รีวิวโครงการ

The ESSE สุขุมวิท 36 รีวิวคอนโด : คิดเรื่องอยู่ Ep.542

23 มกราคม 2021

อ่านรีวิวล่าสุด

รีวิวฉบับที่ 2150 …สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่กันแล้วสำหรับ The ESSE Sukhumvit 36 เป็นอีกหนึ่งคอนโด High Rise สุดหรูจาก Singha Estate  ที่ได้ทำเลติดถนนสุขุมวิท ห่างจาก BTS ทองหล่อประมาณ 20-30 m. เท่านั้น โดยโครงการนี้มีการร่วมทุนกับทาง Hongkong Land บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำธุรกิจในฮ่องกง ออกแบบตามแนวคิดเรือนไทย ฟังก์ชันจึงเข้ากับภูมิอากาศของบ้านเรามากๆ จะเป็นอย่างไรไปชมกันเลยค่ะ

ข้อมูลโครงการ

03 November 2020

  • The ESSE Sukhumvit 36 Condominium (ดิ เอส สุขุมวิท 36 คอนโดมิเนียม)
  • บริษัทร่วมทุนระหว่างสิงห์ เอสเตท และ ฮ่องกงแลนด์
  • SUPER LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2020 ได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่: ถนนสุขุมวิท (ใกล้ซอยสุขุมวิท 36) เขตวัฒนา
  • ที่ดินประมาณ 2-2-0 ไร่
  • คอนโด High Rise 43 ชั้น 1 อาคาร 338 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 12 ยูนิต
  • ที่จอดรถ (ชั้นจอดรถปกติ+Automatic Parking) ประมาณ 301 คันคิดเป็น 89% รวมจอดซ้อนคัน เป็น 100%
  • เริ่มก่อสร้าง : มกราคม 2018
  • สร้างเสร็จพร้อมอยู่ : ตุลาคม 2020
  • ห้องพักอาศัย

  • 1 Bedroom 38.50 – 43.25 ตร.ม.
  • 2 Bedroom 73.50 – 77 ตร.ม.
  • 3 Bedroom 116.75 – 124.25 ตร.ม.
  • Penthouse 252 ตร.ม.

  • ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้น 12.6 ล้านบาท (1 Bedroom ขนาด 38 ตร.ม.)
  • ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการประมาณ 330,000  บาท/ตร.ม.
  • ช่วงราคาต่อตารางเมตร ต่ำสุด – สูงสุดประมาณ 320,000 – 365,000 บาท/ตร.ม.
  • ว็บไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • Call Center : 1221
  • สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มค่ะ

    ทำเลที่ตั้ง

    พิกัด Google Maps : 13.724639, 100.577719
    หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

    จากแผนที่โครงการ The ESSE Sukhumvit 36 ตัวโครงการอยู่ติดถนนสุขุมวิทเลย ใกล้ๆกับบริเวณปากซอยสุขุมวิท 36 ห่างจากบันไดทางขึ้นลง BTS ทองหล่อ เพียง 30 เมตรเท่านั้น

    พื้นที่นี้ถือเป็นใจกลางเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยความอุดมสมบูรณ์สูงมาก อยู่ใกล้กับแหล่งร้านอาหารชิคๆ, Community Mall, Supermarket, โรงแรม และห้างสรรพสินค้าสุดหรูต่างๆ มากมาย รวมไปถึงสถานศึกษานานาชาติ และโรงพยาบาลเอกชนอย่างสมิติเวช สุขุมวิทเป็นต้น

    ทำเลโครงการตั้งอยู่ในย่านทองหล่อฝั่งเลขคู่ แต่ไม่ได้อยู่ในซอยเหมือนชื่อโครงการนะคะ ทางเข้า-ออกโครงการจริงๆ จะอยู่ติดถนนสุขุมวิทเลย แค่อยู่ใกล้กับซอยสุขุมวิท 36 เท่านั้นเอง นับเป็นทำเลที่แตกต่างจากเพื่อนๆ คอนโด Super Luxury ในย่านนี้ที่มักจะกระจุกตัวกันอยู่ในซอยทองหล่อซะส่วนใหญ่ จัดเป็นทำเลที่นับวันจะหาได้ยากขึ้น แล้วก็แพงขึ้นเรื่อยๆ เพราะอยู่ติดถนนสุขุมวิทในย่านทองหล่อเลย ..เดิมทีที่ดินผืนนี้เคยเป็นที่ดินผืนใหญ่ของทาง Fragrant ต่อมาได้แบ่งพื้นที่มาประมาณ 2 ไร่ขายต่อให้ทาง Singha Estate จึงยังมีที่ดินติดกันเป็นของ Fragrant อยู่นะคะ

    ตัวทำเลนี้เองจัดว่าสะดวกในการเดินทางดีมาก สำหรับการเดินทางเข้าเมืองสามารถใช้ถนนสุขุมวิทเป็นเส้นทางหลักได้เลยค่ะ หรือจะใช้ซอยสุขุมวิท 36 ก็ง่าย ออกจากโครงการแล้วสามารถเลี้ยวเข้าซอยได้เลย สามารถเลาะไปออกถนนพระราม 4 ทางซอยแสนสบายเยื้องกับโรงพยาบาลเทพธารินทร์ได้ รวมทั้งใครที่วิ่งมาจากเส้นพระราม 4 ก็สามารถไปทะลุออกซอยสุขุมวิท 38 แล้วค่อยเลี้ยวเข้าโครงการอีกทีก็ไม่ยาก ไม่ต้องกลับรถด้วยค่ะ

    ส่วนจุดเด่นของทำเลโครงการเลยคืออยู่ใกล้ BTS ทองหล่อ ในระยะเดินประมาณ 30 m. ก็ถึงทางขึ้น-ลงสถานีแล้ว หรือถ้าใช้ลิฟต์ก็จะมีระยะประมาณ 20 m. ค่ะ สำหรับใครที่เน้นใช้รถไฟฟ้าในการเดินทางต่างๆ นั้นถือว่าสะดวกมากทีเดียว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่มีตัวเลือกในการเดินทางได้หลากหลาย จะใช้รถไฟฟ้าก็เดินไปไม่ไกล ค่อนข้างคล่องตัวดีทีเดียว หรือจะใช้รถก็ง่ายอยู่ติดถนนใหญ่เลย แต่ถ้าใช้ถนนสุขุมวิทในการเดินทางเป็นหลัก ก็ต้องเผื่อเวลากันสักนิดนะคะ

    ความอุดมสมบูรณ์ส่วนใหญ่ในทำเลทองหล่อจะอยู่ในซอยทองหล่อ หรือสุขุมวิท 55 ซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะมีทั้งร้านค้าร้านอาหารหรู มีชื่อเสียงและ Community Mall ค่อนข้างหลากหลาย รวมไปถึงสถานที่ Hangout ในตอนกลางคืนอีกเช่นกัน จัดเป็นโซนที่ใกล้กับโครงการ ไปได้ง่ายมาก

    แม้ว่าตัวโครงการจะไม่ได้อยู่ในซอยทองหล่อ จึงอาจจะเป็นรองในเรื่องความอุดมสมบูรณ์อยู่บ้างเมื่อเทียบกับโครงการที่อยู่ในซอยทองหล่อโดยแท้จริง แต่ก็แลกมากับความสงบที่มากขึ้นมาหน่อย และได้เปรียบในเรื่องของการเดินทางที่มากกว่า ทั้งติดถนนสุขุมวิท และใกล้กับรถไฟฟ้า

    นอกจากนี้ยังเป็นทำเลที่มีแหล่งช้อปปิ้งอยู่ใกล้ๆ เดินทางง่ายมากจะขับรถก็ใกล้ หรือจะนั่งรถไฟฟ้าก็เพียงสถานีเดียวเท่านั้นเองค่ะ ซึ่งนั่นก็คือย่านพร้อมพงษ์ ที่มี The EmDistrict  ประกอบไปด้วยห้างใหญ่ระดับหรูอย่าง The Emporium, The EmQuartier อีกโซนหนึ่งที่เป็นทางเลือกคือ โซนพระราม 4 ก็จะมี K Village, สวนเพลิน มาร์เก็ต ที่สามารถวนเป็นลูปได้ โดยไม่ต้องไปกลับรถเลยค่ะ

    เส้นทางการเดินทาง

    วันนี้การเดินทางของเราจะไม่มีอะไรมากนะคะ เพราะเรามาโครงการโดยใช้รถไฟฟ้า พอลงสถานีทองหล่อก็เกือบจะถึงโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 แล้วค่ะ เดินอีกแค่ประมาณ 30 m. เท่านั้นเอง

    Image 1/7
    เริ่มต้นเดินทางจากสถานี BTS ทองหล่อ

    เริ่มต้นเดินทางจากสถานี BTS ทองหล่อ

    สภาพแวดล้อมรอบโครงการ

    **รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะคะ

    ในส่วนที่ดินโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 ลักษณะจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แนวหน้าแคบลึกเข้าไปขนานกับซอยสุขุมวิท 36 แต่จะไม่ได้ติดซอยเลยนะคะ มีแปลงที่ดินของ Fragrant คั่นอยู่ พอตัดแบ่งแปลงที่ดินแบบนี้ทำให้ที่ดินด้านในสามารถขึ้นเป็นอาคารสูงได้อยู่นะคะ ><

    ฝั่งตรงข้ามซอยสุขุมวิท 36เป็นโครงการ Noble Remix ซึ่งตอนเปิดตัวโครงการหลายๆ คนก็กังวลว่าจะส่งผลต่อวิวของโครงการหรือไม่ แต่พอ The ESSE สร้างเสร็จแล้วก็เห็นว่ามีการออกแบบที่แก้ปัญหาการถูกบล็อกวิวด้วยการร่นตัวอาคารส่วน Tower ที่เป็นส่วนของห้องพักอาศัยร่นเข้าไปจากหน้าถนนสุขุมวิทลึกไปอีกประมาณ 84 m. ซึ่งก็จะตรงกับส่วนอาคารด้านหลังของ Noble Remix ที่มีความสูง 11 ชั้นแทน ทำให้ชั้นพักอาศัยในชั้นที่สูงกว่าชั้น 11 ไม่ถูกบล็อกวิวระยะใกล้นะคะ (ชั้นพักอาศัยเริ่มต้นที่ชั้น 9) และข้อดีอีกเรื่องในการร่นระยะห้องพักอาศัยเข้ามา 84 m. เลยก็คือเรื่องความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้นจากเสียงรถราต่างๆ บนถนนสุขุมวิทค่ะ

    หากพูดถึงในเรื่องวิวกับคอนโดในเมืองจ๋าๆ แบบนี้ การบล็อกวิวในระยะไกลก็เป็นเรื่องปกติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แค่ไม่มีอาคารประชิดก็ถือว่าโอเคแล้ว ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ก็มักจะชดเชยวิวให้โดยการทำพื้นที่ส่วนกลางไว้บนชั้นสูงสุดของโครงการ เพื่อมีมุมให้ชมวิวโปร่งโล่ง

    ทิศเหนือ : ติดกับถนนสุขุมวิท, สถานีรถไฟฟ้าทองหล่อ
    ทิศตะวันออก : สถานีวิทยุข่าวของ รพ. พระมงกุฎเกล้า, คอนโด Scope ทองหล่อ , คอนโด S 38 (ชื่อยังไม่เป็นทางการ)
    ทิศใต้ : ที่ดินส่วนบุคคล
    ทิศตะวันตก : ที่ดินส่วนบุคคล, ซอยสุขุมวิท 36 และคอนโด Noble Remix

    สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

    Lifestyle

    • Rain Hill – 550 m.
    • Gateway Ekkamai – 1.1 km.
    • Market Place – 1.4 km.
    • The EM District – 1.4 km.
    • Suanplearn Market – 1.8 km.
    • Seenspace – 2 km.
    • J Avenue – 2.1 km.
    • K Village – 2.2 km.
    • Terminal 21 – 3.2 km.
    • Singha Complex – 3.6 km.
    • Makkasan Mega Project – 4 km.

    Education 

    • Bangkok Prep International School – 120 m.
    • Trinity International School – 450 m.
    • มหาวิทยาลัยกรุงเทพ – 2.2 km.
    • มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ (ประสานมิตร) – 3.2 km.
    • โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย – 3.2 km.
    • Ekkamai International School – 3.2 km.

    Health & Wellness

    • โรงพยาบาลสุขุมวิท – 1.2 km.
    • โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท – 1.3 km.
    • โรงพยาบาลคามิลเลียน – 2.6 km.
    • โรงพยาบาลจักษุ รัตนิน – 3.3 km.
    • โรงพยาบาลกรุงเทพ – 3.9 km.
    • โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ – 4 km.

