รีวิวฉบับที่ 2132 …  วันนี้จะพาไปรีวิวตึกเสร็จ OKA HAUS สุขุมวิท 36 คอนโด High Rise ติดถนนพระราม 4 ใกล้ย่านเอกมัย-ทองหล่อและทางด่วน จากแสนสิริ ส่วนที่ทำให้โครงการแตกต่างจากที่อื่นคือ การใช้นวัตกรรม SMART LIVING ให้ลูกบ้านสะดวกสบายมากขึ้น มาในแนวคิด RETREAT & REBOUND ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติของขุนเขา สายลม แสงแดด Facilities ที่นี่น่าใช้และให้มาเยอะ ในราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท ตอนนี้มีโปรโมชันพิเศษด้วย เราไปชมกันเลยค่ะ 

ข้อมูลโครงการ

25 September 2020

  • OKA HAUS Sukhumvit 36 (โอกะ เฮาส์ สุขุมวิท 36)
  • บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
  • HIGH CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2020 ได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่: ถนน พระราม 4 เขต คลองเตย
  • ที่ดินประมาณ 5 ไร่
  • คอนโด High Rise 47 ชั้น 1 อาคาร 1,178 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 33 ยูนิต ที่ชั้น 10 – 46
  • ที่จอดรถประมาณ 49% ไม่รวมจอดซ้อนคัน
  • เริ่มก่อสร้าง : ปี 2561
  • โครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ : ปี 2563
  • 1 Bedroom ขนาด 26.5 – 34.75 ตร.ม. ราคาเริ่ม 3.9 ล้านบาท
  • 2 Bedroom ขนาด 40.5 – 49.50 ตร.ม. ราคาเริ่ม 6.8 ล้านบาท
  • 3 Bedroom 2 Bathroom ขนาด 86.25 – 86.5 ตร.ม. ราคาเริ่ม 17 ล้านบาท
  • ฝ้าเพดานสูง 2.7 เมตร
  • ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการประมาณ 155,000 บาท/ตร.ม.
  • ช่วงราคาต่อตารางเมตร ต่ำสุด – สูงสุดประมาณ 140,000 – 180,000 บาท/ตร.ม.
  • ว็บไซต์โครงการ : คลิกที่นี่ 
  • Call Center : 1685

สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มค่ะ

ทำเลที่ตั้ง

พิกัด Google Maps : 13.715807, 100.574969
หรือสามารถ : คลิกที่นี่

โครงการ OKA HAUS สุขุมวิท 36 ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่พระราม 4 ใกล้กับอาคารมาลีนนท์ ทาวเวอร์ หรือ ช่อง3 ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง ด้านทำเลของโครงการนี้น่าสนใจตรงที่สามารถใช้ซอยสุขุมวิทฝั่งเลขคู่เช่น ซอยสุขุมวิท 36, 38 ลัดไปออกถนนสุขุมวิทตรงสถานีทองหล่อพอดี ทำให้ทำเลนี้น่าสนใจในแง่ที่อาจจะไม่ใกล้รถไฟฟ้ามากในระยะที่เดินสบาย แต่ก็สามารถเรียกพี่วินมอไซค์ไปได้ในราคา 10 บาท และยังเป็นทำเลที่ใช้รถยนต์ได้สะดวก ใครที่ทำงานหรือใช้ชีวิตอยู่ในย่านทองหล่อ, สุขุมวิท หรือบนเส้นพระราม 4 ก็ถือว่าเหมาะเลย

แต่ก็มีข้อที่ต้องระวังนิดนึงคือ บางซอยในทำเลนี้จะเป็นถนน One-Way เหมือนกันนะ อย่างซอยสุขุมวิท 42 เป็น One-Way ที่มุ่งหน้าจากแยกกล้วยน้ำไทไปสุขุมวิท หรือซอยสุขุมวิท 40 ก็เป็นถนน One-Way ที่มุ่งหน้ามาพระราม 4 ได้อย่างเดียว เป็นต้น

นอกจากนั้นทำเลนี้ยังถือเป็นจุดกระจายตัวออกเดินทางไปไหนมาไหนสะดวก ใกล้กับจุดขึ้นลงทางด่วนเฉลิมมหานครด้วย เรื่องรถติดมีบ้างอยู่แล้วเพราะอยู่ในโซนใจกลางเมือง ใครที่ไม่ใช้รถก็เรียกรถสาธารณะอย่างแท็กซี่ได้สะดวก เพราะอยู่ติดกับถนนใหญ่ วินมอเตอร์ไซค์เดินไปเรียกได้ตรงปากซอยสุขุมวิท36 หรือซอยแสนสบายได้

สำหรับใครที่ใช้ BTS เป็นประจำ ทางโครงการก็มี Shuttle Service ไปส่งที่ BTS ทองหล่อด้วย ซึ่งโครงการจะอยู่ห่างจาก BTS สถานีทองหล่อประมาณ 1.3 km. ค่ะ

ถึงแม้ว่าจะเป็นถนนรองที่คู่ขนานกับสุขุมวิท แต่ถนนพระราม 4 ก็ยังมีสถานที่สำคัญครบวงจรอยู่นะ ลองดูจากแผนที่ที่ทำประกอบให้แสดงให้เห็นทั้งปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ โรงเรียน และ มหาวิทยาลัย

อาคารสำนักงานที่ใกล้ๆ เลยจะมีอาคารมาลีนนท์ ทาวน์เวอร์ อาคาร FYI อาคารสิรินรัตน์ ส่วนความอุดมสมบูรณ์ถึงแม้ไม่ได้มากเท่าถนนสุขุมวิทแต่ก็มีให้เห็นเป็นระยะๆ อย่าง Community Mall ใกล้สุดในละแวกนี้คือ สวนเพลิน มาร์เก็ต, มี BigC, Tesco Lotus, K Village ให้ช้อปปิ้งซื้อของ ห้างใหญ่ๆ หน่อยก็มี Gateway เอกมัย

ส่วนถ้าใครอยากเดินเล่นหาร้านอาหารอร่อยๆ หรือ Hang out ก็ไปย่านทองหล่อได้ โรงพยาบาลใกล้ๆ ก็มีให้เลือกเยอะทั้ง โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท, โรงพยาบาลสุขุมวิท ส่วนสถานศึกษาก็จะใกล้กับม.กรุงเทพ วิทยาเขตกล้วยน้ำไท นับเป็นอีกย่านชุมชนที่อยู่อาศัยง่าย มีความครบครันทีเดียว

ทีนี้มาดูเรื่องทางด่วนกันหน่อย เนื่องจากที่ตั้งโครงการยังอยู่ใกล้กับทางด่วนเฉลิมมหานคร เราจะค่อยให้ดูที่ละแผนที่นะคะว่าการใช้งานมีแบบไหนบ้าง เริ่มจาก

1. การใช้ “ทางขึ้น ทางด่วน” ไปจตุจักร พระราม 3 : ออกจากโครงการมากลับรถแล้วตรงมาเลี้ยวเข้าถนนเกษมราษฎร์จากนั้นเลี้ยวขวาเพื่อขึ้นทางด่วน หรือ ถ้าใครไม่อยากกลับรถให้มุ่งหน้าผ่านแยก ม.กรุงเทพแล้วเลี้ยวขวาลอดใต้ทางด่วนก็จะเจอด่านทางขึ้นแล้วค่ะ

2. การใช้ “ทางขึ้น ทางด่วน” ไปบางนา : การจะออกเมืองจะต้องใช้ถนนพระราม 4 วิ่งตรงมากลับรถ จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเกษมราษฎร์ ผ่านแยกศุลกากร จนไปถึงแยกวิ่งขนานใต้ทางด่วนใกล้เลี้ยวซ้ายวิ่งไปอีกนิดเดียวก็จะเจอด่านทางขึ้นค่ะ สามารถวิ่งออกเมืองไปยังโซนบางนาหรือไปชลบุรีได้เลย

3. การใช้ “ทางขึ้น ทางด่วน” รามอินทรา-อาจณรงค์ : การใช้ด่วนรามอินทราฯเพื่อออกไปยังพัฒนาการ พระราม9 เกษตรนวมินทร์ รามอินทรา ให้ใช้เส้นทางหลักพระราม4 > สุขุมวิท > ผ่านซอย สุขุมวิท71 (ปรีดีพนมยงค์)ให้ชิดซ้ายเอาไว้ > เลี้ยวซ้ายเข้าทางด่วน

เนื่องจากทางทีมงานได้พานั่งรถมาทำรีวิวเมื่อตอนเปิดตัวโครงการไปแล้ว พอถึงคราวโครงการเสร็จเราจึงอยากลองพาเดินดูบรรยากาศรอบๆ โครงการแทนนะ โดยเลือกเดินจาก Community Mall ที่ใกล้โครงการที่สุดอย่าง สวนเพลิน มาร์เก็ต มายังโครงการ มีระยะประมาณ 450 m. ค่ะ

เส้นทางการเดินทาง

Image 1/16
เริ่มจากสวนเพลิน มาร์เก็ต เป็น Community Mall นึงที่เราสังเกตว่ามีคนมาเดินเล่น ทานข้าวเยอะเหมือนกันนะ ส่วนนึงคงข้ามมาจากอาคารมาลีนนท์นั่นแหละ ทำให้มีร้านค้าเปิดกันเต็มพื้นที่เลย

เริ่มจากสวนเพลิน มาร์เก็ต เป็น Community Mall นึงที่เราสังเกตว่ามีคนมาเดินเล่น ทานข้าวเยอะเหมือนกันนะ ส่วนนึงคงข้ามมาจากอาคารมาลีนนท์นั่นแหละ ทำให้มีร้านค้าเปิดกันเต็มพื้นที่เลย

สภาพแวดล้อมรอบโครงการ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะคะ

มาดูสภาพแวดล้อมรอบๆ โครงการ OKA HAUS สุขุมวิท 36 กัน จะเห็นว่าส่วนใหญ่จะยังเป็นบ้านพักอาศัยแนวราบกันอยู่ รอบๆ โครงการไม่ค่อยมีตึกสูงมาบดบัง ยกเว้นวิวทางฝั่งทิศตะวันตกที่จะติดกับกลุ่มอาคารสำนักงาน แต่ก็อยู่ในระยะไกลพอสมควร ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดอะไรค่ะ โดยมีแต่ละด้านของโครงการติดกับ

ทิศเหนือ – ติดกับบ้านพักอาศัยแนวราบ
ทิศตะวันออก – ติดกับบ้านพักอาศัยแนวราบ และ ที่ดินว่างเปล่า
ทิศใต้ – ติดกับถนนพระราม4 ฝั่งตรงข้ามเป็นแนวตึกแถว
ทิศตะวันตก – ติดกับปั๊มน้ำมัน LPG

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • สวนเพลิน มาร์เก็ต ~ 400 m.
  • อาคารมาลีนนท์ ~ 450 m.
  • BigC พระราม 4 ~ 750 m.
  • K Village ~ 900 m.
  • กรีนทาวเวอร์  ~ 1  km. (รวมระยะกลับรถ)
  • อาคารสิรินรัตน์ ~ 1.3 km. (รวมระยะกลับรถ)
  • ม.กรุงเทพ วิทยาเขตกล้วยน้ำไท  ~ 1.3 km.
  • สถานีรถไฟฟ้าทองหล่อ ~ 1.3 km.
  • Gateway เอกมัย ~ 1.5 km.
  • Tesco Lotus พระราม 4 ~ 1.6 km. (รวมระยะกลับรถ)
  • โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท  ~ 1.6 km.
  • โรงพยาบาลสุขุมวิท ~ 1.9 km.
  • Major Cineplex เอกมัย ~ 2.1  km.
  • ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต์ ~ 3 km. (รวมระยะกลับรถ)

