รีวิวฉบับที่ 1987 … รีวิวตึกเสร็จโครงการ The Base เพชรเกษม ที่สร้างเสร็จก่อนกำหนด ต้อนรับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ที่เปิดใช้งานเป็นที่เรียบร้อย เป็นคอนโด High Rise สูง 30 ชั้นใกล้ MRTเพชรเกษม48 เพียง 120 ม. ภายในได้บรรยากาศริมคลอง พร้อม Facilities จัดเต็ม ที่กระจายการใช้งาน พร้อมแบบห้องหลากหลาย ในราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท ( ขนาด 31.00 ตร.ม.) จะเป็นอย่างไร ไปชมภาพบรรยากาศกันค่ะ

Fact @ 6 November 2019

  • The Base Phetkasem (เดอะ เบส เพชรเกษม)
  • บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
  • UPPER CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ : ถนน เพชรเกษม เขต ภาษีเจริญ
  • ที่ดินประมาณ 3 ไร่
  • คอนโด High Rise 30 ชั้น 1 อาคาร 640 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 27 ยูนิต
  • ที่จอดรถประมาณ 239 คัน คิดเป็น 37% ไม่รวมจอดซ้อนคัน
  • เริ่มก่อสร้าง : 2560
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ : 2562
  • 1 Bedroom (S) 23.00-24.50 ตร.ม. จำนวน 255 ยูนิต (Sold Out)
  • 1 Bedroom (M) 31.00-32.50 ตร.ม. จำนวน 334 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท
  • 2 Bedrooms 44.00-52.25 ตร.ม. จำนวน 51 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท
  • ฝ้าเพดานสูง 2.55 เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท (ขนาด 31.00 ตร.ม.) / หรือตร.ม.ละ 90,000 บาท
  • ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการประมาณ 97,000 บาท/ตร.ม.
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • Call Center : 1685

สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างค่ะ


เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

พิกัด Google Maps : 13.715850, 100.447317
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

ที่ตั้งของโครงการ The Base เพชรเกษม ตั้งอยู่ติดถนนเพชรเกษม ที่เชื่อมไปออกได้ทั้ง ถนนราชพฤกษ์ ถนนจรัญสนิทวงศ์ หรือวิ่งเข้าเมืองไปย่านสีลม สาทรได้ ซึ่งตัวโครงการเองอยู่ใกล้ MRT เพชรเกษม 48 เพียง 120 ม. จุดเด่นของสถานี คือ มีซอยเพชรเกษม 48 (ฝั่งตรงข้ามโครงการ) ที่ลัดไปออก ถนนบางแวก ที่เอาไว้หลีกเลี่ยงรถติดบริเวณเพชรเกษมได้

” สำหรับโครงการนี้ เมื่อ 3 ปีก่อนเราเคยทำเจาะลึกทั้ง พาชมทำเล ที่วิเคราะห์ทำเลค่อนข้างละเอียด และ รีวิวห้องตัวอย่าง ซึ่งจะมีแบบห้องอื่นๆที่วิเคราะห์แปลนมาให้เรียบร้อย สามารถคลิกดูเพิ่มเติมประกอบการตัดสินใจได้ ส่วนรีวิวฉบับนี้เราจะพาไปอัพเดตบรรยากาศรอบๆโครงการกัน ว่าพอรถไฟฟ้าเปิดใช้งาน บรรยากาศจะเปลี่ยนไปจากเดิมไหม ไปดูกันค่ะ”

อัพเดทสภาพแวดล้อมโดยรอบของโครงการ

ก่อนอื่นขอเกริ่นก่อนนะคะว่า รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนตัวขยาย หรือภายใต้ชื่อ MRT ที่เราคุ้นเคยกันดี ซึ่งเส้นใหม่นี้จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ “บางซื่อ-ท่าพระ” และ “หัวลำโพง-บางแค” ที่เชื่อมกับรถไฟฟ้าใต้ดินเก่า คือช่วง“หัวลำโพง- บางซื่อ” ซึ่งพอดูแบบนี้แล้วก็สะดวกทั้งเข้าเมืองและไปตอนบนของกรุงเทพนะ

ตัวสถานี MRT เพชรเกษม 48 จะอยู่ระหว่าง MRT บางหว้า และ MRT ภาษีเจริญ ที่เป็นสถานีที่สำคัญของเส้นนี้ อย่าง MRT บางหว้า ก็เป็นจุด Interchange กับ BTS สายสีเขียว ที่ทำให้มีตัวเลือกในการเดินทางมากขึ้น ส่วนสถานีภาษีเจริญก็มีห้างใหญ่อย่าง ซีคอนบางแค ที่มีร้านค้า ร้านอาหารชั้นนำ ทำให้มีผู้คนในย่านนี้พลุกพล่านทีเดียว / สำหรับสถานีเราเองเหมาะกับคนที่ชอบความเงียบสงบ แต่ยังเดินทางไปใช้งานแหล่งความอุดมสมบูรณ์ได้ไม่ยากค่ะ

จุดเด่นของทำเลที่ตั้งโครงการ คือ ใกล้รถไฟฟ้าเพียง 120 ม. เป็นระยะที่เดินได้สบายๆ ซึ่งพอดูจากภาพแล้ว เราเดินผ่านตึกนิดหน่อยก็ถึงแล้วนะ ไปดูบรรยากาศของจริงกันค่ะ

พามาดูบรรยากาศด้านบนสถานีกันก่อน ที่ปัจจุบันเปิดใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนที่เราไปถ่ายเป็นช่วงบ่ายๆ คนใช้งานไม่เยอะเท่าไรนะ

สถานีมีตู้กดบัตรแบบใส่ได้ทั้งเหรีญและธนบัตร เพื่อความรวดเร็วในการใช้งาน ซึ่งสำหรับทางไปโครงการ ให้เราเดินตามป้ายหมายเลข 3 ไปค่ะ

พอเดินมาถึงทางลงเราก็จะมองเห็นตัวโครงการแล้ว ( ไม่ไกลเลยเนอะ ^^ )

พอเดินลงมาด้านล่างจะติดกับ Showroom Suzuki

สำหรับทางเดินเท้าที่นี่ค่อนข้างกว้างทีเดียว พร้อมต้นไม้ยาวตลอดทาง ที่ช่วยบังแดดในช่วงกลางวันได้ดีเลย

ระหว่างทางเดินจะมีตึกแถวเรียงยาวไป ที่ชั้นล่างทำเป็นร้านค้า ร้านอาหาร อยู่ประปราย แต่บรรยากาศจะไม่คึกคักเท่าฝั่งตรงข้ามนะ

เดินมาอีกนิดเป็น Sales Gallery เก่าของโครงการ ซึ่งเป็นพื้นที่ของแสนสิริเอง / โดยทางโครงการเคลมว่าจะทำเป็นร้านสะดวกซื้อ เพื่อให้บริการกับลูกบ้าน ส่วนรายละเอียดให้สอบถามอีกทีนะคะ

ด้านหน้าโครงการจะมีจุดกลับรถ ที่ค่อนข้างกระชันชิด แนะนำให้ขับเลี้ยวซ้ายแล้วไปหาที่กลับรถด้านหน้าแทนค่ะ

สภาพแวดล้อมรอบโครงการ

มาซูมกันดูใกล้ๆจะเห็นว่าแปลงที่ดินจะโค้งตามแนวรางของรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นรางที่วิ่งไปศูนย์ซ่อมบำรุงพื้นที่ประมาณ 90 ไร่ (ด้านหลังทางทิศใต้) ที่ทำให้โซนทางทิศใต้การันตีวิวได้ระดับนึง ทางเข้า-ออกโครงการติดถนนเพชรเกษม ส่วนตัวอาคารจะขยับเข้ามาด้านในเล็กน้อย ว่างตัวอาคารเป็นรูปตัว L ที่ดูแล้วแม้จะมีอาคารสูงทางทิศเหนือ แต่ก็ไม่มีผลกระทบกับโครงการมากนัก

