วันนี้จะพาไปชมคอนโดเปิดใหม่ล่าสุดกับ THE BASE Height เชียงใหม่ ซึ่งครั้งนี้แสนสิริได้ส่งคอนโด High Rise มาลงสนามในพื้นที่เชียงใหม่เป็นแห่งแรก หลังจากที่สามารถปิดการขายคอนโด Low Rise โครงการ Dcondo ทั้ง 4 โครงการได้จนหมดเกลี้ยง โดยยังคงยึดทำเลใกล้เซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ จะเป็นอย่างไร เราสรุปส่วนที่น่าสนใจไว้เป็นข้อๆ ดังนี้ค่ะ
- วิว : จุดเด่นของ The Base Height เชียงใหม่ เลยคือเป็นคอนโดสูงในโซนใกล้เซ็นทรัล เฟสติวัล ซึ่งดูๆ แล้วคอนโด High Rise ในโซนนี้มักจะเป็นคอนโดเก่าที่ Sold out กันไปแล้ว ส่วนคอนโดใหม่ที่เปิดขายกันตอนนี้จะเป็นคอนโด Low Rise จึงเป็นจุดเด่นที่โครงการเป็นคอนโดเปิดใหม่ที่สามารถชม “วิวดอยสุเทพ” ได้จากห้องพักและได้ “ส่วนกลางลอยฟ้า” ด้วยค่ะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อเป็นอาคารสูงก็จะมีจำนวนยูนิตที่มากขึ้นตามมาด้วยเช่นกัน
- ทำเล : เป็นอีกหนึ่งทำเลฮิตของคอนโดในเมืองเชียงใหม่ เพราะอยู่ใกล้ๆ กับเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ และอยู่ในจุดที่สะดวกสบายในการเดินทางเข้า-ออกเมือง เพราะอยู่ติดกับถนนซุปเปอร์ ไฮเวย์ (เชียงใหม่-ลำปาง)
- รูปแบบห้อง : เน้นห้อง 1 Bedroom ขนาด 30 ตร.ม. ขึ้นไป เหมาะกับการอยู่อาศัย 1-2 คน ซึ่งเราชอบการจัดแปลนห้องที่แยกห้องนั่งเล่น/ห้องครัว/ห้องนอนไว้เป็นสัดส่วน โดยเฉพาะห้องนอนจะได้เป็นประตูทึบทุกแบบได้ความเป็นส่วนตัวกว่าห้องที่ใช้ประตูกระจกบานเลื่อนค่ะ
ต่อไปเราจะพาไปชมรายละเอียดทั้งหมดของโครงการ The Base Height เชียงใหม่กันเลยนะคะ
ข้อมูลโครงการ
THE BASE Height-Chiangmai (เดอะ เบส ไฮท์ – เชียงใหม่) ณ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565
ชื่อโครงการ | THE BASE Height-Chiangmai (เดอะ เบส ไฮท์-เชียงใหม่) |
ชื่อผู้ประกอบการ | บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) |
SEGMENT CLASS | MAIN CLASS (รายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2021 ) |
โครงการตั้งอยู่ | ถนนแก้วนวรัฐ อำเภอเมืองเชียงใหม่ |
ที่ดิน | 2-3-10 ไร่ |
ประเภทคอนโด | High Rise 31 ชั้น |
จำนวนยูนิต | 630 ยูนิต ร้านค้า 2 ยูนิต |
ยูนิตต่อชั้นสูงสุด | 25 ยูนิต |
ที่จอดรถ | คิดเป็น 30% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน) |
เริ่มก่อสร้าง | ช่วงกลางปี 2565 |
คาดว่าจะแล้วเสร็จ | เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2567 |
ประเภทห้องพัก |
|
ฝ้าเพดานสูง | 2.55 เมตร |
ราคาเริ่มต้น | 2.39 ล้านบาท |
ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ | ประมาณ 84,000 บาท/ตร.ม. |
ช่วงราคาต่อตารางเมตร(ต่ำสุด-สูงสุด) | n/a |
EIA (ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) | ผ่านแล้ว |
เว็บไซต์โครงการ | https://www.sansiri.com/condominium/thebase-height-chiangmai/th/ |
Call Center | 1685 |
ทำเลที่ตั้ง
พิกัดโครงการ Google Maps : 18.802837, 99.016626 หรือสามารถ : คลิกที่นี่
พิกัดสำนักงานขาย Google Maps : 18.808555, 99.015704 หรือสามารถ คลิกที่นี่
แผนที่จากทางโครงการ The Base Height เชียงใหม่ ตั้งอยู่บนถนนแก้วนวรัฐ อิงถนนใหญ่ซุปเปอร์ไฮเวย์ (เชียงใหม่-ลำปาง) จึงถือว่ามีทำเลที่สะดวกในการเดินทางทั้งเข้า – ออกนอกเมืองได้ง่าย และสำหรับเรื่องปากท้องและแหล่งช็อปปิ้งนั้นก็สามารถพึ่งพิงเซ็นทรัล เฟสติวัล ได้สบายๆ และยังอยู่ใกล้โรงเรียน โรงพยาบาลใหญ่ๆ หลายแห่งค่ะ
จะว่าไปแล้วข้อดีอย่างหนึ่งของทำเลโครงการ The Base Height เชียงใหม่ ก็คือเรื่องของ ผังเมืองรวมเชียงใหม่ ที่โครงการจะอยู่ในโซนสีแดงจึงสามารถขึ้นอาคารสูงได้ ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์เฉพาะที่ดินใกล้ๆ กับบริเวณสี่แยกศาลเด็ก เพราะถ้าที่ดินอยู่ในตำแหน่งที่ไกลสี่แยกออกไปจะเข้าไปอยู่ในโซนสีส้ม ซึ่งจะมีข้อจำกัดไม่ให้สร้างอาคารสูงเกิน 23 เมตร (ประมาณ 8 ชั้น) อ้างอิงจากผังเมืองเชียงใหม่ 2555 ที่ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามผังเมืองของทุกจังหวัดจะมีวาระให้ปรับปรุงอยู่ตลอด อย่างที่จังหวัดเชียงใหม่ตอนนี้ก็มีการปรับปรุงผังเมืองครั้งที่ 4 ซึ่งอยู่ในขั้นตอนประชุมรับฟังความคิดเห็นประชาชน แต่ไม่ต้องห่วงค่ะเพราะทางโครงการขอ EIA ผ่านเรียบร้อยแล้ว
จะขอเกริ่นความเป็นเชียงใหม่คร่าวๆ กันก่อนนะคะ เชียงใหม่นี้เป็นเมืองเก่าแก่มายาวนาน ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประเพณีอันสวยงาม ซึ่งในปัจจุบันมีการผสมผสานวัฒนธรรมความเป็นเมืองเก่าอย่างโบราณสถาน ความเป็นชุมชนเมืองท้องถิ่นมาคลุกเคล้ากับวัฒนธรรมสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว ทำให้เมืองเชียงใหม่นั้นมีสเน่ห์ และเป็นอีกจุดหมายอันดับต้นๆ ของประเทศไทยที่ใครๆ ก็อยากเดินทางมาสัมผัสกัน
ตัวผังเมืองแสดงให้เห็นถึงความเจริญที่เริ่มจากในกำแพงเมืองซึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง จากนั้นก็มีถนนตัดออกไปรอบๆ ทิศแบบใยแมงมุมเสมือนการขยายความเจริญออกสู่ด้านนอก ถัดออกไปจะเจอกับถนนวงแหวนรอบที่ 1 หรือถนน ซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่ – ลำปาง เป็นถนนวงแหวนรอบในสุดใช้เป็นถนนอ้อมเมืองเชียงใหม่ และเป็นเส้นหลักๆของภาคเหนือเลยนะคะ ซึ่งมาช่วยให้การเดินทางรอบเมืองเชียงใหม่ หรือจะเชื่อมต่อไปยังจังหวัดอื่นๆ ได้สะดวกสบายมากขึ้น ถนนสายนี้มีทั้งเซนทรัลเฟสติวัล, Big C, Lotus และอื่นๆ เส้นนี้นอกจากห้างร้านยังมีการเปิดตัวของที่อยู่อาศัยกันเริ่มหนาแน่น สถานที่สำคัญๆก็จะเกาะๆอยู่ใกล้ๆเส้นนี้เช่น สนามบิน, ทางรถไฟ จึงทำให้ถนนเส้นนี้ค่อนข้างคึกคักและมีปริมาณรถค่อนข้างมาก เพราะคนจะใช้ถนนเส้นนี้เป็นเส้นหลักวิ่งรอบเมืองก่อนที่จะเข้าตัวเมืองในทิศต่างๆ ค่ะ
สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวของโครงการ The Base Height เชียงใหม่นั้นค่อนข้างสะดวกทีเดียวค่ะ เนื่องจากโครงการตั้งอยู่ไม่ไกลจากแยกศาลเด็ก ซึ่งเป็นแยกที่ตัดถนนทั้ง 3 สายหลักอย่าง ถนน แก้วนวรัฐที่สามารถเดินทางเข้าเมืองได้ ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่ – ลำปางที่เป็นวงแหวนรอบเมืองชั้นในที่สำคัญสามารถใช้เส้นทางนี้เป็นเส้นทางหลักในการเดินทางไปยังที่ต่างๆได้สบาย และถนนเชียงใหม่ – ดอยสะเก็ดที่มุ่งหน้าขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือไปยังเชียงราย
ในส่วนการเดินทางแบบไม่ใช่รถนั้น จะมีพี่ๆ รถสองแถววิ่งผ่านบนถนนแก้วนวรัฐ บริเวณหน้าโครงการอยู่นะคะ แต่ยุคนี้ก็คงไม่ต้องง้อรถสองแถวสักเท่าไหร่แล้ว เพราะเราสามารถเรียก Grab ได้ไม่มีปัญหาค่ะ อีกทั้งการเดินทางในย่านนี้ก็ไม่ได้เป็นย่านที่เงียบสงบวังเวงมากนักในตอนกลางคืน เพราะอยู่ใกล้กับเซ็นทรัล เฟสติวัล และสถานีขนส่งอาเขต ดังนั้นสาวๆ ที่กลับห้องดึกๆ หน่อยโดยการนั่งรถแดงหรือตุ๊กตุ๊กมาก็ดูจะไม่เปลี่ยวจนดูอันตรายมากไปนักค่ะ
ถึงแม้โซนที่ตั้งของ The Base Height เชียงใหม่ จะเป็นย่านที่หลบลี้ออกจากตัวเมืองมาสักหน่อย แต่ก็ยังถือว่ามีความอุดมสมบูรณ์สูงพอตัวเพราะมีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ และ Hypermarket, โรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนเรียงรายกันอยู่ รวมไปถึงสถานีขนส่งอาเขตซึ่งเป็นจุดขนส่งมวลชนนึงที่สำคัญของเชียงใหม่
โดยสิ่งที่เห็นจะเป็นจุดเด่นของทำเลโครงการเลยก็คือ ใกล้กับเซ็ลทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ ซึ่งอยู่ในระยะใกล้ๆ ประมาณ 600 เมตร แต่ไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกัน จึงแนะนำให้ขับรถหรือเรียกรถสาธารณะไปจะดีกว่าค่ะ หรือหากมองหาอาหารราคาย่อมเยาหน่อยก็คงต้องข้ามฝั่งมาทางแถบอาเขตที่มีทั้งร้านค้าเล็กๆ อีกเพียบที่คอยให้บริการนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเชียงใหม่ และภายในอาเขตนี้ยังมี Community mall เล็กๆ อย่าง Star Avenue ซึ่งมีร้านอาหารติดแบรนด์ ร้านนั่งชิลทั้งกลางวันและกลางคืน รวมไปถึง Villa Market ด้านในด้วยค่ะ
มาดูเรื่องลักษณะกายภาพของเมืองเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ราบที่โอบล้อมไปด้วยภูเขาเตี้ยและภูเขาสูงสลับกันไป ซึ่งเป็นทัศนียภาพที่สวยงาม และตัวโครงการ The Base Height เชียงใหม่ เป็นคอนโด High Rise ที่อยู่ท่ามกลางอาคารแนวราบนั้นจึงได้เปรียบในเรื่องวิวเห็นภูเขาค่อนข้างมากเพราะไม่ค่อยมีอาคารข้างเคียงมาบล็อควิวภูเขา วิวทางด้านซ้ายจะเป็นวิวเด่นของโครงการเลยค่ะเพราะมองเห็นอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งดอยนั้นอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 7 km. ส่วนทางขวาโครงการนั้นจะเป็นวิวรองถัดไปซึ่งมองเห็นเป็นทิวเขาแม่ออนและดอยสะเก็ดที่อยู่ห่างไกลออกไปหน่อยประมาณ 20 km.
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ
โครงการตั้งอยู่เยื้องๆ กับทางเข้าสถานีอาเขต จึงมีความคึกคักพอสมควร แปลงที่ดินรอบๆ รายล้อมไปด้วยอาคารพาณิชย์ 2-3 ชั้น, ปั๊มน้ำมัน, ตลาดดอกไม้, ศาลจังหวัดเชียงใหม่ สรุปได้ดังนี้ค่ะ
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ : ติดกับปั๊มน้ำมัน และบ้านพักอาศัยชั้นเดียว แต่ระยะไกลจะเห็นคอนโดสูง 26 และ 32 ชั้นขวางวิวโล่งๆ อยู่นิดหน่อย ไม่ได้บังในระยะประชิดค่ะ
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ : ติดกับถนนแก้วนวรัฐ ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านค้าและออฟฟิศสูง 1-2 ชั้น
ทิศตะวันตกเฉียงใต้ : ติดกับตลาดดอกไม้ศรีล้านช้าง
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ : ติดกับที่ดินเปล่ารอการพัฒนา
ตำแหน่งของแปลงที่ดินอยู่ติดถนนแก้วนวรัฐ เป็นถนนรอง 4 เลนไป-กลับแยกย่อยลงมาจากถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ หากใครผ่านไปผ่านมาก็สังเกตง่ายๆ เพราะเค้าล้อมแปลงไว้ด้วยป้ายสีเขียว ที่เป็นสัญลักษณ์ของแสนสิริ
ปั๊มน้ำมัน Shell ที่อยู่ติดกับโครงการ ภายในจะมีร้านล้างรถ และ ร้าน SuperCheap (ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน)
อีกฝั่งหนึ่งของแปลงที่ดินติดกับตลาดขายดอกไม้ ซึ่งตัวอาคารจะขยับเข้าไปด้านใน ส่วนด้านหน้าเป็นโซนที่จอดรถ จะว่าไปก็นับว่าเป็นแปลงที่ดินติดถนนที่มีศักยภาพสูง คงต้องรอดูว่าในอนาคตจะพัฒนาเป็นอะไรค่ะ
ฝั่งตรงข้ามแปลงที่ดิน เยื้องๆไปทางสี่แยกหน่อย จะเป็นที่ตั้งของศาลจังหวัด และติดกันคือ ทางเข้าสถานีเดินรถนครชัยแอร์ ซึ่งด้านหน้าจะมีร้านอาหารราคาย่อมเยาให้พึ่งพิงกันได้
ติดๆ กันเป็นร้านขายที่นอนขนาดใหญ่ มีหลายแบรนด์เลย พอดีเลยค่ะโครงการให้เฟอร์ฯ มาเกือบครบ ขาดฟูกนี่แหละ ><
ถัดมาอีกนิดเป็นออฟฟิศบริษัท ซีโน-แปซิฟิก เทรดดิ้ง
ปิดท้ายด้วยภาพบรรยากาศภายในที่ดินของโครงการ ซึ่งมีการปรับหน้าดินเตรียมตัวก่อสร้างในช่วงกลางปีนี้กันแล้วนะคะ
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
ห้างสรรพสินค้า / ตลาด
- เซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ ~ 600 m.
- อินเด็กซ์ ลีฟวิ่ง มอลล์ สาขาเชียงใหม่ ~ 1.2 km.
- บิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์ ~ 1.1 km.
- วัน นิมมาน ~ 6.3 km.
- เมญ่า เชียงใหม่ ~ 6.8 km.
