.. 2 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ในที่สุดโครงการ Life Rama 4 – Asoke (ไลฟ์ พระราม 4 – อโศก) ก็สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่แล้วครับ เชื่อว่าหลายๆคนรอคอยที่จะได้เห็นบรรยากาศของจริงโครงการนี้กันมากๆ เพราะถือเป็นคอนโดแบรนด์ Life ตัวแรกๆเลยที่เริ่มมีการปรับแบบและจัดเต็มในเรื่องของ Facilities มากกว่าโครงการรุ่นพี่ก่อนหน้านี้หลายๆตัว จนกลายมาเป็นต้นแบบในความคิดส่วนตัวของผม ที่คิดว่านี่แหละคือมาตรฐานของคอนโดแบรนด์ Life จาก AP

อีกสิ่งหนึ่งที่ทั้งผมและทุกๆคนต่างรอคอยที่จะเห็นกันก็คือ ‘วิว’ ชั้นบนของโครงการนี้ ว่าของจริงเมื่อสร้างเสร็จแล้วจะปังขนาดไหน บางคนก็ลุ้นใจจะขาดว่าตำแหน่งห้องที่ซื้อไปสมัย Sale Gallery จะสวยแบบที่คิดหรือไม่? วันนี้เราจะได้ทราบกันแล้วนะครับ ซึ่งผมจะพาทุกคนไปเจาะลึกทุกซอกทุกมุมของโครงการนี้ให้ละเอียดกันเลยทีเดียว แต่ถ้าใครที่สนใจห้องฝ้าเพดานสูง Vertiplex ผมต้องขอพูดดักไว้ก่อนว่าหมดตั้งแต่ช่วงแรกๆเมื่อ 2 ปีก่อนแล้วน้าาา โดยหาก Walk-in เข้ามาวันนี้ก็จะยังคงมีเป็นห้อง Simplex ให้เลือกเท่านั้น ส่วนจุดเด่นที่น่าสนใจอื่นๆของโครงการก็จะมีดังต่อไปนี้

  • เป็นโครงการขนาดใหญ่มากกว่า 1,237 ยูนิต และให้พื้นที่ส่วนกลางมาเยอะมากๆ โดยเฉพาะ Sky Facilities ที่จะอยู่ 4 ชั้นบนสุดของโครงการ แถมยังมีบรรยากาศที่สวยงามดูหรูหรามากๆอีกด้วย
  • ปัจจุบันได้วิวเปิดโล่งสวยทุกด้าน ซึ่งทำเลที่ตั้งมีความได้เปรียบที่สามารถมองเห็นได้ทั้งวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา วิวพื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้า วิวสวนเบญจกิติกว่า 300 ไร่ และ City View ในตัวเมืองกรุงเทพ
  • ทำเลมีความอุดมสมบูรณ์ เดินทางได้สะดวกมาก ใกล้ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ในระยะเดินถึงเพียง 450 m. และใกล้ทางด่วนเฉลิมมหานครเพียง 1.6 km. เท่านั้น
  • มีแบบห้องให้เลือกเยอะกว่า 100 แบบ (รวมห้องยิบย่อยตามมุมต่างๆ) ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการ Lifestyle ของคนที่ไม่เหมือนกันได้สบายๆ

ข้อมูลโครงการ

Life Rama 4 – Asoke (ไลฟ์ พระราม 4 – อโศก) ณ วันที่ 2 กรกฎาคม 2567

 ชื่อโครงการ   Life Rama 4 – Asoke (ไลฟ์ พระราม 4 – อโศก)
 ชื่อผู้ประกอบการ   บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)
 SEGMENT CLASS   UPPER – HIGH CLASS (รายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2023 )
 โครงการตั้งอยู่   ถนน พระราม 4 เขต คลองเตย
 ที่ดิน   5-2-7.5 ไร่
 ประเภทคอนโด   High Rise 39 ชั้น 1 อาคาร
 จำนวนยูนิต   1,237 ยูนิต และร้านค้า 2 ยูนิต
 ยูนิตต่อชั้นสูงสุด   46 ยูนิต
 ที่จอดรถ   40% ไม่รวมจอดซ้อนคัน
 เริ่มก่อสร้าง   ปี 2565
 คาดว่าจะแล้วเสร็จ   ปี 2567 (สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่)
 ประเภทห้องพัก
  • 1 Bedroom ขนาด 26.5 – 32 ตร.ม. (ห้อง Simplex)
  • 1 Bedroom Plus ขนาด 35 – 38 ตร.ม. (ห้อง Simplex)
  • 2 Bedrooms ขนาด 47 – 75 ตร.ม. (ห้อง Simplex)
  • 1 Bedroom ขนาด 28.5 – 38 ตร.ม. (ห้อง Vertiplex) >> Sold-Out
  • 2 Bedrooms ขนาด 47 – 70 ตร.ม. (ห้อง Vertiplex) >> Sold-Out

 ฝ้าเพดานสูง ห้อง Simplex ฝ้าเพดานสูง 2.6 เมตร / ห้องแบบ Vertiplex ฝ้าเพดานสูง 4.40 เมตร
 ราคาเริ่มต้น  1 Bedroom River View เริ่ม 4.49 ล้านบาท*
 ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ  ประมาณ 150,000 บาท/ตร.ม.
 เว็บไซต์โครงการ https://apth.ly/nri6
 Call Center  1623

 

ทำเลที่ตั้ง

Highlights :

  • มีการเดินทางที่สะดวก ทั้งใกล้รถไฟฟ้า MRT ในระยะเดินได้เพียง 450 m. และยังใกล้ทางด่วนเฉลิมมหานคร 1.6 km. เท่านั้น
  • ทำเลมีความอุดมสมบูรณ์สูง แวดล้อมไปด้วยอาคารสำนักงานขนาดใหญ่มากมาย และเชื่อมต่อไปยัง CBD ข้างเคียงต่างๆได้ง่าย
  • ปัจจุบันทำเลที่ตั้งได้วิวเปิดโล่งสวยทุกด้าน โดยจะมองเห็นทั้งโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้า พื้นที่สวนเบญจกิติ และ City View ในตัวเมือง

พิกัด Google Maps : 13.719627, 100.562034
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

โครงการ Life Rama 4 – Asoke ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่พระราม 4 ย่านคลองเตย เรียกได้ว่าเป็นย่านที่คึกคักและอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยอาคารสำนักงานขนาดใหญ่หลายแห่ง อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อไปยังทำเลข้างเคียงที่เป็น CBD เหมือนกันได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นสีลม-สาทร / เอกมัย-ทองหล่อ / อโศก-เพลินจิต เป็นต้น อีกทั้งยังมีความสะดวกในการเดินทางที่ดีมากครับ เพราะใกล้กับทางด่วนเฉลิมมหานคร และรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สายสีน้ำเงิน ในระยะที่สามารถไปใช้งานได้สบายๆ

ความพิเศษของคอนโดที่อยู่บนถนนพระราม 4 ยังมีอีกอย่างคือ ‘วิว’ ที่เราจะมองเห็นได้ทั้งโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้า วิวตึกในตัวเมือง และถ้าเป็นตรงใกล้ๆกับแยกคลองเตยแบบนี้เราก็จะได้เห็นวิวสวนเบญจกิติด้วย โดยสิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ถือเป็นข้อได้เปรียบที่พิเศษกว่าคอนโดในเมืองแถวสุขุมวิทซะอีกครับ

ส่วนเรื่องความอุดมสมบูรณ์ก็ไม่ต้องพูดถึงเลย เนื่องจากเป็นโซนออฟฟิศก็เลยมีร้านค้าร้านอาหารมากมาย แต่ที่ผมชอบที่สุดของโซนนี้ก็จะเป็นตรงแถวๆ K Village ที่มีร้านอาหารญี่ปุ่นดีๆเยอะมาก หรือจะลัดเลาะตามซอยไปยัง Emquartier และ Emporium ก็ได้ครับ นอกจากนี้เรายังสามารถไปเดินเล่นหรือวิ่งออกกำลังกายที่สวนเบญจกิติได้ด้วย โดยใช้เวลาเดินประมาณ 10 – 15 นาที ก็พอดีกับอุ่นเครื่องเสร็จพร้อมวิ่งต่อกันได้เลย

รถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด :

แน่นอนว่าต้องเป็น MRT สถานี ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งจะอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 450 m. ใช้เวลาเดินประมาณ 7 – 10 นาทีก็ถึงสบายๆแล้วครับ โดยเส้นทางก็จะเป็นฟุตบาทกว้างๆ สามารถเดินได้ง่าย หรือใครที่ไม่อยากเดินก็ยังมีพี่วินมอเตอร์ไซค์ให้ใช้บริการกันได้อีกด้วยครับ โดยจะมีอยู่ทั้งตรงทางเข้าสถานี และตรงปากซอยไผ่สิงห์โตเลย

โดยนี่ก็จะเป็นภาพบรรยากาศของเส้นทางเดินไปยังรถไฟฟ้า MRT ซึ่งฟุตบาทจะมีความกว้างให้เดินสบายๆ และระหว่างทางก็จะมีทั้งป้ายรถเมล์ + วินมอเตอร์ไซค์ตรงปากซอยไผ่สิงห์โตด้วยครับ

ทางด่วนที่ใกล้ที่สุด :

จะเป็นทางด่วนเฉลิมมหานครที่จะอยู่ห่างจากโครงการเพียง 1.6 km. เท่านั้น เรียกได้ว่าใกล้มากๆครับ แต่ก็อาจต้องเผื่อเวลาสักประมาณ 10 นาทีด้วยนะ เนื่องจากทำเลนี้ในช่วงเวลาเร่งด่วนจะมีรถของพนักงานออฟฟิศแถวนี้เยอะพอสมควร

สภาพแวดล้อมรอบโครงการ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้

บริบทโดยรอบโครงการส่วนใหญ่จะเป็นชุมชนคลองเคยที่เป็นแนวราบครับ ซึ่งใกล้ๆกับโครงการยังไม่ค่อยมีตึกสูงขึ้นบังวิวในระยะประชิดนัก ยกเว้น FYI Center และ The PARQ ที่อยู่ใกล้ที่สุด ดังนั้นวิวส่วนใหญ่จะเป็นวิวที่เปิดโล่ง สามารถมองเห็นไกลๆได้สบาย ไม่ว่าจะเป็นโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา สวนเบญจกิติ และ City View แต่สำหรับใครที่อยากได้วิวในห้องที่สวยจริงๆ ก็แนะนำให้เป็นชั้นสูงๆสัก 24 ขึ้นไปกำลังดี เพราะจะได้มองเห็นวิวที่อยู่ไกลๆได้ชัดเจนนั่นเอง

  • ทิศเหนือ : ติดกับ ชุมชนแนวราบ และระยะไกลจะเป็น City View ทางฝั่งอโศก-สุขุมวิท รวมถึงยังสามารถมองเยื้องไปทางด้านซ้าย เพื่อเห็นวิวสวนเบญจกิติขนาดใหญ่กว่า 300 ไร่ได้อีกด้วย

  • ทิศใต้ : เป็นทางเข้าหลักโครงการ ติดกับ ถนนพระราม 4 และฝั่งตรงข้ามเป็นตลาด + ชุมชนคลองเตย แต่ระยะไกลเราจะสามารถมองเห็นวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา และพื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้าได้ครับ

  • ทิศตะวันออก : ติดกับ ชุมชนแนวราบ และระยะไกลจะได้ City View ทางฝั่งพระโขนง-สุขุมวิท

  • ทิศตะวันตก : ติดกับ ชุมชนแนวราบ ระยะกลางจะมองเห็นตึก FYI Center และ The PARQ ที่จะบังวิวชั้นล่างๆอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ระยะไกลที่ชั้นสูงๆจะมองเห็น City View ทางสีลม-สาทร และจุฬา-สามย่าน รวมถึงยังมองเห็นทางด่วนสวยๆตอนกลางคืนได้ด้วยครับ

ส่วนภาพนี้จะเป็นบรรยากาศของถนนด้านหน้าโครงการ ซึ่งจะเป็นถนนใหญ่พระราม 4 แบบนี้เลย รวมถึงจะมีทางม้าลายให้ใช้ข้ามถนนได้สะดวกแบบนี้ด้วย ส่วนทางด้านขวามือของทางเข้าโครงการจะมีเซเว่นตั้งอยู่ใกล้ๆเลยครับ

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

ห้างสรรพสินค้า / ตลาด

  • ตลาดสดคลองเตย ~ 350 m.
  • The PARQ ~ 500 m.
  • A Square ~ 650 m.
  • Big C Extra พระราม 4 ~ 700 m.
  • Tesco Lotus พระราม 4 ~ 800 m.
  • K Village ~ 900 m.
  • สวนเพลิน มาร์เก็ต พระราม 4 ~ 1.1 km.
  • NiHonMaChi ~ 1.2 km.
  • Emporium ~ 1.6 km.
  • Emquartier ~ 1.8 km.
  • One Bangkok ~ 2.1 km.
  • Terminal 21 ~ 2.4 km.