  • ทิศเหนือ – ติดกับถนนเพชรเกษม เยื้องไปมีพื้นที่โครงการอื่นอยู่
  • ทิศตะวันออก – ติดกับบ้านพักอาศัยแนวราบ
  • ทิศใต้ – ติดกับคลองภาษีเจริญ และชุมชนริมคลอง
  • ทิศตะวันตก – ติดกับพื้นที่ รฟม. และบ้านพักอาศัยแนวราบ

ทิศตะวันตก เป็นวิวถนนเพชรเกษมฝั่งมุ่งหน้าไปทางบางแค มองเห็นตัวสถานี MRT เพชรเกษม 48 ได้ชัดเจน โดยรวมถือว่าค่อนข้างโล่งทีเดียว

ทิศตะวันออก เป็นวิวถนนเพชรเกษมฝั่งมุ่งหน้าไปทางบางหว้า ส่วนตัวชอบวิวฝั่งนี้ที่ยังได้วิวเบื้องหลังเป็น City View อยู่ไกลๆค่ะ

ทิศเหนือ หันออกถนนเพชรเกษม สังเกตฝั่งซ้ายมือมีโครงการก่อสร้างอยู่ (สูง30ชั้น) แต่ห้องที่หันฝั่งนี้จะไม่โดนบังวิวทั้งหมด เพราะมีระยะที่ห่าง ทำให้อยู่แล้วไม่อึดอัด

ทิศใต้ ฝั่งท้ายโครงการติดกับคลองภาษีเจริญและชุมชนแนวราบ ที่ขวามือเป็นพื้นที่ของรฟม. ซึ่งเป็นการการันตีวิวได้ระดับนึง ว่าเราจะไม่โดนบังวิวในอนาคตค่ะ

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • ศาลขุนด่านเจ้าพ่อเสือ ~ 65 เมตร
  • ม. สยาม ~ 1.4 กิโลเมตร
  • ธนาคาร ยูโอบี สำนักงานใหญ่ ~ 1.4 กิโลเมตร
  • ซีคอน บางแค ~ 1.5 กิโลเมตร
  • รพ. เพชรเกษม2 ~ 1.7 กิโลเมตร
  • รพ.บางไผ่ ~ 2.4 กิโลเมตร
  • รพ.พญาไท3 ~ 2.4 กิโลเมตร
  • ตลาดบางแค ~ 3.2 กิโลเมตร
  • Tesco Lotus บางแค ~ 4 กิโลเมตร
  • ไอที แกรนด์ บางแค ~ 4.7 กิโลเมตร
  • เดอะมอลล์ บางแค ~ 5.8 กิโลเมตร
  • The Circle ~ 7.2 กิโลเมตร


เจาะลึกตัวโครงการ

The Base เพชรเกษม เป็นคอนโด High Rise สูง 30 ชั้น จำนวน 640 ยูนิต โดยการออกแบบด้วยแนวคิด “Living with nature” ที่ต้องการให้ความเป็นธรรมชาติของท้องถิ่นผสมผสานกับเมือง ตัวอาคารเป็นรูปตัว L สีของอาคารใช้สีเขียว TURQUOISE (สีน้ำทะเล) ทำให้โดดเด่นและสวยงาม + สีน้ำตาลเปลือกไม้ ที่ดูเป็นธรรมชาติ และมีมิติมากขึ้น

ขอพูดถึงภาพรวมกันคร่าวๆก่อน เริ่มที่พื้นที่จอดรถจะอยู่ที่ชั้น 1-4 โดยโครงการให้มาทั้งหมด 37% ไม่รวมซ้อนคัน ที่ให้มาค่อนข้างน้อย แต่เนื่องจากอยู่ในระยะที่เดินไปรถไฟฟ้าได้สบาย ก็พอจะช่วยทดแทนได้อยู่นะ ส่วน Facilities ของโครงการ จะมีที่ชั้น 1,5,28,30 และ Roof Top ซึ่งกระจายการใช้งานได้ดี รวมถึง Main Facilities เอาไปไว้ที่ชั้นบน ช่วยให้เห็นวิวมุมสูงของโครงการได้ แม้ไม่ได้อยู่ห้องสูงมาก ส่วนห้องพักอาศัยจะเริ่มที่ชั้น 5 เป็นต้นไป พ้นระยะของรางรถไฟแล้วนะ

มาดู Master Plan กันต่อ ซึ่งทางเข้า-ออกโครงการจะติดพื้นที่ของ รฟม. โดยได้ขออนุญาตเปิดทางกับทาง รฟม. เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งมีข้อแม้ คือเราไม่สามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างได้ แต่สามารถจัดเป็นพื้นที่สีเขียวได้ ถัดเข้ามาด้านในโดยรอบเป็นพื้นที่จอดรถ มีทั้งแบบ Indoor และ Outdoor ส่วนจุด Drop off จะอยู่หน้า Lobby ที่สามารถขับวนออกได้ตามลูกศร

ส่วน Facilities รอบนอกอาคารก็จะมี Welcome Pavilion, Playground และ Waterside Terrace พอเดินเข้ามาใน lobby ก็มีชุดโซฟามาให้ ซึ่งเวลามีแขกมาหา เราสามารถให้นั่งรอตรงนี้ได้ ถัดเข้าไปเป็นโถงลิฟต์ก่อน ซึ่งมีลิฟต์โดยสารมาให้ 3 ตัว อัตราส่วนประมาณ 213:1 ที่ปริมาณค่อนข้างหนาแน่นทีเดียว ส่วนภายในจะมีพื้นที่ Co-working Space, Meeting Room และ Brainstorm Room ให้ใช้งานค่ะ

ดูจากภาพแล้วจะเห็นว่ามีรางรถไฟฟ้าโค้งพาดผ่าน เป็นรางไปศูนย์ซ่อมบำรุงของรฟม. ที่มีความสูงประมาณ 15 ม. หรือเทียบเท่าตึกสูงประมาณ 5 ชั้น แม้ห้องพักอาศัยเราจะอยู่ในชั้นที่ 5 แต่ยกระดับสูงเหนือรางนะ / ส่วนทางเข้า-ออกมีป้อมยามและไม้กั้นกระดก ระบบ RFID เหมือน Easy Pass บนทางด่วน จะได้ไม่ต้องเปิดกระจกรถออกมาแตะบัตรให้แดดร้อนหรือเปียกฝน

ส่วนพื้นที่ด้านล่างรางรถไฟ อย่างที่บอกไปว่าไม่สามารถสร้างสิ่งปลูกสร้างได้ อย่างรั้วก็สร้างสูงได้ไม่เกิน 1.50 ม. แต่โครงก็แก้ปัญหาจุดนี้ได้ดี โดยทำเป็นรั้วต้นไม้สูงแทนค่ะ

โครงการมีทางเดินเท้าแยกใช้งานเพื่อความปลอดภัยค่ะ

ซึ่งเป็นลักษณะอุโมงค์ไม้เลื่อย (GREEN TUNNEL) ปัจจุบันยังไม่โตเต็มที แต่ถ้าโตแล้วบรรยากาศน่าจะร่มรื่นทีเดียว โดยจะเชื่อมต่อกับที่นั่งพักผ่อน (Welcome Pavilion) ที่มีแนวความคิดต้องการหนีจากความวุ่นวายภายนอกเข้าสู่ธรรมชาติ

ระหว่างทางเดินไป Lobby ก็เป็นอุโมงค์ไม้เลื่อยเช่นกัน (GREEN TUNNEL)