โรงพยาบาล
- โรงพยาบาลแมคคอร์มิค ~ 800 m.
- โรงพยาบาลเทพปัญญา ~ 1.4 km.
- โรงพยาบาลกรุงเทพ เชียงใหม่ ~ 2.2 km.
โรงเรียน
- โรงเรียนดาราวิทยาลัย ~ 650 m.
- โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย ~ 1.4 km.
- มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ~ 8.1 km.
สำนักงานขาย
หากใครต้องการไปเยี่ยมชมห้องตัวอย่าง จะต้องไปที่ Sale Gallery ซึ่งไม่ได้อยู่ที่ Site โครงการนะคะ จะอยู่ในโซน Dcondo ข้างเซ็นทรัล เฟสติวัล หรือตามพิกัดนี้ไปได้เลยค่ะ > คลิกที่นี่
บรรยากาศของสำนักงานขาย จะมีโมเดลให้เห็นภาพรวมของโครงการและมีห้องตัวอย่างให้ชม 2 แบบค่ะ
รายละเอียดโครงการ
พูดถึงคอนโดแบรนด์ “THE BASE” จัดอยู่ในกลุ่ม Segment Main Class ทำราคาออกมากลางๆ ไม่สูงมากแต่ให้ของดีกว่ากลุ่ม Economy โดยตัวคอนโดจะตอบโจทย์คน Gen Y ซึ่งตอนนี้ก็น่าจะมีอายุอยู่ในช่วง 25-40 ปี จึงเป็นกลุ่มคนที่ทำงานมาสักพัก และกำลังมองหาคอนโดที่มีคุณภาพ ดีไซน์หวือหวานิดๆ ไม่ได้มาแบบเรียบๆ ส่วนขนาดห้องพักจะกว้างหน่อยให้อยู่ได้สบาย อย่างโครงการนี้ก็เริ่มต้น 29.25 ตร.ม. ไปจนถึง 56.5 ตร.ม. ค่ะ
โครงการ THE BASE Height เชียงใหม่เป็นคอนโด High Rise 31 ชั้น เปิดใหม่ จำนวนห้อง 630 ยูนิต โดยมีจุดเด่นที่อยู่ในโซนใกล้เซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ 600 m. และสามารถมองเห็นวิวดอยสุเทพ, ดอยสะเก็ด และทิวเขาแม่ออนได้จากคอนโดเลย โครงการถูกออกแบบมาในคอนเซปต์ “โมเดิร์น ล้านนา” โดยนำเอาเอกลักษณ์ของภูมิประเทศที่เป็นภูเขา มาออกแบบตัวอาคารให้มีการไล่ระดับชั้น
และนำเอาวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างงานจักรสานมาดีไซน์เป็น Facade อาคาร เป็น Gimmick ที่แปลกตากว่าโครงการอื่นๆ ค่ะ
ก่อนอื่นเราขออธิบายภาพรวมของแต่ละชั้นให้เข้าใจง่ายๆ คือ
ชั้น 1 จะเป็น Lobby ของโครงการที่เป็นโถงต้อนรับ พื้นที่ภายนอกอาคารจะมี C0-Living Garden เป็นพื้นที่สวนพักผ่อน/พักคอย ภายในอาคารจะมี Co-Working Space เอาใจช่วง Work From Home แบบยุคนี้
ชั้น 2-6 จะเริ่มเป็นชั้นพักอาศัยและที่จอดรถ
ชั้น 7 เป็นชั้นพักอาศัยและเป็นชั้น Facilities หลักของโครงการ อย่างสระว่ายน้ำ, ฟิตเนส
ชั้น 30 จะเป็นห้องพักอาศัยแบบเต็มชั้น ยกเว้นชั้น 24 ที่มีสวนหย่อมอยู่อีกจุดหนึ่ง
ชั้น 31 (Rooftop) มี Sky Facility ให้ใช้งาน เช่น ลานภาพยนตร์กลางแจ้งให้ชมในช่วงเย็นๆ กันด้วย แถมวิวที่นี่ก็สวยไม่เบาได้วิวดอยสุเทพ และมองเห็นดอยสะเก็ด+ทิวเขาแม่ออนในระยะไกลด้วยค่ะ
จากผังโครงการจะเห็นว่ามีการวางสวนส่วนกลางไว้ด้านหน้า แล้วดันตัวอาคารเข้ามาด้านในนิดหน่อย ซึ่งคงเป็นระยะ Set Back ตามกฎหมาย แต่ก็มีข้อดีทำให้โครงการได้ความสงบเป็นส่วนตัวเหมาะกับการพักผ่อนมากขึ้น
เข้ามาด้านในจะเจอกับ Drop-Off ให้จอดรถรับส่งบริเวณหน้าทางเข้า Lobby ซึ่งการเข้า Lobby จะต้องใช้ Keycard ของลูกบ้านเท่านั้น หากมีแขกมารอพบก็สามารถนั่งรอในสวนก่อนได้นะคะ ส่วนที่จอดรถจะสามารถจอดรอบอาคารได้นิดหน่อย และมี EV Charger 2 ช่อง รองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตค่ะ
ภาพจำลองบริเวณหน้าทางเข้าโครงการ ที่หากใครผ่านไปมาคงได้เห็น Gimmick ของ Facade อาคารที่นำมาจากงานจักรสาน / ทางเข้าด้วยระบบ RFID เหมือนใช้ Easy Pass บนทางด่วน จึงผ่านเข้า-ออกได้สะดวก
เราเอาภาพจำลองภายใน Co-Living Garden มาให้ชมกันนะคะ ดูจะร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ให้มานั่งปิคนิคเปลี่ยนบรรยากาศบนสนามหญ้าได้
เข้ามาในอาคารโซนแรกจะเป็น Welcome Lobby เป็นพื้นที่ต้อนรับแขกในบรรยากาศล้านนา ดูจากภาพจำลองแล้วสิ่งที่สะดุดตาเลยคือ การตกแต่งผนังทรงโค้ง และลวดลายศิลปะบนผนัง ทำเอาอยากเห็นของจริงเลยนะคะเนี่ย
ถัดมาเป็นภาพจำลองภายใน Co-Working Space ห้องทำงานส่วนกลางที่จะจัดโต๊ะทำงานไว้หลายชุด และอยู่ในตำแหน่งที่มองออกไปเห็นสวนได้พอดีด้วย
ขึ้นมาที่ชั้น 2-6 จะแบ่งฟังก์ชันครึ่งๆ ครึ่งหนึ่งเป็นที่จอดรถบนอาคาร รวมๆ แล้วจอดได้ประมาณ 30% ไม่รวมจอดซ้อนคันค่ะ และอีกครึ่งหนึ่งเป็นโซนห้องพักอาศัย ซึ่งมีประตูกั้นแยกสัดส่วนเอาไว้ ช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวในการพักอาศัย ซึ่ง Benefit พิเศษของห้องพักบนชั้นเหล่านี้คือ สามารถจอดรถแล้วเดินเข้าห้องพักได้เลย ไม่ต้องขึ้นลิฟต์นะคะ
ความหนาแน่นชั้นนี้ยังไม่เยอะเท่าไหร่เมื่อเทียบกับชั้นที่มีห้องพักเต็มพื้นที่ทั้งชั้น จำนวนห้องพักอยู่ที่ 13 ยูนิตต่อชั้น เนื่องจากโครงการนี้ค่อนข้างสูง จึงจัดลิฟต์โดยสารมาให้ 3 ตัว + ลิฟต์ Service อีก 1 ตัว อัตราส่วนลิฟต์เท่ากับ 210 : 1 ถือว่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับคอนโดโซนต่างจังหวัดด้วยกัน เพราะบางทีถ้าซื้อไว้ตากอากาศก็อาจจะไม่ได้มาอยู่ประจำ แต่ถ้าอยู่กันครบตามจำนวนยูนิต อาจจะต้องเผื่อเวลารอลิฟต์กันบ้างในเวลาเร่งด่วน อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับความเร็วของลิฟต์ที่โครงการเลือกใช้ด้วย
