตรต่ำสุด-สูงสุด ปี 2019 : 200,000 – 240,000 บาท/ตร.ม.
- เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- โทร : 02 – 651 – 9600
เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วครับ
สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างครับ
พิกัด : 13.746743, 100.562706
แผนที่จากทางโครงการครับ
โครงการ The Lofts Asoke ตั้งอยู่ในทำเลที่ถือว่าเป็นย่านใจกลาง CBD ที่สำคัญแห่งหนึ่งของกรุงเทพ ถึงแม้จะอยู่ค่อนไปทางถนนเพชรบุรีสักหน่อยก็ตาม เพราะว่ายังรอบล้อมไปด้วยคอนโด, ห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงานขนาดใหญ่บนถนนอโศกมนตรี ไม่ว่าจะเป็นอาคาร GMM Grammy, ชิโนไทย ทาวน์เวอร์, Grand Park View Asoke, Cemic Tower, 253 Asoke และอื่นๆ อีกมากมาย อีกทั้งในย่านนี้ก็มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นมากมายในช่วงระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา มีคอนโดเกิดขึ้นมากมาย Developer หลายเจ้ามั่นใจในทำเลนี้พอสมควรจึงมาลงทุนในทำเลนี้อย่างหนาแน่น ส่วนหนึ่งมาจากความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ เองด้วยที่เหมาะแก่คนที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยในย่านธุรกิจใกล้กับที่ทำงาน จึงถือเป็นทำเลทางเลือกที่น่าจับตามองมากๆ
ในส่วนของการเดินทางโดยไม่ใช้รถยนต์ ถือว่าสะดวกทีเดียว ตัวโครงการติดกับถนนอโศกมนตรี ซึ่งเป็นแหล่งรวม Office Building อยู่แล้ว ทำให้มีรถสาธารณะผ่านไปมาอยู่ตลอด ไม่ขาดสาย แต่ถ้าจะต้องใช้ทางด่วนก็มีให้เลือกใช้จากโครงการวิ่งไปจุดทางขึ้นทางด่วนศรีรัช(ไปทางจตุรทิศ, แจ้งวัฒนะ) แค่ประมาณ 700 เมตร หรือถ้ามาจากทางแยกรัชดา-พระราม9 ก็มีจุดขึ้นอีกจุดนึงไปพระราม 9, มอเตอร์เวย์ แต่ถึงแม้ระยะทางจะใกล้ก็ต้องระมัดระวังเรื่องช่วงเวลากันด้วยนะ เพราะถ้าเป็นช่วงเวลาเย็นๆ แถวนี้ก็จัดว่ารถติดมากๆเลยแหละ
ด้วยความที่ว่าตัวโครงการอยู่บนถนนอโศกมนตรีฝั่งขาออกไปยังถนนเพชรบุรี สำหรับรถที่ต้องการเข้าโครงการในช่วงเวลาเร่งด่วนที่มาจากทางฝั่งเพชรบุรี จึงจะเลี้ยวเข้าตัวโครงการได้ค่อนข้างยาก ทำให้ต้องตรงเลยหน้าโครงการลงไปจนถึง ซอยอโศกมนตรี 21 แยก 3 แล้ววนกลับมาออกซอย 21 แยก 1 เพื่อกลับรถเข้าตัวโครงการ หรืออีกทางก็คือไปกลับรถที่จุดกลับรถบริเวณเกือบจะถึงแยกอโศกครับ
หนึ่งในจุดเด่นสำคัญของโครงการ The Lofts Asoke คือเป็นคอนโดติดแนวรถไฟฟ้า ตัวโครงการเองอยู่ห่างจาก MRT สถานีเพชรบุรี ประมาณ 200 เมตร ซึ่งสถานีเพชรบุรีเป็นสถานี Interchange กับ Airport Rail Link สถานีมักกะสัน ที่สามารถไปยังสนามบินสุวรรณภูมิได้ หรือถ้าหากต้องการใช้รถไฟฟ้า BTS ก็นั่ง MRT ไปลงสถานีสุขุมวิทเพื่อเปลี่ยนเป็น BTS สถานีอโศก ได้ ซึ่งเป็นสถานีที่ติดกับ Terminal 21 ที่เป็นแหล่งช็อปปิ้งของย่านนี้ หรือหลายๆคนคงรู้จักกันว่ามี Food Court ที่ถูกและดีอยู่ด้วยนะ และถ้าช่วงไหนมีจัดงาน Expo ต่างๆ ก็นั่งเพียงแค่ 2 สถานีไปลงสถานีศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ได้ จัดว่าสะดวกทีเดียวครับ
ตัวโครงการตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ ทำให้เรื่องของการเดินทางสาธารณะสามารถทำได้สะดวกมากทีเดียว การเดินทางสาธารณะด้วยวิธีอื่นๆ ดังนี้
- ถ้าเป็น Taxi ก็คงต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในย่านที่มี Taxi เยอะที่สุดในกรุงเทพ เพราะประกอบไปด้วยอาคารสำนักงานสำคัญๆหลายแห่ง นอกจากนั้นทาง Concierge Service ของโครงการยังสามารถเรียกให้ Taxi เข้าไปรับข้างในได้ ไม่ต้องออกมายืนรอร้อนๆนะ
- ส่วนวินมอเตอร์ไซต์ก็มีปริมาณไม่ได้เป็นรอง Taxi เลยครับ จุดประจำของพี่วินเขาจะประกบตัวโครงการทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาเลย มีผ่านไปมาให้เห็นแทบจะตลอด
- ส่วนรถประจำทางจะมีป้ายอยู่เยื้องๆ ตัวโครงการไปหน่อย ซึ่งอยู่ในระยะเดิน ไม่เกิน 100 เมตร ทั้งฝั่งเดียวกันกับตัวโครงการนี้และฝั่งตรงข้าม
- ท่าเรืออโศก เป็นอีกหนึ่งเส้นทางการเดินทางที่น่าสนใจ เพราะสามารถควบคุมเวลาได้ในระดับนึง ไม่ติดเหมือนรถบนท้องถนน ซึ่งจะมีระยะห่างจากโครงการประมาณ 280 m. ค่าบริการประมาณ 10-20 บาท ไม่เกินนี้ ขึ้นอยู่กับระยะทางครับ
มาดูเส้นทางที่เราจะใช้เดินทางไปโครงการวันนี้กัน ก็คือเส้นทางหลักของเรานั่นแหละครับ มาเริ่มกันที่ MRT สถานีเพชรบุรี จากนั้นออกมาที่ประตูทางออกหมายเลข 2 เดินมาเรื่อยๆบนถนนอโศกมนตรี ข้ามคลองแสนแสบมาประมาณ 200 เมตร จะพบตัวโครงการ The Lofts Asoke อยู่ทางขวามือครับ
เริ่มต้นที่ MRT สถานีเพชรบุรี ออกมาที่ประตูทางออกหมายเลข 2 นะครับ ภายในสถานีมี Metromall ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งร้านค้า ร้านอาหาร เช่น Starbucks, 108 Lawson Shop และอื่นๆอีกมากมาย
เมื่อขึ้นมาด้านบน หันหลังกลับและเดินเข้าถนนอโศกมนตรีไปเลยครับ
เดินมาสักประมาณ 30-40 เมตร จะมีสะพานให้เดินข้ามคลอง ซึ่งใต้สะพานจะมีท่าเรืออโศก ให้เราสามารถใช้เดินทางได้นะ เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย
บริเวณนี้มีพี่วินด้วยครับ คนต่อแถวกันเยอะทีเดียวช่วงเช้าๆ
เดินข้ามสะพานต่อไปบนถนนอโศกมนตรีครับ
มองลงไปจะเห็นท่าเรืออโศกอยู่ทางขวามือ
เมื่อลงสะพานมาเสร็จก็ตรงต่อไปเลยครับ ระหว่างทางจะมีร้านค้าร้านอาหาร ตอนเช้าๆมีร้านไก่ทอด ข้าวเหนียว หมูย่าง ซึ่งคนแถวนี้นิยมกัน เพราะทานง่าย ในจังหวะรีบไปทำงานก็ถือว่าสะดวกเลยทีเดียว
เดินตรงมาหน่อยจะเจอปังเว้ยเฮ้ย กับ Lawson 108 ให้ใช้บริการกัน ทั้งขาเข้าและขาออกจากโครงการก็แวะซื้อได้หมดเลย
เดินตรงต่อไป ผ่านหน้าอาคารสูง ซึ่งเป็นอาคาร 253 Asoke ครับ
เมื่อเดินมาประมาณ 200 เมตร ก็จะพบโครงการ The Lofts Asoke อยู่ทางขวามือครับ โดดเด่นมาด้วยวัสดุที่เป็นเอกลักษณ์เลยทีเดียว
ตัวโครงการมีขนาดไร่กว่า ๆ ตั้งอยู่บนถนนอโศกมนตรี ติดถนนใหญ่เลยเข้าออกสะดวก สังเกตเห็นได้ไม่ยาก และยังเดินทางสาธารณะได้ง่าย พื้นที่โดยรอบโครงการถ้าติดกับถนนใหญ่จะเป็นอาคารที่ค่อนข้างสูงแต่ไม่ได้อยู่ในระยะประชิดมากนักมีอาคารแนวราบและถนนซอยช่วยกันแบ่งระยะเอาไว้
ทิศเหนือ – จะมีอาคาร 253 Asoke สูง 28 ชั้น ซึ่งจะมีซอย โรจนาคั่นอยู่ ส่วนด้านในซอยจะเป็นอาคารไม่สูงมากนัก คล้ายๆกับอาคารทางทิศตะวันตะวันตก
ทิศตะวันตก – เป็นบ้านพักอาศัยส่วนบุคคลสูง 2-3 ชั้น ถัดไปเป็นโรงเรียนนานาชาติ Nist International School
ทิศใต้ – ของโครงการในระยะประชิดเป็นอาคารแนวราบและอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ถัดไปถึงจะมีโครงการคอนโดสุขุมวิท ลีฟวิ่งทาวน์ สูง 36 ชั้น
ทิศตะวันออก – ติดกับถนนอโศกมนตรี ฝั่งตรงข้ามเป็นโรงพยาบาลจักษุรัตนิน สูง 8 ชั้น
ด้วยความสูงของอาคาร The Lofts Asoke เองเมื่อพ้นระยะที่ความสูงชั้น 30 ขึ้นแล้วก็จะได้วิวแบบเปิดโล่งไม่มีอะไรมาบังทัศนียภาพโดยรอบ
ตอนนี้เรายืนอยู่ที่หน้าโครงการ ก่อนจะเข้าไปภายใน ขอพาไปดูพื้นที่รอบๆกันก่อนนะครับ เริ่มจากเดินเข้าไปภายในถนนอโศกมนตรีกันเลย
ริมถนนใหญ่ซึ่งเป็นถนนที่คึกคักและวุ่นวายมากพอสมควร มีรถติดตลอดทั้งวัน แนวอาคารริมถนนจะเป็นอาคารขนาดใหญ่ซะส่วนใหญ่ ที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน และแนวอาคารร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ปะปนกันไปครับ ซึ่งจะมีร้านสะดวกซื้อแทรกอยู่เป็นจุดๆ
เดินต่อมาจะมีอาคารพาณิชย์สูงประมาณ 4 ชั้น เป็นแนวยาวไปนะ
ที่สุดแนวอาคารก็มี 7-Eleven ให้บริการ มีระยะจากหน้าโครงการประมาณ 60 เมตร
ถัดมาจะเป็นอาคาร Asoke Residence เป็นซอยร่นระยะจากแนวถนนเข้าไปภายในครับ ตัวอาคารสูงประมาณ 4 ชั้น
ถัดมาจะมีอาคาร Sukhumvit Living Town ตั้งอยู่ ซึ่งจะเป็นอาคารสูง 36 ชั้น มีผลกับวิวของห้องพักโครงการเราอยู่บ้างนะ แต่มีระยะห่างค่อนข้างเยอะ
ฝั่งตรงข้ามจะมีโครงการ “บ้านก้ามปู@อโศก” เป็นอาคารที่รวบรวมร้านอาหารร้านกาแฟต่างๆมาไว้ภายใน เยอะเชียวแหละ ทั้ง Starbucks, Bon Chon, รสนิยม และอื่นๆอีกมากมาย สะดวกเลยนะเดินไปได้ ไม่ไกลครับ
ฝั่งตรงข้ามโครงการเป็นโรงพยาบาลจักษุรัดนินเป็นอาคารประมาณ 8 ชั้น ด้วยทั้งถนนอโศกมนตรี และตัวอาคารของโครงการเราก็ร่นเข้าไปอยู่ภายในพื้นที่โครงการ จึงทำให้มีระยะห่างพอสมควรครับ
ไปดูอีกฝั่งกันบ้างครับ ซึ่งเป็นฝั่งที่เราผ่านมาแล้วตอนที่พามาโครงการ ดังนั้นไปดูส่วนที่มีผลกระทบกับเราโดยตรงกันครับ
ด้านข้างโครงการจะมีซอยโรจนาซึ่งเป็นซอยตัน เลยมาจะมีอาคาร 253 Asoke ซึ่งเป็นอาคารสูง 28 ชั้น
ตัวอาคาร 253 Asoke มีระยะห่างจากตัวโครงการพอสมควร เพราะมีซอยกั้นระหว่างกลาง และระยะ Set Back ของแต่ละอาคาร ที่สำคัญนอกจากนั้น ตัวอาคารมีระยะร่นเข้ามาในตัวโครงการจึงทำให้แนวอาคารไม่ได้หันชนกันโดยตรง
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- โรงพยาบาลจักษุรัตนิน ~ 35 ม.
- มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ~ 300 ม.
- ตลาดรวมทรัพย์ ~ 350 ม.
- GMM Grammy Place ~ 400 ม.
- โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ~ 400 ม.
- โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ~ 800 ม.
- Nist International school ~ 1.2 กม.
- Terminal 21 ~ 1.8 กม.
- EM District ~ 2.2 กม.
มาเริ่มต้นกันที่ชั้น 1 กันก่อนนะครับ พื้นที่ตัวอาคารมีลักษณะตามแนวพื้นที่ดินที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งจะมีระยะร่นเข้าไปด้านในของที่ดิน จะช่วยในเรื่องลดเสียงและฝุ่นจากถนนใหญ่ มีแนวต้นไม้ด้านหน้าช่วยบดบังสายตา และเพิ่มความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น
การวนรถภายในโครงการ – มีลักษณะ เป็นการเดินรถสวนกันที่ด้านหน้าโครงการ ส่วนภายในเป็นการเดินรถทางเดียว โดยจะต้องผ่านจุด Drop Off ทั้งขาเข้า และขาออกโครงการ
- ขาเข้าโครงการ (ลูกศรสีฟ้า) : จะต้องวนรถผ่าน Drop Off จากนั้นเข้าข้างอาคาร เพื่อเข้าที่จอดรถแบบ Automated ที่มี 3 ช่องจอด และด้านหลังมีที่จอดรถอีกประมาณ 5 ที่จอดใต้อาคาร
- ขาออกโครงการ (ลูกศรสีส้ม) : จะต้องวนหลังแนวอาคาร จากนั้นผ่านหน้า Drop Off แล้ววนออกหน้าโครงการครับ
พื้นที่ภายในอาคารส่วนของชั้น 1 มีพื้นที่ส่วนกลางหลายจุดทีเดียว เริ่มตั้งแต่เข้ามาภายในอาคาร จะเจอส่วน Lobby ซึ่งจะมีความพิเศษ เป็น Triple volume ceiling lobby ฝ้าเพดานสูงเชียวล่ะครับ เดี๋ยวเราไปดูภาพจริงกันอีกทีนะ ซึ่งบริเวณนี้จะเป็นส่วนพื้นที่ที่เข้ามาจากทางช่องจอดรถ Automated Parking ภายในมี Concierge Service คอยให้บริการ ส่วนพื้นที่ ด้านในมี Mail Box และห้องน้ำแยกชายหญิงให้ด้วย นอกจากนั้นอีกฝั่งยังมีพื้นที่เชื่อมต่อไปยังพื้นที่ส่วนกลางส่วนอื่นๆที่ชั้น 2 ครับ ส่วนกลางอาคารจะมีโถงลิฟต์ ที่มีลิฟต์ให้บริการ 3 ตัว และลิฟต์ Service 1 ตัว อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 70 : 1 ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้งานได้สะดวกไม่หนาแน่น ด้านหลังอาคารจะเป็นส่วนควบคุมงานระบบต่างๆ
ที่พื้นของที่จอดรถจะมีการกำหนดจำนวนที่จอดของแต่ละห้องไว้ ตามนี้ครับ
- 1 Bedroom สามารถจอดได้ 1 สิทธิ์
- 2 Bedroom สามารถจอดได้ 1 สิทธิ์
- 3 Bedroom สามารถจอดได้ 2 สิทธิ์
พื้นที่หน้าโครงการบนถนนอโศกมนตรี เป็นทางเข้าออกจุดเดียวของโครงการครับ ซึ่งจะมีป้ายด้านหน้าโครงการ และป้อม รปภ. อยู่ พร้อม CCTV รักษาความปลอดภัยครับ
ภายในโครงการมีพื้นเป็นคอนกรีตพิมพ์ลาย เราจะเห็นเส้นทางแยกเป็นซ้ายและขวานะครับ ให้เราขับวนซ้ายเข้าไปเลยครับผม
เลี้ยวซ้ายมาจะเจอป้ายโครงการที่เป็น Feature Wall พื้นผิวเป็นวัสดุสีสนิม บอกความเป็นตัวตนของโครงการได้ดีทีเดียว ซึ่งก่อนจะเข้าไปดูตัวอาคารด้านในผมขอพูดถึงการออกแบบสไตล์ Loft สั้นๆ สักนิดละกันนะครับ
สไตล์ Loft นั้นจริงๆแล้วมีจุดเริ่มต้นมาจากการ Renovate พวกโรงงาน หรือโกดังเก่าๆ เพื่อให้สามารถนำมาใช้เป็นที่พักอาศัยได้ เราเลยมักจะเห็น สีสนิม ปูนเปลือย เหล็กดิบๆ กระจก ผนังอิฐโชว์แนว ฝ้าเพดานที่มีท่องานระบบวิ่งไปมา รวมถึงระยะฝ้าเพดานที่ถูกยกสูง (ความสูงของโกดัง) กันอยู่บ่อยๆนั่นเอง วัสดุลักษณะนี้ในเชิงการออกแบบจะเรียกว่า “สัจจะวัสดุ” ก็ว่าได้ นั่นก็คือวัสดุที่แท้จริงที่ไม่ได้มีการปรุงแต่ง หรือการปล่อยผิววัสดุให้เป็นไปตามธรรมชาตินั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันวัสดุที่ใช้ก็เป็นแบบทำสีขึ้นมาใหม่แล้ว เพื่อจำลองบรรยากาศเหล่านั้นมาครับ ซึ่งก็จะมีข้อดีที่ได้ความแข็งแรงคงทน งานจะดูเรียบร้อยและง่ายต่อการติดตั้งและซ่อมแซมครับ
วนผ่านป้ายโครงการเข้ามาจะเจอจุด Drop Off ซึ่งมีหลังคาช่วยกันแดดกันฝนให้สำหรับส่วนนี้ด้วย พร้อมไฟ Downlight ช่วยสร้างบรรยากาศได้ดีทีเดียว ซึ่งตัวอาคารก็จะตกแต่งด้วย เสาคอนกรีตเปลือย แนวเหล็กสีดำ และกระจก
ตรงผ่าน Drop Off เข้ามาต่อครับ จะเข้าไปยังพื้นที่จอดรถภายในอาคาร
ฝั่งขวามือจะมีตู้สำหรับให้เราสแกนบัตร หรือใช้รีโมทกดเพื่อส่งสัญญาณไปยังเครื่องจอดรถ ให้เตรียมรับรถเรา ซึ่งตัวเครื่องจอดรถนี้จะมีแผ่นสำหรับรองรับรถ 3 แบบ สำหรับจักรยานยนต์ รถยนต์ขนาดทั่วไป และรถยนต์ขนาดใหญ่ ซึ่งแต่ละรูปแบบจะถูกบันทึกไว้ในบัตรของแต่ละคนเรียบร้อยแล้วครับ จากนั้นตู้จะบอกเราว่าให้เราเข้าไปจอดที่ช่องจอดหมายเลขอะไร ก็ขับตามทางต่อไปเพื่อไปยังช่องจอดหมายเลขนั้นเลยครับ
หมายเลขของเราจะขึ้นที่ป้ายแสดงหมายเลขด้านบน เพื่อบอกว่าช่องจอดไหนเป็นช่องจอดสำหรับรถเรา ซึ่งจะตรงกับที่ตู้บอกให้มานะ
ฝั่งตรงข้ามช่องจอดมีหน้าจอที่แสดงภาพภายในช่องจอด สำหรับบอกรถที่กำลังรอต่อคิวอยู่ และให้พนักงานและช่างสะดวกแก่การดูแลซ่อมแซมครับ
ด้านข้างช่องจอดมีตู้ที่เราต้องกดอีกครั้ง ก่อนจะเข้าจอดหรือสามารถใช้รีโมทได้ ซึ่งจะช่วยให้เราไม่ต้องลงจากรถ สะดวกกว่ามากเลยทีเดียว
จากนั้นประตูจะถูกยกขึ้น เห็นพื้นที่ภายในช่องจอด ให้เราขับเข้าไปเลยครับ ข้อดีคือหากเป็นตอนที่เราต้องการเอารถออก เครื่องจะกลับด้านรถไว้ให้เรียบร้อย ขับตรงออกไปเลย ง่ายและสะดวกทีเดียว ซึ่งขาออก จะขับออกและวนซ้ายมือไปอ้อมด้านหลังตัวอาคาร จะทำให้ไม่ทับซ้อนเส้นทางกันกับรถขาเข้าครับ
เมื่อเข้ามาภายใน เงยหน้ามองขึ้นด้านบนจะเห็นช่องจอดไปเต็มไปหมดเลยครับ
เมื่อเราจอดรถเสร็จ จะมีประตูให้เราเดินเข้าไปยังส่วนของ Lobby ครับ ซึ่งประตูส่วนนี้จะสามารถเปิดก็ต่อเมื่อมีรถอยู่บนแท่น เป็นการรักษาความปลอดภัยครับ
ออกมาจากช่องจอดรถ พื้นที่ด้านหลังอาคารมีพื้นที่ให้จอดรถอีก 5 คัน มีทางเดินเข้าภายใน Lobby ด้วยครับ
เข้ามาภายใน Lobby ครับ มีขนาดใหญ่พอสมควร กว้างและดูมีสไตล์ ตกแต่งด้วยวัสดุสีสว่าง เฟอร์นิเจอร์ที่มีความ Vintage พื้นที่ Lobby นี้มีพื้นที่หลายส่วนอยู่ภายใน เดี๋ยวผมจะพาเข้าไปดูทีละส่วนครับ
พื้นที่นั่งเล่นถูกแบ่งส่วนด้วยฝ้าเพดานสูง 3 ชั้น หรือ Triple Volume Lobby ตกแต่งด้วยไฟและกระจก มีเสาปูนเปลือยบวกกับเฟอร์นิเจอร์สไตล์ Vintage มี Free-wifi ให้ใช้ด้วยนะ
ด้านข้างมีเคาน์เตอร์ Concierge Service ที่จะช่วยดูแลหลายๆอย่าง เช่นเรียกรถ ส่งผ้าซัก ทำความสะอาดห้อง ซึ่งจะอยู่ให้บริการถึงสองทุ่มในทุกๆวัน หลังจากนั้นจะเป็น Night Manager ช่วยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง
ด้านข้างมีแนวทางเดินยาวเข้าไปยังด้านหลัง เราเดินไปดูภายในกันก่อนนะ
ที่ผนังด้านข้างจะมีช่องประตู 3 บานยาวเรียงไป คุ้นๆไหมครับ.. ใช่แล้ว เป็นประตูที่เข้าออกบริเวณพื้นที่จอดรถ Automated Parking นั่นเอง
ขั้นตอนการเรียกรถก็ไม่ยากครับ จะมีจอขนาดใหญ่ตรงกลาง เป็นจุดแรกที่เราต้องเข้ามากดครับ สแกนบัตรเพื่อเรียกรถ ภายในจอจะแสดง 3 ช่อง เพื่อจัดเรียงคิวให้ และจะคอยบอกเราว่ารถเราจะมาที่ช่องไหน อยู่ลำดับที่เท่าไหร่แล้ว
หน้าประตูแต่ละบานจะมีจอที่แสดงภาพภายในช่องจอด สำหรับเห็นความเคลื่อนไหวภายใน เมื่อรถพร้อม เราก็สแกนบัตรเพื่อเข้าไปภายในครับ
จะมีทางเดินยาวข้างๆเข้าไปด้านหลังครับ
ฝั่งตรงข้ามมี Mail Box ที่ถูกจัดไว้ให้เป็นสัดส่วนครับ มี Partition กั้น เข้าออกได้ทั้งซ้ายและขวา
เดินเข้าไปดูด้านในกันต่อครับ ผนังจะเป็นปูนเปลือย พร้อมไฟ Downlight มีสไตล์การตกแต่งชัดเจน
เดินเข้ามาจะเจอโถงลิฟต์ มีลิฟต์โดยสาร 3 ตัว ตกแต่งด้วยกระจก และไฟ Downlight อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 70 : 1 ซึ่งถือว่าใช้งานได้ ไม่หนาแน่น
เลยมาด้านในจะมีพื้นที่ห้องน้ำแยกชายหญิงไว้ให้นะ สำหรับโถงลิฟต์ส่วนนี้ ตกแต่งด้วยวัสดุลายไม้
ภายในเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่นัก สำหรับการใช้งานทีละคนครับ
กลับมาที่เคาน์เตอร์ตรงกลาง เพื่อไปดูอีกพื้นที่กันนะ ฝั่งหน้าอาคาร
เป็น Lobby อีกส่วนไว้สำหรับรองรับการขึ้นลงชั้น 2 ที่มีพื้นที่ส่วนกลางให้ในจุดนี้ด้วยนะ บริเวณนี้เปิดรับแสงเต็มที่ทีเดียว ด้วยกระจก Full Height ตลอดแนว
ก่อนจะขึ้นบันไดวนเหล็กสีดำสุดเท่อันนั้น ด้านในมีห้องน้ำให้อีกจุดนะครับ เป็นสำหรับใช้งานในส่วนของ Lobby นี้
ห้องน้ำแยกชายหญิง สำหรับใช้งานทีละคนเช่นกันครับ