ทางเดินรถที่นี่เป็นแบบ One Way รอบอาคาร ที่ง่ายต่อการควบคุม พื้นปูด้วย Concrete Stamp สีดำ พร้อมลูกศรบอกทางชัดเจน / ส่วน Facade ของชั้นจอดรถเป็นผนังสีดำตัดกับเส้นตั้งสีน้ำตาล ดูเรียบร้อย สวยงามดีนะ

เมื่อเข้ามาด้านใต้อาคารเป็นจุด Drop off ไว้รับ-ส่งคน ที่สามารถวนออกตามลูกศรได้เลย ซึ่งโครงการนี้จะมีสถานี EV Changer มาให้ด้วยนะ พร้อมรถ Smart Move ที่ผูกไว้กับ Sansiri Home Application โดยรายละเอียดสอบถามทางโครงการอีกทีนะ

เราขอพาไปดู Facilities รอบนอกอาคารกันต่อ ซึ่งตรงข้าม Lobby จะมีทางเดินเข้าไปสนามเด็กเล่น ที่จัดเต็มพื้นที่สีเขียวมาให้ รอโตเต็มที่น่าจะร่มรื่นทีเดียว > <

เข้ามาด้านในมีที่นั่งสำหรับผู้ปกครองมาให้ด้วย ซึ่งจะเป็นพื้นที่แบบ Outdoor ถ้าฝนตกจะไม่เหมาะใช้งานนะ

บริเวณสนามเด็กเล่น (Play Ground) ออกแบบโดย รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ เพื่อพัฒนาทักษะ และเหมาะกับการใช้งานของเด็ก เพื่อความปลอดภัยค่ะ

เริ่มจากพื้นแบบ Absorption ที่ช่วยลดแรงกระแทกจากการหกล้มได้ระดับนึง ทำให้ไม่เจ็บตัวมากนัก ส่วนของเล่นจะมีทั้ง Slider, เนินหญ้า + อุโมงค์ด้านล่าง, สะพานปืนป่าย และบ่อทราย ที่เสริมทักษะที่แตกต่างกัน ทั้งฝึกกล้ามเนื้อ การทรงตัว และการปืนป่าย

ภายในอาคารกำจัดความสูงอยู่ที่ 2.10 ม. ซึ่งถ้ารถหลังคาสูงเกินนี้ ก็สามารถนำรถมาจอดชั้น 1 ได้ / โครงการให้ที่จอดมา 37% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน) ที่ให้มาไม่มากค่ะ

ถัดเข้ามาที่ด้านหลังโครงการจะมีที่จอดรถกลางแจ้งและพื้นที่นั่งพักผ่อนริมน้ำอยู่ด้วย พื้นที่ริมคลองจะมีการปรับภูมิทัศน์ให้สวยงาม เราสามารถมาใช้พักผ่อนหย่อนใจได้ค่ะ

มาดูบรรยากาศที่นั่งริมคลอง ที่ค่อนข้างเงียบสงบดี แม้จะเป็นทางเดินเรือแต่ก็ไม่ได้ดูวุ่นวายอะไรมากนัก

โดยตรงนี้จะมีทางเดินลงคลองได้เลย แต่จะไม่มีแนวรั้วกัน ต้องระมัดระวังในการใช้งานหน่อยนะคะ

หรือจะเปลี่ยนบรรยากาศมาเดินเล่นริมคลองก็ได้

นอกจากนี้ยังมีที่นั่งแบบกึ่งนอนเล่นมาให้ นั่งสบายๆ พร้อมชมวิวคลองหรือนอนดูดาวก็ได้

กลับมาที่ทางเข้า Lobby กันอีกครั้ง คราวนี้เราลองเข้าไปดูด้านในกันว่าจะเป็นยังไง

เข้ามาในอาคารที่ชั้นล่างจะมี Lobby ที่ได้ความสูงแบบ Double Volume + กระจกสูงที่เปิดรับวิวสวนภายนอกได้ โดยจัดชุดโซฟามาให้ ที่เลือกใช้โทนสีแนว Earth tone กับใช้ไฟ Warm Light ที่ดูแล้วอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน

บริเวณโถงลิฟต์จะต้องใช้บัตร หรือใช้ QR Code : One Password ในการเข้า-ออกได้ สำหรับคนภายนอก แต่จะไม่สามารถขึ้นลิฟต์ได้นะ

ภายในโถงลิฟต์เล่นไฟสวยงามดี มีลิฟต์โดยสาร 3 ตัว อัตราส่วนประมาณ 213:1 ที่ปริมาณค่อนข้างหนาแน่นทีเดียว โดยมาตรฐานทั่วไปก็จะราวๆ 100:1 ค่ะ

เดินเข้ามาอีกนิดจะมีทางเดินไป Co-working Space

ซึ่งก่อนไปเราขอแวะห้อง Laundry ซึ่งจะมีทั้งตู้ซักผ้าและตู้อบ ที่ใช้ได้ทั้งแบบหยอดเหรียญ หรือใช้ผ่าน Application ของแสนสิริ โดยสามารถจ่ายเงินผ่าน app พร้อมทั้งระบบเตือนเวลาผ้าของเราซักเสร็จค่ะ

นอกจากนี้ยังมีตู้ IBOX เป็นระบบที่จะช่วยรับพัสดุเวลาที่ลูกบ้านไม่อยู่ ให้ลูกบ้านมาเอาของที่ตู้เองได้ตลอด 24 ชม. แต่จะลิงค์กับทางไปรษณีย์ไทยเท่านั้น ส่วนระบบขนส่งอื่นๆยังต้องไปเอาที่นิติอยู่ดีค่ะ

นอกจากนี้ยังมีประตูเปิดออกไปพื้นที่ริมคลองได้ด้วยนะ

กลับเข้ามาด้านในมีพื้นที่ Mailbox โดยจะติดหมายเลขห้องมาให้เรียบร้อย พร้อมกุญแจไว้ใช้สำหรับไขเอาจดหมายค่ะ

ด้านข้างมีห้องน้ำแยกชาย-หญิงมาให้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินขึ้นห้องค่ะ

ภายในจัดโทนสีมาให้ดู Smooth น่าใช้งานดี

พื้นที่ Co-working Space จัดที่นั่งเล่นมาให้หลากหลาย พร้อมกระจกสูงที่ไว้รับแสงธรรมชาติ + ชมวิวภายนอกได้ด้วยนะ

นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สำหรับถ่ายเอกสาร, พิมพ์งาน หรือสแกนก็ได้นะ

เราจะเดินไปดูห้อง Meeting Room กันต่อ ซึ่งบริเวณหน้าห้องมีเก้าอี้นั่งมาให้ เหมาะมานั่งอ่านหนังสือคนเดียว พร้อมรับแสงธรรมชาติค่ะ

ห้อง Meeting room มีประตูปิดมาให้เพื่อความเป็นส่วนตัว ซึ่งถ้าใครอยากใช้ห้องแบบ Private ต้องจองกับทางนิติ โดยมีค่าใช้จ่ายอยู่นะ

ภายในจัดที่นั่งที่เหมาะกับการนั่งทำงาน พร้อมที่เสียบปลั๊กที่เอาคอมมานั่งทำงานได้ ซึ่งประชุมครั้งละไม่เกิน 10 คนกำลังดีค่ะ

นอกจากนี้ยังมี Smart TV ของ Samsung ที่สามารถเขียนบนจอได้ หรือจะเปิดจากมือถือ Samsung แล้วลิงค์เข้ากับทีวีก็ได้นะ

ถัดเข้าไปเป็นพื้นที่ Brainstorm ขนาดใหญ่ที่รอบรับคนได้ถึง 25 คน ไว้ประชุมเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ก็ได้