ห้องพักที่ได้วิวดีก็คือห้องทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ ได้วิวดอยสุเทพค่ะ แต่ห้องทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือจะยังมองไม่เห็นดอยสะเก็ดและทิวเข้าแม่ออนนะคะ
ชั้น 7 เป็นชั้นที่มี Main Facilities ได้แก่ Swimming pool, Kid’s pool, Fitness พร้อมห้องน้ำ/ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ามาให้ …ทางโครงการเลือกวางตำแหน่งสระไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้สามารถใช้งานได้ตั้งแต่ช่วงบ่ายๆ เพราะแดดอ้อมใต้ไปทางฝั่งตะวันตกแล้ว แต่ก็จะไม่ได้วิวดอยสุเทพ ซึ่งสามารถขึ้นไปชมที่ชั้น 31 แทนได้ค่ะ
โซนห้องพักอาศัยจะอยู่คนละฝั่งกับ Facilities แยกกันชัดเจนจึงไม่ไปรบกวนความเป็นส่วนตัวเท่าไหร่ แต่ชั้นนี้บรรยากาศก็จะคึกคักกว่าชั้นอื่นๆ หน่อยอยู่ดี เพราะจะมีคนมาใช้ส่วนกลางกันเยอะ ถ้าใครชอบออกกำลังกาย ไม่อยากอยู่ชั้นสูงมาก ได้ชั้นนี้ไปก็เหมาะนะคะ
ดูจากโมเดลแล้วจะเห็นได้ชัดเลยว่าตัวอาคารจะช่วยบังแดดช่วงบ่ายๆ ไว้
วิวจากโซนสระว่ายน้ำจะมองไปทางฝั่งเซ็นทรัล เฟสติวัล ซึ่งเลยไปทางด้านหลังเซ็นทรัลจะเป็นทิวเขาแม่ออนและดอยสะเก็ด ซึ่งเราเช็คจากภาพโดรนแล้วจากชั้น 7 นี้จะยังเห็นทิวเขาไม่ชัดนัก มีอาคารบังอยู่ค่ะ
ภาพจำลองบรรยากาศของห้องฟิตเนส ซึ่งวางตำแหน่งให้มองเห็นสระว่ายน้ำได้พอดี จึงใช้ผนังเป็นกระจกบานใหญ่ให้ Take View ได้เต็มที่ ภายในมีทั้งเครื่อง Cardio และ Weight Training ให้เล่น ดูแล้วได้อุปกรณ์หลากหลายดี
ขึ้นมาที่ชั้น 8 แปลนจัดเป็นห้องพักอาศัยเต็มชั้น โดยวางห้อง 1 Bedroom Type C ไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหลัก ส่วนห้องเริ่มต้นอย่าง Type A จะมีให้เลือกเฉพาะทางทิศตะวันตกเฉียงใต้นะคะ ส่วนบริเวณมุมของอาคารจะเป็นห้องใหญ่ขึ้นมาหน่อย เป็น 2 Bedroom ค่ะ
ในชั้นนี้วิวจะยังไม่ต่างกับชั้น 7 นักนะคะ ถ้าต้องการห้องพักวิวดอยสุเทพก็ต้องเลือกห้องทิศตะวันตกเฉียงใต้ แต่ก็จะได้แดดที่แรงหน่อยด้วยเช่นกัน ส่วนห้องพักทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือยังเห็นวิวดอยสะเก็ดและทิวเข้าแม่ออนไม่ชัดนะคะ
ตั้งแต่ชั้น 9 ขึ้นไปจนถึงชั้น 23 จัดเป็นห้องพักอาศัยเต็มชั้น ซึ่งเป็น Typical Floor Plan ของโครงการ ห้องพักจะเพิ่มขึ้นมาเป็น 25 ห้องต่อชั้น จากจำนวนห้องที่เยอะขึ้นก็ทำให้มีห้องพักที่ได้วิวดีและไม่โดนแดดบ่ายให้เลือกเยอะขึ้น
ห้องที่เราว่าโอเคคือห้องทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (แถบสีฟ้าในแปลน) ซึ่งตั้งแต่ชั้น 10 กว่าๆ ขึ้นมาก็จะมองเห็นดอยสะเก็ดและทิวเขาแม่ออนแล้ว
ส่วนห้องทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ (แถบสีส้มในแปลน) จะได้วิวดอยสุเทพ ซึ่งเห็นเทือกเข้าได้ชัดกว่า ได้ลมดี แต่ก็จะได้แดดช่วงบ่ายด้วยนะคะ
แปลนชั้น 24 ก็คล้ายๆ กันแต่มีสวนหย่อมเพิ่มเข้ามา และ ห้องพักจะลดลงไป 4 ห้อง
สวนหย่อมบนชั้น 24 เป็นอีกหนึ่งจุดที่มาพักผ่อน แต่เหมาะจะมาช่วงเย็นๆ หน่อย ให้แดดร่มสักนิด ทำให้ห้องพักบนชั้นนี้ถือว่ามี Value พิเศษด้วยค่ะ
ขึ้นมาที่ชั้น 25-30 จัดเป็นห้องพักอาศัยเต็มชั้น แต่จะมีจำนวนลดลงเหลือ 21 ยูนิต/ชั้น ใครที่อยากได้ความเป็นส่วนตัว เพื่อนบ้านบนชั้นเดียวกันไม่เยอะ และได้วิวเทือกเขา แนะนำเลยค่ะ
ชั้นบนสุดเป็นสวนดาดฟ้า มีจัดพื้นที่เป็นจุดชมวิวและพื้นที่ฉายหนังแบบ Outdoor มาให้ ถ้าใครอยากนั่งเล่นชิลๆ รับลมก็ขึ้นมาบนนี้ได้ และจะมี Gimmick ของแสนสิริอย่าง Sansiri Backyard เป็นโซนปลูกพืชผักสวนครัว ที่ทางนิติฯจะปลูกให้และแจกจ่ายลูกบ้านให้ทานกันค่ะ
พื้นที่สีเขียวบน Rooftop ซึ่งจัดมาให้แบบเต็มพื้นที่ และสามารถขึ้นมาโดยลิฟต์ได้ด้วย
ภาพจำลองมุม Sky Theatre เป็นพื้นที่ที่เหมาะจะมานั่งดูหนังแบบ Outdoor ยิ่งในช่วงอากาศหนาวๆ บรรยากาศน่าจะดีทีเดียว
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
ชั้น 1
- Welcome Lobby
- Co-Working Space
- Co-Living Garden
- ร้านค้า 2 ยูนิต
ชั้น 7
- Swimming Pool ระบบเกลือ ขนาด 25×5 m. ลึก 1.2 m.
- Kid’s Pool ขนาด 2.4×4.5 m. ลึก 0.5 m.
- Fitness
- Changing Room
ชั้น 31
- Sky Garden
- Sky Theatre
- Sansiri Backyard
อื่นๆ
- ลิฟต์โดยสาร 3 ตัว/อาคาร
- อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 210 : 1
- Service Lift 1 ตัว
- ที่จอดรถประมาณ 30% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน)
- EV Charger
- ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ CCTV / Key Card / RFID
แบบห้อง
ห้องพักอาศัยของโครงการ THE BASE Height เชียงใหม่ เน้นรูปแบบห้อง 1 Bedroom เป็นหลัก โดยมีขนาดและการจัดพื้นที่ใช้สอยภายในที่แตกต่างกันออกไป แต่จะไม่ใช่ห้องขนาดเล็กนัก เริ่มต้นที่ 29.25 ตร.ม. ไปจนถึงห้อง 2 Bedroom ขนาด 56.5 ตารางเมตร ซึ่งมีแบบห้องให้เลือกเยอะมาก แต่แบ่งตามฟังก์ชันหลักๆ ได้ 3 กลุ่ม ดังนี้
Type 1A : แบบห้อง 1 Bedroom
- 1 Bedroom (Type A,B,C,D,E) ขนาดพื้นที่ 29.25 – 40.25 ตร.ม.
- 1 Bedroom Plus (Type F) ขนาดพื้นที่ 46 ตร.ม.
- 2 Bedroom (Type 2A,2B,2C) ขนาดพื้นที่ 53.5-56.5 ตร.ม.
