รีวิวฉบับที่ 1507 …สวัสดีค่ะ วันนี้เรามีรีวิวฉบับพิเศษช่วงท้ายปีกันด้วยการพาไปชมห้อง 191 และ 137 ล้านของคอนโดระดับ Ultimate Class อย่าง The Ritz-Carlton Residences, Bangkok บนตึก “มหานคร” ซึ่งเป็นตึกสูงที่สุดในประเทศไทยในตอนนี้ และแน่นอนด้วยการออกแบบอาคารที่ล้ำยุคจากสถาปนิกชื่อดังระดับโลก ทำให้มหานครกลายเป็น Landmark ของกรุงเทพมหานครไปแล้ว ส่วนการออกแบบภายในก็ไม่น้อยหน้าด้วยการตกแต่งสุดหรูจากฝีมือของ David Collins สตูดิโอของมัณฑนากรระดับกูรู เพื่อให้สมกับแบรนด์ของโรงแรมที่สูงที่สุดในเครือ Marriott อย่าง The Ritz-Carlton Residences นั่นเองค่ะ

ส่วนใครอยากอ่านรีวิวย้อนหลังและชมวีดีโอของตึกนี้สามารถ คลิกอ่านได้ที่ Link ด้านล่างเลยค่ะ

 

Fact @ 23 October 2017

  • The Ritz-Carlton Residences, Bangkok
  • PACE Development Corporation Plc.
  • ULTIMATE LUXURY CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • อาคาร High Rise 77 ชั้น 1 อาคาร ซึ่งยูนิตพักอาศัยจะอยู่ที่ชั้น 23 – 73 จำนวน 209 ยูนิต
  • ที่จอดรถ 566 คัน (อาคารมหานคร 180 คัน/อาคารจอดรถอัตโนมัติ 386 คัน)
  • ที่ดินประมาณ 9-1-49.67 ไร่
  • 2-5 Bedrooms แบบ Duplex และ symplex

  • โซนเรสซิเดนซ์ ตั้งแต่ชั้น 23 – 53 ขนาดตั้งแต่ 125-306 ตร.ม. เพดานสูง 3.1 เมตร
  • โซนสกาย เรสซิเดนซ์ ตั้งแต่ชั้น 57 – 73 ขนาดตั้งแต่ 194-844 ตร.ม. เพดานสูง 3.4 เมตร

  • ห้องสกาย เรสซิเดนซ์ แบบ 4 ห้องนอน ขนาด 343.57 ตร.ม. ชั้น 58 ราคา 163 ล้านบาท (หากรวมเฟอร์นิเจอร์ ราคา 191 ล้านบาท)
  • ห้องเรสซิเดนซ์ แบบ 3 ห้องนอน (พิกเซล) ขนาด 235.53 ตร.ม. ชั้น 44 ราคา 122 ล้านบาท (หากรวมเฟอร์นิเจอร์ ราคา 137 ล้านบาท)
  • ห้องเรสซิเดนซ์ แบบ 3 ห้องนอน ขนาด 221.71 ตร.ม. ชั้น 44 ราคา 100 ล้านบาท (หากรวมเฟอร์นิเจอร์ ราคา 119 ล้านบาท)
  • ราคาเฉลี่ย 494,000 บาท/ตร.ม. (ณ เดือนกันยายน 2560)
  • Free Hold (ถูกเปลี่ยนจาก Lease Hold ในปี 2014)
  • เพิ่มเติมข้อมูลทำเลรอบๆ BTS ช่องนนทรี ได้ที่: มองหาทำเลน่าอยู่ใกล้รถไฟฟ้า: BTS ช่องนนทรี
  • www.rcr-bangkok.com
  •  

    เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วคะ

    สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างค่ะ


    เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

    พิกัด : 13.723984, 100.528862

    โครงการ “มหานคร” หรือ MahaNakhon ไม่ได้เป็นตึกที่มีแต่คอนโดนะครับ แต่เป็นโครงการใหญ่ที่รวมโครงการเล็กๆหลายโครงการไว้ด้วยกัน เช่น Edition Hotel, The Ritz-Carlton Residences และ MahaNakhon Retail and Terrace Bar เป็นโปรเจคสูง 77 ชั้น ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบนทำเลสถานีรถไฟฟ้า BTS ช่องนนทรี บริเวณถนนนราธิวาสราชนครินทร์ที่เชื่อมต่อถนนสาทรและถนนสีลม สามารถเข้าออกได้ 3 เส้นทาง ได้แก่ สีลมซอย 9, สาทรซอย 10 และถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ค่ะ


    เจาะลึกตัวโครงการ

    การจัดแบ่งของตัวอาคารจะแบ่งเป็นหลายโซนไล่ตั้งแต่ชั้นล่างๆ ที่เป็นโซนโรงแรม ช่วงกลางถึงชั้นบนที่เป็นชั้นพักอาศัย โดยมีส่วนกลางแทรกอยู่ตามชั้นต่างๆ โดยแบ่งคร่าวๆคือ

    • ชั้น 1 – 20 เป็นส่วนของโรงแรมโดย ชั้น 6 เป็น Facility ของโรงแรมและชั้น 7 เป็น Facility ของลูกบ้านซึ่งลูกบ้านสามารถลงไปใช้งานในส่วนของโรงแรมได้
    • ชั้น 21 – 22 เป็นชั้น Maintenance
    • ชั้น 23 – 53 เริ่มเป็นส่วนพักอาศัย
    • ชั้น 54 เป็นพวก Facility อย่างห้องสมุดและ Sky Lounge ไว้ให้ชมวิวสวยๆ
    • ชั้น 55 – 56 เป็นชั้น Maintenance
    • ชั้น 57-73 เป็นชั้นพักอาศัยแบบสกาย เรสซิเดนซ์ ห้องขนาดใหญ่เริ่มต้นที่ 300 ตร.ม.
    • ชั้น 74-76 เป็นร้านอาหารอยู่ด้านบนสุด
    • ชั้น 77 หรือชั้นบนสุดเป็นจุดชมวิว

    จาก Master Plan จะพบว่าทางเข้าของฝั่ง Residences และ Hotel นั้นแยกกันอย่างชัดเจน ยูนิตที่พักอาศัยจะเข้าทางด้านหลังของตึก มี Lobby ของตัวเองต่างหาก มีลิฟท์แยกจากฝั่งของโรงแรม โดยมีลิฟท์โดยสารทั้งสิ้น 5 ตัว คิดเป็นสัดส่วน 1:39 จัดว่าน้อยมากๆ คะ

    เนื่องจากทางโครงการไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพของพื้นที่ส่วนกลางได้ เราจึงนำภาพจากทางโครงการมาให้ชมกันนะคะ บริเวณนี้จะเป็น Lobby ที่ชั้นล่างของโครงการ ซึ่งจะมีบริการต้อนรับ 24 ชั่วโมง พร้อมบริการจอดรถและพนักงานอำนวยความสะดวกเปิดประตูและยกกระเป๋า

    ขึ้นมาที่ชั้น 7th จัดเป็นพื้นที่ของส่วนกลางแบบเต็มชั้น โดยมีสระว่ายน้ำ, สวน, ลานอาบแดด, ศูนย์โยคะ, ห้องฟิตเนส, ห้องพิลาเตส์, ห้องฉายภาพยนตร์และเกมส์รูม

    ภาพจำลองบรรยากาศในส่วนของเลาจน์นั่งเล่น ที่เชื่อมไปสู่ห้องเกมส์รูม ถูกตกแต่งด้วยสีโทน ขาว ส้ม ทอง และเลือกใช้ไม้ให้เกิดความรู้สึกหรูหราแต่ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศที่ดูอบอุ่น

    บรรยากาศภายในเกมส์รูมจะดูโปร่งด้วยผนังกระจก 2 ด้าน เวลามาใช้ Facilities ส่วนกลางก็สามารถชมวิวภายนอกไปด้วยได้ ภายในจัดอุปกรณ์ไว้ เช่น โต๊ะบิลเลียร์ด โต๊ะปิงปอง เป็นต้น

    ภาพจำลองบริเวณสระว่ายน้ำกลางแจ้งยาว 25 ม. ความพิเศษอยู่ที่พื้นและผนังสระแบบไร้รอยต่อ เพราะใช้การก่อสร้างแบบงานหินขัด (Terrazzo) ทำให้เกิดสัมผัสที่ละเอียด ด้านข้างสระเป็นพื้นที่สำหรับอาบแดด แบบ Semi Outdoor นอกจากนี้ก็จะมีจากุซซี่, ห้องอบไอน้ำ, ล็อคเกอร์, ห้องอาบน้ำ, ห้องแต่งตัวและห้องเซาว์น่า ซึ่งสำหรับห้องเซาว์น่านั้นจะออกแบบผนังโดยใช้ Himalayan Salt Brick ที่มีประโยชน์ในการปรับสมดุลของร่างกาย และช่วยรักษาค่า pH ของร่างกายได้

