รีวิวฉบับที่ 1629 … สวัสดีค่ะ วันนี้จะพาไปชมตึกเสร็จ The Line ราชเทวี คอนโด High Rise จากแสนสิริ ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง บนถนนเพชรบุรี ห่างจาก BTS ราชเทวี 220 เมตร เดินทางไปสยามหรือจุฬาก็ถือว่าใกล้เลยล่ะ โครงการนี้มีรายละเอียดในการออกแบบและการใช้วัสดุเยอะอยู่เหมือนกัน ราคาเริ่มตอนนี้เป็น 8.59 ล้านบาทแล้ว เราไปชมกันดีกว่าค่ะว่าเค้าจะทำออกมาเป็นแบบไหน

Fact @ 11 July 2018

  • THE LINE Ratchathewi (เดอะ ไลน์ ราชเทวี)
  • บจ.บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง เอท
  • SUPER LUXURY – ULTIMATE CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ในเขต : ราชเทวี
  • คอนโด High Rise 38 ชั้น 1 อาคาร 231 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 11 ยูนิต ที่ชั้น 12-39
  • ที่จอดรถประมาณ 157 คัน (รวมที่จอดรถกึ่งอัตโนมัติ) คิดเป็น 67%
  • ที่ดินประมาณ 1-2-0 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง : ปี 2558
  • สร้างเสร็จพร้อมอยู่
  • Studio 27.75 ตร.ม.
  • 1 Bedroom 32-34.75 ตร.ม.
  • 2 Bedrooms 40.25-79.50 ตร.ม.
  • 3 Bedrooms 85-105 ตร.ม.
  • Duplex 69.75 ตร.ม.
  • Penthouse 119.5 ตร.ม.
  • ฝ้าเพดานสูง 2.75 เมตร และสูง 3.35 เมตรที่ชั้น 11
  • ราคาห้องเริ่มต้น 8.59 ล้านบาท (ห้องขนาด 33.49 ตร.ม.)
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 275,000 บาท/ตร.ม.
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำสุด-สูงสุด n/a บาท/ตร.ม.
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่ 
  • Call Center : 1685

เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วค่ะ

สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างค่ะ


เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

พิกัด : 13.752636, 100.533336

แผนที่จากทางโครงการค่ะ

ตัวโครงการอยู่บนถนนเพชรบุรีระหว่างแยกราชเทวีกับแยกประตูน้ำแต่อยู่ใกล้แยกราชเทวีมากกว่า เป็นโซนที่เรียกว่าใกล้สยามย่านไข่แดงของกรุงเทพมากอยากเที่ยวห้างไหนก็มีเลือกได้สบายๆ เรื่องนี้ถือว่าเป็นจุดเด่นของโครงการเลยนะคะ โดยระยะห่างจาก BTS ราชเทวีไปโครงการก็แค่ 220 ม.เดินแบบชิวๆกำลังดี

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • พันธุ์ทิพย์พลาซ่า  ~500 เมตร
  • แพลตตินั่ม   ~750 เมตร
  • Siam Paragon  ~850 เมตร
  • ประตูน้ำเซ็นเตอร์ ~900 เมตร
  • Siam, Siam Center ~1 กิโลเมตร
  • Siam Discovery  ~1 กิโลเมตร
  • มาบุญครอง ~1.1 กิโลเมตร
  • Central World ~1.3 กิโลเมตร
  • Gaysorn Plaza ~1.5 กิโลเมตร
  • ตึกใบหยก, Indra Square ~1.5 กิโลเมตร
  • เซ็นทรัลชิดลม ~2.7 กิโลเมตร
  • Central Embassy ~2.5 กิโลเมตร

สำหรับโครงการนี้ทางทีมงานได้มีการรีวิวทำเลแบบละเอียดกันไปแล้วนะคะ สามารถเข้าไปชมได้ ที่นี่


เจาะลึกตัวโครงการ

The Line ราชเทวี เป็นคอนโด High Rise ที่ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากการเติบโตที่ไม่หยุดนิ่งของเมือง ตัวอาคารสูงเป็นรูปตัว I มีการใช้สี Copper black ซึ่งเป็นโทนสีดำ-ทองแดง และมีหินแกรนิตตกแต่ง Facade เพิ่มลูกเล่นให้อาคาร โดยเส้นสายบน Facade อาคารนี้ ตอนกลางคืนจะมีการซ่อนไฟ เล่น Lighting ด้วยค่ะ สำหรับภาพรวมโครงการชั้นล่างจะประกอบด้วย Lobby สำนักงานนิติบุคคล และ Mail Box ที่จอดรถจอดได้ถึงชั้น 10 และมีที่จอดรถอัตโนมัติอีก 16 คัน ชั้นพักอาศัยอยู่ในชั้น 11-37 ส่วนพื้นที่ส่วนกลางอื่นๆมีดังนี้

  • ชั้น 11 จะเป็นชั้นสระว่ายน้ำ, Outdoor Theatre และฟิตเนส
  • ชั้น 31 เป็นห้องสมุด, Co-working space และสวน (Roof Garden)
  • ชั้น 38 เป็นสวนดาดฟ้าที่มีแผง Solar Cell ติดตั้งไว้เผื่อนำไฟไปใช้ในชั้น 31 เป็นการใช้พลังงานทางเลือกและลดการใช้พลังงานไฟฟ้าด้วยค่ะ

จาก Master Plan  ทางเข้าโครงการติดกับถนนเพชรบุรี ผ่านประตูทางเข้าจะป้อม รปภ. 1 จุด ทางขวามือของอาคารจะเป็นสวนยาวไปทั้งแถบ เวลาจะไปที่จอดรถจึงต้องเลี้ยวรถไปทางซ้าย ที่หน้าอาคารมี Drop off 1  จุด หลังจากส่งคนลงแล้วก็สามารถวนซ้ายไปจอดรถด้านข้างอาคารที่มีทั้งที่จอดรถแบบปกติ และที่จอดรถอัตโนมัติที่รองรับได้ 16 คัน โดยที่จอดรถจะอยู่ในชั้น 1-10 มีที่จอดรถรวมจอดซ้อนคันทั้งหมด 154 คัน คิดเป็น 67 % ก็ยังถือว่าโอเคอยู่ เพราะโครงการอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้า BTS

เมื่อเราเข้าไปในอาคารจะเจอ Lobby ซึ่งลูกบ้านจะต้องเดินผ่าน Mail room ไปเพื่อเข้าสู่โถงลิฟต์ที่มีลิฟต์โดยสารให้ทั้งหมด 3 ตัว คิดเป็นอัตราส่วน 77 : 1 ซึ่งถือว่าสบายๆไม่หนาแน่นเท่าใดนัก ลิฟต์เซอร์วิสมีให้ 1 ตัวมีทางเข้า-ออกแยกอีกทางหนึ่งเป็นสัดส่วนดี เวลาต้องขนของเซอร์วิสจะได้ไม่ปะปนกับลูกบ้าน

จากหน้าโครงการ ทางเข้าด้านหน้าจะกว้างประมาณ 6 เมตร มีประตูรางเลื่อนเหล็กสีดำกั้นอยู่ ทางซ้ายมือมีป้อม รปภ. 1 จุด ถ้าใครไม่ใช่ลูกบ้านจะต้องแลกบัตรบริเวณนี้นะคะ รอบๆรั้วโครงการปลูกต้นไม้เป็น Green wall และติดป้าย The Line ที่ด้านหน้าชัดเจน มองตรงไปจะเจอทางเข้า Lobby ซึ่งมีจุด Drop Off ส่งคนที่หน้าอาคารได้เลยค่ะ

ด้านหน้าถัดจากทางเข้าจะมีสวนหย่อม เวลาเราเดินเข้ามาก็จะเจอกับความร่มรื่นให้ผ่อนคลายก่อนเข้าไปในโครงการและต้นไม้ยังช่วยดูดซับมลพิษและฝุ่นควันได้บางส่วนอีกด้วย

ในสวนมีที่นั่งมาให้สำหรับใครอยากจะออกมานั่งเล่นหรือออกกำลังกาย

เมื่อเข้าประตูผ่านป้อม รปภ. ไป จะสามารถตรงไปที่ Drop Off เพื่อส่งคนที่หน้าอาคารก็ได้ หรือจะวนไปทางซ้ายมือเพื่ออ้อมด้านหลังตึกไปขึ้นที่จอดรถก็ได้ค่ะ

ถ้าจะเอารถไปจอดต้องวนมาทางฝั่งซ้ายของตัวอาคารซึ่งเราจะเจอกับที่จอดรถอัตโนมัติก่อน ถัดไปจะมีรั้วกั้นไม้กระดกเพื่อสแกนลูกบ้านเข้าออกไปยังชั้นจอดรถด้านในอาคารซึ่งจอดได้ทั้งหมด 10 ชั้น โดยใช้ Keycard แตะแล้วไม้กระดกจะเปิดขึ้นเองค่ะ

ที่จอดรถอัตโนมัติ สามารถรองรับได้ทั้งหมด 16 คัน มีช่องให้รถเข้าประมาณ 4 ช่อง โดยระบบการใช้งานจะเป็นดังนี้