บันไดเป็นเป็นบันไดเหล็กโค้งทำสีดิบๆ มีสีสนิมปนบ้าง ดูเท่ๆตามสไตล์โครงการครับ
ชั้น 2 ในส่วนนี้ เป็นพื้นที่ส่วนกลางทั้งหมด ยังไม่มีห้องพักอาศัย ซึ่งส่วนพื้นที่ด้านหน้าจะเป็น Resident’s Lounge Workspace ส่วนด้านในจะมีโถงลิฟต์ที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ห้องพักอาศัย และ Lobby ด้านล่างได้ ด้านข้างเป็นห้องนิติบุคคล และห้องควบคุมครับ
สำหรับพื้นที่ด้านบนที่เดินขึ้นมาจะเป็น Resident’s Lounge Workspace พูดง่ายๆก็เป็นพื้นที่สำหรับลูกบ้าน ให้มานั่งเล่น ทำงาน อ่านหนังสือ หรือจะประชุมก็ได้ ซึ่งจะได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่าพื้นที่ด้านล่างนะ ซึ่งจุดเด่นของพื้นที่ส่วนนี้คือการยกฝ้าเพดานสูงทำให้รู้สึกโล่ง และตกแต่งในสไตล์ Loft ด้วยผนังปูนเปลือย วัสดุสไตล์ Vintage แนวคิดในการออกแบบทำได้ชัดเจนดีครับ ไปดูรายละเอียดภายในกัน
เริ่มที่ด้านข้างมี Pantry ให้ พร้อมโต๊ะรับประทานอาหาร สำหรับมานั่งทานอาหาร กินอะไรกันเล็กๆน้อยๆ คุยงานกันไปด้วย
ส่วนพื้นที่ด้านในเป็นมุมนั่งเล่น มีโต๊ะพูลให้ พื้นที่โล่ง สะดวกสบายเลย
อีกส่วนด้านในจะมีพื้นที่ที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น มีส่วนของฉากกั้นที่เปิด-ปิด ได้ แล้วแต่การใช้งาน
ด้านในเป็นห้องที่สามารถปิดกั้นแบ่งส่วนได้ ด้วยบานเฟี้ยมเหล็กด้านข้าง แบ่งออกเป็นสองฝั่ง สำหรับห้องแรกจะมีเก้าอี้ขนาดใหญ่ ไม่ได้เป็นทางการมากนัก แยกนั่งคนไม่เยอะครับ
ส่วนด้านในสุดจะแบ่งความเป็นส่วนตัวมากขึ้นไปอีกครับ เป็นโต๊ะประชุมยาวมีเก้าอี้ล้อมรอบ รับวิวหน้าโครงการ ซึ่งจะแบ่งส่วนจะห้องนี้ด้วยบานเฟี้ยมเช่นกันครับ
ฝั่งนั้นดูจนสุดแล้ว กลับเข้ามาภายในตัวอาคารกันบ้างนะครับ เป็นส่วนเข้าออกด้วย Keycard ครับ ซึ่งลูกบ้านที่จะต้องออกมาใช้งานส่วนนี้ ก็จะมาจากทางนี้เช่นกัน เข้าไปดูภายในกันนะ
เดินเข้าไปภายในจะมีส่วนของนิติบุคคลนะครับ แต่โดยปกติแล้วที่เคาน์เตอร์ Concierge Service ด้านล่างก็สามารถแจ้งรายละเอียดต่างๆได้นะ
หันมาด้านข้างจะเจอโถงลิฟต์ของโครงการ จะเป็นลักษณะนี้ทุกชั้นนะ มีช่องแสงให้ พร้อมลิฟต์โดยสาร 3 ตัว ตกแต่งด้วยกระจก พื้นและฝ้าเป็นสีสว่าง ขึ้นไปดูชั้น 4 กันต่อเลยครับ
ผังพื้นชั้น 4 จะเริ่มมียูนิตพักอาศัยมาด้วยแล้ว มีทั้งหมด 3 ยูนิต ซึ่งจะเป็นส่วนด้านหลังอาคาร รับวิวค่อนข้างโล่ง ส่วนด้านหน้าโครงการจะเป็นพื้นที่ส่วนกลาง รับวิวฝั่งหน้าโครงการ ไปดูกันครับ
เมื่อออกมาจากลิฟต์ จะมีพื้นที่แบ่งกั้นความเป็นส่วนตัว ระหว่างพื้นที่ส่วนกลาง และพื้นที่พักอาศัยของชั้นนี้ออกจากกันชั้นเจน เข้าถึงด้วยระบบ Keycard นะ
เมื่อเปิดเข้ามาจะพบกับ Fitness ขนาดใหญ่ มาพร้อมกับฝ้าเพดานสูงเช่นเคย ได้แนวกระจก 3 ด้าน รับแสงเต็มๆครับ ซึ่งบริเวณนี้จะให้ความรู้สึกโล่งเลยทีเดียว
ภายในมีทั้งส่วน Cardio และ Body Weight เครื่องอาจจะไม่ได้มากนัก แต่เทียบกับจำนวนยูนิต ก็ถือว่าเพียงพอนะ ใช้เครื่องออกกำลังกายของ Life Fitness ซึ่งโครงการระดับสูงๆก็นิยมใช้กันนะครับ ด้านในมีห้องน้ำด้วย รูปทรงกลมๆอยู่ที่มุม ไปดูกันครับ
ด้านนี้เป็นห้องน้ำ ที่มุมฝั่งทิศตะวันตก เพราะเป็นฝั่งที่ชนกับอาคาร 253 Asoke พอดี ภายในตกแต่งด้วยสไตล์ของโครงการเช่นเคย ผนังปูนเปลือย วัสดุลายไม้ ดูเรียบง่าย
ห้องน้ำมีลักษณะเป็นวงกลม ขนาดห้องไม่ใหญ่นัก แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานคนเดียว ส่วนนี้ไม่ได้มีพื้นที่อาบน้ำ เปลี่ยนชุดให้นะ ต้องเตรียมลงมาเองให้เรียบร้อย ใช้เสร็จก็กลับขึ้นไปเปลี่ยนชุดที่ห้องนะครับ ถือว่าก็แลกมากับพื้นที่โล่งกว้าง ขนาดใหญ่นะ
ที่มุมมีระเบียงให้ออกไปสูดอากาศกันด้วย ที่สำคัญก็เป็นวิวที่ดีให้กับพื้นที่ภายในด้วยครับ
ด้านนอกถูกจัดเป็นสวน แบบเรียบง่าย ด้วยวัสดุลักษณะเดิม Feature Wall ผิวสนิม ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ต่างๆ ก็ดูมีสไตล์ดีนะ
ที่ด้านในมีหญ้าจริง ให้เป็นมุมพักผ่อน นั่งเล่น สูดอากาศ
รับวิวถนนอโศกมนตรี หน้าโครงการ อาจจะไม่ใช่วิวสูงมากนัก แต่ก็โล่ง และสบายตาเหมือนกัน
ผนังอาคารที่ใช้เป็นกระจก ช่วยสะท้อนสีเขียวของต้นไม้ และบริบทโดยรอบต่างๆ ตรงนี้อาจจะเป็นมุมที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็ทำออกมาได้น่าสนใจทีเดียว และถ้าใครที่อยากได้พื้นที่ส่วนกลางวิวสูงอย่าพึ่งผิดหวังกันนะครับ นี่เป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้นเอง ตามผมมาก่อน
ขึ้นลิฟต์ไปต่อกันที่ชั้น 31 เลย ชั้นนี้เป็นอีกชั้นที่มีพื้นที่ส่วนกลางเช่นกัน ซึ่งจะได้รับวิวฝั่งด้านหน้าอาคาร เหมือนกับพื้นที่เมื่อสักครู่ แต่เป็นมุมมองที่สูงขึ้น ลมจะพัดแรงมากขึ้น และเสียงดังจากถนนจะหายไป ไปดูกันครับ
พื้นที่ในชั้น 31 นี้ มีทั้งส่วนห้องพักอาศัย 3 ยูนิต และพื้นที่ส่วนกลางอีกเช่นกัน ซึ่งห้องพักอาศัยก็จะได้รับวิวโล่ง เงียบทางฝั่งทิศตะวันตก ส่วนพื้นที่ส่วนกลางจะได้ City Veiw ทางฝั่งทิศตะวันออก ถนนอโศกมนตรี มีการแบ่งพื้นที่ออกจากกันชัดเจน ภายในพื้นที่ส่วนกลางประกอบไปด้วย Swimming Pool, Pool Deck, Stream Room ครับ
ออกมาจากลิฟต์จะพบพื้นที่ ที่เป็นส่วนแบ่งห้องพักอาศัย กับพื้นที่ส่วนกลางออกจากกัน เข้าถึงด้วย Keycard ทั้งคู่ สำหรับ 3 ยูนิตที่อยู่ในชั้นนี้ ก็จะโชคดีหน่อย เข้าถึงพื้นที่ส่วนกลางได้ง่าย เหมือนมีสระว่ายน้ำอยู่หลังบ้านยังไงยังงั้น
เปิดเข้ามาดูพื้นที่ส่วนกลางกัน จะเจอกับพื้นที่สระว่ายน้ำ แบบ Infinity Edge Pool หรือสระน้ำล้นนั่นเอง ขนาด 25 x 5 เมตร ลึก 1.2 เมตร สามารถว่ายออกกำลังกายได้จริงๆ
ส่วนด้านนอกจะเปิดรับวิวเต็มที่ ไม่มีหลังคาปกคลุม ซึ่งทำมาทั้งสองส่วนแบบนี้ก็สามารถเลือกการใช้งานได้หลากหลาย ในวันที่ฝนตก แดดแรง ก็ยังสามารถใช้งานได้ ส่วนวันที่ฟ้าเปิด วิวสวยๆ ก็ว่ายน้ำดูดาว รับลมได้สบายๆเลยครับ
ด้านหลังมีพื้นที่ที่เป็นส่วนสนับสนุนสระว่ายน้ำ ทั้งพื้นที่ Sunbeds พร้อมโต๊ะเล็กๆไว้วางของ ห้องอาบน้ำแยกชายหญิง พื้นที่ล้างตัวก่อนลงสระ พื้นของส่วนนี้จะเป็นกระเบื้องลายไม้ ผนังทำสีปูนเปลือยครับ
พื้นที่ล้างตัว 2 จุด มีไฟกิ่งมาให้ 1 ดวง พร้อมแนวระบายน้ำรอบพื้นที่ ทำให้พื้นส่วนนี้จะเรียบเสมอกันทั้งหมด เดินผ่านไปมาสะดวกครับ มาในสไตล์การตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์ พื้นไม้ ปูนเปลือย ฝ้าเพดานยกสูง
มาต่อกันที่ห้องน้ำแยกชายหญิง ทำมุมหลบพื้นที่สระว่ายน้ำไว้ เพื่อความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น ตรงกลางเป็นห้องเก็บของสำหรับแม่บ้าน วัสดุยังคงใช้เป็นปูนเปลือย และไม้เช่นเดิมครับ
เข้ามาภายในจะมีลักษณะคล้ายห้องน้ำของชั้นล่าง แต่จะมีขนาดใหญ่กว่า
ภายในประกอบไปด้วย อ่างล้างมือ 2 อ่าง โถปัสสาวะ ห้องอาบน้ำ ห้องน้ำ และห้อง Stream เหตุผลที่เขาใช้เป็นห้อง Stream ไม่ใช่ Sauna ก็เพราะ จะมีค่าบำรุงรักษาที่น้อยกว่า ใช้งานได้นานกว่า ซึ่งก็จะไปมีผลกับค่าส่วนกลางของเราด้วยนะ
ห้อง Stream สำหรับ 2-3 ที่นั่ง ห้องอาบน้ำ 1 ห้อง เป็นแบบ Rain Shower และ Hand Shower มาให้ทั้งคู่ ส่วนห้องน้ำมี 1 ห้องเช่นกันครับ ขนาดอาจจะดูเล็ก แต่ด้วยจำนวนยูนิตไม่มากนัก ก็เข้าใจได้ครับผม
ส่วนต่อมาเป็น Pool Deck ซึ่งจะมีเป็นบาร์มาให้ พร้อมกับโซฟาตัว L ชุดใหญ่ สามารถนำเครื่องดื่มขึ้นมานั่งชิลกันได้ เป็นอีกมุมพักผ่อนที่น่าสนใจทีเดียวครับ
อีกส่วนเป็นระเบียงสนามหญ้า รับวิวหน้าโครงการเช่นกัน พร้อม Sunbeds ที่สามารถนอนอาบแดดได้
วิวของส่วนนี้จะเป็น City View ค่อนข้างโล่งกว้าง เห็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และยาวไปจนถึง ทองหล่อ เอกมัยเลยครับ
โครงการ The Lofts Asoke จะมีแบบห้องให้เลือกหลายแบบ เน้นการทำห้องที่มีขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 35 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นห้องพักแบบ Lofts ที่ชั้น 3-30 และแบบ Sky Lofts ที่ชั้น 31-44 และส่วนพื้นที่ Facility ต่างๆภายในโครงการ เมื่อเทียบดูในแต่ละชั้น จะมีจำนวนห้องสูงสุดอยู่ที่ 7 ห้องต่อชั้น
Loft Zone ( 3-30 fl.) เป็นแบบห้องที่จะพามาดูวันนี้นะครับ
- 1 Bedroom แบบ 1A , 1B ขนาดพื้นที่ 35 – 49 ตร.ม.