    ภาพจำลองบรรยากาศภายในห้องฉายภาพยนต์ส่วนตัวแบบ 12 ที่นั่ง ความพิเศษอยู่ที่เก้าอี้นั่งแบบปรับเอนได้ ที่ใช้ผู้ผลิตเจ้าเดียวกับที่ผลิตให้โรงหนังที่ Embassy

    ชั้น 53 เป็น Lounge กับ Bar Area ของผู้อยู่อาศัย มีห้องประชุมและห้องสมุด ถ้าจะนัดใครคุยเป็นทางการนิดๆ ก็สามารถใช้ได้ที่นี่

    ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณเลาจน์บนชั้น 53

    ภาพจำลองบรรยากาศบริเวณบาร์

    ส่วนสาธารณูปโภคอื่นๆนั้น ทางยูนิตพักอาศัยก็สามารถลงไปใช้ในส่วนของ Edition Hotels ได้ ซึ่งเป็นเครือ Mariott เหมือนกันกับ Ritz-Carlton อยู่แล้ว และถ้าต้องการจะซื้อของเข้าบ้านหรือหาร้านอาหารรับประทานก็สามารถแวะไปใช้บริการที่ MahaNakhon Retail ได้เช่นกัน ส่วนเรื่องที่จอดรถ มีให้ 566 คัน (อาคารมหานคร 180 คัน/อาคารจอดรถอัตโนมัติ 386 คัน) แต่ละยูนิตจะมีที่จอดให้อย่างน้อย 2 คัน Fix ประจำห้องอยู่แล้ว ถ้าเป็นห้องใหญ่จะได้ 1 Float (Valet Parking) ด้วย จึงเพียงพอต่อการใช้งานนะคะ


    สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

    • ชั้น 1

    • ล็อบบี้
    • พนักงานต้อนรับ 24 ชั่วโมง
    • บริการจอดรถ 24 ชั่วโมง
    • พนักงานเปิดประตูและยกกระเป๋า

  • ชั้น 7
    • เล้าจน์
    • มินิบาร์
    • โต๊ะบิลเลียด
    • ห้องกิจกรรม
    • ห้องเล่นเด็ก
    • ห้องฉายภาพยนตร์
    • ฟิตเนส เซ็นเตอร์
    • สตูดิโอโยคะและคลาสออกกำลังกาย
    • สระว่ายน้า
    • จากุซซี่
    • ที่อาบแดด
    • ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า
    • ห้องอบไอน้ำ
    • ห้องเซาว์น่า

  • ชั้น 54
    • Reception
    • มุมอ่านหนังสือ
    • บาร์
    • ที่นั่งรับประทานอาหาร
    • ครัว
    • เลาจน์
    • ห้องประชุม
    • ห้องดูทีวี

  • บริการพิเศษ
    • บริการรูมเซอร์วิส
    • บริการเชฟทำอาหารในห้องพัก
    • บริการดูแลรักษาต้นไม้
    • บริการรถลีมูซีน
    • บริการแม่บ้านทำความสะอาด
    • บริการซักรีด

  • กิจกรรมสำหรับลูกบ้าน
    • อาหารเช้ามื้อพิเศษ
    • จิบไวน์ยามเย็น
    • คลาสออกกำลังกาย
    • คลาสโยคะ
    • ดูหนังมาราธอน
    • ทำบุญเลี้ยงพระ

     


    Product Walkthrough

    The Ritz-Carlton Residences, Bangkok เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มียูนิตพักอาศัยไม่มากนักเพียง 209 ห้อง จัดเป็นห้องขนาดใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านลอยฟ้าด้วยขนาดตั้งแต่ 125 -884 ตร.ม. แบ่งออกเป็น 2 โซน ได้แก่ โซนเรสซิเดนซ์ ตั้งแต่ชั้น 23 – 53 และ โซนสกาย เรสซิเดนซ์ ตั้งแต่ชั้น 57 – 73 โครงการมีห้องตัวอย่างให้ชม 4 แบบคือ

    1. สกาย เรสซิเดนซ์ 4 ห้องนอน – Contemporary Classic ชั้น 58 ขนาด 343.57 ตารางเมตร
    2. เรสซิเดนซ์ 3 ห้องนอน (พิกเซล) – Modern Lux ชั้น 44 ขนาด 235.53 ตารางเมตร
    3. เรสซิเดนซ์ 3 ห้องนอน – Contemporary Classic ชั้น 44 ขนาด 221.71 ตารางเมตร
    4. เรสซิเดนซ์ 2 ห้องนอน – City Essential ชั้น 24 ขนาด 140.99 ตารางเมตร

    โดยเฉพาะในโซนสกายเรซิเดนซ์นั้นเป็นคอนโดมิเนียมที่มีความสูงเหนือพื้นดินเริ่มต้นที่ 216 – 300 เมตร จึงเป็นระดับความสูงที่พิเศษกว่าคอนโดฯ ทั่วไปและยังล้มแชมป์ The River (Tower A) อดีตคอนโดฯ ที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ ที่สูงถึง 276 เมตรไปด้วย ทำให้ห้องสกายเรสซิเดนซ์ของโครงการนี้กลายเป็นคอนโดที่ได้วิวเมืองสูงที่สุดสูงกว่าคอนโดมิเนียมที่เคยมีมา เป็นความพิเศษที่หาไม่ได้จากที่พักอาศัยใดๆ ในกรุงเทพฯ วันนี้เราจะพาไปชมห้องในโซนสกาย เรสซิเดนซ์ แบบ 4 ห้องนอน และห้องในโซนเรสซิเดนซ์ แบบ 3 ห้องนอน ที่มีชื่อเฉพาะว่าห้องพิกเซล ตามลำดับค่ะ

    ห้องสกาย เรสซิเดนซ์ 3 ห้องนอน (ห้องมาตรฐานมี 4 ห้องนอนแต่ห้องนี้ปรับ 1 ห้องนอให้เป็น Walk-in Closet นะคะ) ขนาด 343.57 ตารางเมตร บนชั้น 58 เนื่องจากคอนเซปท์ของที่ The Ritz-Carlton Residences จะต้องมีห้องน้ำแยกต่างหากทุกยูนิต นั่นก็คือถ้าเป็นยูนิต 2 ห้องนอน จะต้องมี 3 ห้องน้ำ โดยห้องน้ำ 1 และ 2 จะอยู่ในตัวห้องนอนทั้งสองห้อง ส่วนห้องน้ำ 3 คือห้องน้ำแขกหรือที่เรียกว่า Powder Room สำหรับจุดเด่นของห้องนี้อยู่ที่ฝ้าเพดานที่สูงถึง 3.4 เมตร ผนังด้านนอกอาคารล้อมด้วยกระจกบานใหญ่แบบที่สูงจากพื้นจรดฝ้าเพื่อรับวิวเมืองมุมสูงได้แบบเต็มๆ ตามแนวคิดที่ให้อารมณ์เหมือน “ลอยอยู่บนฟ้า” แปลนห้องเป็นตัว U จัดพื้นที่ใช้สอยอย่างเป็นสัดส่วนด้วยการแยก Living Room ออกจากพื้นที่พักผ่อนอื่นๆ อย่างชัดเจน โดยห้องทั้งหมดจะเชื่อมกันด้วยทางเดิน Corridor แนวยาวเพื่อเป็นการเปลี่ยนผ่านอารมณ์ของแต่ละฟังก์ชันการใช้งานค่ะ