    รายละเอียดโครงการ

    โครงการ The ESSE Sukhumvit 36 เป็นคอนโด High Rise ระดับ Super Luxury Class ในย่านทองหล่อ ติดถนนสุขุมวิทใกล้ BTS ทองหล่อ บนเนื้อที่ดินทั้งหมด 2 ไร่ครึ่ง ด้วยจำนวนยูนิต 338 ยูนิต และเป็นโครงการที่ทาง Singha Estate มีการจับมือร่วมกันกับ Hongkong Land เป็นบริษัทด้านการลงทุนการจัดการและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำธุรกิจในฮ่องกง

    พูดถึง Hongkong Land กันสักนิดว่าบริษัทนี้เป็นทั้งเจ้าของและทำงานบริหารจัดการพื้นที่เกือบ 800,000 ตารางเมตร ของทำเลที่ตั้งสำนักงานใหญ่และศูนย์การค้าสุดหรูในเมืองสำคัญของเอเชียโดยเฉพาะในฮ่องกงและสิงคโปร์ อสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกงแลนด์ดึงดูด บริษัทชั้นนำของโลกและแบรนด์หรูต่างๆ มากมายซึ่ง Hongkong Land Holdings Limited จัดตั้งขึ้นในเบอร์มิวดา มีรายชื่ออยู่ในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน รวมไปถึงในเบอร์มิวดาและสิงคโปร์อีกด้วย

    งานออกแบบโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 ใช้ทีมออกแบบระดับโลกในด้านต่างๆ เป็นผู้ออกแบบทั้งหมด งานสถาปัตยกรรมออกแบบโดย Tandem บริษัทสัญชาติไทยที่มีประสบการณ์กว้างขวางในโครงการต่างๆ อาทิเช่น โรงแรมรีสอร์ท รีสอร์ท อาคารชุดพักอาศัย อาคารสำนักงาน และที่อยู่อาศัยส่วนตัว มาทำงานร่วมกับบริษัทสถาปนิกชื่อดังระดับโลกอย่าง “SOM” Skidmore, Owings and Merrill (Thailand) Co. Ltd

    “SOM” เป็นบริษัทสถาปนิกชื่อดังจากฝั่งอเมริกา ที่ฝากฝีมือไว้กับสถาปัตยกรรมระดับแลนด์มาร์คของโลกมากมายหลายแห่ง เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีความชำนาญในด้านการออกแบบอาคารพาณิชย์ อาคารสูง พวกเขาสร้างสรรค์ตึกที่สูงที่สุดในโลกหลายตึก อย่างเช่น “จอห์นแฮนคอค์กเซนเตอร์ (1969 สูงที่สุดอันดับ 2 เมื่อสร้าง), เซียรส์ทาวเวอร์ (1973 ตึกสูงที่สุดในโลกนานกว่า 20 ปี), บูร์จคาลิฟา (2010 ตึกที่สูงที่สุดในโลก ปัจจุบัน)  วันเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์, แมริออทเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (ทรีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ อาคารชุดแรก), เซเว่นเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์, จินเหมาทาวเวอร์, สำนักงานใหญ่นาโต้, อาคารผู้โดยสาร 4 ท่าอากาศยานนานาชาติจอห์น เอฟ. เคนเนดี และยังการันตีด้วยรางวัลด้านคุณภาพและการคิดค้นกว่า 1,400 รางวัล

    ในส่วนงานภูมิสภาปัตยกรรมใช้ “shma” เป็นบริษัทภูมิสถาปนิกไทยที่ทำงานในระดับสากล และงานสถาปัตยกรรมภายในหรือ  Interior ทางโครงการใช้ “dwp” หรือ Design Worldwide Partnership ผู้มีชื่อเสียงด้านการออกแบบ มีประสบการณ์กับโครงการระดับสุดหรูต่างๆในประเทศไทยและต่างประเทศมามากมาย

    ตัวโครงการออกแบบมาภายใต้แนวความคิด “The Essence of Luxurious Living is A HARMONY OF CONTRAST” หมายถึงแก่นแท้ของการอยู่อาศัยอย่างหรูหรา คือ ความกลมกลืนในความแตกต่าง ซึ่งภายใต้แนวคิดนี้ได้แตกเป็นการออกแบบในหลายรูปแบบนะคะ

    เริ่มต้นจากทำเลที่ดินที่ตรงกับแนวความคิด ด้วยตำแหน่งใจกลางเมืองในย่านทองหล่อ แต่ก็มีความสงบเหมาะกับการอยู่อาศัย เพราะตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามซอยทองหล่อที่มีความคึกคัก รวมทั้งตัว Tower พักอาศัยเองที่มีการ Set Back จากหน้าถนนสุขุมวิทไปประมาณ 84 m. ก็ช่วยเพิ่มความสงบเหมาะกับการพักอาศัยมากขึ้น

    ในส่วนของงานดีไซน์อาคารนั้นเน้นการออกแบบที่มีกลิ่นอายความเป็นไทยเพิ่มเข้าไปด้วยเป็น Gimmick หรือรายละเอียดที่ทำให้เกิดความแตกต่างจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของโครงการ ทั้งรูปแบบงานสถาปัตยกรรม, งานภูมิสถาปัตยกรรม, Interior ภายใน, ฟังก์ชันต่างๆ ภายในโครงการ รวมไปถึงการออกแบบตามสภาพภูมิอากาศของประเทศอีกด้วยค่ะ สำหรับรายละเอียดที่ทางทีมออกแบบโครงการได้มีการใส่เข้ามาจะมีอะไรบ้าง เดี๋ยวเราจะค่อยๆ อธิบายไปนะคะ

    ตัวอาคารแบ่งเป็น 4 ส่วนหลักๆ นะคะ เริ่มจากชั้น 1 ที่เป็นชั้น Lobby ขึ้นมาที่ชั้น 2-6 นั้นจะเป็นส่วน Podium ที่ทางโครงการจัดให้เป็นส่วนที่จอดรถทั้งหมด และชั้นบนสุดของ Podium คือชั้น 7-8 เป็นชั้น Main Facilities ค่ะ

    จากนั้นชั้น 9 ไปจนถึงชั้น 40 เป็นชั้นพักอาศัยทั้งหมด ซึ่งชั้นพักอาศัยนี้จะย่อยมาเป็นชั้น 9-35 ที่เป็นชั้น Typical Floor Plan ส่วนชั้นบนนั้นวางให้เป็นชั้นห้องพักอาศัยขนาดใหญ่ขึ้น มีจำนวนยูนิตน้อยลง และส่วนสุดท้ายคือ 3 ชั้นบนสุดของตึก ตั้งแต่ชั้น 41 จน ถึง Rooftop ที่ทางโครงการจัดมาให้เป็นส่วน Facilities ที่สามารถชมวิวมุมสูงได้ค่ะ

    มาดูที่ส่วน Master Plan กันค่ะ รูปแบบการออกแบบแปลนนี้แบ่งเป็น 2 โซนด้วยกัน เริ่มจากด้านหน้าโครงการจะเป็นพื้นที่ Outdoor – Semi-Outdoor ก่อนเข้าสู่ส่วน Indoor (Lobby) ตามลำดับ ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนอารมณ์ บรรยากาศไปเส้นทางเดินที่ตกแต่งด้วย Water Feature ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบของบ้านเรือนไทยสมัยก่อนที่มักจะมีชานหน้าบ้านปรับเปลี่ยนบรรยากาศก่อนเข้าสู่ภายในบ้านนะคะ

    สำหรับลิฟต์ Automatic Parking จะมีอยู่ 2 จุดด้วยกันคือส่วนบริเวณ Drop-Off และอีกจุดคือส่วนด้านหลังอาคาร ทั้งนี้เมื่อจอดรถเสร็จหรือจะรอรับรถนั้นทางโครงการก็มีการออกแบบ Waiting Area ไว้ให้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน

    บริเวณซุ้มประตูทางเข้าโครงการยังไม่เสร็จดีนะคะ เราจึงเริ่มพาชมจากพื้นที่สีเขียวหน้าโครงการเลยนะ เป็นพื้นที่สวนที่ถอดคอนเซปต์ออกมาจากชานหน้าบ้านของไทย

    จะเห็นว่าเค้าออกแบบสวนโดยใช้ต้นไม้ขนาดใหญ่ค่อนข้างเยอะทีเดียว นอกจากให้ความร่มรื่นแล้ว ต้นไม้ใหญ่ยังสามารถทำหน้าที่เป็น Buffer เรื่องเสียงและมลพิษต่างๆ บนท้องถนนได้ดีเช่นเดียวกัน ส่งผลถึงความเป็นส่วนตัวของภายในโครงการที่มากขึ้นด้วย โดยระยะของสวนด้านหน้าก่อนจะถึงอาคารเลยจะอยู่ที่ประมาณ 35 m.

    บริเวณสวนหน้าโครงการจัดฟังก์ชันการใช้งานให้เป็น Sunken Lawn หรือพื้นที่นั่งเล่นในสวนแบบลดระดับพื้นลงเป็นเล็กน้อย เพื่อสามารถสัมผัสกับบรรยากาศสวนได้มากขึ้น เห็นต้นไม้ใบหญ้าในระดับสายตา มีแฝงกลิ่นอายของความเป็นไทยด้วยการจัดสวนมาในรูปแบบนาขั้นบันได

    อย่างหนึ่งที่อยากให้สังเกตคือ Facade ของโครงการที่มีส่วนโค้งเหมือนคลื่นแนวนอนนั้น ก็ถูกถอดแบบมาจากความโค้งของหลังคาเรือนไทย ซึ่งความโค้งมนต่างๆ นี้ เป็นเอกลักษณ์ความอ่อนช้อยของไทย

    นอกจากพื้นที่สวนด้านหน้าแล้ว บริเวณข้างๆ อาคารก็มีมุมนั่งเล่นในสวนอีกมุมหนึ่ง ที่ออกแบบมาคล้ายแปลงผักสวนครัวแบบไทยๆ ด้วยนะคะ

    ถัดเข้ามาเราจะยังไม่เจอส่วนที่เป็น Indoor เลยนะคะ แต่จะเป็นลักษณะ Semi-Outdoor เป็นทางเดินทอดยาวเข้าสู่ Lobby ด้านใน เพื่อปรับบรรยากาศ อารมณ์ต่างๆ ด้วย Water Feature

    ซึ่งบริเวณ Semi-Outdoor เองจะเป็นพื้นที่ของช่องลมด้วยเช่นกัน เสมือนกับพื้นที่ใต้ถุนของเรือนไทย ทำให้ลมบริเวณนี้พัดผ่านได้ดี ทางโครงการจึงมีการวางฟังก์ชันพื้นที่นั่งเล่นอย่าง Sunken Seating Area ทางฝั่งซ้าย และยังมี Library Room ด้วยที่อยู่ทางฝั่งขวาของอาคาร

    Sunken Seating Area ที่อยู่ติดกับทางเดินเข้าอาคาร จัดชุดที่นั่ง Outdoor ขนาดใหญ่อยู่กลางสวน ตามคอนเซปต์ชานบ้านแบบไทยๆ

    ภายใน Library โอ่โถงด้วยฝ้าเพดานแบบ Double Volume ผนวกกับความโปร่งโล่งด้วยการออกแบบให้กระจกสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน จึงสามารถเสพบรรยากาศธรรมชาติจากพื้นที่สวนภายนอกได้ดี จัดพื้นที่ขนาดใหญ่พอสมควรให้เป็นหน้าเป็นตาใช้รับแขก คุยงานได้

    เฟอร์นิเจอร์ให้ทั้งแบบเป็นเก้าอี้โซฟา ไว้นั่งอ่านหนังสือชิลๆ หรือพูดคุยงานกันได้ มีปลั๊กไฟและ Wifi รองรับเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานมากขึ้น

    เมื่อเดินผ่านส่วน Sunken Seating Area และ Library มาแล้วก็จะเป็นส่วน Drop-Off ค่ะ ซึ่งบริเวณนี้จะมี Sedan Auto Parking วางตำแหน่งไว้ให้ใกล้กับประตู Lobby เพื่อให้ลูกบ้านใช้งานได้สะดวกที่สุด ไม่ต้องเดินไกล แต่สำหรับรถหลังคาสูงแบบ SUV จะแยกเป็น SUV Auto Parking ไว้ด้านหลังอาคารนะคะ

    Auto Parking ของโครงการนี้ใช้ของ THS ที่กลุ่มอาคารระดับ Ultimate Luxury เลือกใช้กัน เช่น มหานคร, แมคโนเลีย, ไอคอนสยาม ซึ่งบริษัทนี้ได้ความน่าเชื่อถือจากการเป็นเจ้าแรกๆ ที่นำเข้า ทำให้มั่นใจว่ามีบุคคลากรที่มีความเชี่ยวชาญทั้งการติดตั้งและงานดูแลหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ

    นอกจาก Auto Parking ก็ยังมีช่องจอดรถแบบปกติด้วยนะคะ ซึ่งห้องแบบ 1,2 Bedroom จะได้สิทธิในการจอดรถ 1 คัน, ห้อง 3 Bedroom ได้สิทธิ 3 คัน เลือกจอดได้ทั้งแบบปกติและ Auto Parking

    ส่วนห้อง Penthouse จะได้สิทธิทั้งหมด 4 คัน แบ่งเป็น Auto Parking 2 คัน และแบบปกติ 2 คัน แถมล็อกช่องจอดไว้ให้ด้วยค่ะ

    ขนาดของทางเดินรถมีความกว้างที่ได้มาตรฐานดี ใช้งานได้สะดวก

    บรรยากาศภายในที่จอดรถทำได้โปร่งโล่งดี ส่วนของช่องจอดรถมีขนาดตามมาตรฐาน ด้านหลังมีตัวหนอนเป็นกันชนไว้ให้เรียบร้อย

    จากบริเวณที่จอดรถก็สามารถเดินเชื่อมเข้าอาคารได้เลย

    สำหรับที่จอดรถ SUV Auto Parking จะอยู่ด้านหลังอาคาร กำหนดความสูงรถไว้ไม่เกิน 1.95 m. ซึ่งพอจอดรถเสร็จก็จะมีทางเดินเชื่อมเข้าอาคารได้เลยนะคะ

    เข้ามาภายในส่วน Lobby โครงการ ลักษณะเป็นตัวโถงยาว ตกแต่งด้วยหินอ่อน Palissandro Copper Bronze สีออกโทนน้ำตาลทอง หินชนิดนี้ถ้าดูใกล้ๆ จะมี Glitter สีทองๆ ทำให้ดูวิบวับ