รายละเอียดโครงการ

โครงการ OKA HAUS สุขุมวิท 36 เป็นคอนโด High Rise สูง 47 ชั้น จำนวน 1,178 ยูนิต ออกแบบด้วยแนวคิด RETREAT & REBOUND ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติของขุนเขา สายลม แสงแดด โดยชื่อ “OKA” ในภาษาญี่ปุ่นก็แปลว่า “ภูเขา” นั่นเองค่ะ ดังนั้นการดีไซน์จึงเน้นออกแบบให้ทุกพื้นที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติเพื่อให้เราผ่อนคลาย ชาร์จพลังจากการทำงาน

นอกจากนั้นจุดเด่นของโครงการนี้คือมี Facilities ที่จัดมาให้ค่อนข้างเยอะและครบครัน และยังมีการนำเอาเทคโนโลยี Smart Living ที่ออกแบบมาให้ควบคุมทุกสิ่งง่ายๆ ด้วยปลายนิ้ว ก่อนอื่นเราขออธิบายภาพรวมของแต่ละชั้นให้เข้าใจง่ายๆ คือ

ชั้น 1 จะเป็น Lobby ของโครงการที่เป็นโถงต้อนรับ พื้นที่ภายนอกอาคารจะมี Educational Playground เป็นพื้นที่เด็กเล่นที่เสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ และที่จอดรถสามารถจอดได้ทั้งรอบๆ อาคารและในอาคารที่ชั้น 1-7

ชั้น 8 จะเริ่มเป็นชั้นพักอาศัยและเป็นชั้น Facilities หลักของโครงการ

ชั้น 9 – 46 จะเป็นห้องพักอาศัยแบบเต็มชั้น ยกเว้นชั้น 22 ที่มีสวนหย่อมอยู่อีกจุดหนึ่ง

ชั้น 47 เป็นชั้นพักอาศัยบนสุดและมี Sky Facilities อยู่บนชั้นนี้ด้วย

Rooftop เป็นจุดชมวิวและมีลานภาพยนตร์กลางแจ้งให้ชมช่วงเย็นๆ กันด้วย แถมวิวที่นี่ก็สวยไม่เบา เห็นโค้งน้ำเจ้าพระยาเลยค่ะ

สำหรับเทคโนโลยี Smart Living ที่ทางโครงการเอาเข้ามาใช้อำนวยความสะดวกให้ลูกบ้าน จะแบ่งออกเป็น Smart Access , Smart Facilities และ Smart Unit แอบกระซิบไว้นิดนึงว่า เค้าให้เทคโนโลยีมาเยอะกว่าตอนเปิดตัวโครงการที่ทีมงานเคยมารีวิวไว้รอบที่แล้วอีกค่ะ

  • Smart Access

  • ระบบที่สามารถเปิดประตูรับเพื่อนคนสนิท ด้วยการส่ง QR Code ที่กำหนดระยะเวลาได้ ทำให้เราไม่ต้องก้าวออกจากห้องไปรับเพื่อนที่ Lobby และไม่ต้องเดินไปปลดล็อคประตูเลย

  • Smart Facilities
    • Facility Booking – เปลี่ยนพื้นที่ส่วนกลางให้กลายเป็นพื้นที่ส่วนตัว กับระบบการจองพื้นที่ส่วนกลางผ่านมือถือพร้อมระบบการแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาการจอง
    • Smart Mail Box – ระบบแจ้งเตือนการรับจดหมายและสามารถใช้ QR Code เพื่อปลดล็อคตู้จดหมายโดยไม่ต้องใช้กุญแจ จะได้หมดปัญหาลืมกุญแจไปนะ
    • Smart Locker – รับพัสดุได้ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยเทคโนโลยี Smart Locker พร้อมรับการแจ้งเตือนผ่าน Application ปลดล็อคด้วยระบบ QR Code ที่มาช่วยอำนวยความสะดวกในวันที่กลับบ้านดึกแต่อยากรับพัสดุก็ให้เจ้าหน้าที่เอามาใส่ไว้ใน Smart Locker ให้นะคะ
    • Farmshelf – ติดตั้งไว้ใน Co-Kitchen ให้เราสามารถปลูกผักได้ตามใจ ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนไกลๆ ก็สามารถควบคุมการเจริญเติบโตผ่าน Application ได้
    • Ev Charger – จุดบริการชาร์จแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
    • OSIM ulnfinity Luxe – เก้าอี้นวดไฟฟ้า และหูฟัง Bluetooth ของ Marshall
    • Omni-Light – เสาไฟฟ้าภายในโครงการที่ผลิตแสงสว่างจาก Solar Cell และ Wind Turbine จึงช่วยประหยัดไฟในโครงการ
    • Trendy Wash – เครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้า ที่แจ้งเตือนผ่าน Home Service Application เมื่อเครื่องว่างและเครื่องซักเสร็จ จึงไม่ต้องไปนั่งรอ
    • Dialog Oven ของ Miele – เตาอบอาหารแบบ Automatic Program โดยตัวเครื่องจะปรับอุณภูมิและเวลาที่เหมาะกับอาหารให้อัตโนมัติ

    • Smart Unit

    • Home Automation – ควบคุมการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้องแม้จะไม่ได้อยู่ในห้อง ผ่าน Application บนมือถือ เพื่อเตรียมพร้อมก่อนเรากลับบ้าน
    • Touch Pad – สามารถใช้ Touch Pad หน้าจอใหญ่ 7 นิ้ว ควบคุมระบบต่างๆ ภายในห้อง เชื่อมต่อ VDO Door Phone ที่ล็อบบี้ สามารถกด Snapshot คนที่มาหาได้ ใช้ติดต่อนิติบุคคล ใช้จองใช้บริการส่วนกลาง หรือเช็ค Mail Box , ค่าน้ำและค่าไฟ

    จากผังโครงการจะเห็นว่าตัวอาคารอยู่ถัดเข้ามาด้านใน ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 140 m. ทางเข้า – ออกอยู่ติดถนนใหญ่พระราม 4 แต่ตัวอาคารจะอยู่ด้านในถัดเข้ามาอีกประมาณ 140 m. ถ้าเดินเข้าออกก็พอให้มีเหงื่อออกนิดหน่อย แต่ก็ทำให้ได้ความสงบเป็นส่วนตัวเหมาะกับการพักผ่อนมากขึ้น

    ระหว่างทางจัดเป็นสวนหย่อมเพิ่มความร่มรื่นตลอดทาง เข้ามาด้านในจะเจอกับ Drop-Off จอดรถรับส่งอยู่บริเวณหน้าทางเข้า Lobby ติดๆ กันเป็น Educational Playground พื้นที่เด็กเล่นที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษจากโรงพยาบาลสมิติเวช

    ส่วนที่จอดรถจะสามารถจอดได้ทั้งในอาคารชั้น 1-7 และนอกอาคาร รวมๆ แล้วจอดได้ประมาณ 49% ไม่รวมจอดซ้อนคันค่ะ

    เราจะได้บรรยากาศของสวนสวยๆ ตั้งแต่ทางเข้าโครงการเลยนะ และโครงการดันไม้กั้นกระดกและซุ้มรปภ. ไปไว้ด้านในนิดนึงด้วย ซึ่งแบบนี้มีข้อดีตรงที่เวลามีรถลูกบ้านเข้ามาพร้อมกันหลายๆ คัน ก็มีพื้นที่ให้รอคิวได้ ไม่ทำให้รถติดบนถนนพระราม 4 เพิ่มขึ้น

    บริเวณหน้าทางเข้าจะมีพี่รปภ. ดูแลอยู่ตลอด 24 ชม. ค่ะ

    ทางเข้าโครงการจะแบ่งประตูรถยนต์และประตูคนเดินเข้า-ออก ไว้เป็นสัดส่วน ทำให้เกิดความปลอดภัยดีนะ

    ถนนทางเข้าถึงแม้ว่าต้องเดินหน่อย แต่ตลอดทางเดินเค้าจัดเป็นสวนหย่อม เวลาเดินหรือขับรถเข้าโครงการก็จะสัมผัสได้ถึงความสดชื่นจากต้นไม้ ซึ่งเข้ากับ Concept ที่ออกแบบมาให้ตัวโครงการใกล้ชิดกับธรรมชาติ ทำออกมาได้ตามแบบในโมเดลตอนเปิดขายเลย แต่หากเป็นช่วงหน้าฝนอาจจะลำบากหน่อย ต้องพกร่มกันด้วยนะ

    ตามแนวทางเดินก็จะมีจุดพักคอยเป็นระยะๆ และบางช่วงก็ได้ร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ด้วย

    มาถึงบริเวณหน้าอาคารจะมีทางเข้า Lobby อยู่ใต้ตึก ฝั่งตรงข้ามเป็น Educational Playground ของคุณหนูๆ ส่วนใครที่ขับรถเข้ามาและมองหาที่จอดรถในอาคาร ให้เลี้ยวซ้ายไปจะเจอทางเข้าที่จอดรถอยู่ทางด้านหลังตึกค่ะ

    จุด Drop-Off หน้าอาคารดูกว้างขวางใช้งานได้สบาย

    ติดกับ Drop-Off จะเห็น Sculpture ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าสวน เพื่อให้สวนได้ความเป็นส่วนตัวในการพักผ่อนมากขึ้น แม้ว่าจะมีตำแหน่งอยู่หน้าทางเข้าอาคารค่ะ

    บรรยากาศภายในสวนดูร่มรื่นดีนะ มีมุมต่างๆ ให้ทำกิจกรรมได้หลากหลาย

    ส่วนที่เป็น Highlight สุดคือ เจ้า Educational Playground ที่ออกแบบร่วมกับ รพ.สมิติเวช ให้เป็นพื้นที่เสริมสร้างกล้ามเนื้อและการตัดสินใจ เด็กๆ สามารถวิ่งเล่นก้าวขึ้นบันได แล้วสไลด์ตัวลงมาบนพื้นหญ้านุ่มๆ ฝึกการปีนป่ายบนเนินลาดชัน หรือถ้าใครโตแล้วจะมานั่งคิดงานในสวนนี้ก็ได้

    อีกจุดหนึ่งที่เราชอบคือน้ำพุพวกนี้ เพราะช่วงที่เราถ่ายรูปอยู่ในสวน เราได้ยินเสียงน้ำตลอดเลยแหละ ผ่อนคลายดีนะคะ

    นอกจากนี้ก็จะมีมุมนั่งเล่นต่างๆ

    มีอีกมุมหนึ่งที่เหมาะสำหรับคุณพ่อคุณแม่ จะได้มานั่งดูแลลูกๆ อย่างใกล้ชิด

    ติดกันกับสวนจะมีลานจอดรถรอบอาคารให้เลือกจอดได้ และเป็นที่จอดรถ Visitor ด้วยนะ แต่จะเป็นที่จอดแบบกลางแจ้ง

    สำหรับที่จอดรถในอาคารจะเริ่มตั้งแต่ชั้น 1 บรรยากาศดูโปร่งได้แสงธรรมชาติเข้ามาเยอะดี เผื่อช่วยประหยัดไฟส่วนกลางได้

    มีที่จอดรถช่องใหญ่พิเศษสำหรับคนชรา คนพิการ อยู่ 2 ช่อง วางตำแหน่งไว้ใกล้ทางเข้าอาคารเลย

    ใกล้ๆ กันจะมี EV Charger ให้มาชาร์จแบตรถไฟฟ้ากันได้ และมีรถไฟฟ้าให้ยืมขับได้ 1 คัน ทางโครงการเรียกน้องคันนี้ว่า Smart Move แต่คิดค่าบริการนะ จะเก็บเท่าไหร่ลองสอบถามรายละเอียดได้จากนิติฯ ค่ะ