    โดยรวมแล้วห้องพักของคอนโดมีความแตกต่างจากห้องคอนโดโดยทั่วไปในเรื่องของ Design ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบโดยสตูดิโอระดับโลก เดวิด คอลลินส์ สตูดิโอ จึงไม่ใช่การออกแบบที่ดูเป็นแนว Modern แต่จะมีกลิ่นอายของความเป็น Contemporary Classic อยู่เต็มเปี่ยม ภายในตกแต่งในสไตล์ Contemporary Classic ที่สะท้อนถึงรสนิยมที่หรูหรา แต่ยังคงไว้ซึ่งความปราณีตและละเอียดอ่อน ด้วยเฟอร์นิเจอร์ ฌอง หลุยส์ เดอนัวร์ คอลเลคชั่น (Jean-Louise Denoit) จากเบเกอร์ เฟอร์นิเจอร์ที่นำเข้าจาก Chanintr Living ส่วนชุดครัวและสุขภัณฑ์ต่างๆ จะเป็นแบรนด์ชั้นนำ ได้แก่ ชุดครัวจาก Poggen Pohl, Top ครัวหินอ่อนที่นำเข้าจากอิตาลี, อ่างอาบน้ำ Agape, อุปกรณ์ในห้องน้ำจาก Lefroy Brooks ส่วนตู้เสื้อผ้า Built-in จาก Poliform และงานออกแบบพื้นไม้โอ๊คตัดขวางที่นับเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของห้องพักอาศัยที่นี่ค่ะ ส่วนการขายเป็นแบบ Fully Fitted และสามารถเลือกแบบ Fully Furnished ได้ อย่างห้องนี้ราคาห้องมาตรฐานจะอยู่ที่ 163 ล้านบาท แต่ถ้าตกแต่งครบแบบห้องตัวอย่างเลยก็คิดค่าเฟอร์เข้าไปอีก 28 ล้าน รวมเป็น 191 ล้านบาท เนื่องจากห้องพักมีขนาดใหญ่เราจึงจะแบ่งแปลนเป็นช่วงๆ เพื่อพาไปชมทีละโซนนะคะ

    เริ่มกันที่บริเวณ Foyer ด้านหน้าห้องคือพื้นที่โถงรับรอง ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับเช็คความเรียบร้อยก่อนออกจากห้อง และเป็นพื้นที่สำหรับถอดรองเท้าด้วย จาก Foyer จะเป็นทางเดินยาว (Corridor) ที่แบ่งออกเป็น 2 ฝั่งซ้ายขวา ฝั่งซ้ายจะเชื่อมพื้นที่โถงรับรองด้านหน้ากับ Living Room ทำให้เกิดความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย และทางเดินนี้จะเชื่อมเข้ากับห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง ส่วนทางเดินฝั่งขวาจะเชื่อมไปห้องน้ำแขกที่เป็นแบบ Powder Room และในมุมที่ดูสงบสุดบริเวณปลายทางเดินจะเป็นตำแหน่งของ Master Bedroom

    เดินเข้าจากประตูมาจะพบกับโถง (Foyer) ทรงกลมนี้เป็นส่วนแรก Foyer หน้าห้องนี้ถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่เบรกอารมณ์ของผู้พักอาศัย ให้ความรู้สึกของการต้อนรับกลับบ้าน และยังดูหรูหราเวลาที่ใช้ต้อนรับแขกได้ดี จากโถงบริเวณนี้จะแบ่งพื้นที่ห้องออกเป็น 2 ส่วนซ้ายขวา โดยทางซ้ายจะเป็นทางเดินยาว (Corridor) เชื่อมไป Living Room ส่วนทางขวาจะเป็นทางเดินไป Master Bedroom ค่ะ

    ส่วนงานออกแบบจะโชว์ลายวงกลมที่พื้นดูแปลกตา แต่เข้ากับซุ้มประตูทรงโค้งทั้ง 2 ฝั่ง Highlight ของเฟอร์นิเจอร์ในส่วนนี้จะจัดโต๊ะกลางหินอ่อนที่ดูเป็นพระเอกของห้อง ด้วย Top โต๊ะที่เป็นหินอ่อนแท้ เฉพาะตัวนี้ราคาประมาณ 1.5 ล้านบาทนะคะ

    จาก Foyer หน้าห้องแล้วมองผ่านซุ้มประตูทรงโค้งทางฝั่งซ้ายเข้ามา จะเป็นทางเดินเชื่อมไปหา Living Room ที่บริเวณปลายสุดทางเดิน

    ไฟบริเวณหน้าซุ้มถูกออกแบบให้เป็นไฟแบบส่องขึ้น เพื่อให้บริเวณชุ้มประตูดูเด่น

    เดินตาม Corridor มาทางซ้าย จะเข้าสู่ Common Area ขนาดใหญ่ พื้นที่โซนนี้จะได้ผนังกระจกเกือบรอบด้าน เรียกได้ว่าเปิดมุมมองกว้างถึง 180 องศา และเนื่องจากพื้นที่ใช้สอยของห้องมีขนาดใหญ่ ทำให้สามารถจัดชุดโซฟาและห้องทานอาหารแยกเป็นโซนย่อยๆ ได้ สมาชิกในบ้านจึงสามารถแยกกันทำกิจกรรมต่างๆ ของตัวเองได้ แต่ก็ยังคงได้บรรยากาศที่อบอุ่นเพราะพื้นที่ที่เปิดโล่งเชื่อมถึงกัน จึงเป็นโซนพักผ่อนหลักของครอบครัว ที่เปิดโล่งให้สมาชิกในบ้านได้มาพบปะกัน และด้วยพื้นที่ใช้สอยที่กว้างเกือบ 1 ใน 3 ของห้อง ทำให้เราสามารถจัดปาร์ตี้เล็กๆ แบบ 10-15 คนได้นะคะ

    Great Area เป็นพื้นที่รับแขกที่ให้ความรู้สึกเป็นทางการหน่อย ส่วนการตกแต่งได้ทาง Chaintr Living ผู้จัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ระดับพรีเมี่ยมสไตล์คลาสสิคของไทย เป็นคนเลือกสรรเฟอร์นิเจอร์ให้กับห้องนี้ โดยชุดโซฟาในโซนนี้ทั้งหมดจะเลือกใช้ของ Baker Furniture ที่มีชื่อเสียงทางด้านเฟอร์นิเจอร์ระดับ High-End ที่ครองตลาดเฟอร์นิเจอร์มากว่าร้อยปี

    จุดเด่นของห้องนี้คือหน้าต่างบานใหญ่แบบ Frameless จากพื้นถึงฝ้า รับวิวโปร่งๆ ของท้องฟ้า โดยใช้เป็นกระจกนิรภัย 3 ชั้นแบบสะท้อนความร้อน

    หากมองลงด้านล่างก็จะได้วิวเมืองมุมสูงด้วยเช่นกัน ซึ่งหน้าต่างแบบ Frameless แบบจรดพื้นและฝ้าแบบนี้ ทำให้มีมุมมองวิวที่กว้างขึ้น และแตกต่างไม่เหมือนวิวจากคอนโดที่ไหน

    จากห้องพักบนชั้น 58 ก็จะได้วิวประมาณนี้ เป็นวิวเมืองทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่หันไปทางเจริญกรุง เจริญนคร และหากมองไปไกลๆ จะเห็นฉากหลังเป็นโค้งน้ำเจ้าพระยา

    ภายในบริเวณ Common Area จะได้พื้นที่เปิดโล่งเชื่อมถึงกันแบบนี้ ทำให้แม้ว่าจะอยู่ในคอนโดแต่ด้วยการออกแบบก็ทำให้บรรยากาศไม่อึดอัด คล้ายๆ กับอยู่บ้านชั้นเดียวเลยนะคะ

    ถัดมาเป็นชุดโซฟานั่งเล่นแบบเป็นกันเองขึ้นมาหน่อย มีความใกล้ชิดกันมาขึ้น โดยโซฟายังเป็นของ Baker Furniture ส่วนโต๊ะกลางนั้นเป็นรุ่น In The Lake Coffee Table ของ POUENAT แบรนด์เฟอร์นิเจอร์โฮมเมดจากฝรั่งเศส โดยใช้วัสดุเป็นสแตนเลสขัดเงา

    พื้นของที่นี่เป็นหน้าไม้โอ๊คโดยการใช้ด้านสันของไม้มาเรียงต่อกันคล้ายโมเสก 1 Pattern จะใช้โมเสกไม้ 12 ชิ้น วางแนวตั้ง 3 นอน 3 สลับกันจนเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส ให้ผิวสัมผัสที่มี Texture เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร ส่วน Backing ด้านล่างจะรองด้วยไม้จริงค่ะ

    ถัดมาคือตำแหน่งสำหรับวางโต๊ะรับประทานอาหาร 8 ที่นั่ง เป็นตำแหน่งที่ล้อมด้วยผนังกระจกรับวิว 2 ด้าน จึงได้วิวที่เปิดโล่งเป็นพิเศษ เฟอร์นิเจอร์จะใช้ของ Baker Furniture อีกเช่นกัน โดยส่วนที่เป็น Highlight ของพื้นที่คือโคมไฟแชนเดอเลียร์ที่ประดับดูด้านบนค่ะ