    Gimmick ความเป็นไทยอีกอย่างคือ การนำเส้นใยทองเหลืองมาถักเป็น Sculpture ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากผ้าไหม ประกอบกับฝ้าเพดานสูงแบบ Double Volume ยิ่งให้ความหรูหราอลังการมากขึ้น

    พื้นปูด้วยกระเบื้อง Porcelain ซึ่งเทคนิคการปูก็ไม่ได้เรียงกันธรรมดานะคะ จะทำเป็นลายฝาปะกนแบบไทยๆ อีกด้วย

    ภายในวางชุดโซฟาขนาดใหญ่ให้หลายชุดด้วยกัน ไว้สำหรับต้อนรับลูกบ้านและ Visitors ที่เข้ามาติดต่อ

    สำหรับลูกบ้านที่นั่งรอรถจาก Auto Parking ก็สามารถมาสแกนบัตร และดูคิวได้จากหน้าจอตรงนี้เลย จากข้อมูลที่ได้คือใช้เวลารอรถต่อคันประมาณ 3 นาทีนะคะ

    พื้นที่ภายใน Lobby ก็จะมีห้องน้ำ, ห้องนิติบุคคลที่จะอยู่บนชั้นลอย

    ส่วนของทางเดินเข้า Lift Lobby จะต้องใช้ Keycard สแกนเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง เพื่อความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวของลูกบ้าน และจะมี Mail Room อยู่ทางขวา

    ป้ายชื่อห้อง Facilities ต่างๆ จะมีการตกแต่งโดยนำลวดลายของไทยมาลดทอนให้เหลือดีเทลน้อยลงมาหน่อย ไม่เยอะจนเกินไป

    Mail Room จะมีประตูปิดเป็นสัดส่วน ตู้จดหมายมาในโทนสีน้ำตาลทองดูเรียบหรู

    เข้ามาในโถงลิฟต์ของอาคาร มีลิฟต์ทั้งหมด 4 ตัว สำหรับอัตราส่วนลิฟต์อยู่ที่ 85 : 1 ถือว่าความหนาแน่นน้อยนะคะ ไม่ต้องรอกันนาน แต่ถ้าเทียบคอนโดระดับ Super Luxury ด้วยกันก็ถือว่าอัตราส่วนนี้ยังสูงอยู่นะ

    การกดชั้นของที่นี่จะใช้ Keycard สแกนแล้วกดเลือกว่าเราจะไปชั้นไหน ลิฟต์ก็จะเลือกตัวที่อยู่ใกล้มาให้ โดยขึ้นบอกว่าตัว A, B, C หรือ D กำลังจะมารับเรา และความน่ารักคือมีลูกศรบอกด้วยว่าคือตัวไหน ภายในลิฟต์จะไม่มีปุ่มให้กดแล้วนะคะ ลิฟต์ก็จะจอดเฉพาะชั้นที่เราเลือกไว้เท่านั้น

    เข้าลิฟต์มาจะสังเกตเห็นประตูลิฟต์อีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งจะเปิดเฉพาะชั้น Penthouse ที่อยู่บนสุดเท่านั้นค่ะ ชั้นอื่นประตูจะเปิดแค่ฝั่งเดียวนะคะ

    ชั้น 2 – 4 เป็นชั้นที่จอดรถทั้งหมด ทั้ง 3 ชั้นนี้เป็นที่จอดรถทั่วไปนะคะ มีช่องจอดทั้งหมด 70 ช่องจอด คิดเป็นประมาณ 20%

    ส่วนที่เหลือจะเป็นที่จอดรถแบบ Automatic Parking ทั้งหมด คิดเป็นช่องจอดรวมทั้งหมด (ชั้นจอดรถปกติ+Automatic Parking) ประมาณ 89% หากรวมซ้อนคันก็จะอยู่ที่ 100% ค่ะ ซึ่งถือว่าให้มาน้อยกว่าโครงการระดับ Super Luxury Class ในย่านทองหล่อเหมือนกันนะคะ

    พูดถึงในเชิงการใช้งานที่จอดรถนั้นจะเน้นไปที่ Automatic Parking เป็นส่วนใหญ่ การใช้งาน Automatic Parking นี้ก็มีทั้งความสะดวกและไม่สะดวกเช่นเดียวกัน ในเรื่องความสะดวกนั้นคือเราไม่ต้องไปเสียเวลาวนหาที่จอดรถ ส่วนความไม่สะดวกสำหรับบางคนคือเรื่องการมารอลิฟต์ส่งรถ ซึ่งอาจจะต้องมีการต่อแถวรอกับเพื่อนบ้านบ้าง ในช่วงเวลาเร่งด่วน ไม่สามารถเดินไปที่รถแล้วสตาร์ทรถออกได้เลยเหมือนที่จอดรถปกติ ซึ่งทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบในการใช้งานของแต่ละคน ก็ต้องดูว่าเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรามั้ย

    ชั้น 7 จัดเป็นชั้น Facilities หลักของโครงการ จากโถงลิฟต์ออกมาจะเป็นทางเดินแบบ Semi-Outdoor เชื่อมไปยัง Onsen ทั้ง 2 ฝั่งที่แยกห้องของผู้ชายและผู้หญิงไว้เป็นสัดส่วน นอกจากนี้ก็มีห้อง Private Spa และ Kid’s Room ที่เปิดให้ได้วิวสระว่ายน้ำ จากนั้นพื้นที่ที่เป็น Outdoor จะเป็นสระว่ายน้ำและสวนทั้งหมดค่ะ

    ทางเดินบนชั้นนี้จะเป็นแบบ Semi-Outdoor จึงได้ลมธรรมชาติที่พัดผ่าน พื้นที่ดูโปร่ง ไม่ทึบและหากวันไหนฝนตกก็ยังใช้งานพื้นที่ส่วนกลางได้สะดวก ยกเว้นสระว่ายน้ำและสวนที่เป็นแบบ Outdoor นะคะ

    ทางเดินเข้าสู่สระว่ายน้ำออกแบบมาในลักษณะ Symmetry ทำให้ดูโอ่อ่า เราชอบการใช้ Water Features ผสมกับต้นไม้ใหญ่ ที่เลือกใช้เป็นต้นหูหนูได้ฟอร์มต้นกลมๆ จัดออกมาเป็นซุ้มทางเข้า เหมือนกำลังจะสื่อสารว่าจะเปลี่ยนบรรยากาศเข้าสู่พื้นที่ Outdoor แล้วนะ

    ก่อนลงสระก็มาแวะล้างตัวกันก่อนนะคะ ซึ่ง Shower ก็จะซ่อนอยู่หลังกำแพงที่ออกแบบให้มีส่วนโค้งเหมือนคลื่น ให้ล้อไปกับ Facade ด้านหน้าอาคารที่เอาดีไซน์โค้งนี้มาจากหลังคาเรือนไทย

    ตำแหน่งสระว่ายอยู่บนชั้น 7 จึงมีความสูงเลยรางรถไฟฟ้าไปแล้วก็จะได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น แต่ตำแหน่งก็จะตรงกับคอนโด Noble Remix ที่สูง 33 ชั้น ทางโครงการเองก็ได้จัด Landscape มาบังทางฝั่งทิศตะวันตกที่ใกล้กับ Noble Remix โดยใช้ต้นไม้ใหญ่เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และสร้างความร่มรื่นให้กับส่วน Facilities ทดแทนวิวที่ถูกบล็อกไปนะคะ

    สระว่ายน้ำที่นี่มีความยาวแบบ Half Olympic ถึง 25 m. และกว้างอยู่ที่ 6 m. ให้ว่ายน้ำออกกำลังกายได้เต็มที่ และฝั่งที่เห็นวิวเต็มๆ ก็คือทางทิศตะวันออก ที่ยังไม่มีอาคารสูงบังวิวในระยะประชิด

    ในสระมีการแยกพื้นที่สระเด็กไว้ให้มีขนาดประมาณ 2.5 x 5 m. ซึ่งพื้นที่บริเวณโดยรอบถูกออกแบบไว้ให้ตื้นๆ ผู้ปกครองจึงสามารถเดินเข้าไปดูแลเด็กๆ ได้สะดวก

    พื้นผิวของสระว่ายน้ำที่นี่เลือกใช้เป็นหินอ่อนบดอัดบนกระเบื้องพอร์ซเลน ช่วยในการทำความสะอาดที่ง่ายขึ้นกว่าหินธรรมชาติ

    ใครที่ไม่ได้ชอบว่ายน้ำหนักๆ ก็มาแช่ผ่อนคลายด้วย Jacuzzi ได้นะคะ มีขนาดประมาณ 3.5 x 3.5 m.

    สระเป็นระบบน้ำล้น (Overflow) เราจึงสามารถว่ายมาเกาะขอบสระเพื่อชมวิวได้สะดวก แถมยังได้ยินเสียงน้ำที่ไหลอยู่ตลอดเวลา ช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายขึ้นด้วย

    ด้านข้างสระมี Lounge Area เป็นที่วาง Day Bed ใต้ร่มไม้จึงไม่โดนแดดโดยตรง โครงการเลือกใช้ต้นจำปี ที่มีความพื้นถิ่นแบบไทยๆ และมีกลิ่นหอมด้วยค่ะ

    วิวจาก Day Bed ริมสระว่ายน้ำจะได้วิวมุมกว้างแบบ Infinity Eadge Pool สามารถ Take View ระยะไกลได้ดีทีเดียวค่ะ

    พื้นที่สวนที่อยู่ติดกับสระถูกออกแบบมาให้เป็น Sunken Lawn โดยจะลดระดับลงมาจากส่วนของสระว่ายน้ำ ทำเป็นขั้นๆ ลงมาตามคอนเซปต์นาขั้นบันได เช่นเดียวกับการออกแบบ Landscape ด้านหน้าโครงการนะคะ

    ต่อไปมาดู Facilities Indoor กันบ้าง เริ่มจากฝั่งซ้ายที่เป็น Kid’s Room และ Bathroom & Onsen สำหรับคุณผู้หญิง ส่วนฝั่งขวาก็จะมี Private Spa และ Onsen ของคุณผู้ชาย ส่วน Fitness จะอยู่ที่ชั้น 8 ซึ่งเราจะขึ้นไปทางบันไดหรือขึ้นลิฟต์ไปก็ได้ทั้งคู่ค่ะ

    ภายใน Kid’s Room ตกแต่งบรรยากาศน่ารักสดใส รอบข้างเป็นกระจกใสทั้งหมดทำให้ตัวห้องดูโปร่งโล่งทีเดียว

    พื้นห้องทั้งหมดปูพรมหนานุ่มนิ่ม เค้าใช้เบาะกั้นเป็นซุ้มเล็กๆ และเตรียมของเล่นไว้ให้เด็กๆ ได้เล่นกัน

    พาเข้ามาชมภายในห้องน้ำกันต่อ พื้นที่มีความกว้างขวางและจัดฟังก์ชันไว้ครบ ตู้ Lockers ให้มาเยอะทีเดียว เผื่อให้ลูกบ้านมาเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บกระเป๋าก่อนไปว่ายน้ำหรือเล่นฟิตเนส

    ภายในห้องน้ำและห้องอาบน้ำมีความกว้างให้ใช้งานได้สะดวก ผนังและพื้นปูด้วยกระเบื้องทั้งหมด ดูเรียบร้อย ซึ่งชุดสุขภัณฑ์ก็ใช้ของ Duravit จากเยอรมันค่ะ

    เข้ามาด้านในสุดจะมีประตูกั้นห้อง Onsen เอาไว้อีกชั้นหนึ่ง

    เปิดประตูเข้ามาจะเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับเข้า Onsen ที่แยกเอาไว้โดยเฉพาะ จากนั้นต้องผ่านประตูเข้าไปห้อง Onsen อีกชั้นหนึ่ง ที่มีประตูหลายชั้นแบบนี้ก็เพื่อเก็บอุณหภูมิภายในห้องไว้ค่ะ

    ตามขั้นตอนการแช่ Onsen ก็ต้องมาอาบน้ำให้ร่างกายสะอาดกันทั้งก่อนและหลังแช่น้ำ เค้าออกแบบมาให้มีม้านั่งตัวเล็กๆ ตามสไตล์ญี่ปุ่นจริงๆ

    มาที่ Highlight อีกจุดในส่วนของ Facilities นั่นก็คือบ่อ Onsen ที่นี่ออกแบบฟังก์ชันนี้มาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติในทำเลนี้ที่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวญี่ปุ่นอยู่มากนะคะ แต่จากที่พูดคุยกับโครงการปรากฎว่าปัจจุบันคนไทยก็นิยม Onsen กันพอสมควรเลย เป็นอีกพื้นที่สำหรับผ่อนคลาย

    โดยบ่อ Onsen นี้มีการแบ่งระดับความร้อนที่อุณหภูมิ 38 องศา และ 42 องศา ควรแช่เป็นลำดับตามสูตรของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ในน้ำจะผสมแร่ธาตุเอาไว้ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยการไหลเวียนของเลือดได้ดีขึ้นและช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยค่ะ

    และการเลือกใช้หินสังเคราะห์ภายในบ่อ Onsen ยังเลือกเป็นชนิดที่เหยียบแล้วไม่ร้อน ไม่สะสมความร้อน และไม่มีรอยต่อค่ะ