- 2 Bedrooms แบบ 2A , 2B , 2C ขนาดพื้นที่ 74 – 87 ตร.ม.
Sky Loft Zone ( 31-44 fl.) เป็นโซนที่ขายหมดไปแล้วอย่างรวดเร็วตั้งแต่เปิดตัวใหม่ๆ
- 1 Bedroom Duplex แบบ L1A , L1B ขนาดพื้นที่ 76 – 77 ตร.ม.
- 2 Bedroom Duplex แบบ L2A ขนาดพื้นที่ 120 ตร.ม.
- 3 Bedroom Duplex แบบ L3A , L3B ขนาดพื้นที่ 145 ตร.ม.
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- สระว่ายน้ำ ระบบเกลือ ขนาด 25 x 5 เมตร ลึก 1.2 เมตร
- Triple volume ceiling lobby
- Residential lounge & workspace
- Library
- Fitness
- Steam room
- M & F changing rooms
- Sky garden and sun decks
- ลิฟต์โดยสาร 3 ตัว อัตราส่วนลิฟต์ 70.3 : 1
- ที่จอดรถ 211 คัน (Automated carpark) และจอดแบบปกติ 5 คัน รวมทั้งหมด 216 คัน คิดเป็น 100%
- ระบบ CCTV 24-hour security / Access Card
นอกจากขนาดห้องให้เลือกหลายแบบแล้ว ทางโครงการ The Lofts Asoke จะมี Material design วัสดุตกแต่งภายในห้อง ให้เลือกได้อีก 3 แบบด้วย จะให้โทนสี Mood and tone แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างวัสดุ แบบ Raw จะเป็นการตกแต่งโดยเลือกวัสดุเน้นความมีเอกลักษณ์โชว์ Texture พื้นผิวของวัสดุ เช่น Feature wall เป็นผนังทำสีและลายพิเศษเหมือนกับโหละสีสนิม ตาม concept ” Industrial loft style” ของโครงการ ซึ่งปัจจุบันโครงการสร้างเสร็จแล้ว แต่ละห้องจะถูกตกแต่งวัสดุไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้ไม่สามารถเลือกตำแหน่งห้องและเลือกวัสดุแบบตอนที่อาคารยังไม่สร้างได้นะ
และอีก 2 แบบ คือ Bold และ Functional ที่จะมีวัสดุเช่นผนังและพื้น ที่มี mood and tone แตกต่างกันเน้นความเรียบเท่ สีโทนสว่างมากกว่าแบบแรกครับ
มาดูที่ห้องแรกกันก่อนนะครับ เป็นห้อง 2 Bedroom ขนาด 87 ตร.ม. ซึ่งตำแหน่งห้องนี้จะอยู่มุมอาคารทางฝั่งทิศตะวันตก อยู่ที่ชั้น 3-30 ทั้งโครงการมี 56 ยูนิต จุดเด่นของห้องนี้คงต้องให้เรื่องตำแหน่งมุมอาคาร ที่ทำให้รับวิวได้ 2 ฝั่ง แบ่งพื้นที่ Common Area กับ Living Area ออกจากกันได้ชัดเจน ขอแบ่งพื้นที่ภายในออกเป็น 7 ส่วน ครัว ห้องน้ำ พื้นที่นั่งเล่น ระเบียงซักล้าง ห้องนอนรอง ห้องนอนหลัก และห้องน้ำในห้องนอนหลักครับ
เมื่อเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง พื้นที่แรกจะมี Foyer เล็กๆ สำหรับใส่และถอดรองเท้า และถัดมาเป็นเคาน์เตอร์ครัวยาวริมผนัง ข้อดีคือจะได้พื้นที่โล่งในห้อง แต่ข้อเสียก็คือไม่สามารถกั้นเป็นครัวปิดได้ เหมาะสำหรับลูกบ้านที่ไม่ได้ทำอาหารเป็นประจำนัก ส่วนต่อไปเป็นห้องนั่งเล่นที่จะรวมพื้นที่รับประทานอาหารไว้ในนี้ด้วย ขนาดพื้นที่กว้างทีเดียว สามารถตั้งชุดโซฟาขนาดใหญ่ได้ มีช่องแสงขนาดใหญ่ที่ระเบียง ซึ่งส่วนระเบียงเขาก็ให้มาใหญ่ทีเดียว ตั้งชุดโต๊ะกาแฟ ได้เลยนะ เพราะด้วยระดับฝ้าที่สูง ทำให้แขวน Condensing unit ด้านบนแล้วเหลือพื้นที่ให้ใช้งานด้านใต้ได้ทั้งหมด ก
ลับเข้ามาภายในห้อง มีส่วนของห้องน้ำอยู่หน้าห้องนอนรองครับ ซึ่งจะใช้ร่วมกันกับพื้นที่ Common Area ถือว่าก็เข้าถึงได้ง่ายจากทุกพื้นที่นะ แต่การมีห้องน้ำตั้งอยู่ภายในห้อง จะทำให้ระบายอากาศยากหน่อย ควรเปิดประตูและใช้พัดลมดูดอากาศช่วยนะ เข้าไปดูส่วน Living Area กันต่อ จะมีห้องนอนรองข้างๆห้องน้ำของห้อง ภายใน ขนาดกำลังดี วางเตียง 5 ฟุตแล้วเดินรอบได้สบาย มาพร้อมกับโต๊ะเสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งที่ปลายเตียง ภายในห้องมีช่องแสง 1 ฝั่ง ส่วนห้องนอนหลัก มีขนาดใหญ่วางเตียง 6 ฟุตได้ ความพิเศษคือจะรับวิวได้ 2 ฝั่ง มีกระจกเข้ามุมให้ มีส่วนตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งให้ที่หน้าห้องน้ำ ส่วนห้องน้ำก็มีช่องแสง และอ่างอาบน้ำมาให้ด้วย ไปดูห้องตัวอย่างกันเลยครับ
ห้องแรกจะเป็นห้องที่ถูกตกแต่งด้วยวัสดุสไตล์ Raw เริ่มกันที่ประตูเข้าห้องกันก่อนเลย เป็นไม้สังเคราะห์ Woodgrain laminated มีตาแมว มือจับประตูแบบก้านโยก พร้อมอุปกรณ์ Digital door lock ของ igloohome สามารถส่งรหัส OTP ใช้เป็นครั้งต่อครั้งให้แม่บ้าน หรือเพื่อน เพื่อเปิดเข้าห้องได้นะ
ที่พื้นมียกขอบขึ้นเล็กน้อย เพื่อป้องกันฝุ่นจากโถงทางเดินเข้าไปภายในห้องครับ ตัวห้องภายในจะมีพื้นเป็นกระเบื้องเซรามิคลายไม้
ห้องนี้จะขายแบบ Fully Fitted ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ Built-in ต่างๆจะได้เป็นแบบ Customize สั่งทำทั้งหมด ภายในห้องจะได้ระบบปรับอากาศเป็น Concealed Type ปัจจุบันสำหรับห้อง 2 Bedroom มีโปรโมชั่นที่จะได้ Furniture ให้มาด้วยนะ
เมื่อเข้ามาภายในห้องด้านหน้าจะมี Foyer เล็กๆ สำหรับวางรองเท้า หรือเป็นพื้นที่สำหรับใส่และถอดรองเท้านั่นเอง ด้านในจะเห็นเป็นตอนยาวเข้าไปเลย ค่อนข้างโล่ง ยาวไปจนถึงริมอาคาร
พื้นที่ด้านหน้ามีมุมสำหรับวางของ วางตู้รองเท้า ซึ่งห้องตัวอย่างตกแต่งเป็นกระจก เก้าอี้ ที่แขวนเสื้อ เราสามารถ Built-in มุมส่วนนี้เป็นชั้นรองเท้า วางของ แขวนเสื้อ หมวก ร่ม ได้นะ
ภายในห้องเป็นตอนยาว ด้วยระดับพื้นถึงฝ้าที่ 3.15 เมตร และครัวที่ได้มาเป็นครัวเปิด จึงทำให้รู้สึกโล่ง สบาย ผนังของห้องทั้งหมดจะเป็น Feature Wall ผิวปูนเปลือย เข้ากับสไตล์ของโครงการ
บริเวณหน้าประตูจะได้ไฟ Downlight 1 ดวง ฝ้าเพดานเป็นผิวเหมือนผนังเลยครับ เราจะได้ความต่อเนื่องของผนังและฝ้า เป็นลักษณะ Feature Wall ปูนเปลือยเช่นกัน
ขวาหัน มาดูที่ส่วนครัวกัน ซึ่งเราจะได้เป็นครัวเปิด เป็นเคาน์เตอร์ยาวชิดผนัง ส่วนนี้มีข้อดีก็คือ การจัดวางครัวลักษณะนี้จะทำให้ห้องดูโล่ง ใช้งานง่าย แต่หากลูกบ้านท่านไหนที่ชอบการทำครัวเป็นประจำ ก็จะต้องระวังเรื่องควันและกลิ่นจะไปรบกวนพื้นที่ส่วนอื่นของห้อง เพราะด้วยพื้นที่ลักษณะนี้ จะติดตั้งฉากกั้นให้เป็นครัวปิดก็คงจะทำได้ยาก แนะนำให้ใช้พัดลมดูดควัน และเปิดหน้าต่างระบายอากาศช่วยนะครับ
พื้นที่ครัวเป็นวัสดุหน้าบานต่างๆเป็น Laminate High Gloss ทั้งหมด ด้านบนเก็บของได้ยาวตลอดแนว ด้านข้างเว้นพื้นที่ไว้สำหรับวางตู้เย็น ส่วนตรงกลางเป็นเคาน์เตอร์ และด้านล่างเป็นหน้าบานตู้ Laminate เช่นกัน แต่จะเป็นผิวไม้ครับ
ที่ขอบบานเปิดทำมุมให้ ไม่ต้องมีที่จับ หน้าบานจึงดูเรียบเสมอกัน มีระบบ Solf Close ให้ด้วยนะ ไม่ต้องกลัวเสียงดังเวลาปิดตู้
ส่วนตรงกลางจะเป็นเคาน์เตอร์ปิดผิวด้วย Solid Surfaceเป็นแนวยาว มีพื้นที่ทำครัว เตาไฟฟ้า พร้อมเครื่องดูดควันมาให้ ซึ่งจะเป็นแบบต่อท่อส่งออกด้านนอกห้องนะ ส่วนผนังครัวให้มาเป็นกระเบื้องเซรามิค ซึ่งจะง่ายแก่การทำความสะอาดครับ
ตัวอ่างเป็นแบบหลุมสแตนเลสเดี่ยวครับของ MEX พร้อมพื้นที่พักจานด้านข้างครับ
ส่วนเตาเป็นเตาแม่เหล็กไฟฟ้า 3 หัว พร้อมเครื่องดูดควันแบบต่อท่อออกด้านนอก จาก Smeg ไม่ต้องห่วงเรื่องอากาศจะวนเวียนอยู่ในห้องนะครับ
ส่วนพื้นที่ด้านล่างจะมี เตาอบไฟฟ้า มาให้ พร้อมกับช่องเก็บของมากมาย ทั้งแบบบานเปิดใหญ่ แบบไม่มีบานเปิด และแบบลิ้นชักเพื่อแยกเก็บของแต่ละประเภท ทั้งหมดเป็นหน้าบานลามิเนตนะครับ
มาดูส่วนต่อไปของห้องกันครับ ซึ่งยังอยู่บนพื้นที่เดิมนั่นก็คือห้องนั่งเล่น แต่ด้วยความกว้างของพื้นที่ห้อง ทำให้สามารถวางโต๊ะรับประทานอาหารตัวนี้ได้สบายๆเลย ในห้องตัวอย่างเป็นโต๊ะสำหรับ 4 ที่นั่ง ซึ่งสำหรับพื้นที่โดยรอบแล้ว เราสามารถวางโต๊ะสำหรับ 6 ที่นั่งได้เลยนะ
พื้นที่นั่งเล่น ดูทีวีมีขนาดค่อนข้างใหญ่ บริเวณนี้สามารถจัดได้หลากหลายทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นชุดโซฟายาวแบบในห้องตัวอย่าง จะได้พื้นที่ด้านข้างเหลือ เดินไปมาสะดวก หรือจะวางเป็นชุดโซฟาขนาดใหญ่ตัว L เพื่อทำให้พื้นที่นี้สามารถรองรับสมาชิกได้มากยิ่งขึ้น เลือกจัดได้ตามใจเต็มที่เลยครับ นอกจากนั้นพื้นที่นี้ยังเป็นช่องแสงหลักให้กับพื้นที่ Common Area ของห้องนี้อีกด้วย ด้วยแนวกระจกสูงประมาณ 2.6 เมตร ยาวตลอดแนว จึงทำให้แสงส่องไปถึงประตูห้องเลย อย่างที่เราเห็นตอนเปิดประตูเข้ามาครับ