    ความพิเศษของแชนเดอเลียร์คริสตัลมูลค่า 2 ล้านกว่าบาทชิ้นนี้ คือ เป็นโคมไฟนำเข้าของ Saint Louis “แซงต์หลุยส์” แบรนด์เครื่องแก้วคริสตัลและโคมไฟแชนเดอเลียร์เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากว่า 400 ปี ซึ่งปัจจุบันแบรนด์สุดคลาสสิกจากฝรั่งเศสนี้อยู่ในเครือ Hermès Group เรียบร้อยแล้ว

    ติดกันกับโต๊ะรับประทานอาหารจะเป็นโซน Pantry และเคาน์เตอร์บาร์ สำหรับชงเครื่องดื่มหรือทำอาหารเบาๆ จึงเหมาะกับการชวนเพื่อนหรือครอบครัวมาจัดปาร์ตี้เล็กๆ

    ชุดครัวแบบเคาน์เตอร์วางขนานกัน มีความโดดเด่นด้วยลายหินอ่อน Arabescato เคาน์เตอร์ครัวฝั่งหนึ่งเป็น Island โดยถูกวางฟังก์ชันหลักๆ ไว้สำหรับเตรียมอาหาร และด้วยขนาดเคาน์เตอร์ที่ใหญ่ทำให้สามารถจัดเป็นเคาน์เตอร์บาร์ได้ด้วย สำหรับเก้าอี้บาร์ในส่วนนี้เลือกใช้ของ Hickory Chair แบรนด์เฟอร์นิเจอร์แบบ Craftmanship จากอเมริกา โดยมีแรงบันดาลใจจากเก้าอี้สไตล์ฝรั่งเศสในปี 1930

    งานดีไซน์ในส่วนของเคาน์เตอร์ครัวจะเน้นโชว์ลายหินอ่อน Arabescato สีขาวตัดเทา งาน Details ต่างๆ จะถูกออกแบบให้เป็นดีไซน์เดียวกัน เช่น มือจับลิ้นชักและขาโต๊ะ ที่ถูกออกแบบให้มี Texture แบบเดียวกัน เรียกได้ว่าเก็บรายละเอียดอย่างประณีตเลยทีเดียว

    ชุดครัวจาก Poggen Pohl แบรนด์ครัวระดับโลกจากเยอรมัน ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นของ Gaggenau สุดยอดแบรนด์เครื่องครัวจากเยอรมันที่ให้ความหรูหราและฟังก์ชั่นการใช้งานในหนึ่งเดียว พร้อมดีไซน์สวยงามด้วยเส้นสายบริสุทธิ์สะอาดตา การันตีด้วยประวัติอันยาวนานกว่า 300 ปี

    ซิงก์ล้างจาน Stainless Steal ของ FRANKE ตัวท๊อป หลุมกว้างและลึก ชอบก๊อกน้ำและซิงก์ของที่นี่ตรงที่มีขนาดใหญ่ สามารถทำอาหารได้สะดวก เพราะเรสซิเดนซ์ใหญ่ขนาด 300 กว่าตารางเมตรแบบนี้ก็คงจะไม่ได้อยู่อาศัยกันแค่ 1-2 คนอย่างแน่นอน ซิงก์ล้างจานจึงควรจะมีขนาดใหญ่ให้รองรับการใช้งานของสมาชิกในบ้านได้ครบถ้วน

    จากเคาน์เตอร์ครัวแล้วมองเลยไปจนถึงผนังจะเป็นโซน Breakfast Area เป็นมุมทานข้าวอีกมุมหนึ่งของห้องค่ะ

    Breakfast Area เป็นมุมนั่งรับประทานอาหารแบบ 3-4 คน ที่ให้อารมณ์อบอุ่นมากขึ้น เหมาะจะนั่งทานอาหารเช้าและดูทีวีไปด้วยแบบสบายๆ เผื่อวันไหนไม่อยากนั่งทานบนโต๊ะตัวใหญ่ หรือแค่จะทานอาหารว่างแบบง่ายๆ

    ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผนังกระจก 2 ฝั่งแบบโต๊ะทานอาหารหลัก แต่มุมนี้ก็ได้ทั้งวิวจากผนังด้านข้าง แถมยังดูทีวีได้อีกด้วยนะคะ

    ต่อไปจะพาชม Bedroom 2, 3 กันต่อ ห้องนอนทั้ง 2 ห้องจะมีขนาดและการวางผังห้องใกล้เคียงกัน จึงจะขอพาไปชม Bedroom 2 เพียงห้องเดียวนะคะ

    ประตูทางดข้า Bedroom 2, 3 จะเข้าจากทางโถง Corridor ยาวๆ ในบริเวณที่ติดกับ Living Room

    ภายในตกแต่งด้วย Wallpaper ลายดอกไม้ดูคลาสสิค ส่วนพื้นจะเป็นหน้าไม้โอ๊คเช่นเดียวกับใน Living Room ค่ะ

    ภายในห้องวางเตียง Queen Size รุ่น Selby Bed จาก Hickory Chair มาพร้อมโต๊ะหัวเตียงของแบรนด์เดียวกัน สังเกตหน้าต่างของห้องจะได้เป็นแบบ Frameless จากพื้นถึงฝ้า ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบมาตรฐานของหน้าต่างโครงการเลยค่ะ

    พื้นและซิงก์ของห้องน้ำทุกห้องจะแต่งด้วยหินอ่อนลายเดียวกันเสมอ ห้องนี้แต่งเป็นโทนขาว-ดำ โดยใช้สีดำจากลายหินล้วนๆ อุปกรณ์ในห้องน้ำใช้ของ Lefroy Brooks และ TOTO เช่นเดียวกับ Powder Room

    มาถึงห้องอาบน้ำกันบ้าง ถึงจะเป็นห้องนอนเล็กแต่พื้นที่อาบน้ำก็ให้มาแบบใช้งานได้สะดวกมาก บานกระจกแน่นอนว่าเป็น Tempered Glass โดยวงกบที่ติดกับบานกระจกนิรภัยก็ใช้หินอ่อนต่อเชื่อมเป็นลายให้มีขอบสวยๆ พร้อมทั้งได้วิวเมืองที่สวยมาก เพราะผนังกระจกด้านในเป็นแบบ Frameless เช่นเดียวกับผนังใน Living Room เลยนะคะ

    หน้าต่างแบบ Frameless ภายในห้องน้ำจากพื้นจรดฝ้า ด้านบนซ่อนรางม่ายมาให้ เวลาที่ต้องการใช้งานอย่างเป็นส่วนตัวก็สามารถดึงม่านลงมาได้ ตัวห้องจึงได้ฟังก์ชันครบ และดูเรียบร้อย สวยงามด้วยค่ะ

    ต่อไปก็มาถึง Master Bedroom กันแล้ว ซึ่งถูกวางตำแหน่งไว้ให้มีความเป็นส่วนตัวที่สุด แยกออกจากห้องอื่นๆ อย่างชัดเจน ซึ่งจริงๆ แล้วโซนนี้จะมีห้องนอน 2 ห้อง แต่ทางโครงการ Built-in Bedroom  4 ให้กลายเป็น Walk-in Closet ไปอีกห้องหนึ่งค่ะ

    ต่อไปเราจะเดินผ่านบริเวณ Foyer เพื่อเดินเชื่อมไปโถงทางเดินอีกฝั่งหนึ่ง Foyer ของห้องจึงไม่ได้แค่ทำหน้าที่เป็นโถงต้อนรับ และเปลี่ยนอารมณ์เมื่อตอนกลับบ้านอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังใช้เปลี่ยนอารมณ์ในการเข้าสู่โถงทางเดินบริเวณหน้า Master Bedroom ที่มีบรรยากาศที่เป็นส่วนตัวขึ้นกว่าโถงทางเดินฝั่ง Living Room นะคะ

    โถงทางเดินฝั่งขวาของ Foyer เป็นทางเดินไม่ยาวนัก ใช้แค่เชื่อมห้องน้ำ Powder Room และ Master Bedroom เท่านั้น ส่วนแอร์ของโครงการนี้จะเป็นแบบซ่อนในฝ้า ใช้เป็นระบบ VRV ซึ่งมีคุณสมบัติในการควบคุมอุณหภูมิให้เย็นสบายและแม่นยำ นอกจากนั้นยังมีระบบปรับปรุงคุณภาพของอากาศให้ดีขึ้นได้ด้วยการระบายอากาศลดความชื้น ทำให้อากาศอยู่ในสภาวะสบายตลอดเวลา