    ด้านในสุดตกแต่งให้เป็นสวนหิน สไตล์ Zen จุดเด่นคือเจ้าประติมากรรมหินที่ได้ไอเดียมาจาก Balancing Stone เป็นศิลปะแห่งความสมดุล การมีสมาธิ และยังสื่อถึงความโชคดี

    ปิดท้ายด้วย Steam Room ที่อยู่ในห้องเดียวกับ Onsen นี่แหละค่ะ

    ภายใน Steam Room ที่มีความกว้างพอสมควร รองรับการใช้งานได้ประมาณ 4-5 คน

    ส่วนคุณผู้ชายก็จะมีห้องน้ำและ Onsen แยกไว้เช่นกัน อยู่ตรงข้ามกับห้อง Private Spa นะคะ

    ภายใน Private Spa จะแบ่งออกเป็น 2 ห้องที่ให้ฟังก์ชันแตกต่างกัน ห้องนึงเค้าเตรียมไว้ให้สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า และอีกห้องจะมีเตียงไว้ให้ทำสปาหรือนวดก็ขึ้นอยู่กับลูกบ้านจะใช้งานเลยค่ะ

    ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าจัดมาเป็นพื้นที่โล่งๆ มีโต๊ะเครื่องแป้งและกระจกให้ เผื่อวันไหนคุณลูกบ้านต้องออกงานสังคม อยากให้ช่างมาช่วยแต่งหน้า แต่งตัว ก็จองใช้ห้องนี้ได้ จุคนได้เยอะอยู่นะคะ

    ในห้องสำหรับทำ Spa ก็จะมีเตียงไว้ให้ ถ้าเปิดม่านก็สามารถนอนนวดไป ชมวิวไปได้เลยค่ะ

    พื้นที่ส่วนกลางอีกตำแหน่งหนึ่งบนชั้นนี้ก็คือ Seating Area ที่วางไว้ทางทิศใต้ของอาคาร

    ได้วิวฝั่งที่มองเข้าไปในซอยสุขุมวิท 36 ปัจจุบันยังไม่มีอาคารสูงบังวิวในระยะประชิดนะคะ

    ส่วนที่เราชอบของโครงการนี้คือการออกแบบทางเดินให้เป็นช่องลม ลมผ่านดีมาก เย็นสบายเลย ต่อไปเราจะพาขึ้นบันไดไปชม Fitness กันต่อนะคะ

    พื้นที่ใช้สอยบนชั้น 8 จะมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากด้านหลังนั้นเป็นพื้นที่ของ Onsen ที่มีความสูงฝ้าแบบ Double Volume โดยวางตำแหน่งของ Fitness ขนาดใหญ่ให้อยู่ฝั่งด้านหน้าอาคาร ได้วิวสระว่ายน้ำ และภายในห้อง Fitness นี้จะมีแยกห้อง Virtual Bike และ Golf Simulator ให้ได้เปลี่ยนบรรยากาศในการออกกำลังกายที่หลากหลายมากขึ้น

    ห้องฟิตเนสจะเข้าได้จากทั้ง 2 ทางคือทางบันไดที่ขึ้นจากชั้น 7 และจากลิฟต์ที่ชั้น 8 ได้เลย ภายในดูโอ่โถงด้วยฝ้าเพดานแบบ Double Volume และกระจกสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานรอบทิศทาง ให้เราได้ออกกำลังกายพร้อมเสพวิวภายนอกไปในตัว

    เครื่องออกกำลังกายภายในห้องมีความหลากหลายทั้งแบบที่เหมาะกับการเล่นเวท สร้างกล้ามเนื้อและคนที่ต้องการออกกำลังแบบคาร์ดิโอ

    เครื่องออกกำลังกายเลือกใช้ของ Life Fitness ได้มาตรฐานที่เหล่าเทรนเนอร์ฟิตเนสก็ชมว่ายี่ห้อนี้มีคุณภาพดี ส่วนตัวเราแอบเสียดายนะว่ายังไม่ได้เลือกยี่ห้อระดับบนสุดมาให้ แต่ก็ชดเชยมาด้วยฟังก์ชันในห้อง Fitness ที่สุดจริงๆ เพราะให้มาทั้ง Virtual Bike Room, Golf Simulator และ Yoga Area เลย ประหนึ่งว่ามาพักโรงแรมหรู

    Yoga Area ได้พื้นที่เข้ามุมพอดีจึงได้กระจกเปิดวิวกันแบบ 180 องศา งานตกแต่งภายในห้องนี้เลือกใช้พื้นไวนิลชนิดหนาพิเศษ ที่เห็นใช้กันในฟิตเนสชั้นนำ และตามเสาจะเพิ่มความหรูด้วยการกรุหินอ่อนลาย Palissandro Copper Bronze เช่นเดียวกับที่ใช้บริเวณ Lobby นะคะ

    นอกจากนี้ก็จะมีทางเดินเชื่อมไป Golf Simulator Room และ Virtual Bike Room

    เจ้านวัตกรรม Golf Simulator สนามกอล์ฟจำลองบนหน้าจอขนาดใหญ่นี่เข้ามาตอบโจทย์คนรักกลอ์ฟโดยเฉพาะ ให้มีพื้นที่ซ้อมโดยไม่ต้องเดินทางไปสนามหรือในวันฝนตกก็ยังมีที่ให้ซ้อมมือ

    ถัดมาที่ห้อง Virtual Bike ที่เราจะเห็นได้ตามฟิตเนสชั้นนำ ก็ถูกยกมาไว้ให้เล่นที่โครงการได้เลย มีอยู่ 4 เครื่อง ให้ปั่นพร้อมเพื่อนๆ เพื่อเพิ่มความสนุกสนาน

    Lighting ภายในห้องมีลูกเล่นให้ปรับเปลี่ยนได้เพื่อเพิ่มความมันส์ด้วยค่ะ

    ชั้น 9 เป็นชั้นที่เริ่มมีห้องพักอาศัยนะคะ เป็นชั้นเริ่มต้นสำหรับห้องพักอาศัยในโครงการจึงอาจจะเสียเปรียบในเรื่องของวิวมากกว่าห้องพักอาศัยในชั้นสูงขึ้นไป แต่ได้เปรียบในเรื่องความเป็นส่วนตัวสูงทีเดียวค่ะ เพราะชั้นนี้มีจำนวนยูนิตเพียง 4 ยูนิตเท่านั้น ทำให้ทุกห้องในชั้นนี้มีเพียงผนังด้านเดียวเท่านั้นที่ติดกับห้องข้างเคียง

    ชั้น 10-35 เป็นชั้น Typical Floor Plan ลักษณะการจัดวางแปลนที่นี่ทำออกมาได้น่าสนใจนะคะ โดยการวางโถงลิฟต์อยู่ตรงกลาง ทำให้การเข้าถึงลิฟต์นั้นง่ายสำหรับทุกห้อง ส่วนโถงทางเดินออกแบบให้เป็น Single Corridor พร้อมทั้งจำนวนยูนิตต่อชั้นสูงสุดเพียง 12 ยูนิตเท่านั้นจึงค่อนข้างเป็นส่วนตัวดีทีเดียวค่ะ

    และนอกจากนี้มีการทำช่องลม/ช่องแสงตรงกับโถงลิฟต์ไว้ 2 ฝั่งด้วยกัน ช่วยในเรื่องของแสงสว่างเข้าถึงภายในได้ดีแล้วยังช่วยเรื่อง Ventilation ภายในอาคารด้วยนะคะ ส่วนห้องมุมที่เป็นห้อง 2 Bedroomนั้นจะได้อนิสงค์จากส่วนช่องแสง/ช่องลมนี้ด้วย เพราะทำให้ผนังฝั่งนึงแทนที่จะติดกับห้องพักอาศัยข้างเคียงนั้นมาติดกับช่องลมแทน เพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้นรวมทั้งได้ช่องแสงเพิ่มมากขึ้นด้วยค่ะ

    พูดถึงวิวจากห้องพักอาศัยปัจจุบันทั้ง 4 ทิศยังคงได้วิวโปร่ง ไม่ได้มีตึกสูงในระยะประชิด ยกเว้นทางทิศตะวันตกช่วงประมาณชั้น 9-10 ที่ยังไม่พ้นคอนโด Noble Remix เท่านั้น แต่ถ้าพูดถึงในอนาคตแล้ว ทิศที่ยังไม่สามารถการันตีวิวในอนาคตได้ก็คือ ทิศใต้ เพราะยังมีที่ดินว่างพอให้สามารถขึ้นอาคารในอนาคตได้เช่นกันค่ะ

    โถงลิฟต์อยู่ตรงกลาง ทำให้การเข้าถึงลิฟต์นั้นง่ายสำหรับทุกห้อง และมีช่องหน้าต่างในแนวเหนือ/ใต้ ทำให้มีลมพัดผ่าน ระบายอากาศได้ดีอยู่ตลอดเวลา และได้แสงธรรมชาติช่วยให้ทางเดินสว่างขึ้น

    ทางเดินเข้าห้องเป็นแบบ Single Corridor ทั้งหมด ได้ความเป็นส่วนตัวดีค่ะ

    ชั้น 36-38 จำนวนยูนิตจะน้อยลงมาอยู่ที่ 6 ยูนิตต่อชั้น เนื่องจากห้องถูกรวบเป็นห้องขนาดใหญ่ขึ้น มีเพียงห้อง 2 Bedroom และห้อง 3 Bedroom ค่ะ

    ชั้น 39 – 40 เป็นห้อง Penthouse ทั้งหมด จำนวน 4 ยูนิตต่อชั้น ได้เป็นห้องมุมทั้งหมดมีความเป็นส่วนตัวและ Take View ได้ในมุมกว้างเลย ดูจากลักษณะของห้อง Penthouse ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นห้อง Duplex ขนาดใหญ่ถึง 252 ตร.ม. โดยจะมีเพียง 4 ยูนิตเท่านั้น

    ชั้น 41 เป็นอีกชั้นที่ได้ Facilities เต็มชั้น ออกแบบให้เป็นชั้นที่เน้นการชมวิว พักผ่อน และรองรับการทำกิจกรรมร่วมกัน โดยฝั่งทิศตะวันออกจะเป็นส่วนกิจกรรมในรูปแบบ Outdoor ที่ประกอบไปด้วย Rock Garden Terrace, BBQ Deck และ Step Lawn ส่วนฝั่งทิศตะวันตกเป็นพื้นที่ Indoor ที่แบ่งเป็น 2 ส่วนคือแบบส่วนรวมอย่าง Sky Lounge ที่มีพื้นที่ให้ทำกิจกรรมต่างๆ ภายในร่วมกัน พร้อมเสพวิวในมุมสูงได้

    นอกจากนี้หากต้องการพื้นที่จัดกิจกรรมพบปะ สังสรรแบบส่วนตัวสามารถใช้ The Residence Lounge ได้เลยค่ะ และสุดท้ายคือมุมที่ได้วิวระยะไกลได้ดีเลยคือห้อง Sky Theater ซึ่งนอกจากจะเป็นห้องไว้ดูหนังแล้วยังเป็นห้องที่สามารถมานั่งเล่นชิลๆ ชมวิวเพลินๆ ได้เช่นกัน

    พื้นที่รูปแบบ Outdoor ก็จะเป็นจุดนั่งชมวิวซะเป็นส่วนใหญ่ อย่างวิวนี้มองไปได้ไกลเห็นถึงโค้งน้ำบางกระเจ้า

    บางส่วนเป็นมุมนั่งเล่นแบบ Semi – Outdoor เผื่อกลางวันอยากขึ้นมานั่งรับลม ชมวิว แต่ไม่อยากโดนแดด

    ใครชอบแบบ Outdoor เลยก็แนะนำให้ขึ้นมาใช้งานช่วงเย็นๆ ที่แดดร่มหน่อย มุมนี้มีชื่อเก๋ๆ ว่า Step Lawn ซึ่งทางโครงการตั้งใจออกแบบไว้ตามแนวความคิดนาขั้นบันไดของไทย

    ส่วนมุมนี้เป็นบริเวณ BBQ Deck ที่มีการจัดเคาน์เตอร์ครัวกลางแจ้ง และมีเก้าอี้ต่างๆ ไว้ให้ เหมาะกับการจัดปาร์ตี้ หรือกิจกรรมเล็กๆ ของลูกบ้านได้ค่ะ

    มุมพักผ่อนชมวิวบนชั้นนี้มี Sculpture สวยๆ ที่มีแรงบันดาลใจมาจากผ้าไหมของไทย เอามาออกแบบใหม่ให้ดูสากลมากขึ้น มีความทันสมัย ผสมผสานกันระหว่างศิลปะตะวันออกกับตะวันตก

    ชักภาพมาฝากกันอีกซักมุมกับเจ้าเก้าอี้ไม้ ที่เค้าออกแบบมาให้มีขนาดใหญ่ สามารถนอนชมวิว ทอดสายตาไปได้ไกลๆ

    มุมพักผ่อนนี้จะได้วิวทางทิศตะวันออกที่มองเข้าเมืองไปทางฝั่งทองหล่อ ด้านข้างมีทางเข้า Sky Theater ที่ได้ตำแหน่งตรงมุมอาคารพอดี

    Sky Theater ออกแบบมาได้สวยมากๆ ภายในให้ความรู้สึกเสมือนนั่งเล่นอยู่ในห้องนั่งเล่นเพื่อดูหนังชิลๆ มากกว่าเป็นโรงหนังที่ชัดเจนนะคะ ดังนั้นจึงดูมีความผ่อนคลายกว่าพอสมควร ซึ่งหากไม่ดูหนังก็มานั่งชม City View มุมสูงได้เช่นกัน