นอกจากนี้ภายในห้องยังมี Projector ขนาดใหญ่มาให้ เราสามารถปรับเป็นห้อง Theatre ได้ โดยปัจจุบันทางแสนสิริให้บริการ Netfix ฟรี 3 เดือนนะ ส่วนในอนาคตต้องขึ้นอยู่กับนิติโครงการค่ะ

ภายในลิฟต์จะมีทั้งปุ่มกดสำหรับคนปกติ และสำหรับคนนั่งรถ Wheel Chair มาให้ด้วย ซึ่งลิฟต์ที่นี่จะเป็นแบบล็อคชั้น เพื่อความปลอดภัยค่ะ

ขึ้นมาที่ชั้น 5 จะมีสวนหย่อมอยู่ ที่ใช้นั่งเล่นพักผ่อนได้ โดยตัวสวนจะอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นห้อง เวลาใช้งานคนในห้อง และคนที่ใช้พื้นที่ส่วนกลาง จะได้ไม่เห็นกันได้ความเป็นส่วนตัว ส่วนถ้าใครเลือกห้องชั้นนี้ เวลาเปิดหน้าต่างจะได้ยินเสียงรถไฟฟ้าวิ่ง / ตัวอาคารเป็นลักษณะตัว L ที่ฐานเฉียงเล็กน้อย โดยเอาลิฟต์มาไว้ตรงกลาง ซึ่งห้องที่อยู่ริมจะต้องเดินไกลหน่อยนะ

บริเวณโถงลิฟท์ก่อนเข้าโซนห้องพักจะมีการกั้นประตูอีกจุดหนึ่งเพื่อความเป็นส่วนตัว

บรรยากาศพื้นที่สวนหย่อมฝั่งทิศตะวันออก ขนาดไม่ใหญ่มาก มาพร้อมที่นั่งเล่น + พุ่มไม้ยาวตลอดแนว ไว้บังสายตาจากคนภายนอกค่ะ

ภาพถ่ายจากทางโครงการ

บรรยากาศพื้นที่สวนหย่อมฝั่งทิศตะวันตก ที่มีพื้นที่กว้างกว่า ไว้มานั่งเล่น หรือรอชมพระอาทิตย์ตกดินได้นะ

ถัดขึ้นมาชั้น 28 เป็นพื้นที่ Main Facilities ของโครงการ โดยมีจำนวนยูนิตเหลือเพียง 10 ยูนิต แต่จะมีประตูกั้นแยกมาให้เพื่อความเป็นส่วนตัว เหมาะกับคนที่ชอบใช้พื้นที่ส่วนกลาง เพราะเดินใช้งานง่ายเลย  บริเวณนี้จะได้สระว่ายน้ำยาวถึง 40 ม. พร้อมที่นั่งมาให้หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบ Day Bed และ Sunken Seat สำหรับพื้นที่ Fitness จัดเต็มถึง 2 ชั้น โดยชั้นที่ 1 เป็นพื้นที่ Passive ที่วางเครื่องเล่น Cardio + Weight Training ส่วนชั้นที่ 2 เป็นโซน Active เช่นพื้นที่ Yoga, Boxing และ Dance เป็นต้น

ชั้น 29 เป็นพื้นที่ห้องพักอาศัย ที่ได้ความเป็นส่วนตัว บรรยากาศไม่วุ่นวายค่ะ

ส่วนชั้น 30 มีส่วนของห้องพักอาศัย ที่มีทางเดินเข้าพื้นที่ส่วนกลางได้เลยค่ะ

พื้นที่ Main Facilities มีห้องน้ำแยกชาย/หญิงมาให้ ภายในมีตู้  Locker ไว้เก็บของเวลาใช้งานพื้นที่ส่วนกลางได้

ภายในมีทั้งโถสุขภัณฑ์ และห้องอาบน้ำ ไว้ใช้งานก่อนเข้าห้องพัก

พร้อมห้อง Steam แต่ขนาดจะไม่ใหญ่มากนัก เหมาะใช้งาน 2-3 คนกำลังดี

นอกจากนี้ทางโครงการยังมีลิฟต์สำหรับรถเข็น Wheel Chair มาให้ด้วยนะ

ขึ้นมาที่ชั้น 28 เดินมาจะเจอสระว่ายน้ำยาว 4.5 x 40 ม. ที่ถือว่าค่อนข้างยาวทีเดียว เราสามารถว่ายน้ำจริงจังได้เลย พร้อมระเบียงกระจก ทำให้มองวิวภายนอกได้ชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สระเด็กแยกใช้งานมาให้ ขนาด 2.5 x 3 ม. ลึก 50 ซม. เพื่อความปลอดภัยของเด็กๆค่ะ

ภาพถ่ายจากทางโครงการ

บริเวณข้างๆ สระเด็ก และ Day Bed ของจริงมีน้ำพุ พร้อมพื้นตื้นๆ ให้เดินแช่เท้าได้ ไม่ต้องเปียกนะ > <

ที่นั่งในสวน และที่นั่งแบบ Sunken Seat ล้อมรอบด้วยกระจก ไว้นั่งเล่นมองวิวมุมสูงของโครงการ

ที่นั่งแบบ Day Bed มาให้ทั้งแบบ Indoor และ Outdoor ให้เลือกใช้งาน

โซนแรกมีทั้งเครื่องคาดิโอ (Cardio) ที่จะเน้นการเบิร์นเพื่อเผาผลาญไขมัน และเวทเทรนนิ่ง (Weight Training) สำหรับคนที่อยากจะเพิ่มกล้ามเนื้อ โดยตรงนี้จะล้อมรอบด้วยกระจกที่มองวิวสระว่ายน้ำ และวิวภายนอกได้

ด้านข้างมีบันไดขึ้นไปชั้น 2

บริเวณชั้นที่ 2 ของฟิตเนส เป็นโซน Active ที่ไฟบนฝ้าเพดาน เราสามารถเปลี่ยนสีได้ตามใจชอบนะ

ภายในมีกระสอบทราย สำหรับต่อยมวย และห้องโล่งๆที่เตรียมเสื่อมาให้เล่น Yoga หรือจะปรับเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ก็ได้

ขึ้นมาที่ชั้น Roof Top เป็นพื้นที่สีเขียว ภายใต้แนวคิด Sansiri Backyard ที่ต้องการให้เรารับประทานอาหารที่ดี โดยจัดพื้นที่มาให้ปลูกพืชผักสวนครัวมาให้ ซึ่งจะมีผักชนิดไหนบ้าง ต้องลองสอบถามโครงการอีกทีนะคะ

กลับมาดูชั้นพักอาศัยกันต่อ ชั้นที่ 6-26 จะเหมือนกันทั้งหมด ตำแหน่งโถงลิฟต์อยู่ตรงกลาง ที่ตำแหน่งห้องริมจะต้องเดินไกลหน่อย ส่วนทางเดินเป็นแบบ Double Corridor ที่เวลาใช้งานอาจจะเปิดมาเจอเพื่อนบ้านได้ และทางเดินมีช่องแสงไม่เพียงพอบริเวณกลางอาคาร ทำให้ต้องใช้ไฟช่วย ซึ่งจะส่งผลกับค่าไฟเราในอนาคตได้นะ

ส่วนห้องพักอาศัยสูงสุดที่ 27 ยูนิต/ชั้น เน้นห้อง 1 Bedroom ขนาด 31.00-32.50 ตร.ม. เป็นหลัก โดยจะเน้นหันไปทางทิศใต้ และทิศตะวันออก ที่จะไม่โดนแดดแรงในช่วงบ่าย แต่จะมีบางส่วนที่หันไปทางทิศตะวันตกอยู่นะ ส่วนห้อง 1 Bedroom ขนาด 23.00-24.50 ตร.ม. จะหันออกไปทางทิศตะวันตก และทิศเหนือ สำหรับห้อง 2 Bedrooms จะมีเพียง 2 ยูนิต ที่เอาไว้ตรงกลาง และตำแหน่งมุมขวาค่ะ

