รีวิวฉบับที่ 1948 … หลังจากผ่านมาปีกว่าๆ ในที่สุดโครงการ Ciela ศรีปทุม จาก Grand Unity ก็สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วนะครับ จุดเด่นเลยคือเรื่องทำเลที่เดินทางสะดวกมากๆ มีที่ดินอยู่ติดถนน 2 สาย และติดรถไฟฟ้าระยะ 0 m. อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย 2 สถาบัน ขนาดพื้นที่ส่วนกลางค่อนข้างใหญ่ มี Sky Facilities ให้ขึ้นไปชมวิวได้ ซึ่งของจริงสร้างเสร็จจะเป็นอย่างไร เราไปชมพร้อมๆกันได้เลยครับ
…และสำหรับโครงการนี้ ThinkofLiving เคยทำรีวิวเจาะลึกไปตอนสมัยยังเป็น Sale Gallery เมื่อปีที่แล้วไว้ด้วยนะครับ ถ้าใครอยากอ่านบทวิเคราะห์อีกมุมมองหนึ่งจากพี่ปั้นและพี่โอ๋ ที่เคยอธิบายไว้ก่อนหน้านี้ สามารถเข้าไปอ่านกันได้ที่นี่เลยครับ
ข้อมูลโครงการ
Fact @ 18 September 2019
- Ciela Sripatum (เซียล่า ศรีปทุม)
- Grand Unity Development
- UPPER CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ในเขต : จตุจักร
- คอนโด High Rise 28 ชั้น 1 อาคาร 900 ยูนิต และร้านค้า 3 ยูนิต
- อาคารจอดรถแยกไว้ที่ด้านหลังสูง 6 ชั้น
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 36 ยูนิตที่ชั้น 2-9
- ที่จอดรถประมาณ 40% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน)
- ที่ดินประมาณ 6-1-17 ไร่
- เริ่มก่อสร้าง : Q1 ปี 2561
- สร้างเสร็จพร้อมอยู่ : Q4 ปี 2562
- Studio 21.5 ตร.ม.
- 1 Bedroom 26.5 ตร.ม.
- 1 Bedroom Plus 31.5 ตร.ม.
- 1 Bedroom Suite A&B 33.5-34.5 ตร.ม.
- 2 Bedrooms 60 ตร.ม.
- ฝ้าเพดานสูง 2.6 เมตร
- ราคาห้องเริ่มต้น 1 Bedroom Plus 3.49 ล้านบาท
- ราคาห้องเริ่มต้น 2 Bedrooms 7.09 ล้านบาท
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 120,000 บาท/ตร.ม.
- EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : ผ่านแล้ว
- เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- Call Center : 02-652-4000
ทำเลที่ตั้ง
พิกัด Google Maps : 13.855937, 100.584916
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
แผนที่จากทางโครงการครับ
โครงการ Ceila ศรีปทุม ตั้งอยู่ติดถนน 2 เส้นเลยครับ โดยถนนหลักด้านหน้าจะเป็นถนนพหลโยธิน และมีที่ดินเชื่อมต่อไปออกด้านหลังที่ถนนอีกเส้นคือ ถนนเลียบคลองบางเขน ซึ่งเป็นถนนตัดใหม่ได้อีกด้วยครับ และความสำคัญของถนนเส้นนี้คือ การเชื่อมต่อถนนวิภาวดี-รังสิต กับถนนพหลโยธินเข้าด้วยกัน ทำให้การจราจรค่อนข้างสะดวกมากขึ้น โดยไม่ต้องไปทนรถติดที่แยก ม.เกษตร เหมือนแต่ก่อนอีกแล้วครับ รวมถึงยังสามารถเข้า ม.เกษตร จากทางด้านหลังได้อีกด้วย
จุดเปลี่ยนอีกอย่างของถนนพหลโยธินเส้นนี้คือ มีการทำสะพานข้ามแยกใหม่หลายจุด เพื่อช่วยลดปัญหาการจราจรที่ติดขัดของย่านนี้ให้ดีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุโมงค์และสะพานข้ามแยกรัชโยธิน สะพานข้ามแยกเสนานิคม และสะพานข้ามแยก ม.เกษตร ส่วนด้านความอุดมสมบูรณ์บริเวณใกล้กับโครงการจะมีในฝั่งตรงข้าม ซึ่งอยู่ข้างๆกับ ม.ศรีปทุม ในชุมชนบางบัว เพราะเป็นแหล่งที่มีหอพักนักศึกษาอยู่กันเยอะ ทำให้พอจะมีร้านค้าร้านอาหารให้เดินไปฝากท้องกันได้ แต่ถ้าอยากเดินห้างใหญ่ๆ สะดวกสุดก็จะเป็นเมเจอร์รัชโยธิน, เซ็นทรัล ลาดพร้าว และยูเนี่ยนมอลล์ที่ห้าแยกลาดพร้าว แล้วถ้าใครที่ทำงานเป็นข้าราชการแถวนี้ ไม่ว่าจะเป็นกรมป่าไม้ กรมทหาร หรือเป็นคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจทีเดียวนะ
จุดเด่นอีกอย่างของโครงการคือ “อยู่ติดรถไฟฟ้า” โดยมีสถานีที่ใกล้ที่สุดคือ สถานีศรีปทุม เป็นโครงข่ายรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือ ที่ก่อสร้างและเปิดให้บริการเร็วมากครับ พึ่งเซ็นอนุมัติตอนปี 2560 และจะแล้วเสร็จตอนปี 2563 มีการก่อสร้างโดย รฟม. และได้ขายสัมปทานให้ กทม. จากนั้นจึงจ้าง BTS เดินรถให้อีกต่อหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วรถไฟฟ้าสายนี้ก็จะตกเป็นของ กทม. ครับ
ปัจจุบันรถไฟฟ้าสายนี้เพิ่งเปิดให้บริการสถานีแรกคือ “สถานีห้าแยกลาดพร้าว” ไปเมื่อวันที่ 9 ส.ค. ที่ผ่านมานี่เองครับ และคาดการณ์ว่าวันที่ 5 ธ.ค. 2562 จะเปิดให้บริการเพิ่มอีก 4 สถานี คือ สถานีพหลโยธิน 24, สถานีรัชโยธิน, สถานีเสนานิคม และสถานีม.เกษตรศาสตร์ ส่วนสถานีอื่นๆ ที่เหลือ คาดว่าจะเปิดให้บริการประมาณ ก.ค. ปีหน้าครับ ซึ่งถ้าเปิดบริการจริงเมื่อไหร่ จะทำให้โครงการ Ceila ศรีปทุม เดินทางสะดวกขึ้นเยอะเลยนะ เพราะเราสามารถนั่งรถไฟฟ้าเข้าเมืองได้ง่ายมากๆ หรือจะไปเดินห้างแถวห้าแยกลาดพร้าวก็สะดวกครับ
การเดินทางในวันนี้ผมมาจากทางห้าแยกลาดพร้าวก็เลยง่ายมากๆครับ แค่ขับตรงยาวมาเรื่อยๆบนถนนพหลโยธิน ผ่านแยกรัชโยธิน และแยก ม.เกษตร มาหน่อย ระยะทางรวมประมาณ 5.4 km. ก็จะถึงตัวโครงการที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือแล้วครับ
เริ่มต้นกันที่บริเวณเซ็นทรัลลาดพร้าวครับ ด้านหน้าคือสถานีรถไฟฟ้า ห้าแยกลาดพร้าว ที่พึ่งเปิดใหม่เมื่อไม่นานมานี้ (ที่ต่อมาจากสถานีหมอชิต) ซึ่งตัวสถานีจะมีทางเดินเชื่อมเข้าสู่ตัวห้างได้โดยตรงเลย ทำให้การเดินทางมายังห้างนี้จากโครงการของเราในอนาคตสะดวกมากๆ ซึ่งจากตรงนี้ก็ให้เราขับรถตรงไปบนถนนพหลโยธินยาวๆเลยครับ
ถัดมาคือสถานี รัชโยธิน เมื่อเลยตัวสถานีรถไฟฟ้ามาหน่อย ก็ให้เราชิดขวาเพื่อขึ้นสะพานข้ามแยกรัชโยธินได้เลยครับ
ถัดมาเราจะเจอสถานี พหลโยธิน 24 ที่อยู่ตรงแถวๆตึกช้าง ก็ให้เราชิดขวาเหมือนเดิม เพื่อขึ้นสะพานข้ามแยกเสนานิคมนะครับ
สถานีถัดมาคือ เสนานิคม เมื่อเลยตัวสถานีมาแล้วก็ให้ชิดขวา ขึ้นสะพานข้ามแยก ม.เกษตร อีกครั้งครับ จะเห็นได้ว่าสะพานข้ามแยกต่างๆของถนนเส้นนี้ได้เปิดใช้งานหมดแล้ว และทำให้การจราจรดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งตอนกลางวันแบบนี้รถไม่ติดเลยครับ แต่ถ้าเป็นชั่วโมงเร่งด่วนเช้า/เย็น ก็จะติดบ้าง แต่ถือว่าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
และเมื่อเราเลย ม.เกษตร มาแล้วก็จะเจอกับกรมป่าไม้ ซึ่งมีสถานีรถไฟฟ้า กรมป่าไม้ ตั้งอยู่ด้านหน้าอีกด้วยครับ ซึ่งพอเลยสถานีนี้ไปก็จะเจอกับโชว์รูมฮอนด้าขนาดใหญ่ ก็ให้เราเตรียมชิดซ้ายเพื่อเลี้ยวเข้าสู่โครงการที่เป็นตึกสูงทางด้านหน้าได้เลย
ทางเข้าโครงการจะอยู่ใต้สถานีรถไฟฟ้า “ศรีปทุม” พอดีเลยครับ พอเจอป้ายโครงการแล้วก็ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปได้เลยนะ
บริบทโดยรอบโครงการเป็นอาคาร Low Rise สูงไม่เกิน 8 ชั้น ส่วนมากเป็นชุมชนที่พักอาศัย ติดกันจะเป็นโรงเรียนบางบัว และโชว์รูมฮอนด้าขนาดใหญ่ มีแค่อาคารเรียนของ ม.ศรีปทุม ฝั่งตรงข้ามถนนที่จะเป็นอาคารสูง ทีเด็ดคือลักษณะที่ดินโครงการจะติดกับถนน 2 ด้านเลยครับ สามารถสรุปได้ดังนี้