บริเวณนี้มีระยะดูทีวีอยู่ที่ประมาณ 3.8 เมตร เป็นระยะที่ควรจะวางทีวีขนาดใหญ่เลยทีเดียว 55-60 นิ้วขึ้นไปได้เลยนะ
บริเวณนี้รวมโต๊ะรับประทานอาหารและชุดดูทีวีมีไฟ Downlight 2 ดวง ผนังฉาบเรียบทาสีแบบเดิมครับ
ไปดูที่ช่องแสงของเรากันครับ ขนาดใหญ่ตลอดแนว ได้แสงเยอะแบบที่บอกไปแล้ว ไปดูรายละเอียดในส่วนนี้กันครับ บอกได้เลยว่าเป็นอีกจุดนึงของห้องนี้ที่ผมชอบเหมือนกันนะ
ประตูเป็นกรอบบานอลูมิเนียม กระจกนิรภัยหนา 2 ชั้น กันเสียงและความร้อนได้ดี มาพร้อมตัวล็อค ที่พื้นจะมีรางประตูที่ยกขอบขึ้นประมาณ 6 เซนติเมตร เพื่อกันไม่ให้น้ำและฝุ่นเข้าสู่ภายในห้อง
ที่ผมชอบเพราะพื้นที่ภายนอกนี้มีขนาดกว้าง ซึ่งไม่ได้กว้างอย่างเดียว ด้วยระดับเพดานห้องที่สูง เราจึงสามารถเก็บ Condensing Unit ไว้ด้านบนได้ แบ่งส่วนพื้นที่กันอย่างชัดเจน ทำให้สามารถใช้พื้นที่ระเบียงได้อย่างเต็มที่
ขนาดพื้นที่ระเบียงประมาณ 4.1 x 1.3 เมตร ซึ่งถือว่ากว้างเลยนะ วางโต๊ะทานกาแฟขนาดเล็กได้เลย
ด้านบนเก็บ Condensing Unit ไว้เป็นสัดส่วนชัดเจน มีตะแกรงเหล็กดำตามสไตล์การออกแบบของโครงการ ซึ่งมีความสูงที่ไม่มารบกวนพื้นที่ด้านใต้เลย ที่ผนังมีไฟกิ่งให้แสงสว่างบริเวณนี้ 1 ดวง ซึ่งสำหรับระเบียงขนาดใหญ่ที่ยาวลักษณะนี้ ก็อาจจะดูให้แสงสว่างมาน้อยไปหน่อยนะครับ แต่เราสามารถติดเองเพิ่มได้นะ ผนังอีกฝั่งยังว่างอยู่
มองกลับเข้ามาที่ภายในตัวห้อง จะเห็นความโล่งของห้องอย่างที่ผมบอก ซึ่งสังเกตที่ฝั่งขวา จะมีประตูที่เชื่อมต่อไปยังส่วนอื่นๆภายในห้อง 2 จุด ที่ด้านใน และ บริเวณข้างทีวี เราเลยเข้าไปดูฝั่งด้านในกันสักนิดนึงนะ
เดินกลับเข้ามาด้านในจะเห็นว่ามีทางให้เลี้ยวเข้าไปด้านใน ซึ่งบริเวณนี้จะมีทางเดินเข้าไปภายใน มีอีก 2 ห้อง ไปเริ่มดูกันเลยครับ
บริเวณทางเดินนี้กว้างประมาณ 1 เมตร เข้าออกสะดวก เดินสวนกันก็ได้นะ ฝั่งซ้ายมือคือห้องน้ำหลักของห้องนี้ ซึ่งจะใช้ร่วมกันระหว่างพื้นที่ Common Area ด้านนอกนี้ กับห้องตรงกลางข้างหน้าเรา ซึ่งเป็นห้องนอนรอง ส่วนฝั่งขวามือคือตู้สำหรับเก็บของครับ
บริเวณนี้ จะมีระยะจากพื้นถึงฝ้า 2.6 เมตร ซึ่งจะให้ไฟ Downlight มาด้วย 1 ดวงนะ
เลี้ยวซ้ายเข้ามาดูที่ห้องน้ำกันก่อน จะเป็นห้องน้ำทรง 4 เหลี่ยมจัตุรัส มีมาให้ครบ ตั้งแต่อ่างล้างมือที่มาเป็นเคาน์เตอร์เลยมีช่องเก็บของ ส่วนโถสุขภัณฑ์ และส่วนอาบน้ำ ที่ให้ฉากกั้นอาบน้ำมาด้วย ไปดูรายละเอียดแต่ละจุดกันครับ
พื้นที่ภายในเป็นตอนเช้า มีขนาดกว้างพอสมควร นั่งโถสุขภัณฑ์แล้วเหลือพื้นที่สบายๆเลย ที่บริเวณทางเข้าห้องน้ำก็ลดระดับลงจากพื้นที่ภายนอกเล็กน้อย ประมาณ 1-2 เซนติเมตร ผนังมีการปูกระเบื้องขึ้นมาเป็นบัวเชิงผนังให้ สำหรับกันความชื้นที่ผนัง
ส่วนอ่างล้างหน้าให้แนวกระจกเงามายาวจากผนังจนถึงฉากกั้นอาบน้ำ พร้อมผนัง Low Wall ด้านล่าง สามารถวางของได้เยอะทีเดียว
ตัวกระจกสามารถเปิดได้ แบ่งพื้นที่ภายในกระจกออกเป็น 2 ฝั่ง สำหรับแยกผู้ใช้ได้ ภายในแต่ละฝั่งมีชั้นวางมาให้ฝั่งละ 3 ชั้น เก็บของได้เยอะทีเดียว
อ่างล้างหน้าเป็นของ Cristina ฝังอยู่ในเคาน์เตอร์ผิว Solid Surface สีดำ ซึ่งจะมีตัวจับก็อกต่างๆ เป็นผิวดำด้านทั้งหมด เข้ากับสไตล์ Lofts ของตัวโครงการ ด้านในมีปลั้ก และไฟใต้แนวกระจกมาให้ครับ
ด้านล่างเป็นชั้นเก็บของ ทั้งแบบมีหน้าบานลิ้นชัก และพื้นที่วาง รวมๆแล้ววางของได้เยอะพอสมควรนะ
โถสุขภัณฑ์แบบชิ้นเดียวจาก Cristina เช่นกัน ซึ่งจะมาพร้อมตัวกดเพื่อชำระ และที่ใส่กระดาษชำระด้านข้าง ส่วนสายชำระทางโครงการไม่ได้ให้มาด้วยนะ แต่จะเดินท่องานระบบไว้ให้ สำหรับใครที่นิยมใช้ก็สามารถนำมาติดตั้งเองได้ครับ
ตัวปุ่มกดและที่ใส่กระดาษชำระเป็นวัสดุดำด้านเช่นกัน ส่วนที่ใส่กระดาษชำระมีตัวปีกกันน้ำมาให้ด้วยครับ
มาดูกันต่อที่ส่วนอาบน้ำ ซึ่งจะให้ฉากกั้นอาบน้ำมาด้วย เป็นฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัย ที่ผมชอบคือมีความยาวสูงถึงฝ้าเลย แต่จะเว้นช่องตรงกลางไว้ให้สำหรับระบายอากาศ และที่ขอบก็ถูกตกแต่งด้วยวัสดุสีดำด้าน แสดงให้เห็นถึงการคำนึงถึงการตกแต่งภายในที่ต้องการให้สอดคล้องกันในทุกๆส่วน
พื้นที่อาบน้ำถือว่ากว้างทีเดียว ลดระดับลงจากพื้นภายในห้องน้ำอีกประมาณ 2 เซนติเมตร
ส่วนอาบน้ำให้มาทั้ง Hand Shower และ Rain Shower มาเป็นวัสดุสีดำด้านเช่นเดิมครับ ไม่มีพื้นที่สำหรับวางอุปกรณ์อาบน้ำมาให้ ต้องหาชั้นวางมาตั้งหรือจะเจาะผนังเพื่อแขวนกันเองนะ
Hand Shower เป็นรูปทรงกระบอกเล็ก อาจจะไม่ใช่รูปทรงที่คุ้นเคยกันนัก แต่สำหรับที่นี่ต้องมีสไตล์นิดนึงครับ ซึ่งก็จับถนัดมือดีนะ
ฝ้าเพดานเป็นแบบฉาบเรียบทาสี พร้อมไฟ Downlight 2 ดวง ให้พัดลมดูดอากาศมา 2 จุดเลยทีเดียว
ถัดมาเป็นห้องนอนรอง ซึ่งจะใช้ห้องน้ำส่วนของห้องเมื่อสักครู่นะ ภายในมีขนาดกว้างทีเดียว ให้พื้นที่มาเยอะเลย สามารถวางเตียง 6 ฟุตได้สบายๆ พร้อมช่องแสงขนาดใหญ่ภายในห้อง ซึ่งจริงๆก็สามารถทำเป็นห้องอื่นได้นะ นอกจากห้องนอน เป็นห้องทำงาน ห้องดูหนังฟังเพลงก็ได้
ในห้องตัวอย่างเป็นเตียง 5 ฟุต ซึ่งก็เหลือพื้นที่สำหรับวางโต๊ะหัวเตียงได้ทั้งสองฝั่ง เดินเข้าออกสบายๆ
ที่ปลายเตียงมีตู้เสื้อผ้า Built-in มาให้ พร้อมโต๊ะเครื่องแป้งข้างๆ ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถติดทีวีแขวนผนังได้ในส่วนนี้
หน้าบานตู้มีที่จับขนาดกระทัดรัด เป็นวัสดุดำด้านครับ
มีระยะให้เดิน และเปิดหน้าบานตู้เสื้อผ้าได้ปกติเลยนะ ถือว่าขนาดทางเดินกำลังพอดีครับ
ส่วนที่ผนังอาคารจะได้เป็นช่องแสงเต็มๆ มา จากพื้นจนเกือบถึงฝ้า เว้นพื้นที่ไว้ให้ติดรางม่านอยู่นะ ภายในมีหน้าต่างบานกระทุ้ง 1 บาน กว้างประมาณ 94 cm. ซึ่งจะเปิดได้ประมาณ 30 องศา เพื่อระบายอากาศ ไม่อันตรายครับ
บริเวณข้างเตียงส่วนนี้จะมีขนาดพื้นที่สำหรับเดินเข้าออกได้สบายๆ ยืนเปิดหน้าต่าง หรือดูวิวก็ทำได้สะดวกครับ
ฝ้าเพดานเป็นแบบฉาบเรียบทำสีปูนเปลือยเช่นเดิม ให้ไฟ Downlight 1 ดวงครับ ซึ่งภายในห้องจะมีพื้นที่สองระดับนะครับ เพราะมีระบบปรับอากาศเป็นแบบ Concealed Type
หน้าห้องน้ำมีตู้สำหรับเก็บของ หน้าบานเป็นไม้เรียบไปกับผนัง ภายในเก็บของได้เยอะทีเดียว
ขยับไปดูห้องนอนด้านในของห้องกันนะครับ เป็นห้อง Master Bedroom ซึ่งจะมีห้องน้ำในตัวด้วยนะ เข้าไปดูกันเลย
ภายในห้อง Master Bedroom ถึงว่ามีขนาดใหญ่เลยทีเดียว และมีจุดเด่นอยู่หลายจุด ทั้งการรับช่องแสงถึง 2 ฝั่ง, การมีกระจกเข้ามุม, การมีห้องน้ำในตัว พร้อมตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ และโต๊ะทำงาน แถมที่ปลายเตียงยังสามารถวางชั้นวางทีวีได้อีกด้วย ไปดูกันเลยครับ
เริ่มกันที่เตียงขนาด 6 ฟุตที่วางมาในห้องนั้น เหลือพื้นที่เดินรอบด้าน พร้อมทั้งวางโต๊ะหัวเตียงได้ทั้งสองฝั่งอย่างสบายๆเลยครับ
ด้านริมผนังมีแนวกระจกที่เป็นหนึ่งในช่องแสงของห้องนี้
เพราะห้องนี้อยู่ที่มุมอาคาร เลยจะได้มาเป็นกระจกเข้ามุมนะ ทำให้สามารถรับวิวได้มากกว่า 180 องศา รับแสงได้เยอะมากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องมีรางม่าน 2 รางเช่นกัน
พื้นที่ด้านข้างเหลือเยอะมากครับ เอาผ้ามาปูนอนได้เลย วางโต๊ะหัวเตียงขนาดใหญ่ได้ มายืนสูดอากาศชมวิวได้สบายๆ
วิวที่จะได้ของห้องนี้ จะเห็นพื้นที่พักอาศัยแนวราบของฝั่งทิศตะวันตก ซึ่งจะเป็นวิวที่เห็นค่อนข้างโล่งนะ
ที่ปลายเตียงมีพื้นที่สำหรับวางชั้นวางทีวี หรือจะติดเป็นทีวีแขวนผนัง ก็จะได้พื้นที่ส่วนนี้มากยิ่งขึ้น
สำหรับระยะทางเดินจะเหลือค่อนข้างเยอะ อย่างที่เห็นในห้องตัวอย่าง เขาวางเก้าอี้ที่สามารถใช้ร่วมกับโต๊ะที่เป็นชั้นวางทีวีได้ เดินผ่านได้สะดวก นั่งเก้าอี้ทำงานเขียนหนังสือบริเวณนี้ก็ได้ครับ