สำหรับชั้น 27 มีห้องพักอาศัยเพียง 15 ยูนิต โดยมีบางส่วนได้ Single Corridor เพราะฝั่งตรงข้ามเป็นพื้นที่ Service ซึ่งมองว่าได้ความเป็นส่วนตัวดีนะ เป็นตำแหน่งห้อง 1 Bedroom ขนาดเล็กที่ปัจจุบัน Sold Out ไปแล้วนะ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • ชั้นที่ 1

  • Welcome Pavilion
  • สนามเด็กเล่น (Education Playground) รองรับโดยรพ.สมิติเวช
  • Waterside Terrace
  • ที่จอดรถแบบ Indoor & Outdoor
  • EV Charger
  • Lobby Lounge
  • Mail room + iBOX
  • Laundry + Smart Wash
  • Co – working space
  • Meeting Room + Electronic Whiteboard
  • Brainstorm Room (Private Theater)

  • ชั้นที่ 2-4
    • ที่จอดรถประมาณ 239 คัน คิดเป็น 37% ไม่รวมจอดซ้อนคัน
    • พื้นที่จอดรถ

  • ชั้นที่ 5
    • สวนหย่อม 2 ฝั่ง

  • ชั้นที่ 28
    • สระว่ายน้ำยาว 4.5 x 40 เมตร ลึก 1.20 ม.
    • สระเด็ก 2.5 x 3 เมตร ลึก 50 ซม.
    • Sky Fitness 2 ชั้น

  • ชั้นที่ Roof Top
    • สวนหย่อม
    • Sansiri Backyard พื้นที่ปลูกพืชผักสวนครัว

  • ลิฟต์โดยสาร 3 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 214 : 1
  • Service Lift 1 ตัว
  • ระบบ CCTV / Access Card / Finger Scan

  • Product Walkthrough

    ห้องพักอาศัยของโครงการ มีให้เลือก 3 แบบ 1 Bedroom เล็ก, 1 Bedroom ใหญ่ และ 2 Bedrooms แต่ต้องบอกก่อนว่ามีแบบแปลนให้เลือกหลากหลายทีเดียว ในรูปแบบการขายของที่นี่จะเป็นแบบ Fully Fitted คือ ให้ให้เฟอร์ฯ มาบางส่วน เช่น เคาน์เตอร์ครัว Hob & Hood ยี่ห้อ HAFELE, สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ ยี่ห้อ American Standard และ Digital Door Lock ของ Yale มาพร้อม Home Automation ที่ให้เป็นมาตรฐาน ซึ่งหน้าตาจะเป็นอย่างไร ไปดูกันค่ะ

    ห้อง 1 Bedroom 31.75-32.00 ตร.ม. เป็นลักษณะแปลนที่ห้องนั่งเล่นอยู่ด้านใน ทำให้มองไม่เห็นวิวด้านนอก แต่ก็ไม่ได้มืดทึบ เพราะได้แสงธรรมชาติจากห้องนอนอยู่ ส่วนห้องครัวและห้องน้ำจะอยู่ด้านใน ที่ต้องใช้เครื่องดูดควันช่วยระบายอากาศ แต่ข้อดีของห้องน้ำที่อยู่ภายนอกคือ เวลามีแขกมาบ้านจะได้ไม่ต้องเดินผ่านห้องนอน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวนะคะ ถัดไปที่ห้องนอนมีฉากกั้นมาให้เป็นสัดส่วน ชัดเจนดี โดยวางเตียง 5 ฟุตได้กำลังดี แถมมีพื้นที่อเนกประสงค์มาให้ เราสามารถปรับเป็นห้องนั่งทำงาน หรือ Walk in Closet ได้

    บริเวณโถงลิฟต์มีหน้าต่างบานกระทุ้งมาให้ระบายอากาศภายในค่ะ

    ทางเดินมีหน้าต่างอยู่สุดทาง ซึ่งช่วงกลางๆทางเดินจะค่อนข้างมืด ทำให้ต้องเปิดไฟช่วยในช่วงกลางวันค่ะ

    บานประตูสีขาวเรียบๆสูงเต็มผนัง พร้อมช่องตาแมวไว้ส่องคนจากภายนอกได้

    ด้านหน้าประตูติดหมายเลขห้อง และกลิ่งมาให้ใช้งาน

    Digital Door Lock เป็นของ Yale เป็นแบบที่ใช้ได้ครบทั้ง กดรหัส คีย์การ์ด กุญแจ สแกนนิ้วมือค่ะ

    เข้ามาในห้องจะเจอกับส่วน Common Area ที่รวมพื้นที่นั่งเล่น + พื้นที่กินข้าวไว้ด้วยกัน ซึ่งแม้จะไม่ได้อยู่ริมอาคาร แต่ก็ได้แสงสว่างจากห้องนอนอยู่ โดยฝ้าเพดานสูง 2.55 ม. / ของจริงให้แบบ Fully-Fitted ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ให้ โดยวางโซฟา 2 ที่นั่ง + โต๊ะกินข้าว 2 ที่นั่งได้ กำลังดีค่ะ

    พื้นไม้ลามิเนต หนา 8 มม. ที่ทนทานต่อแรงกระแทกและรอยขีดข่วนได้ดี แต่จะไม่ทนความชื้น เวลาใช้งานต้องระวังน้ำหกอาจจะทำให้พื้นบวมได้ / หลังวางเฟอร์ฯมีระยะทีวีกว้างประมาณ 1.95 ม. ซึ่งขนาดทีวีที่เหมาะกับระยะสายตาอยู่ที่ประมาณ 46″- 50″ กำลังดี แถมเหลือพอวางโต๊ะกลางเล็กๆได้อีกด้วย

    ฝั่งขวามือเป็นตำแหน่งวางชุดทีวี ซึ่งเราสามารถดูเป็นไอเดียแล้วจัดตามเองได้นะ / ด้านข้างมีประตูบานเลื่อนไปห้องครัว + ห้องน้ำได้

    สำหรับโครงการนี้แถม Home Automation ที่ใช้ผ่าน App Home Mate ไว้สำหรับเปิด-ปิดไฟ แอร์ และ TV เป็นมาตรฐานค่ะ

    ฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสีขาว + ติดไฟ Downlight มาให้

    ทางเข้าห้องครัวเป็นประตูบานเลื่อน 3 ตอน ที่เปิดได้กว้างกว่าปกติ ข้อดีของห้องครัวปิด คือสามารถทำอาหารจริงจังได้ ไม่ต้องกลัวกลิ่นไปติดที่เฟอร์ฯ ภายในห้องค่ะ

    ชุดครัว Built-in ได้ความสูงเต็มผนัง พร้อมหน้าบานเป็นเมลามีนลายไม้ ที่เช็ดทำความสะอาดง่าย ด้านข้างมีพื้นที่เหลือวางตู้เย็นได้ด้วย ส่วนผนังของจริงเป็นฉาบเรียบทาสีขาวค่ะ

    ฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสีขาว + ติดไฟ Downlight มาให้

    ตู้ฝั่งซ้ายมือได้หน้าบานทึบปิดผิวด้วยเมลามีน พร้อมชั้นวางของภายใน แต่จะเป็นช่องตื้นๆ เนื่องจากด้านหลังเป็นพื้นที่ Hood ที่ต่อออกภายนอกอาคาร / ฝั่งขวามือเป็นชั้นโชว์ ไว้วางของที่ใช้งานบ่อยๆได้

    Top เคาน์เตอร์เป็นหินสังเคราะห์ ที่กั้นความชื่นและน้ำได้ พร้อม Backsplash เป็น กระเบื้องเซรามิค ที่เช็ดทำความสะอาดได้ง่าย