ทิศเหนือ : อยู่ติดกับโรงเรียนบางบัว และถนนเลียบคลองบางเขน ชั้นสูงๆสามารถมองออกไปได้ไกลทางฝั่งสะพานใหม่ และมองเห็นพื้นที่สีเขียวของกรมทหารราบ 11 ได้ด้วยครับ
ทิศใต้ : ติดกับที่ดินเปล่าผืนหนึ่ง และโชว์รูมฮอนด้า ระยะไกลมองเห็น City view ได้
ทิศตะวันออก : ด้านหน้าโครงการอยู่ติดกับถนนพหลโยธิน และมีแปลงบ้าน 2 ชั้นเล็กๆอยู่หลังหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามเป็นสถานีรถไฟฟ้า และมหาวิทยาลัยศรีปทุม ชั้นสูงๆมองข้ามอาคารเรียนไปเห็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ของกรมทหารราบ 11 ได้
ทิศตะวันตก : ด้านหลังโครงการ ติดกับโชว์รูมฮอนด้าและมีที่ดินแปลงใหญ่อยู่ด้วย แต่ปัจจุบันเรายังได้วิวที่เปิดโล่งทางฝั่งวิภาวดีอยู่ครับ
สรุปแล้วรอบๆโครงการจะได้วิวที่ค่อนข้างเปิดโล่งครับ เพราะถ้าเลยจากนี้ทางด้านทิศเหนือเป็นต้นไป จะเริ่มเข้าสู่เขตที่พื้นการบินของสนามบินดอนเมือง ซึ่งจะมีการจำกัดความสูงของอาคารก่อสร้างโดยรอบ รวมถึงเป็นพื้นที่ของกรมทหารซะเป็นส่วนใหญ่ ติดกันก็เป็นโรงเรียนบางบัว และฝั่งตรงข้ามก็คืออาคารเรียนของม.ศรีปทุม ซึ่งจุดเหล่านี้ค่อนข้างการันตีได้ว่าอนาคตจะมีอาคารสูงขึ้นมาบังวิวอีกได้ยากครับ
เรามาเดินดูทำเลรอบๆของจริงกันสักหน่อยดีกว่า ด้านหน้าโครงการจะเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟฟ้า ศรีปุทม แบบนี้เลยนะ
และทางด้านขวาของโครงการจะมีลิฟต์โดยสารตั้งอยู่ด้วยแหล่ะ
ถัดมาติดกับที่ดินโครงการจะมีที่ดินเปล่าอยู่แปลงหนึ่งครับ
แล้วถ้าเราเดินเลยบันไดขึ้นสถานีรถไฟฟ้าต่อมาอีกหน่อย จะมาเจอกับโชว์รูมฮอนด้าขนาดใหญ่ และมีจุดกลับรถบริเวณนี้อีกด้วยครับ ซึ่งจะเห็นได้ว่าฝั่งนี้ไม่ค่อยมีอะไรมากนัก งั้นเราลองไปดูอีกด้านของโครงการกันต่อดีกว่า
ด้านขวาของโครงการเดิมทีจะมีป้ายรถเมล์ตั้งอยู่ครับ ซึ่งปัจจุบันเค้าใช้เต็นท์ผ้าใบมาตั้งไว้ชั่วคราวอยู่นะ ถือว่าเรียกรถสาธารณะได้ง่ายมากๆ
ติดกับโครงการจะเป็นบ้านพักอาศัยสูง 2 ชั้นครับ แล้วยังมีบันไดทางขึ้นสถานีอยู่ตรงนี้อีกด้วย
ถัดมาจะเป็นโรงเรียนบางบัวครับ ซึ่งบริเวณด้านหน้าโรงเรียนจะมีบันไดเลื่อนของสถานีรถไฟฟ้าอยู่ด้วยนะ แล้วถัดไปก็จะมีสะพานลอยให้เดินข้ามถนนกันได้ (ไว้สถานีเปิดเมื่อไหร่ เราค่อยขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อข้ามไปฝั่งโน้นจากตัวสถานี จะได้ไม่ต้องไปเดินข้ามสะพานลอยปกติให้เมื่อยครับ)
เราลองขึ้นมาดูภาพรวมบรรยากาศของย่านนี้ จากด้านบนสะพานลอยกันสักหน่อยดีกว่า ทิศทางนี้เป็นทางที่มุ่งหน้าไปสะพานใหม่ครับ ทางซ้ายมือที่เห็นว่าเป็นเหมือนทางแยกนั่นคือ ถนนเลียบคลองบางเขน ซึ่งสามารถเชื่อมต่อไปยังถนนวิภาวดี-รังสิตได้ครับ
ซึ่งถนนเลียบคลองบางเขนจะเป็นถนน 2 เลนนะ (เคยมีข่าวว่าจะมีการขยายถนนเพิ่ม แต่ตอนนี้ยังคงต้องรอต่อไปก่อนเน้อ) และบริเวณด้านซ้ายมือจะมีวินมอไซค์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ อัตราค่าโดยสารตามนี้เลยครับ
เข้ามาด้านในหน่อยก็จะเจอกับทางแยก ซึ่งถ้าเราไปทางขวานี้ก็จะเป็นทางไปชุมชนเคหะบางบัว ซึ่งด้านในมีตลาดนัดอยู่ด้วยครับ (เผื่อใครอยากลองไปเดิน) แต่ถ้าเราเลี้ยวไปทางซ้ายตามถนนไปเรื่อยๆ ก็จะไปยังถนนวิภาวดีได้
และตรงนี้คือทางเข้า-ออกด้านหลังโครงการครับ ซึ่งนอกจากถนนเลียบคลองบางเขนเส้นนี้จะใช้เชื่อมต่อไปออกวิภาวดีแล้ว ยังสามารถเข้าม.เกษตร จากทางด้านหลังได้อีกด้วย โดยปัจจุบันถนนเส้นนี้ยังคงเงียบๆ ไม่ค่อยคึกคักมากนัก เพราะเป็นถนนตัดใหม่ ต้องรอดูต่อไปในอนาคตครับว่าจะเป็นยังไง (แต่ได้ข่าวมาว่าถนนเส้นนี้บางช่วงที่ถ้าฝนตกหนักๆ ก็มีน้ำท่วมขังเป็นบางครั้งเหมือนกัน จริง/ไม่จริงใครรู้ช่วยแชร์กับคนอื่นๆหน่อยนะ)
กลับมาที่บนสะพานลอยอีกครั้ง แหล่งความอุดมสมบูรณ์ที่ใกล้โครงการมากที่สุดจริงๆจะอยู่ถนนฝั่งตรงข้าม (ทางซ้ายของสะพานลอย)
ฝั่งนี้จะมีซอยเล็กๆอยู่ซอยหนึ่งเป็น “ชุมชนบางบัว” ด้านหน้ามีป้ายวัดบางบัวติดอยู่ด้วย ซึ่งซอยนี้ค่อนข้างคึกคัก เพราะเป็นแหล่งหอพักของนักศึกษา ม.ศรีปทุม ทำให้มีร้านค้าร้านอาหารอยู่พอสมควร เช่น ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านอาหารตามสั่ง และร้านสะดวกซื้อครับ
ส่วนทางฝั่งขวาของสะพานลอยฝั่งตรงข้ามก็จะเป็น ม.ศรีปทุม ซึ่งตอนเย็นๆจะเห็นน้องๆนักศึกษาเดินออกมาจากมหาลัย เพื่อมารอรถที่ป้ายรถเมล์เพื่อกลับบ้านกันเพียบเลย มีบางส่วนข้ามไปรอที่ป้ายรถเมล์หน้าโครงการเราก็มีนะ
และในพาร์ทต่อไปผมจะพาไปชมตัวโครงการจริงๆกันแล้วนะ จะเป็นอย่างไรบ้างตามไปชมกันเลยครับ
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
- โรงเรียนบางบัว ~ 67 m.
- มหาวิทยาลัย ศรีปทุม ~ 210 m.
- กรมที่ดินบางเขน ~ 750 m.
- กรมทหารราบที่ 11 ~ 1.9 km.
- มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ~ 2 km.
- โรงเรียนสารวิทยา ~ 2.6 km. (ระยะเดิน 750 m.)
- มหาวิทยาลัย เกริก ~ 3.4 km.
- เซ็นทรัล รามอินทรา ~ 3.5 km.
- รพ.เปาโลเกษตร ~ 4.4 km.
- ตลาดบางเขน ~ 4.6 km.
- Tesco Lotus หลักสี่ ~ 4.8 km.
- SCB Park ~ 6.3 km.
- Major รัชโยธิน ~ 6.5 km.
- ตึกช้าง ~ 6.6 km.
- รพ.วิภาวดี ~ 6.6 km.
- Central ลาดพร้าว ~ 6.6 km.
- Union Mall ~ 8.5 km.
รายละเอียดโครงการ
โครงการ Ciela ศรีปทุม เป็นคอนโด High Rise สูง 28 ชั้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นตึกสูงตึกสุดท้าย ก่อนจะเข้าเขตพื้นที่การบินของสนามบินดอนเมืองครับ ทำให้วิวทางทิศเหนือไม่มีตึกสูงอื่นขึ้นมาบังวิวเลย และทางโครงการก็จัดให้มี Sky Facilities อยู่ที่ชั้นบนสุด ให้ลูกบ้านสามารถมาพักผ่อน หรือออกกำลังกาย แล้วชมวิวไปได้ด้วย
ภายนอกและภายในออกแบบมาในสไตล์ Modern ทั้งหมด ซึ่งจะแตกต่างจากโครงการของ Grand Unity ตัวก่อนๆ เพราะอย่างที่รู้กันว่าแบรนด์ Ciela นี้เป็นโปรดักส์ใหม่ และโครงการนี้ก็เป็นโปรเจคแรกของแบรนด์นี้ ที่ทาง Grand Unity ตั้งใจอัพเกรด และเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งหมด จากเดิมที่เราจะคุ้นตากับการตกแต่งแบบเรียบง่าย สไตล์ Homey ที่ดูอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านใช่มั๊ยครับ แต่โครงการนี้จะทำออกมาเป็นอย่างไรบ้าง ตามผมไปชมพร้อมๆกันเลย
เริ่มกันที่ Master Plan ของโครงการ ทางเข้า-ออกจะมีอยู่ 2 ทางครับ ซึ่งบริเวณป้อมยามของทางเข้าทั้ง 2 จะมีไม้กั้นกระดกกั้นไว้เพื่อความปลอดภัย รวมถึงบริเวณตรงกลางโครงการก่อนที่จะเข้าไปยังอาคารจอดรถด้านหลัง ก็จะมีไม้กั้นกระดกอีกชั้นหนึ่งด้วยครับ ซึ่งตัวอาคารหลักๆจะแบ่งออกเป็น 3 อาคารนะ คือบริเวณด้านหน้าจะมีอาคารยูนิตร้านค้าอยู่ 2 shop ตรงกลางเป็นอาคารพักอาศัยหลัก และด้านหลังจะมีอาคารจอดรถแยกออกไป ซึ่งเชื่อมต่อกับอาคารหลักด้วย Cover Walk Way ให้เดินได้สะดวกๆครับ