    ส่วนเจ้าเครื่อง EV Charger หน้าตาแบบนี้จะติดตั้งไว้ด้านในหลังช่องจอดรถ

    ขนาดทางขึ้นลงได้มาตรฐานดี

    ส่วนช่องจอดรถมีขนาดตามมาตรฐาน แต่ถ้าเป็นรถใหญ่ก็จะแน่นๆ หน่อย >< ด้านหลังมีตัวหนอนเป็นกันชนไว้ให้เรียบร้อย

    จากที่จอดรถจะมีทางเดินเชื่อมเข้า Lift Lobby ได้ สามารถกดขึ้นชั้นพักอาศัยได้โดยไม่ต้องลงไปที่ Lobby หรือไม่ต้องเปลี่ยนลิฟต์เลยนะ

    พาชมรอบอาคารเป็นที่เรียบร้อย ทีนี้เราจะพาเข้าไปชมด้านในอาคารกันต่อ..เริ่มจากทางเข้าหลักของอาคารบริเวณ Lobby นะคะ

    การเข้าออกจะใช้ Key Card และ QR Code จึงเข้าได้เฉพาะลูกบ้าน หรือเพื่อนๆของลูกบ้านจะเข้าได้ก็ต่อเมื่อได้ QR Code มาสแกนนะ

    เข้ามาเป็น Welcome Lounge หรือ Lobby นั่นเอง ออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจมาจากหุบเขาซึ่งเกิด จากการกัดเซาะของลม จนเกิดเป็นพื้นที่ที่สามารถนั่งพักผ่อนสบายๆ เพื่อชาร์จพลังชีวิตให้พร้อมสำหรับวันต่อๆ ไป ตาม Concept โครงการ ฝ้าเพดานดูสูงโปร่งดี

    และพอเป็นโครงการของแสนสิริสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้คือการเลือกใช้หินมาประดับในส่วนต่างๆ อย่างหุบเขาสีขาวนี้จะใช้หินอ่อน White Venus ค่ะ

    นอกจากพื้นที่โซฟานั่งพักผ่อนแล้ว ก็มีชุดโต๊ะเก้าอี้ให้ได้นั่งทำงานกันด้วย

    ส่วนที่น่าสะดุดตาอีกอย่างใน Lobby นี้คือการตกแต่งด้วยรูปภาพเก๋ๆ

    เราพามาดู Materials ใกล้ๆ คือมันมีความตัดกันระหว่าง Texture ของผ้านุ่มๆ กับสีที่แห้งและแข็งตัวแล้ว เรามองว่า Interior ต้องการทำบรรยากาศให้มีความสนุก ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ก้าวตามเทคโนโลยี

    ห้องน้ำส่วนกลางจะให้มาครบทั้งห้องน้ำชาย/หญิง และห้องน้ำผู้สูงอายุค่ะ

    ภายในห้องน้ำหญิงจะแยกเป็นอีก 2 ห้องเล็กๆ

    ติดตั้งสุขภัณฑ์อัตโนมัติแบบที่ประเทศญี่ปุ่นชอบใช้กัน

    ส่วนอ่างล้างมือจะเป็นเคาน์เตอร์หิน ซึ่งเป็นวัสดุที่ทางแสนสิริชอบใช้ด้วยเช่นกัน ดูหรูหราดีค่ะ

    มาดูห้องน้ำของผู้สูงอายุกันบ้าง มีพื้นที่กว้างทีเดียว ใครนั่งรถวีลแชร์ก็สามารถใช้งานได้สะดวก

    ถัดมาที่ Smart Mailbox ถูกออกแบบให้วัสดุส่วนใหญ่เป็นไม้ เข้ากับคอนเซปต์ที่ใกล้ชิดธรรมชาติ

    ซึ่งทางโครงการเค้าจะติดตั้งเทคโนโลยีที่เรียกว่า Smart Locker คือเจ้าหน้าจอนี้ ที่ใช้การสแกน QR Code ผ่านมือถือเพื่อปลดล็อกตู้จดหมาย และหากมีจดหมายมาส่งระบบก็จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปที่ Application บนมือถือ

    นอกจากนี้ยังมี Smart Locker ที่เปิดปิดด้วยระบบ QR Code เช่นเดียวกับ Mailbox ซึ่งเค้ามี Facilities นี้เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้ลูกบ้านรับพัสดุได้ตลอด 24 ชั่วโมง เผื่อวันไหนที่กลับบ้านดึก ก็ให้นิติฯ เอาของมาฝากไว้ที่ Locker ได้มีให้ใช้ทั้งหมด 30 ช่อง

    ขนาดของ Locker ก็มีให้เลือกใช้หลากหลายทั้งใหญ่และเล็ก จึงฝากของได้หลายขนาด ไม่ได้จำกัดพื้นที่เล็กๆ แบบตู้จดหมายนะ

    สุดทางเดินจะมีประตูทางเข้า Lobby อีกชั้นนึง ที่ต้องสแกนบัตร หรือต้องได้ QR Code จากลูกบ้านเท่านั้นจึงจะผ่านเข้าไปได้ เพื่อให้ลูกบ้านอยู่อาศัยได้อย่างปลอดภัย

    ผ่านประตู Lift Lobby เข้ามาแล้ว เราต้องเดินตามทางเดินนี้เพื่อไปขึ้นลิฟต์ ซึ่งระหว่างทางจะจัดให้มีเก้าอี้สำหรับนั่งพักคอยด้วย สังเกตว่าการใช้แสงเงาของพื้นที่บริเวณนี้จะค่อนข้างสลัวขึ้น ให้บรรยากาศที่ผ่อนคลายขึ้น และยังคงคอนเซปต์การตกแต่งด้วยงานศิลปะต่างๆ อยู่นะ

    เข้ามาด้านในอีกนิด ก็มีมุมเก๋ๆ ที่ตกแต่งด้วยตู้ไม้สไตล์ญี่ปุ่น และกรอบรูปต่างๆ ด้วย

    Lift Lobby มีลิฟต์ทั้งหมด 5 ตัว อัตราส่วนลิฟต์อยู่ที่ 236 : 1 ถือว่าค่อนข้างสูงพอสมควร ในเวลาเร่งด่วนอาจจะต้องเผื่อเวลาในการขึ้นลงกันบ้างนะ

    ภายในลิฟต์ตกแต่งด้วยกระจกโทนสีทองๆ น้ำตาลๆ ดูหรูหรา ภายในติดตั้งเครื่องสแกนบัตร ,QR Code ซึ่งเครื่องรุ่นนี้รองรับ Face Scan ด้วยนะ แต่ต้องดูอีกทีว่าโครงการจะใช้ระบบไหนบ้าง ปุ่มกดลิฟต์จะมี 2 ตำแหน่ง เพื่อให้คนที่นั่งวีลแชร์ก็ใช้งานได้นะ

    ชั้น 8 จะเริ่มเป็นชั้นพักอาศัย และเป็นชั้นที่มี Main Facilities ได้แก่ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ 4 สระ Swimming pool+ Jacuzzi , Leisure pool (สระว่ายน้ำระบบธาราบำบัด), Kid’s pool  และ Heated pool (สระน้ำอุ่นให้นอนแช่ตัวสบายๆ) พร้อมมี ห้องซักรีด ห้องน้ำ และ ห้องอบไอน้ำแยกชาย/หญิง มาให้

    มีมุม Play Space สำหรับเด็กเล่นและพื้นที่นั่งชมวิว Sunken seat  ห้องพักอาศัยจะอยู่คนละฝั่งกับ Facilities แยกกันชัดเจนจึงไม่ไปรบกวนความเป็นส่วนตัวเท่าไหร่ แต่ชั้นนี้บรรยากาศก็จะคึกคักกว่าชั้นอื่นๆ หน่อยอยู่ดี เพราะจะมีคนมาใช้ส่วนกลางกันเยอะ ถ้าใครชอบออกกำลังกาย ไม่อยากอยู่ชั้นสูงมาก ได้ชั้นนี้ไปก็เหมาะนะ

    ออกมาจากลิฟต์ชั้น 8 จะมีประตูที่เปิดเข้าบริเวณสระว่ายน้ำได้เลย ถ้าใครตั้งใจจะมาว่ายน้ำก็เข้าถึงได้สะดวก แต่เราจะพาไปชมเส้นทางหลักที่ต้องเดินผ่าน Facilities อื่นๆ ก่อนนะ

    ติดกับ Lift Lobby จะมีประตูทางเข้าโซนห้องพักอาศัย ซึ่งต้องใช้ Key Card หรือ QR Code สแกนเข้าไป ทำให้ห้องพักบนชั้นนี้ได้ความปลอดภัยในการอยู่อาศัยไม่ต่างจากชั้นอื่นๆ แต่คนจะขึ้นมากันเยอะ คึกคักหน่อยเท่านั้นค่ะ

    จากทางเดินหลักจะเห็น Laundry Room อยู่ทางขวามือเป็นส่วนแรก ถัดเข้าไปจึงเป็นพื้นที่เล่นสนุกของเด็กๆ ที่ทางโครงการเรียกว่า Play Space

    ทางโครงการติดตั้งเครื่องซักผ้ามาให้ 7 เครื่อง, เครื่องอบผ้า 3 เครื่อง และตู้กดน้ำอีก 1 ตู้

    ความพิเศษของเครื่องซัก/อบผ้าที่นี่คือ เค้ามีระบบการแจ้งเตือนผ่าน Home Service App บอกเราว่ามีเครื่องว่างอยู่มั้ย และเราไม่ต้องนั่งเฝ้าเครื่องทำงานนะ เพราะเวลาที่เครื่องทำงานเสร็จก็จะมีการแจ้งเตือนไปค่ะ

    ถัดเข้ามาที่ Play Space เผื่อวันไหนคุณพ่อคุณแม่ขึ้นมาพักผ่อนที่ชั้นนี้ก็จะมีพื้นที่ให้คุณหนูๆ มาเล่นสนุกกันได้

    พื้นที่นั่งเล่นแบบ Sunken Seat จะอยู่ทางทิศใต้ของอาคารพอดี ลมพัดผ่านเย็นสบาย และมีให้เลือกนั่งได้หลายมุม

    มาถึงส่วนที่เป็น Highlight คือโซนสระว่ายน้ำที่ทางโครงการออกแบบไว้ถึง 4 สระ

    สระแรกเลยเป็นสระว่ายน้ำของเด็กที่อยู่ไม่ไกลจาก Play Space เพื่อให้คุณหนูๆ วิ่งเล่นไปมาได้สะดวก และมีที่นั่งสำหรับผู้ปกครองอยู่ด้านข้างด้วย เพื่อให้ดูแลเด็กๆ ได้สะดวก

    สระที่ 2 คือ Swimming Pool สำหรับว่ายน้ำออกกำลังกายแบบจริงจัง เพราะสระนี้มีความยาวถึง 40 m. กว้าง 5.5 m. พร้อมติด Jacuzzi ในสระด้วย

    สำหรับใครที่ไม่ได้ชอบว่ายน้ำออกกำลังกายหนักๆ ก็สามารถมานั่งเล่นบน Sun Bed ริมสระได้

    บรรยากาศบริเวณสระว่ายน้ำคือชิลมาก ส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นเพราะตำแหน่งของโซนนี้ที่อยู่ทางทิศเหนือ แถมมีอาคารช่วยบังแดดให้ทั้งทางทิศตะวันตกและทิศใต้ ทำให้ช่วงบ่ายๆ ก็ร่มน่าใช้งานแล้วนะคะ

    ด้านข้างสระว่ายน้ำก็จะมีมุมนั่งเล่นจัดไว้เป็นระยะๆ ห้องพักที่ได้วิวสระว่ายน้ำบนชั้นนี้จะมีแนวพุ่มไม้ช่วยบัง ให้เกิดความเป็นส่วนตัวในการพักอาศัย ถือว่าเป็นห้องที่ได้ Value เพิ่มมากขึ้นแหละ แต่ส่วนตัวเราชอบชั้นที่เหนือสระขึ้นไปอีกสัก 2-3 ชั้น เพื่อให้พ้นระยะสายตาจากลูกบ้านท่านอื่นๆ ที่มาว่ายน้ำค่ะ