โรงพยาบาล

  • รพ.เมดพาร์ค ~ 650 m.
  • รพ.สวนเบญจกิติเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา ~ 1.6 km.
  • รพ.กล้วยน้ำไท ~ 3.1 km.
  • รพ.สมิติเวช สุขุมวิท ~ 3.4 km.

โรงเรียน

  • รร.พระหฤทัยคอนแวนต์ ~ 700 m.
  • รร.สายน้ำผึ้ง ~ 1.3 km.
  • ม.กรุงเทพ กล้วยน้ำไท ~ 2.2 km.
  • รร.นานาชาติเวล์ส ทองหล่อ ~ 2.7 km.
  • รร.นานาชาติ ASB Sukhumvit Campus ~ 2.9 km.
  • รร.วัฒนาวิทยาลัย ~ 3.2 km.
  • มศว.ประสานมิตร ~ 3.6 km.
  • รร.นานาชาติบางกอกเพรพ สุขุมวิท 53 ~ 5 km.

สถานที่สำคัญอื่น ๆ

  • MRT ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ~ 450 m.
  • สวนป่าเบญจกิติ ~ 1 km.
  • ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ~ 700 m.
  • ท่าเรือวัดคลองเตยนอก (ท่าโพธิ์ทอง) ~ 2.1 km.
  • สวนลุมพินี ~ 2.2 km.

รายละเอียดโครงการ

Highlights :

  • ผังอาคารออกแบบรูปทรงมาให้ไม่บังวิวกันเอง ทำให้ทุกๆห้องสามารถ Take View สวยๆได้อย่างเต็มที่ โดยจะมีให้เลือกทั้งวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา + พื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้า / วิวสวนเบญจกิติขนาดใหญ่กว่า 300 ไร่ และ City View ในฝั่งตัวเมือง
  • ให้พื้นที่ส่วนกลางมาเยอะมาก เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ โดยจุดที่เป็น Highlight เลยก็คือ Sky Facilities ที่อยู่ติดกัน 4 ชั้นบนสุดของอาคาร ทำให้เราสามารถชมวิวสวยๆได้แบบ 360 องศาเลยครับ
  • ออกแบบส่วนกลางมาได้ตรงคอนเซ็ปต์ Work-Play-Chill-Peace ที่แต่ละฟังก์ชันสามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ในหลายๆอย่างพร้อมกันได้ เพราะทุกๆส่วนของโครงการเราจะแค่มานั่งเล่นก็ได้ หรือจะทำงานก็มีปลั๊กให้เสียบทุกจุด และมีมุมส่วนตัวให้เลือกใช้งานด้วยครับ
  • ส่วนตัวผมชอบบรรยากาศส่วนกลางของโครงการ ที่คิดว่าทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานแบรนด์ Life ในยุคใหม่มากๆ โดยเฉพาะพื้นที่สีเขียวให้มาเยอะทั้งชั้นบนและชั้นล่าง รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และวัสดุที่ใช้ตกแต่งก็ดูหรูหราสมราคามากๆเลยทีเดียว

..ต้องเกริ่นก่อนว่า โครงการนี้ Think of Living เคยรีวิวไปแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน สมัยตอนที่ยังเป็น Sale Gallery กันอยู่เลย ปัจจุบันสร้างเสร็จพร้อมอยู่แล้วเรียบร้อย ซึ่งเป็นหนึ่งในคอนโดแบรนด์ Life ที่ทำออกมาได้สวยงามตรงปกมากๆครับ

และหากเราย้อนกลับไปในสมัยที่โครงการเปิดตัวใหม่ๆ ก็พอดีกับช่วงของ Covid-19 ที่กำลังระบาดอยู่ ดังนั้นทาง AP จึงได้มีการปรับปรุงและพัฒนาฟังก์ชันบางอย่าง ให้เข้ากับการใช้ชีวิตของเราในปัจจุบันมากขึ้นด้วย

ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบ Face Scan เพื่อลดการสัมผัส / การกั้น Partition แยกโซนเครื่องออกกำลังกายเพื่อความเป็นสัดส่วน / การเพิ่มพื้นที่ปลั๊กไฟเพื่อให้นั่งทำงานได้ทุกที่ทุกเวลาสำหรับ WFH เป็นต้น ส่วนรายละเอียดอื่นๆจะมีอะไรน่าสนใจอีกบ้างเราไปชมกันเลยครับ

โครงการ Life Rama4 – Asoke (ไลฟ์ พระราม 4 – อโศก) เป็นคอนโด High Rise สูง 39 ชั้น ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 5-2-7.5 ไร่ และมีเพื่อนบ้าน 1,237 ยูนิต ถือว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่เลยครับ แต่ก็กลายเป็นหนึ่งในโครงการที่จัด Facilities มาให้เยอะเป็นอันดับต้นๆของย่านเลยก็ว่าได้ ซึ่ง Highlight จะอยู่ที่ Sky Facilities 4 ชั้นบนสุด และเราสามารถมองเห็นวิวสวยๆของโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาได้อีกด้วย

สำหรับแนวคิดในการออกแบบคือ ‘Choose Life Choose Everything ..ชีวิตที่ไม่ต้องเลือก’ เพราะโครงการนี้ถูกออกแบบมาให้สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้ในทุกๆมิติ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเลือกเลยครับ เพราะทุกอย่างได้รวมมาอยู่ภายในโครงการนี้หมดแล้ว ได้แก่

  • ทำเลที่อยู่ในกลางเมือง และสามารถเดินทางได้สะดวกหลากหลายเส้นทาง
  • วิวเปิดโล่งที่สวยงามทั้งโค้งแม่น้ำ พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ และ City View
  • Facilities แบบ Work-Play-Chill-Peace ครบทั้งการทำงาน การสังสรรค์ การพักผ่อน และการให้ความสงบเป็นส่วนตัวในเวลาเดียวกันได้
  • แบบห้องพัก ที่มีให้เลือกหลากหลาย ตอบโจทย์คนที่มี Lifestyle แตกต่างกันได้ดี (ถ้านับแบบย่อยๆทั้งโครงการก็จะมี Layout มากกว่า 100 แบบเลยทีเดียว)

ผังโครงการจะมีลักษณะคล้ายรูปตัว L ซึ่งทางโครงการได้จัดให้เป็นพื้นที่สีเขียวบริเวณด้านหน้าขนาดใหญ่ เพื่อใช้เป็นส่วนต้อนรับและให้ความร่มรื่นสวยงาม อีกทั้งยังช่วยเป็น Buffer ป้องกันมลพิษทางฝุ่น/เสียง/ความวุ่นวายต่างๆภายนอก ไม่ให้เข้ามารบกวนพื้นที่ภายในโครงการอีกด้วยครับ

สำหรับ Facilities ชั้น 1 ส่วนใหญ่ก็จะเน้นเป็นพื้นที่ Lobby สำหรับรับรองแขก หรือสามารถมานั่งเล่นพักผ่อน และนั่งทำงานกันได้ ซึ่งจะมีให้ใช้งานกระจายกันอยู่หลายๆจุดเลยครับ โดยจะมีชื่อเรียกและการตกแต่งฟังก์ชันที่แตกต่างกันออกไป ใครชอบมุมไหนก็จับจองกันได้ตามอัธยาศัยเลย

แต่ที่ผมชอบเป็นพิเศษก็คือ Facilities ทั้งหมดจะหันหน้าเข้ารับวิวสวนขนาดใหญ่ที่อยู่ภายนอกด้วยนั่นเอง ทำให้บรรยากาศค่อนข้างสวยงามร่มรื่น และมองเห็นเชื่อมต่อกับธรรมชาติได้ในทุกๆมุมเลยครับ

โดยนี่จะเป็นบรรยากาศของถนนทางเข้าโครงการด้านหน้า ซึ่งจะมีระยะห่างจากถนนใหญ่เข้าไปพอสมควร ทำให้มีความเป็นส่วนตัวไม่วุ่นวายเหมือนด้านนอกครับ

อีกทั้งยังปูพื้นด้วย Concrete Stamp พร้อมปลูกต้นไม้ประดับตลอดทั้ง 2 ข้างทาง ทำให้มีความสวยงามและได้ความสดชื่นดีทีเดียว

ซ้ายมือจะเป็นทางเข้าประตูสำหรับคนเดิน ซึ่งการผ่านเข้า-ออกจะต้องใช้ระบบ Face Scan สำหรับลูกบ้านเท่านั้น เพื่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในการอยู่อาศัยครับ

เมื่อผ่านเข้ามาเราจะเจอกับทางเดินที่ตัดผ่านทั้งมุมน้ำตก และพื้นที่สวนที่เรียกว่า Sylvan Park ซึ่งนอกจากจะมีความสวยงามและร่มรื่นแล้ว ยังเป็นการปรับเปลี่ยนอารมณ์ของผู้พักอาศัย ก่อนที่จะกลับเข้าสู่โครงการได้ดีเลยทีเดียว

ด้านซ้ายมือจะมีพื้นที่นั่งเล่นในสวนที่เป็นม้านั่งรูปทรง Free Form สามารถมานั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้กันได้หลายจุดเลยครับ

ซึ่งทางโครงการปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่มาให้ค่อนข้างเยอะ และถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาเที่ยง-บ่ายๆแบบนี้ ก็ยังคงมีร่มเงาให้เราสามารถมานั่งได้สบายๆตลอดทั้งวันเลยครับ

ต่อจากพื้นที่สวน Sylvan Park จะมีทางเดินเชื่อมต่อมายังอาคารด้านในได้ ซึ่งตรงจุดนี้จะมีทางแยกให้เราเลือกครับ โดยถ้าเราเดินตรงมาก็จะสามารถไปยังส่วนของ Lobby และเข้าไปยังตัวอาคารได้เลย

แต่ถ้าเราเลี้ยวไปด้านซ้ายตามทางเดินต่อ ก็จะสามารถเชื่อมต่อไปยังพื้นที่สวนอื่นๆที่อยู่ถัดไปได้นั่นเองครับ ซึ่งไหนๆเราก็เดินมาดูสวนกันแล้ว ผมก็จะพาเดินไปดูสวนทั้งหมดก่อน แล้วค่อยเข้าไปในอาคารกันทีเดียวนะ

พื้นที่สวนถัดมาจะเป็นโซนให้เราได้นั่งเล่นเป็นซุ้มแบบนี้ครับ ซึ่งก็มีให้เราได้จับจองแยกกันได้ถึง 4 ซุ้มเลย และคั่นกลางด้วยแนวต้นไม้เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว

แต่ละซุ้มจะมีชุดโซฟาตัวใหญ่ที่นั่งกันได้หลายคน หรือเราจะนอนเหยียดขาก็ทำได้สบายๆเลยครับ โดยผมแนะนำให้มาใช้งานตอนช่วงแดดร่มๆหน่อยจะดีกว่า เพราะระแนงไม้จะช่วยบังแดดได้เพียงบางส่วนเท่านั้น

ถัดมาก็จะมีทางเดินในสวนเชื่อมต่อไปยังด้านในอีกโซนหนึ่งได้ ซึ่งบริเวณนี้จะมีร่มเงาเกือบตลอดทั้งวัน เพราะตัวอาคารจะช่วยบังแสงแดดเอาไว้ให้นั่นเองครับ

สำหรับโซนสุดท้ายที่อยู่ด้านในสุดจะมีชื่อเรียกว่า Whispering Lounge เป็นพื้นที่นั่งเล่นและใช้รับรองแขกแบบ Semi-Outdoor เผื่อใครที่ไม่สะดวกพา Visitor เข้าในอาคารให้เสียความเป็นส่วนตัว ก็สามารถมาใช้บริเวณนี้ได้เลยครับ

