รีวิวโครงการ

คอนโดใกล้รถไฟฟ้า ตึกสูงสุดในราชเทวี | The Address สยาม – ราชเทวี | คิดเรื่องอยู่ EP.726

30 กันยายน 2023

อ่านรีวิวล่าสุด

THE ADDRESS Siam-Ratchathewi (ดิ แอดเดรส สยาม-ราชเทวี) โครงการใหม่สุดภายใต้แบรนด์ The Address จาก AP Thailand เป็นคอนโดมิเนียม High rise ที่สูงที่สุดบนราชเทวีด้วยความสูงถึง 50 ชั้น เปิดรับวิวทุกทิศได้เต็มตา ซึ่งมีรายละเอียดการออกแบบที่น่าสนใจอะไรบ้าง ตามอ่านกันต่อได้เลยค่ะ

  • ทำเล : ตั้งอยู่บนทำเลราชเทวี ทางเข้าโครงการอยู่ติดถนนเพชรบุรี และใกล้ BTS ราชเทวี 150 เมตร
  • ส่วนกลาง : มีมาให้ครบครันและหลากหลาย รวมถึงออกแบบพื้นที่ส่วนกลางมีขนาดใหญ่ ทำให้เวลาใช้งานส่วนกลางในบริเวณเดียวกับคนอื่น ก็ไม่รู้สึกอึดอัด
  • วัสดุและการตกแต่ง : ออกแบบตกแต่งอย่างหรูหรา เลือกใช้ White Limestone, ผนังหินอ่อน STATUARIO , พื้น Pattern แรงบันดาลใจจากพระราชวังแวร์ซาย และชุดโซฟา หมอนอิงและ Wallpaper จากทีม HERMES FURNISHING FABRICS AND WALLPAPER
  • การออกแบบห้องพักอาศัย : มีทั้งแบบห้อง Interlock ที่สามารถจัดฟังก์ชันได้ลงตัว และห้อง Window Corner View ที่ทำให้ห้องตรงกลางได้วิวกว้าง 3 ทิศ
  • Fully Fitted : ได้ชุดครัวจาก Kohler รุ่น Karess ที่มีเทคโนโลยีกันน้ำและน้ำมันและ Kupperbusch ชุดครัวแบรนด์ดังจากเยอรมัน, ห้องน้ำสำเร็จรูปได้สุขภัณฑ์เป็น TOTO และ Grohe โดยส่วนโถสุขภัณฑ์จะเป็น TOTO Washlet อัตโนมัติเต็มรูปแบบ และ Digital Door Lock จาก Yale

ข้อมูลโครงการ

THE ADDRESS Siam-Ratchathewi (ดิ แอดเดรส สยาม-ราชเทวี) ณ วันที่ 13 กันยายน 2566

 ชื่อโครงการ  THE ADDRESS Siam-Ratchathewi (ดิ แอดเดรส สยาม-ราชเทวี)
 ชื่อผู้ประกอบการ  บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)
 SEGMENT CLASS  HIGH CLASS (รายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2023 )
 โครงการตั้งอยู่  ถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี
 ที่ดิน  3-1-55 ไร่
 ประเภทคอนโด  High Rise 50 ชั้น ห้องพักอาศัย 880 ยูนิต และร้านค้า 1 ยูนิต
 จำนวนยูนิต  880 ยูนิต
 ยูนิตต่อชั้นสูงสุด   22 ยูนิต
 ที่จอดรถ  449 คัน คิดเป็น 51% ไม่รวมซ้อนคัน (รูปแบบ Conventional ทั้งหมด)
 เริ่มก่อสร้าง  ก.ย. ปี 2563
 คาดว่าจะแล้วเสร็จ  ส.ค. ปี 2566
 ประเภทห้องพัก
  • ห้อง 1 Bedroom ขนาด 31-35 ตร.ม.
  • ห้อง 2 Bedroom (1 Bathroom) ขนาด 51.5 ตร.ม.
  • ห้อง 2 Bedroom (2 Bathroom) ขนาด 59.5-69.5 ตร.ม.
  • ห้อง 3 Bedroom ขนาด 86 ตร.ม. (SOLD OUT)
  • ห้อง Duplex (1 Bedroom) ขนาด 50 ตร.ม.
  • ห้อง Duplex (2 Bedroom) ขนาด 65 ตร.ม. (SOLD OUT)

 ฝ้าเพดานสูง Simplex 3 เมตร / Duplex 5.8 เมตร
 ราคาเริ่มต้น  8.29 ล้านบาท* (ราคา Promotion ห้อง 1 Bedroom ขนาด 35 ตร.ม.)
 ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ  ประมาณ 245,000 บาท/ตร.ม.
 ช่วงราคาต่อตารางเมตร(ต่ำสุด-สูงสุด)  N/A
 EIA (ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม)  ผ่านแล้ว
 เว็บไซต์โครงการ คลิกที่นี่
 Call Center  1623

ทำเลที่ตั้ง

Highlights

  • ทางเข้าโครงการอยู่ติดถนนเพชรบุรี และห่างจาก BTS สถานีราชเทวีเพียง 150 เมตร
  • ใกล้เพียง 1 สถานี จาก BTS ราชเทวีไปสยามหรือไปพญาไท ซึ่งทั้งสยามและพญาไทเป็น Interchange Station สำคัญของกรุงเทพฯ
  • มีเส้นทางลัดเยอะ มีซอยย่อยที่ให้ลัดเลาะได้ในเวลาเร่งด่วน ไม่ต้องไปกลับรถที่ถนนใหญ่
  • ใกล้ทางพิเศษศรีรัช ด่านยมราช ประมาณ 1.3 กิโลเมตร
  • แนวเส้นทาง MRT สายสีส้มตะวันตก ตัดผ่านด้านหน้าโครงการในอนาคต

พิกัด Google Maps : 13.753593208716946, 100.53063657139455
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

แผนที่จากทางโครงการค่ะ

การอยู่อาศัยอยู่ใจกลางเมือง ใกล้สยามคงเป็นทำเลในฝันของใครหลายๆคน ใกล้ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมถึงเป็นทำเล Interchange Station สำคัญ ใจกลางกรุงเทพด้วย แต่ทำเลสยามเองมีคอนโดมิเนียมน้อยมาก พื้นที่ส่วนใหญ่จะถูกพัฒนาเป็นโครงการเชิงพาณิชย์เกือบทั้งหมดเลยค่ะ ดังนั้นถ้าใครอยากอยู่ใกล้สยามก็ต้องเลือกทำเลที่ขยับออกมาหน่อยอย่างทำเลราชเทวี ที่ห่างจากสยามเพียงสถานีเดียวค่ะ

ซึ่งปัจจุบันคอนโดที่ใกล้ BTS ราชเทวี ที่ยังมีขายอยู่ ก็มีให้เลือกอยู่หลายโครงการเลยนะคะ สำหรับห้องแบบปกติราคาเริ่มต้นก็สูงถึง 7 ล้านกว่าไปแล้ว ในส่วนของโครงการ THE ADDRESS Siam-Ratchathewi มีราคาโปรโมชันเริ่มต้นที่ 8.29 ล้านบาท* ซึ่งราคาถูกกว่าคอนโดอื่นไม่มากนัก แต่แลกมากับวิวเมืองแบบเต็มตาเพราะเป็นโครงการที่สูงที่สุดบนทำเลราชเทวี พื้นที่ส่วนกลางแต่ละฟังก์ชันมีขนาดใหญ่ และมีห้องแบบ Duplex ให้เลือกแตกต่างกับคอนโดอื่นที่เป็นห้อง Loft ด้วยค่ะ

THE ADDRESS Siam-Ratchathewi ตั้งอยู่ติดถนนเพชรบุรี ใกล้แยกราชเทวีฝั่งที่มุ่งหน้าไปทางถนนพระราม 6 ค่ะ ซึ่งห่างจากแยกราชเทวีไปประมาณ 100 เมตร

ที่ตั้งโครงการถือว่าเป็นทำเลใกล้รถไฟฟ้าที่สามารถเดินได้สบายๆเลยค่ะ โครงการห่างจาก BTS ราชเทวีเพียง 150 เมตร  (เรานับระยะจากทางออกของ BTS ราชเทวีไปจนถึงทางเข้าโครงการที่ติดถนนเพชรบุรีนะคะ) ซึ่งเดินทางเข้าเมืองได้สะดวก นั่งไปเพียง 1 สถานี ก็ถึงสถานีสยามแล้วค่ะ ซึ่งสถานีสยามก็เป็นจุดเปลี่ยนขบวน (Interchange) ที่สำคัญของกรุงเทพอีกด้วย แต่สำหรับในอนาคตจะใกล้กับ MRT สายสีส้ม สถานีราชเทวีที่สุดค่ะ แต่รถไฟฟ้าเส้นนี้ปัจจุบันยังไม่เริ่มสร้างเลย ซึ่งตรงนี้อาจจะใช้เวลานานหลายปีก็เป็นได้ค่ะ และยังสามารถเดินทางไปยังสถานีพญาไทได้ใน 1 สถานีเหมือนกันค่ะ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนไปรถไฟฟ้า Airport Link ไปสุวรรณภูมิได้สะดวก

นอกจากเดินทางด้วยรถไฟฟ้าแล้ว การเดินทางด้วยรถสาธารณะนั้นค่อนข้างสะดวกสบายเลยค่ะ ตรงบริเวณทางออกของ BTS ราชเทวี ก็มีทั้งป้ายรถเมล์และวินมอเตอร์ไซค์อยู่ด้วย และยังอยู่ตามระหว่างทางริมถนนเพชรบุรีหลายจุด รวมถึงมีรถ Taxi ขับผ่าน ทำให้สามารถเรียกบริการได้ตลอดเวลา หรือถ้าใครที่ชอบเดินอยู่แล้ว ไม่ได้เร่งรีบอะไร ก็สามารถเดินไปสยามยังได้เลยนะคะ

การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวก็สะดวก เนื่องจากโครงการอยู่ติดถนนเพชรบุรี ซึ่งเป็นถนนใหญ่ สามารถเดินทางไปประตูน้ำ ,ไปออกอโศก หรือจะไปออกทางหลานหลวงก็สะดวก นอกจากนั้นยังใกล้กับถนนพญาไท ไปออกอนุสาวรีย์ หรือไปทางสยามเพื่อไปออกถนนพระราม 4 ก็ได้ ถ้าใครต้องการใช้ทางด่วนก็สามารถไปขึ้นทางพิเศษศรีรัช ใกล้กับจุดขึ้นลงด่านยมราชประมาณ 1.3 กิโลเมตรได้สะดวก สามารถไปได้ทั้งโซนดินแดนและพระราม 9-แจ้งวัฒนะ และโซนบางนา-ดาวคะนองค่ะ ทำให้มีตัวเลือกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยรวมแล้วตำแหน่งที่ตั้งโครงการเดินทางได้สะดวกกว่าทำเลฝั่งตรงข้ามค่ะ โดยเฉพาะใครที่เน้นใช้ทางด่วนค่ะ เพราะไปขึ้นทางด่วนศรีรัชตรงด่านยมราชได้สะดวกกว่า

นอกจากเส้นทางหลักในการเดินทางอย่างถนนเพชรบุรีแล้ว ยังมีซอยย่อยที่ให้ลัดเลาะได้ด้วยค่ะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากในช่วงเวลาเร่งด่วนค่ะ เราจึงทำเป็นภาพกราฟิกมาให้ดูกันค่ะ หากดูจากแผนที่จะเห็นว่าลักษณะซอยย่อยมีทั้ง One Way และ Two Way นะคะ อย่างบางซอยเป็นถนน one way ถ้าใครไม่เคยมาอาจจะไม่รู้ทำให้เข้าผิดซอยได้นะ ถ้าหากเราจะวิ่งไปบรรทัดทองก็สามารถเข้าซอยเพชรบุรี 12 และเลี้ยวขวาเข้าซอยพญานาคตรงไปบรรทัดทองได้ หรือจะไปถนนพญาไทวิ่งไปทางพญาไท ก็ไม่จำเป็นต้องออกไปวกรถกลับตรงแยกราชเทวี แค่เลี้ยวเข้าซอยเพชรบุรี 12 แล้วเลี้ยวซ้ายออกซอยพญานาคก็ได้แล้วค่ะ

THE ADDRESS Siam-Ratchathewi ตั้งอยู่บนทำเลราชเทวี ที่ขยับออกมาจากสยาม ที่ เป็นย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ มีความอุดมสมบูรณ์สูงมาก ซึ่งจริงๆแล้วทำเลใกล้สยามมีอยู่หลายโซนและมีเอกลักษณ์ของทำเลที่แตกต่างกันด้วย ส่วนความอุดมสมบูรณ์ระยะใกล้ๆ เราของแบ่งเป็น 3 โซนใหญ่ๆ นะคะ

1. ราชเทวี-พญาไท : แต่เดิมย่านนี้เรามองว่าเป็นย่านพระราชวังค่ะ  มีทั้งวังสระปทุมที่อยู่ติด Siam Discovery, พระราชวังพญาไทและวังสวนผักกาดด้วยค่ะ ทำให้เรายังสัมผัสถึงบรรยากาศและกลิ่นอายของความเป็นย่านพระราชวังอยู่ เป็นพื้นที่อยู่อาศัยที่มีความสงบ แถวๆนี้ก็จะมีร้านค้าร้านอาหารตามแนวถนนพญาไทไปจนถึงอนุสาวรีย์ หาของกินได้ง่าย อย่าง Coco Walk ก็มีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านนั่งชิลล์อยู่มากมาย โดยเฉพาะซอยพญานาคที่มีทั้งร้านเก่าแก่ดั้งเดิมและร้านใหม่ๆอยู่หลายร้านเลยค่ะ หรือจะไปเส้นบรรทัดทองที่ยาวไปถึงแถว Stadium One ที่ตอนนี้กลายเป็นเส้น Street Food แหล่งของกินแห่งใหม่แล้วค่ะ  ถือว่าในย่านนี้มีความอุดมสมบูรณ์พอสมควรเลยค่ะ ในส่วนของโซนพญาไท เราจะเห็นอาคารสำนักงานใหญ่ๆ เรียงกันติดถนนเกือบตลอดทั้งแนว สลับกับคอนโดมิเนียม รวมถึงมีโรงพยาบาลหลายแห่งด้วย ก็จะมีความคึกคักสูงกว่าราชเทวีค่ะ

2. สยาม : บรรยากาศของโซนนี้ก็คงไม่ต้องอธิบายมากว่าคึกคักขนาดไหนนะคะ เพราะเป็นศูนย์กลางของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หลายแห่ง เรียงกันมาตั้งแต่ Central World จนถึง MBK รวมถึงยังมี Central Block A จาก CPN ที่เป็นโครงการ Mixed – use ใหม่บนทำเลด้วย และยังมี Lifestyle Mall ที่รวมร้านอาหาร หรือจะเป็นร้าน Stand Alone อีกมากมายที่สยามสแควร์ด้วย ซึ่งก็ได้มีการปรับภูมิทัศน์กลายเป็น Walking Street ใจกลางเมืองเหมือนกับต่างประเทศเลยค่ะ นอกจากจะเป็นห้างสรรพสินค้าแล้วยังมีสำนักงานและโรงแรมหลายแห่ง รวมถึงโซนจุฬาฯ ที่เป็นพื้นที่ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ทำให้มีสถานศึกษาตั้งอยู่หลายแห่ง เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา , โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์ , โรงเรียนสาธิตปทุมวัน เป็นต้น ทำให้มีความคึกคักอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ

3. ประตูน้ำ : จากแยกราชเทวีขับตรงไปบนถนนเพชรบุรีมุ่งหน้าฝั่งประตูน้ำไม่ไกลเลยนะคะ ก็ถึงโซนประตูน้ำที่เป็นอีกจุดโซนคึกคัก ที่ขึ้นชื่อเรื่องห้างขายส่งเสื้อผ้าค่ะ ซึ่งก็มีอยู่ห้างหลายแห่งด้วยกันอย่าง Shibuya, Platinum, Paladium และ IT อย่างพันทิปอีกด้วย นอกจากเรื่องช้อปปิ้งแล้ว ของกินราคาตั้งแต่ริมทางหลักสิบไปถึงขึ้นเหลาก็มีครบเช่นกันค่ะ ถ้าเทียบแล้วโซนนี้ก็จะมีความคึกคักมากกว่าโซนราชเทวีมากขึ้นหน่อยค่ะ

สำหรับการเดินทางครั้งนี้เราพาไปโครงการด้วยรถไฟฟ้า BTS กันนะคะ โดยลงสถานีราชเทวีทางออก 3 เดินไปทางแยกราชเทวี จากนั้นเลี้ยวซ้ายตรงไปอีก 100 เมตร ก็จะเห็นทางเข้าโครงการแล้วค่ะ ซึ่งจากหน้าทางเข้าโครงการจะเข้าสู่ตัวโครงการ ก็ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 80 เมตรนะคะ ส่วนบรรยากาศและสภาพแวดล้อมโดยรอบ จะเป็นอย่างไรไปชมกันเลย

Image 1/7
เริ่มต้นกันที่ BTS สถานีราชเทวี ทางออกที่ 3 นะคะ

เริ่มต้นกันที่ BTS สถานีราชเทวี ทางออกที่ 3 นะคะ

สภาพแวดล้อมรอบโครงการ

สภาพแวดล้อมโดยรอบโครงการ THE ADDRESS Siam-Ratchathewi จะไม่มีอาคารสูงมาบล็อกวิวในระยะใกล้ ทางฝั่งทิศเหนือ, ทิศใต้ และตะวันตก ค่อนข้างโปร่งโล่งเลยค่ะ ส่วนทิศตะวันออกนั้นจะมีห้องชั้นล่างๆ (ประมาณชั้นที่ 9-12) ที่ถูกบล็อกวิว เพราะใกล้กับอาคารเอเชีย ส่วนห้องมุมอาคารทิศตะวันออกเฉียงเหนือจะอยู่เยื้องกับคอนโด High Rise เพื่อนบ้าน อาจจะมีบางมุมที่ถูกบล็อกวิวระยะไกลไปบ้าง แต่ด้วยการออกแบบห้องมุมของโครงการที่สามารถชมวิวได้หลายทิศอยู่ จึงไม่ได้บล็อกวิวทั้งหมดนั่นเองค่ะ

  • ทิศเหนือ – บ้านพักอาศัยแนวราบ และโรงแรมสูง 8 ชั้น
  • ทิศตะวันออก – บ้านพักอาศัยแนวราบและอาคารเอเชียสูง 12 ชั้น
  • ทิศใต้ – บ้านพักอาศัยแนวราบ
  • ทิศตะวันตก – บ้านพักอาศัยแนวราบและคอนโดสูง 8 และ 38 ชั้น

Image 1/4
วิวทางด้านทิศเหนือ ค่อนข้างโล่งเลย ระยะใกล้ๆมีแต่บ้านพักแนวราบค่ะ

วิวทางด้านทิศเหนือ ค่อนข้างโล่งเลย ระยะใกล้ๆมีแต่บ้านพักแนวราบค่ะ

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

ศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้า

  • Siam Paragon 1.5 กม.
  • Central World 1.6 กม.
  • เกษร วิลเลจ 1.9 กม.
  • Central Chidlom 2.1 กม.
  • Central Embrassy 2.4 กม.

สถานศึกษา/มหาวิทยาลัย

  • อาคารวรรณสรณ์ 750 ม.
  • โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา 1.5 กม.
  • จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 1.5 กม.
  • โรงเรียน มาแตร์ เดอี 2.1 กม.

โรงพยาบาล/สถานพยาบาล

  • โรงพยาบาลพญาไท 1.2 กม.
  • โรงพยาบาลมิชชั่น 1.4 กม.
  • BDMS Wellness Center 2.6 กม.
  • โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ 3.2 กม.
  • โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 3.3 กม.

รายละเอียดโครงการ

Highlights

  • ออกแบบสไตล์ Colonial Classic ได้แรงบันดาลใจจากพระราชวังและอาคารในต่างประเทศ มาทำให้เรียบง่ายและทันสมัย ผสมผสานความเป็นไทย เลือกใช้ลวดลายไทยมาทำเป็นตะแกรงเหล็กฉลุ รวมถึงดึงเอาเอกลักษณ์ของราชเทวีมาใส่ในโครงการด้วย
  • ส่วนกลางในแต่ละฟังก์ชันมีขนาดใหญ่ ถึงแม้จะมีคนอื่นมาใช้งานในบริเวณเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัด ยังได้ความเป็นส่วนตัวอยู่
  • เลือกใช้วัสดุและการตกแต่งสะท้อนความหรูหรา เลือกใช้ White Limestone โทนสีเบจ ให้ความระยิบระยับเมื่อแสงตกกระทบ, ผนังหินอ่อน STATUARIO นำเข้าจากอิตาลี, พื้น Drop Off มี Pattern แรงบันดาลใจจากพระราชวังแวร์ซาย, ชุดโซฟา หมอนอิงและ Wallpaper จากทีม HERMES FURNISHING FABRICS AND WALLPAPER
  • ที่จอดรถแบบ Conventional เหมาะกับคนที่ชอบความคุ้นเคยแบบเดิม ไม่อยากเสียเวลาในการรอรถยนต์เลื่อนมา รวมถึงเรื่องค่าบำรุงลิฟต์รถยนต์ในอนาคตด้วย

THE ADDRESS Siam-Ratchathewi เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบบ High rise ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดประมาณ 3 ไร่ครึ่ง ทำเลราชเทวี ใกล้สยามและรถไฟฟ้า โดยปัจจุบันสถานีที่ใกล้สุดคือ BTS ราชเทวี ห่าง 150 เมตร เป็นคอนโดที่สูงที่สุดบนทำเลราชเทวีด้วยความสูงถึง 50 ชั้น มีจำนวนรวม 880 ยูนิต ออกแบบในสไตล์ Colonial Classic ที่มีการนำลวดลายไทยมาลดทอนและตกแต่งเพื่อให้ได้กลิ่นอายของบริบททำเลที่อยู่ใกล้วัง (วังสระปทุม) ด้วยค่ะ

เรามาอธิบายเพิ่มเติมให้เห็นภาพมากขึ้นเกี่ยวกับตัวแบรนด์ “THE ADDRESS ” กันหน่อยค่ะ แบรนด์คอนโดนี้ถือเป็นแบรนด์ระดับบนสุดของ AP Thailand เลยค่ะ (หากไม่นับ VITTORIO ที่เป็นตัวพิเศษเพียงโครงการเดียว) ส่วนใหญ่มีราคาต่อตารางเมตรอยู่ที่ประมาณ 180,000 – 230,000 บาทขึ้นไป จับกลุ่มลูกค้า Hi-End ทำเลใจกลางเมือง อย่างสุขุมวิท พญาไท สยาม สาทร และใกล้รถไฟฟ้าเดินทางได้สะดวกในระยะ 150 – 650 เมตร ออกแบบเน้นไปที่การสร้างความประทับใจให้กับผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสกับการตกแต่งอย่างหรูหราทั้งภายนอกและภายใน ส่วนใหญ่จะใช้วัสดุปิดผิวที่เป็นวัสดุแท้จากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นหินอ่อนและไม้จริง ซึ่งไม่ได้พบเห็นบ่อยนักในโครงการทั่วไปค่ะ

โดยเราจะเริ่มต้นด้วยแนวคิดการออกแบบกันก่อนนะคะ เพื่อให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจถึงตัวโครงการมากขึ้น อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่ากลุ่มลูกค้าของคอนโดระดับบน ไม่ได้เน้นเรื่องความคุ้มค่าด้านราคาเพียงอย่างเดียว แต่ก็พิจารณาและให้น้ำหนักเรื่องของความชอบและรสนิยมที่เหมาะกับตัวเองค่ะ

ตัวโครงการออกแบบมาในสไตล์ Colonial Classic หลายๆคนอาจจะรู้สึกว่าการตกแต่งอาคารด้วยลวดลายฉลุที่เป็นจุดเด่นของสไตล์นี้ จะทำให้อาคารดูมีลวดลายที่เยอะเกินไป แต่ทางโครงการได้ตีความโดยใช้ลวดลายไทยมาลดทอนและตกแต่งออกมาในโทนสีเข้มตัดกับตัวอาคาร ดูเรียบง่ายและทันสมัยเลยค่ะ

ขอบคุณภาพประกอบจาก PARISCityVISION และ squireandpartners.com

ส่วนด้านหน้าอาคารก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก Bulgari Hotel & Residences ที่ Knightsbridge, London ซึ่งมีการออกแบบที่ค่อนข้างเรียบง่ายและเป็น Pattern ในขณะที่ดีเทลการใช้วัสดุนั้นเลือกเป็น หิน White Limestone โทนสีเบจอ่อนๆ ซึ่งเป็นหินที่ใช้ตกแต่ง Exterior ของโบสถ์เก่านิกายโรมันคาทอลิกในเขตพระราชวัง กรุงปารีสนั่นเองค่ะ ทางโครงการก็บอกมาด้วยว่ายิ่งเวลาที่มีแสงแดดตกกระทบมาก็เกิดเป็นแสงระยิบระยับหลายๆสี ดูสวยงามเลยค่ะ

เดี๋ยวเราจะพาไปชมโครงการกันเลยนะคะ ซึ่งก็ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าโครงการมีรายละเอียดให้เล่ามีเยอะมากเลยค่ะ ซึ่งเราจะค่อยๆพาไปดูกันทีละจุดกันนะคะ

Master Plan

THE ADDRESS Siam-Ratchathewi มีทางเข้า – ออกโครงการทางเดียว อยู่ติดถนนเพชรบุรี แต่ตัวอาคารจะอยู่เข้ามาด้านในประมาณ 80 เมตร โดยเป็นถนนภาระจำยอมที่ใช้ร่วมกับคนอื่น ซึ่งเป็นถนนที่ขนานกับซอยเพชรบุรี 14 ค่ะ ซึ่งการที่ตัวอาคารอยู่ด้านในมีข้อดีคือช่วยให้ตัวอาคารจะมีระยะห่างจากถนนระดับหนึ่ง เพื่อป้องกันมลภาวะทางฝุ่นและเสียงที่จะมาพร้อมกับถนนใหญ่ และทำให้สามารถสร้างอาคารสูงถึง 50 ชั้นได้ค่ะ

จากทางเข้าโครงการจะอยู่ติดกับถนนเพชรบุรี จะสังเกตเห็นป้ายชื่อโครงการติดอยู่ค่ะ ซึ่งตัวอาคารจะอยู่เข้าไปด้านในประมาณ​ 80 เมตร นอกจากนั้นทางโครงการมีทำทางเดินเท้าจากด้านหน้าโครงการไปถึงตัวอาคารด้วยค่ะ มีการตกแต่งด้วยพุ่มไม้สีเขียวและกำแพงไม้เลี้อยตัดสีกับป้ายชื่อโครงการและทางเท้าดูสวยงามดีเลยค่ะ

ชั้น 1

โครงการนี้มีทางเข้า – ออกทางเดียว เมื่อขับเข้าโครงการมาแล้วต้องเลี้ยวซ้ายจะมีรั้วกั้นไม้กระดกอยู่ แล้วขับไปตามทางและเลี้ยวขวาไปจอดรถบริเวณด้านหลังอาคารหรือขับขึ้นไปจอดรถที่ชั้น 2 – 8 ได้เลยค่ะ

ส่วนกลางของชั้น 1 จะเป็นส่วนกลางแบบ Public ที่ประดับตกแต่งภายในไว้อย่างหรูหรา เป็นหน้าเป็นตากับลูกบ้าน สามารถต้อนรับและนัดแขกหรือลูกค้ามาคุยในโครงการได้เลย ซึ่งมีการออกแบบการจัดวางฟังก์ชันแบบสมมาตรคือจะมีพื้นที่ตรงกลางและเดินแยกไปได้ 2 ฝั่ง

ก่อนที่จะเข้าอาคาร จะเจอกับส่วนของ The Concierge Galerie และเมื่อเข้ามาในตัวอาคารแล้วก็จะมีส่วนของ Lobby อยู่ 2 ฝั่ง รวมถึงสวนด้านข้างโครงการที่มีมุมพักผ่อนในสวนเป็น 2 ฝั่งเช่นกัน ซึ่งการออกแบบสมมาตรนี้ทำให้ได้มีจุดนำสายตาไป ทำให้สิ่งที่อยู่จุดปลายตามีความโดดเด่นขึ้นมานั่นเอง และยิ่งประกอบกับการตกแต่งอย่างหรูหราก็ช่วยส่งเสริมให้เกิดความประทับใจที่มากขึ้นด้วยค่ะ

เรามาเริ่มที่ด้านหน้าโครงการกันค่ะ จะเห็นป้อม รปภ. ดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่ทางด้านซ้ายและมีประตูสำหรับคนเดินเข้าทั้งทางด้านซ้ายและขวาค่ะ ตัวป้อม รปภ.และกำแพงด้านหน้าโครงการตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาว มีลูกเล่นอย่างเส้นทแยงมุมเพิ่มมิติ ดูน่าสนใจ ส่วนรั้วรอบโครงการจะเป็นรั้วทึบสูง 3 เมตรค่ะ

ถัดจากป้อม รปภ. แล้วเลี้ยวซ้ายจะเป็นรั้วไม้กระดก 1 จุด สำหรับการเข้า – ออกโครงการค่ะ

ระบบในการเข้า – ออกโครงการจะเป็นระบบจดจำป้ายทะเบียนจาก KATSAN ค่ะ ซึ่งระบบ KATSAN นี้ ก็ช่วยดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกหลายอย่างเลย รวมถึงประสานงานระหว่างผู้อยู่อาศัย – นิติบุคคล – รปภ. เช่น Pre – register แจ้งรปภ.ล่วงหน้าเมื่อมีแขกมาเยี่ยมและการติดต่อเรียกแท็กซี่หรือติดต่อฉุกเฉินเมื่อมีอุบัติเหตุ เป็นต้น

ทางโครงการมีจุด EV Charger รองรับสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าด้วยค่ะ ซึ่งก็มีมาให้อยู่ 2 จุดชาร์ต รวม 4 หัวจ่ายค่ะ อยู่ทางด้านข้างและด้านหลังโครงการค่ะ

ถัดเข้ามาด้านในจะมีทางลาดขึ้นไปที่จอดรถค่ะ สำหรับที่จอดรถของโครงการนี้เป็นแบบช่องจอดปกติหรือแบบ Conventional ทั้งหมดเลยค่ะ โดยมีจำนวนที่จอดรถ 449 คัน คิดเป็น 51% ไม่รวมซ้อนคัน แตกต่างกับโครงการอื่นที่จะเป็นระบบ Auto Parking ค่ะ ซึ่งที่จอดรถแบบปกติก็เหมาะสำหรับคนที่ชอบความคุ้นชินกับการจอดรถ ไม่อยากกังวลเรื่องระบบลิฟต์หรือเสียเวลากว่ารถจะวนมาถึง และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในอนาคตนั่นเองค่ะ