    ภายในห้องน้ำแขก หรือห้องน้ำแบบ Powder Room ตกแต่งมาด้วยสีโทนชมพูตัดครีมเช่นเดียวกับบริเวณโถงทางเดิน ภายในเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ ที่มีการออกแบบและติดตั้งเป็นพิเศษ

    อ่างล้างมือแบบผสมน้ำร้อนน้ำเย็นของ Lefroy Brook แบรนด์ชั้นนำระดับโลกจากอังกฤษ ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องการออกแบบอุปกรณ์ในห้องน้ำให้ยังคงความคลาสสิค โดยมีแนวคิดที่อยากสงวนความงามของอุปกรณ์ในห้องน้ำสมัยอดีตไว้ จนโด่งดังว่าเป็นทางเลือกของผู้ที่ชื่นชอบการออกแบบสไตล์คลาสสิค

    โถสุขภัณฑ์จาก TOTO เป็นแบบฝังเข้าไปในผนัง และติดตั้งที่กดน้ำไว้ที่ผนังด้านหลัง การออกแบบแนวนี้น่าจะได้รับรูปแบบมาจากการเป็นเครือโรงแรม Marriott จึงมาในสไตล์อเมริกัน ต่างจากสไตล์ของญี่ปุ่นที่จะใช้สุขภัณฑ์แนว Washlet ที่มีปุ่ม Electronic ควบคุมเยอะๆ นะคะ

    ผ่านประตูเข้ามาด้านใน Master Bedroom จะมีโถงทางเดินตรงกลางที่เชื่อมพื้นที่ต่างๆ ในห้องเข้าไว้ด้วยกัน

    โซนพักผ่อนหลักๆ มีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง สามารถจัดวางเตียง King Size และชุดโซฟาที่ปลายเตียง สำหรับเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งดูทีวีแทนก็ได้ ส่วนเฟอร์นิเจอร์อย่างเตียงและโต๊ะหัวเตียงจะใช้ของแบรนด์ Hickory Chair เช่นเดียวกับ Bedroom 2, 3 ส่วนที่เพิ่มเข้ามาคือชุดโซฟาของ Barbara Barry รุ่น Drop Shoulder

    โซฟาชิ้นนี้เป็นผลงานออกแบบของ Barbara Barry ชาวอเมริกัน ที่มีชื่อเสียงในการออกแบบเฟอร์นเจอร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีกลิ่นอายของความคลาสสิค แต่มีดีไซน์ที่ทันสมัย การันตีด้วยรางวัลมากมาย และเป็นท็อปลิสต์ สุดยอดนักออกแบบ 100 คนจากทั่วโลก ในหนังสือ Architectural Digest’s “AD 100” มีผลงานในการออกแบบเฟอร์ฯ ให้กับโรงแรมหรูในกรุงลอนดอน อาทิ The Savoy Hotel และ The Berkeley Hotel

    ส่วนของห้องน้ำจะมีทางเดินที่แยกส่วนออกมาจากโซนเตียงนอนอีกเล็กน้อย

    ปลายสุดทางเดินจะเป็นห้องน้ำและห้อง Walk-in Closet ที่ขนาบทางเดิน โดยประตูห้อง Walk-in Closet ทางขวาจะมีลักษณะพิเศษมองไกลๆ อาจเห็นเป็นกระจกฝ้า แต่จริงๆ แล้วที่เห็นไม่ใช่ “ฝ้า” นะคะ แต่เป็นการใช้ “ผ้า” คั่นระหว่างกระจกสองบาน ทำให้เกิดลวดลายของผ้าและมีคุณสมบัติเหมือนกระจกฝ้า ที่อนุญาตให้แสงผ่านได้บางส่วน

    พอเปิดประตูแล้วพื้นที่ทั้งหมดจะเชื่อมต่อกันเสมือนเป็นห้องเดียวกัน กลายเป็นห้องอาบน้ำและห้องแต่งตัวที่ใหญ่มากเลยค่ะ

    Walk-in Closet ขนาดใหญ่ ที่สามารถตั้งสตูตัวยาวตรงกลางได้

    ฝั่งตรงข้ามเป็น Master Bathroom ที่ถือว่าเป็น Signature ของโครงการนี้ไปแล้ว ..Master Bedroom มีขนาดใหญ่มาก ใหญ่พอๆ กับห้อง 1 Bedroom ของคอนโดทั่วๆ ไปเลยนะคะ จัดห้องให้ดู Symmetry ด้วยการวางอ่างอาบน้ำเป็น Highlight ของห้องน้ำ เพื่อให้ได้วิวแบบเต็มๆ และให้เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ห้องอาบน้ำและห้องสุขภัณฑ์อยู่ด้านข้างแทน สังเกตพื้นและผนัง รวมถึง Top อ่างล้างหน้าจะคุม Theme โดยใช้วัสดุเดียวกัน ให้ความรู้สึกเหมือนการแกะสลักหินอ่อนเป็นห้องน้ำ แล้วน้ำเฟอร์นิเจอร์เข้ามาติดตั้งเลยนะคะ

    อ่างอาบน้ำยี่ห้อ Agape ทำจาก Cast Iron หรือ “อ่างอาบน้ำเหล็กหล่อ” มีคุณสมบัติในการรักษาอุณหภูมิได้ดีกว่าอ่างเซรามิกทั่วไป มีการตกแต่งพื้นในตำแหน่งที่วางอ่างอาบน้ำด้วยหินแท้ๆ วางเรียงมือเป็นชิ้นๆ เพื่อให้ได้ลวดลายที่เหมาะสม และตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ด้านข้างอย่างเก้าอี้สตูทรงโค้ง ล้อไปกับทรงของอ่าง

    ก๊อกน้ำของห้องนี้จะต่างจากห้องนอนอื่น ๆโดยเลือกใช้เป็นสีทอง ในขณะที่ห้องอื่นๆ จะเป็นสีเงิน และเลือกใช้ของ Lefroy Brooks ที่มีชื่อเสียงในงานดีไซน์อุปกรณ์ในห้องน้ำที่ยังคงดูคลาสสิค ไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ” Timeless”  เช่นเดียวกัน

    เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าเป็นหินอ่อนแท้ลายเดียวกับพื้นและผนังในห้องน้ำ ให้ความรู้สึกเหมือนว่า Top เคาน์เตอร์ล้างหน้าเป็นชิ้นเดียวกับผนัง มาพร้อมกับอ่างล้างมือแบบ His & Her

    ซิงก์และหัวก๊อกของ LB หรือ Lefroy Brooks ยี่ห้อสิงโตติดปีก เป็นก๊อกผสมน้ำเย็นน้ำร้อนทั้งหมด

    ภายในแยกส่วนของห้องน้ำและห้องอาบน้ำออกจากกัน ตามลักษณะที่เห็นกันในคอนโดระดับ Ultimate Class แบบนี้ สำหรับสุขภัณฑ์ใช้ของ TOTO  นะคะ

    ออกมาที่โถงทางเดินบริเวณด้านหน้า Bedroom 4 ที่ทางโครงการปรับเป็น Walk-in Closet ไปเรียบร้อย พื้นที่ตรงนี้เป็น Foyer เล็กๆ ของห้อง มีม้านั่งยาวให้นั่งเล่นพักผ่อนอีกมุมหนึ่ง ซึ่งม้านั่งนี้ใช้ของ Theodore Alexander รุ่น Keene Bench ส่วนฝั่งขวามี Mini Bar ส่วนตัวให้ใช้งานภายในห้องเลย

    มินิบาร์ส่วนตัวที่สามารถใช้เป็นพื้นที่เตรียมเครื่องดื่มเล็กๆ น้อย ภายในห้องได้

    เนื่องจากห้อง Walk-in Closet นี้ปรับฟังก์ชันมาจากห้องนอนทำให้มีพื้นที่ใช้สอย ทำให้มีพื้นที่สำหรับแต่งตัวที่กว้างทีเดียว เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องนี้ยังคงใช้ของ Baker Furniture เป็นหลัก คุมสีให้ดูนุ่มนวลด้วยโทนสี ขาว ครีม ชมพู