โครงการนี้ขายในรูปแบบ Fully Furnished พร้อมอยู่ ให้เฟอร์นิเจอร์หลักๆ ที่ต้องใช้งานมาครบ เหลือแค่ซื้อฟูก, หมอน, ทีวี ก็เข้าอยู่ได้เลย ส่วนเฟอร์นิเจอร์ทางโครงการเลือกใช้ของ SB Furniture ออกแบบมาให้ ส่วนโครงสร้างและวัสดุต่างๆ ในห้องพักอาศัยจะได้ตามนี้ค่ะ
- โครงสร้างภายนอกใช้ระบบ Precast ส่วนผนังกั้นห้องภายในใช้ระบบ Conventional (ก่ออิฐฉาบปูน) จึงสามารถทุบเชื่อมห้องได้นะคะ
- พื้นไม้ลามิเนต /กระเบื้องแกรนิตโต้
- ผนังฉาบเรียบทาสี
- Built-in Pantry ครัว
- Hob&Hood ของ Teka
- เครื่องซักผ้า Samsung
- ไมโครเวฟ Electrolux
- วัสดุอุปกรณ์ในห้องน้ำของ Bathline
- Digital Door Lock ของ KAADAS
เรามาเริ่มกันที่ห้อง 1 Bedroom Type CM ขนาด 33.5 – 34.5 ตารางเมตร ห้องนี้พอเข้ามาจะเจอกับครัวก่อน เป็นครัวปิดใช้ทำอาหารได้เป็นสัดส่วน แต่ด้วยขนาดที่กะทัดรัดจึงเหมาะกับการซื้อกับข้าวจากข้างนอกมาทานหรือทำอาหารง่ายๆ สไตล์คนเมืองเสียมากกว่า ฝั่งตรงข้ามมีพื้นที่ให้วางตู้รองเท้าได้
ถัดเข้ามาด้านในเป็น Common Area ที่รวมเอาห้องนั่งเล่น + โต๊ะทานอาหาร + โต๊ะเขียนหนังสือรวมไว้ในห้องนี้ ซึ่งจะได้แสงธรรมชาติผ่านหน้าต่างและประตูระเบียงที่เป็นประตูกระจก ทำให้ห้องดูโปร่งโล่งดีนะคะ ส่วนที่ชอบเลยคือห้องนอน ที่ได้ประตูทึบเป็นสัดส่วนและมีห้องน้ำในตัว เหมาะกับคนที่ไม่ได้มีแขกมาเยี่ยมบ่อยนัก เพราะการเข้าห้องน้ำจะต้องเดินผ่านห้องนอนนะคะ ส่วนระเบียงของห้องจะเข้าทั้งทางห้องนอนและห้องนั่งเล่น จึงเดินไปตากผ้าได้สะดวกไม่ต้องเดินผ่านห้องนอน
ประตูหน้าห้องจะมี Digital Door Lock ติดไว้ให้ ได้ของ KAADAS ที่ใช้ได้ทั้งระบบ Bluetooth, Fingerprint, ใช้การ์ด, รหัสผ่าน และกุญแจ ค่ะ
เข้ามาในห้องจะได้บรรยากาศโปร่งๆ เพราะได้เห็นแสงธรรมชาติเข้ามาจากหน้าต่างบานใหญ่ ที่เปิดให้เห็นวิวภายนอกได้เลย โดยพื้นที่จะเชื่อมกันตั้งแต่โซนครัว, พื้นที่ทานอาหาร, พื้นที่นั่งเล่นดูทีวี และพื้นที่สำหรับนั่งทำงานริมหน้าต่าง / ฝ้าเพดานของห้องสูง 2.55 m. ยกเว้นภายในห้องน้ำและบริเวณ Pantry ครัวจะสูง 2.4 m. เพราะด้านบนเดินงานระบบต่างๆเอาไว้ค่ะ
บริเวณติดกับประตูหน้าห้องจะมีตู้ใส่รองเท้ามาให้ ภายในแบ่งเป็นชั้นๆ วางได้ 6-8 คู่ เลยนะคะ
มาดูโซนครัวบริเวณหน้าห้องกันค่ะ เป็นครัวปิดที่กั้นโซนด้วยประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอน จึงสามารถเปิดได้กว้าง / พื้นครัวจะต่างจากส่วนอื่นๆ ในห้องคือเป็นพื้นกระเบื้องแกรนิตโต้ เวลามีน้ำมันกระเด็นก็ทำความสะอาดง่าย พื้นห้องส่วนอื่นๆ จะเป็นพื้นไม้ลามิเนตก็ให้ความรู้สึก Homey ขึ้น โดยโครงการจะ Built-in Pantry ครัวมาให้ทางฝั่งซ้าย และเหลือพื้นที่สำหรับเดินทำครัวกว้างประมาณ 1 m.
เคาน์เตอร์ครัวด้านล่างมีตู้เก็บของที่เป็นบานเปิดปิด ให้ใช้เก็บของเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่ใส่ของเต็มไม่ได้ เพราะต้องเว้นพื้นที่ไว้เผื่อซ่อมแซมอ่างล้างจานด้วยนะคะ
โครงการเลือกใช้ของ SB Furniture ให้หน้าบานเป็น Soft Close และมีการเซาะร่องให้จับเปิดตู้ได้สะดวก ซึ่งเราก็ค่อนข้างสบายใจในเรื่องคุณภาพของแบรนด์นี้
ส่วนด้านข้างเป็นตู้ช่องโล่งสำหรับติดตั้งเครื่องซักผ้า ซึ่งทางโครงการก็แถมเครื่องซักผ้ามาให้ด้วยของ Samsung ค่ะ
มาดูส่วนบนของเคาน์เตอร์ครัวกันบ้าง พื้นที่กระทัดรัดหน่อยแต่แบ่งพื้นที่ใช้งานมาครบทั้งล้างจาน, เตาไฟฟ้าพร้อมเครื่องดูดควัน แต่พื้นที่เตรียมอาหารจะดูเล็กหน่อย / Top ครัวเป็นหินสังเคราะห์ / ให้ Backsplash เหมือนห้องตัวอย่างแบบนี้เลยค่ะ มีข้อดีคือเวลาปรุงอาหารแล้วกระเด็นก็สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย
ซิงค์ล้างจานของ Teka มีขนาดและความลึกพอสมควรที่จะใส่จานและแก้วน้ำได้
เตาจะเป็นแบบ Induction 2 หัวของ Teka อธิบายเพิ่มเติมก็คือ เตาแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งจะต่างจากเตาไฟฟ้าปกติ คือเวลาจับโดนเตาจะไม่ร้อน เพราะเตาแบบนี้จะส่งผ่านความร้อนจากเตาไปที่ภาชนะที่ใช้ในการประกอบอาหารเลยโดยตรง รอบ ๆ เตาจึงไม่เกิดความร้อน ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นคอนโดระดับนี้ให้เป็นเตา Induction นะคะส่วนใหญ่ให้เป็นเตาไฟฟ้าธรรมดา และจะมาพร้อมเครื่องดูดควันแบบต่อท่อปล่อยออกด้านนอก ซึ่งดีกว่าระบบหมุนเวียนนะคะ
ตู้ลอยสำหรับเก็บของด้านบนเป็นตู้บานเปิดปิด และตู้ช่องโล่ง ซึ่งแบ่งเป็นช่องเก็บของย่อยๆ ไว้ให้ รวมถึงช่องสำหรับวางไมโครเวฟ ซึ่งทางโครงการจะแถมของ Electrolux มาให้ด้วยเช่นกัน
ข้างเคาน์เตอร์จะมีพื้นที่เว้นว่างไว้สำหรับวางตู้เย็น ก่อนซื้อก็อย่าลืมวัดขนาดให้สามารถวางได้พอดีนะคะ
ผ่านครัวเข้ามายัง Common Area ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันตั้งแต่โต๊ะทานอาหาร + โซนนั่งเล่นดูทีวี + โต๊ะนั่งทำงานติดหน้าต่าง ทำให้ดูโปร่งโล่งไม่อึดอัด
โต๊ะทานอาหารที่ให้มาเป็นเซตพร้อมเก้าอี้ 2 ตัว เราลองเลื่อนเก้าอี้ออกมาให้ดูก็มีระยะที่สามารถใช้งานได้พอสมควร