    อ่างล้างจานยี่ห้อ HAFELE ทำเป็นสีดำทั้งอัน ขนาด 36 x 40 ซม. มาพร้อมก๊อกน้ำทรงสูง ใช้งานง่าย ส่วนชุดเตาไฟฟ้าได้เป็นแบบ 2 หัว พร้อม Hood ยี่ห้อ HAFELE แบบหมุนเวียนออกนอกอาคาร

    ชุดครัวด้านล่างฝั่งซ้ายมือมีลิ้นชักสำหรับเก็บช้อนส้อม และช่องว่างตรงกลางไว้วางไมโครเวฟ ตามห้องตัวอย่างได้ / ฝั่งขวามือเป็นตู้ใต้ซิงค์ล้างจาน ที่เหมาะวางของชิ้นใหญ่ๆ

    พื้นครัวเป็นพื้นเซรามิค 30 x 30 ซม. ที่เช็ดทำความสะอาดได้ง่าย ป้องกันความชื้นได้ดี โดยหลังจากวางเฟอร์ฯ แล้วมีระยะประมาณ 96 ซม. ที่ใช้งาน 1-2 คนพร้อมกันกำลังดี / ฝั่งขวามือจะเป็นประตูเข้าห้องน้ำนะคะ

    ภายในห้องน้ำแยกส่วนเปียก-แห้งเป็นสัดส่วนชัดเจน โดยบริเวณพื้นที่อาบน้ำมีฉากกั้นมาให้ป้องกันน้ำไหลออกมาด้านนอก

    กระจกเงาเป็นแบบที่เก็บของข้างในได้ / อ่างล้างหน้ายี่ห้อ American Standard ขนาด 45 x 29 ซม. ที่มีพื้นที่เหลือวางอุปกรณ์อาบน้ำได้นิดหน่อย

    หลังประตูห้องน้ำเป็นที่วางโถสุขภัณฑ์ยี่ห้อ American Standard ของจริงจะมีสายชำระ + แกนใส่กระดาษทิชชู่มาให้ด้วยนะ

    ด้านข้างโถสุขภัณฑ์จะมีช่องมาให้สำหรับวางของได้

    พื้นที่อาบน้ำมีฉากกั้นแบบบานเลื่อน 3 ตอน + กระจก Tempered Glass ที่แข็งแรงกว่ากระจกทั่วไปค่ะ

    พื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ 1.49 x 0.79 ม. ที่กว้างยืนใช้งานได้สบายๆ / พร้อมขอบยกสูงป้องกันน้ำไหลออก ภายในมีจุดระบายน้ำอยู่ที่มุม / ฝักบัวปรับระดับน้ำใช้งานได้ด้วยนะ

    ไปดูห้องนอนกันต่อที่กั้นด้วยประตูบานเลื่อน 3 ตอนเป็นสัดส่วน ซึ่งประตูนี้จะสามารถเลื่อนเปิดซ้ายขวาได้ เลือกใช้งานได้ตามใจชอบ

    เมื่อวางเตียงขนาด 5 ฟุตแล้ว มีที่เหลือรอบเตียงประมาณ 30-40 ซม. เป็นระยะที่เดินใช้งานได้พอดี ส่วนฝั่งริมหน้าต่างก็มีพื้นที่ / ฝั่งริมหน้าต่างเหลือประมาณ 60 ซม. ที่วางโต๊ะหัวเตียงได้ เหมาะกับคนที่ชอบเล่นมือถือก่อนนอน

    ส่วนบริเวณหัวเตียง มีพื้นที่เหลือสามารถ Built-in เป็นชั้นวางของเพิ่มได้นะ

    บริเวณหน้าต่างมีบานกระทุ้ง 1 บาน ที่ช่วยระบายอากาศ วัสดุได้เป็นขอบอลูมิเนียมสีดำ + กระจกสีเขียวตัดแสง ที่ช่วยกัน UV ได้ระดับนึง

    ฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสีขาว + ติดไฟ Downlight มาให้

    ปลายเตียงมีพื้นที่อเนกประสงค์ พร้อมประตูบานเลื่อน 3 ตอน แยกใช้งานเป็นสัดส่วนดี

    ห้องนี้มีขนาดประมาณ 2.30 x 1.65 ม. ที่เหมาะทำเป็นตู้เสื้อผ้า + โต๊ะเครื่องแป้ง หรือโต๊ะทำงานได้นิดหน่อย ซึ่งภายในไม่เหมาะวางเตียงนะคะ

    โดยมีระยะหน้าตู้กว้างประมาณ 1.10 ม. ที่ค่อนข้างกว้าง เราสามารถยืนเปลี่ยนเสื้อผ้าได้สบายๆเลย

    ฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสีขาว + ติดไฟ Downlight มาให้

    ระเบียงกั้นด้วยประตูอลูมิเนียมสีดำ 3 ตอน / โครงการแขวน Condensing Unit แบบหันลมร้อนออกด้านนอกมาให้  โดยด้านล่างมีพื้นที่เหลือวางเครื่องซักผ้าได้

    พื้นที่ระเบียงขนาด 2.10 x 0.90 ม. ที่ออกมายืนสูดอากาศได้นิดหน่อย พร้อมราวกั้นตกสูง 1 ม. / พื้นปูด้วยกระเบื้องเซรามิค ขนาด 30 x 30 ซม.

    ถัดมาที่ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 52.25 ตร.ม. โดยจะอยู่มุมอาคาร ที่ลักษณะห้องจะเอียงเล็กน้อย โดยเดินเข้ามาเป็นพื้นที่ Common area ยาวจนถึงหน้าต่าง ที่มีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ วางชุดโซฟาสำหรับ 3 ที่นั่ง + โต๊ะรับประทานอาหาร 4 ที่นั่งได้ โดยห้องนี้จะได้เป็นครัวแบบเปิด ที่ไม่เหมาะทำอาหารจริงจัง ส่วนห้องนอนเล็กเหมาะวางเตียงขนาด 3.5 ฟุตเท่านั้น เพราะเป็นมุมที่หักเอียงเล็กน้อย  แต่ก็มีพื้นที่เหลือวางตู้เสื้อผ้าได้ ตัวห้องติดกับพื้นที่ระเบียงที่ออกไปยืดสูดอากาศได้ ถัดไปที่ห้องนอนใหญ่สามารถวางเตียง 5 ฟุตได้กำลังดี พร้อมหน้าต่างเข้ามุมแบบ Bay Window ที่ทำให้มองวิวได้กว้างมากขึ้น ส่วนห้องน้ำจะอยู่ตรงกลางระหว่างห้องนอน 2 ห้อง ที่แบ่งเป็นฉากกั้นย่อยๆ ทำให้ใช้งานพร้อมกันได้ โดยเข้าได้ทั้งจากห้องนั่งเล่น + ห้องนอนใหญ่ค่ะ

    เปิดเข้ามาเป็นพื้นที่ Common area ยาวจนถึงหน้าต่าง ที่แสงธรรมชาติส่องเข้ามาได้ระดับนึง โดยวัสดุจะเหมือนกับห้องที่แล้ว พื้นไม้ลามิเนต + ผนังฉาบเรียบสีขาว + ฝ้าเพดานสูง 2.55 ม.