มองย้อนกลับเข้าไปภายในห้อง จะเห็นตู้เสื้อผ้าอยู่หน้าห้องน้ำ อยู่ในส่วนใต้ฝ้าที่เป็นระบบปรับอากาศแบบ Concealed Type ซึ่งก็จะมีระยะความสูง 2.6 เมตร
พื้นที่ด้านนี้ก็เหลือเยอะเช่นกัน เหมาะสำหรับการเดินเข้าออกห้องน้ำ และใช้งานตู้เสื้อผ้าได้สะดวก
ตู้เสื้อผ้าจัดเต็มมาให้ 2 ฝั่ง แบ่งออกได้เป็นหลายส่วนทีเดียว
ห้องนี้ให้ฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสีปูนเปลือย พร้อมไฟ Downlight 2 ดวงครับ
เข้ามาที่ส่วนสุดท้ายของห้องกัน เป็นห้องน้ำภายในห้องนอน Master Bedroom หรือที่เราจะเรียกห้องนี้กันว่า Master Bathroom นั่นเอง ภายในห้องให้มาคล้ายๆกับห้องก่อนหน้านี้ครับ แต่จะมีความพิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย เข้าไปดูกัน
ขนาดพื้นที่ภายในห้องจะใหญ่กว่าห้องก่อนหน้านี้ซักหน่อยนะครับ ซึ่งจะมีความยาวมากขึ้น ซึ่งภายในห้องน้ำจะยาวถึง 4 เมตร กว้างประมาณ 2.05 เมตรครับ
ส่วนของอ่างล้างหน้า กระจก และโถสุขภัณฑ์จะมีลักษณะโดยรวมเหมือนกับห้องข้างนอกทั้งหมด จะแตกต่างเพียงรายละเอียดเล็กน้อย เพราะขนาดหน้ากว้างไม่เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นอ่างล้างหน้าแบบฝังในเคาน์เตอร์ โถสุขภัณฑ์ พร้อมที่ใส่กระดาษชำระ และผนัง Low Wall ด้านหลัง ที่อยู่ใต้แนวตู้กระจกเงาครับ
จุดแรกที่แตกต่างของห้องนี้คือจะได้ช่องแสงขนาดใหญ่ ยาวจะพื้นถึงฝ้ามาให้เลยนะ ซึ่งจะแบ่งเป็นบาน Fixed ด้านบนและด้านล่าง ส่วนตรงกลางเป็นบานกระทุ้งครับ
ด้านบนซ่อนที่เก็บรางม่านมาให้ด้วยนะ
อีกส่วนที่แตกต่างจากห้องน้ำด้านนอกคือส่วนอาบน้ำ ที่ให้อ่างอาบน้ำมาด้วย ถูกแบ่งส่วนด้วยฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัยเช่นเดิม ขอบเป็นวัสดุดำด้าน และเปิดช่องระบายอากาศไว้ให้
ภายในมีให้เลือกใช้ทั้ง Hand Shower และ Rain Shower แบบเดิมเหมือนกับห้องก่อนหน้านี้ แต่จะได้อ่างอาบน้ำเพิ่มขึ้นมาให้นะ
พื้นที่อาบน้ำก็จัดมาให้กว้างพอสมควรนะ ยืนอาบหมุนตัวได้สบายๆ
ส่วนอ่างอาบน้ำเป็นแบบก่อเคาน์เตอร์ขึ้นมา ซึ่งจะทำให้สามารถวางของรอบๆได้ ทำความสะอาดง่าย และแข็งแรงกว่าแบบวางอยู่กับพื้นนะ มีตัวจับอุปกรณ์ต่างๆ เป็นวัสดุทำสีดำผิวด้าน เช่นกับส่วนอื่นๆครับ
ฝ้าเพดานเป็นแบบฉาบเรียบทาสี พร้อมไฟ Downlight 2 ดวง มีพัดลมดูดอากาศให้ 2 ตัวครับ
มาต่อกันที่ห้องที่ 2 เป็นห้อง 2 Bedroom ขนาด 86 ตร.ม. เล็กกว่าห้องก่อนหน้านี้ 1 ตร.ม. ห้องนี้ก็จะเป็นห้องมุมเช่นกัน แต่จะมีเพียงชั้นละ 1 ห้อง อยู่ทางมุมอาคารฝั่งทิศตะวันออก เป็นฝั่งหน้าโครงการทำให้วิวหลักของห้องนี้จะเป็นวิว ถนนอโศกมนตรี ส่วนอีกฝั่งจะเป็นอาคาร 253 Asoke ด้านข้าง แต่ไม่เปิดไปเจอโดยตรง จุดเด่นคือได้ครัวเป็นตัว L ขนาดใหญ่เป็นสัดส่วน ใช้งานสะดวก แต่ก็เป็นครัวเปิดเหมือนเดิมนะ แยกพื้นที่ Common Area กับ Living Area ชัดเจน ได้ความเป็นส่วนตัว แบ่งพื้นที่ภายในออกเป็น 7 ส่วน ครัว ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ ระเบียงซักล้าง ห้องนอนรอง ห้องนอนหลัก และห้องน้ำภายในห้องนอนหลัก
เมื่อเปิดประตูเข้ามาจะมีพื้นที่ Foyer พร้อมตู้เก็บรองเท้าครับอยู่ด้านหน้า พื้นที่ส่วนนี้ช่วยบังสายตาให้กับพื้นที่ภายในห้องได้เบื้องต้น เดินเข้าไปภายในจะเจอ Pantry ครัว ตัว L เข้ามุม บริเวณนี้ก็ยังเป็นพื้นที่ครัวเปิดเช่นเดิม ทำให้ห้องดูโล่ง แต่ถ้าจะทำอาหารก็อาจจะควบคุมควันและกลิ่นยากอยู่เหมือนกันครับ ถัดมาเป็นพื้นที่ห้องนั่นเล่น ที่มีโต๊ะรับประทานอาหารด้วย ห้องนั่งเล่นมีระยะดูทีวีที่ค่อนข้างกว้าง พอๆกับห้องก่อนหน้านี้สามารถวางโซฟาขนาดใหญ่ได้ มีหน้าต่างขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับระเบียง ระเบียงเป็นขนาดเดิมกับห้องก่อนหน้านี้ครับ กว้างและยาวตลอดแนว ห้องน้ำของห้องนี้อยู่บริเวณด้านในเป็นระหว่างทางเชื่อมไปยังส่วน Living Room ซึ่งจะอยู่ตรงข้ามกับห้องนอนรอง เข้าใช้งานได้สะดวก ห้องนอนรองเป็นห้องที่มีประตูทางเข้าค่อนข้างพิเศษอยู่ที่มุมห้อง ทำให้สามารถเปิดกว้างได้กว่าประตูห้องปกติเชื่อมต่อกับพื้นที่ภายนอกได้ จริงๆห้องนี้สามารถทำเป็นห้องทำงานได้นะ ส่วนห้องนอนหลักจะอยู่ด้านใน ได้วิว 2 ฝั่ง พร้อมห้องน้ำในตัว มีตู้เสื้อผ้าอยู่หน้าห้อง ภายในห้องน้ำมีช่องเปิดและอ่างอาบน้ำให้มาด้วยครับ
มาดูกันต่อที่ห้องที่สองเลยนะ เป็นห้องขนาดพอๆ กันต่างกันเล็กน้อยที่ตำแหน่งและรูปทรงของตัวห้อง ห้องนี้เป็นห้องที่ใช้วัสดุแบบ Raw เช่นกัน จึงจะมีวัสดุ และขนาดต่างๆเหมือนกับห้องที่ผ่านมาเกือบจะทั้งหมดครับ
ภายในห้องจะพบพื้นกระเบื้องเซรามิคลายไม้ ผนัง Feather Wall ปูนเปลือย และมีระดับพื้นถึงฝ้าถายในห้องที่ 3.15 เมตร เช่นเดิมครับ ส่วนหน้าห้องก็เป็นประตูไม้แบบเดิมมาพร้อม Digital Door Lock เมื่อเปิดเข้ามาจะมีตู้เก็บของด้านข้างให้ สำหรับวางรองเท้า และมีพื้นที่ขนาดประมาณ 1.3 เมตร เป็นเหมือน Foyer หน้าประตูห้องสำหรับเปลี่ยนรองเท้า เข้าออกจากห้องครับ
หันเข้ามาภายในห้อง จะพบส่วนพื้นที่ครัว และพื้นที่รับประทานอาหาร ซึ่งจะเชื่อมต่อไปถึงพื้นที่นั่งเล่นด้านใน จะได้แสงที่ทะลุเข้ามาถึงพื้นที่นี้เลยนะ
ครัวของห้องนี้จะได้เป็นลักษณะตัว L เข้ามุม ข้อดีคือใช้งานง่าย พลิกตัวสำหรับทำครัวสะดวก มีตำแหน่งเป็นสัดส่วนช่วยทำให้ห้องดูกว้างมากยิ่งขึ้น ส่วนข้อเสียนิดหน่อยของพื้นที่ตรงนี้คือจะกั้นแบ่งเป็นครัวปิดได้ยาก ในกรณีที่อยากต่อเติม
ส่วนด้านบนจะเป็นหน้าบานเปิดทั้งหมดลักษณะเดียวกับห้องก่อนหน้านี้ วัสดุเป็น Laminated High Gloss มีทำมุมด้านล่างให้สามารถจับได้สะดวก และ Solf Close ในตัว
ส่วนที่ตรงกลางจะมีเคาน์เตอร์ครัวที่ปิดผิวด้วย Solid Surface อ่างล้างจาน และเตาแม่เหล็กไฟฟ้าให้มาเช่นเดิมครับ
เตาแม่เหล็กไฟฟ้า 3 หัว พร้อมเครื่องดูดควันจาก Smeg ส่วน อ่างล้างจานสแตนเลสแบบหลุมเดี่ยว จาก MEX ครับผม แบบเดียวกันกับห้องก่อนหน้านี้
ที่ชั้นล่างจะมีช่องสำหรับใส่เครื่องซักผ้าแบบผ้าหน้า ขนาดประมาณ 60 เซนติเมตร เตาอบไฟฟ้า และช่องใส่ของอีกมากมาย ทั้งแบบหน้าบานใหญ่ที่ใต้อ่างล้างจาน ลิ้นชักสำหรับแยกเก็บของตามประเภทต่างๆ เป็นหน้าบานลามิเนตลายไม้ทั้งหมด
บริเวณนี้เป็นฝ้าฉาบเรียบทาสีมีไฟ Downlight ให้ 1 ดวงที่หน้าประตู และ 2 ดวง ที่ส่วนครัว มีระดับพื้นถึงฝ้าอยู่ที่ 2.6 เมตร เพราะอยู่ใต้งานระบบเครื่องปรับอากาศแบบ Concealed Type ครับ
ส่วนต่อไปภายในห้องคือห้องพื้นที่นั่งเล่นครับ ขนาดพื้นที่ค่อนข้างกว้าง สามารถจัดได้หลากหลาย ไม่แพ้ห้องที่ผ่านมาเลยครับ ซึ่งจะมีช่องเปิดบริเวณนี้เป็นช่องแสงหลักของห้อง ยาวเข้าไปถึงหน้าประตู อย่างที่เห็นกันมาแล้ว นอกจากนั้นยังใกล้กับพื้นที่ส่วน Living Area ของห้อง จึงเป็นเหมือนพื้นที่หน้าห้องของห้องนอนแต่ละห้องเลยนะ แจกไปยังส่วนอื่นๆต่อได้สะดวก
ห้องนี้จะมีระยะดูทีวีอยู่ประมาณ 3.8 เมตร ซึ่งจะสามารถวางทีวีขนาดใหญ่ได้เลยนะ แนะนำให้ใช้ทีวีขนาด 55-60 นิ้วครับ
พื้นที่ฝั่งตรงข้ามกับโซฟา สามารถใช้เป็นทีวีแขวนผนัง หรือ Built-in เป็นตู้ยาวได้นะ เพราะแนวผนังให้มาโล่งเลยยาวตลอดแนว
ฝ้าเพดานส่วนนี้จะได้มาเป็นแบบฉาบเรียบทาสีพร้อมไฟ Downlight 4 ดวงครับ
ไปดูส่วนต่อไปครับ เป็นพื้นที่ระเบียงที่เชื่อมต่อผ่านพื้นที่ห้องนั่งเล่นนี้ ด้วยประตูกระจกนิรภัยสองชั้น กันเสียงและกันความร้อน
มีรางอลูมิเนียมและตัวล็อคประตูบานเลื่อน ระหว่างพื้นห้องกับรางอลูมิเนียมมีตัวจบ เก็บงานเรียบร้อยดีครับ
พื้นที่ระเบียงด้านนอกก็เหมือนเดิมครับ ขนาดค่อนข้างกว้าง สามารถใช้งานพื้นที่ภายนอกนี้ได้ ซึ่งจะมีขนาดมากกว่าห้องก่อนหน้านี้นิดหน่อยนะ ประมาณ 4.375 x 1.3 เมตร ราวกันตกเป็นแนวกระจกขอบดำ
พื้นที่ด้านบนเก็บ Condensing Unit เช่นเคยครับ ทำให้พื้นที่ด้านล่างนี่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ ผนังฉาบเรียบทาสีให้ไฟกิ่งมาหนึ่งดวงครับ