จุด Drop Off จะมีอยู่ 2 ตำแหน่งครับ สามารถเดินเข้าโถง Lobby ได้ทั้ง 2 จุดเลยนะ และเป็นโถงขนาดใหญ่ทั้งคู่ ซึ่งจะมีทางเดินเชื่อมต่อกันตรงกลาง ทำให้กลายเป็น Lobby รูปตัว L ขนาดใหญ่มาก โดยคนที่ใช้รถไฟฟ้าเป็นประจำ ก็คงจะได้เดินผ่านมาที่โถง Lobby ด้านหน้านี้บ่อยๆแน่ รวมถึงยังเหมาะจะไว้รับรองแขกทั่วไปอีกด้วย ส่วนโถง Lobby หลักด้านใน เป็นจุดที่ลูกบ้านทุกคนจะต้องใช้ก่อนผ่านเข้าไปยังโถงลิฟต์ ซึ่งรวมถึงคนที่เดินมาจากอาคารจอดรถด้วยครับ และพื้นที่ด้านในจะเหมาะกับเพื่อนหรือญาติที่สนิทขึ้นมาหน่อย ก็ให้มานั่งเล่นนั่งคอยแถวนี้ได้ และยังมียูนิตร้านค้าอยู่ภายในอีก 1 shop ด้วยครับ ส่วนการเข้าโถงลิฟต์ เพื่อความปลอดภัยก็จะต้องใช้ Key Card Access ก่อนถึงจะเข้ามาได้ รวมถึงด้านในยังมี Mailbox และ Co-Working Space อีกด้วยครับ
เรามาเดินชมของจริงกันเลยดีกว่าครับ เริ่มจากด้านหน้าโครงการจะมีป้อมยามและไม้กั้นกระดก ระบบ RFID หรือใช้สัญญาณ Bluetooth ให้ขับรถผ่านได้เลย เหมือน Easy Pass บนทางด่วน จะได้ไม่ต้องเปิดกระจกรถออกมาแตะบัตรให้แดดร้อนหรือเปียกฝน ส่วนอาคารทางขวามือจะเป็นยูนิตร้านค้า ซึ่งเดี๋ยวเอาไว้ผมจะมาพูดถึงกันอีกทีนะ
เมื่อเข้ามาด้านในก็จะต้องเลี้ยวรถวนไปทางซ้ายของอาคาร ซึ่งตรงไปด้านในก็จะมีจุด Drop Off ที่ 2 อีกจุดหนึ่ง ซึ่งสามารถเข้าโถง Lobby หลักได้โดยตรง หรือจะขับตรงไปจอดรถที่อาคารจอดรถด้านหลังได้ครับ
แต่ถ้าเป็น Visitor หรือรถแท็กซี่มารับ-ส่ง ก็สามารถวนรถตรงวงเวียน Drop Off ที่ 1 นี้ แล้ววนรถออกจากโครงการได้เลย ถือว่าสะดวกมากๆ แถมโครงการยังได้ความเป็นส่วนตัวอยู่อีกด้วย
นอกจากทางเข้ารถยนต์แล้ว โครงการนี้ยังมีทางเท้าคนเดิน แยกออกมาต่างหากเพื่อความปลอดภัย เป็นเส้นทางที่จะเดินผ่านอาคาร shop ทั้ง 2 ยูนิตของโครงการครับ โดยคนภายนอกก็สามารถเข้ามาใช้บริการได้เช่นกัน ซึ่งตัวอาคารนี้จะแยกออกมาจากอาคารพักอาศัยหลักอยู่แล้ว จึงไม่เสียความเป็นส่วนตัวมากนัก แล้วถ้าลูกค้าของร้านคนไหนที่ขับรถมาเอง ก็สามารถแลกบัตรเพื่อผ่านไม้กั้นกระดกด้านหน้า แล้วเข้ามาจอดตรงช่องจอด Visitor ที่อยู่บริเวณนี้ได้เลยครับ
ซึ่งในจุดนี้ผมขออธิบายเสริมไว้สักนิดนึงว่า ยูนิตร้านค้าทั้ง 3 shop ของโครงการนี้ ตัวบริษัท Grand Unity เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เอง ซึ่ง Income จากการเช่าพื้นที่ร้านค้าเหล่านี้ ส่วนกลางของโครงการจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆนะครับ แต่แน่นอนว่าถ้าอนาคตมีร้านค้ามาเปิดจริง ลูกบ้านก็จะได้รับความสะดวกสบายแน่นอน ซึ่งอันนี้ต้องรอดูกันต่อไปในอนาคตครับ เพราะปัจจุบันจากที่ผมลองสอบถามมา ยังไม่มีการดีลกับเจ้าไหนไว้นะ
แล้วถัดเข้ามาจาก Shop จะเป็นพื้นที่สวนโล่งๆ สามารถมาเดินเล่น หรือจะมานั่งพักผ่อนที่ศาลาด้านในก็ได้
กลับมาที่ทางเข้า Lobby กันอีกครั้ง คราวนี้เราลองเข้าไปดูด้านในกันครับว่าจะเป็นยังไง
Lobby ส่วนแรกที่อยู่ด้านหน้าสุด เปรียบเหมือนหน้าบ้านที่เอาไว้รับรองแขก มีโซฟาให้นั่งพักคอยหลายชุด และผนังด้านข้างเป็นกระจกใสที่สูงโปร่ง ตามความสูงฝ้าเพดานแบบ Double Volume แล้วยังสามารถชมวิวสวนภายนอกเมื่อสักครู่นี้ได้อีกด้วย
ซึ่งตรงจุดนี้ทุกคนจะสังเกตได้ว่า บรรยากาศการตกแต่งค่อนข้างแตกต่างจากโครงการของ Grand Unity ก่อนหน้านี้ ที่ปกติแล้วเค้ามักจะใช้วัสดุประเภทไม้เป็นธรรมชาติ สีแนว Earth tone กับใช้ไฟ Warm Light ที่ดูแล้วอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน แต่คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นใช้หินอ่อนสีขาวทั้งหมด ดูทันสมัย สะอาดตา และโล่งกว้างมากๆ
ส่วนชุดโซฟาที่จัดมาให้ก็ค่อนข้างคุมโทนทั้งโครงการนะครับ ซึ่งจะเน้นเป็นสีขาวและน้ำเงินที่ให้ความรู้สึกเย็นๆ สบายๆ สามารถนั่งแบบเป็นกลุ่มได้หลายคนเลยนะ
ด้านในสุดจะมีทางแยกครับ ด้านซ้ายจะเป็นห้องน้ำ ตรงกลางจากในแปลนจะเป็นพื้นที่ Shop ในอนาคต และด้านขวาจะเป็นทางไปยัง Lobby อีกโซนหนึ่ง แล้วยังเป็นทางไปโถงลิฟต์อีกด้วยครับ
โดยห้องน้ำทางด้านซ้ายก็จะแยกทั้งชาย หญิง และคนพิการให้พร้อมเลย เผื่อมีแขกมารอที่ Lobby เค้าก็สามารถมาเข้าตรงนี้ได้ โดยไม่ต้องเข้าไปด้านในโครงการให้เสียความเป็นส่วนตัวของลูกบ้าน
ส่วนถ้าเราเดินต่อมาทางด้านขวา ก็จะมาเจอกับโถง Lobby หลักอีกโซนหนึ่งครับ มีขนาดใหญ่กว่าโซนแรกด้วยซ้ำ แถมยังโปร่งโล่งมากขึ้น เพราะคราวนี้ผนังทั้ง 2 ฝั่งจะเป็นกระจกทั้งหมดเลย แถมยังมีที่นั่งหลายจุดอีกด้วย
และสำหรับชุดโซฟาของ Lobby โซนนี้จะมีขนาดที่ใหญ่กว่าโซนแรกอีกครับ ถ้าใครที่มีเพื่อนๆมาหาเยอะ ก็สามารถมานั่งรอ หรือนั่งคุยเล่นกันตรงนี้ได้ครับ
และอย่างที่ผมเกริ่นไปตอนช่วงแปลนแล้วว่า Lobby ทั้ง 2 โซน จะมีจุด Drop Off ให้รับ-ส่งคนได้ทั้งคู่เลยนะ ซึ่งตรงทางเข้าฝั่งนี้จะมีหลังคาคลุมให้ด้วย พอจะกั้นฝนได้บ้าง(ถ้าฝนไม่สาดแรง) แต่จะไม่กันแดดนะครับเพราะเป็นกระจกใส
แต่ข้อดีของ Drop Off จุดนี้คือ ทางเข้าจะอยู่ใกล้กับโถงลิฟต์มากกว่าครับ รวมถึงยังเป็นจุดทางเข้าหลักของลูกบ้านอีกด้วย เพราะเวลาเราจอดรถที่อาคารด้านหลังเสร็จแล้ว ก็จะต้องเดินมาเข้าที่ประตูนี้ แต่ถ้าใครที่ใช้รถไฟฟ้าก็จะสามารถเดินเข้าจาก Lobby ด้านหน้าได้เลยครับ
โดยจุด Drop Off นี้ก็จะมีวงเวียนให้วนรถได้สะดวกๆ สามารถขับรถตรงมาจากด้านหน้าอาคารได้เลย ส่วนทางซ้ายมือจะเป็นทางไปอาคารจอดรถด้านหลัง ซึ่งจะต้องผ่านไม้กั้นกระดกอีกชั้นหนึ่งเพื่อความปลอดภัย ส่วนช่องทางขวามือจะเป็นทางเดินเชื่อม Cover Walk Way ไปยังอาคารจอดรถครับ แล้วด้านหลังโครงการจะเป็นอย่างไรบ้าง เราตามไปดูกันเลย
อย่างที่ผมเคยเกริ่นไปก่อนหน้านี้แล้วครับว่าโครงการนี้มาทางเข้า-ออก 2 ทาง โดยทางด้านหลังจะเป็นถนนเลียบคลองบางเขน ซึ่งเป็นเส้นทางที่สะดวกสำหรับคนใช้รถ เพราะสามารถเข้ามาจอดที่อาคารจอดรถได้เลย โดยที่ไม่ต้องผ่านไม้กั้นกระดกถึง 2 รอบ เว้นซะแต่…ถ้าคุณมาจากทางฝั่งพหลโยธิน หรือต้องการจะส่งคนที่ Drop Off ก่อน ก็ควรจะไปเข้าที่ด้านหน้าโครงการจะสะดวกกว่าครับ
เมื่อเข้ามาด้านในก็จะยังมีป้อมยามดูแลอยู่อีกจุดหนึ่ง และมีไม้กั้นกระดก RFID เหมือนเดิมครับ ให้ขับอ้อมอาคารจอดรถมาหน่อยเพื่อมาเข้าตึกทางด้านหลังได้เลย
ภายในอาคารจอดรถจะเป็นการจอดแบบปกติ สูง 6 ชั้น ซึ่งถ้ารวมการจอดกลางแจ้งด้วย ทั้งโครงการจะจอดรถได้ประมาณ 40% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน) โดยที่ตัวอาคารนี้จะมีลิฟต์โดยสารให้ใช้อีกด้วยครับ
ลิฟต์มีทั้งหมด 2 ตัว แล้วเมื่อลงมาที่ชั้น 1 ก็จะมีประตูทางออกให้เดินไปสู่อาคารพักอาศัยได้เลยครับ
โดยทางเดินเชื่อม Cover Walk Way นี้จะมีหลังคาคลุมให้ตลอดทางเลยนะ ซึ่งจะเป็นหลังคาแผ่นเหล็กเมทัลชีทปิดทับอีกที ไม่ได้เป็นแค่ระแนงไม้โปร่งธรรมดา จึงช่วยกันแดดกันฝนได้ดีเลยครับ ตอนผมลองเดินดูก็รู้สึกสบายๆ ไม่ร้อนเลยนะ แถมยังมีสวนเล็กๆด้านข้างให้ชมวิวเพลินๆ และให้รู้สึกสดชื่นขึ้นอีกด้วย