พื้นที่นั่งเล่นมีระยะดูทีวีประมาณ 2.2 m. เหมาะกับคนที่ชอบห้องนั่งเล่นโปร่งๆ ใช้พื้นที่ตรงนี้บ่อยๆ เพราะจะได้วิวและแสงธรรมชาติจากกระจกบานใหญ่ที่ติดกับพื้นที่ตรงนี้ด้วย
ชุดโซฟาที่โครงการให้จะมีขนาด 2-3 ที่นั่ง มาพร้อมโต๊ะข้างแบบที่สามารถสอดขาเข้าไปใต้เก้าอี้ได้ จึงใช้เป็นโต๊ะทำงาน ในเวลาที่อยากนั่งดูทีวีไปด้วย ทำงานไปด้วยได้
ชั้นวางทีวีจะเป็นแบบลอยตัว มีหน้าบานปิดตู้บางส่วนให้เก็บของกระจุกกระจิกที่ไม่ต้องการจะโชว์ได้ ซึ่งเราจะวางทีวีบนนี้หรือติดตั้งแบบแขวนก็ได้หมดค่ะ
ด้านในสุดจะมีฟังก์ชันพิเศษที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในคอนโดระดับนี้ นั่นก็คือ โต๊ะทำงาน ซึ่งได้มุมริมหน้าต่างดูเป็นสัดส่วน
โดยทางโครงการจะให้โต๊ะทำงานมาตามแบบในห้องตัวอย่างเลย ตอบโจทย์ในยุค Work From Home ในปัจจุบันดีนะคะ
หน้าต่างของห้องมีช่องให้สามารถเปิดรับลมได้ 2 บาน / มือจับและตัวล็อกจะเป็นชิ้นเดียวกันเลย ใช้งานได้สะดวกดี
ติดๆ กันมีทางออกไปที่ระเบียง ซึ่งระเบียงนี้สามารถออกได้ทั้งจากทางห้องนั่งเล่นและห้องนอน เปิดออกมาจะได้สัมผัสของลมจาก Condensing Unit เลย แนะนำให้ติดที่ปรับทิศทางลมเพิ่มอีกหน่อย เพื่อให้ปัดลมร้อนออกไปนอกห้องนะ แต่ส่วนที่ดีคือเค้าทำระแนงบังสายตามาให้เรียบร้อย
ระเบียงมีขนาดประมาณ 2.6 x 1.1 m. ปูพื้นด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้แบบด้านเพื่อกันลื่น โดยพื้นระเบียงจะถูกลดระดับลงมาจากพื้นห้องเล็กน้อย เพื่อให้ใช้เป็นพื้นที่ซักล้างได้สะดวก และยังช่วยกันน้ำฝนไหลเข้าตัวห้องด้วย
เหนือประตูจะมีโคมไฟติดมาให้ เผื่อออกมาเดินรับลมหรือตากเสื้อผ้าในเวลากลางคืนค่ะ
ถัดมาดูห้องนอนที่ได้ประตูปิดทึบ ส่วนตัวเราชอบห้องนอนที่ได้ประตูแบบนี้นะ เพราะจะได้ความเป็นส่วนตัวกว่าห้องนอนที่ได้ประตูกระจก
ภายในห้องนอนมีขนาดพอให้วางเฟอร์นิเจอร์ได้ทั้งเตียงนอน, ตู้เสื้อผ้า และได้แสงธรรมชาติที่ผ่านประตูกระจกบานใหญ่สำหรับเปิดออกไประเบียงด้วย
เราสามารถวางเตียง 5 ฟุตในห้องนี้ได้และยังเหลือพื้นที่สำหรับเดินได้รอบเตียง สำหรับรูปแบบเตียงเราคิดว่าโครงการเลือกมาได้เหมาะกับห้องดีนะคะ เพราะหัวเตียงไม่หนามาก ทำให้เหลือพื้นที่ปลายเตียงให้เดินผ่านไปมาได้สะดวกกว่าพวกหัวเตียงหนาๆ ค่ะ
ฐานเตียงจะออกแบบมาให้มีพื้นที่เก็บของได้ ซึ่งเหมาะกับการอยู่อาศัยในคอนโดที่ต้องการพื้นที่ให้เก็บของได้เยอะๆ
ข้างเตียงจะมีโต๊ะหัวเตียงมาให้ เป็นแบบที่มีลิ้นชักเก็บของทำให้ดูเรียบร้อย แถมมีปลั๊กข้างๆ ติดตั้งมาให้ด้วยค่ะ
จากเตียงนอนเราสามารถมองวิวภายนอกผ่านประตูกระจกบานใหญ่ข้างเตียงได้เลยนะ หรือจะเปิดประตูบานเลื่อนออกไประเบียงก็ได้ และสำหรับใครที่อยากติดทีวีในห้องนอนก็ติดเป็นแบบแขวนผนังเอานะ
ประตูระเบียงเป็นบานสูงพื้นถึงฝ้า สามารถเปิดหน้าต่างรับลมได้ดี
อีกฝั่งหนึ่งของห้องมีพื้นที่สำหรับวางตู้เสื้อผ้าอยู่หน้าห้องน้ำ ซึ่งโครงการจะ Built-in ตู้มาให้อีกเช่นกัน
ส่วนตู้เสื้อผ้าจะ Built เต็มผนังให้ถึงฝ้าเลย ใช้เป็นบานสวิง / ภายในแบ่งเป็นราวแขวนเสื้อ, ช่องเก็บของ และมีช่องขนาดใหญ่ด้านบนใช้เก็บกระเป๋าเดินทางได้ ส่วนที่เราคิดว่าไอเดียเค้าเก๋ดีก็คือ เค้าติดกระจกบานใหญ่ไว้ในตู้เสื้อผ้าให้เลย แต่งตัวแต่งหน้าที่มุมนี้ได้เสร็จสรรพ เพราะห้องนี้ไม่ได้มีโต๊ะเครื่องแป้งมาให้แบบเป็นกิจจะลักษณะนะคะ
สุดท้ายที่จะพาไปชมคือห้องน้ำ มีตำแหน่งอยู่ด้านในห้องจึงต้องพึ่งงานระบบของอาคารล้วนๆ ภายในมีสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ต่างๆ ติดตั้งให้ครบตามอย่างห้องตัวอย่าง รวมถึงช่องวางของแบบ Built-in ด้วยค่ะ
ภายในห้องน้ำแบ่งแยกส่วนเปียกแห้งไว้ด้วยฉากกั้นอาบน้ำและขอบธรณี ทำให้สามารถใช้งานได้เป็นสัดส่วน พื้นและผนังปูด้วยกระเบื้องทั้งหมด แต่ในส่วนพื้นจะเป็นแบบผิวด้านเพื่อกันลื่น
อ่างล้างมือของ Bathline มีพื้นที่ขอบอ่างให้วางของได้นิดหน่อย
กระจกส่องหน้าที่ให้มาจะมาพร้อมตู้เลยนะคะ ใช้เก็บของได้เยอะดี ตอบโจทย์คุณผู้หญิงที่มักจะมีเครื่องประทินผิวจำนวนมาก
สุขภัณฑ์ได้ของ Bathline อีกเช่นกัน มาพร้อมสายฉีดชำระและแกนใส่กระดาษทิชชู่
พื้นที่อาบน้ำจะติดฉากกั้นอาบน้ำมาให้เป็นสัดส่วน ซึ่งทางโครงการเลือกใช้แบบ 3 ตอนจึงสามารถเปิดได้กว้าง แถมมีขอบธรณีที่ยกสูงขึ้นมาเล็กน้อยช่วยกันไม่ให้น้ำไหลไปส่วนอื่นๆ
พื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ 0.9 x 1 m. เป็นระยะมาตรฐานที่เราเห็นตามคอนโดทั่วไป เข้าไปใช้งาน หมุนตัวอาบน้ำได้สะดวกอยู่นะ
ฝักบัวได้แบบมือจับ แลผนังด้านข้างมีการเซาะร่องทำเป็นช่องวางของใช้ในห้องน้ำไว้ให้ ถ้าใครของใช้เยอะๆ วางแชมพู สบู่ไม่พอ ค่อยติดชั้นวางของเพิ่มก็ได้
ภายในห้องน้ำจะติดเครื่องดูดอากาศมาให้ เพื่อช่วยลดความชื้นและกลิ่นในห้องน้ำ แต่อย่างไรก็ตามแนะนำให้เปิดประตูทิ้งไว้บ้างเพื่อให้ลมพัดผ่านค่ะ
ขยับมาที่ห้อง 2 Bedroom ขนาด 54.25 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ เหมาะกับครอบครัว 2-3 คน ที่ต้องการห้องนอน 2 ห้อง แยกออกจากกันเพื่อให้เกิดความเป็นส่วนตัว Highlight ของห้องนี้คือ เป็นห้องหน้ากว้างถึง 8.4 เมตร เพราะโครงการตั้งใจออกแบบให้ Living & Dining Area ดูโปร่งโล่ง ได้แสงธรรมชาติเยอะ