พื้นที่ต่อไปภายในห้องครับ ไปยังส่วน Living Area กัน ซึ่งแบ่งส่วนชัดเจนดีนะ ซึ่งบริเวณนี้จะถูกแยกออกไป 3 ส่วนนะครับ ส่วนซ้ายมือคือห้องน้ำหลักของห้อง ตรงกลางคือห้องนอนหลัก Master Bedroom ส่วนด้านขวาคือห้องนอนรอง ใช้ห้องน้ำร่วมกับห้องน้ำกลางฝั่งตรงข้ามครับ
มาดูฝั่งซ้ายมือกันก่อนนะครับ ห้องน้ำมีลักษณะเหมือนห้องก่อนหน้านี้เลยครับ แยกส่วนเปียกแห้ง ชัดเจน สีและวัสดุภายในห้องน้ำยังเป็นลักษณะสไตล์เดิมครับ เน้นสีดำด้าน กับวัสดุลายธรรมชาติ
ประตูอยู่กลางห้อง อาจจะทำให้เวลาเปิดแล้วอาจจะดูเหมือนห้องน้ำไม่กว้างมากนัก แต่พอปิดประตูจะเห็นว่าขนาดพื้นที่ภายในค่อนข้างกว้าง สะดวกสบายทีเดียว พื้นภายในห้องน้ำลดระดับลงจากพื้นภายในห้องประมาณ 2 เซนติเมตร
อ่างล้างหน้าแบบฝังเคาน์เตอร์ Solid Surface และโถสุขภัณฑ์มาจาก Cristina ด้านหลังมีผนัง Low Wall และกระจกยาวตลอดแนวที่ด้านบน สามารถเปิดได้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน เช่นเดียวกับห้องที่ผ่านมาครับ
ส่วนอาบน้ำมีฉากกั้นมาให้เช่นเคย พร้อมขอบและราวจับสีดำด้าน ด้านบนเว้นช่องไว้ให้ระบายอากาศ
พื้นที่อาบน้ำประมาณ 1 x 2.05 เมตร ก็กว้างดีนะครับ ตัวพื้นที่อาบน้ำลดระดับลงจากพื้นภายในห้องน้ำประมาณ 2 เซนติเมตร
ส่วนอาบน้ำจะได้เป็น Hand Shower และ Rain Shower สีดำด้านนะครับ จะไม่มีพื้นที่สำหรับวางเครื่องอาบน้ำมาให้ อาจจะต้องนำชั้นมาตั้ง หรือเจาะแขวนที่วางเอาเองนะ
พื้นที่ภายในห้องน้ำจะได้ไฟ Downlight 2 ดวง พร้อมพัดลมดูดอากาศมาให้ครับ
ห้องฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้องนอนรอง ซึ่งจริงๆสามารถจัดให้เป็นห้องทำงาน ห้องดูหนังฟังเพลง หรือห้องอื่นๆได้นะ เพราะมีความพิเศษที่ประตูทางเข้าของห้องนี้ ที่มีลักษณะเปิดออกสองฝั่ง มีระยะเข้าห้องที่ค่อนข้างกว้าง ซึ่งจะเปิดเชื่อมต่อกับพื้นที่นั่งเล่นตรงกลางได้เยอะกว่าประตูปกติ เป็นระบบรางบน จึงไม่ต้องกังวลว่าจะเดินสะดุดนะ
พื้นที่ภายในห้องก็มีช่องแสงมาให้ 1 จุด พร้อมสามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุตแล้วเดินผ่านไปมาได้สะดวก มีโต๊ะหัวเตียงให้ด้วย
หน้าต่างสูงจากพื้นเกือบถึงฝ้าด้านบนเลยนะ ได้แสงตลอดแนวห้อง มีบานกระทุ้งให้หนึ่งบานครับ
ฝ้าเพดานฉาบเรียบเป็นสีเดียวกับผนัง พร้อมไฟ Downlighht 1 ดวง ระบบปรับอากาศจะเป็น Concealed Type
ออกมาดูกันที่ห้องด้านในสุดกันนะ เป็นห้องนอนหลักนั่นเอง Master Bedroom มีตำแหน่งอยู่ลึกที่สุด ได้ความเป็นส่วนตัว
เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้อง จะเป็นแนวทางเดินก่อนจะถึงพื้นที่พักผ่อน ซึ่งบริเวณนี้จะได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้นนะ เปิดมาไม่เจอเลย แถมยังมีพื้นที่ให้วางแนวตู้เสื้อผ้า ที่มีพื้นที่หน้าตู้ค่อนข้างกว้าง สำหรับใครที่ชอบแต่งตัว สามารถติดกระจกที่ผนังอีกฝั่งตรงข้ามตู้เสื้อผ้า ก็จะทำให้มุมนี้กลายเป็นทั้งทางเข้าออกและมุมแต่งตัวไปด้วยเลยก็ได้นะครับ
เดินพ้นแนวตู้เสื้อผ้าเข้ามาถึงจะพบกับพื้นที่ภายในห้อง ซึ่งจะมีความกว้างพอสมควรเลย ข้อดีคือได้แสงจาก 2 ฝั่ง เพราะเป็นห้องมุม ปลายเตียงมีพื้นที่สำหรับติดทีวีแขวนผนังได้ครับ
ส่วนเดินตรงๆเข้ามา จะเจอกับช่องแสงอีกจุด ที่หันไปทางอาคาร 253 Asoke ทางฝั่งทิศเหนือ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องแสง ที่ส่องเข้ามาถึงพื้นที่แต่งตัวที่ประตูทางเข้าได้ครับ
ไปดูส่วนพักผ่อนกันก่อนเลยนะ เตียงด้านในวางขนาด 6 ฟุต สามารถทำเป็นโต๊ะหัวเตียงด้านข้างได้สบายๆเลย ซึ่งถ้าจองในช่วงเดือนมีนานี้ ก็จะได้เฟอร์นิเจอร์แบบห้องตัวอย่าง ซึ่งจะเป็นเตียงตัวนี้เลยครับ
ด้านในมีช่องแสง คล้ายกับห้องนอนรอง ขนาดเท่ากัน เป็นบาน Fixed ผสมกับบานกระทุ้ง เปิดระบายอากาศได้ รับวิวทิศตะวันออก ถนนอโศกมนตรี
พื้นที่ด้านข้างเหลือเยอะทีเดียว ทำโต๊ะหัวเตียงขนาดใหญ่ หรือจะวางโคมไฟก็ได้ครับ
ปลายเตียงเป็นผนังทึบมาให้ มีพื้นที่สำหรับทำชั้นวางทีวี หรือทีวีแขวนผนังได้นะ
ทางเดินตรงนี้ก็สบายๆเลย เดินผ่านไม่ต้องเอียงตัวครับ เดินสะดวก
มองกลับเข้ามาภายในตัวห้องจะเจอพื้นที่โต๊ะทำงานเป็นโต๊ะยาว และพื้นที่ห้องน้ำ ซึ่งใช้งานสะดวกดีนะ ใกล้กับส่วนของตู้เสื้อผ้า แต่งตัวหน้าห้องน้ำได้เลย
พื้นที่ส่วนฝั่งด้านในห้องที่จะเป็นพื้นที่ของห้องน้ำ ก็เว้นพื้นที่ไว้ให้ค่อนข้างเยอะ เพราะบริเวณนี้เป็นพื้นที่ต้องเดินผ่านไปมาประจำ ทั้งเข้าออกห้อง และเข้าห้องน้ำ
ภายในห้องน้ำเหมือนกับห้องน้ำ Master Bathroom ของห้องก่อนหน้านี้เลยครับ ซึ่งจะมีอ่างอาบน้ำมาให้ด้วยเช่นกัน ส่วนพื้นที่ภายในส่วนอื่นๆจะเป็นลักษณะเดิม ทั้งพื้น ผนัง วัสดุและสุขภัณฑ์
พื้นที่ภายในห้องน้ำจะค่อนข้างกว้าง ส่วนโถสุขภัณฑ์จะอยู่ติดช่องแสงด้านใน ซึ่งจะมองเห็นวิวภายนอกนะ แต่ภายนอกจะมองเข้ามาไม่เห็น ซึ่งก็ถือว่าดีทีเดียว เพราะเป็นส่วนพื้นที่ที่ใช้งานบ่อยในห้องน้ำ ทางเข้าห้องน้ำลดระดับลงจากพื้นห้องประมาณ 2 เซนติเมตร
อ่างล้างหน้าแบบฝังเคาน์เตอร์ Top Solid Surface และโถสุขภัณฑ์ ใช้ของ Critina รุ่นเดิม มีผนัง Low wall ให้ที่ด้านหลัง ด้านบนเป็นกระจกเงาเปิดเก็บของภายในได้ครับ
ช่องแสงด้านในจะเป็นบานกระทุ้ง ตรงกลาง บาน Fixed บนล่าง ด้านบนสุดมีฝ้าที่ซ่อนรางม่านไว้ให้
ฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัย พร้อมราวจับและขอบสีดำด้าน เว้นพื้นที่ระบายอากาศด้านบนให้ จัดมาเหมือนเดิมครับ
ส่วนพื้นที่อาบน้ำจะมีทั้ง Hand Shower, Rain Shower ที่เป็นสีดำด้าน และอ่างอาบน้ำแบบก่อมาให้ด้านข้าง มีพื้นที่วางรองรอบด้านครับ
พื้นที่ภายในส่วนอาบน้ำค่อนข้างกว้าง จะยืนอาบหรือลงไปอาบในอ่างก็ได้หมดเลย
ฝ้าเพดานเป็นแบบฉาบเรียบทาสี พร้อมไฟ Downlight 2 ดวง มีพัดลมระบายอากาศให้อีก 2 ตัว รวมกันกับช่องแสงที่เปิดระบายอากาศได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องความชื้นเลยครับ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 28 February 2019
- 1 Bedroom ชั้น 16 Type 1B เนื้อที่ 35.61 ตร.ม. ราคา 8.2 ล้านบาท
- 1 Bedroom ชั้น 3 Type 1A เนื้อที่ 49.17 ตร.ม. ราคา 9.9 ล้านบาท
- 1 Bedroom ชั้น 25 Type 1A เนื้อที่ 49.17 ตร.ม. ราคา 11.8 ล้านบาท
- 1 Bedroom ชั้น 35 Type L1B เนื้อที่ 79.09 ตร.ม. ราคา 21.8 ล้านบาท
- 2 Bedroom ชั้น 3-26 Type 2A เนื้อที่ 86.85, 87.74 ตร.ม. ราคา 16-20.6 ล้านบาท
- 2 Bedroom ชั้น 11-30 Type 2B เนื้อที่ 85.40 ตร.ม. ราคา 17.3-20.9 ล้านบาท
- 2 Bedroom ชั้น 20-27 Type 2C เนื้อที่ 75.40 ตร.ม. ราคา 17.2-18.3 ล้านบาท
- Fully Fitted
- ฝ้าเพดานสูง 3.15 เมตร สำหรับห้อง Loft
- ฝ้าเพดานสูง 5.6 เมตร สำหรับห้อง Loft Duplex
- Kitchen & Sink
- Hob & Hood
- จอง 100,000
- ทำสัญญา 10% ของราคาห้อง(ภายใน 14 วัน)
- ค่ากองทุน 800 บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 85 บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับฃ
“สำหรับผู้ที่สนใจโครงการ ขอเชิญลงทะเบียนที่ https://bit.ly/2F6vekF หรือมาเยี่ยมชมได้ที่งาน “The Ultimate Living 2019” ตั้งแต่วันที่ 20-26 มี.ค. เวลา 10:00-22:00 น. ที่ชั้น 6 เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9”