ซึ่งจุดนั่งเล่นพักผ่อนจะอยู่ในร่มใต้อาคาร สามารถมาใช้งานได้ตลอดทั้งวัน พร้อมเบาะรองนั่งนุ่มๆและโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สดชื่นดีทีเดียว ถือเป็นอีกหนึ่ง Private Zone ที่เหมาะกับคนชอบความเงียบสงบเป็นส่วนตัวมากๆครับ

กลับมาที่ด้านหน้าโครงการอีกครั้ง ซึ่งเราจะพามาดูทางเข้าหลักของรถยนต์กันบ้าง โดยบริเวณด้านหน้าก็จะมีทั้งไม้กั้นกระดก และป้อม รปภ. ตั้งอยู่แบบนี้

โครงการใช้ระบบ KATSAN ที่เป็นมาตรฐานความปลอดภัยจาก AP เข้า-ออกด้วยการสแกนป้ายทะเบียนรถยนต์ LPR (License Plate Recognition)

ซึ่งไม้กั้นกระดกจะเปิดให้อัตโนมัติสำหรับลูกบ้าน ส่วนใครที่เป็น Visitor ก็จะต้องแลกบัตรกับพี่ รปภ. ก่อนตามปกตินะครับ

สำหรับถนนรอบอาคารจะเป็นเส้นทางแบบ One Way เพื่อให้รถสามารถวนกลับออกมาทางเดิมได้สะดวก จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาที่กลับรถด้านใน และไม่ต้องขับสวนทางกันให้อันตรายนั่นเอง

สำหรับจุด Drop-Off จะอยู่บริเวณใต้อาคารพอดี ซึ่งสามารถจอดรถรับ-ส่งลูกบ้านให้เดินเข้าสู่อาคารได้สะดวก แบบไม่ต้องกลัวแดดกลัวฝนเลยครับ และเมื่อเราส่งคนเสร็จแล้วก็สามารถวนรถกลับออกไปทางขวามือต่อได้เลย

แต่ถ้าใครที่เป็นลูกบ้านและมีรถใช้ส่วนตัว ก็สามารถขับตรงต่อมาด้านในโครงการ เพื่อมาขึ้นที่จอดรถที่อยู่ด้านหลังอาคารได้เลยครับ

ซึ่งระหว่างทางก็จะมีทั้งที่จอดรถของ Visitor / ที่จอดรถสำหรับ EV Charger และที่จอดรถมอเตอร์ไซค์เตรียมเอาไว้รอบๆอาคารด้วย

ทางลาดของชั้นจอดรถจะเป็นเลนแบบขับสวนทางกัน ดังนั้นเวลาใช้งานจริงก็อาจต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษกันสักนิดด้วยนะครับ โดยเฉพาะบริเวณทางโค้งที่เป็นจุดอับสายตาในแต่ละชั้น

ส่วนบนชั้นจอดแต่ละชั้นก็จะมีประตูทางเข้าโถงลิฟต์แบบนี้ด้วย ทำให้เราสามารถจอดรถแล้วขึ้นห้องพักได้สะดวกเลย โดยประตูลิฟต์จะต้องใช้ระบบ Face Scan สำหรับลูกบ้านเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยในการอยู่อาศัยครับ

กลับมาที่ Drop-Off ด้านหน้าอีกครั้ง ซึ่งเราจะเห็นว่ามีฟังก์ชันของ Facilities แยกออกไป 2 ทาง ซึ่งผมจะพาไปดูทางด้านขวามือกันก่อนนะครับ

สำหรับพื้นที่ส่วนนี้คือ The Parlour ใช้สำหรับนั่งเล่นพักผ่อนหรือรับรองแขกได้ครับ โดยจะมีจุดให้ใช้งานอยู่ 3 ส่วนหลักๆคือ โซฟา / โต๊ะประชุมขนาดใหญ่ และ Love Seat ที่นั่งหันหน้าชมวิวสวนที่อยู่ด้านนอกได้

ส่วนอีกด้านหนึ่งของห้องจะมีทางแยกออกไปยังห้องน้ำได้ครับ

โดยห้องน้ำจะมีแยกชาย-หญิงให้ใช้งานได้สะดวกแบบนี้เลย ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปใช้งานที่จุดอื่นไกลๆให้เหนื่อยครับ

นอกจาก The Parlour ที่เป็นห้องหลักแล้ว บริเวณข้างๆกันก็จะมี Smart Locker ให้ใช้สำหรับฝากสิ่งของแบบนี้ได้ด้วยนะครับ

ซึ่งลูกบ้านสามารถมารับของที่ฝากเอาไว้ได้ตลอด 24 ชม. (เหมาะกับคนที่ไม่ว่างมารับของในเวลาทำการของนิติ) โดยใช้รหัสผ่านที่ตู้จะส่งให้ทาง Application นั่นเอง

ฝั่งตรงข้าม (หรือทางด้านซ้ายของ Drop-Off) จะเป็นห้องกระจกอีกหนึ่งฟังก์ชันที่ชื่อว่า Play Fulness Bar โดยผมขออธิบายเรื่องของการ Access ผ่านประตูเพิ่มเติมสักนิดนึงนะครับ

เพราะทุกฟังก์ชันของพื้นที่ส่วนกลางจะต้องใช้ระบบ Face Scan ในการผ่านเข้า-ออกทุกครั้ง ทั้งนี้ไม่ใช่แค่ความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยที่มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการสัมผัสของลูกบ้าน และป้องกันคนปล่อยเช่า Airbnb ในคอนโดด้วย

เพราะคนที่จะใช้ระบบ Face Scan ได้ก็จะต้องเป็นเจ้าของห้อง หรือผู้พักอาศัยจริงที่ได้ลงทะเบียนเอาไว้แล้วเท่านั้น จะไม่สามารถเปลี่ยนหน้าไป-มาได้บ่อยๆ แบบห้องพักรายวันหรือโรงแรมได้นั่นเองครับ

สำหรับ Play Fulness Bar ก็เปรียบเสมือน Grand Lobby ที่มีขนาดพื้นที่ภายในที่ใหญ่มากๆ โดดเด่นด้วยชุดโคมไฟระย้ากลางห้องสวยงาม

นอกจากนี้ยังมีการแบ่งโซนนั่งเล่นกระจายอยู่หลายจุด และแยกออกจากกันเป็นส่วนตัวเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นโซน Sunken แบบนั่งล้อมวงชิลๆ / โซนชุดโซฟาที่แบ่งเป็น 2 ล็อกตามช่วงเสาเพื่อความเป็นส่วนตัว / โซนโต๊ะเก้าอี้ที่นั่งแบบจริงจังเป็นกลุ่ม

แต่จุดที่เป็น Highlight หลักของห้องนี้เลยก็คือ โซนของโซฟาแบบ Love Seat ที่นั่งหันหน้าออกไปรับวิวสวนที่อยู่ด้านนอกแบบนี้นั่นเองครับ ซึ่งเราสามารถชมวิวพื้นที่สีเขียวได้แบบ Panorama 180 องศาเลยทีเดียว

นอกจากนี้ในจุดนั่งเล่นแต่ละจุดก็จะมีปลั๊กไฟเตรียมเอาไว้ด้วย ซึ่งทำให้เราสามารถเสียบสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ / Ipad / Notebook เพื่อนั่งทำงานได้สบายๆทุกที่เลยนั่นเอง

สำหรับใครที่เป็น Visitor หรือบุคคลภายนอกที่ไม่สามารถใช้ระบบ Face Scan เพื่อเข้าไปยังฟังก์ชัน Indoor ต่างๆได้ ก็จะมีพื้นที่เตรียมเอาไว้ให้ใช้นั่งพักคอยอยู่อีกจุดหนึ่ง ซึ่งจะต้องเดินเลียบไปตามทางด้านขวาของ Play Fulness Bar แบบนี้ครับ

และเมื่อเราเลี้ยวซ้ายตามทางเดินมา ก็จะเจอกับ Semi-Outdoor Lobby ที่อยู่ตรงกลางอาคารแบบนี้นั่นเอง

(ซึ่งตรงจุดนี้ส่วนตัวผมมองว่าใช้งานยากไปสักหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Visitor ที่มาโครงการนี้ครั้งแรก เพราะเค้าอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีจุดให้มานั่งคอยตรงนี้ หรือจะต้องเดินมายังไงก่อน เพราะทางเดินค่อนข้างลึกลับ และเข้าถึงยากพอสมควรเลย แนะนำให้ทำป้ายบอกทางให้ชัดเจนมากกว่านี้ ก็จะช่วยได้นะครับ)

โดยพื้นที่บริเวณนี้จะเป็นชุดโซฟาขนาดใหญ่ สามารถใช้เป็นจุดนั่งพักคอยของ Visitor เพื่อรอให้ลูกบ้านลงมารับได้ครับ ซึ่งชื่อของฟังก์ชันนี้คือ The Green Court

เพราะเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับสวนที่อยู่ด้านข้างก่อนหน้านี้ได้นั่นเอง และเราสามารถมองชมวิวสวน + รับลมเย็นๆที่พัดผ่านช่องของอาคารได้สบายๆด้วยครับ

บริเวณด้านขวาของ The Green Court ติดกับประตูทางเข้าอีกทางของ Play Fulness Bar ที่เราเพิ่งไปชมกันก่อนหน้านี้ จะมีทางเข้าโถงลิฟต์เพื่อขึ้นอาคารด้วยครับ

โดยการที่จะเข้าไปในโถงลิฟต์และใช้งานลิฟต์ได้นั้น ก็จำเป็นที่จะต้องใช้ระบบ Face Scan ก่อนเช่นเดิม เพื่อความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยในการอยู่อาศัย

ส่วนทางด้านซ้ายของ The Green Court ก็จะมีประตูกระจกของอีกฟังก์ชันหนึ่งแยกออกไปด้วยแบบนี้

ภายในคือ The Reception เป็นห้องรับรองแขกและใช้เป็นห้องมาติดต่อธุระต่างๆ ซึ่งปกติก็จะมีเจ้าหน้าที่อาคาร/นิติบุคคล คอยนั่งประจำการอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

สามารถมาติดต่อรับจดหมาย รับพัสดุ หรือแจ้งซ่อมต่างๆได้ที่นี่เลยครับ (ปัจจุบันใช้เป็นสำนักงานขายของ AP อนาคตถ้าปิดการขายแล้วก็จะคืนพื้นที่ให้กับลูกบ้านตามปกติ)

ส่วนทางด้านในก็จะมี Mail Box ให้เราสามารถเดินมารับจดหมายต่างๆด้วยตัวเองได้ครับ ซึ่งจะเป็นระบบดิจิทัลที่ต้องใช้ Key Card ในการเปิดตู้เพื่อความปลอดภัย

ถัดจาก The Green Court และ The Reception จะเป็นทางเดินที่เชื่อมต่อมายังโถงลิฟต์ที่ 2 อีกจุดหนึ่งได้ พร้อมกับมีห้องน้ำและฟังก์ชันส่วนกลางอื่นๆให้ใช้งาน โดยผมจะพาไปชมห้องกระจกที่อยู่ทางด้านซ้ายมือของโถงลิฟต์กันต่อเลยครับ

ฟังก์ชันนี้เรียกว่า The Green Tunnel เป็นพื้นที่ให้เราสามารถมานั่งเล่นพักผ่อน และพบปะเพื่อนๆกันได้ โดยจะมีชุดโซฟานั่งเล่น 2 ชุดให้ใช้งาน อีกทั้งยังมีทางเดินเชื่อมต่อไปยังโซนถัดไปด้านใน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับอุโมงค์เหมือนชื่อฟังก์ชันเลยครับ

พื้นที่นั่งเล่นที่อยู่ด้านในจะเป็นโซฟายาวและโต๊ะเก้าอี้ ซึ่งเป็นจุดที่ค่อนข้างเหมาะกับการนั่งทำงานชิลๆมากครับ อีกทั้งเรายังสามารถชมวิวพื้นที่สีเขียวที่อยู่ภายนอกได้ด้วย โดยฟังก์ชันนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ห้องย่อยนะ เพื่อให้มีความเป็นส่วนตัวในการใช้งานมากขึ้น