Master Bedroom มีห้องน้ำในตัว ได้ช่องแสงบานใหญ่ที่อยู่ติดกับตำแหน่งวางเตียงนอนเลย ส่วนห้องนอนอีกห้องก็มีขนาดที่วางเฟอร์นิเจอร์ได้ครบ ใช้งานได้จริง ส่วนที่เรารู้สึกว่าทำออกมาได้โอเคสำหรับห้องไซส์นี้ คือห้องน้ำทั้ง 2 ห้อง ที่มีขนาดพื้นที่เหมาะสม ใช้งานได้ลงตัว แต่ห้องแปลนนี้จะเหมาะกับครอบครัวที่ไม่ได้ชอบทำอาหารที่มีกลิ่นและควันฟุ้งมากนัก เพราะครัวที่ได้มาเป็นครัวเปิด ที่ต้องพึ่งระบบระบายอากาศในอาคารล้วนๆ
เมื่อเข้ามาภายในห้องจะเจอกับพื้นที่ Living & Dining Area เป็นพื้นที่ตรงกลางห้องที่เชื่อมห้องนอนทั้ง 2 ห้องเอาไว้
ติดกับหน้าประตูห้องจะมีตู้ใส่รองเท้าที่ทางโครงการแถมมาให้อยู่ใน Furniture Package ค่ะ
บริเวณด้านหน้าห้องเป็นตำแหน่งของเคาน์เตอร์ครัวที่โครงการ Built-in ไว้ให้เรียบร้อย /สังเกตว่า Living & Dining Area จะอยู่ในพื้นที่เดียวกันและอยู่ติดกับระเบียงทำให้รู้สึกโปร่งโล่ง เราชอบแปลนแบบนี้นะ เพราะสามารถนั่งทานอาหารไปดูทีวีไปได้ และถึงแม้ว่าสมาชิกในครอบครัวจะทำกิจกรรมที่ต่างกัน เช่น ดูหนังหรือนั่งทานข้าวก็ยังสามารถพูดคุย เห็นหน้ากันได้
ส่วนที่แตกต่างจากห้องแรกคือแบบ 2-Bedroom นี้จะมีขนาดเคาน์เตอร์ครัวที่ใหญ่ขึ้น มีชั้นเก็บช้อนส้อม และลิ้นชักใส่ของเพิ่มขึ้นมา
สำหรับพื้นที่วางโต๊ะทานอาหารสามารถวางโต๊ะขนาด 4 ที่นั่ง
ระยะดูทีวีของห้องนี้ประมาณ 2.6 m. ใช้งานได้สบายๆ กว้างกว่าแบบ 1 Bedroom และด้านในสุดเป็นประตูกระจกบานเลื่อนสำหรับเปิดออกไประเบียง ซึ่งช่วยให้แสงธรรมชาติผ่านเข้ามาในห้องได้
เฟอร์นิเจอร์ที่ให้ก็จะมีโซฟา, ชั้นวางทีวี, โต๊ะกลางแบบสอดขาใต้โซฟาได้ เหมือนในห้องแบบแรกเลย
พื้นที่ระเบียงค่อนข้างกว้างมีขนาดประมาณ 2.6 x 1.1 m. ใช้วางราวตากผ้าได้
เนื่องจากห้องนี้ติดแอร์ทั้งหมด 3 ตัว จึงต้องวาง Condensing Unit เต็มผนัง ซึ่งทางโครงการก็ทำระแนงบังสายตาตลอดทั้งแนวไว้เลยนะคะ แต่ลมร้อนจะเป่ามาที่ระเบียง แนะนำว่าให้ติดที่ปรับที่ปรับทิศทางลมเพิ่มอีกหน่อยค่ะ
สำหรับ Bedroom อีกห้องหนึ่งจะใช้ห้องน้ำร่วมกับพื้นที่ส่วนกลาง ตัวห้องได้ความเป็นส่วนตัวจากกำแพงและประตูแบบทึบเช่นกัน
เข้ามาภายใน Bedroom มีพื้นพอสำหรับวางเฟอร์นิเจอร์ได้ครบทั้งตู้เสื้อผ้า และเตียงคู่ ซึ่งตำแหน่งที่เหมาะสมแก่การวางเตียงก็คือ ริมหน้าต่างนี่แหละค่ะ จะได้เห็นวิวจากบนเตียงได้เลย
มีพื้นที่พอสำหรับวางเตียงใหญ่ ซึ่งโครงการก็ให้มาเป็นเตียง 5 ฟุต พร้อมโต๊ะหัวเตียงเหมือนในห้องตัวอย่างเลยค่ะ
บริเวณหน้าประตูห้องจะมีตู้เสื้อผ้า Built-in มาให้ สเปคเดียวกับห้องแรกที่พาไปชมนะคะ
ห้องน้ำส่วนกลาง…จัดฟังก์ชันและสุขภัณฑ์ของ Bathline เป็นมาตรฐาน และแบ่งโซนเปียกแห้งเอาไว้ชัดเจน
พื้นที่อาบน้ำค่อนข้างกว้างกว่าห้องอื่น มีขนาดประมาณ 1.4 x 0.9 m. และมีการเซาะร่องทำเป็นช่องวางของใช้ในห้องน้ำ
อีกฝั่งหนึ่งของห้องเป็น Master Bedroom ซึ่งผนังห้องและประตูเป็นแบบทึบได้ความเป็นส่วนตัว
ภายในห้องสามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุตไว้กลางห้อง แล้วยังมีเหลือให้สามารถเดินได้รอบเตียง ซึ่งสามารถนอนชมวิว, ดูทีวี ได้จากบนเตียงเลยนะ
ทางโครงการ Built-in ตู้เสื้อผ้า ไว้ติดกับทางเข้าห้องน้ำ ซึ่งจะได้ตู้ขนาดใหญ่กว่าห้องอื่นๆ
ภายในห้องน้ำของ Master Bedroom จัดฟังก์ชันต่างๆ ไว้ครบและมีการแยกพื้นที่ส่วนเปียกกับส่วนแห้งออกจากกันอย่างเป็นสัดส่วน และใช้สุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติของ Bathline เหมือนห้องอื่นๆ
พื้นที่อาบน้ำมีขนาดประมาณ 1 x 0.9 m. กระทัดรัดหน่อยแต่ก็ยังสามารถใช้งานได้
ปลั๊กและสวิทช์ได้ของ Hugo ค่ะ
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ
ราคา
THE BASE Height-เชียงใหม่ ราคา ณ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565
- Type A,B,C,D,E : 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ 29.25 – 40.25 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2 ล้านบาท
- Type F : 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ 46 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.95 ล้านบาท
- Type 2A,2B,2C : 2 Bedroom ขนาดพื้นที่ 53.5-56.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.9 ล้านบาท
- รูปแบบการขาย Fully Furnished
- ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.55 เมตร
- จอง+ทำสัญญา
- 1 Bedroom 30,000 บาท
- 2 Bedroom 50,000 บาท
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ
บทสรุป
ทำเล :