    มีมุมส่องกระจกเพื่อเช็คความเรียบร้อยก่อนออกจากห้อง

    ถัดมาที่ห้องเรสซิเดนซ์ 3 ห้องนอน (ห้องพิกเซล) ขนาด 240 ตารางเมตร บนชั้น 44 โดยฟีเจอร์พิเศษของห้องนี้คือ ‘พิกเซล’ ที่ใช้การเล่นระดับความเหลื่อม และความล้ำกันของพื้นที่ (ซึ่งจะเห็นชัดเมื่อเรามองจากนอกอาคารเข้ามา) และมีเทอร์เรซที่สามารถเปิดออกเพื่อรับชมวิว 180 องศาตามแนวคิดที่ต้องการให้เกิดอารมณ์เหมือน “ลอยอยู่บนฟ้า” อย่างไม่มีอะไรบดบังสายตาค่ะ บริเวณชั้นที่มียูนิตเหมือน Pixel ยื่นออกมารอบอาคารนั้น ในแต่ละห้องจะมี Plan จะแตกต่างกันทั้งหมด ไม่มีห้องไหนเหมือนกันเลย เรียกว่าเป็น ความ Unique ก็ว่าได้ สำหรับฝ้าเพดานของห้องนี้มีความสูงอยู่ที่ 3.1 เมตร จึงมีความสูงมากกว่าคอนโดฯ ทั่วไปถึง 30-40 เซนติเมตร ภาพรวมของแปลนห้องเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัว จัดพื้นที่ใช้สอยอย่างเป็นสัดส่วนด้วยจัด Living Room ไว้ด้านหน้า ส่วนโซนพักผ่อนอื่นๆ จะถูกจัดไว้ด้านในทั้งหมด โดยจะไม่สามารถมองเห็นได้จากบริเวณ Common Area ที่ออกแบบมาอย่างนี้ก็เพื่อความเป็นส่วนตัวสูงสุดของการอยู่อาศัย

    ภายในตกแต่งในสไตล์ Modern Luxe ที่สะท้อนถึงรสนิยมที่หรูหรา แต่ยังคงไว้ซึ่งความปราณีตและละเอียดอ่อน สำหรับห้องนี้ยังคงเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์จากเบเกอร์ เฟอร์นิเจอร์ เป็นหลักอยู่เช่นกัน ส่วนชุดครัวและสุขภัณฑ์ต่างๆ จะเป็นแบรนด์ชั้นนำเหมือนกับห้องสกายเรสซิเดนซ์นะคะ แต่จะต่างกันนิดหน่อยตรงอ่างอาบน้ำในห้องนี้จะใช้ของ Lefroy Brooks เช่นเดียวกับอุปกรณ์อื่นๆ ในห้องน้ำค่ะ

    ลักษณะของห้อง ‘พิกเซล’ เมื่อมองจากด้านนอกอาคารเข้ามานะคะ ซึ่งการขายเป็นแบบ Fully Fitted และสามารถเลือกแบบ Fully Furnished ได้ อย่างห้องนี้ราคาห้องมาตรฐานจะอยู่ที่ 122 ล้านบาท ถ้าตกแต่งครบแบบห้องตัวอย่างเลยก็คิดค่าเฟอร์เข้าไปอีก 15 ล้าน รวมเป็น 137 ล้านบาท และเนื่องจากห้องพักมีขนาดใหญ่เราจึงจะแบ่งการอธิบายเป็นช่วงๆ เพื่อพาไปชมทีละโซนนะคะ

    เริ่มกันที่บริเวณ Foyer ด้านหน้าห้องคือพื้นที่เปลี่ยนถ่ายอารมณ์ (Transition Space) ใช้ประโยชน์เพื่อเป้นบริเวณสำหรับเช็คความเรียบร้อยก่อนออกจากห้อง และเป็นพื้นที่สำหรับถอดรองเท้าด้วย จาก Foyer จะเป็นทางเดินยาว เข้าสู่ Common Area ขนาดใหญ่ด้านใน ส่วนทางด้านซ้ายของ Foyer จะเป็นส่วนของแม่บ้านและครัวไทย ที่แยกส่วนออกจากพื้นที่พักอาศัยหลักๆ อย่างชัดเจน

    ผ่านประตูหน้าห้องเข้ามาบริเวณ Foyer จะเป็นทางเดินยาวเพื่อตรงเข้าสู่ Common Area ด้านใน การออกแบบพื้นที่บริเวณนี้ตั้งใจให้เป็นการระเบิด Space กล่าวคือด้วยฝ้าเพดานที่สูง 3.1 เมตรและพื้นที่ที่เป็นทางเดินแนวยาว พอเดินไปจนสุดทางเดินจะเป็นการเปลี่ยนความรู้สึกจากพื้นที่แคบสู่พื้นกว้างในบริเวณ Common Area โดยฉับพลัน พื้นห้องจะได้เป็นพื้นไม้โอ๊คตัดขวางเช่นเดียวกับห้องสกาย เรสซิเดนซ์ ผนังห้องยังคงเลือกใช้เป็นสีชมพูอ่อน ที่เข้ากันกับไฟสีเหลืองมากทีเดียว

    Common Area ขนาดใหญ่ จัดแบบเปิดโล่งถึงกันหมดเพื่อแชร์แสงและวิวร่วมกันจากผนังกระจกที่อยู่ด้านในสุดของห้อง ภายในแบ่งออกเป็นมุมรับแขก นั่งเล่น ทำอาหาร และทานอาหาร จึงเป็นโซนพักผ่อนหลักของครอบครัว ที่เปิดโล่งให้สมาชิกในบ้านได้มาพบปะกัน

    บริเวณ Common Area ส่วนแรกจะจัดเป็น Pantry ครัวที่เชื่อมกับตำแหน่งของโต๊ะทานอาหารของห้อง ซึ่งครัวนี้จัดเป็นครัวเบาที่เอาไว้ทำอาหารง่ายๆ ไม่ถึงขนาดกับว่าควันคลุ้งเต็มห้องไปเปรอะเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ เพราะเรสซิเดนซ์นี้มีครัวหนักอยู่ในส่วนของแม่บ้านที่ด้านหน้าห้องอยู่แล้ว รายละเอียดของเคาน์เตอร์ครัวสามารถหาอ่านได้จาก บทความรีวิวเจาะลึก The Ritz-Carlton Residences Bangkok ตอนที่ 3 นะคะ

    โต๊ะทานอาหารเลือกใช้ของ Minotti เป็นโต๊ะนำเข้าสัญชาติอังกฤษ รุ่น Catlin Oval Dining Table และที่ขาดไม่ได้คือการตกแต่งด้วยโคมไฟประดับจาก Saint-Louis อีกเช่นกัน

    โคมไฟรุ่น Hulotte Eight-Pendant Lights จาก Saint-Louis เล่นระดับและไล่สีให้เกิดความรู้สึกที่มีมิติ

    เก้าอี้นั่งทานอาหารจาก Baker Furniture รุ่น Cane Arm Chair ที่มีรายละเอียดของงานถักสาน

    เคาน์เตอร์ครัวมีฟังก์ชันที่สามารถเปิดออกออกเพื่อใช้เป็นเคาน์เตอร์บาร์ และง่ายต่อการเสริฟอาหาร ถัดเข้าไปด้านในจะเป็นจะเป็นโซนนั่งเล่น รับแขก

    พื้นที่บริเวณนี้ทางโครงการจะเรียกว่า Great Area ไว้ใช้รับแขก นั่งเล่น ดูทีวีกันแบบสบายๆ ส่วนที่เป็น Highlight คือผนังกระจกด้านในที่เป็นแบบ Frameless ทำให้เวลาที่นั่งเล่นพักผ่อน หรือดูทีวีก็สามารถชมวิวเมืองด้านนอกไปพร้อมๆ กันได้ สำหรับเฟอร์นิเจอร์บริเวณนี้จะใช้ยี่ห้อหลัก 2 แบรนด์ คือของ Christian Liaigre (คริสติออง ลีย์แอคร์) มัณฑนากรและดีไซน์เนอร์ระดับโลก ที่มีผลงานโดดเด่นในงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์เรียบหรู และมักจะเลือกใช้วัสดุคุณภาพจากทั่วโลก มีผลงานในการออกแบบและตกแต่งบ้านให้มหาเศรษฐีมากมาย เช่น คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์, วาเลนติโน, คาลวิน ไคลน์ และฟรองซัวส์ นาร์ส ส่วนเฟอร์นิเจอร์อีกแบรนด์หนึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่าเลือกใช้ของ Baker Furniture ค่ะ

    ชุดโซฟาพร้อมโต๊ะกาแฟที่ให้ความรู้สึกถึงการรับแขกแบบเป็นทางการ โซฟาทั้งชุดนี้จาก Christian Liaigre มีการคุมโทนสีและการเลือกใช้สีหลักๆ 3 สีคือ น้ำเงิน น้ำตาล ขาว ตัดกับองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆในการตกแต่งที่เป็นสีเหลือง ที่ทำให้ดูมีจุดเด่นขึ้นอย่างลงตัว