  • ขั้นตอนการจอดรถ – ไปรับคีย์การ์ดจากนิติบุคคล>สแกนคีย์การ์ดเพื่อทำการจองที่จอมอนิเตอร์บริเวณ Drop Off (สามารถเช็คว่าช่องจอดว่างหรือไม่จาก Application ได้)> ขับรถมารอที่หน้าทางเข้าที่จอดรถอัตโนมัติ > จอดรถ (โดยจะมีเจ้าหน้าที่มาอำนวยความสะดวกให้ค่ะ)
  • ขั้นตอนการรับรถ – สแกนคีย์การ์ด กดเลขช่องจอดบริเวณจอมอนิเตอร์หน้าห้องนิติฯ > รอรับรถ (เจ้าหน้าที่มาอำนวยความสะดวกให้)

โดยเคาน์เตอร์ที่รับจองช่องจอดรถระบบอัตโนมัติจะอยู่บริเวณ Drop Off ค่ะ ใกล้ๆกับที่จอดนั่นแหละ

หน้าจอของระบบที่ใช้จองจะเป็นแบบนี้ เราสแกนคีย์การ์ดเสร็จแล้วก็กดเลยว่าจะเอาช่องไหนแล้วจำเลขช่องจอดเอาไว้ด้วยค่ะ

สำหรับการจอดแบบปกติจะต้องวนรถมาด้านหลังอาคาร โดยจะจอดได้ถึงชั้น 10 รวมๆที่จอดรถทั้งหมดแล้ว สามารถจอดได้ประมาณ 157 คันหรือคิดเป็น 67%

ที่จอดรถชั้น 2 จะมีโซน Smart Move บริการยานพาหนะระบบเช่าเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตให้กับคนรุ่นใหม่ โดยจะมี EV Charger มาให้พร้อมกับ รถยนต์ให้เช่า BMW i3 โดยคิดค่าเช่าชั่วโมงละ 180 บาท

หน้าตาของ EV Charger เป็นแบบนี้ค่ะ โดยทางแสนสิริได้จับมือกับ SHARGE (ชาร์จ) บริษัทผู้ให้บริการเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำและ Haupcar (ฮอปคาร์)

บรรยากาศของชั้นจอดรถจะค่อนข้างโปร่งเพราะมีช่องแสงด้านข้างให้ลมพัดผ่านด้วย

พอจอดรถด้วยก็มีลิฟต์ที่สามารถขึ้นไปยังชั้นพักอาศัยได้เลย โดยไม่ต้องเดินลงมาที่ Lobby

เรากลับมาดูที่ทางเข้า Lobby ของอาคารกันค่ะ ใครที่จะเข้าไปด้านในจะต้องสแกนคีย์การ์ดก่อนจึงจะเข้าไปได้

หน้าตาของคีย์การ์ดจะเป็นบัตร rabbit ซึ่งใช้ได้หลายฟังก์ชันด้วยกันทั้งขึ้น BTS , เข้าออกโครงการและพื้นที่ส่วนกลาง , ขึ้นลิฟต์ , เปิดตู้จดหมาย และ ล็อคเกอร์ค่ะ ซึ่งเดี๋ยวจะค่อยๆพาไปชมกันนะ

Lobby ของโครงการใช้โทนสีขาว-ดำ-ทอง ในการตกแต่ง โดยในพื้นที่ส่วนกลางของโครงการจะมีการนำเอาหินธรรมชาติมาใช้อยู่หลายจุดและหลากหลายชนิด ทำให้ตัวโครงการมีความ Luxury มากขึ้น

อย่างพื้นใน Lobby นี้ใช้เป็นหินอ่อน Jaguar Pink ค่ะ 

ที่นั่งพักคอยทางโครงการจัดมาให้ทั้งนั่งกันแบบเป็นกลุ่ม โดยเฟอร์นิเจอร์ตัวสีขาวแดงเป็นของ MT Rocker Chair by UK Ron Arad พอเอามาวางแล้วทำให้ดูเป็นกันเองมากขึ้น ผนังด้านหลังเป็นหินอ่อนสีขาว FEATURE WALL STATUARIO MARBLE ค่ะ 

สำหรับ Lobby ความพิเศษจะอยู่ที่ Chandelier จากแบรนด์ OCHRE ที่ขึ้นชื่อเรื่องงาน Craft ระดับแนวหน้าของโลก โดย Chandelier ที่นำมาไว้ที่โครงการนี้ เกิดจากการเป่าแก้วทีละชิ้นๆ จนออกมาเป็น Chandelier ตัวนี้

หรือถ้าใครมาคนเดียว อยากนั่งแบบเป็นส่วนตัวก็มีให้เหมือนกัน ผนังของ Lobby ส่วนใหญ่เป็นกระจกใสจึงทำให้บรรยากาศดูโปร่งและเห็นวิวสวนด้านนอกด้วยค่ะ นอกจากนั้นยังมีบานหน้าต่างที่สามารถเปิดรับลมตอนที่ไม่ได้เปิดแอร์อีกด้วย

วิวสวนด้านนอกค่ะ จัดมาให้ร่มรื่นเลยทีเดียวแต่เดินออกไปไม่ได้นะ

ถัดเข้ามาด้านในจะเป็น Mail Box แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง มีการเล่น Lighting ด้วยกล่องไฟที่วางตัวแบบสลับกัน โดยพื้นหินอ่อน Jaguar Pink จะเชื่อมต่อเข้ามาถึงบริเวณนี้เลย

ตู้จดหมายนี้อย่างที่บอกไปว่าเราสามารถเปิดโดยใช้การ์ดอันเดียวกับที่ใช้เข้ามาในอาคารได้ หรือถ้าใครลืมการ์ดก็ใช้กุญแจได้อีกหนึ่งช่องทางค่ะ

ถัดมาจะเป็น Smart Locker บริการรับฝากของในล็อคเกอร์ ที่เราสามารถเช็คของผ่าน Application ได้และมารับได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ตัดปัญหากลับบ้านดึกแล้วห้องนิติปิดไปได้

เวลามารับของก็กดเลือกชั้นและห้องจากหน้าจอนี้ค่ะ

เดินถัดมาทางฝั่งซ้ายจะเป็นทางไปห้องนิติบุคคลและห้องน้ำ ส่วนตรงกลางเป็นโถงลิฟต์ค่ะ หินบริเวณนี้จะเปลี่ยนมาเลือกใช้ White Venus ในการตกแต่ง

เราเลี้ยวมาดูทางฝั่งซ้ายก่อน ซึ่งจะเป็นห้องนิติบุคคล ห้องน้ำ ประตูตรงกลางคือทางออกไปนอกอาคาร ส่วนทางขวาคือทางออกไปลิฟต์ Service มีทางเข้า-ออกแยกออกจากลิฟต์โดยสาร เวลาต้องขนของเซอร์วิสจะได้ไม่ปะปนกับลูกบ้านที่ขึ้นลงลิฟต์

บริเวณใกล้ๆกับห้องนิติจะมีจอเอาไว้สำหรับใส่ข้อมูลและสแกนคีย์การ์ดเพื่อรับรถยนต์ระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่มาอำนวยความสะดวกให้

ห้องน้ำชั้นล่างมีอยู่ห้องเดียวแบบที่เข้าได้ทั้งชายหญิง

ภายในห้องน้ำก็กั้นแยกเป็นสัดส่วนให้อีกทีหนึ่ง

ถัดมาด้านในสุดคือโถงลิฟต์ค่ะ มีลิฟต์โดยสารมาให้ 3 ตัว  คิดเป็นอัตราส่วน 77 : 1 ถือว่าสบายๆไม่หนาแน่นเท่าใดนัก โซนนี้พื้นก็ตกแต่งด้วยหินอีกเช่นกัน เริ่มเห็นการตกแต่งด้วย Copper (ทองแดง)ในบริเวณนี้ค่ะ

ภายในลิฟต์พื้นเป็นหิน ผนังเป็นกระจกสลับกับลามิเนต ลิฟต์เป็นแบบล็อคชั้นนะคะ จะเข้าได้แต่ชั้นที่ตัวเองอยู่และพื้นที่ส่วนกลางเท่านั้น

พอขึ้นมาชั้น 11 จะเริ่มเป็นชั้นของห้องพักอาศัยแล้วค่ะ โดยห้องพักในชั้นนี้จะพิเศษหน่อยตรงที่ได้ฝ้าเพดานสูง 3.35 เมตร มีห้องพักทั้งหมด 5 ยูนิต ประกอบไปด้วยห้องมุมทางทิศใต้ เป็นห้อง 2B-1(2 Bed 1 Bath)ขนาด 54.50 ตร.ม. และ 2B-2 (2Bed 2 Bath) 60.50 ตร.ม.ซึ่ง 2 ห้องนี้จะค่อนข้างโปร่ง อาจจะร้อนบ้างในช่วงเย็นแต่ได้วิวโล่งๆทางวังสระปทุม ,  ห้องมุมทางทิศเหนือเป็นห้อง 1E(1 Bed 1 Bath) 34.25 ตร.ม. และอีกห้องที่อยู่เกือบติดกับสระว่ายน้ำเป็นห้อง 2A-1 (2 Bed 1 Bath) ขนาด 49.25 ตร.ม., ส่วนห้องทางทิศตะวันออกที่ร้อนน้อยลงมาหน่อยคือห้อง 1F(1 Bed 1 Bath) 34.25 ตร.ม.