โดยสวนนี้ก็จะมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีการจัดเป็นพื้นที่นั่งเล่นตามใต้ต้นไม้ให้มาพักผ่อนได้ ซึ่งถ้าจะมาใช้งานก็แนะนำให้เป็นช่วงเย็นๆ หลังเลิกเรียนไปเลย หรือจะเป็นวันหยุดก็ได้ เพราะสวนนี้อยู่ติดกับอาคารเรียนของโรงเรียนบางบัว เสียงน้องๆก็ดังอยู่เหมือนกันครับ
แล้วเมื่อเราเดินผ่าน Cover Walk Way มาแล้ว ก็จะมาโผล่ตรงจุด Drop Off ที่ 2 ที่เรามาดูกันก่อนหน้านี้ งั้นเรากลับเข้าไปด้านในกันต่อดีกว่าครับ
เมื่อเข้ามาใน Lobby จากประตูทางนี้ จะเห็นว่าด้านหน้ามีประตูเล็กๆให้เดินออกไปยังสวนด้านข้างที่ผมพาไปดูในตอนแรกได้ด้วย
หันมามองทางด้านขวาจะเป็นทางที่เราเดินมาจาก Lobby โซนด้านหน้า
ส่วนด้านซ้ายจะเป็นประตูทางเข้าโถงลิฟต์ ซึ่งจะต้องใช้ Key Card Access เพื่อความเป็นส่วนตัวครับ
เมื่อเข้ามายังโถงด้านในก็จะมีทางแยกซ้าย-ขวา
ด้านซ้ายเป็นห้อง Mailbox ซึ่งมีช่องแสงทำให้โปร่งโล่งไม่อึดอัดเลยครับ ซึ่งแสงนี้ยังส่องไปยังโถงลิฟต์ด้านในอีกด้วย
ส่วนด้านขวาจะเป็นโถงลิฟต์ แล้วที่เห็นด้านในสุดนั้นคือ Co-Working Space ครับ
สำหรับ Co-Working Space ห้องนี้จะต้องใช้ Key Card Access อีกครั้งหนึ่ง สำหรับลูกบ้านเท่านั้นที่จะมาใช้งานได้ ภายในจะมีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นหลายๆส่วน มีทั้งแบบโต๊ะนั่งจริงจัง เคาน์เตอร์ทรงสูง และโซฟานั่งชิลๆก็มี ด้านซ้ายเป็นผนังกระจกทรงสูง ค่อนข้างสว่างและโปร่งโล่งมากๆ
และด้านในสุดก็จะมีห้องประชุมอยู่อีกห้อง กั้นห้องด้วยประตูกระจกบานเฟี้ยมแบบใส ซึ่งอาจยังไม่เป็นส่วนตัวเท่าไหร่นัก คงจะต้องมีม่านหรือมู่ลี่กั้นอีกสักชั้นหนึ่งจะดี (อนาคตอาจมีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนประตูนี้ใหม่ เพราะวันที่ไปถ่ายรีวิวผมลองปิดประตูนี้ดู ปรากฏว่ามันปิดได้ไม่สนิทครับ ซึ่งผมแจ้งทางโครงการไปให้แล้วเน้อ)
ส่วนด้านในก็เป็นโต๊ะตัวยาวขนาด 8 ที่นั่ง ที่สามารถนั่งทำงานกลุ่ม หรือประชุมกันได้จริงจังหลายคนเลยครับ
ขึ้นมาที่ชั้นพักอาศัยจะเริ่มตั้งแต่ชั้น 2 เป็นต้นไป แล้วจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงครับ ช่วงแรกคือชั้น 2 – 9 จะมีห้องพักทั้งหมด 36 ห้องต่อชั้น ตัวอาคารเป็นรูปตัว S ทำให้ไม่บังวิวกันเอง และวางโถงลิฟต์เอาไว้ค่อนไปทางขวา โดยหลักๆของชั้นนี้จะมีห้องอยู่ด้วยกัน 3 Type ครับ ซึ่งจะอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ประกอบด้วย
- ห้อง Studio เป็นห้องที่มีแค่ชั้นละ 2 ห้องเท่านั้นครับ (ในกรอบสีแดง) มีผนังที่ติดกับเพื่อนบ้านแค่ด้านเดียว ทำให้มีความเป็นส่วนตัว แต่ก็เป็นห้องที่ขายหมดอย่างรวดเร็วตั้งแต่เปิดตัวแรกๆเลยครับ ถ้าใครสนใจตอนนี้ต้องลองหาซื้อ Resale ดูนะ
- ห้อง 1 Bedroom เป็นห้องตำแหน่งสีฟ้าที่มีอยู่เฉพาะด้านฝั่งทิศใต้และทิศตะวันตกเท่านั้น
- ห้อง 1 Bedroom Plus เป็นห้องตำแหน่งสีครามที่จะมีอยู่เฉพาะด้านฝั่งทิศเหนือและทิศตะวันออกเท่านั้น
- ห้อง 1 Bedroom ขนาด 34.5 ตารางเมตร เป็นห้องพิเศษที่มีอยู่ตำแหน่งเดียวในชั้น (กรอบสีส้ม) ซึ่งนอกจากจะเป็นห้องมุมแล้ว หน้าห้องยังเหมือนได้โถงทางเดินส่วนตัวอีกด้วยนะ
จะเห็นได้ว่าวิธีการเลือกห้องของโครงการนี้ชัดเจนมากๆครับ อย่างแรกเลยคือคุณต้องเลือกแบบห้องที่เหมาะกับ Lifestyle ของตัวเองก่อน จากนั้นก็จะเลือกทิศที่ต้องการ ซึ่งจะเหลือแต่ 2 ทิศเท่านั้นที่ห้องแต่ละ Type จะหันไปครับ
ส่วนชั้นพักอาศัยช่วงต่อมาคือชั้น 10 – 27 จะแตกต่างกันแค่ห้องบริเวณด้านหน้าโครงการจะเปลี่ยนเป็น 2 Bedrooms ขนาดใหญ่ 2 ห้อง ทำให้จำนวนห้องต่อชั้นลดลงไป 2 ห้อง ซึ่งก็จะมีวิวให้เลือกแค่ 2 ด้านเท่านั้นคือ
- กรอบสีแดง เป็นห้องที่หันออกไปด้านหน้าโครงการ มองเห็นสถานีรถไฟฟ้าและอาคารเรียน ม.ศรีปทุม ซึ่งค่อนข้างการันตีวิวได้ครับว่าจะไม่มีตึกสูงขึ้นบังอีกแน่ๆในอนาคต แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรเลือกชั้นสูงๆขึ้นไปหน่อย เอาให้เลยความสูงของอาคารมหาลัย เพื่อที่จะได้มองเห็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ของกรมทหารราบ 11 ที่อยู่ด้านหลังได้ครับ และนอกจากนี้ยังเป็นห้องที่เป็นส่วนตัวมากๆ เพราะไม่มีผนังติดกับใครเลย แต่จะต้องเดินจากโถงลิฟต์ไกลสุดเช่นกันนะ
- กรอบสีเขียว เป็นห้องที่หันไปทางทิศเหนือ ได้วิวทางฝั่งสะพานใหม่ และถ้ามองเฉียงๆมาด้านขวามือ ก็ยังได้วิวพื้นที่สีเขียวของกรมทหารราบ 11 อีกด้วยครับ ถือว่าค่อนข้างสวยเลยทีเดียวแหละ
มาดูชั้นพักอาศัยของจริงกันสักหน่อยครับ เริ่มที่โถงลิฟต์จะตกแต่งด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนสีขาวเช่นเดียวกับ Lobby แถมยังมีช่องหน้าต่างบริเวณนี้ ทำให้โถงลิฟต์ไม่อึดอัด ดูสว่าง และกว้างมากขึ้นครับ แต่ที่น่าสนใจจริงๆคือ จะมีลิฟต์อยู่ตัวหนึ่งที่มีฟังก์ชันสำหรับคนพิการหรือนั่งวีลแชร์อยู่ด้วยครับ
สังเกตได้จากปุ่มเรียกลิฟต์ที่จะอยู่ต่ำกว่าแบบปกติ และเมื่อกดไปก็จะเป็นการเรียกใช้เฉพาะลิฟต์นี้เท่านั้น ซึ่งผมคาดว่าภายในน่าจะมีฟังก์ชันสำหรับคนพิการเหมือนกัน และน่าจะกว้างกว่าปกติเพื่อรองรับรถเข็นวีลแชร์ด้วย (พอดีวันที่ไปถ่ายรีวิวเค้าปิดปรับปรุงอยู่ครับ)
ส่วนภายในลิฟต์ปกติก็จะเป็นลิฟต์แบบล็อคชั้น สามารถแตะ Key Card เพื่อไปยังชั้นพักอาศัยของตัวเอง หรือจะไปชั้นส่วนกลางได้เท่านั้นครับ
ส่วนบรรยากาศบริเวณโถง Corridor ด้วยลักษณะตัวอาคารที่ค่อนข้างยาวอยู่สักหน่อย บริเวณช่วงกลางๆอาจดูมืดไปบ้างเล็กน้อย เลยมีการเปิดไฟช่วยเพิ่มแสงสว่างให้ในตอนกลางวันด้วยครับ แต่ดีหน่อยที่ตรงปลายทางเดินแต่ละจุดจะมีช่องแสงอยู่ตลอด ไม้เว้นแม้แต่ภายในบันไดหนีไฟ ก็จะอยู่ติดกับพื้นที่ด้านนอกอาคาร ซึ่งเค้าออกแบบช่องผนังให้อากาศถ่ายเทได้เต็มที่เลยครับ
ส่วนห้องทิ้งขยะและลิฟต์ขนของก็จะอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ตรงกับห้องพักอาศัยห้องไหน ถือว่าวางตำแหน่งได้ดี ด้านในยังมีช่องหน้าต่างที่เปิดระบายอากาศได้ทั้งหมด และถ้าเป็นห้องทิ้งขยะก็จะมีการกั้นส่วนซักล้างเอาไว้ให้เป็นสัดส่วนด้วยครับ
แปลนชั้น 28 เป็นชั้น Main Facilities ซึ่งถือเป็น Highlight ของโครงการ มีการแบ่งแยกโซนชัดเจน โดยทางด้านขวาจะเป็น Private Zone ที่ต้องการความเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อน ประกอบด้วยพื้นที่สวน และ Sky Lounge ซึ่งมีการแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็น Meeting Room ให้ขึ้นมานั่งทำงานอ่าหนังสือกันได้ด้วย ส่วนทางด้านซ้ายจะเป็น Active Zone เป็นพื้นที่เน้นการออกกำลังกาย ประกอบด้วย Fitness ขนาดใหญ่ และสระว่ายน้ำครับ ของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลยดีกว่า