    Facilities แบบ Indoor บนชั้นนี้จะเรียงตัวกันตลอดแนวทางเดิน ฝั่งขวาห้องแรกนี่คือ Residence Lounge ที่เหมาะกับการจัดปาร์ตี้เป็นส่วนตัว ส่วน Sky Lounge ด้านในสุดทางเดินจะเป็นห้องขนาดใหญ่ ที่รองรับการใช้งานได้พร้อมๆ กันแบบเป็นส่วนรวม

    สำหรับลูกบ้านท่านไหนที่ต้องการจัดปาร์ตี้หรือจัดกิจกรรมต่างๆ แบบส่วนตัว  ทางโครงการก็มีห้อง The Residence Lounge ไว้รองรับ ซึ่งลูกบ้านสามารถจองคิวผ่านทางนิติบุคคลเพื่อใช้งานได้ ภายในห้องนี้มีเคาน์เตอร์สำหรับเตรียมอาหารต่างๆ พร้อมโต๊ะยาวไว้ให้

    จากมุมทานอาหารก็สามารถชมวิวไปด้วยได้

    ปิดท้ายส่วนกลางบนชั้นนี้ด้วย Sky Lounge ที่นี่ตกแต่งได้หรูหราทีเดียวค่ะ ภายในออกแบบให้เป็นพื้นที่พักผ่อนสำหรับลูกบ้าน

    มีชุดโซฟารองรับสำหรับมานั่งเสพบรรยากาศวิวมุมสูง เป็นวิวมุมกว้างทั้งหมด 2 ทิศด้วยกัน คือทิศใต้และทิศตะวันตก

    บริเวณเคาน์เตอร์บาร์มีพื้นที่สำหรับจัดเตรียมเครื่องดื่มต่างๆ ถูกวางไว้ทางทิศใต้ที่มองออกไปทางโค้งน้ำบางกระเจ้า

    พร้อมทั้งมีโต๊ะพูลไว้ให้เล่นด้วย ส่วนลิฟต์ที่อยู่ติดกันเป็นลิฟต์เฉพาะไว้ใช้ขึ้นไปนั่งเล่นบน Rooftop ค่ะ

    ชั้น 42 เป็นชั้นงานระบบทั้งหมด ไม่มีฟังก์ชันใช้งาน

    ชั้น 43 หรือชั้น Roof top (Roof Orchard) เป็นอีกชั้นที่ออกแบบไว้สำหรับทำกิจกรรมเล็กๆ ภายในโครงการ โดยมีพื้นที่ Workshop Area รวมทั้งกระถางต้นไม้ให้ลูกบ้านได้มาปลูกต้นไม้ของตัวเองได้

    สำหรับใครที่อยากปลูกต้นไม้ มีสวนเล็กๆ ของตนเอง แต่ถูกข้อจำกัดของการอยู่อาศัยในแนวสูงที่ไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการปลูกต้นไม้ หรือสวนเล็กๆ ของตัวเองเหมือนการอยู่บ้าน โครงการนี้ก็ตอบโจทย์ในส่วนนี้ได้เลย

    บรรยากาศบนชั้นนี้จะมีมุมนั่งทำ Workshop ปลูกต้นไม้ให้

    หรือจะมานั่งชมวิวในสวนก็ได้ ด้วยความที่ตัวอาคารมีความสูงถึง 43 ชั้นจึงสามารถมองเห็นวิวได้ไกลทีเดียวค่ะ

    มาดูในส่วนของวิวกันบ้าง เริ่มจากทางทิศตะวันออกที่มองไปทางเอกมัย รูปนี้เราถ่ายมาจากชั้น 7 จะเห็นมีอาคารสูงในระยะไกลอยู่หนึ่งอาคาร และในอนาคตแปลงที่ดินที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าก็มีแผนจะขึ้นอาคารสูงอีกเช่น แต่ก็ไม่ใช่แปลงที่ดินที่ติดกับโครงการนะคะ จึงยังไม่โดนบล็อกวิวในระยะประชิด

    วิวมุมสูงของทางทิศตะวันออก (จากชั้น 43) ยังคง Take View ไปได้ไกลทีเดียว

    สำหรับห้องพักทางทิศตะวันตกจะถูกบล็อกวิวจากอาคารด้านหลังของคอนโด Noble Remix ที่สูง 11 ชั้น แนะนำว่าให้ลองขึ้นไปดูวิวจริงเลยว่าโอเคมั้ย ซึ่งในชั้นสูงๆ ที่พ้นจากการบล็อกไปแล้วจะได้วิวระยะไกลหันไปทางพร้อมพงษ์และเลยไปถึงย่านอโศกเลยค่ะ เป็นฝั่ง City View ที่สวยทีเดียว

    สำหรับทิศเหนือจะอยู่ทางฝั่งด้านหน้าโครงการติดถนนสุขุมวิท จะได้วิวที่โปร่งโล่งทีเดียว มองเห็นบรรยากาศในซอยทองหล่อได้ชัดเจนเลย

    ในส่วนของทิศใต้ปัจจุบันยังเป็นวิวที่สามารถมองในระยะไกลได้ดีค่ะ จะมีห้องในชั้นล่างๆ ที่ได้วิวเป็นคอนโดมิเนียมในซอยสุขุมวิท 36 แต่ในชั้นบนๆ เลยชั้นที่ 25 ขึ้นไปนั้นจะสามารถมองเห็นวิวในระยะไกลได้สบายค่ะ อย่างชั้นที่ 35 ขึ้นไปสามารถมองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาได้เลยค่ะ

    สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

    1st Floor

    • Thirty six lounge (Reading lounge)
    • Parking Space
    • Mailbox & Storage Space
    • Sunken Lawn Garden

    7th Floor

    • Swimming Pool with jacuzzi and Separate Kid’s Pool ขนาด 25 x 6 ม. ลึก 1.2 ม. ระบบเกลือ
    • Water Garden Lawn
    • Seating Area
    • Steam Room
    • Horizon Onsen แยกชายหญิง
    • Treatment Room
    • Kid’s Room

    8th Floor

    • Fitness
    • Virtual Bike
    • Golf Simulator

    41st Floor

    • Sky Lounge
    • The Residence Lounge
    • Sky Theatre
    • Rice Field Garden
    • Rock Garden Terrace
    • BBQ Deck

    43rd Floor and Rooftop

    • Roof orchard

    • Seating Area
    • Workshop Area
    • Planting Area

     

    • ลิฟต์โดยสาร 4 ตัว/อาคาร
    • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 85 : 1
    • Service Lift 1 ตัว
    • ช่องจอดรถประมาณ 301 คันคิดเป็น 89% ไม่รวมจอดซ้อนคัน และ 100 % รวมจอดซ้อนคัน
    • ระบบ CCTV / Access Card / RFID Card
    • 24-Hour Security by guard service
    • Wifi internet at public area on 1st, 7th, 8th, 41st, 43rd Floor and Rooftop

    แบบห้อง

    เริ่มต้นจากห้อง 1 Bedroom ขนาด 38.5 ตร.ม. ตำแหน่งของห้องจะอยู่บริเวณตรงกลางของแปลนอาคาร ลักษณะของแปลนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส แบ่งเป็นสัดส่วนชัดเจน โดยให้ความสำคัญกับห้อง Master Bedroom เป็นหลัก เห็นได้จากขนาดของห้องนอนกินพื้นที่ถึงครึ่งนึงของตัวห้องทั้งหมดค่ะ นอกจากนี้จุดเด่นของห้องโครงการนี้เลยคือ ทุกห้องจะได้ Walk-through closet คล้ายๆ กับ Walk-in closet นั่นเอง และห้องน้ำในห้อง Master Bedroom จะได้อ่างอาบน้ำเป็นมาตรฐาน

    สำหรับแปลนนี้จากทางเข้าห้องมาจะเป็นส่วนครัวก่อนนะคะ ซึ่งส่วนครัวนี้เป็นลักษณะครัวเปิด วางเคาน์เตอร์ครัวในรูปตัว L เชื่อมกับส่วนรับประทานอาหารสำหรับ 2 ที่นั่ง ถัดมาเป็นส่วนนั่งเล่นที่วางตำแหน่งไว้ติดระเบียง ทำให้บริเวณพื้นที่นั่งเล่นดูโปร่งโล่งมากยิ่งขึ้นและสามารถมองเห็นวิวภายนอกได้ ในส่วนของระเบียงนั้นออกแบบไว้ให้เป็นสัดส่วนดีทีเดียว มีการแยกพื้นที่ระหว่างระเบียงและพื้นที่วาง CDU เครื่องปรับอากาศ โดยการใช้แผงกั้นปิดเป็นสัดส่วน อีกทั้งยังช่วยบังสายตาได้ด้วย

    ถัดมาในส่วนห้องนอนได้ขนาดพื้นที่ค่อนข้างมากทีเดียวใครที่ชอบพื้นที่ห้องนอนขนาดใหญ่น่าจะชอบ สามารถวางเตียงนอน King size (6 ฟุต) ได้เลย ถัดมาคือ Highlight ของห้องที่ให้มาเป็น Walk-through closet ที่ออกแบบให้เป็นเสมือนตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่เราสามารถเดินเข้าไปเลือกเสื้อผ้าได้หลังจากอาบน้ำเสร็จ ส่วนห้องน้ำจะอยู่ในห้องนอนอีกที มาพร้อมกับอ่างอาบน้ำค่ะ

    เริ่มจากประตูทางเข้าห้องเป็นขนาดใหญ่แบบ Oversize โดยใช้วัสดุเป็นไม้อัดกรุผิวลามิเนต ลักษณะของบานประตูนั้นมีการเซทเข้าไปด้านในระดับนึงตามความกว้างของวงกบไม้ที่ได้มาค่อนข้างหนาทีเดียวค่ะ

    Digital Door Lock ได้ของ Samsung ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งแบบการใช้ Password และ สามารถ สแกนลายนิ้วมือเพื่อเข้าห้องได้เช่นกันค่ะ

    ลักษณะการใช้งานส่วน Digital Door Lock ในรูปแบบสแกนนิ้วมือเข้า นับว่าใช้งานได้สะดวกดีทีเดียวเลยค่ะ

    เข้ามาภายในห้องจะเจอพื้นที่ครัวเป็นลำดับแรก เป็นลักษณะของครัวเปิด เชื่อมกับพื้นที่นั่งเล่น ทำให้มีความโปร่งโล่งและกว้างขวางมากขึ้น

    ฝ้าเพดานโซนครัวจะถูก Drop ลงเล็กน้อย เพื่อติดตั้งเครื่องปรับอากาศแบบ Conceal Type (ฝังฝ้า) ดูสวยงามและเรียบร้อย ซึ่งจะได้แบบนี้เป็นมาตรฐานในทุกห้องนะคะ รวมไปถึงเครื่องปรับอากาศนี้สามารถควบคุมผ่าน Application จาก Smartphone ได้ด้วย เป็นส่วนนึงของระบบ Home Automation จาก Schneider ที่ทางโครงการให้มาเป็นมาตรฐานเช่นเดียวกัน

    เปิดประตูเข้ามาส่วนแรกจะเป็นตู้ Built-in สำหรับเก็บของและวางรองเท้า สูงแต่พื้นถึงฝ้าเพดานเลยทีเดียว หน้าบานได้เป็นกระจกตามแบบในห้องตัวอย่าง

    ส่วนที่อยากให้สังเกตคือ เมื่อเปิดประตูเข้ามา Welcome Light จะเปิดโดยอัตโนมัติ เป็นดีเทลที่ทางโครงการตั้งใจออกแบบไว้ให้ลูกบ้านเพื่อความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยมากขึ้น ไม่ต้องมานั่งหาสวิชต์ไฟ เวลากลับบ้านมามืดๆ มองอะไรไม่เห็น หรือต้องมาเปิด Application เพื่อเปิดไฟจากมือถือค่ะ

    เคาน์เตอร์ครัวเป็นตู้ไม้เมลามีนปิดผิวด้วยกระจกสีทองแดงผสมกับทองเหลือง (copper bronze mirror surface with wooden melamine body) หรือที่เราเรียกกันว่ากระจกชาทอง ลักษณะของวัสดุนี้จะมีความสะท้อนเหมือนกระจกเงานะคะ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้ตัวห้องดูกว้างมากขึ้น

    ตู้เย็นจะถูก Built-in ฝังเป็นส่วนหนึ่งของชุดครัว ได้ยี่ห้อ Kuppersbusch แบรนด์ดังจากเยอรมัน

    ลักษณะเคาน์เตอร์เป็นรูปตัว U ล้อมกั้นเป็นพื้นที่ชัดเจน มีความกว้างของพื้นที่กำลังพอดีแบบกะทัดรัดนะคะ เมื่อเปิดบานตู้ต่างๆ มาแล้วก็อาจจะมีพื้นที่ทางเดินน้อยลงมาหน่อยนะ ข้อดีของชุดครัวที่ได้นี้คือทุกส่วนของพื้นที่ออกแบบให้สามารถใช้งานได้ทั้งหมด เช่นส่วนที่อยู่ใกล้กับเตาอบนั้นก็จะทำส่วนลิ้นชักเก็บของให้ด้วย

    ซึ่งเตาอบจะติดตั้งมาให้เช่นกันเป็นแบบฝังเคาน์เตอร์ของ Kuppersbusch หน้าตาสวยงามและแข็งแรง หน้าจอเป็นแบบ Digital

    ส่วนของ Top เคาน์เตอร์ใช้วัสดุเป็นหินควอทซ์มีลวดลายเป็นเส้นสีขาว เชื่อมตั้งแต่ Top ครัวขึ้นไปถึงผนังกันเปื้อนด้านหลังดูเป็นเนื้อเดียวกัน ด้านบนติดหลอดไฟซ่อนไว้ให้ด้วย ทำให้บริเวณมุมด้านในสว่าง ไม่มืดทึบค่ะ