Image 1/4
บรรยากาศที่จอดรถในโครงการ

บรรยากาศที่จอดรถในโครงการ

เราพากลับมาด้านหน้าโครงการกันต่อนะคะ พอผ่านป้อม รปภ. แล้ว ทางด้านซ้ายจะเป็นทางเข้า-ออกไปที่จอดรถที่เราเพิ่งพาไปนะคะ ในส่วนทางด้านขวาจะเป็น The Great Lawn พื้นที่สนามหญ้าสีเขียวขนาดใหญ่ ที่เชื่อมไปกับสวนด้านข้างโครงการค่ะ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากสนามหญ้ากว้างของพระราชวัง ทำให้พอเข้าโครงการมาแล้วพื้นที่สีเขียวนี้เป็นส่วนต้อนรับ ทำให้ได้บรรยากาศร่มรื่นดีค่ะ

เมื่อตรงเข้ามาด้านในบริเวณพื้นที่จอดรถรับ – ส่ง (Drop-Off) มีการออกแบบตกแต่งลายพื้นเป็น Pattern ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากพระราชวังแวร์ซาย (Versailles) ยาวไปถึงประตูทางเข้าอาคารเลยนะคะ ส่วนหลังคาบริเวณ Drop Off ก็ใช้ลวดลายไทยที่ลดทอนดูเรียบง่ายมาตกแต่งค่ะ

สำหรับประตูทางเข้าโครงการจะทำเป็นซุ้มเว้าเข้าไปด้านใน ส่วนประตูเป็นกระจกบานเลื่อน มีบันไดที่ปูด้วยหินอ่อนสีขาว

นอกจากจะมีบันไดเป็นทางขึ้น – ลงอาคารแล้ว ยังมีการออกแบบทางลาดรองรับวีลแชร์สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้พิการด้วย ถือเป็นการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางที่คำนึงถึงผู้ใช้งานที่หลากหลายตามหลัก Universal Design ที่ดีค่ะ

เมื่อเข้ามาด้านในอาคาร จะเป็นส่วนของ The Concierge Galerie ซึ่งเป็นโถงต้อนรับแรก มี Concierge Service ที่คอยดูแลและบริการลูกบ้านในโครงการ ซึ่งบริเวณนี้ก็มีการตกแต่งอย่างหรูหราทั้งพื้นลายหินอ่อน โคมไฟแชนเดอเลียร์ และการซ่อนไฟ ดูสง่าและสวยงาม ซึ่งจากพื้นที่นี้ก็เดินแยกไปได้ 2 ฝั่งค่ะ

เราพาไปดูทางด้านขวากันก่อนนะคะ ซึ่งในการเข้า – ออกแต่ละพื้นที่จะมีระบบ Face Scan เฉพาะลูกบ้านเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวสูงสุดค่ะ ดังนั้นเวลาแขกมาเยี่ยมก็ต้องนั่งรอลูกบ้านมารับตรงบริเวณนี้ก่อนค่ะ

บริเวณนี้มีประตูกระจกบานเลื่อนที่เชื่อมต่อกับทางลาดด้านหน้าโครงการค่ะ

เมื่อผ่านระบบ Face Scan จะเป็น The Blue Saloon ที่เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับลูกบ้านและต้อนรับแขกได้ มีมุมนั่งอยู่หลายรูปแบบและหลายจุดเลยค่ะ รวมถึงมี Working Lounge อยู่ 2 ห้อง สามารถจองผ่านแอปได้เลย ซึ่งก็จะได้ความเป็นส่วนตัวขึ้นมาหน่อยค่ะ และยังมีส่วนของร้านค้าอยู่ 1 ร้านด้วย แต่ว่ายังไม่ทราบรายละเอียดนะคะว่าจะเป็นร้านไหนค่ะ

อันนี้เราทำภาพมาเปรียบเทียบให้ดูว่าบรรยากาศโครงการจริง (ภาพด้านล่าง) ตกแต่งรายละเอียดได้เหมือนกับภาพจำลองบรรยากาศ (ภาพด้านบน) ที่ทางโครงการปล่อยออกมาในช่วงแรกๆเลยค่ะ เรียกได้ว่าสวยตรงปกเลยนะคะ

มีออกแบบห้องน้ำอยู่ภายใน The Blue Saloon ด้วยค่ะ ซึ่งก็ใช้ Pattern ลวดลายไทยนี้มาตกแต่งและช่วยบังสายตา ได้ความเป็นส่วนตัวขึ้น เวลามาใช้งานค่ะ

ทางโครงการออกแบบเป็นเอาเคาน์เตอร์อ่างล้างมือและกระจกมาอยู่ด้านนอก ทำให้เวลาเราจะล้างมือหรือจะส่องกระจก เติมหน้าหรือตรวจดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผมได้สะดวกนั่นเองค่ะ ในส่วนของห้องน้ำจะอยู่ด้านในนะคะ

ส่วนของอ่างล้างมือจะมีอยู่ 4 อ่างด้วยกัน แบ่งเป็นฝั่งละ 2 อ่างค่ะ มาพร้อมกับกระจกส่องเลยค่ะ

เรามาดูในห้องน้ำกันค่ะ ภายในห้องมีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่อยู่เหมือนกันและตกแต่งด้วยลายหินอ่อนสีขาวทั้งห้องเลย รวมถึงมีติดกระจกเงาด้านข้างทำให้ห้องดูกว้างและสามารถส่องกระจกได้ด้วยค่ะ ซึ่งบริเวณนี้ก็มีเพียงห้องน้ำอยู่ 2 ห้องนะคะ เวลาคนที่เข้าห้องน้ำมาก็จะต้องออกไปล้างมือด้านนอกนะคะ

สุขภัณฑ์จะเปิดฝาโถแบบอัตโนมัติค่ะ

เราพามาดูมีมุมนั่งของ The Blue Saloon กันต่อค่ะ มีทั้งแบบเบาะนั่งชิลล์ ติดหน้าต่างที่มองออกไปได้วิวสนามหญ้าขนาดใหญ่ด้วยนะคะ

นอกจากที่นั่งแบบเบาะแล้ว ยังมีที่นั่งแบบเคาน์เตอร์และมุมโซฟาด้วยนะคะ ส่วนด้านข้างจะเป็น Working Lounge 2 ห้องค่ะ

บริเวณด้านหน้าของ Working Lounge มีหน้าจอแสดงการเข้าใช้พื้นที่ด้วยค่ะ ซึ่งสามารถจองผ่านแอปได้เลยนะคะ

บรรยากาศภายใน Working Lounge จะมีการจัดมุมนั่งทำงานไว้ 4 โต๊ะเลยค่ะ และมีระยะห่างของแต่ละโต๊ะค่อนข้างกว้าง ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้นค่ะ

อันนี้เราพามาดู Working Lounge อีกห้องกันค่ะ ห้องนี้จะมีทีวีสามารถใช้นำเสนองานได้นะคะ ตัวห้องจะถูกตกแต่งที่เน้นไปโทนสีขาว ก็เลยเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์โทนสีเข้ม ทำให้สีตัดกัน ดูสวยงามเลยค่ะ

ในส่วนของ The Blue Saloon จะมีประตูเปิดเชื่อมไปสวนด้านข้างโครงการได้ค่ะ ซึ่งก็จะมีระบบ Face Scan ด้วยเช่นกันนะคะ

เมื่อเดินออกมาด้านนอกจะมีทางเดินยาวไปถึงสระน้ำพุที่เป็นจุดปลายตาค่ะ ซึ่งทางโครงการได้ดึงเอาเอกลักษณ์ของสระน้ำพุหรือบ่อบัวตรงแยกราชเทวีมาใส่ไว้ตรงจุดนี้นั่นเองค่ะ

ตรงบริเวณสระน้ำพุ ก็ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่และไม้พุ่มอยู่หลากหลาย ซึ่งสีเขียวของต้นไม้ก็ตัดกับสีขาวของสระน้ำพุ ทำให้สระน้ำพุดูโดดเด่นขึ้นมาอีกค่ะ

เมื่อยืนจากตรงสระน้ำพุและมองไปทางด้านซ้ายจะมีมุมนั่งเล่นด้านนอก มีทางเดินเป็นแนวซิกแซกและมีระยะระหว่างทางเดินและที่นั่งโดยโรยเป็นหินสีดำค่ะ พอเวลาเรานั่งบนเบาะแล้วปล่อยขาลงมา ทำให้ขาไม่ไปขวางพื้นที่ทางเดิน ทำให้คนที่จะเข้าไปด้านในก็สามารถเดินผ่านได้

ส่วนด้านในสุดของทางเดิน จะมีที่นั่งอยู่อีก 1 จุดค่ะ และจุดปลายตาของฝั่งนี้จะเป็นรูปปั้นนกยูงนั่นเองค่ะ

เราเดินกลับมาตรงบริเวณสระน้ำพุอีกครั้ง คราวนี้เรามองไปทางด้านขวานะคะ ก็จะมีทางเดินตรงยาวไปถึง The River Sala เป็นศาลานั่งเล่น รวมถึงมีบ่อน้ำยาวขนานต่อเนื่องไปด้วยค่ะ

ก่อนจะเข้าถึง The River Sala จะมีบันไดเดินลงไป ให้ความรู้สึกเหมือนการเปลี่ยนถ่ายพื้นที่ สร้างความเป็นส่วนตัวมากขึ้น บริเวณรอบศาลามีบ่อน้ำล้อมรอบ เวลาลมพัดมาก็จะพัดความเย็นของบ่อน้ำนี้มาด้วยค่ะ ส่วนลวดลายของพื้นบ่อน้ำก็มี Pattern เหมือนกับลายพื้นตรงบริเวณ Drop Off ด้วยค่ะ

เมื่อมองกลับเข้าไปตรงส่วน Blue Saloon จะเห็น The Great Lawn ที่ยาวต่อเนื่องไปถึงบริเวณทางเข้าโครงการ เวลามาเดินเล่นในสวน แล้วอาจจะมีเจอกับคนอื่นที่มาเดินเล่นเหมือนกัน ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัด เพราะออกแบบพื้นที่สนามไว้กว้างมากเลยค่ะ ทำให้มีระยะห่างระหว่างกันค่อนข้างเยอะเลย

ต่อมาเรากลับมาตรง The Concierge Galerie ที่เป็นโถงต้อนรับแรกกันค่ะ ครั้งนี้เราจะพาไปดูทางฝั่งซ้ายกันนะคะ

ตรงบริเวณนี้จะสามารถเดินไปในส่วนของ Mailroom, The Grande Chamber และ Lift Lobby ไปชั้นบนค่ะ ซึ่งก็จะดูแลรักษาความปลอดภัยด้วยระบบ Face Scan นะคะ

เรามาดูที่ Mailroom กันก่อนเลยค่ะ มี Mailbox ของทุกห้อง รวม 880 ยูนิตเลย ออกแบบตำแหน่งให้ไม่อยู่สูงเกินไปค่ะ Mailbox ที่อยู่สูงสุด ก็อยู่ในระยะที่สามารถเอื้อมเปิดได้ง่าย

พอเราเดินถัดเขามาด้านใน จะมีทางเข้าไปสู่ The Grande Chamber เป็นพื้นที่นั่งเล่นอีกห้อง รวมถึงสามารถจัดงานเลี้ยงได้ด้วย ซึ่งก็สามารถจองห้องผ่านทางนิติบุคคลได้เลยค่ะ

ภายในห้องมีพื้นที่กว้างและเพดานสูง ตรงด้านบนก็ทำเป็นเหมือน Glasshouse เลยค่ะ ตรงกลางห้องมีกรงสีทองตกแต่งด้วยต้นไม้ไว้ดูดีเลยค่ะ

บริเวณรอบๆห้องมีพื้นที่นั่งเล่นอยู่หลากหลายรูปแบบด้วยกันค่ะ ซึ่งพื้นที่นั่งเล่นของห้องนี้จะมีความหรูหรายิ่งขึ้นด้วยค่ะ รวมถึงมีการตกแต่งผนังห้องด้วยแผ่นหินอ่อนขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า STATUARIO นำเข้าจากอิตาลี ที่ให้ลวดลายที่คมชัดมากกว่าแผ่นหินอ่อนทั่วไปค่ะ

อย่างที่เราได้บอกไปว่าโครงการออกแบบเน้นความเป็นสมมาตร เราจะเห็นไปถึงการเลือกวัสดุเลยค่ะ จะสังเกตเห็นว่ากำแพงแผ่นหินอ่อนก็เลือกให้มีลายที่สมมาตรซ้าย – ขวากันด้วยนะคะ

ส่วนกลางของบริเวณชั้น 1 นี้จะเน้นไปเป็นมุมนั่งพักหลายรูปแบบ เพื่อที่ลูกบ้านสามารถต้อนรับแขกได้อย่างสะดวกสบายนั่นเอง รวมถึงทางโครงการยังตกแต่งไว้หรูหราเป็นหน้าเป็นตาให้กับลูกบ้านด้วยค่ะ

ต่อมาเราจะพาไปดูชั้นบนกันแล้วนะคะ ในส่วนของ Lift Lobby จะปูด้วยพื้นหินอ่อนเชื่อมต่อมากับพื้นที่ส่วนอื่นๆเลย มีลิฟต์โดยสาร 6 ตัว/อาคาร อัตราส่วนลิฟต์โครงการอยู่ที่ 146 : 1 ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างหนาแน่น แต่ว่าระยะเวลาในการขึ้น-ลงลิฟต์ไม่นานเลยค่ะ ตรงกำแพงหินอ่อนตรงนี้เหมือนกันค่ะ มีการออกแบบสมมาตรบน – ล่างค่ะ

ชั้น 2 – 8

Image 1/4
ชั้น 2

ชั้น 2

ชั้น 2 – 8 เป็นที่จอดรถแบบ Conventional หรือก็คือช่องจอดแบบปกตินั่นเองค่ะ ซึ่งสามารถจอดได้ 449 คันหรือคิดเป็นประมาณ 51% ไม่รวมจอดซ้อนคันนะคะ

ชั้น 9

ชั้น 9 นี้จะมีทั้งส่วนกลางและส่วนของห้องพักอาศัยค่ะ โดยฝั่งด้านทิศเหนือจะเป็นส่วนกลางประกอบด้วยสวนสีเขียวและ The Gym ค่ะ ทำให้ห้องพักที่หันหน้าไปทางทิศเหนือได้วิวสวนส่วนกลางด้วยนั่นเอง ซึ่งสวนสีเขียวนี้เป็นแบบมานั่งเล่น เดินรับลมชมวิว จึงไม่ได้เกิดเสียงรบกวนมากนัก ก็ถือเป็นตำแหน่งห้องที่น่าสนใจเลย ได้ทั้งวิวและได้ใช้ห้องออกกำลังกายด้วยค่ะ

เมื่อขึ้นลิฟต์มาชั้น 9 จะมีระบบ Face Scan อยู่ทั้งประตูส่วนกลางและชั้นพักอาศัยค่ะ เป็นการแยกฟังก์ชันการใช้งาน ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้นค่ะ ตรงบริเวณลิฟต์ก็ตกแต่งด้วยผนังหินอ่อน ดูหรูหราด้วยค่ะ