ทางเดินตรงส่วนห้องพักเป็นแบบ Double loaded corridor มีช่องเปิดเป็นบานกระจกใสที่สุดปลายทาง เดินช่วยให้แสงและลมเข้าอาคาร ส่วนตรงโถงลิฟต์ออกมาทางด้านทิศใต้จะเป็น Single loaded corridor มีทางเดินออกมาสู่สระว่ายน้ำและฟิตเนส เนื่องจากในชั้นนี้จะเป็นชั้นที่มีการอยู่ร่วมกันของห้องพักและ Facilities โครงการจึงทำประตูกั้นแล้วใช้สแกนคีย์การ์ดเพื่อความปลอดภัยของลูกบ้านค่ะ ถือว่ามีการออกแบบ Planing ได้โอเค มีการแยก Circulation ของห้องพักและ Facilities ได้ชัดเจนไม่ปะปนกัน

โถงลิฟต์ที่ชั้น 11 การตกแต่งจะเปลี่ยนมาเป็นโทนสีไม้ ดูอบอุ่นมากขึ้น มองตรงไปจะเป็นสระว่ายน้ำ

พอเดินผ่านโถงลิฟต์มา ทางฝั่งซ้ายและขวาจะเป็นทางเข้าไปในส่วนของห้องพักอาศัยค่ะ มีการกั้นโซนซึ่งต้องใช้คีย์การ์ดในการผ่านเข้าไปเพื่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของลูกบ้านค่ะ

สระว่ายน้ำเป็นระบบเกลือ แบ่งออกเป็นสระผู้ใหญ่ขนาดประมาณ 22.00 x 5.00 เมตร ลึก 1.20 เมตร และ สระเด็กขนาดประมาณ 3.50 x 4.50 เมตร ลึก 0.5 เมตร รอบๆสระกรุด้วยกระเบื้องโมเสก

บรรยากาศตอนกลางคืนของสระค่ะ มีการออกแบบดวงไฟใต้น้ำจำลองหมู่ดาวช้างเผือก เพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย และมีระบบเสียงใต้น้ำโดยจะใช้ลำโพงจาก BOSE อีกด้วย

ด้านข้างสระมีที่นั่งดีไซน์พิเศษ มีความโค้งๆหน่อยและสีเป็นทองแดง

บริเวณสระว่ายน้ำจะมีจอภาพยนตร์ (Outdoor Theatre) สามารถออกกำลังกายพร้อมกับดูภาพยนตร์ไปในตอนกลางคืน โดยการบริหารจัดการจะมี 2 แบบ คือ

  • มีการกำหนดวันและเวลาฉาย บอกให้ลูกบ้านรับรู้เพื่อจะได้มาดูหนังร่วมกัน
  • หากลูกบ้านต้องการดูหนังเรื่องอะไร วันเวลาไหนเป็นพิเศษ ก็สามารถเอาดีวีดีมาและแจ้งกับเจ้าหน้าที่ได้ค่ะ

สามารถนอนดูภาพยนตร์บน Day Bed หรือจะว่ายน้ำพร้อมจิบเครื่องดื่มชิวๆไปพร้อมกับดูภาพยนตร์ก็ได้ ^^

อีกฝั่งหนึ่งเป็นห้องฟิตเนสและห้องน้ำ

Fitness เป็นห้องที่มีกระจกรอบ สามารถมองวิวได้ทั้งทางทิศใต้ที่เป็นวิวฝั่งวังสระปทุม วิวเมืองทางทิศตะวันตก(ฝั่งอโศก-เพชรบุรี)

โดยฟิตเนสมีการใช้เครื่องออกกำลังกายแบรนด์จากอิตาลี Technogym ที่ได้รับการยอมรับจากทีมแข่งรถ F1 อย่าง Ferrari และ McLaren รวมถึงสโมสรฟุตบอล อย่าง AC Milan, Juventus, Chelsea และ ทีมชาติบราซิล มีการเลือกใช้วัสดุปูพื้น จากแบรนด์ BOLON มีนวัตกรรมที่สามารถระบายอากาศได้ดี ไม่ทิ้งกลิ่นอับชื้น รวมถึงดูแลความสะอาดง่ายและสะดวกสบาย

มีมุมสำหรับกดน้ำและดูทีวีมาให้ด้วย

พอออกจากห้องฟิตเนสมาก็จะเจอกับมุมอาบน้ำล้างตัวและห้องน้ำแยกชายหญิง

มุมอาบน้ำล้างตัวนี้ ผนังมีการตกแต่งด้วยหิน Fusion Red Marble จากประเทศ Brazil ทำให้ดูเด่นดีค่ะ

ในห้องน้ำบรรยากาศการตกแต่งของห้องผู้หญิงและผู้ชายคล้ายๆกัน มีฟังก์ชันการใช้งานมาให้ครบทั้งโซนล้างหน้า ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ และมีห้อง Steam มาให้ด้วย

เดินอ้อมมาจะเป็นห้องน้ำห้องอาบน้ำและห้อง Steam ใช้งานได้อย่างเป็นส่วนตัวดี มีผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกเต็มบาน เปิดรับแสงเต็มที่ทำให้ห้องไม่มืด และจะเห็นวิวเป็นกรมพลังงานทหารค่ะ

บรรยากาศภายในห้องน้ำและห้องอาบน้ำค่ะ โดยฝักบัวในห้องอาบน้ำจะมีลำโพงในตัวสามารถเชื่อมต่อ Bluetooth ฟังเพลงไปเพื่อเพิ่มบรรยากาศในการอาบน้ำได้

ถัดมาเป็นตู้ล็อคเกอร์ค่ะมีบริเวณไว้ให้พอสมควร น่าจะเพียงพอต่อการใช้งาน

อย่างที่บอกไปว่าบัตรใบเดิมสามารถใช้เปิดตู้ล็อคเกอร์ได้ด้วย

มีห้อง Steam หรือ ห้องอบไอน้ำให้ใช้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย

ถัดมาชั้น 12 จะเป็นชั้นพักอาศัยเต็มตัวแล้วค่ะ มีห้องพักทั้งหมด 11 ยูนิต ตรงห้องพักทางเดินเป็น Double loaded corridor ทั้งหมด โดยห้องพักในชั้นนี้ประกอบไปด้วยห้องมุมทางทิศใต้ เป็นห้อง 2B-1(2 Bed 1 Bath) และ 2B-2 ซึ่ง 2 ห้องนี้จะค่อนข้างโปร่ง อาจจะร้อนบ้างในช่วงเย็นแต่ได้วิวโล่งๆทางวังสระปทุมเหมือนในชั้น 11 ส่วนห้องทางทิศเหนือและทิศตะวันตกที่เป็นห้องวิวสระว่ายน้ำจะประกอบด้วย ห้องแบบ 1 Bed 1 Bath จำนวน 4 ห้อง, ห้องแบบ 2 Bed 1 Bath จำนวน 1 ห้อง และห้องที่น่าสนใจในชั้นนี้คือห้องแบบ 2 Bed 2 Bath จำนวน 1 ห้องอยู่ทางทิศเหนือ ไม่มีตึกบังวิวในระยะประชิดและอากาศไม่ร้อนมาก ทางทิศตะวันออกจะเป็นห้อง Studio 1  ห้อง และห้องแบบ 1 Bed 1 Bath จำนวน 2 ห้อง

ชั้น 13-29 มีห้องพักทั้งหมด 11 ยูนิต เหมือนกับชั้น 12 เลยค่ะ

ชั้น 31 ในชั้นนี้จะเป็นชั้นพักอาศัย และ Facilities โดยมียูนิตพักอาศัยทั้งหมด 3 ยูนิต คือ ห้องแบบ 2B-1 (2Bed 2 Bath), ห้องแบบ 3A (3 Bed 2 Bath) และห้อง 2C (ชั้น 1) ในชั้นนี้จะมี Library & Co-working space ห้องซักผ้า และสวน (Roof garden) ให้สามารถออกไปนั่งเล่นได้

มาดูกันต่อที่ชั้น 31 ชั้นนี้ก็มีห้องพักอาศัยอยู่ร่วมด้วยเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นห้องที่มีขนาดใหญ่ มีการกั้นผนังที่ต้องใช้คีย์การ์ดสแกนโซนแยกเป็นสัดส่วนค่ะ

เราเดินเลี้ยวมาทางฝั่งที่เป็นพื้นที่ส่วนกลางจะเจอกับห้องซักรีดก่อน ถัดเข้าไปด้านในจึงเป็น Library & Co-working space

ห้องซักรีดมีครบทั้งเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า ใครไม่มีเครื่องซักผ้าที่ห้องก็ลงมาใช้ได้สะดวก

เครื่องนี้คือตู้รับคืนขวดอัตโนมัติเพื่อเอาไป Recycle ดังนั้นพวกขวดนี้ที่กินเสร็จแล้วเอามาใส่ในตู้นี้ได้ค่ะ

เครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าของโครงการนี้มีบริการซักอบผ่าน Application ด้วยนะ ถ้าเราไม่มีเหรียญก็ไม่ต้องไปหาแลกให้เสียเวลา สามารถเติมเงินเข้าระบบโดยการโอน หรือตัดผ่านบัตรเครดิต/เดบิตได้ นอกจากนั้นยังเช็คผ่าน App ได้ว่ามีเครื่องว่างรึเปล่าไม่ต้องลงมารอเก้อ สามารถสั่งงาน มีการนับถอยหลังและแจ้งเตือนเวลาผ้าซักเสร็จให้ด้วย

ใครอยากซักมือพวกชิ้นเล็กชิ้นน้อย หรือล้างมือก็มีเคาน์เตอร์พร้อมอ่างล้างมือมาให้ ด้านข้างมีตู้เอาไว้วางของได้

ถัดมาเป็น Library & Co-working space พื้นที่ส่วนกลางที่ทำมาเอาใจนิสิตนักศึกษา กั้นโซนเป็นสัดส่วน ถ้านั่งทำงานที่ห้องแล้วเบื่อก็ขึ้นมาเปลี่ยนบรรยากาศได้ อีกทั้งยังใช้เป็นพื้นที่นัดประชุมหรือทำงานกลุ่มได้ด้วย

เข้ามาใน Library & Co-working space จะเจอกับพื้นที่ Double Space ที่ฝ้าสูงประมาณ 5.95 เมตร บรรยากาศโปร่งโล่ง มุมนี้ใช้มานั่งอ่านหนังสือ นัดคุยงาน หรือนั่งทำงานแบบชิลล์ๆไปพร้อมกับชมวิวเมืองมุมสูงไปด้วยได้ โดยที่นั่งที่นำมาวางจะเป็นที่นั่งดีไซน์พิเศษที่ Alexander Wang ออกแบบนั่นเอง และถ้าสังเกตจะเห็นว่ามีปลั๊กมาให้เยอะพอสมควรเพราะฉะนั้นเอา laptop มานั่งทำงานยาวๆเลยก็ได้

บริเวณนี้จะเห็นวิวเต็มๆเลย เพราะผนังเป็นกระจกทั้ง 2 ด้าน ด้านหลังสุดมีทางเดินออกไปที่สวนหย่อมด้านนอกด้วย

สวนหย่อมมีการจัดที่นั่งเล่นให้ 4 ชุด ถ้าใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งทำงานแบบ Outdoor ก็ออกมานั่งบริเวณนี้ได้ สามารถชาร์ตแบตโทรศัพท์ได้สบายๆ ไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าให้เปลืองพลังงาน เพราะบริเวณนี้จะดึงเอาพลังงานจากแสงอาทิตย์จาก Solar cell ในชั้น 38 มาใช้นั่นเองค่ะ

ด้านหน้าที่นั่งจะมีสนามหญ้าที่มีการดีไซน์เพิ่มลูกเล่นเป็น Slope และประดับไฟรอบๆทางเดิน

ที่นั่งแบ่งออกเป็นชุดๆ มีปลั๊กมาให้ชาร์จ สามารถทำงานได้อย่างไม่มีสะดุดพร้อมชมวิวไปด้วยได้

วิวนี้เป็นวิวที่พิเศษหน่อยเพราะสามารถมองเห็น วังสระปทุม โรงแรมสยามเคมปินสกี้ และห้างสยามพารากอนได้แบบ เต็มๆ  แต่ความสูงของชั้นและทำเลห้อง จะทำให้ได้มุมมองที่แตกต่างกันนะคะ ระยะห่างระหว่างตัวตึกกับวังสระปทุมอยู่ที่ราวๆ 300 เมตร ถ้าต้องการเห็นภาพกว้างๆ ก็ต้องเลือกชั้นสูงเลยชั้น 28-29 ขึ้นไป มาดูวิวรอบๆกันค่ะ

วิวทางฝั่งทิศเหนือ มุ่งหน้าไปทางพญาไท มองเห็น Airport Link อยู่ไกลลิบๆ ตึกด้านหน้าคือ IDEO Q ราชเทวี

ทิศตะวันออกฝั่งมุ่งหน้าประตูน้ำจะติดกับกรมพลังงานทหาร ถัดไปเป็น THE ADDRESS สยาม ตึกที่มียอดเหลี่ยมๆสูงขึ้นมา ฝั่งตรงข้ามเป็น IDEO Q สยาม-ราชเทวี ค่ะ

ทิศใต้กับวิววังสระปทุม โรงแรมสยามเคมปินสกี้ และห้างสยามพารากอน ซึ่งถือเป็นวิวที่พิเศษมากๆเลยทีเดียว

สุดท้ายคือวิวฝั่งทิศตะวันออก มองออกไปเห็นคอนโดบ้านกลางกรุง สยาม-ปทุมวัน BTS ราชเทวี และ คอนโด Pyne by Sansiri

กลับเข้ามาด้านในอาคารจะเห็นว่ามีชั้นลอยด้วย เดี๋ยวเราค่อยๆเดินไปดูกัน

ถัดไปจะเป็นส่วนนั่งทำงานที่พื้นมีการยกระดับเพื่อแบ่งฟังก์ชั่น

มุมนี้เป็นส่วนตัวขึ้นมาหน่อย นั่งทำงานแบบ Private ได้ ฝ้าเพดานด้านบนตกแต่งด้วยทองแดงดูหรูหราและทันสมัยดี

มุมอ่านหนังสือที่มี Sound Dome สำหรับคนที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวสามารถเปิดเพลงได้โดยไม่ต้องใช้หูฟัง และไม่รบกวนคนข้างเคียง เสียงจะดังก้องเฉพาะในโดมนี้เท่านั้น นอกจากนี้ยังมี  Wi-Fi Internet ให้ใช้งานได้ฟรี

เราจะขึ้นไปดูที่ชั้นบนกันค่ะ

ชั้น 32 จะเป็น Facilities ชั้นที่ 2 ต่อจากชั้น 31 เป็นส่วนของห้องสมุดและ Double space แต่การเข้าถึงทางโครงการกำหนดว่าจะต้องเข้าใช้พื้นที่ส่วนกลางจากชั้น 31 เท่านั้น ส่วนห้องพักในชั้นนี้จะมีทั้งหมด 3 ห้อง อยู่ตำแหน่งเดียวกับชั้น 31 โดยห้อง 2C จะเป็นพื้นที่ชั้น 2 นะคะ

ชั้นบนเป็นห้องประชุมและห้องสมุด ที่มีชั้นวางหนังสือและโต๊ะยาวให้นั่งอ่านหนังสือได้

ห้องประชุมนี้เวลาจะใช้งานต้องจองกับทางนิติบุคคล มีบานเฟี้ยมกระจกกั้นตรงกลางสามารถเลื่อนเปิดปิดได้

พอเลื่อนบานเฟี้ยมปิดแล้วจะแบ่งฟังก์ชันการใช้งานเป็น 2 ห้อง ใช้งานพร้อมๆกันได้ แต่ยังมีความโปร่งเนื่องจากผนังเป็นกระจกทั้งหมดนั่งเองค่ะ

ถัดเข้าไปด้านในสุดเป็นห้องสมุดมีโต๊ะยาวๆให้นั่งอ่านหนังสือ ข้างบนนี้มีความเงียบและเป็นส่วนตัวมากกว่า ถ้าอยากใช้สมาธิก็ขึ้นมานั่งได้

ตรงนี้เป็นมุมนั่งทำงานแบบ Private พร้อมชมวิวไปด้วยได้

มีปลั๊กมาให้พร้อม ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ

 

ชั้น 33 เป็นชั้นพักอาศัยอย่างเดียว มีห้องพักทั้งหมด 4 ยูนิตเป็นห้อง Type ใหญ่ขึ้นมา คือห้องมุมทางทิศใต้ ห้องแบบ 2B-1 (2Bed 2 Bath)  และห้องแบบ 3B (3 Bed 3 Bath) เป็นห้องมุมที่ค่อนข้างใหญ่ ขนาด 105 ตร.ม. ส่วนทางทิศเหนือจะเป็นห้อง 3A (3 Bed 2 Bath) และห้อง  2C (ชั้น 1) จะสังเกตว่าโครงการนำห้องพักมาไว้ทางทิศเหนือและใต้อย่างเดียวเนื่องจากเป็นทิศที่ไม่โดนบังวิวค่ะ

ชั้น 34 มียูนิตพักอาศัยทั้งหมด 3 ห้อง อยู่ตำแหน่งเดียวกับชั้น 31 โดยห้อง 2C จะเป็นพื้นที่ชั้น 2  ซึ่งห้องพักในชั้น 35-36 ก็จะมีแปลนเหมือนชั้น 33-34 ค่ะ

ชั้น 37 มียูนิตพักอาศัยทั้งหมด  3 ห้อง คือห้องมุมทางทิศใต้ ห้องแบบ 2B-1 (2Bed 2 Bath)  และห้องแบบ 3B (3 Bed 3 Bath) เป็นห้องมุมที่ค่อนข้างใหญ่ ขนาด 105 ตร.ม. ส่วนทางทิศเหนือจะเป็นห้อง Penthouse ทั้งแถบเลย