    พื้นที่ส่วนครัวนี้จัดมาให้เหมาะสม เพราะมีบริเวณด้านข้างของเตาที่ให้พื้นที่มาพอสมควรสำหรับเตรียมอาหารและวางเครื่องปรุงต่างๆ

    เตาเซรามิกได้แบบ 2 หัวจาก Kuppersbusch เช่นเดิม มาพร้อม Hood ดูดควันแบบปล่อยออกไปด้านนอก

    ส่วน Sink ล้างมือหลุมเดี่ยวอยู่บริเวณเคาน์เตอร์ที่หันไปทางพื้นที่นั่งเล่น ได้ของ Franke นะคะ

    ส่วนหนึ่งที่โครงการเพิ่มเติมวัสดุมาจากโครงการ The ESSE รุ่นพี่ คือเจ้าหน้าบานระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ เพียงกดปุ่มบานนี้ก็จะเปิดอัตโนมัติ รวมถึงการปิดก็เพียงแต่กดปุ่มเพื่อปิดเช่นเดียวกัน ตอบโจทย์การใช้งานที่สะดวกสบายมากขึ้น และเหมาะกับตู้ Built-in ชั้นบนที่มีความสูงค่อนข้างมากแบบนี้ เมื่อเปิดแล้วภายในจะมีหลอดไฟส่องสว่างให้ ซึ่งไฟจะติดโดยอัตโนมัติ ถือว่าเป็นจุดพิเศษของห้องพักอาศัยโครงการ The Esse สุขุมวิท 36 นี้โดยเฉพาะ เลยด้วย

    เราได้อัดคลิปสั้นๆ สำหรับแสดงลักษณะการเปิด-ปิดหน้าบานส่วน Hood แบบอัตโนมัติค่ะ จะเห็นว่าใช้งานได้ง่ายมาก เป็นรายละเอียดที่ทางโครงการใส่ใจทำมาให้ในทุกห้องเป็นแบบมาตรฐานเลย

    ส่วนโต๊ะรับประทานอาหารเป็นเนื้อเดียวกับชุดเคาน์เตอร์ครัวเลยค่ะ ลักษณะจะเป็นการรับประทานอาหารแบบเคาน์เตอร์บาร์หันหน้าไปทางครัว ทำให้รูปแบบการกินจะเป็นอารมณ์ Easy Meal มากกว่าการนั่งรับประทานแบบหันหน้าเข้าหากัน

    การจัดพื้นที่โต๊ะทานอาหารลักษณะนี้ก็เพื่อประหยัดพื้นที่ ทำให้สามารถวางชุดโซฟานั่งเล่นได้เต็มที่ เพราะการอยู่อาศัยจริงๆ นั้นส่วนใหญ่เรามักจะใช้เวลาไปกับการนั่งเล่นพักผ่อนบริเวณพื้นที่นั่งเล่นมากกว่าพื้นที่รับประทานอาหารนะคะ

    พื้นครัวในห้องมาตรฐานจะได้เป็นกระเบื้องสีขาวลายหินอ่อน ขนาด 60×60 ซม. ซึ่งจัดเป็นวัสดุปูพื้นที่เหมาะกับการทำอาหารได้ดี มีความคงทนในเรื่องของความชื้น สิ่งสกปรกต่างๆ และทำความสะอาดได้ง่าย

    ในส่วนของพื้นห้องหลักๆ จะใช้เป็น Engineering Wood สี Dark Oak วางแบบ Herring Bone Pattern หรือแบบลายก้างปลา สวยงามทีเดียว ซึ่งจัดว่าเป็นอีกหนึ่งรายละเอียดที่ทางโครงการให้มาเป็นมาตรฐาน แถมบริเวณรอยต่อยังมีการเก็บขอบด้วยอลูมิเนียมให้ดูเนี้ยบและสวยงามดี

    ถัดมาที่พื้นที่นั่งเล่นในส่วนนี้จะมีความสูงฝ้าถึง 3 m. เลยค่ะ ช่วยส่งเสริมให้ตัวห้องดูโปร่งโล่งมากขึ้น

    สำหรับพื้นที่นั่งเล่นนี้ทางโครงการได้มีการให้ผนังส่วนด้านหลังทีวีเป็นหินอ่อนนำเข้าจากต่างประเทศลาย White Marmara หรือเทียบเท่าค่ะ ซึ่งลายนี้จะได้เฉพาะห้อง 1 Bedroom Type นี้เท่านั้นนะคะ ส่วนห้อง Type อื่นๆ จะได้ผนังหินอ่อนนำเข้าเช่นกันค่ะ แต่คนละสีกันไป

    สำหรับพื้นที่นั่งเล่นมีขนาดพอประมาณ เหมาะกับการวางโซฟาขนาดประมาณ 2 ที่นั่งกำลังดีค่ะ จะวางโต๊ะกลางก็สบาย เพราะมีระยะระหว่างโซฟาและทีวีพอสมควรเลย

    ก่อนที่เราจะไปดูระเบียงกันจะเพิ่มเติมว่าระบบ Home Automation ของทางโครงการนี้ได้ครอบคลุมถึงการเปิด-ปิดม่านด้วยนะคะ ซึ่งทางโครงการจะให้ม่านแบบ Black Out (ม่านทึบ ไม่รวมม่านโปร่ง) สีน้ำตาลเหลือบเทา จากทาง Jim Thomson ที่ออกแบบให้ทางโครงการโดยเฉพาะเป็นมาตรฐานในทุกห้องเลยค่ะ

    ระเบียงที่ให้จะเป็นพื้นที่ค่อนข้างกะทัดรัดขนาดประมาณ 1.4 x 0.6 m. โดยตั้งใจออกแบบให้เป็นเสมือนพื้นที่ไว้ดูยืนสูดอากาศภายนอก ดูวิวเป็นครั้งคราว ไม่ได้เน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นสำคัญ แค่วางราวตากผ้าเล็กๆ ได้

    หากใครที่ชอบปลูกต้นไม้เล็กๆ ก็สามารถจัดชั้นเล็กๆ ปลูกต้นไม้ได้นะคะ สำหรับพื้นระเบียงใช้เป็นกระเบื้องลายไม้ ส่วนราวกันตกใช้วัสดุเป็นกระจกลามิเนตมีความแข็งแรงพอสมควร

    ฝั่งซ้ายของระเบียงมีการแบ่งพื้นที่สำหรับวาง CDU เครื่องปรับอากาศไว้เป็นสัดส่วน มีประตูเหล็กกั้นตามแบบห้องตัวอย่าง เมื่อจำเป็นต้องมีการซ่อมแซมหรือทำความสะอาดต่างๆ ก็เข้า-ออกได้ง่ายเพราะแผงเหล็กนี้เป็นบานเปิดด้วยในตัว

    พื้นที่ระเบียงจะลดระดับลงมากจากตัวห้องเล็กน้อย เพื่อไม้ให้น้ำจากระเบียงไหลเข้าไปในห้อง และมีการติดไฟส่องสว่างเอาไว้ให้

    กระจกที่โครงการเลือกใช้จะเป็น IGU Glass สเปกสูงกว่ากระจกลามิเนตที่ใช้กันทั่วไป ช่วยกันความร้อนเข้ามาในห้องได้มากขึ้นถึง 45% และยังไม่บังวิว จึงสามารถมองผ่านระเบียงออกไปชมวิวได้แบบเคลียร์ๆ

    ด้านในสุดของห้องจะเป็นตำแหน่งของห้องนอนที่ได้ความเป็นส่วนตัวด้วยประตูแบบบานทึบ

    ข้างประตูห้องนอนมีตู้ Built-in มาให้ สำหรับวางเครื่องซักผ้า หรือเก็บของขนาดใหญ่ต่างๆ และด้านบนสามารถวางของเพิ่มเติมได้อีกหน่อย สเปกหน้าบานคือแบบเดียวกับชุดครัวเลยนะคะ

    ถัดมาที่ห้องนอนในแปลนนี้ได้ขนาดใหญ่พอสมควรเลยค่ะ สามารถวางเตียง King Size ได้สบายมาก พร้อมกับด้านข้างสามารถจัดโต๊ะเครื่องแป้ง รวมทั้งวางตู้โชว์ต่างๆ เพิ่มเติมได้เลย

    ส่วน Wallpaper นั้นทางโครงการได้ให้ทาง Jim Thomson ออกแบบมาเฉพาะของโครงการ สีก็จะตามห้องตัวอย่าง 1 Bedroom Type นี้เลยค่ะ

    ส่วนตัวชอบหน้าต่างที่นี่มาก แม้จะไม่ได้เป็นกระจกที่สูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน แต่ก็เรียกได้ว่ามีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหน้าต่างบานกระทุ้งที่มีขนาดใหญ่ตามขนาดของเฟรมกระจกเลย เวลาเปิดจึงสามารถระบายอากาศต่างๆ ได้ดีทีเดียว แตกต่างจากโครงการทั่วไปที่ถึงแม้จะให้กระจกบานใหญ่แต่ก็จะมีหน้าต่างบานกระทุ้งให้เป็นขนาดเล็ก

    อีกฝั่งของห้องทำเป็น Walk-through closet ที่เป็นฟังก์ชันพิเศษของโครงการนี้ ซึ่งจะมีให้กับทุกห้องเป็นมาตรฐาน ตอบโจทย์กลุ่มคนให้ความสำคัญกับพื้นที่สำหรับเสื้อผ้า มีพื้นที่ให้แต่งตัวชัดเจนเป็นสัดส่วน

    ซึ่งหาได้ค่อนข้างยากนะกับห้องพักอาศัยแบบ 1 Bedroom ที่จะได้พื้นที่แต่งตัวขนาดนี้ พื้นที่ถูกกั้นด้วยกระจกบานเลื่อน เป็นสัดส่วนแต่ก็ไม่ทำให้ห้องดูทึบลง

    ภายใน Walk-through Closet จะได้ชั้น Built-in สำหรับแขวนเสื้อผ้าและลิ้นชักสำหรับเก็บเสื้อผ้าและเครื่องประดับต่างๆ

    มีพื้นที่ตรงกลางให้ยืนเลือกเสื้อผ้าและเป็นทางผ่านเข้า-ออกห้องน้ำค่ะ

    มาที่ห้องน้ำกันต่อนะคะ วัสดุพื้นห้องน้ำและผนังปูด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนสวยงาม ซึ่งจะได้ลวดลายตามจริงเหมือนในห้องตัวอย่าง ภายในแบ่งพื้นที่โซนเปียก-แห้งไว้ชัดเจนด้วยฉากกั้นอาบน้ำ

    ส่วนของ Top เคาน์เตอร์ รวมไปถึง Top ของ Low Wall นั้นจะกรุด้วยหินอ่อนนำเข้าจากต่างประเทศ เป็นสี Laurent Brown

    อ่างล้างมือจาก TOTO มีขนาดพอสมควรให้ใช้งานได้ดี มีพื้นที่ข้างอ่างให้สามารถวางครีมหรือสบู่ต่างๆ ได้ ด้านล่าง Built-in เป็นตู้เก็บของได้อีกด้วย

    ส่วนของตู้กระจกนี้สามารถเปิดออกมาเป็นพื้นที่วางของเล็กๆ เช่นแปรงสีฟัน, ยาสีฟันต่างๆ, ครีมกระปุกน้อยๆ

    สำหรับโถสุขภัณฑ์ที่นี่ให้เป็นโถชิ้นเดียวแบบลอยตัว ฝังติดกับเคาน์เตอร์เลยค่ะ ซึ่งนอกจากเรื่องของความหรูหราสวยงามแล้ว อีกข้อดีคือสามารถทำความสะอาดพื้นห้องน้ำได้ทั่วถึงได้ด้วยค่ะ และพิเศษเฉพาะห้องน้ำในห้องนอนใหญ่เท่านั้นที่จะได้ฝาอัตโนมัติ TOTO Washlet นะคะ

    ถัดมาที่พื้นที่อาบน้ำได้ฉากกั้นกระจกที่สูงจากพื้นห้องไปถึงฝ้าเพดานเลยดีทีเดียวค่ะ ส่วนวงกบเป็นอลูมิเนียมสีทองแบบ Powder Coated

    สำหรับผนังพื้นที่อาบน้ำตรงกลางจะถูกกรุด้วยหินอ่อนนำเข้าสี Laurent Brown เป็นชนิดเดียวกับที่นำมาทำท็อปเคาน์เตอร์ส่วนอ่างล้างมือและ Low Wall ค่ะ

    ส่วนฝักบัวที่ได้จะมีทั้งแบบ Rain Shower และฝักบัวสายอ่อนจาก Gessi เป็นแบรนด์จาก Italy ที่โรงแรม 5 ดาวอย่าง Oriental, Four Season เลือกใช้กัน ด้านข้างเซทพื้นที่เข้าไปด้านในเพื่อให้เป็นพื้นที่สำหรับวางครีม วางสบู่ต่างๆ ได้

    สำหรับพื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ 1 x 1.5 m. ใช้งานได้สะดวกพอสมควร มีการลดระดับพื้นลงเล็กน้อยเพื่อกันน้ำไหลย้อนได้ดีมากขึ้นค่ะ วัสดุปูพื้นใช้เหมือนกับพื้นห้องน้ำส่วนแห้งเลยนะคะ ที่ชอบคือดีเทล Floor Drain ที่ทำมาเป็นรางน้ำปิดด้วยกระเบื้องเช่นเดิมดูสวยงามเรียบร้อยดี