เมื่อออกจากลิฟต์มาแล้วก็จะมีทางแยกออกซ้าย-ขวาครับ (เป็นกระตูบานเล็กและบานใหญ่)
โดยทางด้านขวาในภาพหรือทางที่เป็นประตูบานเล็ก จะเป็นทางออกมายังสวนภายนอก ถึงแม้ขนาดจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ค่อนข้างเป็นส่วนตัวอยู่เหมือนกันครับ
ส่วนถ้าเราออกจากโถงลิฟต์มาทางประตูด้านซ้ายของภาพ หรือทางประตูใหญ่ จะเป็นทางมายัง Facilities หลัก ภายนอกจะเจอกับพื้นที่ Semi – Outdoor ซึ่งจะมีฟังก์ชันแยกออกไปอีก ซ้าย-ขวา
งั้นเรามาดูห้องกระจกที่อยู่ทางด้านซ้ายก่อนเลยครับ
ภายในคือ Sky Lounge ซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่ทีเดียว โดยผมสามารถแบ่งออกเป็น 3 โซนหลักๆด้วยกันดังนี้
โซนแรกเป็นพื้นที่โซฟานั่งเล่นแบบ Double Space และเป็นโซนเดียวของห้องนี้ที่สามารถชมวิวจากหน้าต่างด้านข้างได้ครับ เพราะว่าโซนอื่นๆจะมีแนวต้นไม้ด้านนอกบังสายตาเอาไว้ ทำให้มองไม่เห็นวิวภายนอก แต่จะทำให้รู้สึกสดชื่น และเป็นธรรมชาติมากกว่าครับ
ถัดเข้ามาตรงกลางจะเป็นพื้นที่สันทนาการ หลักๆคือจะมีโต๊ะพูลตั้งอยู่ตรงกลาง ซึ่งอุปกรณ์การเล่นต่างๆ จะมีเตรียมไว้ให้อยู่ที่ผนังด้านข้าง แต่ลูกบอลจะต้องไปเบิกกับนิติด้วยตัวเองนะครับ
ติดกันจะเป็นพื้นที่นั่งเล่นอีกจุดหนึ่ง เหมาะที่จะมานั่งเล่น จัดปาร์ตี้กับเพื่อนๆ หรือจะมานั่งทำงานอ่านหนังสือก็ได้นะ เพราะห้องนี้ในอนาคตทางโครงการบอกว่าจะติด Wi-Fi ให้ด้วยล่ะ
ส่วนด้านในสุดจะเป็นห้องประชุมครับ มีประตูกระจกบานเลื่อนกั้นปิดแยกกับพื้นที่อื่นๆ เพื่อความเป็นสัดส่วน แต่ถ้าอยากได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ก็อย่างที่ผมบอกไปเหมือนห้องด้านล่างครับ ว่าสามารถติดม่านหรือมู่ลี่เพิ่มเติมได้
โดยภายในจะมีโต๊ะตัวยาวขนาดใหญ่ 10 ที่นั่ง และผนังโดยรอบจะเป็นกระจกทั้งหมด ทำให้โปร่งโล่ง และสามารถ Take View สวนภายนอกที่ผมพาไปดูมาแล้วก่อนหน้านี้ได้ด้วย แต่จะไม่สามารถออกไปที่สวนจากภายในห้องนี้ได้นะครับ ซึ่งนอกจากจะใช้เป็นห้องประชุมแล้ว ยังอาจใช้เป็นห้องอเนกประสงค์อื่นๆได้ด้วย เช่น ห้องจัดปาร์ตี้ หรือชวนเพื่อนๆมาทานอาหารร่วมกัน เป็นต้น
กลับมาที่โถงหน้าลิฟต์ คราวนี้เราจะไปดูอีกฝั่งของอาคารกันบ้างครับ ซึ่งก็จะต้องเดินผ่านสวนตรงนี้ไปก่อนนะ โดยเค้าจะปูหญ้าจริงเอาไว้ให้ และปลูกต้นไม้ประดับอีกนิดหน่อยให้พอสวยงาม ซึ่งในอนาคตเราสามารถเสนอนิติให้ทำเป็นฟังก์ชันอื่นๆที่น่าใช้งานมากขึ้นได้นะ เช่น อาจปลูกต้นไม้เพิ่มเติม มีศาลานั่งเล่น ทำเป็นลานโยคะ หรือสนามเด็กเล่น เป็นต้น
เดินตรงต่อมาเราก็จะเจอกับห้องน้ำแยกชาย-หญิงครับ
ภายในก็จะมีทั้งโถสุขภัณฑ์ ห้องอาบน้ำ ตู้ล็อคเกอร์ และห้อง Sauna พร้อมใช้งาน แต่ขนาดจะไม่ใหญ่มากนัก และมีฟังก์ชันอย่างละ 1 ห้องเท่านั้นครับ
ห้องอาบน้ำและ Suna ก็จะเป็นแบบนี้เลย ขนาดเล็กไปหน่อย และมีจำนวนห้องน้อย อาบน้ำพร้อมกันแบบแยกห้องไม่ได้ คงต้องต่อคิวกันหน่อย ส่วน Sauna เข้ามาได้เต็มที่ก็ 2 คนครับ ( 4 คนนั่งแบบเบียดๆกัน ก็จะแปลกๆไปสักหน่อย)
ออกมาจากห้องน้ำก็จะมีทางเดินต่อมาที่ Fitness และสระว่ายน้ำ โดยเค้าจะออกแบบโถงทางเดินให้เป็นทางลาดเดินได้สะดวก สามารถเข็นรถเข็นมาริมสระก็ได้ ซึ่งผมจะพาเข้าไปดูใน Fitness กันก่อนนะ
ภายใน Fitness ค่อนข้างใหญ่ และยาวมากเลยทีเดียวครับ เป็นห้องแบบฝ้าเพดานสูง และโดยรอบเป็นผนังกระจก มีเครื่องออกกำลังกายหลายชิ้น และแบ่งโซนการใช้งานออกชัดเจน
โซนแรกทางซ้ายมือจะเป็นโซนคาดิโอ (Cardio) ที่จะเน้นการเบิร์นเพื่อเผาผลาญไขมัน มีให้เลือกเล่นทั้งลู่วิ่ง และปั่นจักรยาน
อย่างที่บอกครับว่าอาคารนี้เป็นตึกสูงที่ได้เปรียบเรื่องวิวมากๆ โดยเฉพาะห้อง Fitness นี้จะสามารถออกกำลังกายไป และ Take View ภายนอกได้เต็มที่ เรียกได้ว่าวิวสวยมากๆครับ คนรักการออกกำลังกายน่าจะถูกใจกันมากเลยทีเดียว
ส่วนอีกโซนหนึ่งคือ เวท เทรนนิ่ง (Weight Training) สำหรับท่านชายทั้งหลายที่อยากจะเพิ่มกล้ามและ Six pack ซึ่งโดยปกติแล้วฟังก์ชันนี้มักจะถูกนำไปอยู่ในพื้นที่ด้านหลังของ Fitness ที่ติดกับผนังทึบ จะมีก็แต่โซนคาดิโอเท่านั้น ที่จะอยู่ติดริมหน้าต่างใช่มั๊ยครับ แต่สำหรับโครงการนี้โซนนี้ก็อยู่ติดหน้าต่าง และ Take View ได้เหมือนกันนะ เหนื่อยก็พักยืนชมวิวสวยๆ จิบเวย์โปรตีนริมหน้าต่างแบบคูลๆเท่ๆ กันไปครับ
ออกมาดูสระว่ายน้ำด้านนอกกันบ้างครับ เริ่มจากทางลงของสระจะอยู่ตอนต้นของสระตรงนี้เลยครับ
โดยสระนี้จะเป็นสระระบบเกลือ รูปตัว L และมีขนาด 4 x 25 m. จุดเด่นเลยคือเป็นสระไร้ขอบที่สามารถว่ายน้ำไปและชมวิวไปได้ด้วยครับ
โดยวิวที่ดีที่สุดสำหรับผมคืออยู่ตรงมุมสระ เพราะหันหน้าไปทางพื้นที่สีเขียวของกรมทหารราบ 11 ซึ่งทิศทางนี้ในอนาคตก็ยังการันตีวิวได้อยู่นะครับ ว่าจะไม่มีตึกสูงขึ้นมายังวิวแน่นอน เพราะเลยจากนี้ไปก็มีแต่พื้นที่ของทหาร และเข้าสู่เขตพื้นที่การบินแล้วครับ
ส่วนอีกมุมหนึ่งของสระจะเป็นพื้นที่ Sunken ลงไปในสระว่ายน้ำ เอาไว้นั่งเล่นนั่งคุยกับเพื่อนที่กำลังว่ายน้ำอยู่ในสระก็ได้นะ
ซึ่งถ้าใครที่ยังนึกไม่ออกว่าลงเป็นแล้วจะได้ฟิลยังไง ผมก็ได้ถ่ายภาพมาฝากกันด้วยครับ อารมณ์จะเป็นประมาณนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนเราได้ลงมาในสระว่ายน้ำด้วย แต่ไม่อยากตัวเปียกนั่นเอง
โดยรวมแล้วก็อย่างที่ผมบอกไปครับ ว่าโครงการนี้ได้เปรียบในเรื่องวิวมากๆ เพราะเป็นอาคารสูง โดย Sky Facilities ที่โดดเด่นที่สุดจริงๆ จะเป็นโซนออกกำลังกายทั้งหมด เพราะทั้ง Fitness หรือสระว่ายน้ำ จะสามารถออกกำลังกายไปและชมวิวไปได้ด้วย ซึ่งคนที่เป็นสายรักสุขภาพน่าจะถูกใจสิ่งนี้นะครับ แต่สำหรับโซน Sky Lounge ฟังก์ชันภายในก็น่ามาใช้งานดี แต่จะไม่ได้เน้นการชมวิวสักเท่าไหร่ เหมาะที่จะมานั่งเล่นอ่านหนังสงบๆ ชิลๆมากกว่าครับ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- Ground Floor ภายใน :
- Lobby High Ceiling ขนาดใหญ่
- Laundry
- Co-Working Space
- Meeting Room
- Shop ร้านค้า 3 ยูนิต (ยังไม่คอนเฟิร์มร้านค้า)
- Garden พื้นที่สีเขียวประมาณ 2,200 ตร.ม. (มีทำเป็นทาง Jogging Track)
- Swimming Pool 1 สระ ระบบเกลือ ขนาด 4 x 25 เมตร แบ่งสระเด็กลึก 30 เมตร สระผู้ใหญ่ลึก 1.2 เมตร
- Fitness 1 ห้อง
- Sky Lounge + Meeting Room
- Sky Garden พื้นที่ประมาณ 305 ตร.ม.
แบบห้อง
มาดูห้องตัวอย่างกันบ้างครับ โดยโครงการจะมีแบบห้องทั้งหมด 5 Type และขายแบบ Fully Fitted คือให้เฟอร์นิเจอร์มาบางส่วน ได้แก่ ชุดครัว Built in ตู้เสื้อผ้า เครื่องปรับอากาศ และสุขภัณฑ์ต่างๆในห้องน้ำครบ รวมถึงยังติดรางม่าน และมีม่านโปร่งทั้งห้องอีกครับ แบบห้องประกอบด้วย
- Studio ขนาด 21.5 ตร.ม.
- 1 Bedroom ขนาด 26.5 ตร.ม.
- 1 Bedroom Plus ขนาด 31.5 ตร.ม.
- 1 Bedroom Suite A&B ขนาด 33.5-34.5 ตร.ม.
- 2 Bedrooms ขนาด 60 ตร.ม.