    ดูรายละเอียดของวัสดุที่ใช้ อย่างเก้าอี้ตัวสีครีมนี้ถูกเลือกใช้เป็นโครงไม้วอลนัท ส่วนที่วางแขนจะมีลูกเล่นของวัสดุที่ต่างออกไป โดยเลือกใช้เป็นหนังแท้อย่างดีมาดัดโค้งพร้อมเก็บรายละเอียดด้วยโลหะชิ้นสี่เหลี่ยมด้านหน้า

    ถัดมาเป็นชุดโซฟาของ Baker Furniture ที่คงพอทราบกันแล้วนะคะว่าจะเน้นงานแนวคลาสสิค ไม่ล้ำสมัย เพื่อยังคงสเน่ห์ของงานออกแบบในยุคก่อนๆ เอาไว้

    หากนั่งเล่นบนโซฟาในบริเวณ Great Area ก็จะได้วิวทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณนี้

    ถัดมาชมพื้นที่พักผ่อนของห้องกันบ้าง ซึ่งจะพาไปชม Bedroom 2, 3 กันก่อน ห้องนอนทั้ง 2 ห้องจะมีฟังก์ชันภายในห้องใกล้เคียงกัน หลักๆ คือมีตำแหน่งวางเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า และ ห้องน้ำในตัว จึงจะขอพาไปชมเพียงแค่ห้องนอน 3 นะคะ

    บริเวณโถงทางเดินเข้าสู่โซนพักผ่อน โดยทางเดินนี้จะเชื่อมไปยังห้องนอนทั้ง 3 ห้องนะคะ สังเกตบริเวณปลายสุดทางเดินจะมีการตกแต่งด้วยรูปภาพ เพื่อเป็นจุดนำสายตาค่ะ

    จากโถงทางเดินเมื่อกี้เราเลี้ยวขวาเข้ามาในห้อง Bedroom 3 นะคะ ส่วนแรกของห้องจะมีเก้าอี้สตูตัวยาวไว้ต้อนรับบริเวณด้านหน้า ซึ่งบริเวณนี้จะจัดเป็นพื้นที่แต่งตัว ฝั่งขวาจะมีตู้เสื้อผ้านำเข้าที่ถูก Built-in ไว้เรียบร้อยของ Poliform จากอิตาลี ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับว่าเลือกใช้วัสดุคุณภาพดี โดยให้ความรู้สึกที่ดูอบอุ่น สบายๆ และยังคงมีความสวยในสไตล์โมเดิร์นอยู่ ส่วนบานพับจะใช้ของ Molteni & C แบรนด์ Hi-end จากอิตาลีเช่นกัน

    พื้นที่บริเวณเตียงนอนจะอยู่ในตำแหน่งที่ติดกับผนังกระจก ทำให้สามารถนอนชมวิวจากบนเตียงได้เลย ส่วนเฟอร์นิเจอร์จะได้เตียง Queen Size จาก Hickory Chair ส่วนโต๊ะหัวเตียงและชั้นวางของที่ปลายเตียงนั้นเป็นเฟอร์นิเจอร์จาก Baker ส่วนโคมไฟหัวเตียงของ Visual Comfort โคมไฟนำเข้าสัญชาติอเมริกัน

    ห้องน้ำของ Bedroom 2, 3 ก็จะมาในคอนเซปต์เดียวกับห้องน้ำของ Bedroom 2, 3 ของห้องสกาย เรสซิเดนซ์ โดยพื้นและอ่างล้างหน้าของห้องน้ำจะแต่งด้วยหินอ่อนลายเดียวกันเสมอ เป็นโทนขาว-เทา โดยใช้สีเทาจากลายหินล้วนๆ

    สำหรับวัสดุปูพื้น ผนังและอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องก็จะเหมือนกับกับห้องน้ำของ Bedroom 2, 3 ของห้องสกาย เรสซิเดนซ์ เลยนะคะ

    มาที่ Master Bedroom ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง Highlight ของห้องนี้และยังเป็นที่มาของชื่อเรียกว่า ‘ห้องพิกเซล’ จุดเด่นคือระเบียงภายในนอนที่ถูกล้อมด้วยกระจก เป็นระเบียงที่สามารถเปิดออกเพื่อรับชมวิวได้ 180 องศา สำหรับฟังก์ชันในห้องนอนนี้จัดมาครบทั้ง Walk-in Closet ห้องน้ำในตัวที่ยังคงได้รับวิวอย่างเต็มที่

    บรรยากาศภายในห้องนอนเป็นห้องที่ถูกล้อมด้วยผนังกระจกแบบ Frameless 2 ฝั่ง ที่ความสูงบนชั้น 44 จึงเป็นความโดดเด่นของห้องพักในโครงการนี้ที่ไม่เหมือนใคร สำหรับเฟอร์นิเจอร์จะเลือกใช้เตียงนอน King Size จาก Minotti รุ่น Creed Bed เป็นเตียงนำเข้าสัญชาติอังกฤษ โดยมีความโดดเด่นที่หัวเตียงทรงโค้ง ส่วนผ้าปูที่นอนก็ต้องเลือกสรรมาดีแล้วเช่นกัน ใช้ของยี่ห้อ Frette สัญชาติอิตาเลียน ซึ่งโดดเด่นด้วยการตัดเย็บประณีต สวยงาม พร้อมด้วยคุณภาพของเส้นด้ายในการถักทอ ซึ่งมีประวัติเป็นถึงผู้ผลิตเครื่องนอนให้กับราชสำนักต่างๆ ของยุโรปในอดีตเลยนะคะ

    โต๊ะหัวเตียงก็มีความพิเศษด้วยการเลือกใช้ของ Walterknoll (วอลเตอร์ โนลล์) รุ่น Yuuto Nightstand นำเข้าจากอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องเครื่องหนังอยู่แล้ว และวัวจากอิตาลีจะมีหนังที่หนากว่าวัวไทยและรูขุมขนที่ถี่กว่า โดยมีรายละเอียดของการเลือกหนังที่ต้องใช้หนังของวัวตัวผู้เท่านั้น

    เห็นผนังกระจกเยอะแบบนี้ หลายคนอาจคิดว่าต้องร้อนแน่ๆ แต่ความจริงมันไม่ได้ร้อนนะครับ เพราะผนังกระจกเป็นแบบนิรภัย 3 ชั้น มีคุณสมบัติในการช่วยสะท้อนความร้อน ส่วนบานด้านซ้ายสุดเป็นประตูบานเลื่อนขนาดใหญ่ที่ตั้งใจทำให้กรอบประตูกว้างตรงกับขอบหน้าต่างเป๊ะๆ สำหรับการเปิดประตูออกไประเบียงแบบ Sky Box ประตูจะมีน้ำหนักหน่อยนะคะ เพราะต้องเน้นเรื่องความแข็งแรงและปลอดภัย ถ้าสังเกตดูจะเห็นว่าโครงการจะเลือกใช้ราวกันตกของระเบียงเป็นกระจกทั้งหมด ทำให้เวลาที่เราพักอาศัยในห้องนี้ก็จะสามารถชมวิวได้เต็มๆ โดยที่ไม่มีอะไรมาบังวิวนะคะ

    การใช้กระจกบานใหญ่เต็มบานนั้นทำให้ต้องตัววงกบประตูต้องมีขนาดใหญ่และแข็งแรงไปด้วยเพื่อรับแรงปะทะจากลมค่ะ จากรูปเป็นมือของทีมงานผู้ชายที่เทียบขนาดวงกบให้ดูมีความหนาเท่าขนาด 1 ฝ่ามือเลยนะคะ

    จุดเด่นของห้อง ‘พิกเซล’ คือบริเวณเทอร์เรซที่ล้อมด้วยกระจก 3 ด้าน สามารถเปิดออกมาเพื่อชมวิว 180 องศาได้

    พื้นระเบียงปูด้วยไม้สัก จึงมีคุณสมบัติในการทนต่อการใช้งานของพื้นที่ภายนอกอาคาร เวลาออกมาที่ระเบียงนี้จะได้รับลมที่พัดเข้ามาตลอดเวลา

    ติดกันกับประตูเทอร์เรซจะเป็นทางเข้าห้องน้ำ โดยประตูห้องน้ำจะมีลักษณะพิเศษมองไกลๆ อาจเห็นเป็นกระจกฝ้า แต่จริงๆ แล้วที่เห็นไม่ใช่ “ฝ้า” นะคะ แต่เป็นการใช้ “ผ้า” มาเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับพื้นที่ในห้งน้ำ