    จากสระว่ายน้ำหลักจะมีการลดระดับเชื่อมมาอีกหนึ่งสระ โดยพื้นที่เชื่อมต่อนี้เค้าออกแบบไว้เป็นน้ำตก ทำให้เราจะได้ยินเสียงน้ำอยู่ตลอดเวลา ช่วยให้บรรยากาศที่ผ่อนคลายขึ้น

    สระที่ 3 เรียกว่า Leisure pool ที่ถือเป็น Highlight อีกอย่างหนึ่งของโครงการนี้เพราะเป็นสระที่มีระบบการนวดตัวแบ่งออกเป็น Station ตามนี้ค่ะ

    • Feet Bubble Station : Massage feet with air bubble jet (นวดขา)
    • Water Curtain Station : Massage shoulder / back with wall-mount jet (นวดไหล่และหลัง)
    • Massage Seat Station : Resting seat , Massage back /Thigh (นวดหลังและต้นขา)
    • Walking Corridor Station  : Elderly underwater exercise , Massage waist / Thigh with water jet (นวดเอวและต้นขา)
    • Spa Bed Station : Massage shoulder / back / waist (นวดไหล่ หลัง และ เอว)

    ถ้าได้ว่ายน้ำที่นี่คงต้องลองให้ครบทั้ง 5 Stations เราจะชี้ตำแหน่งให้นะว่าอยู่ตรงไหนของสระบ้าง ส่วนแรกที่สังเกตได้ง่ายสุดคือ Water Curtain Station ไว้นวดไหล่นวดหลัง ส่วนที่ติดกับราวกันตกจะเป็น Walking Corridor Station ใช้นวดเอวและต้นขา

    ถัดมาภาพใหญ่เป็น Massage Seat Station ใช้นวดหลังและต้นขา ส่วนที่อยู่ติดกับทางลงสระจะเป็น Feet Bubble Station เผื่อใครไม่ได้เตรียมชุดว่ายน้ำมาก็มานวดขาไปก่อนเนอะ สุดท้ายคือ Spa Bed Station เป็นพื้นที่ให้นอนแช่ลงไปทั้งตัว จึงนวดทั้งไหล่ หลัง และ เอว

    ฝั่งตรงข้ามจะมีสระที่ 4 ที่เรียกว่า Heated Pool ที่มีอุณหภูมิน้ำ 38 องศา เป็น Onsen กลางแจ้งที่ได้อารมณ์แบบญี่ปุ่นๆ ดีนะคะ

    เจ้า Onsen Heat Pool นี้ออกแบบมาเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าจะช่วยลดความเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ แถมช่วยให้ระบบเผาผลาญในร่างกายดีขึ้น ผิวพรรณสดใสด้วยนะ สาวๆ ต้องไม่พลาดแล้วหละ^^

    สระ Onsen ขนาด 7 ที่นั่ง

    สระ Onsen จะอยู่ติดกับทางเข้า Steam ซึ่งภายในจัดให้มีทั้ง Changing Room, ห้องอาบน้ำและห้องน้ำ ตรงกลางระหว่างประตูทั้ง 2 ตกแต่งด้วยหินแกรนิต Verde Italia ความยากคือการติดตั้งหินแผ่นใหญ่และวางลวดลายให้ต่อกันได้พอดีค่ะ

    ภายในกว้างทีเดียวและมีความโปร่ง ลมเข้าตลอดเลย ทางโครงการจัดตู้ Locker ไว้ให้เยอะอยู่นะ และมีพื้นที่ให้วางของหน้าตู้ด้วย

    บรรยากาศภายใน Steam ดูสะอาดน่าใช้งานนะ พื้นที่ประมาณ 5 – 6 ที่นั่ง

    นอกจากนี้ก็จะมีพื้นที่อาบน้ำ, ห้องน้ำที่ใช้สุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติ และห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

    นอกจากการใช้ไม้เป็นวัสดุหลักในการตกแต่งแล้ว บางส่วนอย่างบริเวณเคาน์เตอร์ล้างมือจะตกแต่งด้วยหินตามสไตล์ของ Sansiri เพื่อเพิ่มความหรูหรา

    ติดกับห้องน้ำจะเป็นตำแหน่งของ Fitness

    ภายใน Fitness ดูโปร่งโล่งด้วยผนังกระจก 3 ด้าน ตรงกลางห้องเป็นพื้นที่นั่งพักคอย

    ติดตั้งเครื่องออกกำลังกายเอาไว้ประมาณ 15 เครื่อง และจัดวางให้หันหน้าออกไปทางผนังกระจกเพื่อชมวิวได้สะดวก

    วิวจากห้อง Fitness จะเป็นวิวเคลียร์ๆ ทุกด้านเลยนะ

    ใช้เครื่องออกกำลังกายของยี่ห้อ Life Fitness เป็นแบรนด์ที่คอนโดระดับบนเลือกใช้กัน

    เครื่องออกกำลังกายมีความหลากหลายทั้งแบบที่เหมาะกับการเล่นเวท สร้างกล้ามและคนที่ต้องการออกกำลังแบบคาร์ดิโอค่ะ

    ส่วนที่เราชอบที่สุดคือเจ้านี่เลย กระสอบทราย ซึ่งไม่ได้มีให้เห็นกันในส่วนกลางคอนโดบ่อยๆ นะ ส่วนใหญ่จะเจอตามโครงการบ้านหรู แถมยังเล่นมวยไปชมวิวไปได้ด้วย ส่วนผนังอีกฝั่งตกแต่งด้วยหินอ่อน Fusion Green Light สวยงามทีเดียว

    ขึ้นมาที่ชั้น 9 แปลนในส่วนห้องพักอาศัยเหมือนกับชั้น 8 เลย คือ แบบ 1 Bedroom 26.5 ตร.ม. จะอยู่ทางทิศตะวันตก ส่วนแบบ 1 Bedroom 34.75 ตร.ม. จะอยู่ทางทิศตะวันออกและทิศใต้ ส่วนบริเวณมุมของอาคารจะเป็นห้องใหญ่ขึ้นมาหน่อยคือ ห้องแบบ 2 Bedroom 41 และ 49.25 ตร.ม.

    ความหนาแน่นชั้นนี้ยังไม่เยอะเท่าไหร่เมื่อเทียบกับชั้นที่มีห้องพักเต็มพื้นที่ทั้งชั้น จำนวนห้องพักอยู่ที่ 19 ยูนิตต่อชั้น เนื่องจากโครงการนี้ค่อนข้างสูง จึงจัดลิฟต์โดยสารมาให้ 5 ตัว + ลิฟต์ Service อีก 1 ตัว อัตราส่วนลิฟต์เท่ากับ 236 : 1 ถือว่าค่อนข้างสูงพอสมควร ในเวลาเร่งด่วนอาจจะต้องมีรอกันบ้าง อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับความเร็วของลิฟต์ที่โครงการเลือกใช้ด้วย

    ห้องพักที่เรามองว่าได้วิวดีสุดคือห้องทางทิศตะวันออกที่ได้วิวสระว่ายน้ำ รองลงมาคือห้องทางทิศใต้ ส่วนห้องทางทิศตะวันตกจะไม่ได้วิวเคลียร์ๆ เหมือนทิศอื่น แต่ก็เป็นทิศที่ทำยูนิตขนาดเล็กออกมา ทำให้ราคา Package หยิบจับง่ายนะ

    ตั้งแต่ชั้น 10 ขึ้นไปจัดเป็นห้องพักอาศัยเต็มชั้น ซึ่งเป็น Typical Floor Plan ของโครงการ ห้องพักเพิ่มขึ้นมาเป็น 33 ห้องต่อชั้น โดยส่วนที่เพิ่มมาคือห้องพักทางทิศเหนือและใต้ ส่วนใหญ่เป็นห้องแบบ 1 Bedroom 33.5 – 34.75 ตร.ม. ส่วนห้องมุมยังคง Concept เดิมคือเป็นห้องแบบ 2 Bedroom ขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย

    จากจำนวนห้องที่เยอะขึ้นก็ทำให้มีห้องพักที่ได้วิวดีและไม่โดนแดดบ่ายให้เลือกเยอะขึ้น ห้องที่เราว่าโอเคคือห้องทางทิศเหนือและตะวันออก ส่วนห้องทางทิศใต้ก็ได้วิวเคลียร์ๆ เช่นกัน ได้ลมดี แต่ก็จะได้แดดช่วงบ่ายบ้างนิดหน่อย

    บรรยากาศภายในโถงลิฟต์ของชั้นพักอาศัยตกแต่งด้วยไม้ดูคลีนๆ สบายตาดี และได้แสงจากช่องหน้าต่างทำให้ดูโปร่ง

    ส่วนทางเดินจะมีหน้าต่างที่ปลายทางเดินมาให้แหละ แต่โถงทางเดินค่อนข้างยาวจึงต้องเปิดไฟช่วยเป็นระยะๆ

    แปลนชั้น 22 ก็คล้ายๆ กันแต่มีสวนหย่อมเพิ่มเข้ามา และ ห้องพักจะลดลงไป 4 ห้อง

    บรรยากาศของสวนหย่อมบนชั้น 22 เป็นอีกหนึ่งจุดที่มาพักผ่อน แต่เหมาะจะมาช่วงเย็นๆ หน่อย ให้แดดร่มสักนิด ทำให้ห้องพักบนชั้นนี้ถือว่ามี Value พิเศษด้วยนะ

    จากสวนนี้จะได้วิวเมืองเป็นกลุ่มอาคารสูงระยะไกลๆ ที่เรียงรายบนถนนหลักอย่างสุขุมวิท

    ที่ชั้น 47 จะมีพื้นที่ส่วนกลางอยู่อีกจุดหนึ่ง คือ Co-Working , Co-Kitchen และ ​Retreat Room ชั้นนี้จัด Facilities ที่เน้นชมวิวมากขึ้น ส่วนห้องพักอาศัยจะอยู่ในตำแหน่งเดิม

    Facilities ส่วนกลางจะแยกออกจากโซนห้องพักอาศัยอย่างเป็นสัดส่วน ทำให้ห้องพักยังได้ความปลอดภัยและมาใช้พื้นที่ส่วนกลางได้สะดวก แต่ก็จะมีความคึกคักกว่าชั้นอื่นๆ แหละ

    ห้องแรกเลยคือ Retreat Room เป็นห้องพักผ่อนที่ติดตั้งเก้าอี้ OSIM ulnfinity Luxe เป็นเก้าอี้นวดไฟฟ้าที่เราสามารถตั้งระบบให้นวดได้ตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า รุ่นนี้เค้าโฆษณามาว่าให้ความรู้สึกเหมือนมือคนนวดด้วยนะ ใครเคยมารีวิวให้เพื่อนๆ ฟังกันได้นะ^^ ระหว่างนวดก็ชมวิวคุ้งน้ำบางกระเจ้าไปได้

    สังเกตพื้นมีลวดลายแปลกตาเพราะเค้าปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน Cipollano Rosso เป็นชนิดที่เค้าใช้กันในกลุ่มบ้านแสนสิรินะ

    หรือใครอยากนั่งดูทีวีก็เลือกเก้าอี้อีกฝั่งหนึ่ง

    เราลองเปิดเครื่องดูเห็นมี Mode ต่างๆ ให้เลือกเยอะเลย เช่น Mode Sport Recovery สำหรับคนที่เมื่อยจากการออกกำลังกาย หรือ Mode นวดสำหรับคนทำงาน ที่ไล่ๆ ดูมีให้เลือกเกิน 20 Modeเลยนะ แถมตอนนวดเราสามารถฟังเพลงไปได้ ผ่านหูฟัง Marshall ที่ติดตั้งมากับหมวกค่ะ