ซึ่งทางโครงการมีห้องตัวอย่างให้ดู 2 แบบครับ คือ 1 Bedroom ขนาด 26.5 ตร.ม. กับ 2 Bedrooms ขนาด 60 ตร.ม. และตอนนี้คอนโดก็สร้างเสร็จแล้ว เราสามารถดูวิวของห้องตำแหน่งจริงได้เลยนะ จะเป็นอย่างไรบ้างเราไปชมกันเลยดีกว่าครับ
ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 60 ตร.ม. เป็นห้องตัวอย่างที่ตอนสมัยเป็น Sale Gallery ยังไม่เคยมีให้ดูนะครับ อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าห้องนี้เป็นห้องมุม และอยู่ตั้งแต่ชั้น 10 ขึ้นไป เป็นห้องหน้ากว้างที่ภายในมี Common area ค่อนข้างใหญ่ และครัวก็จะไม่ได้กั้นแยกเพื่อความโปร่งโล่ง แต่ถ้าอยากกั้นครัวก็มีระยะสามารถทำได้ ที่อยากให้สังเกตคือระเบียงครับ ไม่ใช่ระเบียงที่ไว้ชมวิวจากห้องนั่งเล่น แต่เป็นระเบียงใช้งานวางเครื่องซักผ้า / Condensing Unit และต้องการดึงแสงเข้ามาที่โถงกลางมากกว่า ทำให้ระเบียงไม่ไปกินพื้นที่ของห้องนั่งเล่น สามารถใช้สอยพื้นที่ภายในได้เต็มที่มากขึ้น ห้องนอนมี 2 ห้อง แยกห้องน้ำ 2 ห้องไม่ต้องแย่งกันใช้ โดยที่ห้อง Master Bedroom จะมีขนาดใหญ่มากครับ แล้วยังได้ช่องแสงถึง 2 ด้านอีกด้วย ห้องนี้จึงเหมาะกับคนที่ชอบมีพื้นที่ใช้สอยเยอะๆเหมือนอยู่บ้าน หรืออาจจะอยู่ด้วยกัน 2 – 3 คน ซึ่งมีพื้นที่ใช้งานร่วมกันขนาดใหญ่ แต่ก็มีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองแยกเป็นสัดส่วนครับ และของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลย
เริ่มกันที่ประตูหน้าห้องจะได้เป็นไม้บานทึบสีขาว พร้อมมีตาแมวแบบนี้
ติดตั้ง Digital Door Lock ของ Hafele มาให้ครับ ใช้ได้ทั้งรหัสผ่าน Key Card และแบบไขกุญแจ
เมื่อเข้ามาในห้องก็จะเจอกับ Common area ที่เชื่อมถึงกันยาวไปจนถึงหน้าต่างขนาดใหญ่ด้านใน ที่ช่วยดึงแสงธรรมชาติเข้ามาถึงหน้าห้อง ทำให้ห้องดูสว่างและโปร่งโล่งมากๆ
พื้นที่ส่วนแรกตรงหน้าห้องคือ “ครัว” ซึ่งเราจะได้เป็นครัวเปิดไม่มีผนังกั้นแบบนี้ แต่ก็สามารถกั้นปิดได้นะครับถ้าเป็นคนชอบทำอาหาร และจากภาพจะเห็นว่ามีการดรอปฝ้าลงมาประมาณ 10 cm. เผื่อในส่วนของงานระบบด้านบน ทำให้ความสูงพื้นถึงฝ้าหน้าห้องคือ 2.5 m. และด้านในห้องคือ 2.6 m. ครับ
อีกอย่างที่อยากให้สังเกตคือ ตัวสปริงค์เกอร์ดับไฟ โครงการนี้จะใช้ทั้งแบบติดบนฝ้าเพดาน และแบบติดด้านข้างเลยครับ รวมถึงฝ้าจะเป็นฉาบเรียบทาสี และได้ไฟดาวน์ไลท์แบบฝังฝ้าเหมือนในภาพแบบนี้ทั้งห้องเลย
ระยะทำครัวกว้าง 1.3 x 1.4 m. ปูพื้นกระเบื้องเซรามิค ทำให้สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายครับ ส่วนพื้นในห้องด้านในจะเป็นพื้นไม้ลามิเนตนะ
เคาน์เตอร์ครัวทางขวามือจะได้ตามนี้เลยครับ ภายในมีช่องเก็บของพอสมควร บานเปิดทุกบานติดตั้งเป็น soft close ทั้งหมดเลย ปิดแรงๆได้ไม่มีกระแทกครับ
Top เคาน์เตอร์เป็นหินสังเคราะห์ ติดตั้ง Blacksplash กระเบื้องเซรามิค และ Hob&Hood แบบ 2 หัวของ Hafele แล้วต่อท่อดูดควันออกไปนอกห้อง ส่วนอ่างล้างจานแบบ 1 หลุมของ Hafele เช่นกัน ขนาด 49 x 49 cm. ลึก 17 cm. โดยเค้าจะมีฝาปิดแบบนี้มาให้ด้วยครับ ทำให้เราสามารถขยายพื้นที่วางของหรือพื้นที่ประกอบอาหารได้กว้างมากขึ้น จากเดิมที่มีแค่ 30 cm. ก็จะกลายเป็น 95 cm. ครับ
ส่วนฝั่งตรงข้ามจะเป็นที่วางตู้เย็น พร้อม Built ตู้เก็บรองเท้ามาให้แบบนี้เลยครับ สามารถเก็บได้มากสุด 14 คู่ แล้วยังอยู่ติดกับประตูเข้าห้องอีกด้วย ทำให้ใช้งานได้สะดวกมากๆครับ ที่สำคัญคือ ระยะบานตู้เวลาเปิดแล้วจะไม่ชนกับประตูด้วยนะ ทำให้เปิดพร้อมๆกันได้เลย
ถัดเข้ามาในห้องจะเป็น Common area ขนาดใหญ่ เพราะเนื่องจากห้องนี้เป็นห้องหน้ากว้าง หลักๆคือพื้นที่นั่งเล่นที่อยู่ติดกับหน้าต่าง มีระยะดูทีวีกว้าง 2.6 m. สามารถใช้ทีวี 46 – 50 นิ้วได้ โดยพื้นที่นี้มีขนาดที่ใหญ่มากพอที่จะวางโซฟารูปตัว L และโต๊ะกลางได้สบายๆเลยครับ
ส่วนด้านหลังโซฟาจะมีพื้นที่ให้วางโต๊ะทานอาหาร หรือใช้เป็นโต๊ะอเนกประสงค์ก็ได้ เพราะมุมนี้ของโต๊ะยังสามารถดูทีวีได้เหมือนกัน แล้วยังได้แสงจากระเบียงที่อยู่ข้างๆ ทำให้บริเวณกลางห้องนี้ไม่มืดทึบหรืออึดอัดเลยครับ
โดยพื้นที่วางโต๊ะทานอาหารจะกว้าง 1.9 m. สามารถวางโต๊ะขนาด 4 ที่นั่งได้ และยังมีทางเดินเหลือด้านข้างอีก 70 cm. ครับ
กรอบบานประตูหน้าต่างทั้งหมดจะเป็นอลูมิเนียมสีดำ และใช้กระจกเขียวตัดแสง ธรณีประตูยกขอบ 12 cm. เพื่อห้องกันน้ำไม่ให้ไหลเข้ามาในห้อง แต่ที่อยากให้สังเกตคือ เวลาเราเปิดประตูบานนี้แล้วจะไปชนกับท่อน้ำทิ้งของเครื่องซักผ้าด้านนอกพอดี ทำให้ไม่สามารถเปิดประตูได้สุดนั่นเองครับ
และระเบียงนี้เป็นระเบียงใช้งานนะ ไม่สามารถชมวิวได้ แต่พอจะมีแสงลอดผ่านระแนงนี้เข้ามาได้อยู่ และอากาศถ่ายเทได้ตามปกติ ระเบียงมีขนาด 1.9 x 1 m. สามารถวางเครื่องซักผ้า และแขวน Condensing unit ไว้ด้านข้าง เป่าลมร้อนออกไปด้านนอก รวมถึงยังสามารถใช้พื้นที่ตรงนี้ตากผ้าได้อีกด้วยครับ
มองย้อนกลับเข้ามาในห้อง ฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้องน้ำครับ
ภายในห้องน้ำมีการแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน ซึ่งทุกอย่างดูแล้วก็ปกติดีครับ แต่ความจริงคือห้องน้ำนี้เป็นห้องน้ำสำเร็จรูปนะ
จุดสังเกตคือ พื้นห้องน้ำมีการยกระดับสูงขึ้นมาจากพื้นห้อง 15 cm. และถ้าเดินๆอยู่ด้านในบางคนก็จะรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในกล่องโปร่งๆ แต่ถ้าใช้งานไปนานๆก็จะชินไปเองครับ โดยความจริงแล้วห้องน้ำสำเร็จรูปแข็งแรงกว่าที่คิดนะ คุณภาพก่อสร้างได้มาตรฐานมาจากโรงงานเท่ากันทุกยูนิต และช่วยลดปัญหาน้ำรั่วซึมไปยังห้องด้านล่างได้ดีกว่าห้องน้ำทั่วไปอีกด้วย
สนใจอ่านบทความเพิ่มเติมคลิก : ” ห้องน้ำสำเร็จรูป ” แตกต่างจากห้องน้ำทั่วไปอย่างไร ?
สุขภัณฑ์ภายในเป็นของ Hafele ทั้งหมดครับ ประกอบด้วยอ่างล้างหน้าขนาด 58 x 40 cm. ลึก 10 cm. ด้านหลังมีผนัง Low Wall ให้วางของได้ ข้างๆกันเป็นโถสุขภัณฑ์ ติดตั้งมาพร้อมกับสายฉีดชำระ และที่แขวนกระดาษชำระครับ
พื้นที่อาบน้ำขนาด 85 x 85 cm. มีขอบธรณีสูง 5 cm. ป้องกันน้ำไหลออกมา และติดตั้งฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัย Tempered Galss แบบบานสวิงค์มาให้ครับ ซึ่งตรงขอบประตูจะมีแถบยางช่วยกันน้ำไหลออกมาได้ และที่จับประตูด้านในก็จะเป็นยางด้วยเช่นกันครับ ช่วยทำหน้าที่เป็นตัว Stopper กันประตูกระแทกกับผนังไปในตัว
ภายในติดตั้ง Hand Shower และมีเสาที่ปรับระดับความสูงกับองศาได้มาให้ด้วย ที่ผนังมีเจาะช่องให้วางสบู่หรือแชมพูได้ รวมถึงมี Junction box อยู่ด้านบนเผื่อติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น ส่วนฝ้าเพดานจะฉาบเรียบทาสี มีไฟดาวน์ไลท์ฝังฝ้า 2 ดวง และติดพัดลมดูดอากาศมาให้ด้วย
ออกมาจากห้องน้ำ ต่อไปเราจะไปดูห้องนอนกันบ้าง ซึ่งด้านซ้ายจะเป็นห้องนอนเล็ก ส่วนตรงกลางจะเป็น Master Bedroom ซึ่งโถงทางเดินหน้าห้องนี้จะกว้าง 1 .1 m. สามารถเดินผ่านได้สะดวกครับ
ภายในห้องนอนเล็กจะมีขนาดประมาณ 2.3 x 3.15 m. และมีช่องหน้าต่างบานกระทุ้ง 1 ช่อง ช่วยให้แสงเข้ามาและเปิดระบายอากาศได้
โดยเมื่อเราวางเตียงขนาด 3.5 ฟุตไปแล้ว จะยังพอมีพื้นที่เหลือให้ได้ใช้งานได้พอดีๆ อย่างพื้นที่แต่งตัวหน้าตู้เสื้อผ้าจะเป็น 60 cm. และพื้นที่ปลายเตียงเหลือ 1.15 m. ครับ
ตู้เสื้อผ้านี้เค้าจะ Built มาให้แบบนี้เลยนะ หน้าบานเป็นกระจกบานเลื่อนสีดำ ซึ่งช่วยประหยัดพื้นที่ในการเปิด-ปิดได้ แต่ก็พอจะมองเห็นภายในตู้อยู่ด้วยครับ ซึ่งถ้าใครที่ตู้รกๆหน่อยก็อาจดูไม่สวยงามนัก แต่ถ้าจัดดีๆหน่อยก็ดูสวยและโปร่งดีไปอีกแบบนะ