ทำเล – ทำเลของโครงการตั้งอยู่บนถนนอโศกมนตรี ค่อนไปทางถนนเพชรบุรี ถือว่าอยู่ในย่าน CBD ของเมือง ถูกรายล้อมด้วยอาคารสำนักงาน ที่พักอาศัย และสถานศึกษา ทั้งมัธยมไปจนถึงอุดมศึกษา เรื่องความอุดมสมบูรณ์ถือว่าค่อนข้างเพรียบพร้อม ทั้งของกินในระยะเดิน มีร้านค้าร้านอาหารตามตึกแถวริมถนนอโศกมนตรี ฝั่งตรงข้ามๆเยื้องๆ กันมี บ้านก้ามปู@อโศก ภายในมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟชื่อดังหลายร้านทีเดียว ส่วนห้างสรรพสินค้าก็อยู่ไม่ไกล ในระยะ 1-2 กม. ที่สำคัญใกล้กับแหล่งศูนย์การของเมืองทั้งฝั่งชิดลม-สยาม หรือจะเป็น พร้อมพงษ์-ทองหล่อ ก็ถือว่าเดินทางไปได้สะดวกทีเดียว ตัวอาคารตั้งอยู่ในพื้นที่ ที่มีอาคารสูงขนาบทั้งสองข้างแต่ก็ไม่อยู่ในระยะประชิดมากนัก จึงมีวิวเปิดโล่งหลักๆเลย 2 ทิศทาง คือ ทางทิศตะวันออกและตะวันตก ที่จะไม่โดนอาคารสูงบดบังทัศนียภาพ แต่ทิศอื่นที่เหลือถ้าเลือกห้องความสูงเกินชั้นที่ 20 ขึ้นไปก็จะได้วิวเปิดเช่นกัน ตัวโครงการอยู่ติดถนนใหญ่ จะเดินทางด้วยรถยนต์หรือเรียกรถสาธารณะก็ถือว่าสะดวก นอกจากนั้นยังไม่ไกลรถไฟฟ้า MRT สถานีเพชรบุรี หรือจะเป็น Airport Rail Link สถานีมักกะสัน ก็ได้ เรียกได้ว่าเดินทางสะดวกสะดวกมากๆทีเดียว
การเดินทางโดยใช้รถ – เส้นทางมาโครงการได้หลายวิธี ทั้งจากฝั่งถนนอโศกมนตรี และฝั่งถนนเพชรบุรี แต่ถ้าหากเป็นทางถนนเพชรบุรีในช่วงเวลาเร่งด้วยจะเลี้ยวเข้าตัวโครงการได้ยาก อาจจะต้องตรงเลยไปเพื่อกลับรถมาเข้าโครงการ กรณีจะใช้ทางด่วนจากโครงการวิ่งไปจุดทางขึ้นทางด่วนศรีรัช (ไปทางจตุรทิศ,แจ้งวัฒนะ) แค่ประมาณ 700 เมตร เท่านั้น หรือถ้ามาจากทางแยกรัชดา-พระราม9 และมีจุดขึ้นอีกจุดหนึ่งจุดไป (พระราม 9,มอเตอร์เวย์) ให้เลือกใช้ แต่ก็มีข้อระวังเป็นที่รู้กันเรื่องการจราจรติดขัดในย่านนี้ที่อาจจะหลีกเลี่ยงยากยิ่งในชั่วโมงเร่งด่วน ก็ต้องวางแผนเรื่องเวลาในการเดินทางให้ดีๆ โครงการใช้ระบบจอดรถแบบ Automated carpark ช่วยประหยัดพื้นที่ และทำให้สามารถจอดรถได้ 100%
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ – การเดินทางโดยไม่ใช้รถจัดว่าสะดวกมากอยู่ห่างจาก MRT เพชรบุรี 200 ม. เป็นระยะที่เดินถึงสบายๆ หรือจะไปใช้ Airport Link มักกะสัน ก็ห่างไปประมาณ 400 ม. ซึ่งถ้าเดินเรื่อยๆอากาศไม่ร้อนมากก็พอเดินไหว แต่อยากจะเปลี่ยนบรรยากาศไปเลือกใช้เส้นทางเรือ ขึ้นที่ท่าเรืออโศก ซึ่งห่างจากโครงการ ประมาณ 280 ม. ต้องเดินลงใต้สะพาน ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเดินทางได้ ทั้งสะดวกและไม่ต้องเจอกับรถติดซึ่งก็จะมีผู้มาใช้บริการกันมากในชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากนั้นการที่ตัวโครงการตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ ทำให้รถสาธารณะอย่างอื่นๆ เช่น Taxi, วินมอเตอร์ไซค์ และรถประจำทาง ใช้งานได้ค่อนข้างสะดวกมากๆครับ
การออกแบบ – จากที่ดินประมาณ 1.5 ไร่ จัดวางผังอาคารไว้เต็มพื้นที่ของที่ดิน จัดห้องได้ 211 ยูนิต เทียบดูในแต่ละชั้น จะมีจำนวนห้องสูงสุดอยู่ที่ 7 ห้องต่อชั้น ซึ่งก็ดูแล้วไม่หนาแน่น เป็นส่วนตัว ให้พื้นที่ส่วนกลางกระจายอยู่ตามชั้นต่างๆ หลักๆคือใช้ร่วมกันที่ชั้นล่าง และที่ชั้น 31 ของอาคาร และพื้นที่สีเขียวไว้ตามชั้นอื่นๆบ้าง เพื่อผู้อยู่อาศัยสามารถเลือกใช้งานเข้าถึงได้มากขึ้น มีแบบห้องให้เลือกหลากหลายแบบ ตั้งแต่ 1 Bedroom , 2 Bedroom และ Duplex ขนาดห้องเริ่มตั้งแต่ 35 ตร.ม. ถือว่าจัดพื้นที่มาให้ค่อนข้างเยอะ ทำให้สามารถจัดพื้นที่การใช้งานในส่วนต่างๆง่ายขึ้น ห้องไม่ดูอึดอัด ด้วยความสูงของตัวอาคาร ทำให้ได้วิวและมุมมองเปิดกว้าง มีการนำเทคโนโลยีต่างๆ เช่นการนำที่จอดรถอัตโนมัติมาใช้เพื่อเพิ่มพื้นที่จอดรถ และลดพื้นที่สำหรับจอดปกติ ทำให้ได้พื้นที่ภายในโครงการมากยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องการออกแบบอาคารและพื้นที่ภายในถือว่าทำออกมาได้ตามแนวคิด ทุกพื้นที่มีความกลมกลืนกันดี
รวมถึงการออกแบบภายในห้องพักอาศัย ที่จะจัดพื้นที่ให้ดูโล่ง ด้วยเพดานห้องที่ยกสูง หน้าต่างที่รับแสงธรรมชาติได้เยอะเต็มแนวโครงสร้างอาคาร และครัวเปิด ที่ทำให้ห้องดูโล่งและกว้างมากยิ่งขึ้น ทำให้ได้ห้องนั่งเล่นใหญ่ สามารถจัดได้หลายรูปแบบ แต่ก็อาจจะต้องระวังเรื่องการทำอาหาร เพราะกลิ่นและควันจะควบคุมได้ยาก ภายในห้องแบ่งพื้นที่ Common Area และ Living Area ชัดเจน ทำให้ง่ายต่อการจัดการ และได้ความเป็นส่วนตัว ส่วนพื้นที่ภายในห้องน้ำก็มีการออกแบบวัสดุให้สอดคล้องกับแนวคิดโครงการ และยังเน้นการเจาะช่องแสง ซึ่งจะมีในทุกๆห้องเลยก็ว่าได้ พื้นที่ระเบียงมีขนาดใหญ่ เนื่องจากระยะเพดานสูงจึงเก็บ Condensing Unit แยกด้านบน และใช้งานพื้นที่ระเบียงได้อย่างเต็มที่
วัสดุ – เน้นการออกแบบจาก Concept ” Industrial Loft Style” ถือเป็นจุดเด่นของโครงการ และมี Material design วัสดุตกแต่งภายในห้อง ให้เลือกได้อีก 3 แบบ ที่จะให้โทนสี Mood and tone แตกต่างกันออกไป แต่ปัจจุบันตึกสร้างเสร็จแล้ว ทำให้แต่ละห้องที่เหลือขายอยู่ จะมีรูปแบบวัสดุที่ถูกตกแต่งไป โดยทางโครงการเลือกใช้พื้นกระเบื้องเซรามิคลายไม้ ผนังเป็น Feature wall เป็นผนังทำสีและลายพิเศษเหมือนกับทั้งคอนกรีตเปลือยและโหละสีสนิม โครงการขายห้องแบบ Fully Fitted น่าจะเหมาะกับลูกค้าที่ชอบแต่งห้องเอง ที่โครงการมีให้ คือ Digital Door Lock จาก igloohome ชุดตู้เสื้อผ้า Built-in ในห้องนอน, ชุดครัวและชุดอุปกรณ์ ต่างๆภายในห้องน้ำ ในส่วนของชุดอุปกรณ์ต่างๆที่ได้ ชุดครัว Built-in หน้าบานเป็น Laminated มีทั้งแบบ High Gloss และ บานไม้ ส่วน Top เคาน์เตอร์เป็น Solid Surface ผนังส่วนครัวเป็นกระเบื้องให้ชุดเตาแบบแม่เหล็กและ Hood ดูดควันของ Smeg ในส่วนของห้องน้ำให้เหมือนห้องตัวอย่างทั้งหมด เป็นสุขภัณฑ์ของ Cristina อุปกรณ์ชุดอาบน้ำโทนสีดำ เหนืออ่างเป็นชุดตู้สำเร็จกรุกระจก หน้าต่างกระจกบานใหญ่ลดความร้อนและป้องกันเสียง เหมาะกับห้องเน้นเห็นวิว ห้องจะไม่ร้อนและเงียบจากสิ่งรบกวนภายนอก ในส่วนของความเรียบร้อยอื่นๆภายในห้องถือว่าเก็บงานได้เรียบร้อยดี
สาธารณูปโภค – สภาพโครงการต้องบอกก่อนว่าอาคารพึ่งสร้างเสร็จสดๆร้อนๆ บรรยากาศภายในถือว่าใหม่แกะกล่องเลยทีเดียว และด้วยการตกแต่งในสไตล์ Loft ที่โดดเด่น ทำให้ทุกพื้นที่ดูมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งโครงการ ด้วยโทนสีและประเภทวัสดุ รวมถึง Space ที่จะเน้นเพดานสูง โล่ง กว้าง รับแสงธรรมชาติได้เยอะ ดูกลมกลืนกันไปหมด ส่วนจำนวน Facility มีให้เลือกใช้ค่อนข้างหลากหลาย เริ่มตั้งแต่ชั้นล่างของตัวอาคาร จะประกอบ Triple Volume Ceiling Lobby, Residential Lounge & Workspace ที่รวมถึง Meeting Room ภายในด้วย และ Fitness ส่วนสระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาด 25 x 5 ม. ลึก 1.2 ม. จะอยู่ที่ชั้น 31 ว่ายน้ำมองเห็นวิวเมือง และมี Steam room แยกห้องอาบน้ำไว้ให้ และ Sky garden and Sun decks ให้ด้วย ในส่วน Landscape จะมีอยู่บริเวณรอบพื้นที่ส่วนกลาง และที่ระหว่างชั้นต่างๆ ที่ชั้น 4, 31, 35, 39 เพื่อกระจายพื้นที่ให้สามารถเข้าในง่ายได้ทั่วถึงกันมากขึ้น ลิฟต์โดยสาร 3 ตัวต่อหนึ่งอาคาร อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 70.3 : 1 ถือว่ากำลังดีครับ
Judgement
ราคาของคอนโดนี้ถือเป็นระดับ SUPER LUXURY CLASS ซึ่งความคุ้มค่าด้านราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อ ความคุ้มค่าด้านอารมณ์คือปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตราบเท่าที่ทางเรายังไม่สามารถวัดค่ามาตรฐานทางอารมณ์ได้ ทาง Think of Living ขอไม่ให้คะแนนฟันธงในรีวิวเจาะลึกนะครับ เพราะมีตัวเปรียบเทียบน้อย เป็นสินค้าประเภท Unique เสียส่วนใหญ่ และเราก็เชื่อว่าลูกค้าที่พร้อมจะซื้อคอนโดระดับนี้ ไม่ตัดสินง่ายๆด้วยคะแนนแน่นอน
BOTTOM LINE
The Lofts Asoke เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดในเมืองย่านอโศก ใกล้ย่านธุรกิจและแหล่งงาน ที่มีความ Private สามารถเลือกใช้รถส่วนตัวหรือใช้รถไฟฟ้าใต้ดินก็ได้ เป็นคนที่ชอบการออกแบบที่แตกต่าง มีสไตล์ ซื้อของตามความต้องการไม่ใช่ตามตลาดที่เขานิยม สนใจเนื้อ Product และรายระเอียดของวัสดุ มีงบประมาณระดับ 8.2 – 33.8 ล้าน หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 80,000 – 200,000 บาท/เดือน