    ถัดมาที่ Co-Working Space มีมุมไว้ให้นั่งทำงาน หรือ ใช้เป็นที่นั่งประชุมคุยงาน ซึ่งทางโครงการแจ้งว่ากำลังจะมีการติดตั้งที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายมาเพิ่มให้ด้วย

    ภายในมีมุมนั่งทำงานให้เลือกหลากหลาย อย่างมุมนี้ก็ได้วิวดีทีเดียว

    หรือถ้าช่วงบ่ายๆ ที่แสงส่องผ่านกระจกเข้ามา ก็เลือกหลบแดดมานั่งด้านใน มีโต๊ะใหญ่ให้นั่งคุยงานกันได้หลายคน

    ด้านในสุดเป็นพื้นที่ Co-Kitchen ที่ให้ลูกบ้านมาใช้พื้นที่ทำอาหารได้ แบบนี้จัด Cooking Class เชิญอาจารย์มาสอนทำอาหารก็สะดวกเลย ห้องนี้ดูหรูหราขึ้นด้วยการใช้หินอ่อน Calacatta Gold มาตกแต่งค่ะ

    โดยลูกบ้านสามารถนำผักสดจาก Farmshelf ที่มีการควบคุมการปลูกด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ มาคิดค้นเมนูสุขภาพใหม่ๆ ได้ด้วยนะ

    ส่วนที่เป็น Highlight ที่สุดในครัวนี้คือ เจ้า Dialog Oven ของ Miele ราคาค่าตัวที่ 500,000 บาท ซึ่งใช้เทคโนโลยีของคลื่น Electromagnetic ทำให้อาหารสามารถสื่อสารกับเตาอบได้ เราจึงสามารถปรุงอาหารพร้อมกันได้หลากหลายชนิด โดยไม่ต้องรอปรุงอาหารทีละอย่าง

    ตัวอย่างอาหารจาก Dialog Oven ที่สามารถทำแซลมอนครึ่งนึงสุกและอีกครึ่งนึงเป็นซาชิมิในชิ้นเดียวกันได้ เอาใจ Food Stylist มากๆ

    ถัดมาที่ Intelligent Hob ของแบรนด์ Miele อีกเช่นกัน จึงมีความพิเศษที่เป็นเตาไฟฟ้าแบบ Full – Surface คือ ปกติเราต้องวางหม้อ กระทะลงบนตำแหน่งที่เค้ากำหนดจุดมาให้เท่านั้นใช้มั้ย แต่รุ่นนี้เราจะวางไว้หม้อ กระทะ ลงบนหน้าเตาตรงไหนก็ได้นะ แถมพื้นที่ใหญ่ขนาดนี้ก็ทำอาหารได้พร้อมๆ กันหลายหม้อไปเลย ตั้งอุณหภูมิให้แต่ละหม้อต่างกันได้ด้วย

    ด้านในจะมีตู้เย็นให้แช่วัตถุดิบกันได้ด้วย และสุดทางเดินจะเป็นห้องน้ำ ซึ่งเค้าเตรียมไว้ให้ครบทั้งห้องน้ำชาย/หญิง และผู้สูงอายุค่ะ

    ทางเดินไปห้องน้ำมีความเก๋ด้วยไฟซ่อนใต้บันได

    ภายในห้องน้ำมีช่องหน้าต่างให้ชมวิวได้ด้วย

    สุดท้ายของชั้นนี้จะเป็นพื้นที่นั่งเล่นแบบ Sky Lounge ซึ่งจะยกระดับขึ้นไปให้สูงกว่าพื้นที่ส่วนอื่นๆ ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวดีนะคะ

    พื้นที่โซนนี้จะสูงถึง 9 m. เลย ทำให้ได้บรรยากาศที่ดูโปร่ง ตำแหน่งของ Sky Lounge จะหันไปทางทิศใต้ จึงเหมาะจะมาใช้งานช่วงบ่ายๆ เย็นๆ หน่อย

    โครงการวางโซฟาตัวยาวเข้ามุมไว้ จะมากับเพื่อนๆ กลุ่มใหญ่ก็นั่งได้ หรือมาเป็นคู่ก็นั่งแยกโต๊ะได้นะ

    เราชอบวิวของโครงการนี้นะ เป็นวิวของคุ้งน้ำบางกระเจ้าพอดีเลยค่ะ

    ชั้นบนสุดเป็นสวนดาดฟ้า มีจัดพื้นที่เป็นจุดชมวิวและพื้นที่ฉายหนังแบบ Outdoor มาให้ ถ้าใครอยากนั่งเล่นชิลๆ รับลมก็มาใช้ได้ค่ะ

    ทางขึ้น Rooftop จะเป็นบันไดเดินเชื่อมไปจาก Sky Lounge อีกชั้นนึง

    ส่วนแรกเลยคือ Sunset Deck จุดชมวิวมุมสูง ซึ่งจะเห็นวิวโค้งน้ำบางกระเจ้า

    Gimmick อีกอย่างนึงของ Rooftop คือเต้ากล้องส่องทางไกลนี่แหละ เราลองเดินไปส่องดูเห็นไปถึงบ้านเรือนไทยริมน้ำ เห็นคนบนเรือเลยด้วย สนุกดีค่ะ

    นอกจากนั้นภายในสวนดาดฟ้า จะมีมุมให้นอนชมภาพยนตร์แบบ Outdoor โดยฉายโปรเจกเตอร์เข้าที่ผนัง และ มีที่นั่งให้เรามานั่งดูหนังกันได้

    มุมนี้เหมือนนั่งอยู่ท่ามกลางสวนกลางหุบเขาเลย

    บนพื้นที่นั่งยังได้วิวมุมสูงขึ้นไปอีก ทำให้มองไปเห็นวิวโค้งน้ำสวยๆ ด้วยค่ะ

    อีกโซนนึงของพื้นที่บนชั้นนี้เค้าจัดไว้เป็นแปลงพืชผักสวนครัว มีชื่อเรียกเก๋ๆ ว่า Sansiri Backyard

    โดยมีแปลงผักให้ลูกบ้านสามารถมาใช้ปลูกได้ ซึ่งปัจจุบันนิติฯ ได้ปลูกผักไว้หลายชนิดและนำมาแจกจ่ายให้กับลูกบ้านค่ะ

    ก่อนไปชมห้องพักจะพาไปชมวิวแต่ละด้านกันก่อนนะ ทิศใต้ หรือ ฝั่งหน้าโครงการ ไม่มีตึกสูงมาบดบัง มุมนี้จากชั้น 8 ค่ะ

    ห้องพักทางทิศใต้ที่อยู่ในชั้นสูงๆ เราจะเห็นวิวโค้งน้ำบางกระเจ้าด้วยนะ

    ทิศตะวันตก จะเห็นตึกสูงของกลุ่มอาคารสำนักงานที่อยู่ตามแนวถนนพระราม 4 เช่น อาคารสำนักงาน Bro Building ที่จะอยู่เยื้องๆ กับโครงการ ไม่ได้บังวิวตรงๆ แต่ก็ทำให้วิวไม่เปิดกว้าง และถัดไปคืออาคารมาลีนนท์ ทาวน์เวอร์ ที่ไม่ได้มาบล็อกวิวระยะประชิด แต่ก็บังวิวระยะไกลอยู่ค่ะ

    สำหรับวิว ทางทิศเหนือ เป็นวิวเมืองทางฝั่งถนนสุขุมวิท ย่านพร้อมพงษ์ – ทองหล่อ – เอกมัย มองไปจะเห็นตึกสูงๆ อยู่เต็มไปหมด แต่อยู่ในระยะไกลนะ ส่วนในระยะประชิดจะเป็นบ้านพักอาศัยแนวราบทั้งหมดที่อยู่ในซอยย่อยๆ เช่น ซอยแสนสบาย, ซอยแสนสุข, ซอยสุขุมวิท 36

    ทิศตะวันออก เป็นวิวที่มองไปทางย่านพระโขนง ทิศนี้ก็ยังโล่งๆ ค่ะ มองไกลๆ เห็นคอนโด High Rise ขึ้นนิดหน่อย

    สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

    • Ground Floor

    • Lobby
    • Educational Playground
    • EV Charger (จุดบริการชาร์จแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า) และบริการให้ยืมรถยนต์ไฟฟ้า Smart Move
    • Smart Mailbox
    • Smart Locker
    • Shuttle Service รับส่ง BTS ทองหล่อ
    • Wifi Internet

  • 8th Floor
    • Swimming pool ขนาดประมาณ 40 x 5.5 m. ลึก 1.2 m. + Jacuzzi
    • Kid’s pool ขนาดประมาณ 6.2 x 3.25 m. ลึก 0.5 m.
    • Leisure Pool (สระว่ายน้ำระบบธาราบำบัด)
    • Heated pool
    • Play Space (พื้นที่สันทนาการสำหรับเด็ก)
    • Fitness Room
    • Steam
    • Changing Room
    • Self-Laundry

  • 22nd Floor
    • สวนส่วนกลาง รูปแบบ Pocket Garden

  • 47th Floor
    • Sky Lounge
    • Retreat Room
    • Co-Working Space
    • Co-Kitchen

  • Rooftop
    • Sunset Deck (จุดชมวิวพร้อมกล้องส่องทางไกล)
    • Outdoor Theatre (ลานภาพยนตร์กลางแจ้ง)
    • Sansiri Backyard (แปลงพืชผักสวนครัว)
    • สวนส่วนกลาง

    • ลิฟต์โดยสาร 5 ตัว/อาคาร
    • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 236 :  1
    • Service Lift 1 ตัว
    • ที่จอดรถประมาณ 49% ไม่รวมจอดซ้อนคัน
    • เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง
    • ระบบ CCTV / Access Card

    แบบห้อง

    โครงการOKA HAUS สุขุมวิท 36 นี้มีห้องพักมีตัวเลือกค่อนข้างเยอะ ตอบโจทย์คนที่ทำงานอยู่ในละแวกนี้ทั้งแบบที่อยู่คนเดียว อยู่เป็นคู่ ไปจนครอบครัวขยายพ่อแม่ลูก ก็เค้ามีให้เลือกตั้งแต่แบบ 1 Bedroom ไปจนถึง 3 Bedroom ดังนี้

    • 1 Bedroom ขนาด 26.5 – 34.75 ตร.ม.
    • 2 Bedroom ขนาด 40.5 – 49.50 ตร.ม.
    • 3 Bedroom 2 Bathroom ขนาด 86.25 – 86.5 ตร.ม.

