รีวิวโครงการ
พาชมตึกเสร็จ TELA ทองหล่อ คอนโดระดับ Ultimate Class ใจกลางทองหล่อ จาก เกษร พร็อพเพอร์ตี้ [รีวิวฉบับที่ 1976]
5 พฤศจิกายน 2019
รีวิวฉบับที่ 1214 … สวัสดีครับ วันนี้จะพาไปชมรีวิวคอนโดสุดหรูระดับ Ultimate Class กับโครงการ “TELA ทองหล่อ” เป็นคอนโดใจกลางทองหล่อที่อยู่ใน Prime Area ยอดฮิตทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งเต็มไปด้วยแหล่งความอุดมสมบูรณ์หลากหลาย และเป็นพื้นที่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะ โครงการนี้เป็น Flagship ที่ทาง Gaysorn Property ใช้ทีมออกแบบสถาปัตย์ชื่อดังอย่าง SCDA ของสิงคโปร์ ที่มีผลงานคอนโดหรูมาแล้วหลายโปรเจค
Fact @ 1 Nov 2016
- TELA Thonglor (เทลล่า ทองหล่อ)
- บริษัท เกษร วัฒนา จำกัด
- ULTIMATE CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ในเขต : วัฒนา
- คอนโด High Rise 31 ชั้น และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น จำนวน 84 ยูนิต
- ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 4 ยูนิต
- ที่จอดรถประมาณ 142 คันคิดเป็น 169% (จอดแบบปกติ)
- ที่ดินประมาณ 1-3-63 ไร่
- เริ่มก่อสร้าง : May 2016
- คาดว่าจะแล้วเสร็จ : July 2019
- 2 Bedroom 111 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 32 ล้านบาท
- 3 Bedrooms 201-202 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 60 ล้านบาท
- ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 3.2 เมตร และ ส่วนที่มีงานระบบแอร์เหลือ 2.7 เมตร
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร (AVG) ทั้งโครงการประมาณ 300,000 บาท/ตร.ม.
- EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : Approve
- เพิ่มเติมข้อมูลพิเศษทำเลรอบๆ : มองหาทำเลน่าอยู่ใกล้รถไฟฟ้า : BTS ทองหล่อ
- เพิ่มเติมข้อมูลพิเศษทำเลรอบๆ : มองหาทำเลน่ากินใกล้รถไฟฟ้า : ทองหล่อ – เอกมัย
- เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
- โทร : +66(2) 612 5959
เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วครับ
สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างครับ
พิกัด : 13.733233, 100.582155
ที่ตั้งของโครงการ TELA ทองหล่อ อยู่ในซอยสุขมวิท 55 หรือที่เรียกกันว่าซอยทองหล่อ พื้นที่โครงการอยู่ตรงปากซอยทองหล่อ 13 แปลงมุม หรือร้านอาหารต้นเครื่องเก่า ด้วยตัวทำเลถือว่าเป็นแหล่งที่ได้รับความนิยมมากด้วยเส้นทางที่เข้าได้จากถนนใหญ่ ทองหล่อ..เป็นหนึ่งในไพรม์แอเรียยอดฮิตทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ภายในตัวเองสูง และเป็นพื้นที่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในตัวเอง อีกทั้งที่ตั้งโครงการนอกจากติดถนนใหญ่ยังอยู่ติดกับซอยทองหล่อ 13 ซึ่งเป็นซอยแยกที่เป็นซอยเชื่อมที่จะสามารถลัดไปยังพร้อมพงษ์ อโศก หรือออกไปเพชรบุรีเลยได้
** ส่วนพาร์ททำเลจะไม่อธิบายซ้ำนะครับ เพราะเคยทำรีวิวแบบเจาะลึกไว้แล้ว “รีวิวทำเลแบบเจาะลึก คลิกที่นี่”
อัพเดตพื้นที่รอบข้างของโครงการ TELA ทองหล่อ สองฝั่งของซอยทองหล่อช่วงต้นซอยจะเป็นสิ่งก่อสร้างจำพวกคอนโด High Rise ทั้งใหม่และเก่า, ออฟฟิศอาคารสูง เพราะเข้าถึงจากสถานี BTS ทองหล่อได้ง่ายกว่า และที่มีแซมๆให้เห็นบ้างจะเป็นอาคาพาณิชย์สูงประมาณ 4 ชั้น โดยชั้นล่างสุดเปิดเป็นร้านอาหาร และร้านให้บริการต่างๆ ต่อมา Community Mall เร่ิมเข้ามาในพื้นที่ ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ในการอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้นทั้งช่วงต้นซอยและในซอยทั้งฝั่งเลขคู่และเลขคี่ ในซอยต่างๆจะยังมีบ้านพักอาศัยทั้งแบบทาวน์โฮมและแบบที่มีพื้นที่อยู่ค่อนข้างเยอะ บ้างปรับเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ หรือคลินิก แต่ก็ยังมีอยู่ไม่น้อยที่ยังเป็นบ้านพักอาศัย
ทิศเหนือ : ซอยทองหล่อ 13 กว้าง 2 เลนถนน มีอาคาร Home Place สูง 20 ชั้นตั้งบังวิวอยู่
ทิศตะวันออก : ซอยทองหล่อ กว้าง 6 เลนถนน ฝั่งตรงข้ามเป็นตึกแถว 4 ชั้น และอนาคตจะมีโครงการเพื่อนมากำลังจะเปิดตัวเป็นคอนโดสูง 27 ชั้น แต่ระยะห่างระหว่างอาคารกับโครงการเรา ลองดึงระยะจาก GG Maps น่าจะอยู่ที่ประมาณ 60-70 เมตร ครับไม่ได้ประชิดอะไรมาก
ทิศใต้ : จากพื้นที่ใกล้ที่สุดคือบ้านพักอาศัย ร้าน Starbuck ที่เป็นรูปแบบบ้าน และพื้นที่ก่อสร้างตรงปากซอยทองหล่อ 11 คือ The Taste เป็น Community Mall แห่งใหม่ที่สร้างเสร็จแล้ว ที่เยื้องเข้าซอยไปหน่อยคือคอนโดและอพาร์ตเมนท์อย่าง Waterford สูง 15 ชั้น
ทิศตะวันตก : ถูกยึดครองด้วย Community Mall อย่าง Seen Space และ The Moment
รูปวิวประกอบจากโดรน ฝั่งทิศตะวันออกเฉียงใต้ ที่ความสูง 20 เมตร ที่ด้านหน้าโครงการติดซอยสุขุมวิท 55 (ทองหล่อ) อนาคตจะมีโครงการของแสนสิริ ขึ้นเยื้องๆไปทางขวา สูง 27 ชั้น ในระยะห่างประมาณ 60-70 เมตร
จากวิวเดิม ลองเพิ่มมาดูที่ความสูง 80 เมตร
รูปวิวประกอบจากโดรน ฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ที่ความสูง 20 เมตร ด้านหลังจะติดกับ Community Mall อย่าง Seen Space, The Moment และชุมชนพักอาศัย
จากวิวทิศเดิมขยับความสูงขึ้นมาอยู่ที่ 80 เมตร นะครับ จะเป็นวิวเมืองที่มองเข้าไปเป็นโซนพร้อมพงษ์ และมองไกลออกไปเป็นอโศก
เกษร พร็อพเพอร์ตี้ เจ้าของห้างดังติดแยกราชประสงค์อย่าง Gaysorn Plaza และ อัมรินทร์พลาซ่า, Urban Space ไม่ใช่มีแต่ห้างนะครับ เค้าเคยทำคอนโดระดับหรูมาแล้ว 2 โครงการที่ผ่านมาอย่าง DOMUS สุขุมวิท 16-18 และ Mode สุขุมวิท 61 ซึ่งประสบความสำเร็จปิดการขายไปทั้งคู่นานแล้ว ความมั่นคงทางการเงิน ประสบการณ์และความเข้าใจในกลุ่มลูกค้าระดับ Luxury จึงไม่ใช่ประเด็นที่ต้องกังวล โครงการทุกๆโครงการ ของเกษร เค้าทำมาจับกลุ่มนี้มาตลอดอยู่แล้ว
- รีวิวฉบับเต็มจาก TOL : โครงการ MODE สุขุมวิท 61 “คลิกที่นี่”
เจ้าของและทีมบริหารของเกษร นำทีมโดย คุณชาญ ศรีวิกรม์ เหมือนเดิมนะครับที่ดูและทั้ง Project โครงการ MODE ทางเกษร ใช้ทีมงานดูแลลูกบ้านของเกษรเอง และจัดให้มี Concierge Service ระดับมาตรฐาน เกษร เพราะการอยู่สบายแบบหรูหราไม่ใช่แค่มี Function อาคารดี แต่จะต้องมี “มนุษย์” ที่คอยให้บริการ หรือดูแล Service ได้อย่างดีด้วย
โครงการ TELA ทองหล่อ ยังคงใช้ทีมงานสถาปนิก-มัณฑนากร-ภูมิสถาปนิก เจ้าเดิมนะครับ คือ SCDA ของสิงคโปร์ ที่มีผลงานมากมายระดับ Super Luxury Condo อาทิเช่น The Ladyhill, The Boulevard Residence, The Marq และ Nassim Park Residences เป็นต้น / ส่วนของ Structure Engineer เป็นบริษัท K.C.S. & Associates และ วิศวกรงานระบบใช้บริษัท Mitr Technical Consultant ครับ
Update ที่ดินด้านหน้าโครงการ ปัจจุบันก่อสร้าง Sale Office Gallery เสร็จแล้ว ซึ่งอยู่ติดกับถนนทองหล่อเลย โดยจะเป็นห้องกระจกขนาดใหญ่เห็นเด่นชัดเลยครับ
ทางซ้ายมือที่ตอนมาเดินทำเลอยู่ติดกับ Starbucks Coffee ปัจจุบันพื้นที่ติดกันเลยสร้างเสร็จแล้วนั่นคือ The Taste Thonglor เป็น Community Mall แห่งใหม่ที่ด้านในเต็มไปด้วยร้านอาหารสไตล์เก๋อยู่หลายร้าน
หันไปมองทางขวามือ โครงการนอกจากติดกับถนนหลักอย่าง ทองหล่อ แล้ว ยังติดกับซอยทองหล่อ 13 อีกด้วย ซึ่งเป็นทิศเหนือของโครงการมีอาคาร Home Place ตั้งอยู่ติดกัน
ด้านหน้าทางเข้าที่กระจก ติดตัวอักษรเห็นเด่นเป็นสง่าชัดมาก โครงการ TELA นี้ถึงเป็นคอนโดสูงแต่มีเพียง 84 ยูนิตเท่านั้น
เข้ามาด้านในแล้ว จะเจอกับเคาน์เตอร์หินอ่อนที่จะมี Sale ต้อนรับอยู่ คอยให้ข้อมูลรายละเอียดโครงการสำหรับลูกค้าที่ Walk in เข้ามานะ ส่วนโทนสีภายในใช้เป็นโทนสีอ่อนดูสบายตา
ถัดมาเป็นพื้นที่นั่งรับรองสำหรักแขก มีชุดโต๊ะจัดวางเอาไว้ให้สำหรับนั่งสอบถามรายละเอียดประมาณ 3 ชุด และฝั่งริมหน้าต่างเป็นที่ตั้งของ โมเดลโครงการนั่นเอง
โครงการ Tela ทองหล่อเป็นคอนโด High Rise 31 ชั้น และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น จำนวน 84 ยูนิต สร้างบนเนื้อที่ดินเกือบ 2 ไร่ ที่จัดวาง Facility หลักอยู่ที่ชั้น Ground และชั้น 5 / มีที่จอดรถประมาณ 142 คันคิดเป็น 169% (จอดแบบปกติ) / โครงการที่นี่เน้นเป็นแบบห้องใหญ่ที่มีแค่ 2-3 Bedroom เป็นหลัก ขนาด 111-202 ตร.ม. ซึ่งเน้นแบบ Private หน่อยจะมียูนิตต่อชั้นแค่ 4 ยูนิตเท่านั้นและเป็น Private Lift อีกด้วย Typical Plan ชั้นพักอาศัยหลักจะอยู่ที่ 6-25 และชั้น 26-29 จะเป็น Type พิเศษ 3-4 Bedroom Duplex มีแค่ 4 ยูนิตเท่านั้น
มาดูโมเดลโครงการที่ตั้งอยู่ใน Sale Gallery กันบ้าง ผมจะค่อยๆไล่ไปทีละจุดตั้งแต่ชั้นล่างนะครับ
ด้านหน้าทางเข้าติดส่วนของซอยทองหล่อ รั้วกำแพงแต่งด้วยหินสลักและมีการติด Signage ชื่อโครงการเอาไว้ ริมฟุตบาททางเข้ามีการแต่งสวนหลากพันธุ์ไม้ที่โครงการเลือก เข้าไปด้านในทางซ้ายมือเป็นส่วนของป้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ทางเข้าออกเป็นระบบ Key Card Access รั้วไม้กั้นกระดก
มองจากมุมสูงพอเข้ามาแล้วทางขวามือเป็นส่วนของสระนำ้พุตกแต่ง ที่มีการจัด Landscape ต่อเนื่องมาจากส่วนของ Resident Garden
ตรงส่วนนี้ด้านใต้อาคารเป็น Drop Off Area ให้วนรถสำหรับมารับส่งลูกบ้าน ซึ่งมีพื้นที่กว้างและยาวเหมือนกัน จอดรอรับได้มากกว่า 1 คัน ทำให้ทราฟฟิครถสามารถเคลื่อนตัวไปได้แม้จะมีคนมารอรับส่งลูกบ้านและจอดรออยู่ก็ตาม
อ้อมมาที่ด้านข้างกันบ้าง ทางเดินรถภายในโครงการเป็นแบบทูเวย์ปกตินะครับ ด้านข้างฝั่งนี้ที่รั้วกำแพงติดกับ Starbucks และ คอมมูนิตี้มอลล์ The Taste จะมีจุดชาร์จไฟรถไฟฟ้าให้ด้วยที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เริ่มมีนำเข้ามาในไทยบางส่วนแล้ว ถัดไปจะเป็นส่วนของทางลงชั้นจอดรถใต้ดินซึ่งมี 2 ชั้น
อ้อมมาส่วนของด้านหลังโครงการ ฝั่งนี้ไม่มีอะไรเป็นทางเดินรถปกติ รั้วกำแพงติดกับคอมมูนิตี้มอลล์อย่าง Seenspace 13
พอเลี้ยวมาด้านนี้จะเจอกับส่วนทางขึ้นลง(เข้าอาคาร) ไปจอดรถที่ชั้น 2-4 ได้ อย่างที่บอกไปตอนแรกที่นี่มีที่จอดรถประมาณ 142 คันคิดเป็น 169% (จอดแบบปกติ)
ด้านนอกอาคารส่วนนี้เป็น Resident Garden สำหรับเดินเล่นพักผ่อน และพื้นที่เคาน์เตอร์เล็กๆเป็นลานกิจกรรมเตรียมของว่างเบามานั่งชิวได้ มองเข้าไปในอาคารจะเห็นส่วนของ Facility อย่าง Lounge/Library และ Children play area อ้อ.. ตรงส่วนนี้มีประตูทางออกไปนอกโครงการที่ติดกับซอยทองหล่อ 13 ได้ด้วยนะ เฉพาะทางเดินเท่านั้นและใช้ Keycard
ส่วนของชั้นจอดรถ Floor 2-4 มีการตกแต่งปิดด้านนอกอาคาร(Facade) ให้ดูเรียบร้อยส่วยงาม โดยมีการแบ่งครึ่งส่วนนึงใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมเป็นลวดลายสลับ ส่วนอีกครึ่งนึงจัดเป็นสวนไม้เลื้อยแนวตั้งที่นำสายตามาตัดกับอลูมิเนียมให้ดูไม่เขียวกลืนจนเกินไป
ที่ชั้น 5 เป็นส่วนของ Main Facility ที่ด้านหน้าจะจัดวางเป็น Swimming Pool ระบบเกลือ ขนาด 6 x 22 เมตร ลึก 1.5 เมตร มีการแยกส่วนสระเด็กเอาไว้ด้านข้าง ริมสระเป็นพื้นที่น้ำตื้นที่วาง Day Bed อาบแดดเอาไว้ สลับกับแนวต้นไม้
มองเข้าไปในส่วนใต้อาคารหน่อย เริ่มจากซ้ายมือสุดเป็น Club House Outdoor Area ชุดโต๊ะนั่งหลายจุด / ตรงกลางเป็น Daybed Seating เอาไว้นอนเล่นไม่ได้โดนแดด แต่ยังได้ฟีลลิ่งกึ่งเอาท์ดอร์อยู่ / ทางขวามือที่เห็นจะเป็นห้อง Fitness
ที่ห้องออกกำลังกาย ขนาดปานกลาง วางเครื่องออกกำลังกายเอาไว้ประมาณ 10 เครื่อง สิ่งที่ทำให้ห้องนี้น่าใช้งานคือความสูงโปร่งจากพื้นถึงฝ้าเพดานและก็ช่องแสงหน้าต่างขนาดใหญ่ที่เป็น Floor to ceiling
อ้อมมาดูที่ฝั่งด้านหลังกันบ้าง ทางซ้ายมือจะเป็นห้อง Spa+Treatment Room ถัดไปด้านข้างเป็นส่วนของ Changing Room+Steam Room และขวามือสุดเป็นส่วนของ Club House ที่อยู่ด้านในอาคารเป็นห้องจัดเลี้ยงนั่งเล่นขนาดใหญ่ ที่จะมี Service ต่างๆมีบุคคลคอยดูแลอยู่พื้นที่ตรงนี้ด้วย
รูปแบบของห้องที่นี่เป็นแบบหน้ากว้างที่รับวิวได้เต็มที่ อีกทั้งยังเป็นระเบียงแบบยาวต่อเนื่องกันทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดเด่นของที่นี่ โครงการนี้อยู่ค่อนข้างใกล้กับถนนใหญ่เลยใช้วัสดุตัวกระจกบริเวณทั้งหมดของระเบียงเป็นกระจกฉนวนความร้อน (Insulating Glass) และที่นี่เป็นแบบหนาพิเศษ 31.5 mm. โดยการนำกระจก 3 แผ่นมาประกอบกันโดยมีเฟรมอลูมิเนียมคั่นกลาง ป้องกันการถ่ายเทความร้อนระหว่างภายในกับภายนอกอาคารและ ช่วยป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอก ไม่ทำให้เกิดฝ้าหรือหยดน้ำ แม้ว่าอุณหภูมิภายในกับภายนอกแตกต่างกันมาก
ภาพจำลองบรรยากาศภายนอกโครงการ Exterior ตัวอาคารโครงการ ภายใต้แนวคิด “Canvas of Life” ตัวหน้าตาอาคารออกแบบมาในลักษณะของ “Timeless” ที่ตั้งใจออกมาให้ดูเรียบๆ ไม่หวือหวาเกินไป เป็นรูปแบบของการมองไปแล้วยังสวยหรูได้นานแม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม
ภาพจำลองบรรยากาศภายนอกอาคารชั้น Ground Floor ส่วนของ Resident’s Garden และ Play Area&BBQ
ที่โครงการนั้นจะเลือกชนิดของต้นไม้ที่ต่างกัน แต่ละโซนต่างมุมและชนิดพันธุ์มาใส่ลงภายในโครงการ
ภาพจำลองบรรยากาศภายในโครงการ ชั้น 1 Facility บริเวณ Lounge & Library ที่เพดานสูงโปร่ง ช่องแสงเต็มบาน มองออกไปเป็นวิวบริเวณ Resident Garden area
ภาพจำลองบรรยากาศภายในโครงการ ชั้น 5 Facility บริเวณ Swimming Pool ระบบเกลือขนาด 6 x 22 เมตร ลึก 1.5 เมตร ที่สามารถใช้ออกกำลังกายจริงจังได้ และปิดบังสายตาเพิ่มความ Privacy จากภายนอก ติดกันจะมี DayBed ไว้นอนอาบแดดริมน้ำสลับกับแนวต้นไม้
ภาพจำลองบรรยากาศภายในโครงการ ชั้น 5 Facility บริเวณ Club House โซน Indoor ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้หลายรูปแบบเป็นทั้งห้องประชุม จัดเลี้ยง อเนกประสงค์ แถมยังมี Human Service คอยบริการอยู่ที่จุดนี้ด้วย
มาดู Plan กันบ้างครับ ทางเข้าออกหลักของโครงการเข้าจากซอยทองหล่อเลยนะครับ แต่ก็มีส่วนของทางเดินเท้าออกไปได้ด้วยบริเวณซอยทองหล่อ 13 ซึ่งที่นี่ใช้ระบบ Keycard Access รั้วกั้นไม้กระดกปกติ พอเข้ามาแล้วส่วนทางเข้ามือจะเป็น Drop Off ขนาดใหญ่หน่อย ซึ่งรองรับรถที่หมุนเวียนมารอส่งได้มากกว่า 1 คัน การเดินรถรอบๆโครงการเป็นแบบทูเวย์ปกติ โดยมีทั้งทางลงชั้นจอดรถใต้ดินไปอีก 2 ชั้น และอ้อมไปด้านหลังขึ้นไปจอดรถในอาคารได้ถึงชั้น 4
Facility ของชั้นนี้จะมีตั้งแต่พอเข้ามาในอาคารจะเป็นส่วนของ Arrival Lobby ที่ยาวเชื่อมต่อไปยังโซน Lounge&Library และต่อเนื่องไปยังโถงลิฟท์ (ที่จะเป็น Private Lift นะครับ) ด้านตรงข้ามมี Children Play Area และพื้นที่ด้านนอกจะเป็นส่วนของ Play Area & BBQ
ขึ้นมาที่ชั้น 5 จะเป็นชั้น Main Facility ซึ่งฝั่งครึ่งซีกหน้าไปทางซอยทองหล่อจะเป็นส่วนของ Swimming Pool ระบบเกลือ ขนาด 6 x 22 เมตร ลึก 1.5 เมตร มีการแยกส่วนสระเด็กเอาไว้ด้านข้าง ริมสระเป็นพื้นที่น้ำตื้นที่วาง Day Bed อาบแดดเอาไว้ สลับกับแนวต้นไม้ เข้ามาด้านในอาคารจะมีส่วนที่เป็นกึ่ง Outdoor อย่าง Club House และ Daybed Seating ฝั่งเหนือจะเป็นส่วนของ Fitness GYM, Yoga Room, Treatment Room และ Changing Room ซึ่งภายในมีสตีม และสุดท้ายฝั่งใต้จะเป็นโซนของ Club House ที่อยู่ด้านในอาคารเป็นห้องจัดเลี้ยง นั่งเล่นขนาดใหญ่ สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้หลายรูปแบบเป็นทั้งห้องประชุม อเนกประสงค์ ที่จะมี Human Service คอยบริการอยู่ที่จุดนี้ด้วย
Typical Plan ที่ชั้น 6-25 จะเริ่มเป็นชั้นห้องพักอาศัย มีเพียงแค่ 4 Unit/Floor เท่านั้น เน้นความเป็นส่วนตัวให้แก่ลูกบ้าน อีกทั้งทุกห้องมี Private Lift (ไม่ใช่ลิฟท์ส่วนตัวนะ) ยังจะต้องแชร์ใช้กับห้องที่อยู่ในแนวตั้งแนวเดียวกัน แต่ที่เรียก Private Lift เพราะมันเปิดประตูออกจากลิฟท์แล้ว อยู่ในส่วนห้องเราเลย โดยจะมีประตูกั้นส่วนในห้องอีกประตู คนที่อยู่ตำแหน่งห้องเดียวกับเราขึ้นลิฟท์มาพร้อมกันจะเห็นแค่ส่วนของบริเวณ Foyer ในห้องเราเท่านั้น ข้อดีอีกอย่างคือโครงการนี้ยูนิตน้อยอยู่แล้ว ทำให้การใช้ลิฟท์จะเร็วมาก อัตราส่วนแค่ 21 : 1 เท่านั้นเอง
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- ชั้นใต้ดิน : จุดล้างรถอัตโนมัติ แบบหยอดเหรียญ
- ชั้น 1 : Lobby, Lounge, Library, Chlidren play area, Garden, BBQ area
- ชั้น 5 : Swimming Pool 1 สระ ระบบเกลือ ขนาด 6 x 22 เมตร ลึก 1.5 เมตร, แยกสระเด็ก
- ชั้น 5 : Pool Deck, Daybed Seating, Club House, Kitchen
- ชั้น 5 : Changing Room, Steam Room, Treatment Room, GYM, Yoga Room
- Private Lift 4 ตัว / Service Lift 1 ตัว
- อัตราส่วนลิฟท์ 21 : 1
- ที่จอดรถประมาณ 142 คันคิดเป็น 169% (จอดแบบปกติ)
- ระบบ CCTV / Access Card
ก่อนจะเข้าไปดูส่วนของห้องตัวอย่างจะขอพูดเรื่องแบรนด์วัสดุอุปกรณ์ที่โครงการเลือกใช้สักนิดหน่อยนะครับ
อย่างพวกชุดก๊อกน้ำและฝักบัวของที่นี่จะเป็นแบรนด์ชั้นนำ อย่าง Hansgrohe ของเยอรมันที่พัฒนาการออกแบบผลิตภัณฑ์และการผลิตมากว่า 100 ปี ได้รับรางวัลชนะเลิศนวัตกรรมการออกแบบระดับโลก Green ECO เพื่อการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวที่โครงกาเลือกมาใช้ออกแบบโดยทีม AXOR designer ที่ควบคุมการออกแบบรวมถึงด้านคุณภาพและการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบ / สุขภัณฑ์ในห้องน้ำเป็นของ Duravit ทั้งหมด จากเยอรมันเช่นกัน
เครื่องใช้ไฟฟ้าบริเวณชุดครัวที่นี่ จะได้ของแบรนด์ Bertazzoni ที่โด่งดังในอิตาลี อย่างไมโครเวฟ, เตาอบ, Hob&Hood เป็นต้น แต่ตู้เย็นจะเป็นของ Fisher&Paykel นะครับ
ส่วนของชุดครัว จะเป็นของ Binova แบรนด์เครื่องครัวระดับพรีเมี่ยมสัญชาติอิตาลีเช่นเดียวกัน Binova นั้นออกแบบชุดครัวที่ทันสมัย หรูหรา มากฟังก์ชั่นที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาผสมผสานกับการดีไซน์ ทั้งในเรื่องการออกแบบและการเลือกใช้วัสดุ ทำให้ได้ครัวที่มีสไตล์เฉพาะตัว ตอบสนองต่อความชอบของผู้ใช้งานแต่ละคนที่มีไม่เหมือนกัน รวมถึงเข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นเรื่องการใช้งานในพื้นที่จำกัด บานตู้แต่ละอันใช้ระบบ Soft Closing เพื่อลดแรงกระแทกและลดการเกิดเสียงดังในขณะเปิดปิด และฟังก์ชั่นชั้นวางของต่างๆ ภายในตู้ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการลูกค้า
วัสดุต่างๆที่ใช้ในห้องมีการตัดมาให้ดูเป็นแบบชิ้นเล็กๆแบบนี้ อย่างเช่นพวกพื้นที่บริเวณ Foyer กับ ห้องน้ำ ใช้เป็นหินสังเคราะห์ compressed marble และ Homogeneous Tile / Top ครัวเป็นหินควอทซ์ หน้าบานเป็น High Gloss / พื้นหลักในห้องนั่งเล่นห้องนอนเป็น Engineer Wood / พื้นระเบียงเป็น Composite Wood (ไม้เทียม) และสุดท้ายกระจกที่ใช้จะเป็น Insulating Glass แบบหนาพิเศษ 31.5 mm.
ห้องตัวอย่างที่จะพาไปดูโครงการทำไว้แบบเดียว คือห้อง 3 Bedroom 3BR_B ขนาด 201 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องครัว 1 ห้องแม่บ้าน เมื่อออกจาก Private Lift มาจะเจอกับพื้นที่ของ Foyer ก่อนที่โครงการ Built-in ตู้วางของและวางรองเท้ามาให้ เหมาะกับเป็นส่วนเตรียมตัวก่อนเข้า-ออกห้องที่เป็นที่อยู่อาศัยหลักและมีประตูบังสายตาก่อนเข้าไปพื้นที่ถัดไป ที่เป็น Living area ที่สามารถจัดเป็นห้องนั่งเล่นและห้องรับประทานอาหารได้ โดยห้องนี้จะเชื่อมต่อกับ Double Kitchen ที่โครงการจัดมาให้ทั้งครัวฝรั่งและครัวไทย
โดยครัวฝรั่งเป็นครัวเปิดที่โครงการ Built-in ครัวรูปตัว L พร้อมเคาน์เตอร์แบบ Island สำหรับการทำครัวเบาๆเช่น ทำอาหารเช้า เครื่องดื่ม หรือจัดปาร์ตี้เล็กๆได้ ติดกันเป็นครัวไทยที่เหมาะกับการทำครัวหนัก อย่างเช่นต้ม ผัด แกง ทอด ที่มีกลิ่น ซึ่งโครงการมีประตูทำเป็นครัวปิดมาให้ เวลาประกอบอาหารกลิ่นจะไม่ไปรบกวนส่วนอื่นๆในห้อง ซึ่งข้อดีของการทำ Double Kitchen มาให้แบบนี้ คือสามารถแยกการใช้งานเป็นสัดส่วนดีเหมาะกับคนที่ชอบทำอาหารทานเอง ส่วนที่ติดกับห้องครัวเป็นห้องแม่บ้านที่มีห้องน้ำให้ในตัว ด้านนอกที่โถงทางเดินมีห้องน้ำเล็กๆสำหรับแขกอีกห้องเป็นแบบ Powder Room ด้วย
จุดเด่นของห้องนี้คือระเบียงที่มีความยาวตลอดหน้ากว้างของห้อง(ประมาณ 18 เมตร) เป็นระเบียงของห้องนั่งเล่นและห้องนอนต่างๆที่ใช้งานร่วมกันเชื่อมต่อกันหมด ซึ่งมีข้อดีคือจะได้ระเบียงกว้างที่สามารถจัดฟังก์ชั่นใช้งานได้จริงและหลากหลายอาทิเช่น พื้นที่นั่งเล่น นอนเล่น จัดสวนได้ หรือว่างอ่างจากกุชชี่ เหมาะกับคนที่ชอบใช้งานพื้นที่ Outdoor
ส่วนห้องนอนของที่นี่จะมีห้องนอนเล็ก 2 ห้อง และห้องนอนใหญ่ โดยห้องนอนทุกห้องจะมี ห้องน้ำให้ในตัว ซึ่งมีความเป็นส่วนตัวสูงไม่ต้องแชร์ห้องน้ำกันครับ แต่ในห้อง Master Bedroom จะมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษและมีพื้นที่ Walk-in Closet และห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ Sexy Bath มองวิวทะลุออกไปยังระเบียงได้
**เดี๋ยวผมจะไล่ไปดูทีละฟังก์ชั่นตามในแปลน ไปทีละจุดๆไป โดยมีการลงสีอ่อนบนพื้นที่ไว้นะครับ
ก่อนเข้าไปในห้อง ผมลองตีเส้นโดยประมาณของลิฟท์เอาไว้นะครับ เป็นประมาณนี้ พอออกจากลิฟท์ก็จะเข้าสู้พื้นที่ตัวห้องได้เลย
พอเข้ามาในห้องแล้วจะเป็นส่วนของ Foyer Area ก่อนซึ่งตรงนี้อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าจะมีประตูกั้นส่วนในห้องอีกประตู คนที่อยู่ตำแหน่งห้องเดียวกับเราขึ้นลิฟท์มาพร้อมกันจะเห็นแค่ส่วนของบริเวณ Foyer เท่านั้น พื้นส่วนนี้จะเป็นหินสังเคราะห์ compressed marble ความกว้างเดินสบายๆนะ 1.50 เมตร สองฝั่งซ้ายขวามีการ Built-In ชุดตู้เอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
ให้ดูด้านในชุดตู้ Built-In ฝั่งขวามือ ที่ฟังก์ชั่นหลักเป็นที่เก็บรองเท้า อ้อ..พวก Fitting ข้อพับที่นี่เป็น Softing Close ทั้งหมด
ทางฝั่งซ้ายมือเป็นตู้ขนาดใหญ่คลับคล้ายตู้เสื้อผ้า สามารถเอาไว้เก็บพวกของที่ชิ้นใหญ่หน่อย
พอจะเข้าสู้พื้นที่หลักแล้วพื้นจะเป็นเป็น Engineer Wood แทน
**เสริมเรื่องวัสดุ Engineered Wood Floor คือไม้ที่ทำการปรับคุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ให้มีความเหมาะสมมากที่สุดทั้งทางด้านความคงทน และ ความสวยงาม จนไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างไม้จริง (Solid Wood Flooring) กับไม้เอ็นจิเนียร์ เมื่อติดตั้งออกมา เนื่องจากผิวหน้าของไม้เอ็นจิเนียร์ก็คือไม้จริงนั่นเอง พื้นไม้เอ็นจิเนียร์ ประกอบไปด้วยส่วนประกอบสำคัญหลัก 3 ชั้นด้วยกัน ได้แก่ 1.ชั้นผิวหน้าไม้จริง 2.ใส้ไม้ชั้นกลาง 3.ผิวไม้ชั้นล่างสุด เป็นวัสดุไม้ยางพาราเต็มแผ่น นำมาประกบหลังพื้นไม้ เป็นชั้นล่างสุด เพื่อสร้างความสมดุลและเพิ่มความแข็งแรง
ด้านในเป็นส่วนของ Living Area เชื่อมต่อไปกับพื้นที่โซนรับประทานอาหาร ซึ่งความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานนี่คือ 3.20 เมตร สูงโปร่งมากๆ+ประตูกระจกบานเลื่อนที่เป็นช่องแสงขนาดใหญ่เชื่อมไปยังระเบียง
มุมโซนจัดวางชุดโซฟา ซึ่งดูจากขนาดห้องเราเลือกตามแบบห้องตัวอย่างจะเป็นประมาณ 4-6 ที่นั่งได้ เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ เป็นพื้นที่ที่สำคัญสำหรับครอบครัวที่จะออกมาเจอหน้าทำกิจกรรมร่วมกัน หรือเป็นพื้นที่รับรองแขกได้ด้วย จากมุมนี้จะเห็นส่วนของงานระบบแอร์บริเวณทางเข้าและพื้นที่ครัวซึ่งเป็นแบบฝังอยู่ใต้ฝ้าความสูงส่วนนี้จะลดลงเหลือ 2.70 เมตร
มุมโต๊ะรับประทานอาหารที่ Interior จัดเป็นโต๊ะแบบ 8 ที่นั่ง วางแล้วลงตัวกับพื้นที่ ซึ่งสำหรับรองรับเวลาเชิญแขกมารับประทานอาหารที่บ้านได้
ทางด้านซ้ายมือของโต๊ะจะมีพื้นที่ส่วนที่อยู่ชิดกับผนัง มุมนี้สามารถเลือกเป็นชั้นวางของโชว์ ของใช้ทั่วไป หรือใช้พื้นที่ใช้สอยแนวตั้งให้คุ้มค่าโดยการ Bulit-In เป็นตู้แบบเต็มผนังเลยก็ได้
มุมสวยๆของโต๊ะทานอาหารที่อยู่ติดกับช่องแสงที่ผ่านมาจากระเบียง ซึ่งถ้าใครเลือกชั้นสูงหน่อยก็จะเห็น City View แบบเต็มตา (ห้องตัวอย่างไม่ได้ติดตั้งกรอบบานประตูเอาไว้นะครับ ของจริงไม่ต้องกลัวความร้อนจากแดดหรือเสียงดังจากภายนอกนะ เพราะเราได้กระจก Insulating Glass แบบหนาพิเศษ สีน้ำเงินตัดแสงมาช่วย
ตัดเข้ามาที่พื้นที่ระเบียง ที่แนวความคิดการออกแบบของโครงการเน้น “ระเบียง” ที่กว้างและยาวพิเศษ ด้วยความกว้างของระเบียง(ประมาณ 2.2 เมตร) จะทำให้แสงแดดธรรมชาติไม่ส่องผ่านเข้ามาในพื้นที่ของตัวห้องพักอาศัยตรงๆลดความร้อนด้วย
อย่างห้องตัวอย่างห้องนี้จัดเป็นพื้นที่ นอนเล่น อาบแดด อ่านหนังสือ จากมุมนี้จะเห็นว่าส่วนของระเบียงนั้นกว้างจริงๆ การเลือกใช้ฟังก์ชั่นพื้นที่บริเวณนี้อาจปรับเปลี่ยนได้หลากหลายตาม “ไลฟ์สไตล์ การใช้งาน ความชอบ” ของเจ้าของห้องนะ อาจจะเป็นมุมวางอ่างจากุชชี่ ก็ได้นะ 😀
ราวกันตกจะเป็นอลูมิเนียมพาวเดอร์โค๊ทสีเทาด้าน ใช้กระจก Insulating Glass สีน้ำเงินตัดแสงแบบนี้ช่วยลดความร้อนที่ส่องเข้ามาพื้นที่ระเบียง
มองไปอีกฝั่งที่ระเบียงทอดยาวไปต่อเนื่องถึง 18 เมตร จะเชื่อมต่อกับพื้นที่ของห้องนอนทั้งสาม
พื้นที่ระเบียงจุดนี้จะเป็นพื้นที่ยาว แต่ก็ยังเชื่อมต่อกันระหว่างห้องต่างๆ ทำให้ง่ายต่อการออกมาใช้งาน และก็เลือกเป็นมุมใช้งานที่หลากหลายได้ทีละส่วน
ต่อมาจะไปดูในส่วนของโซนครัว และโซนของแม่บ้านกันบ้าง
ยืนจากบริเวณโต๊ะรับประทานอาหารมองไปยังโซนครัน จุดนี้เป็นครัวเปิด ที่ด้านหน้ามีการทำ Island ขึ้นมาเป็นการกั้นส่วนไปในตัว
เจ้า Island นี้เป็นเสมือนมุมกิจกรรมเล็กๆอย่างจัดเตรียมเครื่องดื่ม เตรียมอาหารว่าง ของหวานเบาๆ ฯลฯ รอบๆมีระยะเดินได้มาตรฐานสำหรับสองคนสวนกัน
ส่วนของวัสดุ Top จะเป็นหินควอทซ์ และได้อ่างล้างเป็นของ Franke
ด้านล่างจะเป็นชุดลิ้นชักเก็บของต่างๆที่มีการแยกใส่ของวางเป็นสัดส่วน มีติดตั๊งปลั๊กไฟเผื่อไว้ใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิดเวลาประกอบอาหาร
ส่วนของชุดครัว จะเป็นของ Binova แบรนด์เครื่องครัวระดับพรีเมี่ยมสัญชาติอิตาลี บานตู้แต่ละอันใช้ระบบ Soft Closing เพื่อลดแรงกระแทกและลดการเกิดเสียงดังในขณะเปิดปิด และฟังก์ชั่นชั้นวางของต่างๆ ภายในตู้ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการลูกค้า หน้าบานของชุดตู้ทั้งหมดจะเป็น High Gloss สีขาว
ลองเปิดชุดหน้าบานตู้ให้ดูครับ
ตู้เย็นชิ้นนี้เป็นส่วนนึงในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้ หน้าตาแบบนี้เป็นของ Fisher&Paykel ที่ขึ้นชื่อเรื่องมาตรฐานการควบคุมอุณภูมิ
ให้ดูฟังก์ชั่นพื้นที่เก็บของด้านใน ส่วนของช่องฟรีสจะอยู่ด้านล่างนะครับ
ถัดมาทางขวาพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าบริเวณชุดครัวที่นี่ จะได้ของแบรนด์ Bertazzoni ที่โด่งดังในอิตาลี อย่างไมโครเวฟ, เตาอบ, Hob&Hood สองสิ่งที่ไม่ได้ในห้องตัวอย่างคือเครื่องทำกาแฟ และตู้เก็บไวน์ ที่จัดวางมาให้ดูตำแหน่งว่าจะวางตำแหน่งประมาณไหนดี
ชุด Pantry ครัวจะยาวต่อเนื่องกันเป็นรูปตัว L แบบนี้ และมีชุดตู้เก็บของใช้ได้ทั้งด้านบนและด้านล่าง / วัสดุของ Top ครัวและส่วนที่ติดผนังเป็นหินควอทซ์เช่นเดียวกัน แต่ที่เห็นโดดเด่นคือเค้าตัดมาเป็นแผ่นยาวมากไร้รอยต่อทำให้ได้สัมผัสที่เรียบยาวและดูหรูหรา
หน้าตาของเจ้า Hob&Hood ของ Bertazzoni แบบแม่เหล็กไฟฟ้า 4 หัว
ชุดตู้เก็บของด้านล่างแบ่งเป็นความสูง 2 ชั้นเท่านั้นเผื่อจะได้เก็บของที่มีความสูงได้ส่วนนึงอาทิเช่นขวดไวน์ เครื่องปรุง เป็นต้น
หน้าตาส่วนของสวิทช์ไฟบริเวณพื้นที่ครัว
ต่อมาจะเข้าไปดูในส่วนของครัวไทยที่เป็นครัวปิด และเป็นโซนของแม่บ้านด้วย
พอเข้ามาแล้วจะเห็นบานประตูทางซ้ายมือก่อน ส่วนนี้จะเป็นห้องเก็บของ และมีทางออกไปทาง Corridor ซึ่งเป็นพื้นที่ทางเดินไปยังโถง Service Lift
ซ้ายมือเป็นครัวไทยสำหรับประกอบอาหารจริงจัง มองตรงไปตรงกลางเป็นพื้นที่สำหรับวางเครื่องซักผ้า และทางขวามือเป็นห้องนอนแม่บ้านที่มีห้องน้ำในตัวแยกชัดเจน คือพื้นที่หลักๆของแม่บ้านจะอยู่ในโซนนี้แหละ
รูปแบบชุดตู้ด้าบนมีหน้าบานปิดเป็นสัดส่วนเช่นเดียวกัน และใช้พื้นที่สอยเต็มไปยันฝ้าเพดาน
ตรงส่วนครัวของแม่บ้านมีการลดสเป็คลงนิดหน่อยเป็น Hob&Hood ของ Franke รวมถึง Sink ด้วยเช่นกัน
หน้าบานชุดตู้ด้านล่างเป็นลามิเนต สีไม้โอ๊คเก็บของใช้ได้อีกส่วนนึง ถัดไปติดกันเป็นพื้นที่วางตู้เย็น
(รูปซ้าย)ระยะความกว้างของพื้นที่วางตู้เย็นกว้างประมาณ 1 เมตร / (รูปขวา) ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องนอนของแม่บ้าน
ด้านนอกเป็นพื้นที่สำหรับวางเครื่องซักผ้าซ้อนกันได้ มีระเบียงกันตกตรงนี้ ด้านนอกจะเป็นส่วน Void พื้นที่โล่งของอาคาร และมี Facade ที่เป็นอลูมิเนียมปิดบังสายตาจากภายนอกเอาไว้
ถัดไปจะเป็นส่วนของทางเดินด้านหน้าห้องนอน, ห้องน้ำ Powder Room และไปยัง Master Bedroom
ส่วนพื้นที่โถงทางเดินตรงนี้พื้นยังเป็น Engineer Wood อยู่ต่อเนื่องกันมาจาก Living และใช้ไปยังห้องนอนทุกห้อง ความกว้างทางเดินประมาณ 1.50 เมตร เดินสวนกัน 2 คนได้สบาย
ทางซ้ายเป็นส่วนของห้องน้ำ ที่ใช้รองรับแขกได้ เป็นแบบ Powder Room ที่ไม่มีฟังก์ชั่นอาบน้ำ พื้นใช้ Homogeneous Tile และชุดสุขภัณฑ์ใช้ของ Duravit จากเยอรมัน
ทางซ้ายเป็นส่วนของอ่างล้างมือ ที่ก่อเคาน์เตอร์ยาวชนผนังสองฝั่ง ชุดก๊อกของ Hansgrohe ระบบน้ำร้อนที่ควบคุมอุณหภูมิได้ดี ออกแบบโดยทีม AXOR / ด้านบนติดกระจกเงาเต็มผนัง
ด้านบนของสุขภัณฑ์ Built-In ชุดตู้เต็มผนังมีหน้าบานปิดเป็นสัดส่วน เอาไว้เก็บของใช้งานทั่วไป
ส่วนของห้อง Master Bedroom เค้าจะแบ่งออกเป็น 2 ด้าน ด้านนึงจะเป็นส่วนของห้องนอน และอีกด้านเป็นส่วนของห้องแต่งตัว+ห้องน้ำ มาดูส่วนของห้องนอนกันก่อน โครงการเค้าวางเตียง King Size ไว้อยู่เป็น center แบบนี้ โดยมีพื้นที่ระยะทางเดินรอบๆสบายๆ
ที่ปลายเตียงของจริงจะเป็นผนังฉาบเรียบนะครับ โครงการแต่งให้ดูเอาทีวีติดผนัง และใช้ไฟซ่อนทำให้ดูสวยขึ้นมา
ด้านข้างเตียงฝั่งขวามือ นอกจากวางโต๊ะหัวเตียงขนาดใหญ่ได้ และสามารถวาง โซฟามินิตำแหน่งที่อยู่ใกล้ประตูกระจกบานเลื่อนทางออกไประเบียง เอาไว้ใช้เป็นมุมอ่านหนังสือเล็กๆได้
ด้านหลังเป็นพื้นที่ทางออกไปยังระเบียงแบบยาวที่ต่อเนื่อง ตรงส่วนนี้ระเบียงจะลดความกว้างลงเหลือประมาณ 1 เมตร ซึ่งก็เหมาะสมดีเพราะคงไม่ได้ใช้งานจริงจังเท่ากับตรงส่วนที่ออกมาจากห้องนั่งเล่น
ด้านข้างหัวเตียงฝั่งซ้ายมือ ที่ผนังจะมีการเจาะหน้าต่างช่องแสงขนาดใหญ่เอาไว้ให้
มองย้อนไปในห้องจะเป็นส่วนของทางเข้า Walk in closet และห้องน้ำที่มีอ่างอาบน้ำ Sexy Bath ในตัว
พื้นที่ walk in closet เราจะไม่ได้ชุด Furniture Built-In นะครับ แต่ว่าให้ดูส่วนขนาดพื้นที่ว่าถ้าติดตั้ง Built-In ไปแล้วจะเหลือทางเดินในการใช้งานได้ค่อนข้างเหมาะสมพอดีไม่อึดอัดไป
ด้านบนก็ Bulit ให้เต็มชนไปยันฝ้าเพดานเลยครับ เพื่อความคุ้มค่าในการใช้พื้นที่ใช้สอย
เข้ามาดูในห้องน้ำกันบ้าง พื้นห้องน้ำจะลดระดับลงเล็กน้อย ในส่วนของพื้นที่ส่วนแห้งพื้นจะเป็น Homogeneous Tile ก่อน มองตรงไปจะเป็นโซนอ่างล้างมือ และทางขวาเป็นอ่างอาบน้ำ
อ่างล้างมือแบบ His & Her ที่แยกการใช้งานของคุณผู้ชายและคุณผู้หญิงสองฝั่งชัดเจน ด้านล่างทำเป็นชั้นวางพวกของใช้อย่างผ้าขนหนูและมีลิ้นชักเก็บของให้ด้วย
หันมามองทางขวามือกันเป็นส่วนของอ่างอาบน้ำ ที่ด้านข้างผนังเป็นกระจกใส เป็น Sexy Bath ไปเลย ตรงจุดนี้เราสามารถดูวิวเมืองทะลุไปยังพื้นที่ระเบียงได้เลยนะ
ด้านบนฝ้ามีการเจาะรูฝ้าเอาไว้ให้เสร็จสรรพพร้อมติดม่านได้เลย ไม่ต้องไปทำเพิ่มแล้ว / ด้านล่างเป็นพื้นที่วางอ่างอาบน้ำ ซึ่งแบบนี้ห้องตัวอย่าง ยังไม่ใช่ของที่จะให้ในห้องจริงนะครับ เค้าเลือกมาผิดสเกลหน่อย ของจริงจะขยายใหญ่กว่านี้ แต่ชุดก๊อกและฝักบัวยังเป็นของ HansGrohe เหมือนเดิม
กลับหลังกันมา ยังเป็นส่วนแห้งอยู่ มองตรงไปจะเป็นหน้าต่างช่องแสง แต่ว่าด้านนอกไม่มีใครสามารถมองเห็นเข้ามาได้นะครับ ทางขวามือเป็นพื้นที่วางสุขภัณฑ์
พื้นที่สุขภัณฑ์วางไว้กึ่งกลาง โดยเค้ายังไม่ได้ติดตั้งสายฉีดชำระให้ดู แต่ว่าระยะการหยิบจับใช้งานค่อนข้างง่าย ด้านหลังเป็น Low Wall ของงานระบบ ที่พอทำแบบนี้แล้วกลายเป็นชั้นวางของใช้เล็กๆได้เลย
ด้านบนเป็นชั้นตู้ Built-In เก็บของใช้ไว้ให้แยกชั้นเป็นสัดส่วน หน้าบานเป็น High Gloss สีเทาเงา
ฝั่งตรงข้ามของสุขภัณฑ์เป็นส่วนแยกส่วนเปียกของพื้นที่อาบน้ำ โดยพื้นจะลดสเต็ปลงไปอีกนิดหน่อย
ด้านในมีการติดตั้งชั้นวางของสแตนเลสแบบนี้เอาไว้ให้ด้วย ส่วนชุด Shower เป็นของ Hansgrohe แบบ Thermostatic ซึ่งสามารถตั้งอุณหภูมิไว้ได้ด้วยครับ
หน้าตาของหัวฝักบัวที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของน้ำได้ และที่ด้านบนมีการติดตัว Rain Shower เอาไว้ให้ด้วย และส่วนไฟบริเวณที่อาบน้ำ โครงการมีการทำแบบซ่อนไว้ในฝ้าแบบนี้ เพื่อให้ไม่ให้ได้แสงที่จ้าจนเกินไปในการใช้งานพื้นที่ส่วนนี้
สุดท้ายพื้นที่ที่จะพาไปดู ตามในแปลนจะเป็นห้องนอนเล็ก Bedroom 2 และ 3 นะครับ
เริ่มจากห้อง Bedroom 2 (ตามในแปลน-หมายเลข 15-16) เข้าในห้องส่วนแรกจะเจอกับชุดตู้ Built-In ที่โครงการให้มาและฝั่งตรงข้ามมีห้องน้ำในตัว
หน้าตาในชุดตู้เสื้อผ้า Built-In เป็นแบบนี้ มีการแบ่งสัดส่วนการใช้งานเป็นระเบียบเรียบร้อย และติดไฟในตู้แบบออโต้ให้ด้วย
แต่ว่าในห้องนี้นั้นจัดเป็นห้องทำงานแทน สำหรับบางคนที่มีสมาชิกอยู่ไม่เยอะมาก เพราะมีพื้นที่ที่กว้างขวางระดับนึงและมีช่องแสงขนาดใหญ่ใกล้ๆอีกด้วย
มองย้อนกลับไปในห้องจะเห็นส่วนที่ติดแอร์แบบฝั่งฝ้า และบริเวฯห้องน้ำ ความสูงจะลดลงไปหน่อยจาก 3.20 -> 2.70 เมตรครับ
ภายในห้องน้ำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ก็ยังแยกพื้นที่แห้งและเปียกชัดเจน
ห้องนี้จะไม่ได้เป็นผนังติดกระจกเงานะครับ แต่จะเป็นชุดตู้หน้าบานกระจกและมีไฟซ่อนแทน ดูดีกว่า
ด้านหลังเป็นตู้ชั้นเก็บของใช้สำหรับใช้งานในห้องน้ำเป็นชั้น เป็นสัดส่วน
ด้านล่างที่ผนังเป็น Low Wall ที่เอาไว้วางข้าวของเครื่องใช้ อ่างล้างมือขนาดเล็กหน่อย แต่ว่าได้ชุดตู้ใต้อ่างมาเพิ่ม
ให้ดูการลดสเต็ปพื้นในห้องน้ำทั้งส่วนของพื้นที่อาบน้ำ และทางเข้ามาในห้องน้ำ
พื้นที่อาบน้ำขนาดปานกลางประมาณ 1.20 x 1.40 เมตร ถือว่าพอดีนะ ไม่เล็กไม่ใหญ่ครับ
หน้าตาของชุดฝักบัวจะไม่เหมือนกับห้องนอน Master นะครับ แล้วที่ด้านข้างผนังมีการเซาะร่องและทำกั้นเป็นชั้นให้ด้วยเอาไว้สำหรับวางของใช้
ด้านบนยังมี Rain Shower เช่นเคย แต่ว่าหน้าตาเปลี่ยนไปหน่อย เป็นรูปทรงกลมแทน การซ่อนไฟไว้ใต้ฝ้าแบบนี้ ช่วยให้แสงไฟไม่ทิ่มแยง ลงมาตรงๆจนเกินไป
สุดท้ายส่วนของ Bedroom 3 ที่ถ้าดูจากแปลนแล้ว ฟังก์ชั่นจะเหมือนกับ Bedroom 2 ทุกประการ เพียงแต่แค่ Flip กลับด้านกันเท่านั้น
ด้านซ้ายมือเป็นส่วนของตู้เสื้อผ้า Built-In และฝั่งตรงข้ามเป็นห้องน้ำ
ด้านในเป็นส่วนของพื้นที่เตียงนอนซึ่งมีขนาดเท่ากัน
ระยะปลายเตียงไปจนถึงผนังค่อนข้างกว้างนะครับ ถ้าเราไม่ได้นอนดูทีวีในห้องนอนก็สามารถทำเป็นแบบห้องตัวอย่างได้ โดย Interior เค้าเลือกจัดติดเป็นชั้นโต๊ะติดผนังแบบนี้ สามารถใช้งานได้ทั้งเป็นโต๊ะทำงาน วางคอมพิวเตอร์ อ่านหนังสือ หรือโต๊ะเครื่องแป้งก็ได้
(รูปบน)ที่เห็นจะเป็นส่วนของ Emergency Lighting ที่อยู่ตามพื้นทางเดินห้องนั่งเล่นและโถงทางเดินก่อนเข้าห้องนอน จะทำงานอัตโนมัติก็ต่อเมื่อไฟดับนั่นเอง / (รูปล่าง)ส่วนของปลั๊กไฟต่างๆในห้องในบริเวณทั่วไปจะเป็นแบบ Universal ทั้งหมดของ Schneider เพื่อรองรับเครื่องใช้ไฟฟ้าสากล
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
ส่วนของแปลนห้องอีกแบบเอามาให้ดูกัน คือแบบ 2 Bedroom / 2BR_A ขนาด 111 ตารางเมตร พื้นที่เหมาะกับการพักอาศัย 2-4 คน เมื่อออกจากลิฟต์ส่วนตัวมาจะเจอ Foyer Area ที่โครงการ Built-in ตู้ใส่ของและตู้วางรองเท้ามาให้เป็นโถงที่ใช้เตรียมตัวก่อนออกจากห้อง ติดกันเป็นห้องครัวที่โครงการ Built-in ชุดครัวพร้อมกั้นฉากกั้นมาให้เป็นครัวปิด เวลาประกอบอาหารกลิ่นจะได้ไม่ไปรบกวนส่วนอื่นๆในห้อง ถัดไปเป็น Living area ที่สามารถจัดเป็นห้องนั่งเล่นและส่วนรับประทานอาหารได้ โดยห้องนี้จะมีช่องเปิดกว้างให้สามารถมองวิวได้จากในห้องและเชื่อมต่อกับระเบียง สามารถออกไปนั่งเล่นหรือยืนรับลมได้ ถัดไปเป็นห้องน้ำรวมและห้องนอนเล็กที่ไม่มีห้องน้ำในตัว ต้องออกมาใช้ห้องน้ำด้านนอกหรือใครจะใช้ห้องนี้เป็นห้องทำงานหรือห้องเอนกประสงค์อื่นๆก็ได้ตามใจชอบนะครับ ติดกันเป็นห้องนอนใหญ่ที่มี Walk-in Closet และห้องน้ำในตัว มีอ่างอาบน้ำแบบ Sexy Bath เหมือนกัน
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 1 Nov 2016
- 2 Bedroom 111 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 32 ล้านบาท
- 3 Bedrooms 201-202 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 60 ล้านบาท
- ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร (AVG) ทั้งโครงการประมาณ 300,000 บาท/ตร.ม.
- Fully Fitted with built-in furniture
- Kitchen & Sink & Island
- Hob & Hood (ตู้เย็น, ไมโครเวฟ, เตาอบ)
- Digital door lock, IPTV & High speed internet
- ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 3.2 เมตร และ ส่วนที่มีงานระบบแอร์เหลือ 2.7 เมตร
- ค่ากองทุน 1,000 บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง 120 บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
TELA ทองหล่อ อยู่ในซอยสุขมวิท 55 หรือที่เรียกกันว่าซอยทองหล่อ พื้นที่โครงการอยู่ตรงปากซอยทองหล่อ 13 แปลงมุม หรือร้านอาหารต้นเครื่องเก่า ด้วยตัวทำเลถือว่าเป็นแหล่งที่ได้รับความนิยมมากด้วยเส้นทางที่เข้าได้จากถนนใหญ่ มีความอุดมสมบูรณ์รอบโครงการภายในระยะเดินแค่ไม่กี่ช่วงซอย ถือว่าแน่นขนัด ครบครันในทั้งเรื่องอาหารการกิน โรงพยาบาล แบงค์สาขาย่อย สถานที่ออกกำลังกาย หรือร้านให้บริการต่างๆ แต่ค่าใช้จ่ายในการอยู่อาศัยภายในพื้นที่ก็สูงตาม อย่างฝั่งซอยเลขคู่ทางซ้ายมือในระยะเดินส่วนใหญ่จะเป็น Commumity Mall มีทั้ง J Avenue, Starbuck, Seenspace 13 และ The Taste ที่พึ่งเปิดใหม่ โรงพยาบาลใกล้ๆมีสมิติเวช หรือแหล่งร้านอาหารญี่ปุ่นอย่าง Nihonmura ถ้าฝั่งตรงข้ามแถบซอยทองหล่อเลขคู่ สามารถข้ามได้จากทางม้าลายใกล้ซอยทองหล่อ 13 หน้าโครงการเลย และบริเวณนนี้ยังมี Markey Place อย่าง 8eight, Tops Marketplace หรือจะเข้าไปในซอยทองหล่อ 10 หรือที่เรียกว่าซอยเอกมัย 5 เป็นพวก Pub&Restaurant ก็มีหลายร้านครับ ส่วนร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 และ Family Mart ก็มีตั้งอยู่ประปราย บางร้านอาจจะอยู่ไกลกว่า Community Mall ที่มี Supermarket ในตัวด้วยซ้ำ
ทองหล่อถือว่าเป็นซอยที่ตัดระหว่างถนนสุขุมวิทในช่วงต้นซอย และถนนเพชรบุรีที่ปลายซอย ถนนทั้งสองเส้นถือว่าเป็นถนนเส้นใหญ่ ปริมาณรถมากตลอดทั้งวัน มีไฟเขียวไฟแดงเรื่อยๆ และวิ่งขนานกันตรงจากใจกลางเมืองออกไปยังทิศตะวันออกของกรุงเทพทั้งคู่ ทำให้การเดินทางด้วยรถยนต์สามารถใช้ซอยทองหล่อเองเป็นเส้นทางผ่านไปมาสำหรับการจะขึ้นเหนือและลงใต้ของพื้นที่ภายในกรุงเทพเพราะการเชื่อมต่อของถนนต่างกัน อย่างเส้นสุขุมวิท สามารถตัดผ่านซอยไปยังพระรามสี่, คลองเตย, พระราม 3 ส่วนเส้นเพชรบุรีสามารถขึ้นเหนือไปยังรามคำแหง, รามอินทรา หรือว่าลาดพร้าว ส่วนในซอยย่อยต่างๆภายในทองหล่อก็สามารถวิ่งเชื่อมถึงกันได้ และสามารถวิ่งไปถึงซอยข้างเคียงได้อย่างซอยเอกมัยและซอยพร้อมพงษ์ และความกว้างของแต่ละซอยก็สามารถวิ่งสวนกันได้ มี 2 เลนเกือบทั้งหมด
ส่วนจุดทางขึ้น-ลงทางด่วนอยู่ในรัศมีค่อนข้างไกล อย่างจุดที่ใกล้และน่าจะรถติดน้อยที่สุดคือ ทางขึ้น-ลงทางด่วนพระรามเก้า เลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรบุรี ตรงมาเรื่อยๆ แล้วไปกลับรถเข้าซอยทองหล่อ เพราะถ้ามาจากอโศกจะเลี้ยวขวาเข้าซอยทองหล่อโดยตรงไม่ได้ ไม่เหมือนมาจากถนนพัฒนาการที่สามารถเลี้ยวซ้ายเข้าท้ายซอยทองหล่อได้สบายๆ และอีกจุดหนึ่งอยู่ที่ทางขึ้น-ลงทางด่วนท่าเรือ ที่ต้องผ่านมาทางถนนสุขุมวิท แล้วตัดเข้าเส้นพระรามสี่อีกที ทั้งสองจุดทางขึ้น-ลงทางด่วนอยู่ห่างจากซอยทองหล่อประมาณ 4.5 กิโลเมตร
ส่วนการเดินทางโดยใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ก็มีสถานีรถไฟฟ้า BTS ทองหล่อที่ใกล้ที่สุด ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิทช่วงต้นซอยทองหล่อ ต้องเดินลงมาบนทางเท้าด้านล่าง และเดินเลียบไปฝั่งซ้ายเรื่อยๆ ตำแหน่งของโครงการอยู่ห่างจากตัวสถานีประมาณ 1.2 กิโลเมตร ไม่อยู่ในระยะเดินนะ ดังนั้นเพื่อความสะดวก มีพี่วินและรถกระป๊อคอยรอให้บริการอยู่ที่หน้าปากซอยสุขุมวิท 53 เนื่องจากเขาจะลัดเลาะผ่านซอยทองหล่อย่อยๆแทนการติดไฟแดงที่ต้นซอยทองหล่อและเส้นทางที่มีปริมาณรถเยอะ ถ้ามาจากเส้นทาง MRT ก็มาเปลี่ยนที่สถานี BTS อโศก ที่เป็นจุด Interchange แล้วนั่งต่อมาลงสถานีทองหล่อ สองข้างทางภายในซอยทองหล่อยังมีป้ายรถเมล์และทางม้าลายอยู่เรื่อยๆ
ตัวหน้าตาอาคารออกแบบมาในลักษณะของ “Timeless” ที่ตั้งใจออกมาให้ดูเรียบๆ ไม่หวือหวาเกินไป เป็นรูปแบบของการมองไปแล้วยังสวยหรูได้นานแม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม ทีมออกแบบก็ไม่ใช่ใครอื่นเป็นทีมเดิมที่เกษรใช้มาจาก Domus สุขุมวิท 16-18 คือ SCDA จากสิงคโปร์ที่ออกแบบคอนโดระดับหรูมาหลายโครงการแล้ว ส่วนเรื่องความหนาแน่นของการอยู่อาศัยจัดว่าให้เป็นระดับไพรเวทมากๆ เพราะโครงการ ”เลือก” ที่จะทำเพียง 84 ยูนิตเท่านั้น และมียูนิตอาศัยต่อชั้นเพียง 4 ยูนิต และก็มีส่วน Private Lift อีกที่อัตราส่วนลิฟท์ 21:1 เท่านั้น
ส่วนแบบของห้องที่นี่ภายในห้องจัดมุมฟังก์ชั่นต่างๆผมว่าลงตัวอยู่แล้วนะ เรียกว่ามีให้ครบสำหรับอยู่อาศัยจริงของครอบครัวขนาดกลางและขนาดใหญ่ แต่ที่พิเศษคือโครงการเน้นรูปแบบของ “ระเบียง” ที่ยาวพิเศษรวมถึงเจ้าพื้นที่ระเบียงจุดนี้จะเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกันระหว่างห้องต่อห้อง ทำให้ดูน่าสนใจไปอีกแบบ และสามารถทำให้แสงธรรมชาติส่องผ่านเข้ามาในห้องได้เยอะมากไปรวมกับความสูงของห้องที่สูงถึง 3.20 เมตร ทำให้ห้องจะดูโปร่งสบายตาไปเลย
วัสดุต่างๆที่ใช้ในห้องมีการตัดมาให้ดูเป็นแบบชิ้นเล็กๆแบบนี้ อย่างเช่นพวกพื้นที่บริเวณ Foyer กับ ห้องน้ำ ใช้เป็นหินสังเคราะห์ compressed marble และ Homogeneous Tile / Top ครัวเป็นหินควอทซ์ หน้าบานเป็น High Gloss / พื้นหลักในห้องนั่งเล่นห้องนอนเป็น Engineer Wood / พื้นระเบียงเป็น Composite Wood (ไม้เทียม) และสุดท้ายกระจกที่ใช้จะเป็น Insulating Glass แบบหนาพิเศษ 31.5 mm. / อย่างพวกชุดก๊อกน้ำและฝักบัวของที่นี่จะเป็นแบรนด์ชั้นนำ อย่าง Hansgrohe ของเยอรมัน สุขภัณฑ์ในห้องน้ำเป็นของ Duravit ทั้งหมด จากเยอรมันเช่นกัน / เครื่องใช้ไฟฟ้าบริเวณชุดครัวที่นี่ ไมโครเวฟ, เตาอบ, Hob&Hood จะได้ของแบรนด์ Bertazzoni ของอิตาลี ตู้เย็นจะเป็นของ Fisher&Paykel นะครับ / สุดท้ายชุดชุดครัว จะเป็นของ Binova แบรนด์ระดับพรีเมี่ยมสัญชาติอิตาลีเช่นเดียวกัน
Facility ที่นี่ชั้นมีมาให้หลากหลายอย่างตามจุด แต่น่าเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้สร้างที่ชั้นบนๆเลยเพื่อเอาไว้ชมวิว เราจะค่อยๆไล่ไปนะ เริ่มจากชั้นใต้ดินมีจุดล้างรถอัตโนมัติ ชั้นมาที่ Ground Floor จะมีจุดชาร์จไฟรถไฟฟ้า, Lobby, Lounge, Library, Chlidren play area, Resident’s Garden และ Play Area & BBQ / ขึ้นมาที่ชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นหลัก Swimming Pool 1 สระ ระบบเกลือ ขนาด 6 x 22 เมตร ลึก 1.5 เมตร, แยกสระเด็ก ติดกันเป็น Pool Deck, Daybed Seating, Club House, Kitchen, Changing Room, Steam Room, Treatment Room, GYM, Yoga Room และที่สำคัญคือที่นี่จะมี Human Service มาดูและตามจุดที่ต้องมีการใช้อีกด้วย/ Private Lift 4 ตัว และ Service Lift 1 ตัว อัตราส่วนลิฟท์ 21 : 1 ที่จอดรถประมาณ 142 คันคิดเป็น 169% (จอดแบบปกติ)
Judgement
ราคาของคอนโดนี้ถือเป็นระดับ ULTIMATE CLASS ซึ่งความคุ้มค่าด้านราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อ ความคุ้มค่าด้านอารมณ์คือปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตราบเท่าที่ทางเรายังไม่สามารถวัดค่ามาตรฐานทางอารมณ์ได้ ทาง Think of Living ขอไม่ให้คะแนนฟันธงในรีวิวเจาะลึกนะครับ เพราะมีตัวเปรียบเทียบน้อย เป็นสินค้าประเภท Unique เสียส่วนใหญ่ และเราก็เชื่อว่าลูกค้าที่พร้อมจะซื้อคอนโดระดับนี้ ไม่ตัดสินง่ายๆด้วยคะแนนแน่นอน
BOTTOM LINE
Tela ทองหล่อ เป็นโครงการที่ออกแบบมาสำหรับ 84 ครอบครัว มีความเฉพาะตัวทั้งรูปแบบโครงการและการจัดฟังก์ชั่นในห้องที่แตกต่างจากโครงการปกติทั่วไป เหมาะกับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงในทำเลติดถนนทองหล่อแท้ๆ ที่ไม่มีข้อจำกัดทางการเงิน และต้องการ “บ้าน” ที่ตรงกับความต้องการตัวเองจริงๆ