มาดูบรรยากาศโถงลิฟต์ชั้นพักอาศัยกันซักหน่อย ผนังดีไซน์ออกมาเรียบๆในโทนสีขาว ฝ้าเพดานซ่อนไฟมาให้แบบนี้เลย

ตรงปลายสุดของโถงทางเดินมีช่องแสง ทำให้บรรยากาศด้านในสว่าง ไม่มืดทึบ สามารถเปิดระบายอากาศได้ด้วย

ชั้น 38 จะเป็นสวนดาดฟ้า ที่แบ่งเป็น 2 ฝั่ง สามารถเลือกมานั่งรับลมเล่นชิวๆได้ โดยลิฟต์โดยสารและลิฟต์เซอร์วิสสามารถขึ้นมาถึงชั้นนี้เลยค่ะ

ชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้า แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งนี้จะโล่งๆหน่อย เอาไว้นอนพักผ่อนชมวิว

ส่วนอีกฝั่งจะร่มรื่นกว่า จัดต้นไม้มาให้ค่อนข้างเยอะ มีที่นั่งสำหรับพักผ่อนวางไว้อยู่หลายจุด

อีกมุมหนึ่งค่ะ

ที่นั่งตัวสีขาวตอนกลางคืนจะมี Lighting อยู่ด้านใน นอกจากใช้นั่งพักผ่อนแล้วยังให้ความสว่างอีกด้วย

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • Lobby
  • สระว่ายน้ำระบบเกลือ แบ่งออกเป็นสระผู้ใหญ่ขนาดประมาณ 22.00 x 5.00 เมตร ลึก 1.20 เมตร และ สระเด็กขนาดประมาณ 3.50 x 4.50 เมตร ลึก 0.5 เมตร
  • ฟิตเนส สามารถบรรจุเครื่องออกกำลังกาย ได้ประมาณ 10 เครื่อง
  • ห้องน้ำ/Steam
  • ห้องสมุด และ Co-working space
  • ห้องประชุม
  • ห้องซักผ้า
  • สวนหย่อมรอบโครงการ และสวนดาดฟ้า
  • ลิฟต์โดยสาร 3 ตัวต่อหนึ่งอาคาร อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 77 : 1
  • Service Lift 1 ตัว
  • ที่จอดรถประมาณ 154 คัน รวมจอดซ้อนคัน คิดเป็น 67%
  • ระบบ CCTV / Access Card


Product Walkthrough

สำหรับห้องตัวอย่างเราจะพาไปดูแบบเดียวนะคะคือ ห้องแบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ  ขนาด 59-79.5 ตารางเมตร โดยโครงการนี้ขายแบบ Fully Fitted แถมชุดครัว, ตู้เสื้อผ้า, สุขภัณฑ์, แอร์ฝังฝ้าเพดานและแบบติดผนัง

ประตูหน้าห้องเป็นประตูสำเร็จรูป กรุด้วยลามิเนตลายไม้ สูง 2.40 เมตร

ป้ายหน้าห้องมีการใช้หินมาตกแต่งและมีกริ่งสัญญาณมาให้ด้วย

กลอนประตูเป็น Digital Door Lock ของ Samsung push and pull สามารถใช้งานได้สะดวกโดยกลอนประตูด้านนอกจะมี 3 ฟังก์ชั่น คือ สามารถตั้งรหัสแล้วกดหรือสแกนคีย์การ์ดก็ได้ เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างก็ได้เผื่อใครต้องการความปลอดภัย แล้วก็ผลักที่ด้านล่างประตูก็จะเปิดออกได้เองค่ะ ส่วนกลอนด้านในก็กดที่ปุ่มเล็กๆด้านบน แล้วดึงที่ด้านล่าง ประตูก็จะเปิดออกแล้ว

พื้นห้องมีการยกระดับเล็กน้อยจากพื้นโถงทางเดิน ข้อดีคือช่วยกันฝุ่นจากด้านนอกไม่ให้เข้ามายังห้องของเราได้

พอเข้าห้องมาจะเห็นว่าพอเปิดประตูจะเสมอกับช่องว่างที่เว้นไว้พอดี

ทางโครงการมีติดตั้งตัวหยุดบานประตูมาให้ด้วย จะได้ไม่ไปกระแทกผนัง

เปิดประตูเข้ามาจะเจอห้องครัวเปิดที่สามารถวางโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 4 ที่นั่งได้ ถัดไปเป็นห้องนั่งเล่นที่สามารถเดินออกไปยังระเบียงได้ ส่วนทางซ้ายมือเป็นทางเดินไปสู่ห้องน้ำและห้องนอนทั้งสองห้อง ความสูงของฝ้าเพดานในห้องนี้คือ 2.75 เมตร

เรามองกลับไปที่ประตูทางเข้า จะเห็นว่ามีการ Built-in ครัวเปิด รูปตัว L มาให้ทางซ้ายมือ โดยข้อดีของครัวเปิดแบบนี้คือทำให้พื้นที่ห้องดูกว้าง แต่ข้อเสียคือไม่เหมาะกับการประกอบอาหารหนักเพราะจะทำให้กลิ่นอาหารคละคลุ้งไปทั่วห้อง มองขึ้นไปด้านบนส่วนครัวมีการติดตั้งแอร์ฝั่งฝ้าเพดานให้ ดังนั้นตรงพื้นที่ครัวจึงมีความสูงฝ้าเพดาน 2.5 เมตร ต่ำกว่าส่วนอื่นๆ พื้นที่ระหว่างห้องครัวและห้องรับประทานอาหารจะใช้วัสดุต่างกัน โดยห้องครัวจะเป็นพื้นกระเบื้องที่สามารถทำความสะอาดได้ง่ายขณะประกอบอาหาร ส่วนพื้นห้องรับแขกเป็น Engineering wood ที่เป็นพื้นไม้มันเงา ถือว่าให้ความใส่ใจในรายละเอียดการใช้งานได้ดี และระหว่างพื้นที่ทั้งสองส่วนนี้สามารถวางโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 4 ที่นั่งแบบในห้องตัวอย่างได้ค่ะ

ตู้ด้านหน้าห้องนี้มีประโยชน์มากในการวางของที่ต้องใช้ก่อนออกจากห้อง เมื่อเปิดตู้ออกมาจะมีฟังก์ชั่นใส่ของให้เยอะดี

ตรงกลางเป็นชั้นวางของพร้อมติดตั้งที่แขวนกุญแจมาให้ 4 ตัว สามารถแขวนแยกได้ทั้งกุญแจบ้าน กุญแจรถ ฯลฯ ด้านบนเป็นชั้นวางของอเนกประสงค์ 2 ชั้น พร้อมซ่อนไฟ LED มาให้ ส่วนชั้นบนสุดเป็นตู้บานเปิดออกมาเก็บของได้อีก 2 ชั้น

ชั้นตรงนี้มีการแบ่งช่องเพื่อแยกประเภทของที่เก็บ พร้อมมีลิ้นชักเอาไว้เก็บสิ่งของที่สำคัญๆหน่อยเช่นซองจดหมายเป็นต้น

ชั้นล่างของตู้เป็นชั้นวางรองเท้าประมาณ 3 ชั้น มีช่องระบายอากาศด้านล่างลดกลิ่นอับด้วย

ช่องระบายอากาศเพื่อลดกลิ่นอับในตู้รองเท้าค่ะ

ครัว Built-in เคาท์เตอร์ด้านล่างหน้าบานเป็นลามิเนตลายไม้ ส่วนชั้นบนหน้าบานเป็นกระจกสี Rose gold พอเปิดตู้ออกมาแล้วสามารถเก็บของได้เยอะดี บานพับเป็น Soft closed ทั้งหมด Top และผนังเคาท์เตอร์ครัวด้านหลัง บุด้วยหิน Granite Black Galaxy พื้นผิวจะมีความมันเงา วิ้งๆ ทำความสะอาดง่าย

ตู้ด้านข้างตู้เย็นตรงกลางเป็น storage เล็กๆมีที่แขวนให้เก็บไม้ถูพื้น ไม้กวาด หรือเก็บโต๊ะรีดผ้าได้

ด้านบนเป็นตำแหน่งของตู้ควบคุมไฟฟ้าในห้อง อยู่ในตู้มีหน้าบานปิดเป็นระเบียบเรียบร้อย

เนื่องจากครัวเป็นรูปตัว L จึงแบ่งการใช้งานออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งนี้เป็นพื้นที่สำหรับการเตรียมอาหาร และล้างจาน รวมถึงเครื่องซักผ้าก็จะอยู่บริเวณนี้

อ่างล้างมือเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดปานกลางของ Mex ส่วนก็อกน้ำเป็นสแตนเลสทรงโค้งของ Mex เช่นกัน

หน้าบานของตู้ครัวราบเรียบไม่มีมือจับ โดยตู้ด้านบนสามารถเปิดที่บานตู้ได้เลย ส่วนตู้ด้านล่างจะมีการปาดมุมหน้าบานให้เฉียง และมีร่องเพื่อให้เราสามารถเปิดออกได้แบบนี้ค่ะ