เราพาเดินออกมาดูส่วนกลางของชั้นนี้กันค่ะ พอเดินออกมาจะมีที่นั่งเล่นได้ ตกแต่งด้วยต้นไม้ ดูสดชื่น หันไปทางด้านขวาจะมีทางเดินไปได้ทั้งฝั่งซ้ายที่เป็น The Gym และฝั่งขวาที่เป็นห้องน้ำและประตูทางเข้าชั้นพักอาศัยอีกทางค่ะ

พอเลี้ยวซ้ายมาจะเป็น The Gym ห้องออกกำลังกายทั้ง Cardio และ Weight Training ค่ะ ประตูทางเข้าเป็นประตูกระจก พร้อมจอแสดงการเข้าใช้งานผ่านแอปด้วยค่ะ

พอเข้ามาภายใน The Gym มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน โดยทางด้านหน้าจะเป็นส่วนของ Weight Training ดัมเบลยกน้ำหนัก และ Private Studio ส่วนด้านในจะเป็นส่วนของ Cardio และ Weight Training ที่เป็นเครื่องเล่นกล้ามเนื้อค่ะ

ส่วนของ Weight Training ดัมเบลยกน้ำหนัก ออกแบบพื้นเป็นพื้นยาง ลดแรงกระแทกเวลาวางดัมเบลค่ะ ซึ่งตรงบริเวณนี้ก็สามารถมองออกไปได้วิวสวนเขียวด้านนนอกด้วย เล่นไปชมวิวไปได้เพลินๆเลยค่ะ

หันมาอีกฝั่งจะเป็น Private Studio จะกั้นเป็นกระจกใส ซึ่งห้องนี้ก็สามารถทำการจองเพื่อใช้งานส่วนตัวได้นะคะ

ภายในห้อง Private Studio จะมีติดตั้งทีวีและกระจกเงาใหญ่เต็มผนังค่ะ ทำให้เวลาเล่นท่าโยคะหรือออกกำลังกายต่างๆก็ส่องดูได้ค่ะ ทางโครงการก็มีเสื่อและบอลโยคะมาให้ในห้องด้วยนะคะ

Image 1/4
พื้นที่ภายในห้องกว้าง วางเครื่องออกกำลังกายไว้หลายรูปแบบ

พื้นที่ภายในห้องกว้าง วางเครื่องออกกำลังกายไว้หลายรูปแบบ

ส่วนพื้นที่ออกกำลังกายที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน จะมีทั้งเครื่องลู่วิ่ง เครื่องปั่นจักรยาน และเครื่องเล่นกล้ามเนื้ออยู่หลายแบบ พื้นที่ภายใน The Gym นี้มีขนาดใหญ่ ทำให้วางเครื่องออกกำลังกายได้ประมาณ ​​20 เครื่องเลยค่ะ ซึ่งทำให้เวลามาใช้งานไม่ต้องมาเสียเวลารอคิวใช้งานต่อกับคนอื่นค่ะ ซึ่งเครื่องออกกำลังกายของโครงการนี้มาจากแบรนด์ TechnoGYM ที่เป็นแบรนด์พรีเมี่ยมจากอิตาลี ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพระดับโลกเลยค่ะ จริงๆแล้วโครงการนี้ยังมีห้องออกกำลังกายอีกห้องที่ชั้น 50 ด้วยค่ะ ซึ่งจะเน้นเป็นการออกกำลังแบบ Cardio ค่ะ

เดินออกจาก The Gym มา จะเห็นฝั่งตรงข้ามมีทางเดินเข้าไปได้ ก็จะเป็นในส่วนของห้องน้ำและประตูเข้าส่วนชั้นพักอาศัยนั่นเองค่ะ

จะเห็นว่ามีประตูกระจกพร้อมระบบ Face Scan เพื่อเข้าสู่ส่วนห้องพักอาศัยอยู่ข้างๆกับห้องน้ำชายนะคะ ซึ่งห้องพักอาศัยที่อยู่ใกล้ประตูนี้ที่สุดจะเป็นห้อง 2 Bedroom 2 Bathroom ที่น่าสนใจมากค่ะ เพราะนอกจากจะเป็นห้องมุมได้วิวเมืองเต็มตาแล้ว มีการแชร์ผนังกับเพื่อนบ้านเพียงห้องเดียว และยังไม่มีห้องอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย ทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวสูงสุดเลยค่ะ รวมถึงอยู่ใกล้โถงลิฟต์และประตูเข้า – ออกส่วนกลางด้วยค่ะ ทำให้เดินนิดเดียวถึงห้องเลยค่ะ

พอเรามองย้อนกลับไปทางด้านซ้ายจะเป็น Service Lift ค่ะ และด้านขวาเป็นห้องน้ำสำหรับผู้หญิงค่ะ

Image 1/7
ห้องน้ำมีพื้นที่ขนาดใหญ่ ตกแต่งโทนสีขาว

ห้องน้ำมีพื้นที่ขนาดใหญ่ ตกแต่งโทนสีขาว

ภายในห้องน้ำมีทั้งห้องอาบน้ำและล็อกเกอร์ด้วย สะดวกกับคนที่มาออกกำลังกายก็สามารถมาเก็บของและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งก่อนและหลังออกกำลังกายได้ หรือถ้าใครไม่ได้ซีเรียสมาก ก็สามารถเดินกลับไปเปลี่ยนให้เรียบร้อยที่ห้องได้เหมือนกันค่ะ

ต่อมาเราเดินกลับมาตรงบริเวณด้านหน้าโถงลิฟต์กันค่ะ เมื่อกี้เราหันไปทางขวาแล้วไป The Gym ครั้งนี้เราหันไปทางซ้ายแทนค่ะ จะเห็นเป็น The High Garden พื้นที่สวนหย่อมสำหรับมาเดินเล่นหรือนั่งพักผ่อนกันค่ะ รวมถึงมีบ่อน้ำที่ตกแต่งด้วยบัวจำลองสีทองด้วยค่ะ

ซึ่งระดับของ The High Garden จะต่ำกว่านะคะ ต้องเดินลงบันไดไปพื้นที่สวนค่ะ เป็นการออกแบบสำหรับการเปลี่ยนถ่ายพื้นที่ จะทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวมากขึ้นเมื่อเข้าเดินไปสวนค่ะ

มีโซฟายาวสำหรับนั่งพักผ่อน อยู่ตรงข้ามกับบ่อน้ำ เวลาลมพัดมาก็จะพัดความเย็นจากน้ำมาด้วยค่ะ บริเวณรอบๆโซฟามีไม้พุ่มและต้นไม้ใหญ่ด้วย ซึ่งก็ให้ร่มเงาเวลามานั่งพักค่ะ

ตรงด้านในสุดของ The High Garden มีศาลาวางเบาะนิ่มๆ นั่งพักผ่อนได้ด้วย

เมื่อมองจากในศาลาไปด้านนอก จะเห็นวิวเมืองจากทั้ง 2 ด้านเลย รวมถึงถ้ามองกลับไปตัวอาคารก็จะได้เป็นวิวสีเขียวของ The High Garden ค่ะ

ทางโครงการออกแบบพื้นที่สีเขียวของ The High Garden ไว้หลากหลายเลย มีทั้งสนามหญ้า ไม้พุ่มและต้นไม้ใหญ่ประดับตกแต่ง รวมถึงบ่อน้ำด้วย ทำให้ได้บรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติถึงแม้จะอยู่ใจกลางเมืองก็ตามค่ะ

ชั้น 50

ต่อมาเราพามาดูส่วนกลางชั้นสุดท้ายกันแล้วนะคะ ซึ่งก็คือชั้น 50 นั่นเอง คอนโดมิเนียมส่วนใหญ่จะออกแบบให้ส่วนกลางอยู่ชั้นบนสุด ทำให้เวลาลูกบ้านใช้ส่วนกลางชั้นบนสุดก็จะได้วิวด้วยนั่นเองค่ะ ทางโครงการนี้ก็ออกแบบไว้ชั้นบนสุดอย่างชั้น 50 แต่พอประกอบกับจุดเด่นของโครงการนี้ที่เป็นคอนโดมิเนียมที่สูงที่สุดบนราชเทวีแล้ว ทำให้เราเห็นวิวเมืองไกลไปถึงเส้นขอบฟ้าเลยค่ะ ชั้นนี้จะเป็นส่วนกลางทั้งชั้นเลย จะมีความคึกคักมากกว่าชั้น 9 เพราะมีพื้นที่ของสระว่ายน้ำยาว 50 เมตร ให้ได้มาว่ายน้ำและเล่นน้ำกัน ในส่วนของ The Sky Chamber ที่ต้องการความเงียบสงบหน่อย ก็ออกแบบเป็นชั้นลอยค่ะ

พอเราเดินออกจากโถงลิฟต์มา จะเห็นเป็นวิวสระว่ายน้ำสีฟ้าและวิวเมืองทางด้านทิศใต้ที่หันไปทางสยามและสามย่านค่ะ แค่พอเห็นวิวแบบนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายสบายตาแล้วล่ะค่ะ ซึ่งก็จะมีบันไดเดินลงไปในสระว่ายน้ำได้เลยนะคะ

เราจะพาไปดู The Cloud Fitness กันก่อนนะคะ ซึ่งพอออกจากโถงลิฟต์มาแล้วต้องเลี้ยวไปทางซ้ายค่ะ บริเวณกำแพงตกแต่งด้วยหินอ่อนสีเทา ติดตั้งไฟตรงพื้นส่องไฟขึ้นด้านบนด้วย พอตอนกลางคืนแสงส่องเข้ากำแพงน่าจะออกมาสวยงามเลยค่ะ

พอเดินมาสุดทางเดินแล้วต้องเลี้ยวซ้ายไปตามทาง จะเห็นว่าทางโครงการมีติดป้ายชื่อห้องบอกทางไว้ด้วยนะคะ

เดินเข้าไปตามทาง จะเจอกับห้องน้ำชาย – หญิงตรงบริเวณก่อนถึง The Cloud Fitness ค่ะ

เราแวะมาดูห้องน้ำกันก่อนเข้าไป The Cloud Fitness นะคะ ภายในห้องก็ยังตกแต่งด้วยโทนสีขาวและเลือกใช้หินอ่อนเหมือนชั้น 9 เลยค่ะ

Image 1/5
ข้างๆเคาน์เตอร์อ่างล้างมือมีมุมของล็อกเกอร์สำหรับเก็บของด้วยค่ะ

ข้างๆเคาน์เตอร์อ่างล้างมือมีมุมของล็อกเกอร์สำหรับเก็บของด้วยค่ะ

การออกแบบห้องน้ำของชั้น 9 และ 50 มีความเหมือนกันเลยค่ะ แตกต่างตรงที่ห้องน้ำของชั้น 50 จะมีขนาดเล็กกว่าหน่อย รวมถึงห้อง Sauna ที่มีหินเกลือหิมาลายันที่ช่วยในเรื่องระบบการหายใจและการนอนหลับพักผ่อนได้สบายค่ะ

เราพามาดู The Cloud Fitness กันแล้วค่ะ ซึ่งจะเป็นห้องที่อยู่สุดทางเดินเลย มีหน้าจอแสดงผลการเข้าใช้งานเหมือนกับการเข้าใช้ส่วนกลางอื่นๆเลยค่ะ

สำหรับการออกกำลังกายในชั้นนี้จะเน้นเป็นแบบ Cardio ค่ะ ตรงกลางห้องจะมีที่นั่งพักหรือวางของอย่างน้ำดื่มได้ ด้านในจะมีเครื่องปั่นออกกำลังกาย และเครื่อง Kinesis สำหรับออกกำลังกาย Weight Training ที่สามารถเล่นได้หลายท่าด้วย ซึ่งเครื่องออกกำลังกายทุกเครื่องก็มาจากแบรนด์ TechnoGYM นะคะ ส่วนการออกแบบห้องเป็นผนังกระจกทั้ง 2 ด้าน เพื่อได้รับวิวสูงของเมืองเต็มตาและออกแบบเพดานเป็นกระจกเงา ทำให้ห้องดูสูงโปร่งมากขึ้นค่ะ

แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีส่วนของ Weight Traning เลยนะคะ เพราะทางโครงการก็ได้มีมุมตั้งดัมเบลยกน้ำหนักพร้อมพื้นยางรับแรงกระแทกเวลาวางดัมเบลด้วยค่ะ

เครื่อง Kinesis เป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ซึ่งได้ทั้งด้านความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ รวมถึงความมั่นคง ความสมดุลและความยืดหยุ่นของร่างกายค่ะ

ตรงบริเวณนี้มีการออกแบบที่น่าสนใจอยู่ค่ะ เพราะจะออกแบบเป็นพื้นที่ยื่นออกไปจากตัวอาคาร และทำผนังเป็นกระจกเข้ามุม พอตั้งเครื่องลู่วิ่งก็ทำให้เหมือนได้พื้นที่ออกกำลังแบบส่วนตัวเลย และได้วิวเมืองแบบกว้างด้วยค่ะ วิ่งไปชมวิวไปได้เพลินๆเลยทั้งกลางวันและกลางคืนค่ะ

มองย้อนกลับไปตรงทางประตูทางเข้า จะมีพื้นที่ออกกำลังอยู่ทางด้านซ้ายด้วยค่ะ ดูเป็นพื้นที่แยกออกไป ทำให้มีความเป็นส่วนตัวดีเลยค่ะ

บริเวณนี้จะมีเครื่องเดินวงรี Elliptical และเครื่องลู่วิ่งที่ออกแบบยื่นไปด้านนอกค่ะ ซึ่งพอเราดูจำนวนของเครื่องออกกำลังกายในชั้นนี้จะมีประมาณ​ 10 เครื่องค่ะ และพอรวมกับ The Gym ที่ชั้น 9 ด้วยแล้ว ทำให้ในโครงการนี้มีเครื่องออกกำลังกายมากถึง 30 เครื่องเลยนะคะ

Image 1/4
สระว่ายน้ำโซน Hydrotherapy

สระว่ายน้ำโซน Hydrotherapy

พอออกมาจาก The Cloud Fitness จะเห็นสระว่ายน้ำในส่วนของ Hydrotherapy ที่มีมุมสำหรับ Swim Jet ว่ายทวนน้ำ และมุมนวดตัวด้วยน้ำอย่าง Canon Jet (นวดคอและบ่า), Spa Bed & Spa Seat (นวดหลัง) รวมไปถึงทางเดิน Leg Massage (นวดขา) อีกด้วยค่ะ

บริเวณด้านข้างของโซน Hydrotherapy มีพื้นที่ยืนล้างตัวได้ค่ะ เป็นฝักบัวแบบ Rain Shower ค่ะ

เราเดินเลียบสระว่ายน้ำมาเรื่อยๆ จากเดินพออกจากโถงลิฟต์แล้วเลี้ยวซ้ายไป the Cloud Fitness ครั้งนี้เราเลี้ยวขวากันค่ะ จะเห็น The Sky Bar ค่ะ

สระว่ายน้ำของโครงการจะหันไปทางทิศใต้ ได้วิวสยามและสามย่านค่ะ ซึ่งเป็นทิศที่ไม่มีอาคารสูงในระยะใกล้บังวิวเลยค่ะ ทำให้ได้วิวเต็มตาเลย ในส่วนการออกแบบ ได้ตกแต่งสระว่ายน้ำด้วยหินอ่อนสีขาว ดูสวยงาม น่าใช้งานค่ะ