ส่วนด้านในสุดจะเป็นห้อง Meeting Room ที่กั้นด้วยประตูกระจกแยกจากฟังก์ชันอื่นๆ ภายในมีโต๊ะให้นั่งประชุม/ทำงานร่วมกัน พร้อมหน้าจอทีวีขนาดใหญ่ให้ใช้งาน

โดยห้องนี้จำเป็นจะต้อง Booking กับนิติบุคคลก่อนเพื่อความเป็นส่วนตัว (สรุปแล้ว The Green Tunnel ก็จะมีฟังก์ชันให้ใช้งานแบ่งออกเป็น 4 ห้องย่อยภายในนั่นเองครับ)

สุดท้ายคือฟังก์ชัน Chill Out Lab จะเป็นห้องกระจกทรงกลมที่อยู่บริเวณหน้าโถงลิฟต์ที่ 2 และหน้าห้อง The Green Tunnel ซึ่งภายในจะเป็นที่นั่งเล่นชิลๆแบบถุง Bean Bag พร้อมกับสามารถชมวิวรอบตัวได้แบบ 360 องศาเลยทีเดียว

แปลนชั้น 9 ขึ้นไปจะเริ่มเป็นโซนของชั้นพักอาศัยทั้งหมดครับ โดยแต่ละชั้นจะมีเพื่อนบ้านอยู่เยอะถึง 46 ยูนิต จึงมีการแบ่ง Core Lift ออกเป็น 2 จุด เพื่อกระจายการใช้งานให้ทั่วถึงมากขึ้น รวมแล้วมีลิฟต์ทั้งหมด 7 ตัว และมีอัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 177 : 1 ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างหนาแน่นพอสมควร เวลาใช้งานขึ้น-ลงในช่วงเวลาเร่งด่วนก็อาจต้องมีการรอใช้ลิฟต์กันอยู่บ้างนะครับ

สำหรับห้องพักอาศัยถ้าเป็นห้องไซส์ใหญ่ส่วนมากจะอยู่เป็นห้องมุมอาคาร เหมาะกับคนที่อยู่เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ หรือคนที่ชอบห้องกว้างๆ มีพื้นที่ใช้สอยเยอะๆ แต่ถ้าเป็นห้องไซส์เล็กหรือห้องขนาดเริ่มต้นของโครงการ ก็จะมีตำแหน่งให้เราเลือกหลากหลายทั้ง 4 ด้านเลยครับ ซึ่งแต่ละด้านก็จะมีวิวที่สวยงามโดดเด่นแตกต่างกันไป และรูปทรงของอาคารก็ยังมีการออกแบบให้ไม่บังวิวกันเองอีกด้วย จึงทำให้แต่ละห้องจึงสามารถ Take View ที่ชอบได้เต็มที่ ประกอบด้วย

  • ทิศเหนือ : ส่วนตัวผมชอบห้องทางทิศนี้มากที่สุด เพราะเราสามารถมองเห็นได้ทั้ง City View และพื้นที่สีเขียวของสวนเบญจกิติขนาดใหญ่กว่า 300 ไร่ อีกทั้งยังเป็นทิศที่แดดไม่ค่อยร้อน ซึ่งคนไทยหลายๆคนอย่างเราก็มักจะชอบห้องแบบนี้กันครับ
  • ทิศตะวันออก : ทางด้านนี้จะเป็นวิวที่เปิดโล่ง และได้เป็น City View ไปทางพระโขนง – สุขุมวิท และยังสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้บางส่วนทางขวามือด้วย
  • ทิศตะวันตก : ทางด้านนี้ก็จะเป็น City View ที่มีความเจริญมากที่สุด เพราะจะหันไปทางสีลม-สาทร / จุฬา-สามย่าน รวมถึงยังมองเห็นทางด่วนสวยๆตอนกลางคืน และอนาคตก็จะเห็นตึก One Bangkok ได้ด้วย แต่ถ้าเป็นชั้นล่างๆหน่อยก็อาจมี FYI Center + The PARQ บังอยู่ในระยะที่ไม่ได้ประชิดมากนัก
  • ทิศใต้ : เป็นอีกหนึ่งด้านที่ถือว่าเป็น Highlight ของโครงการเลยก็ว่าได้ครับ เพราะเราจะสามารถมองเห็นโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา และพื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้าได้ โดยทางเซลล์เล่าให้ฟังว่า ทิศนี้ค่อนข้างได้รับความนิยมในหมู่ชาวต่างชาติอย่างมาก แต่ถ้าเป็นคนไทยก็อาจห่วงเรื่องความร้อนของแดด ที่จะส่องเข้าห้องในตอนกลางวันอยู่บ้างนั่นเองครับ

พาแวะมาดูบรรยากาศของโถงลิฟต์และ Corridor บนชั้นพักอาศัยกันสักหน่อยครับ ซึ่งก็จะตกแต่งแบบเรียบง่ายสวยงามดี และเนื่องจากโถงทางเดินมีความยาวค่อนข้างมาก ถึงต้องมีการเปิดไฟส่องสว่างช่วยตลอดเวลาแม้จะเป็นตอนกลางวันแบบนี้ก็ตาม

แต่สิ่งที่น่าสนใจในการออกแบบก็คือ บริเวณกลางอาคารจะมีช่องหน้าต่างบานเล็กอยู่จุดหนึ่ง ซึ่งตรงใต้หน้าต่างจะมีการเจาะช่องอากาศและปิดด้วยตะแกรงเหล็กมีรูแบบนี้

เพื่อเป็นการระบายอากาศให้มีลมไหลเวียนพัดผ่านอยู่ตลอดเวลา ทำให้บรรยากาศของ Corridor รู้สึกโปร่งโล่งและไม่อับเลยนั่นเอง ถือเป็นการออกแบบ Ventilation ที่โอเคมากๆเลย

แปลนชั้น 15 – 24 ลักษณะจะเหมือนกับแปลนชั้นก่อนหน้านี้เลยครับ แต่จะมีความแตกต่างตรงห้องมุมที่เป็นห้องไซส์ใหญ่มากขึ้น (กรอบสีแดง) หากใครสนใจห้องในตำแหน่งเดียวกันนี้ และต้องการห้องที่กว้างขวางมากขึ้นกว่าเดิม ก็สามารถมองดูห้องชั้นเหล่านี้เป็นตัวเลือกกันดูได้นะครับ

แปลนชั้น 25 – 32 จะเป็นห้องพักชั้นพิเศษที่เริ่มเป็นห้องแบบ Vertiplex  หรือห้องฝ้าเพดานสูง 4.4 m. นั่นเองครับ (ปัจจุบัน Sold Out ไปแล้ว) และจะมีห้องในกรอบสีน้ำเงินที่จะได้ความเป็นส่วนตัวสูงที่สุด เพราะไม่มีผนังติดกับเพื่อนบ้านเลยครับ อีกทั้งยังอยู่ในมุมที่สามารถมองเห็นสวนเบญจกิติได้ดีที่สุดอีกด้วย เนื่องจากมีระยะที่เข้าใกล้มากที่สุดของอาคารนั่นเอง

เพิ่มเติมอีกอย่างสำหรับคนที่ชอบวิวสวยๆ เช่น วิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา วิวพื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้า และวิวสวนเบญจกิติ ทางเซลล์แนะนำมาว่าควรเป็นห้องพักตั้งแต่ชั้นประมาณ 24 ขึ้นไปถึงจะได้วิวสวยๆแบบชัดเจนครับ

แต่ถ้าเป็นชั้นที่ไม่สูงมากก็อาจยังคงมองเห็นเป็นวิวแนวราบและชุมชนหนาแน่นข้างเคียงแทน หรือถ้าใครที่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องวิวในห้องมากนัก เพราะกลับถึงบ้านมาก็มืดแล้ว ก็สามารถซื้อคอนโดชั้นล่างๆที่มีราคาจับต้องได้ง่ายกว่า แล้วค่อยขึ้นไปชมวิวที่ชั้น Sky Facilities ก็ได้เช่นกัน

แปลนชั้น 36 และ 37 จะมีความพิเศษตรงที่ Facilities ของทั้ง 2 ชั้นจะมีบันไดทางเดินเชื่อมต่อถึงกันได้ และมีห้องพักบางส่วนอยู่ทางฝั่งของชั้น 36 เพียง 12 ยูนิตเท่านั้น ถือว่าเป็นชั้นที่มีความเป็นส่วนตัวของเพื่อนบ้านร่วมชั้นมากที่สุดในโครงการเลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดเล็กๆน้อยๆของการใช้งานลิฟต์โดยสารนิดนึง คือถ้าเราจะขึ้นมาที่ชั้น 36 ก็จะต้องใช้โถงลิฟต์ที่ 1 แต่ถ้าเราจะขึ้นมาที่ชั้น 37 ก็จะต้องใช้โถงลิฟต์ที่ 2 เท่านั้น (เนื่องจากชั้นที่หายไปในแต่ละโถงลิฟต์ จะเป็นชั้นของงานระบบพื้นที่ส่วนกลางครับ)

สำหรับ Facilities ของชั้นที่ 36 จะประกอบด้วย The Circular Lounge และ Sky Studio ซึ่งเป็นพื้นที่แบบ Indoor ในห้องแอร์เย็นๆ ให้เราได้ขึ้นมานั่งเล่นพักผ่อน หรือนั่งทำงานอ่านหนังสือได้ตลอดทั้งวัน ส่วนชั้น 37 จะเป็นพื้นที่สีเขียว + พื้นที่นั่งเล่นแบบ Semi-Outdoor เหมาะกับคนที่อยากรับลมเย็นๆในวันที่อากาศดีๆครับ

ผมขอพามาเริ่มจาก Facilities บนชั้น 37 กันก่อนเลยครับ ซึ่งพอเราออกมาจากโถงลิฟต์แล้วก็เลี้ยวมาทางซ้ายมือ จะเป็นโถงทางเดินเชื่อมต่อไปยัง The Common ที่เป็นพื้นที่สีเขียวแบบ Semi-Outdoor บนอาคารชั้นสูงๆแบบนี้

รวมถึงยังมีพื้นที่นั่งเล่นแบบขั้นบันไดต่างระดับที่เรียกว่า Amphitheater หรืออัฒจันทร์ ซึ่งเราสามารถชมวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา และพื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้าได้สบายๆเลยครับ

และถ้าเราเดินมาจนถึงสุดอาคารก็จะเจอกับพื้นที่ที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่ง เรียกว่า Observation ซึ่งจะต้องเดินขึ้นบันไดต่างระดับไปอีกนิดหน่อยครับ

ด้านบนจะมีลักษณะเป็นพื้นที่นั่งเล่นวงกลมล้อมรอบต้นไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งเราก็สามารถมานั่งห้อยขาเพื่อชมวิวเพลินๆได้ และผมคิดว่าเป็นมุมที่สามารถมาถ่ายรูปสวยๆได้เลย

กลับมาที่บริเวณหน้าโถงลิฟต์ที่ 2 กันอีกครั้ง ต่อไปเราจะเดินเชื่อมต่อไปยังชั้น 36 กันครับ ซึ่งจะต้องเดินผ่านพื้นที่สีเขียวที่ปลูกอยู่บนอาคารแบบนี้

บริเวณนี้เป็นจุดที่ส่วนตัวผมชอบมากที่สุดในโครงการเลยครับ เพราะเราจะได้ทั้งชมวิวมุมสูงไปด้วย และยังได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดแบบนี้ไปด้วย ซึ่งปกติเราไม่ค่อยเห็นโครงการไหนปลูกต้นไม้ใหญ่เรียงเป็นแนวบนอาคารสูงๆแบบนี้สักเท่าไหร่ครับ

และเมื่อเดินมาจนสุดทางก็จะเจอกับบันไดที่เดินเชื่อมต่อไปยังชั้น 36 ได้ครับ ซึ่งระหว่างทางก็จะเป็นผนังกระจกตลอดเส้นทาง ทำให้เราสามารถชมวิวเพลินๆไปด้วยได้ และให้อารมณ์เหมือนเรากำลังเดินผ่านทางเดินเชื่อมตึกเลยครับ (แต่จริงๆแล้วก็อยู่บนอาคารเดียวกันเนี่ยแหละ)