ตู้ด้านบนติดตั้งที่วางจานมาให้ด้วย  โดยพื้นชั้นวางจานจะเป็นร่องให้น้ำไหลลงอ่างล้างมือได้ได้ ไม่อับชื้น ส่วนถาดรองจานด้านล่างเป็นสแตนเลส สามารถถอดออกมาเพื่อทำความสะอาดได้ด้วย

เคาน์เตอร์อีกฝั่งหนึ่งเป็นพื้นที่สำหรับทำอาหารค่ะ โดยจะมีเตาไฟฟ้าและที่ดูดควันมาให้

เตาไฟฟ้าเป็นแบบ 2 หัวของ Smeg พวกอุปกรณ์ครัวต่างๆนี้ถ้าเป็นห้อง 3 ห้องนอนหรือ Penthouse ก็จะมีการอัพ Spec ขึ้นไปอีกนะคะ

เครื่องดูดควันของ Smeg ค่ะ

ถัดไปเป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่นที่โครงการลองจัดวางทีวีและโซฟานั่งเล่นมาให้ดูเป็นไอเดีย ระยะดูทีวีประมาณ 3.20 เมตร ค่อนข้างกว้างขวาง สามารถวางทีวีขนาด 60″ ได้สบายๆเลยค่ะ

พื้นส่วนนั่งเล่นเป็นพื้นไม้ Engineering ระหว่างวัสดุทั้งสองมีการเก็บงานรอยต่อด้วยเส้นสแตนเลสดูเรียบร้อยดี

หน้าต่างห้องนั่งเล่นค่อนข้างโปร่ง โดยภาพรวมเราจะเห็นว่าช่องเปิดของห้องนี้มี 2 ชั้นคือประตูด้านในและหน้าต่างด้านนอก เนื่องจากห้องนี้อยู่ทางทิศใต้ ฝั่งวังสระปทุม ตามข้อบัญญัติ กทม. เรื่อง กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง หรือดัดแปลงอาคารบางชนิดหรือบางประเภทในพื้นที่บางส่วนในท้องที่แขวงถนนพญาไท แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี และแขวงปทุมวัน แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน หรือบริเวณโดยรอบวังสระปทุม โดยโครงการอยู่ในบริเวณที่ข้อกฏหมายกำหนดว่า ในโครงการที่มีระยะห่างจากวังสระปทุม 300-500 เมตร ผนังอาคารต้องมีลักษณะอาคารป็นผนังทึบหรือผนังบล็อกแก้ว ไม่มีดาดฟ้า ระเบียง หรือบันไดหนีไฟยื่นออกนอกอาคารด้านวังสระปทุม ดังนั้นโครงการจึงทำผนังกระจกด้านนอกอีกชั้นหนึ่ง

ระเบียงมีขนาด 0.73 x 2.50 เมตร พื้นระเบียงปูด้วยกระเบื้องเซรามิคสีครีม ไม่มีการลดระดับหรือการก่อปูนกั้น อาศัยแค่ความสูงเล็กๆรางเลื่อนประตูที่ค่อนข้างหนาขึ้นมาพอสมควร

โดยกระจกทั้งด้านนอกและด้านในเป็น Euro Gray ที่จะนวลตากว่ากระจกใสเขียวตัดแสง กรอบอลูมิเนียมเป็น powder coat ค่อนข้างหนา ประตูด้านในห้องเป็นประตูบานเลื่อนสามตอน เวลาเปิดจะได้ให้ช่องเปิดกว้างขึ้น ส่วนด้านนอกจะเป็นผนังกระจกเต็มบาน ด้านล่างเป็นบาน Fix ส่วนด้านบนเป็นหน้าต่างบานกระทุ้ง 3 ตอน สามารถเปิดรับลมได้ บริเวณนี้มี Drain ระบายน้ำ และ ปลั๊กไฟมาให้พร้อม

อีกฝั่งจะมีช่องวาง Compressor แอร์ได้ประมาณ 3 ตัว มีประตูกั้นเป็นสัดเป็นส่วนดี สามารถเปิดประตูด้านในห้องออกมานั่งเล่นได้โดยที่ไม่ต้องปิดแอร์ และลมร้อนก็ไม่ถูกพัดเข้าไปในห้องแน่นอนค่ะ

มือจับเป็นแบบกลมๆ เวลาจะเปิด-ปิดก็หมุนแบบนี้

กลับมาดูในห้องกันต่อค่ะ

ถัดไปเป็นทางเดินกว้าง 1.05 เมตร ไปสู่ห้องนอนเล็ก ห้องนอนใหญ่ และห้องน้ำรวม

เรามาเริ่มกันที่ห้องนอนเล็กกันก่อนนะคะ ประตูทางเข้าห้องจะกรุด้วยลามิเนตลายไม้ พื้นห้องเป็น Engineering wood  เหมือนห้องนั่งเล่นและพื้นทางเดิน

มือจับเป็นแบบก้านโยก ให้มาพร้อมตัวล็อคค่ะ

ห้องนอนเล็กนาดปานกลางไม่กว้างมาก วางเตียงได้ตั้งแต่ขนาด 3.5 ฟุตถึง  5 ฟุตค่ะ

พอวางเตียง 3.5 ฟุตจะทำให้มีพื้นที่ข้างเตียงทั้ง 2 ฝั่ง ทางฝั่งขวาวางเป็นชุดโต๊ะทำงานเล็กๆได้เลย

ข้างเตียงฝั่งที่ติดกับตู้เสื้อผ้า พอเปิดบานตู้มาจะไม่ชนกับด้านข้างเตียง สามารถเข้าไปยืนแต่งตัวได้

พื้นที่ปลายเตียงมีระยะประมาณ 47 เซนติเมตร เป็นระยะที่ไม่กว้างมาก หากต้องการวางทีวีปลายเตียงแนะนำเป็นทีวีแบบแขวนจะกินพื้นที่น้อยกว่าทีวีแบบตั้งโต๊ะเยอะค่ะ

ฝั่งนี้ได้ช่องแสงบานใหญ่ โอเคเลย นอนชมวิวได้ด้วย

ด้านข้างทั้ง 2 ฝั่งเป็นบานกระทุ้งเปิดระบายอากาศได้แบบนี้

มอกลับไปจะเห็นประตูทางเข้าห้อง ข้างๆกันเป็นตู้เสื้อผ้าที่โครงการ Built-in มาให้ หน้าบานเป็นลามิเนตลายไม้และกระจกเงา สามารถส่องได้เต็มตัว

พอเปิดตู้เสื้อผ้าออกมาก็มีฟังก์ชั่นให้ค่อนข้างครบ ด้านบนเป็นชั้นวางของ 2 ชั้น สามารถเก็บหมอนหรือผ้านวมได้ ชั้นล่างเป็นราวแขวนผ้า และลิ้นชักใส่ของอเนกประสงค์

มือจับตู้เป็นแบบนี้นะคะ

มีลิ้นชักเอาไว้เก็บของชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้

ตรงข้ามกับห้องนอนเล็กจะเป็นห้องน้ำรวม ด้านในจัดวางพื้นที่ใช้งานเป็น 3 ส่วนคือ เคาท์เตอร์อ่างล้างหน้าพร้อมกระจกเงาและที่วางของ TOP หินสังเคราะห์เหนือโถสุขภัณฑ์, โถสุขภัณฑ์ และพื้นที่เปียกสำหรับอาบน้ำที่มาพร้อมกับฉากกั้น ผนังและพื้นห้องน้ำใช้หิน Missy gray ทั้งหมด ฝ้าเพดานมีการ Drop เพื่อซ่อนไฟสีส้มให้ด้วย

ธรณีก็เป็นหินชนิดเดียวกัน พื้นห้องน้ำมีการลดระดับเล็กน้อยเพื่อกันน้ำไหลไปโดนส่วนอื่นๆ

ทั้งชุดได้แบบนี้เลยค่ะ

เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ด้านล่างเป็นลิ้นชักเปิดออกมาเก็บของได้ด้วยนะ

อ่างล้างหน้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดไม่ใหญ่มาก

ข้างๆกันเป็นพื้นที่วางโถสุขภัณฑ์ ของ Cotto ที่ผนังข้างโถสุขภัณฑ์ติดที่แขวนกระดาษทิชชู่มาให้

ถัดไปเป็นพื้นที่อาบน้ำที่มีฉากกั้นอาบน้ำเป็นกระจก Temper glass กั้นมาเป็นสัดส่วน มือจับค่อนข้างใหญ่ ด้านหลังมียางกันกระแทกมาให้

พื้นที่อาบน้ำ ขนาดประมาณ 0.86 x 1.00 เมตร  ใช้งานได้สะดวก ที่พื้นมีการยกธรณีกันน้ำไหลไปสู่ส่วนแห้ง ท่อระบายน้ำเป็นแบบมีฝาครอบเป็นกระเบื้อง

พื้นที่อาบน้ำได้มีการติดตั้งชุดฝักบัวอาบน้ำ พร้อมมีการ Drop ผนังด้านข้างเพื่อวางสบู่ให้ด้วย