    ส่วนอ่างอาบน้ำที่ได้จะเป็นของ TOTO ขนาดจะกะทัดรัดตามพื้นที่นะคะ มีความยาวประมาณ 1.5 m. ไว้นั่งยืดตัวแช่ได้ชิลๆ

    ด้านบนฝ้าเพดานมีการซ่อนไฟรูปแบบ Indirect Light ช่วยส่งเสริมให้ห้องน้ำดูมีรายละเอียดมากขึ้น และสวยงามทีเดียวค่ะ

    มาดูห้องตัวอย่างกันอีกห้องนะคะ คือห้อง 2 Bedroom ขนาด 73.5 ตร.ม. ตำแหน่งของห้องนี้อยู่บริเวณมุมอาคารทั้ง 4 มุมเลย แปลนห้องนี้จัดมาได้ลงตัวดีทีเดียวและมีการวาง Zoning ที่เป็นสัดส่วนชัดเจน แบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ด้วยกันคือ ส่วน Common Area (พื้นที่ครัว รับประทานอาหาร และพื้นที่นั่งเล่น) ส่วน Private Zone อย่างห้องนอนทั้ง 2 ห้อง จะเชื่อมกับ Common Area ด้วยโถงทางเดินอีกที เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น

    เราจะมาเจาะรายละเอียดจากแปลนทีละส่วนนะคะ เริ่มจากทางเข้าห้องเข้ามาเจอส่วนครัวก่อนเช่นเดิม ซึ่งครัวนี้มีขนาดใหญ่มากขึ้น เป็นทั้งพื้นที่เคาน์เตอร์ครัว ทำอาหาร พื้นที่รับประทานอาหารสำหรับ 4 ที่นั่ง ถัดมาเป็นส่วนพื้นที่นั่งเล่นที่ได้ระเบียงขนาดใหญ่และสามารถใช้เป็นพื้นที่นั่งเล่นชมวิวได้จริง ไม่ได้ใช้เป็นฟังก์ชัน Service หรือซักล้างแต่อย่างใด เพราะทางโครงการออกแบบให้มีตู้เก็บเครื่องซักผ้าไว้เรียบร้อย รวมไปถึงทำที่วาง CDU เครื่องปรับอากาศแยกออกมาอยู่ภายนอกห้องเลย ทำให้ระเบียงนี้สามารถใช้งานได้เต็มที่อย่างแท้จริงค่ะ

    สำหรับใครที่กังวลตำแหน่งของ CDU เครื่องปรับอากาศว่าหากมีการซ่อมแซมต่างๆ นั้นจะทำอย่างไร ก็ไม่ต้องกังวลนะคะ หากดูจากแปลนอาคารแล้วฝั่งที่วาง CDU เครื่องปรับอากาศ ทางโครงการจะออกแบบให้เป็นช่องลมเข้าในส่วน Corridor อาคาร จึงมีพื้นที่สำหรับให้ช่างเข้ามา Service ได้ค่ะ

    ถัดมาที่โซน Private ถูกแบ่งให้เป็น 3 ห้องด้วยกัน คือห้อง Master Bedroom เป็นห้องมุมที่สามารถนอนบนเตียงแล้วชมวิวในมุมกว้างได้เลยและเป็นห้องที่ได้อ่างอาบน้ำติดกระจกชมวิวเสพบรรยากาศระหว่างอาบน้ำได้ รวมไปถึงได้อ่างล้างมือแบบ His & Her ด้วย

    อีกห้องเป็นห้องนอนเล็กลงมา แต่ขนาดไม่ได้เล็กตามชื่อนะคะ เป็นห้องนอนที่สามารถวางเตียง King Size ได้เช่นกัน แต่จะไม่ได้มีห้องน้ำในตัวเหมือนห้อง Master Bedroom ต้องมาใช้ห้องน้ำร่วมกับส่วน Common Area ค่ะ ซึ่งตำแหน่งนั้นจะอยู่ติดกับห้องนอนเลย ใช้งานได้สะดวกเช่นกัน

    เริ่มจากทางเข้าห้องกันนะคะ สำหรับห้องนี้จะมีทางเข้าเป็น Corridor ให้ความรู้สึกเสมือนเป็นโถงต้อนรับ ลักษณะจะเป็น Foyer ขนาดเล็ก และได้ Welcome Light เป็นมาตรฐาน

    ด้านข้าง Built-in ชั้นวางรองเท้าและชั้นเก็บของไว้ให้ค่ะ ซึ่งตำแหน่งที่วางเครื่องซักผ้าก็จะอยู่บริเวณนี้ด้วยค่ะ

    ผ่านจากบริเวณ Foyer เข้ามาจะเป็น Common Area ที่เป็นพื้นที่ครัวเปิดเชื่อมกับโซนนั่งเล่นเป็นพื้นที่ใหญ่ ดูโปร่งและได้แสงธรรมชาติที่ผ่านประตูกระจกระเบียงเข้ามาด้วย

    ครัวของห้องนี้จะมีพื้นที่ใหญ่ขึ้น วางโต๊ะทานอาหารขนาด 4 ที่นั่งได้ และให้ชุดครัวใหญ่ขึ้นเป็นแบบมี Island เพิ่มเติมขึ้นมาเป็นมาตรฐานสำหรับห้อง 2 Bedroom โดยเฉพาะ ให้เครื่องใช้ไฟฟ้าจาก Kuppersbusch เช่นเดียวกับห้อง 1 Bedroom ที่ผ่านมา แตกต่างตรงที่จะมีขนาดใหญ่กว่า

    อย่างเช่นตู้เย็นมีขนาดใหญ่มากขึ้น ได้เป็นตู้เย็นแบบบานเปิดคู่เลย

    มาที่ส่วนเคาน์เตอร์ครัวลักษณะเป็น I – Shape คือเป็นเคาน์เตอร์ยาว ซึ่งเหมาะกับการทำอาหารมากขึ้น เพราะมีพื้นที่ทางเดินพอสมควรจะค่อนข้างคล่องตัวมากกว่าค่ะ และที่ได้ขนาดใหญ่ขึ้นคืออ่างล้างจาน (Sink) ได้เป็นแบบ 2 หลุม และเตาเซรามิกแบบ 4 หัวเตา แต่ก็จะมีพื้นที่ด้านข้างสำหรับเตรียมอาหารต่างๆ น้อยลงเมื่อเทียบกับห้อง 1 Bedroom ต้องขยับมาเตรียมอาหารตรงส่วน Island แทน

    ฝั่งของเคาน์เตอร์ Island จะเว้นพื้นที่ด้านข้างสำหรับวางโต๊ะทานอาหารไว้ให้ ส่วนวัสดุของ Island นี้จะกรุด้วยหินควอทส์สีดำลายขาวทั้งหมด เป็นสเปกเดียวกับเคาน์เตอร์ครัวและผนังกันเปื้อน (Backsplash)

    ก่อนจะเข้าสู่พื้นที่นั่งเล่นฝั่งซ้ายมือจะเห็นว่ามีบานกระจกบานใหญ่อยู่ ซึ่งอยู่ตำแหน่งติดกับส่วนช่องลมบริเวณ Corridor ตัวอาคาร ช่วยให้ตัวห้องได้แสงธรรมชาติเข้ามาได้อีกส่วนนึง ห้องดูโปร่งโล่งมากขึ้น แต่เป็นตำแหน่งที่ตรงกับหน้าต่างของห้องฝั่งตรงข้ามเช่นกัน ทางโครงการจึงแถมมู่ลี่ไม้มาให้ตามแบบในห้องตัวอย่างด้วยนะคะ

    พื้นที่นั่งเล่นของห้องนี้ดูเป็นสัดส่วนมากขึ้นและมีขนาดใหญ่สามารถรองรับชุดโซฟาขนาด 3 ที่นั่งพร้อมเก้าอี้โซฟาได้ บริเวณนี้สามารถรับวิวได้เต็มที่เพราะอยู่ติดกับประตูบานเลื่อนกระจกขนาดใหญ่สูงถึงฝ้าเพดานทีเดียว

    ผนังส่วนทีวีสำหรับห้องนี้จะได้เป็นหินอ่อนนำเข้าลาย Atlantic Grey

    สำหรับระเบียงมีขนาดใหญ่เลย สามารถจัดพื้นที่ให้เป็นระเบียงนั่งชมวิวเสพบรรยากาศทองหล่อได้เต็มที่

    ถัดมายังโซน Private จะมีการเปลี่ยนผ่านจากโซน Common Area มาเป็นโซน Private ผ่านโถงทางเดินนี้ ตัวโถงทางเดินเองจะทำหน้าที่เชื่อมไปยังห้องต่างๆ เริ่มจากห้องฝั่งขวามือแรกเป็นห้องน้ำที่ใช้ร่วมระหว่างส่วน Common Area และห้องนอนเล็ก ตำแหน่งของห้องนอนเล็กอยู่ตรงกลางของทางเดิน และฝั่งซ้ายเป็นทางเข้าห้องนอนใหญ่ค่ะ

    ห้องน้ำจะมีขนาดกะทัดรัดหน่อยเพราะตัดส่วนอ่างอาบน้ำออกนะคะ และมีวัสดุบางส่วนที่แตกต่างจากห้องน้ำในห้อง Master Bedrom เริ่มจากส่วน Top ของเคาน์เตอร์อ่างล้างมือและ Low Wall จะเปลี่ยนจากหินอ่อนลาย Laurent Brown เป็นลาย Black Marquina ลายเดียวกับเคาน์เตอร์ครัวค่ะ

    ส่วนโถสุขภัณฑ์ได้เหมือนเดิมนะคะ เพียงแต่ตัดฝาอัตโนมัติของ Toto Washlet ออก ซึ่งลูกบ้านสามารถซื้อมาติดตั้งเพิ่มเองได้นะคะ ทางโครงการมีการเดินไฟให้ พร้อมมีปลั๊กไฟกันน้ำติดตั้งด้านข้างไว้รองรับเรียบร้อย

    ส่วนพื้นที่อาบน้ำได้เหมือนเดิมหมดค่ะ ยกเว้นส่วนที่แตกต่างคือผนังที่กรุหินจากที่เป็น Laurent Brown (สำหรับห้อง Master Bedroom) เปลี่ยนเป็น Black Marquina เพื่อให้สอดคล้องกับ Top ของอ่างล้างมือ

    ภายในห้องนอนเล็ก จัดว่ามีขนาดกว้างขวางสามารถวางเตียง King Size ได้เลยค่ะ ส่วนปลายเตียงสามารถแขวนทีวีได้ แต่ไม่แนะนำให้ Built-in ชั้นวางทีวีหนามากนะคะ เพราะจะไปกินพื้นที่ทางเดินปลายเตียงให้เหลือความกว้างทางเดินน้อยเกินไป

    ส่วนหน้าต่างและกระจกให้มาใหญ่เช่นเดียวกับห้อง 1 Bedroom เลยค่ะ ช่วยให้ตัวห้องโปร่งโล่งดีมากๆ และได้วิวจากเตียงนอนเลย

    อีกด้านของเตียงสามารถวางโต๊ะเครื่องแป้งหรือโต๊ะทำงานขนาดกะทัดรัดได้ ติดกับโต๊ะจะได้ตู้เสื้อผ้าแบบ Built-in ค่ะ

    ตู้เสื้อผ้าเป็นแบบบานเลื่อนเพื่อไม่กินพื้นที่ทางเดิน สามารถใช้พื้นที่ห้องได้มากขึ้นค่ะ บานเปิดใช้เป็นกระจกสีชาทอง

    สำหรับห้อง Master Bedroom ของแปลนนี้จัดฟังก์ชันภายในได้น่าสนใจมาก เริ่มจากทางเข้าจัดให้เป็น Corridor ยาวๆ เสมือนเป็น Foyer ด้านหน้าก่อนแยกฝั่งขวาเป็นส่วนเตียงนอนและฝั่งซ้ายเป็นห้องน้ำภายในห้องนอน

    แต่จริงๆ แล้วส่วนนี้จะเป็นพื้นที่ Walk-through closet นั้นเอง ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนได้ทั้ง 2 ฟังก์ชันเลย คือเป็นทั้ง Foyer และ Walk-through closet สุดปลายทางมีหน้าต่างช่วยให้พื้นที่นี้ไม่ดูแคบ เพราะได้แสงสว่างจากภายนอกส่องเข้าถึงภายในได้ดี จึงช่วยเพิ่มความโปร่งโล่งได้ระดับนึงเลย

    ถัดมาที่ห้องน้ำในห้องนอนใหญ่กันนะคะ เราไปดูกันว่าห้องน้ำของ 2 Bedroom มีอะไรที่แตกต่างจากห้อง Type อื่นๆ กันบ้าง

    เริ่มจากอ่างล้างมือที่ได้เป็นแบบ His & Her จัดเป็นอีกหนึ่ง Signature ของทาง Singha Estate ที่มักจะให้อ่างล้างมือแบบ His & Her กับห้อง 2 Bedroom ตลอดค่ะ ส่วนสเปกวัสดุจะเหมือนกับห้องน้ำในห้องนอนของห้อง 1 Bedroom นะคะ

    ถัดมาที่ส่วนอ่างอาบน้ำ จุดพิเศษเลยคือบริเวณอ่างอาบน้ำจะอยู่ติดกับหน้าต่างบานใหญ่ ได้อาบน้ำเสพบรรยากาศวิวภายนอกชิลๆ ส่วนหน้าต่างบานกระทุ้งนี้ก็ช่วยในเรื่องระบายความชื้นและอากาศได้ดีทีเดียวค่ะ สำหรับใครที่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว ก็เพียงติดม่านก็เพียงพอแล้วค่ะ วันไหนอยากนอนอาบน้ำดูวิวก็เปิดม่าน วันทั่วไปก็ปิดม่านปกติได้เลย