ทางโครงการจะมีออกแบบที่นั่งริมสระว่ายน้ำด้วย เป็นพื้นที่แบบ Semi Outdoor ซึ่งก็สามารถมานอนชมวิวทั้งกลางวันและกลางคืน ก็ได้บรรยากาศความสวยงามคนละแบบกันค่ะ

เดินไปเรื่อยๆจนสุดสระว่ายน้ำจะเป็นสระเด็ก ที่มีขนาดความกว้าง 3.2 x ยาว 5 ม. ลึก 0.60 เมตรค่ะ และมีปลูกต้นไม้ใหญ่ ให้ร่มเงาและความร่มรื่นด้วยนะคะ

The Sky Pool with hydrotherapy แบบระบบเกลือ มีขนาดความกว้าง 5.6 x ยาว 50 ม. (ระยะว่ายจริง 5.6 x 35 ม.) ลึก 1.20 เมตร ซึ่งสามารถว่ายออกกำลังกายได้จริงจังเลยค่ะ

บริเวณด้านข้างสระว่ายน้ำมี The Sky Bar พื้นที่นั่งดื่มพร้อมชมวิวเมือง ซึ่งออกแบบด้านหลังเคาน์เตอร์เป็นหินอ่อนที่มีความสมมาตรซ้าย – ขวาด้วยค่ะ

ข้างๆของ The Sky Bar มีพื้นที่นั่งพักผ่อนแบบ Semi Outdoor และ Indoor รวมถึงมี The Sky Oasis ที่เป็นสวนสีเขียวพร้อมมุมนั่งเล่นด้วยค่ะ

พื้นที่นั่งพักผ่อนข้างสระว่ายน้ำมีทั้งเป็นชุดโต๊ะนั่งและเบาะนั่งชิลๆค่ะ ซึ่งใครที่อยากได้ที่นั่งพูดคุยหรือทำงานในบรรยากาศสบายๆ ก็มาใช้งานตรงบริเวณนี้ได้ค่ะ ข้างๆพื้นที่นี้จะเป็น The Sky Library ที่เป็นกระจกมองจากข้างนอกไม่เห็นด้านในค่ะ

The Sky Library เป็นพื้นที่นั่งพักผ่อนและทำงานที่ได้ความเป็นส่วนตัวและสงบขึ้นมาหน่อยค่ะ ที่ทางโครงการได้ใส่รายละเอียดในการเลือกใช้วัสดุด้วย อย่างโต๊ะก็ใช้เป็นหินขนาดใหญ่แผ่นเดียวมาทำเป็นโต๊ะเลยค่ะ ส่วนผ้าที่ใช้ในการบุเก้าอี้ก็มาจากการออกแบบและตกแต่งจากทีม HERMES FURNISHING FABRICS AND WALLPAPER ที่ได้ร่วมงานกับทางโครงการเพื่อให้ลูกบ้านได้ถึงความหรูหราของโครงการนั่นเอง

ต่อมาเราจะพาไปดู The Sky Oasis กันนะคะ จะต้องเดินผ่าน The Sky Library ไปก่อนค่ะ

ในส่วนของ The Sky Oasis จะมีการจัดวางมุมที่นั่งในสวนไว้ พร้อมปลูกต้นไม้ใหญ่และไม้พุ่มไว้หลากหลาย ซึ่งถ้าเมื่อต้นไม้ใหญ่โตเต็มที่ก็จะให้ร่มเงากับพื้นที่นั่งพักผ่อน ทำให้สามารถนั่งได้นานขึ้นด้วย ซึ่ง The Sky Oasis ได้วิวจากทั้งทิศเหนือ ตะวันตกและใต้ค่ะ

Image 1/3
มุมนั่งเล่นแบบโซฟายาว

มุมนั่งเล่นแบบโซฟายาว

 

นอกจากพื้นที่นั่งเล่นแล้ว ยังมีพื้นที่สวนเดินเล่นและยืนชมวิวได้ด้วยค่ะ

กลับเข้ามาตรงด้านหลังของ The Sky Bar จะมีบันไดและลิฟต์ที่ขึ้นไปถึงชั้นลอยและชั้นดาดฟ้าได้ค่ะ

ตัวบันไดตกแต่งด้วยหินอ่อนสีเทาเข้ม มีราวจับสีทองและมีผนังที่เป็นเหล็กฉลุตกแต่งโดยลดทอนจากลวดลายไทย ซึ่งช่วยในการพรางสายตาคนมองได้เวลาเดินขึ้น – ลงบันไดค่ะ ส่วนลิฟต์สามารถไปได้ทั้งชั้นลอยและดาดฟ้าค่ะ

เราขึ้นมาชั้นลอยกันแล้วนะคะ จะเป็น The Sky Chamber หรือก็คือพื้นที่ Lounge นั่นเองค่ะ สำหรับใครที่ต้องการพื้นที่นั่งเล่นเป็นส่วนตัวและสงบค่ะ ซึ่งก็จะจัดวางเป็นมุมนั่งเล่นหลายรูปแบบเลยค่ะ พื้นของชั้นนี้จะเป็นลายไม้ให้ความรู้สึกอบอุ่น เป็นมิตรมากขึ้น

บริเวณส่วนนี้จะได้วิวของสระว่ายน้ำด้านล่างและวิวทิศใต้ที่ไม่มีอาคารสูงในระยะใกล้บดบังวิวนะคะ

สำหรับโซฟาและหมอนอิงต่างๆในชั้นนี้ ก็ออกแบบพิเศษสุดๆด้วยการร่วมงานกับทีม  HERMES FURNISHING FABRICS AND WALLPAPER เพื่อให้ลูกบ้านได้สัมผัสถึงความหรูหราได้อย่างใกล้ชิด และมุมนั่งเล่นมุมนี้มี Wallpaper ที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์จากทีมนี้เหมือนกันค่ะ

Image 1/3
เมื่อออกจากลิฟต์มาชั้นดาดฟ้า มีพื้นที่สนามหญ้ายาว

เมื่อออกจากลิฟต์มาชั้นดาดฟ้า มีพื้นที่สนามหญ้ายาว

ในส่วนของชั้นดาดฟ้าเป็นสนามหญ้ากว้าง และมีมุมนั่งเล่นอยู่ด้วยค่ะ

การออกแบบแปลนห้องพักอาศัย

1. ห้องแบบ Interlock

ถ้าใครได้ติดตาม AP มาตลอดจะเห็นว่าทาง AP ได้มีการทำห้อง Interlock มานานแล้วนะคะ ซึ่งก็ทำให้ได้ประสบการณ์การอยู่อาศัยที่น่าสนใจกว่าห้องทั่วไปที่เป็นห้องตรงๆเลย รวมถึงทำให้ได้ห้องหน้ากว้างมากขึ้น และการจัดพื้นที่ใช้สอยเป็นสัดส่วนลงตัวมากขึ้นด้วยค่ะ

อย่างในโครงการนี้บริเวณห้องด้านบนสุด ได้ออกแบบบริเวณที่ Interlock กันคือพื้นที่ครัวของห้อง 2 Bedroom และพื้นที่ Common Area ของห้อง 1 Bedroom ทำให้ห้อง 2 Bedroom ได้พื้นที่ครัวที่เป็นสัดส่วน รวมถึงจะกั้นเป็นครัวปิดเพิ่มได้ด้วย ทำให้ระนาบห้องเป็นแนวเดียวกัน ส่วนห้อง 1 Bedroom ก็จะได้พื้นที่ Common Area ที่กว้างมากขึ้น นอกจากเป็นพื้นที่นั่งเล่นแล้ว ยังตั้งโต๊ะกินข้าวได้ถึง 4 ที่นั่งและมีทางเดินผ่านได้สะดวกด้วยนั่นเอง

2. ห้องแบบ Window Corner View

อันนี้ถือเป็นการออกแบบห้องที่ส่งเสริมจุดเด่นของโครงการในเรื่องความสูงของอาคารและวิวทุกทิศนั่นเอง ถ้าดูจากรูป Typical Floor Plan จะเห็นชัดว่าห้องที่เป็น Window Corner View จะมีพื้นที่ยื่นออกมาจากตัวอาคารและได้กระจกเข้ามุม ทำให้ห้องบริเวณตรงกลางได้วิวกว้างแบบเต็มที่ถึง 3 ฝั่ง โดยไม่จำเป็นต้องเป็นห้องมุมอาคารที่จะได้วิวกว้างเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้นค่ะ ซึ่งเรามองว่าเป็นการออกแบบที่น่าสนใจมากๆเลย ยิ่งใครที่เลือกชั้นสูงๆก็ได้วิวไกลไปแบบสุดสายตาเลยค่ะ

แปลนชั้นพักอาศัย

ชั้น 10 – 31

ชั้นนี้เป็นชั้น Typical Floor Plan ซึ่งมีจำนวนยูนิตอยู่ที่ 22 ยูนิต ลักษณะการวางผังเป็นรูปตัว L โดยวาง Core ลิฟต์อยู่ตรงกลาง ทำให้ห้องแต่ละปีกอาคารมีระยะเดินได้สะดวก ไม่มีฝั่งไหนอยู่ไกลเกินไป ส่วนอัตราส่วนลิฟต์ที่นี่จะอยู่ที่ 146 : 1 ถือว่าค่อนข้างหนาแน่นเลยนะคะ แต่ว่าลิฟต์ก็ใช้เวลาในการขึ้นลงได้เร็วอยู่เหมือนกันค่ะ

สำหรับตำแหน่งของห้องที่น่าสนใจก็มี ห้อง 06, 07, 08 ที่ฝั่งตรงข้ามเป็นบริเวณ Core ลิฟต์จึงไม่มีห้องเพื่อนบ้านอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วนห้องที่ได้ความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้นมาหน่อย โดยมีผนังฝั่งนึงไม่ติดกับเพื่อนบ้าน 01, 05, 06, 14, 15, 22 และห้องมุมอาคารทุกห้อง

โดยรูปแบบห้องของชั้น Typical Floor Plan จะวางตำแหน่งห้อง 2 Bedroom อยู่มุมอาคารทั้ง 5 ตำแหน่ง ส่วนห้องอื่นๆในชั้นจะเป็นห้อง 1 Bedroom ค่ะ

ชั้น 32 – 46

สำหรับชั้นนี้จะแตกต่างกับ Typical Floor Plan ตรงบริเวณห้องมุมอาคารฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่จากเดิมเป็นห้อง 2 Bedroom และ 1 Bedroom เปลี่ยนเป็นห้อง 3 Bedroom แทนค่ะ

ชั้น 47 – 49

Image 1/3
ชั้น 47 (Lower)

ชั้น 47 (Lower)

สำหรับทั้งชั้นนี้จะเป็นห้อง Duplex ความสูง 5.8 เมตรทั้งหมดเลยค่ะ ซึ่งมีทั้งห้อง 1 Bedroom Duplex และ 2 Bedroom Duplex ค่ะ โดยจัดวางห้อง 2 Bedroom Duplex อยู่ตรงบริเวณมุมอาคารค่ะ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

ชั้น 1 

  • The Concierge Galerie
  • The Grande Chamber
  • The Blue Saloon
  • The Great Lawn
  • The River Sala

ชั้น 9

  • The High Garden
  • The Gym

ชั้น 50 + ชั้นลอย

  • The Sky Oasis
  • The Sky Library
  • The Sky Chamber
  • The Sky Bar
  • The Cloud Fitness
  • The Sky Pool with hydrotherapy ระบบเกลือ กว้าง 5.6 x ยาว 50 ม. (ระยะว่ายจริง 5.6 x 35 ม.) ลึก 1.20 เมตร
  • มีการแบ่งสระเด็ก กว้าง 3.2 x ยาว 5 ม. ลึก 0.60 เมตร

 

  • ลิฟต์โดยสาร 6 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟต์โครงการ 146 : 1
  • Service Lift 1 ตัว
  • ที่จอดรถประมาณ 449 คัน คิดเป็น 51% ไม่รวมซ้อนคัน (รูปแบบ Conventional ทั้งหมด)
  • EV Charger จำนวน 2 จุดชาร์ต รวม 4 หัวจ่าย

ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ

  • ประตูทางเข้า-ออกโครงการ : ไม้กระดก 1 จุด บริเวณทางเข้าโครงการ
  • ระบบในการเข้า-ออก (รถยนต์) : จดจำป้ายทะเบียน
  • ระบบในการเข้า-ออก (เดินเข้าออก ขึ้นลงอาคาร) : Face Scan
  • CCTV ส่วนกลาง : จำนวน 230 จุด
  • รั้วรอบโครงการ : รั้วทึบสูง 3.00 เมตร

 

แบบห้อง

Highlights

  • ห้อง Simplex และ Duplex ที่มีความสูงอยู่ที่ 3 – 5.8 เมตร
  • ห้องแบบ Interlock และ Window Corner View ได้ทั้งความเป็นสัดส่วนและวิวกว้างขึ้น
  • ตกแต่งแบบ Fully Fitted ที่มีชุดครัว, แอร์, สุขภัณฑ์ห้องน้ำ และ Digital Door Lock มาให้
  • ห้องน้ำสำเร็จรูป มีรอยต่อน้อย ดูแลรักษาความสะอาดง่าย ไม่มีปัญหาการรั่วซึมของน้ำลงไปยังฝ้าเพดานด้านล่าง รวมถึงเข้าออกได้ 2 ทาง ใช้งานได้สะดวก
  • กระจกเข้ามุม ได้แสงธรรมชาติเข้าในตัวห้องและเปิดรับวิวได้กว้าง
  • ห้องครัวแบบปิดพร้อมชุดครัว ออกแบบ Coating Oil Resistance ทำอาหารได้จริงจัง
  • ระเบียง ขนาดกว้าง สามารถใช้งานได้จริง

รูปแบบห้องของ THE ADDRESS Siam-Ratchathewi ตกแต่งแบบ Fully Fitted ที่มีชุดครัว, แอร์, สุขภัณฑ์ห้องน้ำ และ Digital Door Lock มาให้ มีหลากหลายรูปแบบห้องให้เลือกตั้งแต่ 1 Bedroom ไปถึง 3 Bedroom และมีทั้งห้องแบบ Simplex และ Duplex ที่โครงการอื่นบนทำเลไม่มีห้องรูปแบบนี้ด้วยค่ะ

Simplex ความสูงห้อง 3 เมตร : ชั้น 9 – 46

  • ห้อง 1 Bedroom ขนาด 31-35 ตร.ม.
  • ห้อง 2 Bedroom (1 Bathroom) ขนาด 51.5 ตร.ม.
  • ห้อง 2 Bedroom (2 Bathroom) ขนาด 59.5-69.5 ตร.ม.
  • ห้อง 3 Bedroom ขนาด 86 ตร.ม. (SOLD OUT)

Duplex ความสูงห้องถึง 5.8 เมตร : ชั้น 47 – 49

  • ห้อง Duplex (1 Bedroom) ขนาด 50 ตร.ม.
  • ห้อง Duplex (2 Bedroom) ขนาด 65 ตร.ม. (SOLD OUT)

ห้อง 3 Bedroom และห้อง Duplex แบบ 2 Bedroom เป็นรูปแบบห้องที่ไม่มีในโครงการอื่นบนทำเลเลย ทำให้ห้องทั้ง 2 รูปแบบนี้ขายหมดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ ส่วนในวันนี้เราจะพาไปดูห้องตัวอย่างที่น่าสนใจถึง 2 ห้องด้วยกัน ได้แก่ ห้อง 1 Bedroom ขนาด 35 ตร.ม. และห้อง 2 Bedroom (2 Bathroom) ขนาด 68.5 ตร.ม.

วัสดุภายในห้อง

  • รูปแบบการขาย Fully Fitted
  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน Simplex 3 เมตร / Duplex 5.8 เมตร
  • พื้นห้อง : ไม้สำเร็จรูป Hybrid Engineer
  • วัสดุกรอบบานหน้าต่าง : กรอบบานอลูมิเนียม
  • วัสดุกระจก : กระจกลามิเนต
  • ไฟดาวน์ไลท์
  • ชุดครัวสำเร็จรูป Kohler :
    – Top Counter หิน Quartz
    – Appliance(Hob + Hood + Microwave) และ Sink จาก Kupperbusch
  • ห้องน้ำสำเร็จรูป
    – สุขภัณฑ์ TOTO (Washlet)
    – ก๊อกน้ำ GROHE
    – อ่างอาบน้ำ (Water jet + Lightning) GROHE
    – เครื่องทำน้ำร้อน Stiebel (ระบบท่อน้ำร้อน-น้ำเย็น)
  • เครื่องปรับอากาศแบบ Wall Type + Conceal (รูปแบบและจำนวนชิ้นขึ้นอยู่กับแบบห้อง)
  • Digital Door Lock จาก Yale
  • Home Automation ควบคุมไฟทางเข้าและเครื่องปรับอากาศ

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะคะ


1 Bedroom ขนาด 35 ตร.ม.

รูปแบบห้องแรกที่เราจะพาไปดูกันคือห้อง 1 Bedroom ขนาด 35 ตร.ม. แบบ Window Corner View ตำแหน่งห้องจะอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ซึ่งเป็นทิศที่ไม่ได้โดนแดดโดยตรง ไม่ร้อน และได้วิวทางฝั่งประตูน้ำค่ะ ส่วนจุดเด่นที่เราว่าน่าสนใจ ได้แก่

  • ห้อง Window Corner View ทำให้ถึงจะไม่ได้เป็นห้องมุมอาคารแต่ก็ออกแบบเป็นพื้นที่ยื่นออกไปและทำเป็นกระจกเข้ามุมตรงบริเวณห้องนั่งเล่น ทำให้เปิดรับวิวได้กว้างมากขึ้น
  • ห้องครัวแบบปิดพร้อมชุดครัว Coating Oil Resistance ทำให้ทำอาหารจริงจังได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นและควันจะลอยไม่ติดเฟอร์นิเจอร์อื่นๆภายในห้องด้วย
  • พื้นที่นั่งเล่น มีความกว้างพอที่จะวางโต๊ะรับประทานอาหาร 4 ที่นั่ง และมีพื้นที่ทางเดินผ่านได้
  • ห้องน้ำ มีทางเข้า 2 ทาง ใช้งานได้สะดวกจากทางห้องครัวและห้องนอน รวมถึงเป็นห้องน้ำแบบสำเร็จรูป ทำให้ไม่มีปัญหาการรั่วซึมของน้ำลงไปยังฝ้าเพดานด้านล่าง
  • ระเบียง มีพื้นที่สามารถใช้งานได้จริง โดยแขวน Condensing Unit ไว้ด้านบน

เราพามาดูบรรยากาศของห้องตัวอย่างกันเลยค่ะ เริ่มต้นกันที่หน้าห้องเลย ทางโครงการใช้เป็นประตูบานใหญ่สูง Oversize ปิดผิวด้วยลามิเนต และมีการเซาะร่องตามที่เห็นเลยค่ะ รวมถึงมี Digital Door Lock จาก Yale มาด้วย ซึ่งรองรับทั้ง Keycard, Password และ Finger Scan ซึ่งก็สะดวกมากๆในเวลาที่เราลืมบัตรหรือถือของพะรุงพะรัง ก็สามารถสแกนนิ้วเข้าห้องได้ง่ายๆเลยค่ะ

บริเวณพื้นก่อนเข้าห้องจะยกสูงขึ้นมา ช่วยป้องกันสิ่งสกปรกหรือเศษฝุ่นจากภายนอกได้ มีการเก็บขอบวัสดุดูเรียบร้อย

เข้ามาดูภายในห้องกันบ้าง ห้องนี้จะมีความสูงอยู่ที่ 3 เมตรนะคะ ส่วนพื้นภายในห้องจะปูเป็นไม้สำเร็จรูป Hybrid Engineer ที่แตกต่างกับ Engineering Wood ทั่วไป คือ การกันน้ำและเชื้อราได้ระดับนึง ทนทานต่อการใช้งาน เกิดรอยขีดข่วนได้น้อยกว่า เพราะมีเทคโนโลยี Scatch Guard ที่ป้องกันรอยขีดข่วนได้ดีมากขึ้น รวมถึงที่ได้สัมผัสเหมือนไม้จริงด้วยนะคะ

เมื่อเดินเข้าห้องมาจะเจอกับห้องครัวแบบปิด มีประตูกระจกกั้นระหว่างห้องครัวและห้องนั่งเล่น ซึ่งครัวปิดนี้มีขนาด 2.35 x 2.60 เมตร ทำให้มีพื้นที่ยืนทำอาหารกว้างถึง 1.6 เมตรเลยค่ะ ทำให้สามารถตั้งชั้นวางรองเท้าตรงใกล้ๆประตูเพิ่มได้ด้วย

จากพื้นที่ห้องครัวจะเชื่อมต่อไปทั้งห้องน้ำ ห้องนอน และห้องนั่งเล่นค่ะ

ทางโครงการได้ให้ชุดครัวทั้งหมดนี้เลย ยกเว้นเครื่องซักผ้าและตู้เย็นที่มีทำช่องเว้นไว้พร้อมเดินงานระบบไว้ให้ค่ะ  โดยขนาดช่องแล้วจะใส่เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าขนาดไม่เกิน 8 กิโลกรัม

ส่วน Built-in ด้านบน ก็มีชั้นเก็บของเยอะเลยค่ะ ทั้งช่องเล็กและใหญ่ ซึ่งได้เลือกใช้แบรนด์ Kohler ที่มีวัสดุนวัตกรรมใหม่เรียกว่า Karess เป็นตัววัสดุที่กรุหน้าบานที่ใช้เป็นอลูมิเนียม ลักษณะจะคล้ายกับ Aluminium Composite ที่เรารู้จักกัน และเคลือบด้วยนาโน ฟูลออไรท์ โพลิเมอร์ เป็นเทคโนโลยี ORF (Oil-Resistance) ซึ่งสารนี้จะช่วยให้สามารถกันน้ำและน้ำมันไปเกาะติดตามชุดครัวนั่นเองค่ะ

ทางโครงการ Built – in เคาน์เตอร์ครัวเป็นรูปตัว I โดย Top ของเคาน์เตอร์จะเป็นหิน Quartz สีขาว มีความแข็งแรง ทนทานสูง ทำให้เป็นรอยขีดข่วนได้ยาก รวมถึงทนความชื้นได้ดีกว่าวัสดุอย่าง Particle ด้วยค่ะ มีพื้นที่ตรงกลางวางจาน ชามและเขียงสำหรับเตรียมอาหารได้สะดวกด้วย

ส่วนรายละเอียดที่น่าสนใจที่ไม่ค่อยได้เห็นกันคือตรงผนังด้านหลังของเคาน์เตอร์หรือ Backsplash กันเลอะ ที่ส่วนใหญ่จะใช้เป็นกระเบื้อง กระจกหรือหิน ที่สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย แต่สำหรับโครงการนี้ได้ Built-in เป็นชั้นวางของอย่างซอสเครื่องปรุงต่างๆและมีบานเลื่อนที่ใช้วัสดุ Karess เป็นหน้าบานอลูมิเนียม ซึ่งเวลาเราทำอาหารก็เลื่อนหน้าบานนี้มาตรงหน้าเตากันน้ำมันเลอะผนัง หรือพอตอนล้างมือและล้างจานก็เลื่อนมาตรงบริเวณอ่างล้างมือได้ค่ะ

ชุดครัวจะมาจาก Kuppersbusch ที่เป็นแบรนด์ชุดครัวดังจากเยอรมัน ทั้งอ่างล้างมือ สแตนเลสหลุมเดี่ยว, เตาไฟฟ้าแบบ Induction 2 หัว, เครื่องดูดควันที่ใช้เป็นระบบหมุนเวียนที่ดูดควันไปปล่อยนอกอาคาร ไม่ต้องมาเปลี่ยนฟิลเตอร์บ่อยๆ และไมโครเวฟ ที่ Built – in อยู่ด้านล่างค่ะ

สำหรับชั้นวางของด้านบน ทางโครงการยังมีทำชั้นวางแบบมีโช้คให้ดึงลงมาใช้งานได้สะดวกด้วยนะคะ อย่างที่เราไปลองจับมา ถ้าไม่มีโช้คให้ดึงลงมา เราเองก็เอื้อมหยิบของไม่ถึงเหมือนกันค่ะ

ส่วนด้านล่างบริเวณอ่างล้างมือ มีทำ Built-in ถังขยะไว้ให้ด้วยค่ะ เวลาใช้งานก็ค่อนข้างสะดวก สามารถกวาดเศษอาหารจากบนเคาน์เตอร์หรือหยิบใส่ถังขยะได้เลยค่ะ

ถัดจากพื้นที่ครัวจะเป็นพื้นที่นั่งเล่นนะคะ โดยมีประตูกระจกบานเลื่อนกั้นไว้ค่ะ

สำหรับประตูกระจกบานเลื่อนเป็นแบบ 3 ตอน ทำให้เวลาไม่ได้ใช้งานห้องครัว สามารถเปิดให้เป็นพื้นที่เชื่อมต่อเนื่องกันได้ ทำให้ห้องดูโปร่ง รวมถึงได้แสงธรรมชาติจากห้องนั่งเล่นมาถึงห้องครัวด้วยค่ะ

ห้องนั่งเล่นมีขนาด 2.35 x 4.6 เมตร มีความกว้างมากพอที่จะวางโต๊ะรับประทานอาหาร 4 ที่นั่ง และมีพื้นที่ทางเดินผ่านได้สะดวกค่ะ ซึ่งห้องส่วนใหญ่ที่มีพื้นที่ใช้สอยไม่ใหญ่จะวางเป็นโต๊ะสำหรับ 2 ที่นั่ง เพียงพอต่อการอยู่อาศัยแล้ว แต่โครงการนี้สามารถวางโต๊ะได้ 4 ที่นั่งเลย ทำให้สามารถใช้ต้อนรับแขกหรือครอบครัวมานั่งกินข้าวด้วยได้เลย ซึ่งหากใครที่ไม่ได้มีแขกมาบ่อยๆ ก็จัดเป็นโต๊ะสำหรับ 2 ที่นั่ง ก็จะได้พื้นที่ทางเดินมากขึ้นค่ะ ตรงบริเวณหน้าต่างออกแบบเป็นกระจกเข้ามุม ทำให้เปิดรับแสงธรรมชาติและวิวได้กว้างมากขึ้นค่ะ

สำหรับพื้นที่นั่งเล่น สามารถวางโซฟา 2 ที่นั่งได้ จะมีที่ด้านข้างหลวมๆอยู่ หรือถ้าใครจะวางเป็นโซฟา 3 ที่นั่งก็ได้เหมือนกันนะคะ ระยะดูทีวีจะอยู่ที่ประมาณ 2.0 เมตร ก็จะเหมาะกับการติดตั้งทีวีขนาดประมาณ 40 – 45 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดที่พอดีกับระยะสายตาค่ะ และยังมีพื้นที่กว้างพอที่จะวางโต๊ะกลางและมีทางเดินผ่านได้อยู่ค่ะ สำหรับเครื่องปรับอากาศ ทางโครงการจะให้มาเป็นแบบ Wall Type 2 เครื่องค่ะ ติดตั้งตรงบริเวณพื้นที่นั่งเล่นและในห้องนอน

ถัดจากห้องนั่งเล่น เราจะพาไปดูห้องนอนกันเลยค่ะ

ห้องนอนมีขนาด 2.85 x 3.50 เมตร ซึ่งเราจะได้เป็นห้องเปล่านะคะ ไม่ได้มี Built – in ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะแต่งหน้ามาให้ เราสามารถเลือก Built – in เหมือนที่ทางโครงการทำมาเป็นไอเดียหรือเลือกเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งได้ตามการใช้งานของเราได้เลย

ทางห้องตัวอย่างเลือกใช้เป็นเตียง 6 ฟุตและ Built – in ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะแต่งหน้าด้านข้างห้อง ทำให้มีพื้นที่ข้างเตียงไม่มากนัก พื้นที่แต่งตัวอาจจะน้อยไปหน่อย แต่งตัวได้ไม่ค่อยสะดวก ดังนั้นตอนที่เลือกซื้อของเข้าห้อง แนะนำให้เลือกเป็นเตียง 5 ฟุต ก็จะได้พื้นที่รอบเตียงที่กว้างขึ้น มีพื้นที่ยืนแต่งตัวได้สะดวก หรือถ้าใครที่ไม่ได้มีเสื้อผ้าเยอะมาก สามารถทำเป็น Built – in แนวเดียวกับหัวเตียงเลย ก็จะได้พื้นที่ด้านข้างเพิ่มขึ้นมาเยอะเลยค่ะ

จากห้องนอนจะมีประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอนเปิดออกไปส่วนระเบียงได้ค่ะ

ทำให้ทั้งห้องนอนและห้องนั่งเล่นได้แสงธรรมชาติและวิวเมืองเต็มตาเลยนะคะ

พื้นที่ระเบียงมีขนาด 1.0 x 2.85 เมตร สามารถตั้งเป็นมุมนั่งเล่นและยืนรับลมชมวิวเมืองได้ค่ะ ก่อนจะออกไปตรงระเบียงจะมีพื้นที่ยกขึ้นมาป้องกันสิ่งสกปรกหรือเศษฝุ่นจากภายนอกเข้ามาภายในห้องนอนค่ะ

ทางโครงการติดตั้ง Condensing Unit แบบแขวนไว้ด้านบน ทำให้สามารถใช้งานพื้นที่ระเบียงได้จริงและมีการทำราวกันตกแบบกระจก Temper สูง 1.10 เมตรไว้ด้วยค่ะ

ต่อไปเราจะพาไปดูห้องน้ำกันค่ะ ซึ่งนอกจากจะเข้าจากทางห้องครัวแล้วก็สามารถเข้าจากทางห้องนอนได้ค่ะ ทำให้สามารถเข้าห้องน้ำตอนกลางดึกได้สะดวก ไม่ต้องเดินอ้อมออกไปเพื่อเข้าห้องน้ำค่ะ

ห้องน้ำของโครงการนี้จะเป็นห้องน้ำแบบสำเร็จรูปนะคะ ซึ่งแบรนด์ The Address นำมาใช้กับโครงการนี้เป็นครั้งแรกเลยค่ะ หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าห้องน้ำแบบ Conventional ทั่วไป กับแบบสำเร็จรูปต่างกันยังไง เราแนะนำให้คลิกเข้าไปอ่านรายละเอียดแบบเจาะลึกกันได้เลย  (คลิกที่นี่)

สำหรับใครที่เข้าไปอ่านเจาะลึกเรื่องความแตกต่างของห้องน้ำแล้ว ก็จะทำให้เห็นภาพมากขึ้นว่าสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือเรื่องความสูงของขอบห้องน้ำที่จะสูงกว่า เนื่องจากผลิตจากทางโรงงานมาแล้วส่งตรงเอามาวางบนพื้นห้องเลยนั่นเอง ตอนใช้แรกๆอาจจะเผลอสะดุดได้ แต่พออยู่ไปนานๆก็จะมีความคุ้นชินกับระดับพื้นแล้วค่ะ รวมถึงห้องน้ำแบบสำเร็จรูปก็มีข้อดีหลายข้อเลยค่ะ อย่างการดูแลรักษาความสะอาดได้ง่ายเพราะมีรอยต่อน้อย รวมถึงไม่มีปัญหาการรั่วซึมของน้ำลงไปยังฝ้าเพดานด้านล่างด้วยนั่นเองค่ะ

ต่อมาเรามาดูภายในห้องน้ำกันบ้างค่ะ จะมีการแบ่งโซนแห้ง – เปียก เปิดประตูเข้าห้องน้ำมาจากทั้งห้องครัวและห้องนอนจะเป็นตรงบริเวณอ่างล้างมือเลยค่ะ สิ่งที่เราชอบเลยคือกระจกเงาที่ให้มาบานใหญ่ค่ะ เพราะเวลากระจกส่องเป็นบานเล็ก ทำให้เราต้องขยับตัวไปมาเพื่อให้เห็นตัวเราครบ พอเป็นกระจกบานใหญ่ จะหมุนตัวหรือหันหลังก็ทำให้เวลาเราเห็นตัวเองในกระจกได้เต็มที่เลย

ทางโครงการมีก่อกำแพงทางด้านหลังของอ่างล้างหน้าและสุขภัณฑ์ ทำให้เป็นพื้นที่วางอุปกรณ์เครื่องใช้ในห้องน้ำและของตกแต่งได้เยอะดีค่ะ

อ่างล้างมือนี้จะเป็น TOTO ส่วนชุดก๊อกน้ำใช้ของ GROHE และด้านล่างของอ่างล้างมือมี Built-in ชั้นวางของให้ ซึ่งภายในตรงนี้มีการติดตั้งระบบเครื่องทำน้ำร้อนไว้ให้เรียบร้อยค่ะ ส่วนโถสุขภัณฑ์เป็น TOTO (Washlet) ที่ฝาโถสามารถเปิดอัตโนมัติ เมื่อเราเดินเข้ามาใกล้ได้เลยค่ะ มาพร้อมกับรีโมทด้านข้างให้เราสามารถควบคุมการใช้งานได้สะดวกสบาย

ฉากกั้นอาบน้ำเป็นบานกระจกเปิดสวิงค่ะ ที่จับสามารถใช้แขวนผ้าเช็ดขณะใช้งานได้

พื้นที่อาบน้ำมีขนาด 0.90 x 0.95 เมตร และฝักบัวที่ได้จะได้ทั้ง Rain Shower และ Hand Shower จาก GROHE ที่มาพร้อมระบบ Thermostat ทำให้เราสามารถควบคุมอุณหภูมิเองได้ตามความชอบเลย รวมถึงมีเจาะช่องผนังทำให้วางครีมอาบน้ำและแชมพูได้ค่ะ

บริเวณใกล้ช่อง Service จะมีพื้นที่ด้านข้างเล็กน้อย ซึ่งเราสามารถหาชั้นวางเล็กมาตั้งสำหรับวางอุปกรณ์อาบน้ำเพิ่มเติมได้ด้วยค่ะ


2 Bedroom ขนาด 68.5 ตร.ม.

หลังจากดูห้อง 1 Bedroom ไปแล้ว เราพามาดูห้อง 2 Bedroom 2 Bathroom ขนาด 68.5 ตร.ม. กันค่ะ ห้องนี้จะเหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็กอยู่สบายๆ นะคะ ซึ่งตำแหน่งห้องนี้จะเป็นห้องมุมอาคารที่หันไปทางใต้และตะวันตก ซึ่งเป็นทิศที่ไม่มีอาคารสูงบังในระยะใกล้เลย ซึ่งเราแบ่งพื้นที่ภายในห้องได้เป็น 2 โซน คือ พื้นที่ Common Area ที่อยู่ด้านหน้าห้องและโซน Private สำหรับห้องนอนทั้ง 2 ห้องที่อยู่ด้านหลังค่ะ นอกจากนี้เราได้สรุปจุดที่น่าสนใจอื่นๆมาให้ด้วยนะคะ

  • พื้น Common Area เป็นพื้นที่นั่งเล่นและกินข้าวขนาดใหญ่ สามารถรองรับแขกและทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวตรงบริเวณนี้ได้
  • ระเบียง อยู่ติดกับพื้นที่นั่งเล่น ทำให้ทุกคนสามารถใช้พื้นที่ระเบียงนี้ได้
  • ห้องครัวแบบปิด ช่วยป้องกันกลิ่นและควันลอยไปในพื้นที่ห้องอื่นๆ
  • ห้องน้ำส่วนกลาง ใช้งานร่วมกันโดยมีทางเข้า 2 ทางทั้งจากห้องนอนและพื้นที่ Common Area
  • Master Bedroom มีห้องน้ำในตัว สามารถใช้งานได้สะดวก
  • Master Bathroom มาพร้อมอ่างอาบน้ำ ซึ่งโครงการคอนโดอื่นบนทำเลไม่มีอ่างอาบน้ำมาให้ มีเพียงฝักบัวเท่านั้น รวมถึงออกแบบกระจกเข้ามุม ได้วิวพระอาทิตย์ตกดิน

ประตูเข้าห้องเหมือนกับห้อง 1 Bedroom เลยค่ะ เป็นประตูบานใหญ่สูงปิดผิวด้วยลามิเนต พร้อมกับ Digital Door Lock จาก Yale ที่รองรับทั้ง Keycard, Password และ Finger Scan

เข้ามาให้ภายในห้องจะเป็นพื้นที่ Common Area ที่ออกแบบเป็น Open Plan พื้นที่เชื่อมต่อกันระหว่างพื้นที่กินข้าวขนาด 3.10 x 5.00 เมตร และพื้นที่นั่งเล่น 2.30 x 3.00 เมตร

สเปคของวัสดุจะเหมือนกับห้อง 1 Bedroom นะคะ ปูพื้นเป็นไม้สำเร็จรูป Hybrid Engineer ที่ทนทานต่อการใช้งานและให้สัมผัสเหมือนไม้จริง ส่วนความสูงของห้องอยู่ที่ 3 เมตรเช่นกันค่ะ ส่วนที่พิเศษขึ้นมาคือเครื่องปรับอากาศที่ให้มาทั้ง Wall Type 2 เครื่อง ติดตั้งในห้องนอนทั้ง 2 ห้อง และพื้นที่ Common Area จะได้เป็น Conceal Type

บริเวณพื้นที่นั่งกินข้าวนี้สามารถวางโต๊ะ 4 – 6 ที่นั่งได้เลย ยังมีพื้นที่รอบโต๊ะเหลือเยอะด้วยค่ะ ซึ่งจะตั้งอยู่ด้านหลังพื้นที่นั่งเล่น ทำให้เวลากินข้าวก็เปิดซีรี่ย์หรือหนังดูระหว่างกินข้าวได้ด้วย

สังเกตว่าบริเวณผนังด้านข้างโต๊ะกินข้าว มีประตูห้องวางเครื่องซักผ้าได้ด้วยค่ะ

ทางโครงการก็ได้เดินระบบท่อน้ำรองรับไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ ภายในห้องมีขนาด 1.20 x 1.25 เมตร นอกจากวางเครื่องซักผ้าแล้ว สามารถวางอุปกรณ์ซักผ้า ไม้แขวนต่างๆ รวมถึงเครื่องดูดฝุ่นเก็บไว้ในห้องนี้ได้ด้วย แต่ต้องระวังเวลาเก็บของนิดนึงนะคะ เพราะเป็นบานประตูเปิดเข้าด้านใน ถ้าวางของไม่ดีหรือของล้มลงมาขวางประตูจะทำให้เปิดหยิบของไม่ได้ค่ะ พอทางโครงการทำเป็นห้องแบบนี้แล้วก็ทำให้ห้องดูมีความเรียบร้อย เป็นระเบียบดีค่ะ

พื้นที่นั่งเล่นมีขนาด 2.30 x 3.00 เมตร มีระยะดูทีวีที่ 2.00 เมตร สามารถตั้งทีวีขนาด 40 – 45 นิ้วได้ ซึ่งหากเราตั้งโซฟาถอยหลังไปอีกก็สามารถตั้งทีวีขนาดใหญ่ขึ้นได้ แต่ก็จะได้พื้นที่กินข้าวขนาดเล็กลงค่ะ ส่วนโซฟาก็สามารถเลือกได้ทั้ง 2 – 3 ที่นั่งเลย มีพื้นที่ด้านข้างเดินผ่านได้สะดวก และตรงผนังฝั่งระเบียงมีช่องเว้นมาไว้ เราก็สามารถทำ Built – in ชั้นวางของเหมือนห้องตัวอย่างได้เลย ทำให้ผนังและชั้นวางของดูเรียบเสมอกันดีค่ะ

ด้านข้างของพื้นที่นั่งเล่นมีระเบียงส่วนกลางที่ทุกคนสามารถมาใช้งานได้ค่ะ จะเป็นประตูกระจกเปิด 3 ตอน ได้แสงธรรมชาติและวิวจากทิศตะวันตกค่ะ

ระเบียงของห้องนี้หันไปทางทิศตะวันตก ทำให้ห้องนั่งเล่นก็ได้วิวพระอาทิตย์ตกดินเหมือนกันค่ะ

ก่อนจะเดินออกไปบริเวณระเบียง จะมีพื้นที่ยกขึ้นมาป้องกันสิ่งสกปรกหรือเศษฝุ่นจากภายนอกเข้ามาภายในห้องนอนเหมือน 1 Bedroom เลยค่ะ

ทางโครงการติดตั้ง Condensing Unit ไว้ด้านข้างระเบียง พร้อมทำเป็นตะแกรงพรางสายตาด้วย ติดตั้งราวกันตกแบบกระจก Temper และพื้นที่ระเบียงกว้างทำให้สามารถทำมุมนั่งเล่นชมวิวพระอาทิตย์ตกดินหรือทำมุมต้นไม้เพิ่มบรรยากาศผ่อนคลาย เวลามองจากพื้นที่ Common Area ออกไประเบียงและเจอมุมต้นไม้นี้

เรากลับเข้ามาภายในห้อง มาดูที่ครัวแบบปิดกันค่ะ จะอยู่ติดกับประตูทางเข้าห้องเลย ประตูกั้นครัวปิดจะเป็นประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอนค่ะ

พื้นที่ห้องครัวไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก สามารถยืนทำอาหารและหมุนตัวไปเปิดหยิบของต่างๆได้ง่าย

ทางโครงการตกแต่งชุดครัวมาให้พร้อมกับห้องเลย จะได้ชุดครัวสเปคต่างๆเหมือน 1 Bedroom เลยค่ะ ไม่ได้ให้ตู้เย็นมาแต่มีทำช่องเว้นไว้พร้อมเดินงานระบบไว้ รวมถึงส่วน Built-in ชั้นเก็บของด้านบนก็มาจากแบรนด์ Kohler ที่ใช้ Karess เป็นตัววัสดุที่กรุหน้าบานใช้เป็นอลูมิเนียม พร้อมทำชั้นวางแบบมีโช้คให้ดึงลงมาใช้งานได้สะดวกด้วย

สำหรับ Built – in เคาน์เตอร์ครัวของห้องนี้จะเป็นรูปตัว L ซึ่งทางโครงการก็ให้สเปคต่างๆเหมือน 1 Bedroom เลยค่ะ ทั้ง Top เคาน์เตอร์เป็นหิน Quartz สีขาว และมีพื้นที่ตรงกลางวางจาน ชามและเขียงสำหรับเตรียมอาหารได้เพิ่มมากขึ้น

ติดตั้ง Backsplash ที่ Built-in เป็นชั้นวางของและมีบานเลื่อนที่ใช้วัสดุ Karess เป็นหน้าบานอลูมิเนียม ทำให้กันน้ำและน้ำมันเลอะได้ ซึ่งติดอยู่บนผนังทั้ง 2 ด้านเลยนะคะทั้งบริเวณเตาและอ่างล้างมือ

สเปคชุดครัวต่างๆก็มาจาก Kuppersbusch เหมือนห้อง 1 Bedroom ค่ะ ทั้งอ่างล้างมือ, เตาไฟฟ้า, เครื่องดูดควัน ระบบหมุนเวียนปล่อยนอกอาคาร และไมโครเวฟค่ะ

ด้านล่างบริเวณอ่างล้างมือก็มีทำ Built-in ถังขยะไว้ให้เหมือนกันด้วยค่ะ

ต่อมาเราพามาดูโซน Private กัน ซึ่งเป็นโซนห้องนอนทั้ง 2 ห้องค่ะ โดยห้องด้านซ้ายจะเป็นห้องน้ำที่เข้าออกได้ 2 ทาง ทั้งบริเวณนี้และภายในห้องนอนรองนั่นเอง โดยเราจะพาไป Master Bedroom ที่อยู่ทางด้านขวากันก่อนนะคะ

Master Bedroom มีขนาดอยู่ที่ 2.60 x 5.00 เมตร ซึ่งห้องตัวอย่างวางเป็นเตียงขนาด 6 ฟุต จึงมีพื้นที่รอบเตียงไม่มากนัก แนะนำเลือกใช้เป็นเตียงขนาด 5 ฟุตแทนค่ะ ทำให้ได้พื้นที่รอบเพียงเพิ่มขึ้น รวมถึงทางเดินตรงปลายเตียงก็สามารถเดินผ่านได้สะดวกขึ้นด้วย ดังนั้นถ้าหากใครอยากติดตั้งทีวีในห้อง เราก็แนะนำเป็นแบบแขวนนะคะ

บริเวณพื้นที่ข้างหัวเตียงมีพื้นที่วางโต๊ะเล็กๆได้ สำหรับตั้งโคมไฟ หนังสือและมือถือค่ะ ส่วนข้างๆประตูห้อง จะมีพื้นที่ทำ Built – in ตู้เสื้อผ้าได้ค่ะ

มีพื้นที่ทำ Built – in ตู้เสื้อผ้าได้เต็มผนังกว้าง 2.6 เมตร หรือจะมีโต๊ะแต่งหน้าแบบที่ห้องตัวอย่างทำก็ได้เหมือนกันค่ะ มีอีกอย่างที่เราก็เห็นว่าเป็นไอเดียที่ดีเหมือนกัน คือทำหน้าบานตู้เสื้อผ้าเป็นกระจกเงาเลย ทำให้ไม่ต้องมีติดกระจกเงาเพิ่มเลย

Master Bathroom ของโครงการนี้จะเด่นกว่าโครงการอื่นเลยคือมีอ่างอาบน้ำมาให้ค่ะ รวมถึงออกแบบเป็นกระจกเข้ามุมด้วย ซึ่งห้องน้ำนี้ก็เป็นห้องน้ำแบบสำเร็จรูปเหมือนกันค่ะ จะมีความต่างระดับระหว่างพื้นห้องน้ำและห้องนอน แต่ว่าได้ความเนี้ยบของงานที่มาจากโรงงานโดยตรง มีรอยต่อน้อย ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำรั่วซึมค่ะ

ดีไซน์และสเปคต่างๆในห้องน้ำเหมือนกับห้อง 1 Bedroom เลยค่ะ ให้กระจกเงาบานใหญ่และยาวตั้งแต่อ่างล้างมือถึงสุขภัณฑ์ มีก่อกำแพงด้านหลังเป็นพื้นที่วางอุปกรณ์เครื่องใช้ในห้องน้ำได้

โถสุขภัณฑ์จาก TOTO (Washlet) ที่เปิดได้อัตโนมัติ มาพร้อมกับรีโมทควบคุมการใช้งานติดตั้งอยู่ด้านข้างค่ะ ส่วนอ่างล้างมือมาจาก TOTO และชุดก๊อกน้ำของ GROHE ด้านล่างของอ่างล้างมือก็ออกแบบเป็น Built-in ชั้นวางของพร้อมติดตั้งระบบเครื่องทำน้ำร้อนไว้ให้เช่นกัน

ต่อมาเราพาไปดูพื้นที่อาบน้ำกันค่ะ จะมีติดตั้งฉากกั้นอาบน้ำเป็นบานกระจกเปิดสวิงค่ะ ที่จับสามารถใช้แขวนผ้าเช็ดตัวได้ ซึ่งภายในพื้นที่อาบน้ำจะเป็นทั้งส่วนยืนอาบน้ำและอ่างอาบน้ำเลย ทำให้เวลาแช่น้ำในอ่างแล้วน้ำกระเด็นออกมาก็ยังอยู่ในโซนเปียกอยู่ค่ะ

พื้นที่ยืนอาบน้ำอยู่ที่ 0.95 x 1.5 เมตร ติดตั้งฝักบัวทั้ง Rain Shower และ Hand Shower จาก GROHE พร้อมระบบ Thermostat ควบคุมอุณหภูมิน้ำได้ และเจาะช่องผนังวางอุปกรณ์อาบน้ำได้ค่ะ

อ่างอาบน้ำ (Water jet + Lightning) จากแบรนด์ GROHE มีความยาวประมาณ​ 1.50 สามารถนั่งและนอนแช่น้ำได้ ซึ่งออกแบบหน้าต่างเป็นกระจกเข้ามุมด้วยค่ะ จึงแช่น้ำไปชมวิวเมืองไปได้เลย

อย่างที่เราได้มีบอกไปข้างบนนะคะว่ามุมอ่างอาบน้ำนี้ หันไปทางทิศตะวันตกที่ทำให้เราแช่น้ำและได้วิวพระอาทิตย์ตกดิน นอกจากจะได้ข้อดีในเรื่องวิวแล้ว ยังมีข้อดีอีกข้อคือมีแดดแรง ทำให้แดดส่องเข้ามาในห้องน้ำ ช่วยลดความชื้นและป้องกันการเกิดเชื้อราในห้องน้ำได้ดีเลยค่ะ

ต่อมาเราพามาดูห้องนอนรองกันต่อนะคะ ห้องนี้มีขนาดอยู่ที่ 2.80 x 3.00 เมตร สามารถตั้งเตียงและวางตู้เสื้อผ้าได้พอดีๆเลยค่ะ

เนื่องจากพื้นที่ห้องอาจจะไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก จึงเหมาะกับคนที่ไม่ได้มีของใช้ส่วนตัวเยอะมาก อย่างผู้หญิงที่มีเสื้อผ้าเยอะก็อาจจะทำ Built – in ตู้เสื้อผ้าจุได้ไม่เยอะมาก จึงตั้งเตียงขนาด 3.5 ฟุตและตู้เสื้อผ้าขนาดไม่ใหญ่มาก เน้นใช้ห้องนี้เป็นพื้นที่สำหรับนอนหลับพักผ่อนจริงจังเลย สำหรับเวลาจะทำงาน อ่านหนังสือก็ไปใช้พื้นที่ Common Area ที่มีขนาดใหญ่แทนค่ะ

ห้องนอนรองจะมีประตูเข้าไปห้องน้ำส่วนกลางได้ด้วยค่ะ ซึ่งห้องน้ำก็เป็นห้องน้ำแบบสำเร็จรูปนะคะ

การออกแบบและการเลือกใช้สุขภัณฑ์ต่างๆเหมือนกับห้องน้ำใน 1 Bedroom เลยค่ะ มีแบ่งโซนเปียกและแห้ง ติดตั้งกระจกเงาบานใหญ่

ก่อกำแพงด้านหลังอ่างล้างมือและสุขภัณฑ์ ทำให้มีพื้นที่วางของในห้องน้ำเพิ่มขึ้น

เลือกใช้สุขภัณฑ์ในห้องน้ำจาก TOTO ทั้งโถสุขภัณฑ์ที่เปิดได้อัตโนมัติและอ่างล้างมือ ส่วนชุดก๊อกน้ำเลือกใช้ของ GROHE มีการออกแบบ Built-in ชั้นวางของพร้อมติดตั้งระบบเครื่องทำน้ำร้อนไว้ด้านล่างของอ่างล้างมือเหมือนกันค่ะ

พื้นที่อาบน้ำมีขนาด 1.00 x 1.00 เมตร พร้อมติดตั้งฝักบัวแบบ Rain Shower และ Hand Shower จาก GROHE พร้อมระบบ Thermostat ควบคุมอุณหภูมิน้ำได้ มีการเจาะช่องผนังทำให้วางของต่างๆได้ด้วย

แบบแปลน

Image 1/25

ทางโครงการมี Layout ให้เลือกหลายแบบมากๆ ซึ่งเราก็สามารถเลือกห้องที่ตรงตามการใช้งานของเรามากที่สุด รวมถึงตำแหน่งห้องพักอาศัยด้วยที่ได้วิวจากทั้ง 4 ทิศเลย โดยเฉพาะชั้นสูงๆก็จะได้วิวเมืองที่สวยงามมากทั้งกลางวันและกลางคืนเลยค่ะ

ราคา

THE ADDRESS Siam-Ratchathewi ราคา ณ วันที่ 13 กันยายน 2566

  • 1 Bedroom ขนาด 35 ตร.ม. แบบ Panoramic View ราคาเริ่มต้น 8.29 ล้านบาท*
  • 2 Bedroom High Floor ราคาเริ่มต้น 15.9 ล้านบาท*
  • Promotion ถึงสิ้นปี 2566 (สอบถามรายละเอียดกับทางโครงการโดยตรง)

  • รูปแบบการขาย Fully Fitted
  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน Simplex 3 เมตร / Duplex 5.8 เมตร
  • ชุดครัวสำเร็จรูป Kohler :
    – Top Counter หิน Quartz
    – Appliance(Hob + Hood + Microwave) และ Sink จาก Kupperbusch
  • ห้องน้ำสำเร็จรูป
    – สุขภัณฑ์ TOTO (Washlet)
    – ก๊อกน้ำ GROHE
    – อ่างอาบน้ำ (Water jet + Lightning) GROHE
    – เครื่องทำน้ำร้อน Stiebel (ระบบท่อน้ำร้อน-น้ำเย็น)
  • เครื่องปรับอากาศแบบ Wall Type + Conceal (รูปแบบและจำนวนชิ้นขึ้นอยู่กับแบบห้อง)
  • Digital Door Lock จาก Yale
  • Home Automation ควบคุมไฟทางเข้าและเครื่องปรับอากาศ
  • จอง n/a บาท
  • ทำสัญญา n/a บาท
  • ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ n/a งวด
  • ค่ากองทุน 600 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 65 บาท/ตร.ม./เดือน

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ

บทสรุป

ทำเล :

โครงการ THE ADDRESS Siam-Ratchathewi ตั้งอยู่ในทำเลราชเทวี ติดถนนเพชรบุรี ทางเข้าโครงการใกล้ BTS ราชเทวีเพียง 150 ม. เป็นทำเลที่มีความต้องการอยู่อาศัยสูงสุดด้วยทำเลที่อยู่ใจกลางเมืองและใกล้สยามที่เป็นศูนย์กลางห้างขนาดใหญ่หลายแห่ง และมีความคึกคักสูงสุดใจกลางเมือง อยู่ใกล้กับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่าง เตรียมอุดมศึกษา และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงยังทะลุไปถนนบรรทัดทองที่เป็น Street Food แห่งใหม่ใจกลางเมืองด้วยค่ะ

การเดินทางโดยใช้รถ :

ถือว่าเป็นทำเลที่เดินทางได้สะดวกมากๆเลย ทั้งตัวโครงการที่อยู่ติดถนนเพชรบุรี และอยู่ฝั่งที่มุ่งหน้าไปทางถนนพระราม 6 สำหรับคนที่เน้นใช้ทางด่วนศรีรัช ก็ไปขึ้นลงที่ด่านยมราชที่ห่างไป 1.3 กิโลเมตรได้เลย รวมถึงมีซอยย่อยที่ใช้ลัดเลาะไปถนนบรรทัดทองและพญาไทได้ในเวลาเร่งด่วนได้ค่ะ

จำนวนที่จอดรถในโครงการให้มา 51% ไม่รวมซ้อนคัน ซึ่งเรามองว่าถ้าโครงการให้จำนวนที่จอดรถมากกว่านี้อีกจะดีมากๆเลย เพราะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อโครงการระดับนี้ จะชอบใช้รถยนต์ส่วนตัวกันมากกว่า แต่หากมองในแง่ของตัวเลือกการเดินทางวิธีอื่นๆ ก็น่าจะหักล้างกันได้บ้าง เพราะโครงการนี้เรียกรถสาธารณะง่าย และใกล้ BTS ด้วย

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ :

สำหรับใครที่ไม่ใช้รถยนต์ส่วนตัว ก็สะดวกมากๆเลย อย่างที่บอกไปว่า ทางเข้าโครงการอยู่ใกล้ BTS ราชเทวี 150 เมตร โดยที่ไม่ต้องข้ามทางม้าลายด้วย สามารถเดินเลียบทางเดินมาถึงโครงการเลย ซึ่งจากสถานีราชเทวีนั่งไปเชื่อมที่สยามเปลี่ยนสายไป BTS สายสีเขียวเข้มได้ หรือไปพญาไท เพื่อนั่ง Airport Rail Link ไปสุวรรณภูมิได้ค่ะ รวมถึงจะเรียกรถแท็กซี่ หรือวินมอเตอร์ไซค์ก็ง่าย

วัสดุ :

ทางโครงการจัดมาให้ค่อนข้างดี คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายเลยค่ะ โดยรูปแบบห้องจะเป็น Fully Fitted ได้ชุดครัวจาก Kohler รุ่น Karess ที่มีเทคโนโลยีกันน้ำและน้ำมันและ Kupperbusch ชุดครัวแบรนด์ดังจากเยอรมัน, ห้องน้ำสำเร็จรูปได้สุขภัณฑ์เป็น TOTO และ Grohe โดยส่วนโถสุขภัณฑ์จะเป็น TOTO Washlet อัตโนมัติเต็มรูปแบบ รวมถึงให้เครื่องปรับอากาศแบบ Wall Type และ Conceal Type ซึ่งจำนวนและประเภทขึ้นอยู่กับรูปแบบห้องค่ะ รวมถึงพื้นห้องที่ใช้ Hybrid Engineered Wood และได้ Home Automation และ Digital Door Lock เป็นมาตรฐานด้วยค่ะ

การออกแบบ :

สำหรับกลุ่มลูกค้าของคอนโดระดับราคานี้ ไม่ได้เน้นเรื่องราคาความคุ้มค่าเท่านั้น แต่ให้น้ำหนักกับความชอบและรสนิยมด้วย ซึ่งโครงการนี้ออกแบบสไตล์ Colonial Classic ที่มีความเรียบง่ายและทันสมัย มีการตกแต่งหินอ่อนในแทบทุกส่วนกลางเลย เพื่อสะท้อนความหรูหรา

ส่วนการออกแบบห้องพักอาศัยที่มีลูกเล่นอย่าง Interlock ซึ่งช่วยให้การจัดฟังก์ชันภายในห้องลงตัวมากขึ้น หรือจะเป็น Window Corner View ห้องที่มีการยื่นพื้นที่นั่งเล่น หรือ บางห้องเป็นห้องนอนออกมาจากอาคาร ทำให้ไม่ใช่แค่ห้องมุมที่ได้วิวกว้าง แต่ห้องตรงกลางก็ได้ได้วิวถึง 3 ทิศด้วยกัน รวมถึงออกแบบฝ้าเพดานสูง 3 เมตร (แบบ Simplex) และฝ้าเพดานสูง 5.8 เมตร (แบบ Duplex) ทำให้บรรยากาศในห้องโปร่งโล่งค่ะ

สาธารณูปโภค :

ส่วนกลางของโครงการนี้มีมาให้ครบครัน หลากหลายและมีพื้นที่ขนาดใหญ่นะคะ ซึ่งก็เป็นไปตามจำนวนยูนิตที่ค่อนข้างเยอะอยู่เหมือนกัน โดยแบ่งออกเป็น 3 โซนด้วยกันคือ ชั้น 1 เป็นส่วนกลางแบบ Public มี Lobby 2 ห้อง พร้อมสวนด้านหน้า, ชั้น 9 เป็นสวนพร้อมห้อง Gym และชั้น 50 ที่เป็นส่วนกลางหลัก อยู่ชั้นบนสุดของอาคารเพื่อรับวิวที่สูงที่สุดในย่านราชเทวีไปเลย ซึ่งประกอบด้วยสระว่ายน้ำยาวถึง 50 เมตร และ The Sky Chamber เป็น Lounge ไว้นั่งเล่นชมวิวมุมสูงได้ถึง 360 องศาค่ะ


Judgement

การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 245,000 บาท/ตร.ม., 21 กันยายน 2566

  • ทำเล 8.5/10 – ใกล้สยาม ความอุดมสมบูรณ์สูง ได้วิวรอบด้านค่อนข้างโล่ง
  • เดินทางด้วยรถ 8.5/10 – ติดถนนเพชรบุรี ใกล้แยกราชเทวี ไปสยาม พญาไท ประตูน้ำ สะดวก
  • ไม่ใช้รถ 8.5/10 – ทางเข้าโครงการใกล้ BTS ราชเทวี 150 เมตร เดินได้สบาย
  • วัสดุ 9/10 – ตกแต่ง Fully Furnished ได้วัสดุดี
  • แบบ 8.5/10 – ฟังก์ชันลงตัวเป็นสัดส่วน อยู่สบาย ได้ครัวปิด
  • สาธารณูปโภค 9/10 – ให้มาครบครันหลากหลาย พื้นที่ขนาดใหญ่ พร้อมมี Concierge Service

  • HIGH CLASS
  • 8.60 / 10.00

THE ADDRESS Siam-Ratchathewi เหมาะกับใคร

โครงการ THE ADDRESS Siam-Ratchathewi เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดย่านราชเทวี ใกล้สยาม ใกล้ BTS ชอบสไตล์การออกแบบของโครงการโดยเฉพาะ หรือเป็นคนที่มีงบประมาณ 8.5 ล้านก็สามารถเลือกคอนโดใกล้สยามได้แล้ว ชอบส่วนกลางขนาดใหญ่ เวลาใช้งานร่วมกับคนอื่นในบริเวณเดียวกันก็ยังได้ความเป็นส่วนตัวอยู่ รวมถึงชอบความคุ้นชินกับที่จอดรถแบบปกติ ในส่วนของห้องพักก็ชอบห้องมีฟังก์ชันลงตัว ทำเป็นครัวปิดได้ หรือชอบห้องนอนที่ได้กระจกถึง 3 ฝั่ง มีงบประมาณเริ่มต้น 8.5 ล้านบาท หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 49,000 – 111,000 บาท/เดือน