ระหว่างทางเราจะเจอกับห้องน้ำแยกชาย-หญิงด้วยครับ ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมาใช้งานร่วมกันได้ระหว่าง Facilities ทั้ง 2 ชั้น จึงมีความสะดวกมากขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปใช้ห้องน้ำที่ชั้นอื่นนั่นเอง

และเมื่อเราเดินเชื่อมมายังอีกด้านของชั้น 36 ก็จะเจอกับ Facilities อีก 2 ฟังก์ชันคือ The Circular Lounge และ Sky Studio

โดยห้อง Sky Studio จะแบ่งออกเป็น 2 ห้องเล็กๆครับ ซึ่งจะมีการจัดฟังก์ชันภายในที่แตกต่างกันออกไป และการใช้งานก็จะต้อง Booking ก่อนทุกครั้งเพื่อความเป็นส่วนตัว ประกอบด้วย

  1. ห้องที่มีโต๊ะเก้าอี้ขนาดใหญ่แบบจริงจัง เหมาะที่จะใช้นั่งทำงานกลุ่ม หรือจัดประชุมแบบส่วนตัวได้ ซึ่งภายในห้องจะมีหน้าจอทีวีขนาดใหญ่ และกระดานบนผนังกระจกให้เราได้ขีดเขียนได้ด้วย
  2. ห้องที่มีชุดโซฟาสำหรับนั่งชิล เหมาะกับกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น นัดเพื่อนๆมา Private Party หรือดูหนัง/ดูซีรีส์/ดูบอลร่วมกันได้นั่นเอง

ถัดมาคือ The Circular Lounge หรือถ้าพูดง่ายๆก็คือ Sky Lounge ที่มีขนาดใหญ่ และเราสามารถชมวิวได้ 3 ด้านแบบ 180 องศาเลยครับ

ภายในมีการกระจายพื้นที่นั่งเล่นเอาไว้หลายจุด ซึ่งแต่ละด้านก็จะมองเห็นวิวที่แตกต่างกันออกไป ประกอบด้วย

  • ชุดโซฟานั่งเล่นแบบ Private Love Seat สำหรับ 2 คน ซึ่งหันหน้าไปชมวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา และพื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้าได้แบบเต็มๆ
  • ชุดโซฟาสีแดงขนาดใหญ่ตรงกลางห้อง เหมาะกับการนั่งเล่นเป็นกลุ่มใหญ่หลายคน สามารถชม City View สวยๆที่อยู่ทางสีลม-สาทรได้ครับ
  • ชุดโต๊ะเก้าอี้แบบ 5 – 6 ที่นั่ง เหมาะที่จะนั่งทำงานอ่านหนังสือจริงจังได้ โดยทิศนี้เราจะสามารถมองเห็น City View และสวนเบญจกิติได้อีกด้วย

แปลนชั้น 38 ถือเป็นอีกหนึ่งชั้น Main Facilities หลักของโครงการ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นฟังก์ชันแบบ Active Zone ออกกำลังกายทั้งหมดเลยครับ ประกอบด้วย Fitness และ Swimming Pool ที่ยาวรวมกันกว่า 50 m. รวมถึงยังมีโซนให้นั่งเล่นพักผ่อนกระจายอยู่รอบๆสระด้วยครับ ซึ่งฟังก์ชันทั้ง 2 โซนนี้จะถูกเชื่อมต่อด้วยสะพานลอยฟ้า ให้สามารถเดินผ่านพื้นที่สวนบนชั้น 37 ก่อนหน้านี้ด้วยนั่นเอง ของจริงจะเป็นอย่างไรบ้างเราไปชมกันเลย

ขอเริ่มจากโซนของ Fitness ที่ภายในมีขนาดค่อนข้างใหญ่ และมีอุปกรณ์เครื่องเล่นหลายชุดมาก ทำให้ลูกบ้านสามารถมาใช้งานพร้อมกันกว่า 10 คนได้สบายๆ โดยจะแบ่งโซนเครื่องเล่นออกเป็น 3 โซนหลักๆ ตามประเภทของกิจกรรมและการใช้งานครับ

อย่างโซนของ Cardio จะมีลู่วิ่งและเครื่องปั่นจักรยานที่หันหน้าออกไปรับวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา และพื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้าได้แบบเต็มๆเลยครับ

แต่สิ่งที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ ระหว่างเครื่องเล่นแต่ละตัวจะมี Partition กระจกกั้นอยู่ ซึ่งช่วยทำให้มีความเป็นสัดส่วน และยังป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค/ไข้หวัดต่างๆได้อีกด้วย

ถัดมาจะเป็นห้อง Skill Bike ที่ภายในจะมีเครื่องปั่นจักรยาน พร้อมหน้าจอทีวีที่ฉายภาพอนิเมชั่นจำลองเหมือนว่าเรากำลังเล่นเกมส์ หรือปั่นจักรยานอยู่ภายนอกได้นั่นเอง แน่นอนว่าห้องนี้ก็จำเป็นที่จะต้อง Booking มาก่อน เพื่อความเป็นส่วนตัวในการใช้งานครับ

ด้านในสุดจะเป็น The Muscle Factory Panoramic Fitness ซึ่งเป็นโซนที่มีประตูกระจกกั้นแยกจากโซนอื่นๆออกมาอย่างเป็นสัดส่วน และทำให้สามารถใช้งานแยกกันได้แบบไม่รบกวนกัน โดยภายในก็มีอุปกรณ์สร้างกล้ามเนื้อให้ใช้งานครบครันมาก เหมาะกับคนที่ชอบ Weight Training เป็นประจำครับ

และนอกจากวิวของแม่น้ำ + City View รอบๆโครงการแล้ว เรายังสามารถมองเห็นต้นไม้และสวนของ Observation บนชั้น 37 ก่อนหน้านี้ในระยะใกล้ได้ด้วยครับ

อีกด้านหนึ่งของอาคารจะมีทางเดินจากโถงลิฟต์ที่ 2 ก่อนหน้านี้ เชื่อมต่อไปยังอาคารอีกฝั่งด้วยสะพานลอยฟ้าที่เราเห็นกันก่อนหน้านี้ครับ

ซึ่งระหว่างทางเราก็จะสามารถชมวิวเมืองแบบนี้ไปด้วยได้ และไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยเลยครับ เพราะราวกันตกนี้ค่อนข้างสูงจนเกือบถึงประมาณช่วงศีรษะเลยทีเดียว

ส่วนวิวทางด้านในก็จะเป็นพื้นที่สวน The Common ของชั้น 37 ก่อนหน้านี้นั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งมุมที่สวยและน่ามาถ่ายรูปเช็คอินมากๆครับ

เดินตรงต่อมาตามทางเดินเรื่อยๆ ผ่านโถงทางเดินกระจกเหมือนกับชั้นล่างก่อนหน้านี้ ก็จะสามารถเชื่อมต่อไปยังโซนของสระว่ายน้ำได้แบบนี้เลย

สระว่ายน้ำจะเป็นแบบกลางแจ้ง และมีความยาวรวมกว่า 50 m. โดยจะแบ่งโซนออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ ประกอบด้วย Kid’s Pool / Lab Pool และ Jacuzzi

เริ่มจากโซนแรก Kid’s Pool จะเป็นสระน้ำตื้นที่อยู่ใกล้จุดพื้นที่นั่งเล่นที่เป็นโซฟาตัวใหญ่ เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถมานั่งดูแลน้องๆได้อย่างใกล้ชิด หรือถ้าใครมีเพื่อนมากันหลายๆคน ก็สามารถมานั่งเล่นได้นะครับ

ทางด้านขวาของสระจะเป็น Shower ให้ล้างตัว และมีโถงทางเดินเชื่อมต่อไปยังห้องน้ำแยกชาย-หญิง และโถงลิฟต์ที่ 1 ได้ครับ

เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ และอาจมีลูกบ้านมาใช้งานส่วนกลางหลายคน ทางโครงการจึงได้เตรียมห้องน้ำขนาดใหญ่เอาไว้ เพื่อรองรับการใช้งานให้เพียงพอ

ประกอบด้วย โถสุขภัณฑ์ ห้องอาบน้ำ และตู้ล็อคเกอร์ ส่วนห้องน้ำชายจะมีฟังก์ชันพิเศษเป็น Steam และห้องน้ำหญิงจะเป็น Sauna นะครับ

ถัดมาเราจะไปดูพื้นที่ส่วนอื่นๆของสระว่ายน้ำกันต่อเลยครับ ซึ่งโถงทางเดินหรือ Pool Deck จะมีการตกแต่งด้วยผนังลายกระเบื้องหินอ่อน ที่ทำเป็นซุ้มประตูทรงโค้งสวยงาม ถือเป็นอีกหนึ่ง Highlight ที่หลายๆคนเห็นแล้วก็อยากมาถ่ายรูปเช็คอินกันมากๆ

ด้านซ้ายมือจะเป็น Day Bed ในบริเวณสระน้ำตื้น ซึ่งนอกจากเราจะสามารถมานั่งพักผ่อนแช่เท้าเพลินๆได้แล้ว ยังสามารถชมวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา และพื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้าได้แบบเต็มๆอีกด้วย

อีกด้านหนึ่งจะเป็นพื้นที่นั่งเล่นแบบในร่ม ซึ่งเราสามารถมานั่งรับลมเย็นๆได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งจะมานั่งชิลหรือนั่งทำงานก็เหมาะครับ

แต่ที่ชอบอีกอย่างคือ ทางด้านนี้เราจะสามารถมองเห็น City View และสวนเบญจกิติขนาดใหญ่กว่า 300 ไร่ได้อีกด้วย ใครที่ห้องพักอาจอยู่ชั้นที่ไม่สูงมากนัก และอยากเห็นวิวชัดๆ ก็สามารถขึ้นมาชมที่ Sky Facilities ด้านบนนี้ได้นะครับ

ส่วนอีกด้านของสระว่ายน้ำจะเป็นโซนที่ 3 คือ Jacuzzi Pool

ความน่าสนใจของโซนนี้คือ จะมีฟังก์ชันให้เราเลือกใช้งานได้ถึง 6 ฟังก์ชันเลยครับ แต่โดยหลักๆก็จะเป็นจุดให้เราได้มานั่งเล่นแช่น้ำ และพักผ่อนแบบชิลๆ

รวมถึงยังมีระบบ Hydro Jet ที่ช่วยนวดตัวเพื่อความผ่อนคลายได้อีกด้วย ซึ่งเค้าก็จะมีปุ่มควบคุมแรงดันน้ำด้วยตัวเองอยู่ข้างๆสระ ให้เราได้ปรับตามความชอบได้เลยครับ

สุดทางเดินจะมีบันไดให้สามารถเดินเชื่อมต่อลงไปยังด้านล่างสระว่ายน้ำได้ด้วย

บริเวณนี้จะเรียกว่า Sundown Terrace เป็นจุดที่เราสามารถลงมาชมวิว ถ่ายรูป และนั่งเล่นดูพระอาทิตย์ตกดินได้ครับ

โดยจุดนั่งเล่นจะเป็นพื้นที่ใต้สระว่ายน้ำ พร้อมกับมีปลั๊กไฟให้เสียบชาร์จแบตได้ทุกจุดเลย ซึ่งเราสามารถมานั่งชมวิวโค้งแม่น้ำและพื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้าได้แบบ Panarama เต็มๆตา แต่แนะนำให้มาในช่วงแดดร่มๆหน่อยนะดีกว่าครับ เพราะพื้นกระเบื้องค่อนข้างร้อนอยู่เหมือนกัน

แปลนชั้น 39 จะเป็นส่วนของดาดฟ้าหรือ Roof top ที่เราสามารถขึ้นมาเดินเล่นและชมวิวมุมสูงของโครงการได้แบบ 360 องศากันเลยทีเดียว โดยจะแบ่งออกเป็น 2 โซนหลักๆ และตรงกลางจะเป็นลานจอดเฮลิคอปเตอร์ครับ

เริ่มจากโซนแรกจะเป็นจุดที่ได้แรงบันดาลใจมาจากทุ่งหญ้าบนภูเขา ซึ่งจะเป็นทางลาดลงไปทั้ง 2 ข้างทาง เหมือนเรากำลังเดินอยู่บนสันของภูเขาเลยครับ

นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ให้เราได้มานั่งเล่น และชมวิวกันได้แบบนี้ด้วย โดยจะมีอยู่ทั้งหมด 4 จุดทั้ง 2 ด้าน และมีระยะห่างเป็นส่วนตัวจากกันพอสมควร ใครชอบวิวไหนมุมไหนก็จับจองกันได้เลย