โครงการ THE BASE Height เชียงใหม่ มีทำเลอยู่รอบนอกเมือง บริเวณแถบวงแหวนรอบที่ 1 หรือถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ (เชียงใหม่ – ลำปาง) ใกล้สี่แยกศาลเด็ก ซึ่งเป็นแยกที่มีสถานที่สำคัญๆ อย่างสถานีขนส่งอาเขต และเซ็นทรัล เฟสติวัล ทำให้บรรยากาศจะไม่ได้เงียบสงบมากนักเหมือนแถบชานเมืองทั่วไป แต่ข้อดีก็คืออยู่ในจุดที่สะดวกสบายในการเดินทางเข้าเมือง – ออกนอกเมือง สามารถวิ่งรอบเมืองด้านนอกได้โดยไม่เสียเวลารถติดในเมือง และยังสะดวกในการจับจ่ายซื้อของหรือช็อปปิ้งในเซ็นทรัล หรือหากใครที่อยากกินอาหารราคาย่อมเยาหน่อยก็สามารถไปพึ่งพิงร้านอาหารในอาเขตได้ นอกจากจะมีร้านค้าเล็กๆ ที่เปิดขายแล้วยังมี Community Mall อย่าง Star Avenue ไว้ Hangout กันชิลๆ ตอนกลางคืนโดยไม่ต้องง้อร้านค้าแถบนิมมานเหมินท์ก็ได้นะ
อีกประเด็นหนึ่งคือโซนนี้จะเต็มไปด้วยโรงแรียนและโรงพยาบาลหลายแห่ง จึงเหมาะกับคุณพ่อคุณแม่ที่ตั้งใจซื้อไว้ให้ลูกๆ ไปโรงเรียนง่ายๆ หรืออีกนัยหนึ่งก็เหมาะกับคนวัยทำงาน ที่ไม่ได้ชอบพักในโซนที่ตัวเมืองที่ติดจะวุ่นวายหน่อย แต่นิยมชมชอบโซนสงบ ที่ยังใกล้แหล่งความอุดมสมบูรณ์ค่ะ อีกทั้งเรื่องวิวก็ไม่ได้แพ้โครงการตากอากาศเท่าไหร่นักนะคะ เพราะเป็นคอนโด High Rise ที่ไม่ได้มีหลายแห่งมากนักจึงไม่ถูกบล็อกวิวสักเท่าไหร่ มองเห็นวิวภูเขาดอยสุเทพ-ดอยสะเก็ด-ทิวเขาแม่ออน ได้ด้วยค่ะ
การเดินทางโดยใช้รถ :
ในเรื่องของการเดินทางนั้นจัดว่าค่อนข้างสะดวก เพราะ โครงการ THE BASE Height เชียงใหม่ ตั้งอยู่บนถนนแก้วนวรัฐ ใกล้สี่แยกศาลเด็กจึงเชื่อมกับถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ (เชียงใหม่ – ลำปาง) หากจะเข้าเมืองก็ง่ายเนื่องจากการวางผังเมืองที่ออกแบบมาคล้ายกับใยแมงมุม แล้วมีถนนตัดเชื่อมตัวเมืองไปยังวงแหวนรอบเมืองครบทุกด้าน การจราจรก็ไม่ได้ติดหนักมากมายนักเพราะตามจุดตัดต่างๆยังมีอุโมงค์ให้วิ่งลอดได้ช่วยลดปัญหาการจราจรได้ดีค่ะ
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ :
ใครที่พึ่งพาระบบขนส่งสาธารณะนั้นก็ไม่ได้ลำบากนัก เพราะมีรถสองแถววิ่งผ่านอยู่เรื่อยๆ รวมทั้งโครงการที่อยู่ติดถนนใหญ่จึงไม่เปลี่ยวมากนัก และยิ่งในยุคนี้มี Grab ให้เรียกมารับที่โครงการได้จึงยิ่งสะดวกขึ้นมากค่ะ
วัสดุ :
ถือว่าให้ตามมาตรฐานค่อนข้างไปทางดี โดยโครงการ THE BASE Height เชียงใหม่ ขายแบบ Fully Furnished ซึ่งได้ยี่ห้อ SB Furniture ทั้งหมด แต่ละแบบจะให้เฟอร์ฯมาครบถ้วน รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องครัวอย่าง ไมโครเวฟและเครื่องซักผ้าด้วย ส่วนที่ต้องซื้อเพิ่มก็เป็นพวกฟูกที่นอน และตู้เย็น ทีวี เท่านั้น สิ่งที่เราคิดว่าโครงการให้สเปคมาดีก็คือ เตาแบบ Induction ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นในคอนโดระดับนี้นะคะ
การออกแบบ :
THE BASE Height เชียงใหม่ เป็นคอนโด High Rise ที่ออกแบบเพื่อตอบสนองการอยู่อาศัยเป็นหลัก ไม่ได้ออกแบบมาเป็นบ้านพักตากอากาศนะคะ จึงมีฟังก์ชันหลักๆ ให้ใช้ชีวิตได้ครบถ้วน และจะเห็นว่า Type ห้องหลักๆ อย่าง Type C มีพื้นที่วางโต๊ะทำงานริมหน้าต่างมาให้ด้วย จุดเด่นของห้องคือการออกแบบห้องแบ่งโซนได้เป็นสัดส่วน โดยเฉพาะห้องนอนที่ได้เป็นประตูทึบ ให้ความเป็นส่วนตัวได้มากกว่าประตูกระจกบานเลื่อนแบบที่เราเห็นคอนโดในสมัยนี้นิยมทำกัน รวมไปถึงหน้าต่างและประตูที่จะได้เป็นกระจกบานใหญ่ เพื่อให้สามารถชมวิวได้ดี
ในเรื่องของการออกแบบตัวโครงการถือว่าส่งเสริมข้อดีของความเป็นคอนโด High Rise จัดวางอาคารโดยให้ความสำคัญกับเรื่องของวิวภูเขาทั้ง 2 ด้าน ส่วนตำแหน่งการจัดวางฟังก์ชันภายในทำออกมาได้ตามมาตรฐานของแสนสิริ ทั้งตำแหน่งของโถงลิฟต์ที่จัดให้อยู่ตรงกลางสะดวกในการใช้งาน เพราะไม่มีฝั่งไหนเดินไกลมากกว่า รวมไปถึงการคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวในการแยกพื้นที่ร้านค้า/โซนนั่งคอยของแขก ออกจาก Welcome Lobby มีเฉพาะลูกบ้านเท่านั้นที่จะมี Keycard ใช้เข้าอาคารได้
สาธารณูปโภค :
จัดมาให้ครบครัน ค่อนข้างเยอะตามจำนวนยูนิต และจัดบรรยากาศมาน่าใช้งาน ทั้งสระว่ายน้ำและฟิตเนสบนชั้น 7 ที่สามารถเข้ามาใช้งานได้ตั้งแต่ช่วงบ่ายๆ เพราะตัวอาคารจะช่วยบังแดดในช่วงบ่ายไว้ให้ อีกส่วนที่น่าใช้งานก็คือ สวนบนชั้น 31 ที่จัดไว้ให้ใช้งานได้ตั้งแต่เย็นๆ ไปจนค่ำเลย จะขึ้นไปชมวิวช่วงเย็นๆ และอยู่ดูหนังที่ Sky Theatre ต่อก็ได้ โดยเฉพาะช่วงอากาศหนาวๆ คงจะฟินน่าดูค่ะ
Judgement
เนื่องจากโครงการ THE BASE Height เชียงใหม่ เป็นคอนโดมิเนียมในทำเลที่ทาง Think of Living ไม่คุ้นเคยจึงไม่สามารถให้คะแนนเปรียบเทียบความคุ้มค่ากับโครงการอื่นๆในทำเลเดียวกันได้นะคะ
THE BASE Height เชียงใหม่ เหมาะกับใคร
คอนโด THE BASE Height เชียงใหม่ เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดใกล้เมือง ที่ยังเดินทางทั้งเข้า-ออกเมืองสะดวก และต้องการทำเลที่ใกล้กับแหล่งความอุดมสมบูรณ์อย่าง เซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ อยากได้คอนโด High Rise ให้ความสำคัญกับวิวภูเขา มีงบประมาณอยู่ในช่วง 2-4 ล้านบาท หรือมีกำลังผ่อนเริ่มต้น 14,000-28,000 บาทต่อเดือน
ThinkofLiving มี LINE Official Account แล้วนะ
ไม่อยากพลาดข้อมูลข่าวสารก็ Add เลย > https://lin.ee/svACOxc