    พื้นที่กว้างวางโต๊ะรับประทานอาหารสำหรับ 4-6 ที่นั่ง พร้อมทางเดินรอบโต๊ะได้สบายๆ

    บริเวณผนังมีพื้นที่เหลือ เราสามารถ Built-in ชั้นวางของเพิ่มเติมได้

    บริเวณห้องนั่งเล่น วางโซฟาสำหรับ 3 ที่นั่งได้สบายๆ โดยติดกับหน้าต่างบานเลื่อน แต่ไม่สามารถเดินออกไปใช้งานได้ ไว้เปิดระบายอากาศได้เฉยๆ ซึ่งตรงนี้มีราวกั้นตกมาให้นะ

    หลังวางเฟอร์ฯมีระยะทีวีกว้างประมาณ 1.98 ม. ขนาดทีวีที่เหมาะกับระยะสายตาอยู่ที่ประมาณ 46″- 50″ กำลังดี แถมเหลือพอวางโต๊ะกลางเล็กๆได้อีกด้วย

    ฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสีขาว + ติดไฟ Downlight มาให้

    หันกลับมาหลังประตูทางเข้าห้องเป็นพื้นที่ชุด Built-in ครัว ที่ได้ขนาดใหญ่กว่าห้องที่แล้วนิดนึง แต่วัสดุได้เหมือนกันเลย Top เป็นหินสังเคราะห์สีขาว หน้าบานเป็นเมลามีนลายไม้ เช็คทำความสะอาดง่าย ได้ซิงค์ล้างจาน + เตาไฟฟ้าเหมือนห้องที่แล้ว / ด้านข้างมีพื้นที่เหลือวางตู้เย็นได้ด้วยนะ

    ด้านข้างมีทางเข้าห้องนอนเล็กค่ะ

    ห้องนอนเล็กวางเตียงขนาด 3.5 ฟุตได้กำลังดี พร้อมติดกับระเบียงที่เดินออกไปสูดอากาศได้

    หลังประตูมีพื้นที่เหลือวางตู้เสื้อผ้าได้ค่ะ

    พื้นที่ระเบียง ฝั่งขวามือแขวน Condensing Unit มาให้เรียบร้อย โดยมี Grill ที่หันลมร้อนออกด้านนอกอาคารค่ะ

    พื้นที่ระเบียงขนาด  1.25 x 0.72 ม. ที่ยืนสูดอากาศได้ แต่เหมาะใช้งานคนเดียวนะ

    กลับออกมาด้านนอก มีทางเข้าห้องน้ำอยู่ ซึ่งห้องน้ำที่นี่ออกแบบมาน่าสนใจดี เดี๋ยวเราพาไปดูกันค่ะ

    ห้องน้ำแบ่งออกเป็น 3 ช่วงด้วยกัน ซึ่งถูกกั้นด้วยประตูบานเลื่อนสีขาวแบบทึบ ที่ทำให้ใช้งานพร้อมกันได้ เริ่มที่ช่องแรกเอาไว้วางเครื่องซักผ้า ซึ่งโครงการวางท่อ + เตรียมปลั๊กไฟมาให้แล้วเรียบร้อย

    ถัดเข้าไปเป็นพื้นที่โถสุขภัณฑ์ยี่ห้อ American Standard เหมือนกับห้องที่แล้ว

    ด้านในสุดเป็นพื้นที่อาบน้ำ พร้อมฉากกั้น / ส่วนอ่างล้างหน้า + กระจกเงา เหมือนกันห้องที่แล้วเช่นกัน

    พื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ 1.10 x 0.80 ม. ที่ยืนใช้งานสบายๆ + ฝักบัวเหมือนห้องที่แล้ว

    ฝ้าเพดานฉาบเรียบทาสีขาว + เครื่องดูดอากาศ 1 จุด

    สำหรับห้องนอนใหญ่ วางเตียงนอนขนาด 5 ฟุตได้กำลังดี / ปลายเตียงก็สามารถวางตู้เสื้อผ้าและชุดวางทีวี เหมือนห้องตัวอย่างได้

    ซึ่งถ้าเราวางเตียงชิดผนังตามห้องตัวอย่าง จะมีพื้นที่เหลือด้านข้างประมาณกว้างประมาณ 1.56 ม. และปลายเตียง 1.14 ม. เป็นระยะที่เดินใช้งานสบายๆเลยแหละ

    สำหรับห้องนี้จะได้หน้าต่างแบบ Bay Window ที่ทำให้เรามองเห็นวิวได้กว้างขึ้น พร้อมหน้าต่างบานกระทุ้ง สำหรับระบายอากาศ ซึ่งบริเวณหน้าต่างจะมีพื้นที่เหลือขนาด  2.25 x 0.46 ม. ที่ทำเป็น Window Seat ได้นะ

    Image 1/5
    The-Base-เพชรเกษม_ห้อง-2-bd_36

    The-Base-เพชรเกษม_ห้อง-2-bd_36

    สำหรับโครงการภายใต้แบรนด์ The Base จะมีห้องตัวอย่างที่ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ โดย Sarah Corynen เป็นนักวาดภาพประกอบ และนักออกแบบกราฟิกชื่อดังชาวเบลเยียม ซึ่งถ้าใครชอบเฟอร์นิเจอร์แบบนี้ ลองติดต่อสอบถามทางโครงการดูอีกทีนะคะ เหมือนจะมีขายด้วยนะ > <

    ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 6 November 2019

    • ชั้น 13 ห้อง 1317 ห้อง 1 Bedroom ขนาด 32.04 ตร.ม. ราคา 2.79 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 87,078 บาท/ตรม.
    • ชั้น 17 ห้อง 1716 1 Bedroom ขนาด 31.38 ราคา 2.85 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 90,822 บาท/ตรม.
    • ชั้น 7 ห้อง 0718 2 Bedrooms ขนาด 52.65 ราคา 4.59 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 87,179 บาท/ตรม.

    • รูปแบบการขาย Fully Fitted
    • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.55 เมตร
    • Kitchen & Sink / ท็อปหินสังเคราะห์
    • Hob & Hood / ของยี่ห้อ HAFELE
    • จอง 5,000 บาท
    • ทำสัญญา 0 บาท
    • ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
    • ค่าส่วนกลาง 57 บาท/ตร.ม./เดือน

    โปรโมชัน จอง 5,000 บาท ฟรี 5 อย่าง

    • ฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอน + เครื่องใช้ไฟฟ้า (เครื่องทำน้ำอุ่น + ไมโครเวฟ + ตู้เย็น + ทีวี) + ฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปี + ฟรี Moving Package + ฟรี ค่าทำสัญญา
    • ส่วนห้องราคาต่ำกว่า 3 ล้าน ได้ทองเพิ่มอีก 3 บาท

    **ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ


    เจาะลึกรวบยอด

    ทำเล : ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่เพชรเกษม ใกล้ MRT เพชรเกษม48 ประมาณ 120 ม. สำหรับความอุดมสมบูรณ์จะกระจายบนเส้นเพชรเกษม ทั้ง ซีคอนบางแค, The Mall บางแค, Tesco Lotus, Big C และ ตลาดบางแค ซึ่งปัจจุบันเราใช้รถไฟฟ้าในการเดินทางได้แล้ว ช่วยประหยัดเวลาการเดินทางไปได้เยอะเลยทีเดียว นอกจากนี้ก็มีทั้งรพ. และมหาวิทยาลัยที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งฝั่งเราจะไม่คึกคักเท่าฝั่งตรงข้าม เพราะอีกฝั่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ พร้อมทั้งซอยที่ลัดไปถนนเส้นอื่นได้ โดยไม่ต้องเสียเวลารถติด

    การเดินทางโดยใช้รถ : สามารถเดินทางเข้า-ออกเมืองได้ไม่ยาก รวมถึงเชื่อมไปออกถนนได้หลายหลายทั้ง ถนนราชพฤกษ์ ถนนจรัญสนิทวงศ์ หรือวิ่งไปวงเวียนใหญ่เชื่อมไปออกย่าน สีลม สาทรได้ หรือถ้าไปเส้นกาญจนาฯ ก็เชื่อมออกได้หลากหลายทีเดียว สำหรับที่จอกรถภายในโครงการมีทั้งหมด 37% ไม่รวมจอดซ้อนคัน ที่ให้มาไม่มาก แต่เหมือนเทียบกับทำเลที่เดินทางไปใช้รถไฟฟ้าได้ง่าย ก็พอจะทดแทนกันได้อยู่นะคะ

    การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : เนื่องจากโครงการตั้งอยู่ติดกับถนนใหญ่ จึงเรียกรถได้ง่าย มีพี่วินมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ หรือรถสองแถววิ่งผ่านตลอดทั้งวัน รวมถึงปัจจุบัน MRT เปิดใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งใกล้โครงการเพียง 120 ม. ที่เดินใช้งานได้สบายๆ ตัวสถานี MRT เพชรเกษม 48 อยู่ระหว่าง MRT บางหว้า และ MRT ภาษีเจริญ ที่เป็นทั้งจุด Interchange และมีห้างอย่างซีคอนบางแคให้บริการ

    การออกแบบอาคาร : แนวคิดมาจาก “Living with nature” ที่ต้องการให้ความเป็นธรรมชาติของท้องถิ่นผสมผสานกับเมือง ตัวอาคารเป็นรูปตัวแอล ที่เอียงออกเล็กน้อย โทนสีใช้สีเขียว TURQUOISE (สีน้ำทะเล) ทำให้โดดเด่นและสวยงาม + สีน้ำตาลเปลีอกไม้ ให้ดูกลมกลืนกับธรรมชาติมากขึ้น แต่ต้องบอกก่อนว่า เนื่องจากเป็นคอนโดใกล้ทางเดินรถไฟฟ้า ทำให้เวลาเปิดหน้าต่างมา เราจะได้ยินเสียงรฟฟ.ดังอยู่นะ โดยเฉพาะฝั่งทิศตะวันตก ชั้นล่างๆที่ใกล้กับรางรถไฟ อาจจะได้ยินเสียงรถวิ่งเข้า-ออกอู่ช่วงดึก และเช้ามืด

    ส่วนชั้นพักอาศัย มีห้องสูงสุด 27 ยูนิต/ชั้น พร้อมทางเดินแบบ Double Corridor ที่อาจจะเปิดมาเจอเพื่อนบ้านได้ โถงลิฟต์อยู่ตรงกลาง ที่ทำให้ห้องตำแหน่งริมเดินไกลหน่อยนะ ซึ่งโครงการจัดลิฟต์โดยสารมาให้ 3 ตัว อัตราส่วนประมาณ 214:1 ที่ค่อนข้างหนาแน่นทีเดียว ส่วน Product เน้นห้อง 1 Bedroom ขนาด 31.00-32.50 ตร.ม. เหมาะอยู่อาศัย 1-2 คนกำลังดี สำหรับห้อง 2 Bedrooms มีเพียง 2 ยูนิต/ชั้น แต่ก็เป็นห้องมุมทั้งหมด ที่ทำให้ได้วิว 2 ทิศทางค่ะ

    การออกแบบห้อง : ส่วนแบบแปลนตามห้องอย่าง เริ่มที่ 1 Bedroom ขนาด31.00-32.50 ตร.ม. ภายในแบ่งเป็นสัดส่วนดี ได้เป็นครัวปิด พร้อมีพื้นที่อเนกประสงค์ ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามใจชอบ ส่วนห้องน้ำต้องเข้าจากห้องนั่งเล่น ที่กรณีมีแขกมาจะได้ไม่ต้องเดินผ่านห้องนอนก่อน / ถัดมาที่ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 52.25 ตร.ม. เป็นห้องมุมที่มองวิวได้ 2 ทิศทาง แต่จะได้เป็นครัวเปิดที่ไม่เหมาะทำอาหารจริงจัง ที่น่าสนใจคือห้องน้ำที่อยู่ตรงกลาง ที่กั้นมาเป็นตอนๆ ให้เราใช้งานพร้อมกันได้ 2 ห้องเลยนะ

    วัสดุ : จัดมาให้ค่อนข้างเหมาะสมกับราคา ได้ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานของห้องสูง 2.55 เมตร , พื้นเป็นลามิเนตลายไม้ 8 มม. กระเบื้องห้องน้ำและระเบียงเป็นเซรามิคขนาด 30×30 ซม. ,เครื่องปรับอากาศยี่ห้อ TRANE ซึ่งจำนวนขึ้นอยู่กับขนาดห้อง, ชุดครัวได้ซิงค์ล้านจาน + Hob & Hood ยี่ห้อ HAFELE, Top ครัวเป็นสังเคราะห์สีขาว +หน้าบานเมลามีน เช็ดทำความสะอาดง่าย วัสดุในห้องน้ำของ American Standard พร้อม Digital Door lock ยี่ห้อ Yale และ Home Automation เป็นมาตรฐาน

    สาธารณูปโภค : โครงการนี้ให้ Facilities มาจัดเต็ม เหมาะกับทุกวัย โดยการจายตัวการใช้งานที่ชั้น 1,5,28,30 และ Roof Top เริ่มที่ชั้นล่างรอบๆอาคารมีโซน Welcome Pavilion, Play Ground และ Welcome Terrace ถัดเข้ามาภายในอาคารมี Lobby, Co-Working Space, Meeting room และ Brainstorm room ขึ้นไปชั้น 5 มีสวนหย่อมให้นั่งพักผ่อน ส่วน Main Facilities  ยกไปไว้ชั้นบน ที่โครงการในละแวกยังไม่มีนะ ข้อดีคือแม้จะไม่ได้อยู่ห้องสูงๆ ก็สามารถขึ้นไปดูวิวมุมสูงของโครงการได้ ซึ่งจะมีทั้งสระว่ายน้ำยาวถึง 40 เมตร พร้อมแยกสระเด็กมาให้, Seating area ทั้งแบบ Indoor และ Outdoor และห้องออกกำลังกาย 2 ชั้น ที่มีทั้ง Cardio, Weight Training และพื้นที่ทำกิจกรรมอย่าง Yoga, Boxing, Dance เป็นต้น


    Judgement

    การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

    ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

    เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 97,000 บาท/ตร.ม., 6 November 2019

    • ทำเล 8/10 – ติดถนนใหญ่ ใกล้ MRT เพชรเกษม 48 เพียง 120 ม.
    • เดินทางด้วยรถ 8/10 – ติดถนนใหญ่ กลับรถใช้ซอยลัดได้ ไม่ไกลจากทางด่วน
    • ไม่ใช้รถ 8.25/10 – ใกล้รถไฟฟ้า ติดถนนใหญ่ เรียกรถสะดวก
    • วัสดุ 7.25 /10 –  Fully Fitted เป็นมาตรฐานสมราคา + Home Automation
    • แบบ 8/10 – มีแบบให้เลือกหลายหลาย ให้เลือกได้ตาม Lifestyle ตัวเอง
    • สาธารณูปโภค 8.5/10 – ให้มาครบครัน พร้อม Facilities ที่ชั้นบนสุด ที่ในละแวกใกล้เคียงยังไม่มีนะ

    • UPPER CLASS
    • 7.97 / 10.00

    BOTTOM LINE

    The Base เพชรเกษม เหมาะสำหรับคนที่อยากอยู่ทำเลฝั่งธนฯ เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า ใกล้ห้าง มีเส้นทางลัดให้หนีรถติดได้ ภายในได้บรรยากาศริมคลอง พื้นที่ Facilities จัดเต็มกระจายใช้งานได้ดี พร้อมยกขึ้นไปไว้บนชั้นดาดฟ้า ส่วน Product มีแบบห้องให้เลือกหลากหลาย มีงบประมาณ 2.79 – 4.59 ล้านบาทหรือมีกำลังผ่อนต่อเดือนประมาณ 17,500 – 30,000 บาท/เดือน


    ติดตามพวกเราได้ที่
    Website : www.thinkofliving.com
    Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
    YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
    Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
    Facebook : ThinkofLiving