ถัดมาจะเป็นบันไดที่เดินเชื่อมต่อมายังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายควบคุมอาคารสูง เพื่อความปลอดภัยเวลาเกิดเหตุไม่คาดฝันในอนาคต เช่น รับ-ส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน หรือเป็นทางหนีไฟสำหรับอพยพ เป็นต้น

โดยนอกจากจุดจอดที่เป็นพื้นปูนแล้ว ทางโครงการก็จะปูเป็นพื้นหญ้าตกแต่งให้เพื่อความสวยงาม อีกทั้งยังช่วยลดความร้อนเวลาที่มีลูกบ้านเดินผ่านไป-มาได้อีกด้วย

และเมื่อเราเดินมาจนถึงอีกด้านหนึ่งของอาคาร ก็จะมีทางลาดที่นำไปสู่พื้นที่สวนแบบขั้นบันได เพื่อให้เราสามารถขึ้นมาชมวิวได้แบบนี้

(สำหรับใครที่เป็นผู้สูงอายุ หรือคนที่ต้องใช้รถเข็นก็สามารถขึ้นมาได้ ตรงจุดนี้ผมมองว่าดี เพราะหลายๆโครงการพื้นที่บนดาดฟ้าจะไม่ค่อยมีฟังก์ชันที่ซัพพอร์ตเรื่องนี้สักเท่าไหร่ครับ)

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

ชั้น G

  • Sylvan Park
  • The Parlour
  • Play Fulness Bar
  • The Green Court (Semi-Outdoor Lobby)
  • The Reception
  • Chill Out Lab
  • The Green Tunnel
  • Meeting Room
  • Whispering Lounge

ชั้น 36

  • The Circular Lounge
  • Sky Studio

ชั้น 37

  • The Common
  • Amphitheater
  • Observation

ชั้น 38

  • Swimming Pool & Jacuzzi แบบ 6 ฟังก์ชัน ขนาด 5 x 50 m.
  • Sundown Terrace
  • The Muscle Factory Panoramic Fitness
  • Skill Bike
  • Steam & Sauna

ชั้น 39

  • Rooftop Garden

อื่น ๆ

  • ลิฟต์โดยสาร 7 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ  177 : 1
  • Service Lift 1 ตัว
  • ที่จอดรถประมาณ 40% แบบไม่รวมซ้อนคัน
  • ระบบเข้าออกโครงการแบบสแกนทะเบียนรถ LPR (License Plate Recognition)
  • ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ ระบบ KATSAN / CCTV / Key Card Access / Face Scan

 

แบบห้อง

Highlights :

  • มีแบบห้องให้เลือกเยอะมากกว่า 100 แบบ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของคนที่มี Lifestyle แตกต่างกันได้ดี
  • ฟังก์ชันส่วนใหญ่จะเน้นเป็นครัวเปิด เพื่อความกว้างขวางโปร่งโล่งของพื้นที่ในห้อง
  • ห้องน้ำสามารถเข้า-ออกได้ 2 ทาง ทำให้มีความสะดวกและเป็นส่วนตัวในการใช้งาน
  • ขายแบบ Fully Fitted เหมาะกับคนที่ชอบแต่งห้องด้วยตัวเอง
  • ห้องไซส์ใหญ่มักจะเป็นห้องมุม และมีหน้ากว้างพิเศษ ให้บรรยากาศเหมือนอยู่บ้าน
  • ใช้เป็นห้องน้ำสำเร็จรูป เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีทุกยูนิต และลดปัญหาการรั่วซึมในอนาคต

แบบห้องของโครงการ Life Rama 4 – Asoke มีให้เลือกค่อนข้างหลากหลายเลยครับ รวมถึงยังมีเป็นแบบห้อง Simplex ฝ้าเพดานสูงปกติ 2.6 m. และแบบห้อง Vertiplex ฝ้าเพดานสูง 4.4 m. ให้เลือกด้วย แต่ในปัจจุบันห้อง Vertiplex ได้ Sold Out ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ดังนั้นก็จะเหลือเป็นห้องฝ้าสูงปกติให้เลือก โดยจะแบ่งออกได้เป็น 3 Type หลักๆดังนี้

  • 1 Bedroom ขนาด 26.5 – 32 ตร.ม. (ห้อง Simplex) ราคาเริ่มต้น 3.99 – 4.49 ล้านบาท
  • 1 Bedroom Plus ขนาด 35 – 38 ตร.ม. (ห้อง Simplex) ราคาเริ่มต้น 5.29 ล้านบาท
  • 2 Bedrooms ขนาด 47 – 75 ตร.ม. (ห้อง Simplex) ราคาเริ่มต้น 7.5 ล้านบาท

** รูปแบบการขาย : Fully Fitted ให้เฉพาะชุดครัว Built-in และสุขภัณฑ์ในห้องน้ำ ที่เหลือจะต้องเผื่องบประมาณในการตกแต่งเองด้วยนะครับ

  • 2 Bedrooms ขนาด 65 ตร.ม.

เป็นหนึ่งในตัวอย่างห้องไซส์ใหญ่ของโครงการ ซึ่งจะห้องนี้จะมีให้เลือกตั้งแต่ชั้น 15 – 34 และยังเป็นห้องมุมที่ได้ช่องแสงรับวิว 2 ด้านอีกด้วย โดยจะเป็นห้องหน้ากว้างถึง 10 m. และจัดฟังก์ชันออกมาได้ลงตัวดีมากๆ ให้บรรยากาศเหมือนอยู่บ้านเลยครับ ภาพรวมจะเป็นห้องที่เหมาะกับการอยู่อาศัยเป็นครอบครัวได้สบาย แบบว่ามีลูกสัก 1 คนกำลังดี หรือจะอยู่กับแฟน 2 คน แล้วทำห้องนอนเล็กเป็นห้องอเนกประสงค์ไว้ทำงานก็ได้

จุดเด่นของห้องคือ การจัดผังที่เป็นสัดส่วนดีมาก โดยเราจะได้เป็นครัวปิดด้านหน้าห้อง สามารถทำอาหารจริงจังได้ในระดับหนึ่ง แถมยังมี Common Area ขนาดใหญ่ และยังมีห้องน้ำให้ใช้งานแยกเป็น 2 ห้องอีกด้วย จึงทำให้มีความเป็นส่วนตัวในการใช้งานมากขึ้น และที่ชอบมากๆอีกอย่างคือ Master Bedroom ที่มีขนาดใหญ่ สามารถชมวิวปลายเตียง รวมถึงยังมี Walk-in Closet และมีห้องน้ำเป็นของตัวเองด้วยครับ

เริ่มกันที่ประตูหน้าห้องจะเป็นไม้บานทึบ พร้อมติดตั้ง Digital Door Lock มาให้เป็นมาตรฐาน รวมถึงยังมีช่องตาแมว และ Stopper แม่เหล็กให้ใช้งานด้วย

จุดที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ พื้นในห้องจะมีการยกระดับความสูงขึ้นจาก Corridor ที่อยู่ด้านนอกด้วย จึงช่วยป้องกันเศษฝุ่นต่างๆ ไม่ให้เข้ามาในห้องเราได้นั่นเอง

พื้นที่ส่วนแรกจะเป็นครัวขนาดใหญ่ กว้าง 3.15 x 2.1 m. โดยของจริงก็จะมีการ Built-in ชุดครัวมาให้พร้อมใช้งานแบบนี้เลยครับ และพื้นห้องก็จะเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ เพื่อให้สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย

Top เคาน์เตอร์เป็นหินสังเคราะห์สีขาว ที่ทนความชื้นและความร้อนได้ดี สามารถดูแลรักษาได้ง่าย มาพร้อมอ่างล้างจานแบบ 1 หลุม และ Hob and Hood จาก TEKA แบบดูดลมไปปล่อยข้างนอกให้ใช้งาน ส่วนบริเวณผนังก็จะกรุกระเบื้องเป็น Backsplash มาให้กันเลอะแบบนี้เลยครับ

อีกด้านหนึ่งของจริงจะเป็นพื้นที่โล่งๆ ซึ่งเราสามารถวางเป็นตู้เย็นขนาดใหญ่ และยังเพิ่มตู้เก็บของได้อีก โดยอาจเป็นชั้นวางรองเท้าให้สามารถหยิบใช้งานได้สะดวก และติดเป็นกระจกเงาบานใหญ่ให้ส่องดูความเรียบร้อยก่อนออกจากห้องได้ครับ

ก่อนจะเข้าสู่ภายในห้องส่วนถัดไป จะมีประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอนให้เราสามารถเลื่อนปิดแบบนี้ได้ด้วยครับ ซึ่งจะช่วยป้องกันกลิ่น/ควันจากการทำอาหาร ไม่ให้เข้าไปรบกวนพื้นที่พักผ่อนด้านใน ทำให้สามารถทำครัวได้อย่างจริงจังระดับหนึ่ง

อีกทั้งยังมีส่วนช่วยป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกห้อง ทำให้มีความเงียบสงบเป็นส่วนตัวในการพักผ่อนมากขึ้น แต่ยังทำให้แสงสามารถส่องสว่างเข้ามาได้จนถึงประตูหน้าห้อง จึงมีบรรยากาศที่สว่างโปร่งโล่งดีทีเดียวครับ

เมื่อเข้ามาด้านในเราจะเจอกับฟังก์ชันหลักคือ Common Area ขนาดใหญ่ กว้าง 3 x 4.4 m. และมีการเปลี่ยนวัสดุปูพื้นเป็นไม้ลามิเนต พร้อมกับฝ้าเพดานสูง 2.6 m. เป็นมาตรฐาน

โดยพื้นที่ส่วนนี้เราสามารถแบ่งโซนการใช้งานออกได้เป็น 2 โซนหลักๆ คือบริเวณด้านหน้าสุดจะเป็นจุดวางโต๊ะทานอาหารได้ประมาณ 4 ที่นั่ง ซึ่งจะอยู่ใกล้กับโซนครัวให้ยกอาหารมาเสิร์ฟได้ง่าย และยังสามารถทานอาหารไปและดูทีวีไปได้อีกด้วย

ถัดมาจะเป็นพื้นที่ Living Area สำหรับวางโซฟาดูทีวี โดยระยะดูทีวีจะอยู่ที่ประมาณ 2 m. สามารถใช้ทีวีขนาด 40 – 50 นิ้วกำลังเหมาะนะครับ

จุดเด่นของ Common Area ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ระเบียงขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง ซึ่งนอกจากจะช่วยทำให้บรรยากาศภายในห้องสว่างโปร่งโล่งแล้ว เรายังสามารถชมวิวมุมสูงสวยๆได้อีกด้วย

ระเบียงมีขนาด 4 x 0.8 m. สามารถออกมาใช้งานได้เต็มที่ และด้านข้างจะมี Condensing Unit ซ่อนเอาไว้หลังผนังทึบเรียบร้อย ซึ่งจะเป่าลมร้อนออกไปด้านนอกแบบนี้เลยครับ

สำหรับฟังก์ชันอื่นๆของบ้าน จะมีโถงทางเดินแยกออกไป ทำให้มีความเป็นส่วนตัวจากหน้าห้องและส่วนอื่นๆได้ดีเลยทีเดียว

เริ่มจากทางขวามือจะเป็นห้อง Laundry ที่อยู่หน้าห้องน้ำ ภายในมีขนาด 1 x 1.2 m. สามารถทำเป็นห้องรีดผ้าหรือห้องเก็บของต่างๆได้เต็มที่ รวมถึงในนี้ก็จะมีช่องงานระบบหลักของห้อง ที่ช่างจะใช้เป็นส่วน Service ตรงนี้ได้ด้วยครับ

ติดกันจะเป็นห้องน้ำที่มีฟังก์ชันและสุขภัณฑ์จาก Kohler ครบครัน โดยต้องบอกก่อนนะครับว่าห้องน้ำของคอนโด AP เค้าจะเป็นห้องน้ำสำเร็จรูปที่ผลิตมาจากโรงงาน

ข้อดีคือ จะมีมาตรฐานและคุณภาพที่ดีเท่ากันทุกห้อง รวมถึงยังช่วยลดปัญหาการรั่วซึมของน้ำไม่ให้กระทบเพื่อนบ้านชั้นอื่นๆในอนาคตได้อีกด้วย