    ตัวผ้าจะถูกคั่นอยู่ระหว่างกระจกสองบาน ทำให้เกิดลวดลายของประตูและมีคุณสมบัติเหมือนกระจกฝ้า ที่ยอมให้แสงผ่านได้บางส่วน

    ภายในห้องน้ำจะมีฟังก์ชันครบถ้วนเหมือน Master Bathroom ของสกายเรสซิเดนซ์ แต่งด้วยหินอ่อนลายเดียวกันเป็นโทนขาว-เทา แต่เนื่องจากห้องนี้มีเสาโครงสร้างอยู่ภายในห้องน้ำ บรรยากาศอาจจะไม่อลังการเหมือนห้องแรกที่พาไปดูนะคะ

    ซูมพื้นให้เห็นกันชัดๆ ว่าที่เห็นว่าคล้ายโมเสกชิ้นเล็กๆ นั้น มันไม่ใช่โมเสกนะคะ แต่เป็นหินแท้ๆ วางเรียงมือเป็นชิ้นๆ เพื่อให้ได้ลวดลายที่เหมาะสม และให้คุณสมบัติที่กันลื่นได้ดีด้วยค่ะ โดยทางโครงการจะใช้วิธีปูพื้นแบบนี้กับพื้นที่ในส่วนเปียก อย่างเช่นในห้องอาบน้ำเป็นหลัก

    ภายในห้องอาบน้ำดูโดดเด่นด้วยวัสดุอุปกรณ์สีทองจาก Lefroy Brooks ที่ตัดกับผนังสีขาว

    ด้านในสุดของห้องเป็นตำแหน่งของอ่างล้างหน้า วัสดุที่เป็นหินอ่อนแบบนี้พอได้รับแสงตกกระทบแล้วยิ่งดูสวยขึ้นไปอีกนะคะ

    ด้านข้างเป็นอ่างอาบน้ำที่ได้ตำแหน่งอยู่ติดกับผนังกระจกแบบ Frameless ให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนใครแน่นอนค่ะ สำหรับตัวอ่างในห้องนี้จะได้ของ Lefroy Brooks นะคะ

    เวลาแช่น้ำในอ่างก็จะได้วิวเมืองโล่งๆ แบบนี้ เพราะอยุ่ในตำแหน่งที่ติดกับผนังกระจกทั้ง 2 ด้าน

    งานพร๊อพตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ ทางผู้ออกแบบก็เก็บรายละเอียดไว้ได้อย่างดี หากใครมีโอกาสได้เข้าชมอยากให้สังเกตดูรายละเอียดที่แสดงถึงความพิถีพิถันด้วยตนเองดูสักครั้งนะคะ

    **รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ

     

    ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 23 October 2017

    • ห้องสกาย เรสซิเดนซ์ แบบ 4 ห้องนอน ขนาด 343.57 ตร.ม. ชั้น 58 ราคา 163 ล้านบาท หรือ 474,430 บาท/ตร.ม. (หากรวมเฟอร์นิเจอร์ ราคา 191 ล้านบาท)
    • ห้องเรสซิเดนซ์ แบบ 3 ห้องนอน (พิกเซล) ขนาด 235.53 ตร.ม. ชั้น 44 ราคา 122 ล้านบาท หรือ 517,980 บาท/ตร.ม. (หากรวมเฟอร์นิเจอร์ ราคา 137 ล้านบาท)
    • ห้องเรสซิเดนซ์ แบบ 3 ห้องนอน ขนาด 221.71 ตร.ม. ชั้น 44 ราคา 100 ล้านบาท หรือ 451,040 บาท/ตร.ม. (หากรวมเฟอร์นิเจอร์ ราคา 119 ล้านบาท)

    • Fully Fitted
    • ฝ้าเพดานสูง 3.1 และ 3.4 เมตร
    • ผนังอาคารกระจกนิรภัย 3 ชั้นสะท้อนความร้อน
    • พื้นทำจากไม้โอ๊คตัดขวาง
    • ครัวแต่งด้วยท็อปหินอ่อนนำเข้าจากอิตาลี
    • ชุดครัว Built-in ของ Poggen Pohl พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้า GAGGENAU
    • อุปกรณ์ในห้องน้ำจาก Lefroy Brooks, TOTO และAgape
    • ตู้เสื้อผ้า Built-in จาก Poliform

    **ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ

    เป็นอย่างไรบ้างคะกับห้องพักอาศัย 191 และ 137 ล้าน ของ The Ritz-Carlton Residences, Bangkok บนตึก “มหานคร” ดูแล้วหรูหราสมกับเป็นแบรนด์ที่สูงที่สุดของเชนโรงแรมชั้นนำระดับโลกอย่าง Marriott ไหมเอ่ย จุดเด่นหลักๆ ของโครงการนั้นมีเยอะทีเดียว เราขอสรุปแบบกระชับไว้ดังนี้นะคะ

    • สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการระดับ 5 ดาว ด้วยแบรนด์ The Ritz-Carlton จึงมีมาตรฐาน Gold Standard ที่ลูกบ้านมั่นใจได้ว่าจะได้รับการบริการที่อบอุ่นเป็นกันเองอย่างมืออาชีพ โดยทางแบรนด์จะเข้ามากำหนดมาตรฐานด้านการออกแบบตลอดจนถึงวัสดุคุณภาพตามมาตรฐาน
    • ความสะดวกสบาย ด้วยตำแหน่งของโครงการตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านสีลม-สาทรติดกับสถานีรถไฟฟ้า BTS ช่องนนทรี สามารถเข้าออกได้ 3 เส้นทาง ได้แก่ สีลมซอย 9 สาทรซอย 10 และถนนนราธิวาสราชนครินทร์ นอกจากทำเลจะสะดวกสบายแล้ว ที่ตึก ‘มหานคร’ ก็ยังมี Edition Hotel ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับใกล้เคียงกับ Ritz-Carlton เอาไว้บริการแขกที่มาพักชั่วคราวด้วย ซึ่งสาธารณูปโภคและบริการจากทางโรงแรมจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่อาศัยอยู่ที่ The Ritz-Carlton Residences, Bangkok นี้เช่นกัน โดยจะมีค่าบริการต่างๆ กันไปตามแต่ละบริการที่ต้องการ
    • การออกแบบระดับโลก นอกจากรูปทรงอาคารที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครแล้ว ภายในเรสซิเดนซ์และส่วนกลางยังได้รับการออกแบบโดยสตูดิโอระดับโลก เดวิด คอลลินส์ สตูดิโอ จึงจะเห็นได้ถึงความประณีตในการเลือกใช้วัสดุ ซึ่งเป็นวัสดุนำเข้าของแบรนด์ระดับโลกทั้งสิ้น จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของคอนโดมิเนียมแห่งนี้คือบานกระจกที่สูงจากพื้นจรดฝ้าเพดาน ให้ความรู้สึกเหมือนอาศัยอยู่ในบ้านที่ลอยอยู่บนฟ้า
    • วิว ด้วยความสูงของอาคารที่ปัจจุบันยังคงรักษาแชมป์ของตึกสร้างเสร็จที่สูงที่สุดเอาไว้ได้ ทำให้วิวของห้องพักอาศัยบนอาคารนี้ได้วิวเมืองในมุมที่สูงที่สุด และด้วยตำแหน่งที่ตั้งโครงการที่ไม่ไกลจากแม่น้ำเจ้าพระยามากนัก ทำให้ได้ฉากหลังของเมืองที่เป็นแม่น้ำ และสามารถมองยาวไปจนถึงบางกระเจ้าด้วยนะคะ

    รูปแบบของโครงการนี้มีความแตกต่างจากโครงการอื่นๆ ตามที่กล่าวมา ซึ่งหลักในการพิจารณาเลือกซื้อโครงการระดับนี้ก็คงจะไม่ได้ใช้เกณฑ์เหมือนการเลือกคอนโดทั่วๆไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำเล วัสดุ หน้าตาอาคาร และสิ่งสำคัญคือการเลือกซื้อคือความเชื่อมั่นในการบริการที่เป็นมืออาชีพของเชนโรงแรมชื่อดังที่ไม่ได้หาได้ง่ายๆจากโครงการทั่วไป และการเลือกซื้อก็ยังขึ้นอยู่กับความพึงพอใจส่วนบุคคลด้วยเช่นเดียวกันค่ะ

    ถ้ามีความเห็นว่ารีวิวตัวนี้มีประโยชน์ ช่วยกด LIKE ให้หน่อยนะคะ จะได้มีกำลังใจในการทำรีวิวต่อไป

    สมัครสมาชิกพร้อมรับข่าวสารเพิ่มเติม (คลิกที่นี่ )