ภายในตู้มีพื้นที่เก็บเสื้อผ้าเพียงพอต่อการอยู่อาศัย 1 คน และเลื่อนเปิดโดยมีแถบอลูมิเนียมแบบนี้ให้จับได้ง่ายๆ แต่สิ่งที่ยังขาดไปคือกระจกเงาไว้ส่องแต่งตัว แนะนำให้ติดที่ด้านข้างของตู้ก็ได้ครับ
ส่วนปลายเตียงก็สามารถวางโต๊ะอเนกประสงค์ไว้นั่งทำงานอ่านหนังสือเล็กๆได้ ถ้าเลือกเป็นโต๊ะใหญ่หน่อยก็นั่งบนเตียงได้เลยครับ
สุดท้ายคือห้อง Master Bedroom ซึ่งพอเข้าประตูมาก็จะยังไม่เห็นพื้นที่ทั้งหมดของห้องนะ เพราะเป็นห้องหน้ากว้าง แต่ก็ค่อนข้างโปร่งโล่งเลยทีเดียว เพราะหน้าต่างเยอะ
ด้านซ้ายจะเป็นพื้นที่เตียงนอนครับ ซึ่งอย่างที่บอกว่าห้องนี้เป็นห้องมุม จึงได้ผนังกระจกถึง 2 ด้าน และให้ช่องแสงเกือบเต็มผนังทั้งหมด ห้องเลยค่อนข้างกว้างและโปร่งโล่งมากๆ
พื้นที่รอบเตียงสามารถใช้งานได้สะดวกนะครับ ปลายเตียงเหลือ 50 cm. และด้านขวาของเตียงเหลือ 70 cm. โดยที่เราสามารถใช้เตียงขนาด king size เลยก็ได้
ปลายเตียงจะเป็นเสาทึบครับ สามารถติดทีวีแขวนผนังที่ปลายเตียงได้
แต่ทีเด็ดสำหรับห้องนี้คือ วิวที่ได้จากเตียงจะเป็นพื้นที่สีเขียวของกรมทหารราบ 11 พอดีครับ ถือว่าวิวดีมากๆเลยนะครับเนี่ย อีกทั้งยังเป็นกระจกเข้ามุม Bay Window ที่ช่วยเพิ่มมุมมองให้กว้างมากขึ้นอีกครับ
ส่วนอีกด้านของห้องจะเป็นพื้นที่อเนกประสงค์และพื้นที่แต่งตัวครับ โดยตรงจุดนี้ก็มีหน้าต่างขนาดใหญ่เหมือนกัน และสามารถเปิดบานกระทุ้งเพื่อระบายอากาศได้อีกด้วย ซึ่งถ้าเราเปิดบานกระทุ้งตรงนี้ กับที่ข้างเตียงเมื่อสักครู่ จะทำให้อากาศถ่ายเทได้ดีทั่วห้องเลยล่ะครับ ส่วนโต๊ะตรงนี้เราจะทำเป็นโต๊ะนั่งทำงานอ่านหนังสือ หรือโต๊ะเครื่องแป้งก็ได้นะแล้วแต่เรา เพราะเค้าไม่ได้แถมมาให้อยู่แล้ว
ส่วนที่เราจะได้จริงๆคือชุดตู้เสื้อผ้า Built in ทั้งหมดนี่เลยครับ สามารถเก็บของได้เยอะมากๆ
และติดกันจะเป็นห้องน้ำครับ ซึ่งก็เป็นห้องน้ำสำเร็จรูปเหมือนกับห้องด้านนอกเมื่อกี้เลย มีระยะต่างๆที่เหมือนกันทุกอย่างอีกด้วย
ห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 31.5 ตร.ม. ภายในแบ่งฟังก์ชันส่วนพักอาศัย และส่วนใช้งานออกจากกันได้เป็นสัดส่วนดี พื้นที่ส่วนแรกจะเป็นห้องนั่งเล่น โดยที่โต๊ะทานอาหารจะเป็นแบบวางเข้ามุมเล็กๆ ซึ่งเราอาจปรับเปลี่ยนฟังก์ชันโดยการขยายโซฟา แล้วใช้โต๊ะที่นั่งทานอาหารที่โซฟาเลยก็ได้ ด้านในเป็นห้องนอนซึ่งกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ทำให้พื้นที่ดูเชื่อมต่อกันและโปร่งโล่งมากขึ้น ส่วนด้านซ้ายจะเป็นครัวเปิดไม่ได้กั้นผนังมาให้ แต่ถ้าจะทำก็ทำได้นะ ห้องน้ำใช้งานร่วมกันทั้งส่วนกลางและห้องนอน ส่วนที่อยู่ติดกับระเบียงจะเป็นห้องอเนกประสงค์ ซึ่งสามารถทำเป็นห้องนอนเสริม ห้องทำงาน ห้องแต่งตัว หรือห้องซักรีดก็ได้ครับ ของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมพร้อมๆกันเลย
ห้องที่แล้วผมลืมให้ดูพื้นหน้าห้องนะ ซึ่งจะมีขอบไม่สูงมาก แต่ก็พอจะกันเศษฝุ่นเล็กๆน้อยๆ จากโถงทางเดินไม่ให้เข้ามาภายในห้องเราได้ครับ
เมื่อเข้ามาภายในเราก็จะเจอกับพื้นที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งจะได้แสงสว่างจากหน้าต่างภายในห้องนอน ที่ส่องผ่านประตูกระจกบานเลื่อนมาถึงหน้าห้องได้ครับ ส่วนระยะดูทีวีจะอยู่ที่ 2.3 m. สามารถใช้ทีวี 40 – 46 นิ้วได้เลย
ด้านซ้ายหลังประตูมีตู้รองเท้า Built in มาให้แบบนี้ แต่เราจะไม่ได้ชั้นวางทีวีด้านข้างนะครับ
ส่วนฝั่งตรงข้ามมีพื้นที่ให้วางโซฟาได้มากสุด 3 ที่นั่งเต็มแบบนี้เลยครับ โดยห้องนี้ใช้เป็นโต๊ะอเนกประสงค์ตัวเล็ก เอาไว้นั่งทานอาหาร หรือทำงานอื่นๆจากบนโซฟา เพื่อประหยัดพื้นที่ไปด้วยในตัวแบบนี้เลย แถมเรายังนอนยืดขาดูทีวีได้ด้วยนะ
ติดกันเป็นประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอน สามารถเปิดออกได้กว้าง 1 m. ทำให้เดินหรือยกของผ่านได้สะดวก
โดยที่ประตูเป็นแบบเดินรางบนพื้น แต่ผมชอบรางนี้ตรงที่ เวลาเราเหยียบลงไปแล้วจะไม่รู้สึกเจ็บเท้าเหมือนรางแบบเก่าๆที่เคยใช้กันทั่วไป แต่ตัวร่องของล้อที่มีขนาดเล็กมาก ก็อาจเก็บฝุ่นและทำความสะอาดได้ยาก อาจต้องใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดเอานะครับ
ภายในห้องนอนมีขนาดพื้นที่ใช้สอยพอดีๆครับ ของจริงจะได้แค่ตู้เสื้อผ้า ไม่มีฐานเตียงนะ
ตู้เสื้อผ้าที่ Built in ให้มา จะพอดีกับการอยู่อาศัย 1 – 2 คน ซึ่งด้านหน้าก็มีพื้นที่แต่งตัวเหลืออยู่ประมาณ 1.1 m. ให้ใช้งานได้สบายๆ แต่สิ่งที่ขาดไปคือโต๊ะเครื่องแป้ง หรือกระจกแต่งตัวครับ ซึ่งเราอาจต้องเลื่อนเตียงไปชิดทางซ้าย เพื่อให้มีพื้นที่เหลือข้างตู้ได้อีกเล็กน้อยครับ
ส่วนพื้นที่ด้านซ้ายของเตียงจะเหลืออยู่ประมาณ 60 cm. และปลายเตียงอีก 45 cm. พอจะเดินผ่านได้แบบพอดีๆ
ทีเด็ดเลยคือช่องหน้าต่างที่ได้แบบกระจกเข้ามุม Bay Window ทำให้ช่วยเพิ่มมุมมองให้กว้างมากขึ้นครับ
ส่วนปลายเตียงก็เป็นผนังทึบ สามารถติดทีวีแขวนผนังได้นะครับถ้าต้องการ
หมดจากโซนพื้นที่พักผ่อนแล้ว ต่อไปเราจะไปดูพื้นที่ใช้งานอีกด้านของห้องกันบ้างครับ ซึ่งความกว้างของช่องประตูนี้คือ 80 cm. สามารถกั้นผนังกระจกเพื่อทำเป็นครัวปิดได้
และพื้นด้านในก็จะปูกระเบื้องเซรามิคมาให้แล้วเรียบร้อย ไม่ต้องกลัวน้ำหรือความชื้นจากการทำครัวและห้องน้ำเลยครับ โดยครัวนี้ก็มีพื้นที่ใช้สอยอยู่ประมาณ 1.5 x 1.15 m. สามารถใช้งานได้สะดวก
เคาน์เตอร์ครัวจะ Built in มาให้แบบนี้ ฟังก์ชันเหมือนกับห้องก่อนหน้านี้ทุกอย่างเลยครับ ซึ่งก็เพียงพอต่อการอยู่อาศัย 1 – 2 คน
ส่วนฝั่งตรงข้ามจะมีพื้นที่ขนาด 70 x 70 cm. ให้วางตู้เย็นได้
ภายในห้องน้ำก็เป็นห้องน้ำสำเร็จรูปเหมือนห้องอื่นๆเลยครับ แยกฟังก์ชันเป็นสัดส่วนชัดเจน
ฝั่งตรงข้ามกับห้องน้ำเป็นห้องอเนกประสงค์ ซึ่งกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ทำให้ห้องครัวและห้องน้ำได้แสงสว่างจากระเบียงภายนอกครับ และประตูนี้ก็จะมีตัวล็อคจากด้านในด้วย
ภายในห้องตัวอย่างจัดออกมาให้ดูเป็นห้องทำงานอเนกประสงค์ แต่ของจริงเราจะได้เป็นห้องเปล่าโล่งๆเลยครับ
ขนาดของห้องนี้คือ 2 x 2.3 m. เพียงพอที่จะวางเตียงขนาด 3.5 ฟุต แล้วทำเป็นห้องนอนเสริมอีกห้องได้ครับ เผื่อใครวางแผนอยากมีลูกในอนาคต และอาจมีเพื่อนหรือแขกมาเยี่ยมบ่อยๆ ก็ใช้ห้องนี้เป็นห้องรับรองได้เลย
ส่วนระเบียงภายในห้องนี้ก็เป็นระเบียงใช้งานเหมือนเดิมครับ ขนาด 2.45 x 0.9 m. สามารถวางเครื่องซักผ้าและตากผ้าได้เลย
มีสวิตซ์ไฟและปลั๊กต่างๆจะเป็นสีขาวหน้าตาแบบนี้
ห้อง Studio ขนาด 21.5 ตร.ม. มีเพียง 2 ห้องต่อชั้นเท่านั้น อย่างที่ผมบอกไปครับว่าห้องนี้ขายดีและหมดเร็วมาก เพราะเป็นห้อง Type เล็กสุดของโครงการ ที่พอทำราคาออกมาแล้วถูกกว่าห้องส่วนใหญ่ของโครงการมาก คนที่ซื้อเพื่ออยู่เองก็มีเงินเหลือให้ไปแต่งห้องเพิ่ม หรือผ่อนจ่ายกับธนาคารก็ไม่หนักจนเกินไป หรือคนที่เป็นนักลงทุนก็ทำค่าเช่าได้ดีกว่าห้องอื่นๆอีกด้วยครับ
โดยฟังก์ชันห้องนี้ด้านหน้าจะเป็นพื้นที่ใช้งาน ได้แก่ ห้องครัวและห้องน้ำ แล้วกั้นห้องด้านในด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ทำให้ยังได้ความโปร่งโล่ง แต่ช่วยป้องกันกลิ่นหรือความชื้นด้านหน้าห้อง ไม่ให้เข้าไปรบกวนพื้นที่พักผ่อนด้านในได้ดีเลยทีเดียว ส่วนรูปแบบของห้อง Studio พื้นที่ห้องนอนด้านในจะเชื่อมถึงต่อกันหมด ด้วยขนาดห้องที่เล็กจึงต้องแลกกับฟังก์ชันบางอย่างที่หายไป เช่น โต๊ะทานอาหาร หรือห้องนั่งเล่น แต่จะเหมาะกับคนที่ปกติก็ชอบใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องนอนอยู่แล้วครับ นอกจากนี้ยังมีมุมอเนกประสงค์ข้างหน้าต่างที่เราสามารถจัดเป็นมุมโปรดอะไรก็ได้ แล้วแต่ Lifestyle ของแต่ละคนเลยครับ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