    Image 1/9
    ห้อง 1 Bedroom Type A,AM

    ห้อง 1 Bedroom Type A,AM

    เรารวมรูปแบบห้องพักทุก Type ในโครงการมาให้ลองเลือกกันดูนะ แต่จากที่เราลองเทียบดูกับโครงการในละแวกนี้จะเห็นว่าห้องพักของโครงการจะทำให้มีขนาดกะทัดรัดหน่อย ในทุกๆ Type จะมีห้องขนาดเล็กให้หยิบจับได้ และส่วนที่ชอบที่สุดคือ เค้าให้ความสำคัญกับห้องนอน โดยห้องนอนทุกแบบจะได้ประตูทึบจึงได้ความเป็นส่วนตัวในการพักผ่อนจริงๆ

    ขายห้องแบบ Fully Fitted ให้มาเฉพาะชุดครัว และสุขภัณฑ์ในห้องน้ำ ผนังฉาบเรียบทาสีขาว ให้เราได้เลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เหลือเอง แต่หากใครมีอยากไปซื้อเอง ทางโครงการก็มี Furniture Package ให้เลือกด้วย แต่ละห้องจะมีรายการเฟอร์ฯ ต่างกัน หลักๆ ก็จะให้มาตามนี้

    • ตู้รองเท้า
    • โต๊ะ, เก้าอี้กินข้าว
    • โซฟา
    • Coffee Table
    • ชั้นวางทีวี
    • เตียง
    • โต๊ะข้างเตียง
    • ตู้เสื้อผ้า

    เป็นอีกหนึ่ง Option ที่เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า ส่วนราคา Furniture Package จะต้องจ่ายเพิ่มอีกเท่าไหร่ ต้องสอบถามเพิ่มเติมเอาของแต่ละแบบ นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในห้อง ได้แก่

    ทุกห้องจะมีผู้ช่วยประจำบ้านอัจฉริยะที่มีชื่อว่า  Alexa (Echo Dot by Amazon) สามารถสั่งเปิดปิด เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือจะคุยเล่น สั่งให้ร้องเพลงก็ได้ แต่ต้องพูดภาษาอังกฤษนะ

    อีกอย่างที่โครงการจะติดตั้งมาให้คือ เจ้า TOUCH PAD ที่มีหน้าจอใหญ่ถึง 7 นิ้ว โดยจะมีการนำเอาเทคโนโลยี Smart Living ซึ่งสามารถควบคุมการปิดเปิดไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ (HOME AUTOMATION) รวมถึงระบบต่างๆภายในห้อง เช่น เชื่อมต่อ VDO DOOR PHONE ที่ล็อบบี้ ติดต่อนิติบุคคล เช็ค MAIL BOX จองใช้บริการส่วนกลางเช็คค่าน้ำและค่าไฟ ไปใส่ไว้ใน TOUCH PAD นี้ หรือจะใช้ผ่านทางผ่าน APPLICATION บนมือถือเราก็ได้ค่ะ

    สำหรับวันนี้เราจะพาไปชมห้องตัวอย่าง 2 ห้อง ซึ่งเราเลือกมาให้แตกต่างจากแบบที่เคยพาไปชมในรีวิวตอนเปิดตัวโครงการนะ เป็นห้องแบบ 1 Bedroom และ 2 Bedroom ไปชมกันเลยค่ะ

    เรามาเริ่มกันที่ห้อง 1 Bedroom 33.5 ตารางเมตร ห้องนี้พอเข้ามาจะเจอกับครัวก่อน เป็นครัวเปิดขนาดกะทัดรัด เหมาะกับการซื้อกับข้าวจากข้างนอกมาทานหรือทำอาหารง่ายๆ สไตล์คนเมือง ฝั่งตรงข้ามมีพื้นที่ให้วางตู้รองเท้าได้ และติดกันเป็นห้องน้ำที่เข้าออกได้ 2 ทาง ทั้งจากบริเวณหน้าห้องครัวและในห้องนอน

    ถัดเข้ามาด้านในเป็นห้องนั่งเล่นอยู่ริมหน้าต่างบานใหญ่ ซึ่งความเก๋ของหน้าต่างบานนี้คือเป็นบานที่สูงจากพื้นถึงฝ้า เปิดระบายอากาศได้เต็มที่ ถ้าห้องทางทิศใต้รับรองว่าลมเข้าเต็มๆ ส่วนที่ชอบเลยคือห้องนอน ที่ได้ประตูทึบเป็นสัดส่วน ระเบียงของห้องจะอยู่ทางฝั่งห้องนอน แต่เข้าได้จากทั้งห้องนอนและห้องนั่งเล่น จึงเดินไปตากผ้าได้สะดวกไม่ต้องเดินผ่านห้องนอน

    ประตูทางเข้าห้องเป็นบานปิดผิวด้วยลามิเนตลายไม้

    หน้าประตูจะติดป้ายบอกเลขที่ห้องไว้ ดูมี Gimmick ด้วยรูปภูเขาน่ารักทีเดียว และติดตั้งกริ่งหน้าห้องไว้ด้วย ส่วน Digital Door Lock ได้ของ igloohome ที่ใช้ได้ทั้งกุญแจ รหัส และเชื่อมต่อผ่านทาง Application

    ประตูมีการดีไซน์ระบบ AIR VENTILATION SYSTEM เป็นนวัตกรรมระบบหมุนเวียนอากาศภายในห้องพักให้มีอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเเทนที่ ลดความชื้น และความร้อนสะสม โดยการทำช่องระบายอากาศบริเวณประตู ซึ่งตอนที่เราต้องการเปิดแอร์ภายในห้อง ก็สามารถปิดช่องระบายอากาศนี้ได้

    เข้ามาในห้องจะได้บรรยากาศโปร่งๆ แบบนี้ เพราะได้เห็นแสงธรรมชาติเข้ามาจากหน้าต่างบานใหญ่ ที่เปิดให้เห็นวิวภายนอกได้เลย

    Common Area ก็จะเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกันตั้งแต่ Pantry ครัว, พื้นที่นั่งเล่นดูทีวี และพื้นที่ทานอาหาร ฝั่งซ้ายด้านหลังประตูเป็นห้องน้ำ

    หน้าห้องมีพื้นที่สำหรับวางตู้ใส่รองเท้าได้ ถ้าอยากให้โครงการ Built-in มาให้เลยก็สามารถซื้อเป็น Furniture Package เพิ่มได้ ติดกันเป็นประตูทางเข้าห้องน้ำ

    โดยสามารถเข้าได้ 2 ทางทั้งจากห้องครัวและห้องนอน จึงสะดวกต่อการใช้งานและเวลาที่เพื่อนมาหาก็ไม่ต้องเดินผ่านห้องนอนของเราก่อนจะเข้าห้องน้ำให้เสียความเป็นส่วนตัว

    ภายในห้องน้ำแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน มีสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ต่างๆ มาให้ครบ

    ในพื้นที่ส่วนแห้งจะติดตั้งโถสุขภัณฑ์ได้แบบอัตโนมัติของ COTTO และอ่างล้างหน้าพร้อมตู้กระตู้มาให้แบบนี้เลย

    ชุดอ่างล้างหน้าได้ของ i-spa มีขนาดกะทัดรัด มีพื้นที่ให้วางของบนขอบอ่างได้นิดหน่อย และจะติดตั้งเต้าเสียบปลั๊กไฟมาให้ด้วย เผื่อใครอยากเป่าผมในห้องน้ำก็สะดวกเลย แต่เสียดายนิดหน่อยที่น่าจะแถมฝาปิดกันน้ำมาให้อีกนิดนะคะ

    ด้านล่างอ่างล้างหน้าเป็นตู้เปิดออกมาเก็บของเล็กๆน้อยๆได้ ช่วยให้ห้องเป็นระเบียบมากขึ้น

    โครงการให้ช่องเก็บของในห้องน้ำมาเยอะทีเดียวนะ เพราะกระจกเงาสามารถเปิดออกมาได้ ภายในมีชั้นเก็บของพร้อมติดไฟให้ด้วย นอกจากจะมีไฟและเปิดออกมาเป็นชั้นเก็บของได้แล้ว ที่บริเวณด้านบนสุดที่เห็นเป็นกล่องสีขาวทึบๆ จะซ่อน ลำโพง BLUETOOTH เอาไว้ให้เราเปิดฟังเพลงโปรดในห้องน้ำได้

    พื้นที่อาบน้ำจะติดฉากกั้นอาบน้ำมาให้เป็นสัดส่วน ซึ่งเก็บรายละเอียดได้ดีทั้งขอบยางกันกระแทก และเรายังสามารถแขวนเสื้อผ้าบนราวจับเปิดปิดประตูได้ด้วย แถมมีขอบธรณีที่ยกสูงขึ้นมาเล็กน้อยช่วยกันไม่ให้น้ำไหลไปส่วนอื่นๆ

    ฝักบัวได้ทั้งแบบมือจับและ Rain shower ให้เลือกใช้ ชุดฝักบัวแบบมือจับของ COTTO จับได้ถนัดมือ และด้านข้างมีการเซาะร่องทำเป็นช่องวางของใช้ในห้องน้ำได้อีกนิดหน่อยค่ะ

    พื้นที่อาบน้ำมีขนาด 0.8 x 1.2 m. เป็นระยะมาตรฐานที่เราเห็นตามคอนโดทั่วไป เข้าไปใช้งาน หมุนตัวอาบน้ำได้สะดวกอยู่นะ

    ถัดมาดู Pantry ครัวบริเวณหน้าห้องกันบ้าง ฝ้าเพดานของห้องนี้จะสูง 2.70 m. ยกเว้นภายในห้องน้ำและบริเวณ Pantry ครัวจะสูง 2.40 m. เพราะด้านบนเดินงานระบบต่างๆเอาไว้ค่ะ

    แอร์ในห้องนี้เป็นแบบฝังบนฝ้าเพดาน ยกเว้นในห้องนอนเป็นแบบติดผนัง (Wall Type) พื้นครัวจะต่างจากส่วนอื่นๆ ในห้องคือเป็นพื้นกระเบื้อง เวลามีน้ำมันกระเด็นก็ทำความสะอาดง่าย พื้นห้องส่วนอื่นๆ จะเป็นพื้นลามิเนตลายไม้ค่ะ

    Pantry ครัวจะได้มาครบเซตตามแบบในห้องตัวอย่างเลยค่ะ ยกเว้นเครื่องใช้ไฟฟ้าจะไม่ได้ให้มานะ

    ตู้เก็บของด้านล่างเคาน์เตอร์แบ่งเป็นลิ้นชักย่อยๆ และมีช่องสำหรับวางไมโครเวฟมาให้ วัสดุปิดผิวหน้าบานตู้ด้านล่างจะเป็นเมลามีนลายผ้า (Satin pattern)

    ส่วนที่เป็น Gimmick อย่างนึงคือ เค้ามีชั้นที่ดึงออกมาเป็นแท่น เอาไว้สำหรับขึ้นไปยืนเสริมความสูง สำหรับแม่บ้านตัวเล็กๆที่หยิบของชั้นบนๆ ไม่ถึง รับน้ำหนักได้เยอะพอสมควรค่ะ

    เคาน์เตอร์ครัวมีพื้นที่ครบทุกฟังก์ชันทั้ง ทำอาหาร เตรียมอาหารและล้างจาน แต่จะกะทัดรัดหน่อย เหมาะกับการทำอาหารที่ไม่ได้มีเครื่องปรุง วัตถุดิบมากนัก

    Top ครัวเป็นกระเบื้อง Porcelain มีความแข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ดี ทนต่อการขูดขีด การดูดซึมน้ำต่ำเพียง 0.05% หรือไม่มีการดูดซึมน้ำเลยก็ว่าได้ จึงเหมาะกับการใช้งาน ส่วนผนังด้านหลังจะติด Backsplash มาให้เป็นกระจกตามแบบในห้องตัวอย่าง

    เนื่องจากเคาน์เตอร์ครัวไม่ได้ใหญ่มาก โครงการจึงแถมเขียงมาให้ด้วยแหละ จะสามารถวางปิดซิงค์ล้างจานได้พอดี

    อ่างล้างจานเป็นแบบหลุมเดียวของ Teka รุ่นที่วาง Top หินเอาไว้ด้านบน ทันสมัยดี เราลองใส่ชามลงไปให้เพื่อนๆ ลองกะๆ เทียบขนาดได้ แต่ส่วนที่เรารู้สึกได้คือหลุมเค้ามีความลึกดีนะ

    เตาไฟฟ้าของ Teka เช่นเดียวกัน ได้เป็นแบบ 2 หัว มาพร้อมเครื่องดูดควันแบบปล่อยออกด้านนอก

    โครงการจะติดตั้งไฟบริเวณเคาน์เตอร์ครัวมาให้ด้วยแหละ พร้อมชั้นวางของที่สามารถเลื่อนได้