หน้าตาของฝักบัวที่ทางโครงการให้มา

มี Rain shower มาให้เป็นตัวเลือกในการอาบน้ำด้วย

ถัดไปเป็นห้องนอนใหญ่ เมื่อเข้ามาจะเจอกับห้องนอนใหญ่ ที่สามารถวางเตียงนอน King size ขนาด 6 ฟุตได้  โดยภาพรวมจะเห็นว่าห้องนี้ค่อนข้างโปร่งและแสงธรรมชาติเข้าดีมาก เนื่องจากช่องเปิดที่เป็นกระจกเต็มบานเลย พื้นที่ปลายเตียงมีระยะ  0.70 เมตร ขนาดพอที่จะวางทีวีแขวนผนังและ Built-in ตู้วางของแบบในห้องตัวอย่างได้ แต่ทางเดินจะเบียดๆหน่อยนะ

ข้างเตียงมีพื้นที่สำหรับวางโต๊ะข้างเตียงทั้ง 2 ฝั่งค่ะ

ช่องแสงได้ขนาดใหญ่แบบนี้เลย มองขึ้นไปบนฝ้าเพดานจะมีการ Drop ฝ้าเพดานเป็นรูปตัว L ตามแนวหน้าต่าง เผื่อการติดตั้งรางผ้าม่านให้

โดยหน้าต่างของห้องนี้จะเป็น Bay window บาน Fix

อีกฝั่งเป็นพื้นที่หน้าห้องน้ำ ด้านบนประตูทางเข้าห้องน้ำโครงการติดตั้งแอร์ยี่ห้อง Daikin มาให้ ข้างๆกันเป็นตู้เสื้อผ้า Built-in รูปตัว L ที่โครงการติดตั้งให้แบบนี้เลย

โดยตู้เสื้อผ้าจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ทางซ้ายมือหน้าบานเป็นกระจกสี Rose gold กัดกระจกเป็นลายสวยงาม ส่วนตู้ทางขวามือบุด้วยลามิเนตลายไม้สีอ่อน

ด้านข้างตู้เป็นประตูที่ติดกระจกด้านใน สามารถเปิดออกมาเพื่อส่องความเรียบร้อยได้เต็มตัว

เวลาเปิดตู้ จะมีตัวจับแบบนี้เพื่อดึงบานเปิดตู้ออกมานะคะ ข้างๆกันคือสวิตช์เปิดไฟด้านในตู้

ด้านในตู้เสื้อผ้ามีราวแขวนผ้า ชั้นวางของ ลิ้นชักเก็บเครื่องประดับ และวางของอเนกประสงค์ รวมทั้งมีไฟ LED ติดตั้งให้ด้วย

ลิ้นชักนี้เป็นช่องใส่เครื่องประดับ ส่วนด้านล่างเป็นชั้นสำหรับเก็บของ

อีกฝั่งหนึ่งของตู้เป็นลิ้นชักใส่ของอเนกประสงค์ค่อนข้างลึก เหมาะกับใส่ผ้าขนหนูหรือชุดชั้นใน

ด้านบนประตูห้องน้ำเป็นตำแหน่งติดตั้งแอร์ของ Daikin ค่ะ

ห้องน้ำด้านในจัดวางพื้นที่ใช้งานเป็นสัดส่วน มีกั้นส่วนเปียกส่วนแห้งมาให้ วัสดุต่างๆใช้เหมือนห้องก่อนหน้าค่ะ

พื้นที่อาบน้ำฉากกั้นอาบน้ำเป็นกระจก Temper glass มีติดตั้งชุดฝักบัวอาบน้ำมาให้พร้อม Rain shower มีการ Drop ผนังด้านข้างเพื่อวางสบู่ให้ด้วย

โดยหน้าต่างในห้องอาบน้ำจะเป็นหน้าต่างบานกระทุ้ง กระจก Euro gray กรอบอลูมิเนียม Powder coat

นอกจากจะมีหน้าต่างบานกระทุ้งแล้วก็มีพัดลมดูดอากาศมาให้ด้วยค่ะ

วิตช์และปลั๊กไฟที่ใช้ในห้องพักทั้งหมดจะใช้ของ Panasonic ค่ะ

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ

ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 11 July 2018

  • แบบห้อง 1 Bedroom เนื้อที่ 33.49 ตร.ม. ราคา 8.59 ล้านบาท หรือ 256,500 บาท/ตร.ม.

 

  • Fully Fitted
  • เพดานสูง 2.75 เมตร และ 3.35 เมตร
  • Kitchen & Sink
  • Hob & Hood
  • Studio และ 1 Bedroom  จอง 5o,000 บาท ทำสัญญา 150,000 บาท
  • 2 Bedroom 75,000 บาท จอง 100,000 บาท ทำสัญญา 175,000 บาท
  • 3 Bedroom และ Penthouse จอง 200,000 บาท ทำสัญญา 250,000 บาท
  • ค่ากองทุน 600 บาทต่อตารางเมตร
  • ค่าส่วนกลาง 90 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ


เจาะลึกรวบยอด

The Line ราชเทวี อยู่ในทำเลที่เรียกได้ว่าเป็นคอนโดใกล้รถไฟฟ้าใจกลางเมือง ตัวโครงการอยู่บนถนนใหญ่เพชรบุรี ใกล้กับแยกเพชรบุรีและอยู่ไม่ไกลจากประตูน้ำ ถือว่ามีความอุดมสมบูรณ์ทีเดียวโดยเฉพาะฝั่งค่อนๆไปทางพันธุ์ทิพย์ ที่อยู่ห่างจากโครงการ 500  เมตร หรือแพลตตินั่ม ที่ห่างจากโครงการไปประมาณ 750 เมตร จะมีทั้งอาหาร เสื้อผ้า และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ให้ช็อปกันได้สบายๆ เลยไปหน่อยก็มีเซนทรัลเวิร์ล สยามแล้ว ซึ่งโซนนี้ใครๆก็รู้ว่าเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่มีครบครัน เดินได้ตั้งแต่เช้ายันมืด หรือจะไปทางเส้นสุขุมวิท ชิดลม เพลินจิต พร้อมพงษ์ แวะเดินเล่นที่เอ็มควอเทียร์ นั่ง BTS ไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เนื่องจากเป็นทำเลใจกลางเมืองคอนโดในย่านนี้มีราคาปรับตัวขึ้นจากตอนเปิดตัวพอสมควรจากแสนปลายๆขึ้นไปถึงสองแสนปลายๆค่ะ

หากโฟกัสเข้ามาที่บริบทรอบๆโครงการ ส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดรายล้อมเลยทั้ง IDEO Q ราชเทวี, IDEO Q สยาม – ราชเทวี, Wish Signature และสุดท้ายก็คือ The Line ราชเทวี ของพี่แสนเรานี่เอง แน่นอนว่าเมื่อมีคอนโดอยู่รอบๆสิ่งที่จะส่งผลกระทบมากที่สุดก็คือเรื่องวิวนั่นเอง โดยทางทิศเหนือจะติดกับถนนเพชรบุรี ที่มี IDEO Q ราชเทวีอยู่ฝั่งเยื้องๆกัน จึงเป็นทิศที่ไม่มีตึกสูงอยู่ในระยะประชิด ส่วนทางทิศตะวันตก จะติดกับคอนโดบ้านกลางกรุง Q สยาม-ปทุมวัน 27  ชั้น ซึ่งตัวอาคารเรามี 38 ชั้น ดังนั้นต้องอยู่ห้องที่อยู่ตั้งแต่ชั้น 28  ขึ้นไปจึงจะได้มุมมองโล่งๆนะคะ แต่คิดอีกทางหากไม่ซีเรียสเรื่องวิว มาคิดในแง่ดีการที่มีตึกสูงในด้านนี้ก็ช่วยกันแดดทางทิศตะวันตกที่ค่อนข้างร้อนในตอนบ่ายเหมือนกันนะ ห้องทางทิศตะวันออก ติดกับกรมพลังงานทหาร 8  ชั้น ซึ่งยังดีที่เป็นคอนโด Low Rise ห้องที่อยู่ทางทิศนี้ตั้งแต่ชั้น 9 ขึ้นไปก็เลยจะได้มุมมองสบายๆ ส่วนทิศสุดท้ายที่เป็นทิศที่มีวิวดีที่สุดคือทิศใต้ เพราะเป้นฝั่งที่อยู่ด้านวังสระปทุม เค้ามีกฎหมายการสร้างอาคารรองรับบริบทที่อยู่ใกล้วังอยู่แล้ว มุมมองในทิศนี้จึงค่อนข้างโล่งและมองออกเห็นวังสวยดี

การเดินทางโดยรถยนต์สำหรับย่านราชเทวีจะต่อเนื่องกับย่านประตูน้ำ เวลาไปไหนมาไหนก็ต้องทำใจในเรื่องรถติดหน่อยนะคะ ขาออกจากโครงการจะถูกบังคับให้เลี้ยวซ้ายเพราะทางเข้า-ออกโครงการอยู่ติดกับเชิงสะพานข้ามแยกราชเทวีเลย และการจราจรของย่านนี้ ต้องดูดีๆ เพราะมีวันเวย์ และจุดห้ามเลี้ยว อยู่หลายจุด เช่น ถ้ามาจากสยามจะกลับเข้าโครงการ พอถึงแยกที่ตัดกับถนนเพชรบุรี เราจะเลี้ยวขวาไม่ได้ ต้องตรงไปกลับรถมาเป็นต้น แต่ถ้ามาจากแยกประตูก็เลี้ยวเข้าได้แบบไม่มีปัญหาค่ะ