แต่สำหรับใครที่ไม่คุ้นเคยกับห้องน้ำแบบนี้ ก็อาจรู้สึกถึงโครงสร้างเบาของผนังอยู่บ้าง แต่จริงๆแล้วมีความแข็งแรงและใช้งานได้ตามปกติเลยครับ

ด้านในสุดจะเป็นพื้นที่อาบน้ำกว้าง 90 x 90 cm. สามารถใช้งานได้แบบพอดีๆ มาพร้อมกับติดตั้งฉากกั้นกระจกนิรภัย Tempered Glass มาให้แบบนี้เลยครับ

ฝั่งตรงข้ามกับห้องน้ำจะเป็นห้องนอนเล็ก ซึ่งภายในมีขนาด 2.9 x 2.9 m. สามารถวางเตียง 5 ฟุต พร้อมกับตู้เสื้อผ้าอีกสักใบได้พอดีๆ ทำให้เหมาะกับครอบครัวที่อาจมีลูกสัก 1 คน ก็สามารถอยู่อาศัยได้สบายๆเลยครับ

หรือถ้าใครไม่มีลูกก็อาจปรับเป็นห้องอเนกประสงค์อื่นๆ เพื่อให้เหมาะกับ Lifestyle ความต้องการของเราก็ได้ เช่น ห้องทำงานส่วนตัว เป็นต้น

นอกจากนี้ตัวห้องยังมีจุดเด่นในเรื่องช่องแสงด้านข้างขนาดใหญ่ และที่ปลายเตียงก็จะมีช่องผนังเว้าเข้าไปให้ทำเป็นมุมนั่งทำงานเล็กๆ หรือจะ Built เป็นตู้เก็บของเพิ่มเติมก็ได้

สุดท้ายจะเป็น Master Bedroom ที่มีขนาดใหญ่และกว้างถึง 5.75 x 3 m. ซึ่งเราสามารถแบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็น 2 โซนหลักๆได้ก็คือ

ทางด้านซ้ายมือจะเป็นพื้นที่วางเตียงนอน มีขนาด 3.1 x 2.4 m. สามารถใช้เตียง 5 – 6 ฟุตได้สบายๆ  แถมปลายเตียงยังมีช่องแสงขนาดใหญ่ให้ชมวิวกันได้ด้วย

อีกด้านหนึ่งจะเป็นโซน Walk-in Closet ขนาดใหญ่ 3 x 2.3 m. สามารถ Built-in ตู้เสื้อผ้าได้เต็มที่ทั้ง 3 ด้านเลยครับ ซึ่งพื้นที่แต่งตัวนี้ก็จะอยู่ติดกับห้องน้ำเลย จึงทำให้สามารถใช้งานต่อเนื่องกันได้สะดวกมากๆ

โดยภายในห้องน้ำก็จะยังคงเป็นห้องน้ำสำเร็จรูป และมีขนาดฟังก์ชันที่เหมือนกับห้องน้ำด้านนอกก่อนหน้านี้เลย แต่เราจะสามารถใช้งานแยกกันได้ จึงทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นนั่นเองครับ

  • 1 Bedroom ขนาด 32 ตร.ม.

เป็นหนึ่งในห้องมาตรฐานที่มีให้เลือกเยอะที่สุดของโครงการ จุดเด่นคือ ห้องนอนที่กั้นด้วยผนังทึบแยกออกจากโซน Common Area จึงทำให้มีความเป็นส่วนตัวที่สูง ซึ่งพื้นที่ภายนอกอย่างโซน Living Area เราก็สามารถใช้รับรองแขกหรือเพื่อนๆได้เต็มที่ โดยไม่ต้องกลัวว่าห้องนอนจะเสียความเป็นส่วนตัวเลยนั่นเอง หรือแม้แต่เวลาที่เราจะดูหนังคนละเรื่องกับแฟน ก็ยังสามารถแยกกันดูคนละห้องได้อีกด้วย

จุดที่ผมชอบอีกอย่างคือ ห้องน้ำที่มีประตูทางเข้า 2 ด้าน จึงทำให้มีความสะดวกในการใช้งานทั้ง 2 พื้นที่ และทำให้ไม่เสียความเป็นส่วนตัวเลยด้วย แต่ในส่วนของครัวเราจะได้เป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับ Living Area อาจไม่เหมาะกับการทำอาหารจริงจังเท่าไหร่นัก แต่ถ้าใครที่ชอบทำอาหารก็อาจกั้นผนังกระจกเพิ่มเติมเองได้นะ โดยแลกกับความโปร่งโล่งของห้องที่อาจลดลงบ้างนิดหน่อย แต่ได้ความเป็นสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นครับ

บริเวณด้านหน้าห้องจะเป็นส่วนของครัวอย่างที่บอกในช่วงแปลนครับ และเป็นครัวเปิดที่เชื่อมต่อกับ Living Area ทำให้มีบรรยากาศโปร่งโล่งและกว้างขวาง โดยเราจะได้ชุดครัวที่ Built-in มาให้แบบนี้เหมือนเดิมเลย

แต่สำหรับใครที่อยากได้ครัวไว้ทำอาหารจริงจัง ก็สามารถกั้นผนังกระจกเพิ่มเติมได้ ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันกลิ่น/ควันของอาหารแล้ว ยังช่วยป้องกันเสียงจากภายนอกห้องได้อีกด้วยครับ

เพียงแต่พื้นจะยังคงเป็นไม้ลามิเนต จึงต้องใช้งานระมัดระวังสักนิดนึง เพราะวัสดุชนิดนี้จะไม่ค่อยถูกกับน้ำหรือความชื้นมากนัก ดังนั้นก็อาจต้องคอยเช็ดทำความสะอาดกันดีๆสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นคราบอาหารและรองเท้าที่เข้า-ออกห้องอยู่ตลอด

ฝั่งตรงข้ามกับเคาน์เตอร์ครัวจะเป็นพื้นที่วางตู้เย็น และมีห้องน้ำให้ใช้งานด้วยครับ แต่ถ้าใครที่มีรองเท้าหลายๆคู่ ก็อาจทำตรงนี้เป็นตู้เก็บรองเท้าไปเลยก็ได้ และย้ายตู้เย็นไปวางจุดอื่นแทน ก็จะช่วยทำให้การใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้นครับ

ถัดเข้ามาตรงกลางห้องจะเป็นพื้นที่วางโต๊ะทานอาหารได้ 2 – 4 ที่นั่ง พอดีๆกับจำนวนผู้พักอาศัย และรองรับแขกได้อีกนิดหน่อย

ถัดเข้ามาจะเป็น Living Area ที่สามารถวางโซฟาตัวใหญ่ๆ และมีระยะดูทีวีกว้าง 2.3 m. สามารถใช้ทีวี 40 – 50 นิ้วได้กำลังพอดี แน่นอนว่าเราสามารถดูทีวีไปและชมวิวภายนอกจากหน้าต่างไปด้วยได้สบายๆ

ส่วนบริเวณริมหน้าต่างก็ยังพอจะมีพื้นที่เหลือ ให้เราทำเป็นมุมนั่งเล่นหรือโต๊ะอเนกประสงค์นั่งทำงานเพิ่มเติมได้ครับ

ต่อมาเราจะเข้าไปดูห้องนอนกันบ้าง ซึ่งอย่างที่เห็นว่าตัวห้องจะกั้นด้วยผนังทึบ และมีประตูบานทึบที่ปิดมิดชิด จึงมีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างมากเลยครับ

ภายในห้องนอนมีขนาด 2.6 x 3.8 m. สามารถวางเตียง 5 ฟุต แล้วยังมีพื้นที่รอบเตียงเหลือ 40 – 50 cm. ให้ใช้งานได้พอดีๆ

นอกจากนี้ยังอยู่ติดกับช่องแสงขนาดใหญ่ที่เป็นระเบียง สามารถนอนชมวิวภายนอกบนเตียง หรือจะนอนดูทีวีที่แขวนอยู่บนผนังปลายเตียงแบบนี้ก็ได้

ระเบียงมีขนาด 2.6 x 0.8 m. สามารถออกมาใช้งานยืนสูดอากาศชมวิวได้สบายๆ ส่วน Condensing Unit จะแขวนอยู่ด้านบนเหนือกรอบประตู ทำให้ไม่เกะกะสายตาและใช้งานพื้นระเบียงได้เต็มที่

อีกด้านหนึ่งของห้องจะเป็นมุมสำหรับแต่งตัว สามารถวางตู้เสื้อผ้าได้สบายๆ อีกทั้งยังมีห้องน้ำให้ใช้งานเป็นส่วนตัวอีกด้วยครับ

ภายในห้องน้ำมีขนาดและฟังก์ชันเหมือนกับห้องน้ำอื่นๆ ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้เลย สามารถใช้งานได้สะดวกพอดีๆ

แต่สิ่งที่เพิ่มเติมมาก็คือ ประตูที่สามารถเข้าได้จาก 2 ทาง ทั้งจากห้องนอนและ Living Area ก่อนหน้านี้ ซึ่งช่วยในเรื่องความสะดวกในการใช้งาน และยังเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับห้องนอนได้อีกด้วย

  • 1 Bedroom ขนาด 28.5 ตร.ม.

เป็นหนึ่งในห้องไซส์เริ่มต้นของโครงการ ที่ลักษณะจะเป็นห้องแบบตอนลึก และค่อนข้างให้ความสำคัญกับโซนของห้องนอนเป็นพิเศษ เพราะจะอยู่ติดกับช่องแสงด้านใน และยังมีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับ Walk-in Closet และมีระเบียง + ห้องน้ำให้ใช้งานได้สะดวกอีกด้วย

ภาพรวมห้องนี้จะเหมาะกับการอยู่อาศัย 1 – 2 คน อาจเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ทำอาหารเป็นประจำ เพราะเราจะได้เป็นครัวเปิด และเป็นคนที่ไม่ค่อยได้รับแขกสักเท่าไหร่นัก เนื่องจากห้องนอนถูกกั้นแค่เพียงประตูกระจก และห้องน้ำจะอยู่ในโซนของห้องนอน ซึ่งต้องเดินผ่าน Walk-in Closet เข้าไปอีก อาจทำให้เสียความเป็นส่วนตัวได้ง่ายนั่นเอง แต่ถ้าใครที่ไม่ติดเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งห้องที่น่าอยู่ดีทีเดียวครับ

Image 1/8

  • 1 Bedroom Plus ขนาด 35 ตร.ม.