    เคาน์เตอร์ครัวมีอีกฟังก์ชันนึง เป็นชั้นวางของให้ดึงออกมาใช้งานได้ด้วย

    ส่วนตู้ด้านบนแบ่งเป็นช่องสำหรับใส่ของ หน้าบานปิดผิวด้วย Acrylic High-Gloss

    พื้นที่ระหว่าง Pantry ครัวกับชุดโซฟา มีพื้นที่โล่งๆ ให้จัดฟังก์ชันการใช้งานได้ตามไลฟ์สไตล์ เช่นวางโต๊ะทานอาหาร หรือ Buit-in เป็นตู้โชว์ ตู้เก็บของ

    ถัดเข้ามาด้านในเป็นพื้นที่นั่งเล่น พื้นที่กว้างพอสมควร ระยะดูทีวีประมาณ 2.4 m. เหมาะกับคนที่ชอบห้องนั่งเล่นโปร่งๆ ใช้พื้นที่ตรงนี้บ่อยๆ เพราะจะได้วิวและแสงธรรมชาติจากกระจกบานใหญ่ที่ติดกับพื้นที่ตรงนี้ด้วย

    ถ้าใครไม่อยากวางโต๊ะทานอาหารไว้ติดกับครัว จะเลือกมาวางติดกับหน้าต่างตามห้องตัวอย่าง ก็มีพื้นที่เพียงพอนะ

    และยังสามารถเปิดหน้าต่างรับลมได้ด้วย เป็นบานสูงพื้นถึงฝ้าจึงมีทำราวกันตกมาให้ค่ะ

    มีพื้นที่สำหรับให้วางโต๊ะทานอาหารแบบ 2 ที่นั่งได้ลงตัว หรือใครจะวางโซฟาเก๋ๆ สักตัวสำหรับนั่งชมวิวริมหน้าต่างก็ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์เลยค่ะ

    ติดๆ กันมีทางออกไปที่ระเบียง ซึ่งระเบียงนี้สามารถออกได้ทั้งจากทางห้องนั่งเล่นและห้องนอน เปิดออกมาจะได้สัมผัสของลมจาก Condensing Unit เลย แนะนำให้ติดที่ปรับทิศทางลมเพิ่มอีกหน่อย เพื่อให้ปัดลมร้อนออกไปนอกห้องนะ แต่ส่วนที่ดีคือเค้าทำระแนงบังสายตามาให้เรียบร้อย

    บริเวณใต้ Condensing Unit เป็นตำแหน่งวางเครื่องซักผ้า ส่วนที่เหลือก็ใช้สำหรับวางราวตากผ้า มีขนาดประมาณ 1.4 x 1.1 m. ปูพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิกแบบด้านเพื่อกันลื่น พื้นระเบียงจะถูกลดระดับลงมจากพื้นห้องเล็กน้อย เพื่อให้ใช้เป็นพื้นที่ซักล้างได้สะดวก และยังช่วยกันน้ำฝนไหลเข้าตัวห้องด้วย

    ส่วนด้านบนประตูจะเห็นว่ามีช่องระบายอากาศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบ AIR VENTILATION SYSTEM ค่ะ

    ถัดมาดูห้องนอนที่ได้ประตูปิดทึบ ส่วนตัวเราชอบห้องนอนที่ได้ประตูแบบนี้นะ เพราะได้ความเป็นส่วนตัวกว่าห้องนอนที่ได้ประตูกระจกค่ะ

    ภายในห้องนอนมีขนาดพอให้วางเฟอร์นิเจอร์ได้ทั้งเตียงนอน, ตู้เสื้อผ้า และได้แสงธรรมชาติที่ผ่านประตูกระจกบานใหญ่สำหรับเปิดออกไประเบียงด้วย

    ภายในห้องนอนมีพื้นที่พอให้วางเตียง Queen Size ติดหน้าต่างได้ หรือจะเป็นเตียง King Size ก็ได้แต่เราว่าใหญ่ไปสำหรับห้อง Type นี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราควรเลือกเตียงที่หัวเตียงไม่หนามาก เพราะจะทำให้เหลือพื้นที่ปลายเตียงน้อย จะทำให้เดินไปประตูระเบียงลำบาก

    จากเตียงนอนเราสามารถมองวิวภายนอกผ่านประตูกระจกบานใหญ่ที่ปลายเตียงได้เลยนะ หรือจะเปิดประตูบานเลื่อนออกไประเบียงก็ได้ และสำหรับใครที่อยากติดทีวีในห้องนอนก็ติดได้ค่ะ เป็นแบบแขวนผนังเอานะ

    อีกฝั่งหนึ่งของห้องมีพื้นที่สำหรับวางตู้เสื้อผ้า อยู่หน้าห้องน้ำ แต่เนื่องจากประตูห้องน้ำอยู่ตรงกลาง ตำแหน่งการวางตู้เสื้อผ้าจึงแบ่งออกเป็น 2 ส่วนแบบนี้ ถ้าอยู่ด้วยกัน 2 คนก็แยกตู้ใครตู้มันได้ แต่ขนาดอาจจะเล็กไปนิดสำหรับสาวๆ ที่มีเสื้อผ้าเยอะ แนะนำให้ทำแบบ Built-in จะได้ใช้พื้นที่ได้คุ้มค่านะคะ

    ขยับมาที่ห้อง 2 Bedroom ขนาด 49.25 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ เหมาะกับครอบครัว 2-3 คน ที่ต้องการห้องนอน 2 ห้อง แยกออกจากกันเพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัว การออกแบบเน้นให้ Living & Dining Area ดูโปร่งโล่งและอยู่ติดกับระเบียง จึงได้แสงธรรมชาติ

    Master Bedroom มีห้องน้ำในตัว ได้ช่องแสงบานใหญ่ที่อยู่ติดกับตำแหน่งวางเตียงนอนเลย ส่วนห้องนอนอีกห้องก็มีขนาดที่วางเฟอร์นิเจอร์ได้ครบ ใช้งานได้จริง ส่วนที่เรารู้สึกว่าทำออกมาได้โอเคสำหรับห้องไซส์นี้ คือห้องน้ำทั้ง 2 ห้อง ที่มีขนาดพื้นที่เหมาะสม ใช้งานได้ลงตัว แต่ห้องแปลนนี้จะเหมาะกับครอบครัวที่ไม่ได้ชอบทำอาหารที่มีกลิ่นและควันฟุ้งมากนัก เพราะครัวที่ได้มาเป็นครัวเปิด ที่ต้องพึ่งระบบระบายอากาศในอาคารล้วนๆ

    เมื่อเข้ามาภายในห้องจะเจอกับพื้นที่ Living & Dining Area เป็นพื้นที่ตรงกลางห้องที่เชื่อมห้องนอนทั้ง 2 ห้องเอาไว้

    บริเวณด้านหน้าห้องเป็นตำแหน่งของเคาน์เตอร์ครัวที่โครงการ Built-in ไว้ให้เรียบร้อย มีการเว้นพื้นที่ด้านซ้ายไว้ให้วางตู้ใส่รองเท้าหรือทำเป็นตู้เก็บของได้

    ส่วนที่แตกต่างจากห้องแรกคือแบบ 2-Bedroom นี้จะมีการเดินท่อสำหรับติดตั้งเครื่องซักผ้ามาให้ข้างใต้เคาน์เตอร์ครัวด้วย แบบนี้มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อดีคือทำให้เราไม่ต้องเสียพื้นที่ระเบียงไป แต่ข้อเสียก็คือจะมีพื้นที่เก็บของใต้เคาน์เตอร์ครัวลดลงค่ะ

    โครงการใช้พื้นที่ใต้เคาน์เตอร์ได้คุ้มค่าดีนะคะ เพราะเค้าทำเป็นลิ้นชัก ทำเป็นช่องเก็บของทุกซอกมุมเลย

    พื้นที่สำหรับวางตู้เย็นของห้อง Type นี้จะกว้างขึ้นกว่าห้องที่แล้ว ซึ่งเวลาเลือกซื้อตู้เย็นก็อย่าลืมคำนึงถึงทิศทางการเปิดตู้ที่เหมาะสมด้วยนะคะ จะได้ใช้งานได้สะดวก

    สำหรับพื้นที่วางโต๊ะทานอาหารสามารถวางโต๊ะขนาด 4 ที่นั่งได้

    สังเกตว่า Living & Dining Area จะอยู่ในพื้นที่เดียวกันและอยู่ติดกับระเบียงทำให้รู้สึกโปร่งโล่ง เราชอบแปลนแบบนี้นะ เพราะสามารถนั่งทานอาหารไปดูทีวีไปได้ และถึงแม้ว่าสมาชิกในครอบครัวจะทำกิจกรรมที่ต่างกัน เช่น ดูหนังหรือนั่งทานข้าวก็ยังสามารถพูดคุย เห็นหน้ากันได้

    ระยะดูทีวีของห้องนี้อยู่ที่ 2.5 m. ใช้งานได้สบายๆ ไม่ต่างจากห้องที่แล้วมากนัก ด้านในสุดเป็นประตูกระจกบานเลื่อนสำหรับเปิดออกไประเบียง ซึ่งช่วยให้แสงธรรมชาติผ่านเข้ามาในห้องได้

    พื้นที่ระเบียงค่อนข้างกว้างมีขนาดประมาณ 1.6 x 1.1 m. ใช้วางราวตากผ้าได้

    เนื่องจากห้องนี้ติดแอร์ทั้งหมด 3 ตัว ซึ่งทางโครงการก็ทำระแนงบังสายตาตลอดทั้งแนวไว้เลยนะ แต่ลมจาก Condensing Unit มันจะเป่ามาที่ระเบียง แนะนำว่าให้ติดที่ปรับที่ปรับทิศทางลมเพิ่มอีกหน่อย

    ด้านในสุดของห้องเป็น Master Bedroom ซึ่งผนังห้องและประตูเป็นแบบทึบได้ความเป็นส่วนตัว

    ภายในห้องสามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุตไว้กลางห้อง แล้วยังมีเหลือให้สามารถเดินได้รอบเตียง ซึ่งชมวิวได้จากบนเตียงเลยนะ

    อีกด้านหนึ่งของห้องมีพื้นที่ให้ Built-in ตู้เสื้อผ้า ที่อยู่ติดกับทางเข้าห้องน้ำ แนะนำให้ใช้เป็นตู้เสื้อผ้าแบบบานเลื่อนจะช่วยประหยัดพื้นที่เปิดตู้ได้ค่ะ

    ภายในห้องน้ำของ Master Bedroom จัดฟังก์ชันต่างๆ ไว้ครบและมีการแยกพื้นที่ส่วนเปียกกับส่วนแห้งออกจากกันอย่างเป็นสัดส่วน และใช้สุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติของ COTTO เหมือนห้องอื่นๆ

    พื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ 1.1 x 0.9 m. สามารถใช้งานได้สะดวก พื้นลดระดับลงไปเล็กน้อยช่วยกันน้ำไหลซึมมาที่ส่วนแห้งได้

    สำหรับ Bedroom อีกห้องหนึ่งจะใช้ห้องน้ำร่วมกับพื้นที่ส่วนกลาง ตัวห้องได้ความเป็นส่วนตัวจากกำแพงและประตูแบบทึบเช่นกัน

    เข้ามาภายใน Bedroom มีพื้นพอสำหรับวางเฟอร์นิเจอร์ได้ครบทั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง และเตียงเดี่ยว ซึ่งหากวางไว้ติดหน้าต่างก็จะชมวิวจากบนเตียงนอนได้เลยนะ

    หน้าประตูห้องมีพื้นที่ให้วางตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งได้ แนะนำเป็นตู้แบบบานเลื่อนจะได้ไม่เกะกะทางเดิน

    ปิดท้ายด้วยห้องน้ำส่วนกลางของห้อง ซึ่งภายในจัดฟังก์ชันและสุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติของ COTTO เหมือนกับห้องน้ำใน Master Bedroom เลย