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ ค่อนข้างสะดวกสบาย แม้โครงการจะไม่ได้มีรถไฟฟ้าพาดผ่านหน้าโครงการแต่ก็สามารถเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า BTS ราชเทวีได้ในระยะ 220  เมตร หากต้องการไปสนามบินสุวรรณภูมิ ก็สามารถนั่ง BTS ไปลงพญาไทก็ได้แล้ว หรือจะใช้บริการพี่วิน พี่เมล์ หรือพี่แท็กซี่ ก็มีให้เลือกหลากหลายไม่ต้องเดินออกมาจากซอยไกล และไม่เปลี่ยวด้วย

วัสดุของโครงการแปรผันตรงกับราคาคอนโด Super Luxury โครงการขายแบบ Fully Fitted ที่ให้ Built-in มาเต็มที่ วัสดุให้มาค่อนข้างดีและดูเลือกสรร ตั้งแต่กลอนประตู Digital Door Lock ของ Samsung แบบ Push and Pull ซึ่งเป็นตัวใหม่ล่าสุด ใช้งานง่ายดี ประตูหน้าต่างบานเลื่อนใช้กระจก Euro gray กรอบอลูมิเนียม Powder coat พื้นห้องปูด้วยกระเบื้องเซรามิคและ Engineering wood  ชุดครัว Built-in ฟังก์ชั่นค่อนข้างเยอะ หน้าบานเป็นกระจก Rose gold และบุลามิเนตลายไม้ ท็อปและผนังเคาท์เตอร์ครัวบุด้วยหิน granite black galaxy ผิวมันเงาวิ้งๆ ซิ้งค์ล้างจานของ Mex ส่วนเตาและที่ดูดควันของ Smeg ผนังและพื้นห้องน้ำเป็นหิน Missy gray ทั้งหมด โถสุขภัณฑ์ให้ของ Cotto รุ่น The Tunio สามารถปล่อยแสง UV เพื่อฆ่าเชื้อโรคได้ พร้อมติดตั้งรีโมทควบคุมโถสุขภัณฑ์ที่มีฟังก์ชั่นให้เลือก ฉากกั้นอาบน้ำเป็นกระจก Tempered glass ส่วนอาบน้ำติดตั้งชุดฝักบัวพร้อม Rain shower มาให้ด้วย

การออกแบบมาในแนวหรูหราสไตล์ Luxury  ตัวอาคารเลือกใช้โทนสี Copper black ซึ่งเป็นโทนสีดำ-ทองแดง และมีหินแกรนิตตกแต่ง Facade เพิ่มลูกเล่นให้อาคาร ฟังก์ชั่นห้องค่อนข้างมีให้เลือกหลากหลายรองรับทุกช่วงอายุตั้งแต่ห้อง Studio, 1 Bedroom, 2 Bedroom, 3 Bedroom ไปจนถึงห้อง Penthouse แน่นอนไม่ว่าจะอยู่ตัวคนเดียว อยู่กับเพื่อน อยู่กับแฟนสองคน สามคน หรืออยู่กับครอบครัวก็มีห้องให้เลือกได้ตามความต้องการ ซึ่ง The Line ตัวนี้พี่แสนเริ่มจะทำห้องให้ใหญ่มากขึ้นเพื่อรองรับครอบครัวใหญ่ ที่ต้องการใช้ชีวิตในเมือง จริงๆถ้าดูจากผังห้องแล้วไม่มีความหวือหวาอะไรมากมาย แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นของห้องคือการออกแบบให้การใช้งานแต่ละพื้นที่ค่อนข้างคุ้มค่า ตั้งแต่การ Built-in ตู้เก็บของและครัวที่ค่อนข้างจุ ฟังก์ชั่นเยอะดี รวมถึงพื้นที่ในห้องน้ำที่มีการ Built-in ชั้นเพิ่มเผื่อวางของจิปาถะ อีกอย่างคือการเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกับพื้นที่ เช่นการเลือกพื้นครัวให้เป็นกระเบื้องเซรามิค สามารถทำความสะอาดได้ง่าย ส่วนห้องรับแขกที่ต้องการพื้นผิวสวยงาม ผ่อนคลายก็เลือกใช้ Engineering wood หรือจะเป็นกระจกของห้องที่จุดประสงค์ต้องการให้คนนั่งมองวิวจึงเลือกใช้ Euro gray ที่ให้แสงสีนวลกว่าแบบเขียวตัดแสง เป็นต้น

สาธารณูปโภคหลักๆของโครงการคือให้ที่จอดรถประมาณ 154 คัน รวมจอดซ้อนคัน คิดเป็น 67% ถือว่าให้มาไม่มากนัก ถึงจะเป็นคอนโดใกล้รถไฟฟ้าก็เถอะ ไฮท์ไลท์คือที่จอดรถอัตโนมัติที่รองรับได้ 16 คันน่าจะถูกใจสำหรับคนที่ชอบความสะดวกสบาย  ลิฟต์โดยสารมีให้ทั้ง 3 ตัว อัตราส่วนลิฟต์ 77 : 1 ถือว่ากำลังสบายๆไม่หนาแน่นมาก Facilities ของโครงการให้มาหลักๆ 3 ชั้น ตั้งแต่ชั้น 11 ที่มีสระว่ายน้ำระบบ เกลือ ขนาด 28.8 x 6.60 เมตร แบ่งเป็นสระเด็กลึก 0.5 เมตร สระผู้ใหญ่ลึก 1.20 เมตร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโซน Outdoor Theatre สามารถรับชมภาพยนตร์ริมสระว่ายน้ำในตอนกลางคืนได้ ซึ่งฟังก์ชั่นนี้ค่อนข้างแปลกใหม่ ทำให้โครงการน่าสนใจขึ้นเยอะเลย ข้างกันเป็นฟิตเนส สามารถบรรจุเครื่องออกกำลังกาย ได้ประมาณ 10 เครื่อง

ในชั้น 31จะมีสวน (Roof garden) ให้สามารถนั่งเล่นรับลมพร้อมมีจุดเสียบชาร์ทแบทโทรศัพท์ซึ่งใช้พลังงานจากโซล่าเซลล์ที่ติดตั้งในสวนดาดฟ้าชั้น 38  ดึงลงมาใช้ เพื่อประหยัดพลังงานไฟฟ้าด้วย นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ห้องสมุด และ Co-working space โดยไฮท์ไลท์อีกอย่างของ Facilities ที่เป็นตัวเรียกแขกคือ การเลือกใช้ที่นั่งดีไซน์พิเศษที่ Alexander Wang สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งาน นอกจากนี้ยังมี Sound Dome สำหรับคนที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัว และ Wi-Fi Internet เพื่อความสะดวกสบายของผู้ใช้ และยังมี Chandelier จากแบรนด์ OCHRE ที่มีแค่ 156 ตัวบนโลก มาตกแต่งไว้ที่ Lobby โครงการอีกด้วย เรียกได้ว่า เหมาะกับคนที่ชอบความหรูหราอลังการเป็นอย่างมาก ซึ่งการให้ Facilities  มาเยอะขนาดนี้ก็ถือว่าต้องมีการดูแลรักษาเยอะทีเดียว สำหรับค่าส่วนกลาง 90 บาท/ตารางเมตร ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบคอนโดแบบ Super Luxury ที่มี Facilities หรูหราอลังการแล้ว การจ่ายค่าดูแลรักษาเท่านี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผล เพื่อเป็นการรักษาสิ่งนี้ให้อยู่ไปได้นานๆ

Judgement

ราคาของคอนโดระดับ SUPER LUXURY – ULTIMATE CLASS ความคุ้มค่าด้านราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อ ซึ่งผู้ที่ต้องการซื้อคอนโดในระดับนี้คงต้องมีความพึงพอใจและความชอบจนมองข้ามราคาไปอย่างแน่นอน ดังนั้นความคุ้มค่าด้านอารมณ์คือปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตราบเท่าที่ทางเรายังไม่สามารถวัดค่ามาตรฐานทางอารมณ์ได้ จึงมิอาจให้คะแนนได้ค่ะ

BOTTOM LINE

The Line ราชเทวี เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดใกล้รถไฟฟ้าใจกลางเมือง ที่มีความต้องการคอนโดสไตล์หรูหรา Facilities หวือหวาจัดเต็ม แต่ไม่ได้เน้นใช้บ่อยนัก ไม่ชอบเพื่อนบ้านเยอะ อยากได้ห้องที่มีการ Built-in มาให้แล้ว แค่ซื้อเฟอร์นิเจอร์นิดหน่อยก็อยู่ได้เลย มีการใช้รถส่วนตัวอยู่บ้างแต่มักเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นหลัก ชอบ Product และยี่ห้อที่ดูดี มีงบประมาณ 8.59 ล้านบาท

ชมข้อมูลโครงการ >> http://bit.ly/2xNvOyT