ฟังก์ชันจะคล้ายๆกับห้อง 1 Bedroom 32 ตร.ม. ที่เราดูกันไปก่อนหน้านี้เลยครับ เพียงแต่จะมีการกั้นห้องอเนกประสงค์ที่เป็นห้องกระจกเพิ่มเข้ามาตรงบริเวณริมหน้าต่าง จึงเหมาะกับคนที่ต้องการฟังก์ชันพิเศษเพิ่มเติมไว้รองรับ Lifestyle ส่วนตัว เช่น ห้องทำงาน ห้องประชุม หรือห้องเลี้ยงเด็กเล็ก เป็นต้น นอกจากนี้พื้นที่ใช้สอยภายในห้องก็จะกว้างขวางมากขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มเฟอร์นิเจอร์ต่างๆเข้าไปได้อีกสบายๆ เช่น ใช้โซฟาตัวใหญ่ ขยายโต๊ะทานอาหาร เพิ่มโต๊ะแต่งหน้า เป็นต้น

Image 1/5

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

ราคา

Life Rama4 – Asoke (ไลฟ์ พระราม 4 – อโศก) ราคา ณ วันที่ 2 กรกฎาคม 2567

  • 1 Bedroom ขนาด 26.5 – 32 ตร.ม. (ห้อง Simplex) ราคาเริ่มต้น 3.99 – 4.49 ล้านบาท
  • 1 Bedroom Plus ขนาด 35 – 38 ตร.ม. (ห้อง Simplex) ราคาเริ่มต้น 5.29 ล้านบาท
  • 2 Bedrooms ขนาด 47 – 75 ตร.ม. (ห้อง Simplex) ราคาเริ่มต้น 7.5 ล้านบาท

  • รูปแบบการขาย Fully Fitted
  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.6 และ 4.40 เมตร
  • Kitchen & Sink / ท็อปหินสังเคราะห์
  • Hob & Hood / ของยี่ห้อ TEKA
  • ค่าจอง 20,000 บาท
  • ทำสัญญา (สอบถามทางโครงการอีกครั้ง)
  • ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 50 บาท/ตร.ม./เดือน

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ

บทสรุป

ทำเล : โครงการ Life Rama 4 – Asoke ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่พระราม 4 ใกล้กับออฟฟิศและแหล่งงานสำคัญต่างๆมากมาย รวมถึงยังมีความอุดมสมบูรณ์และเดินทางได้สะดวกมากๆ โดยจะอยู่ใกล้ทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานี ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และยังใกล้กับทางด่วนเฉลิมมหานครอีกด้วย ทำให้มีตัวเลือกในการเดินทางที่หลากหลาย เหมาะกับคนที่เน้นใช้ชีวิตในเมืองแถวพระราม 4 / สีลม-สาทร / จุฬา-สามย่าน / เอกมัย-ทองหล่อ / อโศก-เพลินจิต

แต่สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ ‘วิว’ เพราะทำเลตรงจุดนี้สามารถมองเห็นได้ทั้งวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา วิวพื้นที่สีเขียวของบางกะเจ้า วิวสวนเบญจกิติ และ City View สวยๆในตัวเมือง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากในทำเลอื่นๆ และเป็นที่คาดหวังของคนที่สนใจโครงการแห่งนี้มากๆครับ โดยสิ่งที่เราได้เห็นวันนี้หลังจากที่โครงการสร้างเสร็จแล้ว ก็นับว่าตรงปกมากๆ ใครสนใจก็สามารถเข้าไปชมวิวจากห้องจริงกันได้เลยนะ

การเดินทางโดยใช้รถ : ถือว่าสะดวกมากๆครับ โดยเฉพาะคนที่เน้นใช้ทางด่วนจะอยู่ใกล้ทางด่วนฉลองรัชเพียง 1.6 km. เท่านั้น หรือถ้าจะไปทางสุขุมวิทก็ยังมีซอยให้ลัดเลาะได้อีกหลายเส้นทาง ส่วนตัวโครงการจะมีที่จอดรถประมาณ 40% แบบไม่รวมจอดซ้อนคัน ถือว่าไม่มากไม่น้อยสักเท่าไหร่ครับ เนื่องจากทำเลนี้ยังมีระบบขนส่งสาธารณะ อย่างรถไฟฟ้าเป็นอีกตัวเลือกในการเดินทางได้สะดวกด้วยนั่นเอง

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : โครงการตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานี ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในระยะเดินได้ง่ายๆเพียง 450 m. รวมถึงยังสามารถเรียกรถสาธารณะอื่นๆได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่ รถเมล์ และวินมอเตอร์ไซค์

การออกแบบโครงการ : แนวคิดของโครงการคือ ‘Choose Life Choose Everything ..ชีวิตที่ไม่ต้องเลือก’ ซึ่งได้สะท้อนออกมาในการออกแบบ และเราก็ได้เห็นกับตาจริงๆครับ ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่เดินทางได้สะดวกและหลากหลาย ใกล้ทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้า / วิวของห้องที่มีให้เลือกทั้งโค้งแม่น้ำ สวนเบญจกิติ และวิวเมือง / ฟังก์ชันส่วนกลางที่มีมาให้เยอะ และเราสามารถนั่งชิลหรือทำงานได้ทุกจุด / แบบห้องพักอาศัยที่มีให้เลือกเยอะมากกว่า 100 แบบ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ได้มารวมอยู่ภายในโครงการนี้ ตามคอนเซ็ปต์ที่วางไว้แล้วนั่นเอง

โครงการ Life Rama 4 – Asoke ถือว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่มีเพื่อนบ้านเยอะถึง 1,237 ยูนิต และมีอัตราส่วนลิฟต์ที่ค่อนข้างเยอะถึง 177 : 1 แต่ข้อดีของโครงการใหญ่ๆคือ เราจะมีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ให้ใช้งานเยอะขึ้นตามไปด้วยนั่นเองครับ ซึ่งจะกระจายเอาไว้ในหลายๆจุด เพื่อลดความหนาแน่นในการใช้งาน และมีมุมเงียบสงบเป็นส่วนตัวค่อนข้างเยอะ

Highlight ของส่วนกลางคือ Sky Facilities ที่อยู่ 4 ชั้นบนสุดของอาคาร ที่ทำให้เราสามารถชมวิวมุมสูงไปด้วยได้ รวมถึงบรรยากาศที่ตกแต่งออกมาได้ดูหรูหราสมกับแบรนด์ Life ในยุคใหม่ดีทีเดียว นอกจากนี้ตัวอาคารก็ยังมีผังรูปทรงที่ไม่บังวิวกันเองอีกด้วย จึงทำให้ทุกห้องสามารถชมวิวได้อย่างเต็มที่ ใครชอบห้องไหนวิวไหนก็เลือกกันได้เลยครับ แต่ถ้าอยากได้วิวสวยๆปังๆ ผมแนะนำให้เป็นชั้น 24 ขึ้นไปจะกำลังสวยเลย

การออกแบบห้องพักอาศัย : มีแบบห้องให้เลือกหลากหลายมากกว่า 100 แบบ จึงสามารถตอบสนองความต้องการ Lifestyle ที่แตกต่างกันของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี โดยหลักๆจะสามารถแบ่งห้องเป็น 3 Type คือ 1 Bedroom เหมาะกับการอยู่ 1 – 2 คน มีให้เลือกทั้งห้องนอนที่กั้นด้วยผนังกระจกเพื่อความโปร่งโล่ง และห้องนอนที่กั้นด้วยผนังทึบเพื่อความเป็นส่วนตัว / 1 Bedroom Plus เหมาะกับคนที่ต้องการห้องอเนกประสงค์ให้ใช้งานเพิ่มเติม และพื้นที่ใช้สอยในห้องให้กว้างขวางมากขึ้น / 2 Bedrooms เป็นห้องหน้ากว้างที่ให้อารมณ์เหมือนอยู่บ้าน เหมาะกับการอยู่แบบครอบครัวได้จริงจัง มีทั้งครัวปิดและห้องน้ำแยกใช้งาน 2 ห้องเป็นส่วนตัว

วัสดุ : ขายแบบ Fully Fitted ให้เฉพาะชุดครัว Built-in และสุขภัณฑ์ในห้องน้ำ จึงต้องเผื่องบประมาณในการตกแต่งเพิ่มเติมเองด้วยนะครับ แต่ถ้าใครที่ชอบแต่งห้องเองอยู่แล้วก็น่าจะไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย ในแง่ของสเปควัสดุเนื่องจากเป็นโครงการโมเดลเก่าเมื่อ 2 – 3 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นยุคกำลังเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีและวัสดุก่อสร้าง ก็เลยยังอาจเห็นการใช้วัสดุแบบเก่าอยู่บ้าง

เช่น พื้นไม้ลามิเนต ที่สมัยนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกระเบื้อง SPC กันแล้ว แต่ในส่วนของ Top ครัวที่เป็นหินสังเคราะห์ + Hob Hood จาก TEKA อันนี้ยังคงให้มาดีอยู่ เพิ่มเติมอีกเรื่องคือ ห้องน้ำสำเร็จรูป ซึ่งจริงๆแล้วสามารถใช้งานได้ดี และลดปัญหาการรั่วซึมของน้ำในอนาคตได้ด้วย แต่ถ้าใครที่ยังไม่คุ้นเคยก็อาจมีความรู้สึกแปลกๆตอนใช้งานจริงอยู่บ้างนะครับ

สาธารณูปโภค : ถือว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของโครงการนี้เลยครับ เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ เลยทำให้มีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่และเยอะขึ้นตามไปด้วย โดยจะมาในคอนเซ็ปต์ Work-Play-Chill-Peace ที่เราสามารถใช้นั่งเล่นพักผ่อนก็ดี หรือจะนั่งทำงานก็ได้ ซึ่งจะมีการเตรียมพวกปลั๊กไฟต่างๆเอาไว้ให้ทุกๆจุด สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนยุคใหม่ที่สามารถทำงานอยู่บ้าน หรือที่ไหนๆได้ทุกที่ทุกเวลา นอกจากนี้ยังหันมาใช้ระบบ Face Scan เพื่อให้ใช้งานง่ายและลดการสัมผัส รวมถึงยังมีการแบ่งโซนฟังก์ชันส่วนกลางแยกออกจากกันชัดเจน ทำให้ใช้งานได้อย่างเต็มที่ไม่รบกวนกัน

โดยพื้นที่ชั้นล่างสุดจะเป็นสวนขนาดใหญ่ และภายในจะเป็น Lobby Lounge หรือพื้นที่นั่งเล่นนั่งทำงานต่างๆหลายจุด ถัดขึ้นมาจะเป็น Sky Facilities ที่อยู่ 4 ชั้นบนสุดต่อเนื่องกัน ประกอบด้วย Sky Lounge และ Studio บนชั้น 36 / พื้นที่สวน The Common และจุดชมวิว Amphitheater บนชั้น 37 / โซนออกกำลังกายอย่าง Fitness และสระว่ายน้ำบนชั้น 38 / และพื้นที่สวน Rooftop Garden ไว้นั่งชมวิวบนชั้นดาดฟ้าที่ 39 เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ให้ส่วนกลางมาเยอะที่สุดในย่านเลยก็ว่าได้ครับ

Judgement

การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 150,000 บาท/ตร.ม., 2 กรกฎาคม 2567

  • ทำเล 8/10 – ติดถนนใหญ่พระราม 4 อุดมสมบูรณ์ เดินทางสะดวก ได้วิวเปิดโล่งทุกด้าน
  • เดินทางด้วยรถ 7.75/10 – ใกล้ทางด่วนเฉลิมมหานคร 1.6 km. มีซอยลัดเลาะหลายทาง และมีที่จอดรถ 40%
  • ไม่ใช้รถ 7.75/10 – ใกล้ MRT ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 450 เมตร และเรียกรถสาธารณะง่าย
  • วัสดุ 7.5/10 – Fully Fitted ชุดครัว TEKA ท็อปหินสังเคราะห์ ห้องน้ำสำเร็จรูป สุขภัณฑ์ Kohler แต่ยังได้พื้นไม้ลามิเนตอยู่เลย
  • แบบ 8.25/10 – มีแบบห้องให้เลือกเยอะ เน้นความเป็นสัดส่วน วางผังอาคารไม่บังวิวกัน และเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีเพื่อนบ้านเยอะหน่อย
  • สาธารณูปโภค 8.25/10 – ให้ส่วนกลางมาเยอะตามขนาดโครงการ มี Sky Facilities ที่ 4 ชั้นบนสุด บรรยากาศสวยงามและพื้นที่สีเขียวเยอะ

  • HIGH CLASS
  • 7.9 / 10.00

Life Rama4 – Asoke (ไลฟ์ พระราม 4 – อโศก) เหมาะกับใคร

โครงการ Life พระราม 4 – อโศก เหมาะกับคนที่มองหาคอนโด High Rise ติดถนนพระราม 4 ใกล้ทางด่วนเฉลิมมหานคร และรถไฟฟ้า MRT ในระยะเดินได้สบายๆ รวมถึงยังมีวิวเปิดโล่งสวยๆให้ชมทุกด้าน ทั้งวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา วิวบางกะเจ้า วิวสวนเบญจกิติ และ City View อีกทั้งยังเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ให้ส่วนกลางมาเยอะ จัดเต็ม Sky Facilities ที่ 4 ชั้นบนสุด อีกทั้งยังมีแบบห้องให้เลือกเยอะด้วยครับ คนที่สนใจจะต้องมีงบประมาณระดับ 3.99 – 7.5 ล้านขึ้นไป หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 28,000 – 53,000 บาท/เดือน


Think of Living รวบรวมมาให้แล้ว!

โครงการเปิดใหม่ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮมและคอนโดมิเนียม ในทำเลทั่วกรุงเทพและปริมณฑล ในทุกๆเดือนย้อนหลัง ใครที่กำลังมองหาบ้านห้ามพลาด อาจจะมีโครงการในราคาและทำเลที่เพื่อนๆ ตามหาอยู่ก็เป็นได้นะ

เข้ามาชมบทความรายเดือนได้เลย คลิกที่นี่