    พื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ 0.9 x 0.9 m. พื้นลดระดับลงไปเล็กน้อยเพื่อป้องกันน้ำไหลซึมมาพื้นที่ส่วนแห้ง

    ไฟในห้องได้เป็นดาวน์ไลท์

    ปลั๊กและสวิทช์ได้ของ Legrand

    **รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ

    ราคา

    25 September 2020

    • 1 Bedroom  ชั้น 19 เนื้อที่ 34.93 ตร.ม. ราคา 5,997,690 บาท หรือ 171,706 บาท/ตร.ม. (ทิศตะวันออก)
    • 1 Bedroom  ชั้น 19 เนื้อที่ 34.74 ตร.ม. ราคา 5,972,970 บาท หรือ 171,934 บาท/ตร.ม. (ทิศเหนือ)
    • 1 Bedroom  ชั้น 19 เนื้อที่ 33.84 ตร.ม. ราคา 5,859,670 บาท หรือ 173,158 บาท/ตร.ม. (ทิศใต้)
    • 1 Bedroom  ชั้น 19 เนื้อที่ 26.58 ตร.ม. ราคา 4,313,640 บาท หรือ 162,289 บาท/ตร.ม. (ทิศตะวันตก)

     

    • Fully Fitted /Fully Furnished (เพิ่ม Furniture package)
    • ฝ้าเพดานสูง 2.7 เมตร
    • Kitchen & Sink
    • Hob & Hood
    • Shuttle Service ไปกลับ BTS ทองหล่อ
    • จอง+ทำสัญญา 1 Bedroom 30,000 บาท 2 Bedroom 60,000 บาท
    • ค่ากองทุน 600 บาท/ตร.ม.
    • ค่าส่วนกลาง

    • ปีที่ 1-2 : 49 บาท/ตร.ม./เดือน
    • ปีที่ 3-4 : 59 บาท/ตร.ม./เดือน
    • ปีที่ 5 ขึ้นไป : 65 บาท/ตร.ม./เดือน

  • โปรโมชัน
    • ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน และฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปี
    • ผ่อนไร้ดอก เริ่ม 2,999 บาท นาน 24 เดือน พร้อมรับเพิ่มสูงสุด 150,000 บาท โปรฯนี้เฉพาะวันนี้ – 31 ธค. เท่านั้น

    **ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ

    บทสรุป

    ทำเล : โครงการ OKA HAUS สุขุมวิท 36 ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่พระราม 4 ใกล้กับอาคารมาลีนนท์ ทาวเวอร์ หรือ ช่อง3 ที่เรารู้จักกันนั่นเอง ที่ตั้งโครงการถึงแม้ว่าจะอยู่บนถนนรองที่คู่ขนานกับสุขุมวิทแต่ถนนพระราม 4 ก็ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจรอยู่นะ เหมาะกับคนที่ใช้ชีวิตและทำงานบนเส้นพระราม 4, สุขุมวิท และยังเป็นตัวเลือกสำหรับคนที่อยากอยู่ใกล้ย่านทองหล่อ แต่ไม่ได้งบสูงที่จะไปอยู่ใกล้สถานีในระยะเดินได้ ยอมเลือกทำเลที่ต้องต่อรถไปอีก 1 ต่อได้

    การเดินทางโดยใช้รถ : สามารถใช้ซอยสุขุมวิทฝั่งเลขคู่เช่น ซอยสุขุมวิท 36 , 38 ลัดไปออกถนนสุขุมวิท ย่านทองหล่อ เอกมัยได้ แต่ก็มีบางซอยเป็นวันเวย์เหมือนกันเช่น ซอยสุขุมวิท 42 ที่สามารถมุ่งหน้าจากแยกกล้วยน้ำไทไปสุขุมวิทได้ หรือซอยสุขุมวิท 40 ก็วันเวย์มุ่งหน้ามาพระราม 4 นอกจากนั้นทำเลนี้ยังถือเป็นจุดกระจายตัวออกเดินทางไปไหนมาไหนสะดวก ใกล้กับจุดขึ้นลงทางด่วนเฉลิมมหานครด้วย เรื่องรถติดมีบ้างอยู่แล้วเพราะอยู่ในโซนใจกลางเมืองแต่ก็ไม่ได้หนักหนาเท่ากับสุขุมวิท ที่จอดรถประมาณ 49% ไม่รวมจอดซ้อนคันก็ถือว่าใช้ได้ค่ะ

    การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ก็สามารถเรียกรถสาธารณะอย่างแท็กซี่ได้สะดวก เพราะอยู่ติดกับถนนใหญ่ วินมอเตอร์ไซค์เดินไปเรียกได้ตรงซอยสุขุมวิท 36 หรือ ซอยแสนสบาย โดยทางโครงการมี Shuttle Service จากโครงการไป BTS ทองหล่อบริการให้ สำหรับรถไฟฟ้าโครงการจะอยู่ห่างจาก BTS สถานีทองหล่อประมาณ 1.3 กิโลเมตร ใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์ เดินเล่นชิลๆ หรือ Hangout ชื่อดังค่ะ

    วัสดุ : มีทางเลือกมาให้ว่าอยากได้แบบ Fully Fitted หรือจะซื้อ Furniture package เพิ่มก็ได้นะ วัสดุถือว่าให้มาดี มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาในห้องพักอาศัย เช่น โถสุขภัณฑ์อัตโนมัติของ COTTO มีกระจกเงาที่ซ่อนลำโพง BLUETOOTH และทั้งยังมี TOUCH PAD (HOME AUTOMATION) รวมถึงระบบต่างๆภายในห้อง เช่น เชื่อมต่อ VDO DOOR PHONE ที่ล็อบบี้ ติดต่อนิติบุคคล เช็ค MAIL BOX จองใช้บริการส่วนกลางเช็คค่าน้ำและค่าไฟ และ ทุกห้องจะมี  Alexa (Echo Dot by Amazon) ผู้ช่วยประจำบ้านอัจฉริยะ สามารถสั่งเปิดปิด เครื่องใช้ไฟฟ้า และที่ชาร์จมือถือแบบไร้สายมาให้ด้วย ยิ่งถ้าเป็นกลุ่มคนที่ Hi-Tech nology หน่อยก็เหมาะเลย ใช้ชีวิตสบายขึ้นแน่นอน

    การออกแบบ : มีคำนึงที่ผุดขึ้นมาตลอดการเขียนรีวิวโครงการนี้คือ “ละเอียดอ่อน” เราว่านี่เป็นจุดแข็งนึงที่ทำให้คนตัดสินใจเลือกที่นี่ เพราะเค้าคิดว่าผู้อยู่อาศัยจริงต้องการอะไรบ้าง ถ้าส่วนกลางก็เน้นพักผ่อน ห้องพักก็เน้นให้อยู่สบาย ระบายอากาศดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะมาก เราจึงคิดว่าเค้าทำออกมาได้ดีเข้ากับ Concept โครงการที่ออกแบบด้วยแนวคิด RETREAT & REBOUND ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติของขุนเขา สายลม แสงแดด โดยชื่อ OKA ในภาษาญี่ปุ่นก็แปลว่า ภูเขา นั่นเอง ดังนั้นการดีไซน์จึงเน้นออกแบบให้ทุกพื้นที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติเพื่อให้เราพักผ่อนผ่อนคลาย ชาร์จพลังจากการทำงาน ตัวอาคารมีการเล่นระดับและใช้วัสดุที่หลากหลาย คุม Concept ได้ดี ใช้โทนสีอ่อนเข้มตัดกันทำให้อาคารดูมีมิติ

    นอกจากนี้ในห้องพักก็มาพร้อมกับหน้าต่างแบบ Full-height สูงจากพื้นถึงฝ้า และห้องมุมก็จะได้ Bay Window ด้วย จึงมีช่องเปิดช่วยให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และมีนวัตกรรมหมุนเวียนอากาศภายในห้องพัก ให้อากาศบริสุทธิ์เข้าไปแทนที่ ลดความชื้น และ ความร้อนสะสมในห้อง

    สาธารณูปโภค : จัดมาให้ครบครัน ค่อนข้างเยอะตามจำนวนยูนิต และจัดบรรยากาศมาน่าใช้งาน ส่วนที่เป็น Highlight เลยก็คือสระว่ายน้ำ 4 สระ ซึ่งเรามองว่าให้มาเยอะกว่าคอนโดระดับเดียวกันในละแวกนี้นะ ส่วนที่เรามองว่าเค้าทำมาได้ดี คือเค้าคิดเผื่อการใช้งานของผู้อยู่อาศัยทุกวัยทั้งเด็กและผู้สูงอายุ และแน่นอนว่านิกจาก Facilities พื้นฐานที่เราเห็นบ่อยๆ ในทุกคอนโดแล้ว ที่นี่จะมีการนำเทคโนโลยีมาใช้กับพื้นที่ส่วนกลางอีกเช่นเคยเช่นเครื่อง Dialog Oven ที่อยู่ใน Co-Kitchen, Osim Chair ที่ตั้งอยู่ใน Retreat Room มีจุดบริการชาร์จแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และยังมีการนำเอาเทคโนโลยี Smart Living ที่ออกแบบมาให้ควบคุมทุกสิ่งง่ายๆด้วยปลายนิ้ว

    Judgement

    การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

    ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

    เทียบกับช่วงราคาทั้งโครงการ 140,000 – 180,000 บาท/ตร.ม., 25 September 2020

    • ทำเล 7.5/10 – ติดถนนใหญ่พระราม4 ใกล้กลุ่มอาคารสำนักงาน ใกล้โซนทองหล่อ-เอกมัย
    • เดินทางด้วยรถ 8/10 – ค่อนข้างสะดวก ติดถนนใหญ่ ใกล้ทางด่วน ลัดเลาะไปออกทองหล่อ-เอกมัยได้ง่าย ที่จอดรถ 50%
    • ไม่ใช้รถ 7.25/10 – ไม่ได้อยู่ใกล้รถไฟฟ้า แต่โครงการมี Shuttle Service รับส่งที่ BTS ทองหล่อ
    • วัสดุ 8/10 -ให้ค่อนข้างดี ได้โถสุขภัณฑ์อัตโนมัติ, ลำโพง BLUETOOTH พร้อมมีการนำเทคโนโลยีต่างๆมาใช้ เช่น TOUCH PAD (HOME AUTOMATION) , Alexa
    • แบบ 8.5/10 – ออกแบบมาได้ดี ส่วนกลางสวยน่าใช้ ห้องมี Layout ให้เลือกเยอะ มีระบบ AIR VENTILATION SYSTEM ในห้อง
    • สาธารณูปโภค 9/10 – ให้มาเยอะ ครบครันน่าใช้งาน เด่นๆ เลยคือให้สระว่ายน้ำ 4 สระ แต่จำนวนยูนิตก็เยอะด้วยจึงน่าจะพอดีๆกับการใช้งาน

    • HIGH CLASS
    • 7.86 / 10.00

    BOTTOM LINE

    OKA HAUS สุขุมวิท 36 เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดติดถนนใหญ่ ใช้ชีวิตอยู่ในย่านพระราม4 ทองหล่อ เอกมัย เน้นใช้รถยนต์ส่วนตัวแต่ก็ยังเดินทางไปขึ้นรถไฟฟ้าได้สะดวก ชอบทำเลใจกลางเมือง ใกล้ทางด่วนและมีซอยลัด เป็นคนที่ชอบความ High Technology และ ชอบใช้พื้นที่ส่วนกลาง มีงบประมาณช่วง 4 – 17 ล้านบาท หรือ มีกำลังผ่อนต่อเดือน 28,000 บาทขึ้นไป และต้องมีงบแต่งห้องเพิ่มอีกส่วนนึงด้วยนะ


    ติดตามพวกเราได้ที่
    Website : www.thinkofliving.com
    Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
    YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
    Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
    Facebook : ThinkofLiving