    อีกฝั่งเป็นส่วนพื้นที่อาบน้ำและโถสุขภัณฑ์นะคะ ซึ่งรายละเอียด ทั้งสเปก ดีเทลต่างๆ จะได้เหมือนห้องน้ำในห้องนอนของ Type 1 Bedroom เลยค่ะ

    ด้านหลังของตู้เสื้อผ้าเป็นพื้นที่สำหรับวางเตียงนอน ซึ่งได้เป็นกระจกสีชาทองเช่นกันนะคะ ส่งเสริมให้บริเวณเตียงนอนดูกว้างขวางมากขึ้น

    จุดเด่นของห้องนอนนี้เลยคือ กระจกเข้ามุมของห้องนอนที่สามารถรับวิวในมุมกว้างได้อย่างเต็มที่เลยค่ะหากดูจากรูปจะเห็นว่าเฟรมกระจกและหน้าต่างหนาและแข็งแรงมากๆ ให้ Fitting มาดีสมราคาระดับ Super Luxury Class

    ถัดมาที่บริเวณเตียงนอนมีขนาดใหญ่ วางเตียง King Size ได้ และมีพื้นที่ข้างเตียงให้วางโต๊ะหัวเตียงได้ทั้ง 2 ฝั่ง

    หน้าตาสวิชต์ไฟภายในห้อง ใช้ของ Schneider ทั้งหมด

    **รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ

    ราคา

    ราคา @03 November 2020

    • 1 Bedroom ขนาด 38.5 ตร.ม. / ชั้น 10 / ทิศตะวันตก / ราคาเริ่มต้น 12.7 ล้านบาท หรือประมาณ 329,870 บาท/ตร.ม. ราคาพิเศษ 12.6 ล้านบาท
    • 2 Bedroom ขนาด 73.5 ตร.ม. / ชั้น 10 / ทิศตะวันออกเฉียงใต้ / ราคาเริ่มต้น 23.6 ล้านบาท หรือประมาณ 321,088 บาท/ตร.ม.
    • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 330,000 บาท/ตร.ม.
    • Fully Fitted
    • ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร
    • Kitchen Appliances & Sink
    • Hob & Hood
    • Built-in cabinet and storage
    • Walkthrough closet
    • Curtain and wallpaper by Jim Thompson
    • Imported Mable TV wall
    • Home automation system
    • จอง
      1 Bedroom 100,000 บาท
      2 Bedroom 200,000 บาท
      3 Bedroom 300,000 บาท
      Penthouse 500,000 บาท

    • ทำสัญญา 3%
    • ค่ากองทุน 1,000 บาท/ตร.ม.
    • ค่าส่วนกลาง 100 บาท/ตร.ม./เดือน
    • Promotions :  1 Bedroom ขนาด 38 ตร.ม. ราคาพิเศษ 11.9 ล้านบาท ตั้งแต่วันนี้ – 15 พย. 63 เมื่อ Register ก่อนเข้าชมโครงการ และมีสิทธิพิเศษเพิ่มเติมในงาน Event Promotion วันที่ 14-15 พย. นี้ กดลงทะเบียนได้ที่นี่เลยค่ะ

    **ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ

    บทสรุป

    โครงการ The ESSE Sukhumvit 36 จัดเป็นโครงการระดับ Super Luxury Class ติดถนนใหญ่สุขุมวิท และใกล้ BTS ทองหล่อโครงการเดียวที่พร้อมให้เข้าอยู่แล้วในปัจจุบัน มีระยะห่างจากโครงการไปเพียง 30 m. เท่านั้น ซึ่งถือเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ในเรื่องการเดินทางได้ดีทั้งการเดินทางด้วยรถยนต์และการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ในส่วนของห้องพักอาศัยของโครงการเน้นขายห้องขนาด 1 Bedroom ขนาด 38.50 ตร.ม. ซึ่งเมื่อมองในแง่ของราคา Package รวมแล้วจะเริ่มต้นที่ประมาณ 12-13 ล้านบาท เจาะกลุ่มคนที่มองหาคอนโดระดับ Super Luxury Class มีความหรูหราในราคาที่ไม่สูงมากเกินไป ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีห้องขนาดเล็กค่อนข้างมากก็ย่อมแลกมากับความหนาแน่นที่มากกว่าบรรดาโครงการระดับเดียวกันด้วยนะคะ

    ทำเล – ที่ตั้งโครงการจัดว่าเป็นทำเลที่ดีมากในย่านทองหล่อได้เปรียบในเรื่องการเดินทางเป็นหลักเลยค่ะ สำหรับใครที่เดินทางด้วยรถยนต์ก็ง่ายใช้ถนนสุขุมวิทในการเดินทางเข้าเมืองได้สะดวก หรือจะไปออกถนนพระราม 4 ก็ไม่ยากเพราะสามารถเลี้ยวเข้าถนนสุขุมวิท 36 ได้เลย ขากลับก็ไม่ต้องวนรถไกลเพราะซอยสุขุมวิท 36 สามารถทะลุออกถนนสุขุมวิท 38 ได้ จากนั้นก็เลี้ยวรถเข้าโครงการได้ง่ายแล้วค่ะ สำหรับอีกตัวเลือกในการเดินทางที่สะดวกมากเช่นกันคือ BTS ทองหล่อค่ะ ด้วยระยะเพียง 20-30 m. ทำให้เดินทางไปไหนด้วยรถไฟฟ้าได้ง่ายเลย

    ความอุดมสมบูรณ์ในย่านทองหล่อนั้นก็อย่างที่รู้กันว่ามีความอุดมสมบูรณ์สูง แวดล้อมไปด้วย Community Mall ร้านอาหารชื่อดัง และสถานบันเทิงที่คึกคักตั้งแต่กลางวันไปจนถึงกลางคืน ส่วนใหญ่จะอยู่ในซอยทองหล่อ (สุขุมวิท 55) เป็นหลัก ซึ่งที่ตั้งโครงการอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กับซอยทองหล่อเท่านั้นเองค่ะ แม้จะไม่ได้ใกล้เหมือนโครงการระดับเดียวกันที่ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในซอยทองหล่อเลย แต่ก็สามารถขับรถไปไม่ไกลนะคะ แลกมากับความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้นและทำเลที่เดินทางสะดวกกว่า และถึงแม้ว่าในย่านทองหล่อจะไม่มีห้างใหญ่ให้ Shopping ได้ แต่ในระยะไม่ไกลถัดไปเพียงสถานีรถไฟฟ้าเดียวก็จะมีห้างใหญ่ทั้ง 2 ห้างอย่าง The Emporium และ Emquartier ให้เดินช็อปปิ้งได้สบายๆ ค่ะ

    การออกแบบ – มีการออกแบบที่น่าสนใจและโดดเด่น ด้วยผลงานของเหล่า Designer ชื่อดังในสาขาต่างๆ ทั้งหมด คอนเซปต์ของโครงการมีแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากเอกลักษณ์ความเป็นไทย ออกแบบตามภูมิอากาศของประเทศ ทำให้เกิดช่องลมต่างๆ ที่เย็นสบาย โครงการมีความหนาแน่นไม่มาก ตกจำนวนยูนิตต่อชั้นสูงสุดอยู่ที่ 12 ยูนิตและอัตราส่วนลิฟต์อยู่ที่ 85 : 1 แต่เมื่อเทียบกับคอนโดในระดับเดียวกันก็ยังถือว่ามีอัตราส่วนที่สูงอยู่นะคะ

    ส่วนภายในตัวห้องออกแบบมาได้น่าสนใจ มีการพัฒนาจากโครงการก่อนหน้าและเพิ่มเติมเอกลักษณ์เฉพาะของโครงการเข้าไป โดยรวมแล้วทุก Type ห้องจะให้ความสำคัญกับ Master Bedroom เป็นหลักด้วยขนาดของพื้นที่และฟังก์ชันพิเศษอย่าง Walk-through closet ที่ไม่เหมือนใคร รวมไปถึงห้องน้ำขนาดใหญ่ที่มีอ่างอาบน้ำให้เป็นมาตรฐาน

    สำหรับห้อง 2 Bedroom ชอบภายในห้องนอน Master Bedroom เป็นพิเศษ ที่มีการออกแบบโดยการทำ Walk-through closet เป็นเสมือน Foyer ภายในห้องนอนด้วยในตัว เชื่อมพื้นที่เตียงนอนและห้องน้ำไว้ด้วยกัน ส่วนพื้นที่เตียงนอนนี้ได้ตำแหน่งมุมของอาคาร สามารถนอนวิวภายนอกในมุมกว้างได้ดีมาก ส่วนห้องน้ำในห้องนอนใหญ่จะได้อ่างอาบน้ำที่ติดกับกระจก สำหรับแช่อ่างชมวิวมุมสูงเพลินๆ เป็นพื้นที่พักผ่อนอีกจุดของห้องได้เลยค่ะ

    วัสดุ – ให้มาสมราคานะคะ โดยที่นี่จะขายในรูปแบบ Fully Fitted ซึ่งจะได้ชุดครัว และตู้ Built-in ทั้งหมด Top เคาน์เตอร์เป็นหินควอทซ์ลาย Black Marquina พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวจาก Kuppersbusch ทั้งตู้เย็นและเตาอบ ส่วนอ่างล้างจานจาก Franke ที่พิเศษในส่วนของครัวจะเป็นบานเปิดบริเวณ Hood ที่สามารถเปิด-ปิดแบบอัตโนมัติได้

    ถัดมาคือบริเวณส่วนนั่งเล่นที่ได้ผนังหินอ่อนแท้นำเข้าจากต่างประเทศเป็นมาตรฐานในทุกห้อง ซึ่งแต่ละ Type ห้องจะได้ลายหินแตกต่างกันไปนะคะ ในส่วนของพื้นทำมาได้สวยมากเป็น Engineering Wood วางแบบลายก้างปลา หรือ Hearring bone สี Dark Oak ส่วนสุขภัณฑ์จาก TOTO และอุปกรณ์ห้องน้ำทั้งหมดใช้แบรนด์นำเข้าของ Gessi ภายในห้องน้ำให้ Top เคาน์เตอร์เป็นหินเช่นกันค่ะ (Master Bedroom ลาย Laurent Brown, ห้องน้ำ Typical ลาย Black Marquina) นอกจากนี้ยังได้ม่าน Black – out และ Wallpaper ที่ทาง Jim Thomson เลือกมาให้เป็นพิเศษสำหรับโครงการ รวมทั้งระบบ Home Automation ที่ครอบคลุมคำสั่งส่วนแสงสว่าง, เครื่องปรับอากาศ และม่านไฟฟ้าค่ะ

    สาธารณูปโภค – ที่นี่จัด Facilities มาให้เยอะและหลากหลายมากทีเดียวนะคะ ที่เด่นๆ เลยคือ Onsen แยกชายหญิงขนาดใหญ่, สระว่ายน้ำแบบ Half Olympic, Golf Simulator, Virtual Bike, The Residence Lounge สำหรับจัดงานปาร์ตี้ส่วนตัวโดยเฉพาะ และการให้พื้นที่สำหรับปลูกต้นไม้แก่ลูกบ้านในทุกยูนิตบนชั้นดาดฟ้า หากเทียบกับโครงการในระดับเดียวกันแล้วถือว่าให้มาเยอะพอสมควรเลย แต่ก็ต้องแชร์กันใช้ตามจำนวนยูนิตที่มากกว่าโครงการอื่นเช่นกัน และแอบเสียดายนิดนึงที่ชั้น Main Facilities ไม่ได้ดันขึ้นไปอยู่ชั้นดาดฟ้านะคะ

    Judgement

    ราคาของคอนโดนี้ถือเป็นระดับ SUPER LUXURY CLASS ซึ่งความคุ้มค่าด้านราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อ ความคุ้มค่าด้านอารมณ์คือปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตราบเท่าที่ทางเรายังไม่สามารถวัดค่ามาตรฐานทางอารมณ์ได้ ทาง Think of Living ขอไม่ให้คะแนนฟันธงในรีวิวเจาะลึกนะคะ เพราะมีตัวเปรียบเทียบน้อย เนื่องจากเป็นสินค้าประเภท Unique เสียส่วนใหญ่

    BOTTOM LINE

    โครงการ The ESSE Sukhumvit 36 เหมาะสำหรับคนที่มองหาคอนโดหรูในย่านทองหล่อ ติดถนนใหญ่ และ BTS เน้นเดินทางสะดวกเป็นสำคัญ ชอบการออกแบบและสไตล์ของโครงการ ได้ Facilities ที่หลากหลาย

    ชอบตัวห้องที่มีการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และชอบห้องที่ได้ฟังก์ชันอย่าง Walk-through closet, อ่างอาบน้ำ มีขนาดห้องขนาดเล็กขาย ในราคา Total Package ที่ไม่สูงมากสำหรับคนที่มีงบประมาณเริ่มต้น 12-13 ล้านบาทที่ต้องการอยู่ในโครงการระดับ Super Luxury Class ไปจนถึงห้อง Penthouse ราคาประมาณ 95 ล้านบาท


    ติดตามพวกเราได้ที่
    Websitewww.thinkofliving.com
    Twitterwww.twitter.com/thinkofliving
    YouTubewww.youtube.com/ThinkofLiving
    Instagramwww.instagram.com/thinkofliving
    FacebookThinkofLiving