ราคา
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 18 September 2019
- 1 Bedroom Plus 31.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.49 ล้านบาท
- 2 Bedrooms 60 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 7.09 ล้านบาท
- รูปแบบการขาย Fully Fitted
- ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.6 เมตร
- Kitchen & Sink / ท็อปหินสังเคราะห์
- Hob & Hood / ของยี่ห้อ HAFELE
- 1 Bedroom จองและทำสัญญา 5,000 บาท
- 2 Bedrooms จองและทำสัญญา 10,000 บาท
- ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 55 บาท/ตร.ม./เดือน
- โปรโมชั่นช่วงเดือนตุลาคม 2562 : ฟรี ทุกค่าใช้จ่ายวันโอนฯ
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
บทสรุป
ทำเล : โครงการ Ciela ศรีปทุม มีที่ดินอยู่ติดถนน 2 สาย และสามารถเข้า-ออกได้ถึง 2 ทาง ซึ่งปัจจุบันถนนพหลโยธินด้านหน้ามีการพัฒนาคมนาคมไปค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะอุโมงค์ทางลอด และสะพานข้ามแยกต่างๆ ทำให้การจราจรแถวนี้สะดวกมากขึ้น รวมถึงเป็นโครงการที่อยู่ติดรถไฟฟ้าอีกด้วย และจุดเด่นอีกอย่างคือ เป็นที่ดินที่ผืนสุดท้ายสามารถก่อสร้างอาคารสูงได้ ก่อนที่จะเข้าสู่เขตพื้นที่การบินและพื้นที่ของทหาร ทำให้ทางทิศเหนือของโครงการค่อนข้างการันตีวิวได้ดี แต่เรื่องความอุดมสมบูรณ์โดยรอบจะไม่คึกคักมากนัก อาจต้องพึ่งพาห้างใหญ่ๆแถวแยกรัชโยธิน และห้าแยกลาดพร้าวเป็นหลัก แต่ถ้าอนาคตรถไฟฟ้าเปิดใช้งานเมื่อไหร่ก็จะสะดวกขึ้นเยอะเลยครับ นอกจากนี้ทำเลยังอยู่ใกล้มหาลัย 2 สถาบัน มีศูนย์ราชการ และกรมทหารต่างๆ ซึ่งเป็นโครงการที่ค่อนข้างน่าสนใจสำหรับคนที่ทำงานแถวนี้
การเดินทางโดยใช้รถ : ค่อนข้างสะดวก เพราะเข้า-ออกถนนได้ 2 สาย ด้านหน้าเป็นถนนเส้นหลักอย่าง พหลโยธิน และด้านหลังสามารถออกถนนเลียบคลองบางเขน ซึ่งเป็นถนนตัดใหม่ได้ เชื่อมต่อระหว่างถนนพหลโยธินและถนนวิภาวดี ทำให้เข้า-ออกเมืองได้สะดวกมากขึ้น ไม่ต้องทนรถติดที่แยก ม.เกษตร เหมือนเก่าครับ นอกจากนี้ตัวโครงการจะแยกอาคารจอดรถไปไว้ด้านหลัง สามารถจอดได้ 40% ไม่รวมซ้อนคัน และมี Cover Walk Way ให้เดินเชื่อมต่อกันได้สะดวกครับ
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ถือว่าสะดวกมาก เพราะด้านหน้าโครงการคือรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือ สถานี ศรีปทุม ซึ่งจะเปิดใช้งานประมาณปีหน้านี้เอง นอกจากนี้ตัวโครงการยังอยู่ติดถนนใหญ่ ด้านหน้ามีป้ายรถเมล์ตั้งอยู่ เรียกรถสาธารณะได้ง่ายมากๆ
การออกแบบโครงการ : แบรนด์ Ciela ถือเป็นแบรนด์ใหม่ของ Garnd Unity ที่มีการออกแบบใหม่ ให้มีความ Modern มากขึ้น ต่างจากตัวเก่าๆที่ผ่านมา และด้วยลักษณะอาคารที่เป็นตึกใหญ่และยาว ทำให้โถง Lobby มีขนาดใหญ่ และทางเข้า Drop Off มีอยู่ด้วยกันถึง 2 จุด แต่ก็เป็นการแยกพื้นที่ความเป็นส่วนตัวกันได้ดี ด้านหน้าไว้รับแขก ด้านในของลูกบ้าน โดยที่ร้านค้าก็อยู่แยกอาคารออกไปไม่เสียความเป็นส่วนตัว และด้วยการที่เป็นอาคารสูง จึงนำจุดเด่นเรื่องวิวมาไว้ที่ชั้นดาดฟ้า เพื่อให้ลูกบ้านสามารถขึ้นไปชมวิวกันได้อย่างเต็มที่
ส่วนแปลนชั้นพักอาศัยออกแบบมาเป็นรูปตัว S ซึ่งเป็นทรงอาคารที่ไม่บังวิวกันเองเลยครับ โดยที่แต่ละด้านของอาคารจะมีแบบห้องที่แตกต่างกันออกไปหมดเลย ถ้าใครชอบห้อง 1 Bedroom ก็จะมีห้องทิศใต้-ตะวันตกให้เลือก ส่วนถ้าใครชอบ 1 Bed Plus ก็จะเป็นห้องทิศเหนือ-ตะวันตกครับ โดยที่ห้องพิเศษอย่าง Studio จะมีแค่ 2 ห้องต่อชั้นเท่านั้น และห้อง 2 Bedrooms จะมีตั้งแต่ชั้น 10 ขั้นไป ชั้นละ 2 ห้องและเป็นห้องมุมด้วย เพียงแต่จำนวนยูนิตรวมกันทั้งโครงการมีมากถึง 900 ห้อง และมีอัตราส่วนลิฟต์ 180 : 1 ซึ่งถือว่าหนาแน่นมากครับ แต่ผมชอบอาคารนี้ตรงที่มีช่องแสงและช่องระบายอากาศเยอะดี ไม่มีจุดอับเลย
การออกแบบห้องพัก : แบบห้องของโครงการนี้ทุก Type จะไม่เน้นพื้นที่ระเบียงเลยครับ ทั้งหมดเป็นระเบียงใช้งานซึ่งมีระแนงบังสายตา เน้นประโยชน์ใช้สอยเพื่อให้แสงเข้าและถ่ายเทอากาศ รวมถึงเอาไว้ซักผ้าตากผ้าก็ได้ ซึ่งขนาดระเบียงจะไม่ใหญ่มาก และไม่ไปกินพื้นที่ส่วนอื่นในห้อง อย่างห้องนั่งเล่นหรือห้องนอน ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยภายในได้อย่างเต็มที่โดยห้อง Studio, 1 Bedroom และ 1 Bed Plus ทั้งหมดจะกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน เพื่อให้ห้องดูโปร่งโล่งมากขึ้น ในขณะที่ห้อง 2 Bedrooms จะมีขนาดใหญ่และหน้ากว้าง จึงทำให้ได้ห้องนอนที่กั้นด้วยผนังทึบเป็นส่วนตัว และที่สังเกตเห็นอีกอย่างคือทุกๆห้องจะมีกระจกเข้ามุม Bay Window ที่ช่วยเพิ่มมุมมองให้กว้างมากขึ้น สามารถชมวิวได้อย่างเต็มที่ครับ
วัสดุ : โครงการขายแบบ Fully Fitted มีตู้ Built in เคาน์เตอร์ครัว และสุขภัณฑ์ในห้องน้ำมาให้ รวมถึงติดตั้งเครื่องปรับอากาศ และติดม่านโปร่งให้ที่หน้าต่างทุกบานเลยด้วย พื้นห้องเป็นไม้ลามิเนต ตรงส่วนครัวจะปูกระเบื้องเซรามิคมาให้ กรอบประตูหน้าต่างเป็นอลูมิเนียมสีดำ กระจกเขียวตัดแสง Top เคาน์เตอร์ครัวหินสังเคราะห์ ติด Blacksplash กระเบื้องเซรามิค ได้ Hob&Hood, อ่างล้างจาน และสุขภัณฑ์ต่างๆในห้องน้ำจะเป็นห้อง Hafele ทั้งหมด โดยที่ห้องน้ำที่ได้จะเป็นห้องน้ำสำเร็จรูปนะ และติดตั้งฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัย Tempered Glass มาให้เรียบร้อย
สาธารณูปโภค : ถือว่าเป็นจุดเด่นของโครงการนี้ เริ่มตั้งแต่ Lobby มีขนาดใหญ่มาก ด้านล่างมี Co-Working Space และ Meeting Room ทีเด็ดคือ Sky Facilities ที่ชั้น 28 ประกอบด้วย Sky Lounge, Sky Garden, Fitness และ Swimming Pool ที่สามารถชมวิวมุมสูงได้กว้างมากๆ
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 110,000 บาท/ตร.ม., 18 September 2019
- ทำเล 7.75/10 – ติดถนน 2 สาย ใกล้ศูนย์ราชการและมหาลัย แต่ความอุดมสมบูรณ์ในระยะเดินมีไม่มาก ต้องขับรถ
- เดินทางด้วยรถ 8.25/10 – เข้าออกได้ 2 ทาง ถนนเลียบคลองบางเขนสามารถไปพหลโยธินและไปขึ้นทางด่วนได้ เข้า-ออกเมืองสะดวก
- ไม่ใช้รถ 9/10 – ติดรถไฟฟ้า (เปิดใช้งานปีหน้า) ติดถนนใหญ่ เรียกรถสาธารณะง่าย
- วัสดุ 7.75/10 – Fully Fiited วัสดุดี ต้องเผื่อเงินแต่งห้องเพิ่ม
- แบบ 7.75/10 – มีความ Modern มากขึ้น ผังอาคารดี ไม่บังวิวกัน ยูนิตเยอะและหนาแน่น
- สาธารณูปโภค 8/10 – ให้มาเยอะ มี Sky Facilities ให้ขึ้นไปใช้งานและชมวิวสวยๆได้
- UPPER CLASS
- 8.03 / 10.00
BOTTOM LINE
โครงการ CIELA ศรีปทุม เหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาคอนโดตั้งแต่แยกม.เกษตรขึ้นไปทางตอนเหนือ เน้นใช้รถไฟฟ้าเป็นหลัก หรือถ้าใช้รถก็มีเส้นทางให้ไปวิภาวดีได้ง่าย เป็นโครงการตึกสูงที่มี Sky Facilities วิวสวยๆให้ใช้ มีแบบห้องลงตัวเป็นสัดส่วน มีงบประมาณระดับ 3.49 – 7.09 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 24,000 – 50,000 บาท/เดือน
ติดตามพวกเราได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving