..สร้างเสร็จพร้อมอยู่แล้วครับ สำหรับโครงการ Reference สาทร – วงเวียนใหญ่ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่จาก SC Asset และยังเป็นโครงการแรกของแบรนด์นี้อีกด้วย โดยนี่จะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นว่าหน้าตาและบรรยากาศ ที่เค้าว่ากันว่าคอนโดนี้จะมีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใครนั้น ของจริงทำเสร็จออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร จะสามารถ Reference ตัวตนออกมาได้สมกับชื่อแบรนด์และคอนเซ็ปต์หรือไม่ วันนี้เราจะได้รู้กันครับ แต่แอบกระซิบไว้ก่อนนะว่าคอนโดสวยมาก และความน่าสนใจหรือ Highlights ของโครงการก็จะมีดังนี้

  • ส่วนกลางสวย และเป็นคอนโดที่มีคอนเซ็ปต์ชัดเจน ‘พระจันทร์ (Moon)’ ซึ่งได้แสดงออกมาในรูปแบบของสถาปัตยกรรมของส่วนกลาง มีความสวยงามไม่เหมือนใคร ให้อารมณ์เหมือนเป็น Art Gallery หรือ Museum ที่สวยๆแห่งหนึ่งเลยทีเดียว
  • เดินทางสะดวก ใกล้กับรถไฟฟ้า BTS วงเวียนใหญ่ 130 m. เป็นระยะที่เดินได้สบายๆ และสามารถเข้าเมืองไปทางสีลม-สาทร-สยามได้สะดวกมากๆ
  • ห้องพักชั้นสูงๆและส่วนกลางส่วนใหญ่จะมองเห็นวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาได้
  • เน้นห้อง 1 Bedroom อยู่อาศัยได้ 1 – 2 คน ห้องนอนกั้นด้วยผนังทึบเป็นส่วนตัว ช่องแสงก็ใหญ่ ระบายอากาศได้ดี และขายแบบ Fully Furnished พร้อมเข้าอยู่
  • มีแบบห้องให้เลือก 4 Type เหมาะกับคนที่มี Lifestyle แตกต่างกัน ห้องที่ขายดีและแรร์ที่สุดคือ 2 Bedrooms พื้นที่กว้างขวาง ให้อารมณ์เหมือนอยู่บ้าน แต่มีค่อนข้างน้อย ใครสนใจต้องรีบกันหน่อยนะครับ

ข้อมูลโครงการ

Reference Sathorn – Wongwianyai (เรฟเฟอเรนซ์ สาทร – วงเวียนใหญ่) ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567

 ชื่อโครงการ  Reference Sathorn – Wongwianyai (เรฟเฟอเรนซ์ สาทร – วงเวียนใหญ่)
 ชื่อผู้ประกอบการ  บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด
 SEGMENT CLASS  HIGH CLASS (รายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2021 )
 โครงการตั้งอยู่  ซอย กรุงธนบุรี 2 เขต กรุงธนบุรี เขต คลองสาน
 ที่ดิน  3-2-78.2 ไร่
 ประเภทคอนโด  High Rise 2 อาคาร สูง 32 – 51 ชั้น และ Low Rise 1 อาคาร สูง 2 ชั้น
 จำนวนยูนิต  ห้องพักอาศัย 789 ยูนิต และห้องชุดเพื่อการพาณิชย์ 3 ยูนิต
 ยูนิตต่อชั้นสูงสุด   11 – 13 ยูนิต
 ที่จอดรถ  ประมาณ 45% แบบไม่รวมจอดซ้อนคัน
 สถานะโครงการ  สร้างเสร็จพร้อมอยู่
 ประเภทห้องพัก
  • Studio ขนาด 24.19 – 27.94 ตร.ม.
  • 1 Bedroom ขนาด 31.24 – 31.88 ตร.ม.
  • 1 Bedroom Plus ขนาด 32.54 – 53 ตร.ม.
  • 2 Bedrooms Combine ขนาด 63.12 ตร.ม.
  • 2 Bedrooms ขนาด 70.08 – 72.85 ตร.ม. (Sold Out)

 ฝ้าเพดานสูง  2.7 เมตร
 ราคาเริ่มต้น  3.69 ล้านบาท
 ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ  ประมาณ 140,000 บาท/ตร.ม.
 เว็บไซต์โครงการ https://www.scasset.com/th/condominium/reference-sathorn-wongwianyai/
 Call Center 1749

ทำเลที่ตั้ง

Highlights :

  • ใกล้รถไฟฟ้า BTS วงเวียนใหญ่ ในระยะเดินได้สบายๆเพียง 130 m.
  • มีจุดกลับรถอยู่ห่างออกไปเพียง 160 m. สามารถกลับรถเพื่อขับข้ามสะพานตากสิน เข้าเมืองไปทางสีลม-สาทร-พระราม 4 ได้ง่าย ซึ่งเป็นย่าน CBD ที่เป็นแหล่งงานสำคัญของคนกรุงเทพฯ
  • ตั้งอยู่ระหว่างความอุดมสมบูรณ์ของฝั่งสาทร และย่านฝั่งธน-วงเวียนใหญ่ ที่เราสามารถเดินทางไปจับจ่ายใช้สอยที่ห้างหรือตลาดได้สะดวกทั้งคู่
  • ไม่มีตึกสูงบังวิว สามารถมองเห็นโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา และช่วงงานเทศกาลก็จะมองเห็นพลุได้จากชั้น Sky Facilities ได้ด้วย (เดี๋ยวจะมีภาพประกอบจากโครงการให้ดูด้วยนะ)

พิกัด Google Maps : 13.719898, 100.493898
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

โครงการ Reference สาทร – วงเวียนใหญ่ ตั้งอยู่ในซอยกรุงธนบุรี 2 บนถนนกรุงธนบุรี และไม่ไกลจากสะพานตากสิน ที่เราสามารถใช้ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเข้าเมืองไปทางสีลม-สาทร-พระราม 4 ได้ไม่ยากเลยครับ ซึ่งจัดเป็นย่าน CBD ที่สำคัญ เพราะเต็มไปด้วยอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ โรงพยาบาล และโรงเรียนนานาชาติอีกหลายแห่ง

หรือหากเป็นย่านฝั่งธนเอง ก็จะมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อย่าง ICONSIAM และ The Mall ท่าพระ ให้เดินช้อปปิ้งกันเพลินๆได้ นี่ยังไม่รวมตลาดขนาดใหญ่ทั้งบริเวณตลาดพลู และแถวๆวงเวียนใหญ่ ที่เราสามารถเดินซื้อกับข้าวกลับมาทานที่บ้านกันได้ง่ายๆ หรือถ้าใครที่เป็นสายแฮงค์เอ้าท์สไตล์ชิคๆ เราแนะนำให้ข้ามไปฝั่ง Asiatique กันก็ได้ครับ

ทีนี้เราลองมาพิจารณาตัวโปรดักส์กันสักหน่อย แน่นอนว่าหลายๆคนน่าจะมีการเทียบกับคอนโดที่อยู่ฝั่งสาทร-พระราม 4 กันด้วยแน่ๆ แล้วเหตุผลอะไรที่ทำให้คอนโด Reference ที่อยู่ฝั่งธนมีความน่าสนใจกันล่ะ?

  • ข้อแรกเราคิดว่าเป็นเรื่องของ ‘ราคา’ ที่จับต้องได้ง่ายกว่าคอนโดในเมืองเป็นหลักแสน-หลักล้าน ซึ่งระยะห่างก็เพียงแค่ข้ามแม่น้ำมาเท่านั้นเอง
  • ข้อที่ 2 เราคิดว่าเป็น ‘ความเงียบสงบและเป็นส่วนตัว’ เพราะฝั่งในเมืองจะมีความหนาแน่นของตึก และรถก็ติดเยอะกว่ามากๆ ซึ่งการข้ามฝั่งมาก็จะเหมาะกับการกลับมาพักผ่อนอยู่บ้านมากกว่านั่นเอง
  • ข้อที่ 3 เรามองว่าเป็นเรื่องของ ‘วิว’ ซึ่งคอนโดย่านฝั่งธนจะได้วิวที่เปิดโล่งมากกว่า และยังเห็นวิวแม่น้ำจากระยะไกลได้อีกด้วยนั่นเองครับ โดยหากใครที่คิดว่า 3 ข้อที่ผมกล่าวมาข้างต้นเข้าเกณฑ์ของตัวเองเหมือนกันล่ะก็ ลองพิจารณาโครงการนี้เป็นตัวเลือกกันได้เลยครับ

ทางฝั่งทิศตะวันออกของโครงการ Reference จะเป็นวิวทางฝั่งโค้งแม่น้ำ ซึ่งระยะห่างก็ประมาณ 2 km. สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน รวมถึงทางทิศนี้ก็ยังมีเมกาโปรโจคทั้ง ICONSIAM + Asiatique + One Bangkok ที่ในช่วงเทศกาลหรือวันสำคัญต่างๆ ก็มันจะมีการจุดพลุเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ และเราก็พอจะสามารถมองเห็นวิวนั้นได้จากบนชั้น Sky Facilities ของโครงการได้เลยครับ

อันนี้เป็นภาพตัวอย่างจากทางโครงการในช่วงวันลอยกระทงที่ผ่านมาครับ

การเดินทางด้วยรถยนต์ :

หากใครที่เน้นเดินทางเข้าเมือง ก็จะมีจุดกลับรถอยู่ห่างจากโครงการเพียง 160 m. เท่านั้นครับ ทำให้เราสามารถข้ามสะพานตากสินเพื่อเข้าเมืองได้สะดวกมากๆ ส่วนขากลับยิ่งสบายเลย เพราะลงจากสะพานมาก็เลี้ยวเข้าโครงการได้พอดี

และสำหรับใครที่มาจากทางวงเวียนใหญ่ จะมีทางลัดให้เราเลี้ยวเข้าซอยสมเด็จพระเจ้าตากสิน 11 ซึ่งจะสามารถลัดกลับมายังโครงการได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปกลับรถที่ใต้สะพานตากสินเลยนั่นเอง

การเดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS :

อีกหนึ่งจุดเด่นของทำเลโครงการก็คือ “ใกล้รถไฟฟ้า BTS วงเวียนใหญ่” ในระยะเดินได้สบายๆเพียง 130 m. เท่านั้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกการเดินทางเข้าเมืองที่สะดวก โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนน สามารถเข้าเมืองไปทำงานได้ง่าย หรือจะนั่งยาวจนสุดสายไปถึงสยามเลยก็ได้

รวมถึงยังสามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสถานีอื่นๆอย่าง รถไฟฟ้าสายสีทองที่สถานีกรุงธนบุรี เพื่อไปยังห้าง ICONSIAM และรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีสีลม เพื่อไปแฮงค์เอาท์กับเพื่อนๆ ไปเดินเล่นออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ หรือจะไปหาของอร่อยๆทานที่เยาวราชก็ได้ อีกทั้งบริเวณปากซอยก็ยังมีร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารสตรีทฟู้ด และวินมอเตอร์ไซค์อีกด้วยครับ

ส่วนบรรยากาศระหว่างทางเดินจาก BTS มายังโครงการจะเป็นอย่างไร เราไปชมภาพใน Gallery กันได้เลยครับ

Image 1/5
ตอนนี้เราอยู่บนรถไฟฟ้า BTS สถานี วงเวียนใหญ่ ซึ่งก็ให้เราเดินมาตามป้ายบอกทางออกที่ 2 ได้เลยครับ

ตอนนี้เราอยู่บนรถไฟฟ้า BTS สถานี วงเวียนใหญ่ ซึ่งก็ให้เราเดินมาตามป้ายบอกทางออกที่ 2 ได้เลยครับ

สภาพแวดล้อมรอบโครงการ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะครับ

บริบทรอบๆโครงการ ส่วนใหญ่จะเป็นชุมชนแนวราบดั้งเดิมของที่นี่ ซึ่งหากดูจากแปลงที่ดินก็มีความการันตีวิวได้ระดับหนึ่งเลย ว่าการจะมีตึกสูงใหม่ขึ้นมาบังวิวอีกในอนาคตคงยาก เพราะการจะรวมที่ดินแปลงเล็กๆโดยรอบให้กลายเป็นผืนใหญ่นั้นเป็นเรื่องไม่ง่ายเลยครับ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะครับ

ลองซูมออกมาให้ดูระยะไกลๆกันอีกหน่อย จะเห็นได้ว่าตัวโครงการจะได้วิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาไกลๆทั้ง 3 ทิศเลยครับ แต่ก็อาจต้องเป็นชั้นที่อยู่สูงๆสัก 20+ ขึ้นไปถึงจะมองเห็นนะ ซึ่งทิศของห้องพักจะเน้นไปทางเหนือและใต้ครับ ใครชอบวิวฝั่งไหนก็สามารถเข้าไปชมวิวที่ห้องจริงกันได้แล้ววันนี้

รูปจาก Fitness บนชั้น 31

  • ทิศเหนือ : เป็นทางเข้าหลักด้านหน้าโครงการ ติดกับ ถนนซอยกรุงธนบุรี 2 และชุมชนแนวราบ โดยจะหันหน้าไปทางถนนกรุงธนบุรี มองเห็นรถไฟฟ้า BTS สถานีวงเวียนใหญ่ วงเวียนใหญ่ และโค้งแม่น้ำไกลๆ

รูปจาก Sky Lounge บนชั้น 51

  • ทิศใต้ : ติดกับ ชุมชนแนวราบ ระยะไกลมองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยา และสะพานกรุงเทพได้ด้วย เป็นทิศที่เปิดโล่งมากที่สุด

รูปจาก Sky Lounge บนชั้น 51

  • ทิศตะวันออก : ติดกับ ชุมชนแนวราบ ระยะไกลมองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยา และสะพานตากสิน รวมถึงยังมองเห็นสถานที่สำคัญๆต่างๆได้ด้วย เช่น ICONSIAM / Asiatique

รูปจากสระว่ายน้ำบนชั้น 50

  • ทิศตะวันตก :  ติดกับ คอนโด The Rich Sathon – Taksin สูง 23 ชั้น ระยะไกลสามารถมองไปทางตลาดพลู-ท่าพระได้

ส่วนภาพนี้เป็นวิวจากห้องที่หันหน้าเข้ามาด้านในโครงการ ซึ่งจะมองเห็นสวนที่อยู่บนชั้น 10 ได้ครับ

 

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

ห้างสรรพสินค้า / ตลาด

  • The Mall ท่าพระ ~ 2 km.
  • Sena Fest ~ 2.5 km.
  • ICONSIAM ~ 2.8 km.
  • King Power มหานคร ~ 4.7 km.

โรงพยาบาล

  • โรงพยาบาลสมิติเวช ธนบุรี ~ 1.1 km.
  • โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ~ 2.1 km.
  • โรงพยาบาลตากสิน ~ 2.8 km.
  • โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ ~ 4.5 km.

โรงเรียน

  • โรงเรียนอัสสัมชัญ คอนแวนต์ สีลม ~ 3.8 km.
  • โรงเรียนเซนต์หลุยส์ศึกษา ~ 4.8 km.
  • โรงเรียนเซนต์ไมเกิ้ล ~ 4.9 km.
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ~ 5.6 km.

รายละเอียดโครงการ

Highlights :

  • มีคอนเซ็ปต์และสถาปัตยกรรมการออกแบบที่โดดเด่น ได้แรงบันดาลใจมาจากพระจันทร์ (Moon) มีความสวยงามไม่เหมือนใคร
  • จัดส่วนกลางมาให้เยอะ สวยงามน่าใช้งาน และเปิดตลอด 24 ชม. พร้อม Sky Facilities มองเห็นวิวโค้งแม่น้ำได้แบบ 180 องศา จะชมวิวเมืองก็ได้ หรือจะดูพลุตามเทศกาลก็มองเห็น
  • เป็นโครงการที่จัดเต็มสิ่งอำนวยความสะดวกไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นบริการรถรับ-ส่ง Muvmi และร้านค้า Foodland
  • มีการวางผังห้องพักส่วนใหญ่ให้ทั้ง 2 อาคารไม่บังวิวกันเอง โดยเฉพาะห้องใหญ่ตรงมุมอาคารจะสามารถมองเห็นวิวได้ 3 ด้านเลยทีเดียว


..นี่คือคอนโดแบรนด์ ‘Reference’ แห่งแรกจาก SC Asset โดยผมเคยมีโอกาสพาทุกคนมาชมตั้งแต่เมื่อสมัยยังเป็น Sale Gallery เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้ก็สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่เรียบร้อยครับ

และปัจจุบันก็มีโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ Reference เกิดขึ้นอีก 2 แห่งก็คือ Reference Kaset District และ Reference Ekkamai ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่โครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่เป็นแห่งแรกก็คือ Reference Sathorn – Wongwianyai  แห่งนี้นั่นเอง เรามาดูกันเลยครับว่าสร้างเสร็จแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง


ทำความรู้จักแบรนด์ Reference

..‘Find Inspiration in Design ให้ดีไซน์สร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิต’ นี่คือคอนเซ็ปต์ที่เป็นหัวใจสำคัญของโครงการภายใต้แบรนด์ Reference ซึ่งสะท้อนออกมาด้วยการออกแบบที่โดดเด่น มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร อย่างโครงการ Reference Sathorn – Wongwianyai แห่งนี้ก็จะใช้เป็นคอนเซ็ปต์ ‘พระจันทร์ (Moon)’

ที่ได้ Inspiration มาจาก Lifestyle การใช้ชีวิตของผู้คนที่จะทำงาน/ช้อปปิ้งในตัวเมืองฝั่งสาทร และค่อยข้ามกลับมาพักผ่อนตอนกลางคืนที่ฝั่งวงเวียนใหญ่แห่งนี้ ดังนั้นถ้าผู้ถึงกลางคืนก็ต้องนึกถึงพระจันทร์ ผู้ออกแบบจึงได้นำแรงบันดาลใจนี้ มาสร้างสรรค์เป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่ไม่ใช่เป็นแค่ที่อยู่อาศัย แต่ต้องสวยงามและเป็นสถานที่แห่งแรงบันดาลใจ (Source of Inspiration) ในการใช้ชีวิตของผู้พักอาศัยด้วย

โดยงานออกแบบของคอนโดแห่งนี้ จะให้ความรู้สึกเหมือนเราได้อยู่ใน Art Gallery หรือ Museum ที่สวยๆแห่งหนึ่งเลยครับ ซึ่งเราเคยสังเกตมั้ยว่าเวลาที่เราได้ไปเดินดูงานในสถานที่เหล่านี้ เราก็มักจะเกิดไอเดียและได้แรงบันดาลใจใหม่ๆอยู่เสมอ และด้วยความที่เป็นงานศิลปะจึงทำให้บางจุดบางมุมเราจะสามารถมองเห็น และสื่อความหมายออกมาได้หลายแบบมากๆ ขึ้นอยู่กับจินตนาการของแต่ละคนเลยครับ

นอกจากนี้ยังเป็นแบรนด์ที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Y ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของดีไซน์ ชอบหาประสบการณ์ใหม่ๆ และเชื่อว่าดีไซน์ที่ดีจะสามารถสร้างชีวิตที่ดีได้ (Good Design makes Good Life) รวมถึงทุกวันนี้คนเราก็มี Lifestyle ที่หลากหลายมาก ดังนั้นคอนโด Reference จึงจัดให้มีการใช้ Facilities 24 ชม. สำหรับคนที่เน้นใช้ชีวิตยามค่ำคืน หรือจะทำงานเลิกมาดึกๆ เราก็ยังสามารถใช้ส่วนกลางได้อยู่เสมอนั่นเอง

โครงการ Reference Sathorn – Wongwianyai ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 3-2-78.2 ไร่ และมีเพื่อนบ้านทั้งหมด 789 ยูนิต ซึ่งลดลงจากตอนแรกที่เปิดตัวมาใหม่ๆเล็กน้อยครับ เนื่องจากว่าภายหลังได้มีการ Combine ห้องใหม่เกิดขึ้น จึงทำให้ความหนาแน่นลดลง ได้ความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้น โดยผังโครงการจะแบ่งออกเป็น 3 อาคาร ซึ่งจะมีความโดดเด่นที่แตกต่างกันดังนี้

  • อาคาร C : จะเป็นอาคาร Commercial ที่อยู่ด้านหน้าสุด ในอนาคตจะกลายเป็น Foodland ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านและคนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดีครับ โดยบริเวณ Foodland จะเป็นพื้นที่ Public ที่คนภายนอกสามารถเข้ามาใช้บริการได้ด้วย และตรงกลางจะถูกคั่นด้วยพื้นที่สีเขียวและป้อม รปภ. ที่จะแบ่งโซนไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาในโครงการ ผู้พักอาศัยก็จะมีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยมากขึ้นครับ
  • อาคาร A : จะเป็นอาคารหลักที่อยู่ตรงกลาง มีความสูง 32 ชั้น และจะเน้นเป็นฟังก์ชันต้อนรับเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น Lobby Lounge / Drop-Off / Reception หรือนิติบุคคลก็จะอยู่ที่อาคารนี้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีความสะดวกสำหรับคนที่ใช้รถยนต์ด้วยครับ เพราะชั้นจอดรถจะอยู่บนอาคาร A พอดี ถ้าใครที่พักอยู่อาคารนี้อยู่แล้วก็จะสามารถขึ้นลิฟต์ตรงกลับขึ้นห้องพักได้เลย โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินข้ามอาคารครับ
  • อาคาร B : เป็นอาคารที่มีความสูงที่สุดอยู่ที่ 51 ชั้น เหมาะกับคนที่ชอบวิวในห้องสูงๆ รวมถึงยังเป็นอาคารที่ใช้งาน Facilities ได้สะดวกที่สุดอีกด้วย เพราะฟังก์ชันหลักๆส่วนใหญ่จะอยู่ที่อาคารนี้เกือบทั้งหมดเลยครับ หากใครที่เป็นคนชอบใช้ส่วนกลางเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น Co-Working Space / Swimming Pool และ Sky Lounge ก็สามารถเลือกเป็นอาคารนี้ได้เลย

อันนี้เป็นส่วนของอาคาร C ที่อยู่ด้านหน้าสุด ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่าง Renovate เปลี่ยนจาก Sale Gallery เดิมให้กลายเป็น Foodland ที่คาดว่าน่าจะเสร็จในช่วงปีหน้าครับ ถือว่าหาได้ยากมากสำหรับคอนโดที่มี Supermarket แบรนด์นี้อยู่ด้านล่างแบบนี้

แน่นอนว่าสิ่งนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งชุมชนรอบๆก็ได้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน เพราะแถวๆนี้ยังไม่มี Foodland มาเปิดเลยนั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง Magnet ที่น่าสนใจไม่น้อยเลยครับ

ถัดเข้ามาจะเป็นโซนของ Resident ซึ่งจะมีไม้กั้นกระดกระบบ RFID และ Smart Gate อ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ แบ่งโซนออกจากส่วนของ Foodland ที่อยู่ด้านหน้าเพื่อความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยสำหรับผู้พักอาศัย

และเมื่อผ่านเข้ามาก็จะเจอกับ Drop-Off ที่อยู่ใต้อาคาร A สามารถวนรถรับ-ส่งคนได้ตรงนี้ และกลับออกไปได้สะดวก โดยที่ไม่ต้องขับเข้าไปด้านในโครงการให้เสียความเป็นส่วนตัวนั่นเองครับ

สำหรับใครที่มีรถยนต์ส่วนตัว จะต้องขับรถวนอ้อมอาคาร B ไปทางด้านหลังอีกที จะมีทางขึ้นชั้นจอดรถและช่องจอด EV Charger อยู่ด้านในสุด แถมยังให้ EV มาเยอะถึง 10 ช่องเลยครับ (พอดีว่าปัจจุบันหน้างานช่างกำลังเก็บงานกันอยู่ งั้นผมขอพาเข้าไปชมในอาคารกันต่อเลยนะ)


Tower A :

ภายในอาคาร A ที่อยู่ติดกับ Drop-Off จะเป็นส่วนที่เรียกว่า Moon Lobby เป็นพื้นที่ส่วนต้อนรับเอาไว้รับรองแขกภายนอกที่มาติดต่อ

รวมถึงยังมี Reception และพนักงานไว้คอยบริการ สามารถติดต่อสอบถามเล็กๆน้อยๆได้ (ไม่ถึงกับเป็น Concierge Service แต่หมายถึงเรื่องทั่วๆไป เช่น ติดต่อซ่อม / จองส่วนกลาง / แจ้งปัญหาต่างๆ / สอบถามเรื่องกิจกรรม เป็นต้น)

ด้านในจะมีโซฟาให้นั่งเล่นกระจายอยู่หลายชุดเลยครับ ซึ่งลูกบ้านเองก็สามารถมานั่งเล่นพักผ่อนกันได้ หรือจะมานั่งคอยเพื่อนที่ซื้อของอยู่ตรง Foodland ด้านหน้าก็ได้ เพราะจากประตูนี้ก็จะสามารถเดินเชื่อมต่อไปซูเปอร์ฯได้ด้วยนั่นเอง

อีกหนึ่งอย่างที่ผมแอบสังเกตเห็นก็คือ โคมไฟพระจันทร์ที่ประดับอยู่ด้านบน ซึ่งตอนแรกแอบคิดว่าเค้าเอามาจากสมัย Sale Gallery ใช่หรือเปล่าดูคุ้นๆ? แต่จริงๆอันนี้เป็นอันใหม่นะ เพราะใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย โดยเป็นส่วนสำคัญที่สื่อถึงคอนเซ็ปต์ ‘Moon’ ของโครงการได้อย่างชัดเจนเลยครับ

ส่วนทางเดินที่อยู่ด้านข้างจะเชื่อมต่อไปยัง Mail-Box แบบนี้ครับ ซึ่งเค้าจะแยกห้องระหว่าง Tower A และ Tower B ชัดเจน ดูตามป้ายด้านหน้าได้เลย

อีกด้านหนึ่งของประตูทางเข้าก็จะเป็นพื้นที่นั่งเล่นอีกจุดหนึ่งครับ และตรงกลางข้างๆ Reception จะเป็นประตูที่จะเชื่อมต่อกับฟังก์ชันอื่นๆภายในอาคาร

ซึ่งถัดจากนี้ไปจะเป็น Private Area ที่จำเป็นจะต้องใช้ Key Card หรือ Face Scan สำหรับผู้พักอาศัยเท่านั้น เพื่อความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยครับ

เข้ามาด้านในเราจะเจอกับ Lunar Lounge เป็นพื้นที่รับรองที่โดดเด่นด้วยผนังและเสาทรง Arch โค้งขนาดใหญ่สวยงาม ให้อารมณ์เหมือนเป็น Art Gallery หรือ Museum เลยครับ

ซึ่งเดี๋ยวเราจะได้เห็นอีกในฟังก์ชันอื่นๆทั่วทั้งโครงการเลย เรียกได้ว่าด้านสถาปัตยกรรมของที่นี่ทำได้ถึงและแตกต่างจากคอนโดอื่นๆมากๆ

ด้านซ้ายของ Lounge จะเป็นทางเดินที่แยกออกไปยังโถงลิฟต์ ซึ่งสามารถตรงขึ้นไปยังที่จอดรถและชั้นพักอาศัยได้ รวมถึงด้านในสุดจะเป็นประตูเชื่อมต่อไปยังจุดรับ-ส่ง Grabfood ต่างๆได้ด้วยครับ

ส่วนตัวผมประทับใจที่เค้าใส่ใจในรายละเอียดของการตกแต่งมากๆ เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นแค่โถงลิฟต์ แต่ก็ไม่ลืมที่จะใส่องค์ประกอบของไอเดียคอนเซ็ปต์ลงไปด้วย ซึ่งมันทำให้โถงลิฟต์ธรรมดาๆดูสวยงามน่าใช้งานมากขึ้นเยอะเลยทีเดียว


Tower B :

เรามาดูทางฝั่งของอาคาร B กันบ้างครับ ซึ่งจาก Lunar Lounge เมื่อครู่จะมีประตูทางเดินเชื่อมมายังอาคารนี้ได้ด้วย (พอดีว่าจุดนั้นยังไม่เรียบร้อยดี ก็เลยพามาดูด้านในเลยก็แล้วกันนะ)

โดยในภาพจะเป็นโถงทางเดินที่เชื่อมต่อระหว่างโถงลิฟต์กับ Facilities ซึ่งเรายังคงเห็นถึงความสวยงามของผนัง Arch โค้งที่ประดับอยู่ตลอดเส้นทาง เอาง่ายๆว่าแค่โถงทางเดินก็น่าเดินมากสำหรับโครงการนี้

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่แค่ความใส่ใจ หรือต้องการประดับให้สวยงามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่นี่เป็นส่วนหนึ่งของ Concept แบรนด์ Reference ที่ต้องการสื่อถึงตัวตนที่แตกต่าง และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อยู่อาศัยในทุกๆฟังก์ชันนั่นเอง ..ไม่เชื่อก็ลองดูแต่ละภาพสิครับ ว่าถ้าไม่บอกก็คงจะไม่รู้เลยว่านี่เป็นคอนโดจริงมั้ย?

สำหรับส่วนกลางหลักที่โดดเด่นของอาคาร B ก็คือ Orbi Co-Space ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับนั่งทำงาน พบปะพูดคุย หรือมาหามุมส่วนตัวสำหรับพักผ่อนได้ โดยจะมีให้เลือกหลายจุดเลยครับ

เริ่มจากโถงตรงกลางนี้ที่มีบันไดโค้งเป็นจุดเด่น เห็นครั้งแรกขอบอกเลยว่าสวยจึ้งมาก อีกทั้งของตกแต่งต่างๆก็ลงตัวให้บรรยากาศดี โดยเฉพาะต้นไม้และไฟส่องสว่างบนเพดาน ที่มองเผินๆคิดว่าเป็น Skylight ซะอีก ก็เลยแอบให้บรรยากาศเหมือนเป็นพื้นที่แบบ Semi-Outdoor สบายๆเลยครับ

สำหรับใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัว หรือมีประชุมที่ต้องทำงานกลุ่ม ก็จะมีห้อง Meeting Room ให้ใช้งานอยู่ทางขวามือครับ ซึ่งจะมีทั้งหมด 2 ห้องด้วยกัน และเราสามารถจองเวลาเพื่อให้ใช้งานแบบส่วนตัวได้ใน Application หรือแจ้งกับนิติได้เลยครับ

ถัดเข้ามาด้านในจะเป็นพื้นที่นั่งเล่นรวม ซึ่งจะมีให้เราเลือกหลายแบบหลายมุมเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเดี่ยว โต๊ะกลุ่ม และโซฟา โดยจะจัดให้กระจายตัวกันไม่หนาแน่นมาก เพื่อไม่ให้เสียความเป็นส่วนตัวในการใช้งานนั่นเอง

เดินขึ้นบันไดมายังชั้น 2 กันต่อเลยครับ ซึ่งจากมุมนี้เราจะมองเห็นโถงด้านล่างทั้งหมดเลย ส่วนทางเดินที่แยกออกไปทางฝั่งด้านโน้นจะเป็นห้องน้ำนะครับ สามารถเดินไปใช้งานได้สะดวก

ด้านบนจะเป็นพื้นที่นั่งเล่นและนั่งทำงานอีกจุดหนึ่ง แต่จะมีความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวมากกว่าด้านล่างนิดนึง รวมถึงจะเน้นเป็นชุดโซฟาให้นั่งสบายๆด้วยครับ

แปลนชั้น 2 แต่ละอาคารจะแตกต่างกันออกไปดังนี้

  • อาคาร C : ด้านบน Foodland จะเป็นพื้นที่สวนที่เรียกว่า The Ref Roof Garden เฉพาะลูกบ้านเท่านั้นที่จะขึ้นมาใช้งานได้ครับ
  • อาคาร A : จะเป็นชั้นจอดรถตั้งแต่ชั้น 2 – 9 โดยลูกบ้านที่อยู่อาคาร A จะสามารถขึ้นลิฟต์ตรงไปยังห้องพักของตัวเองได้เลย แต่สำหรับลูกบ้านที่อยู่อาคาร B จะสามารถเชื่อมไปได้ที่ Lounge ชั้น 1 และสะพานทางเชื่อมที่อยู่บนชั้น 10 ครับ
  • อาคาร B : จะเริ่มเป็นห้องพักอาศัยตั้งแต่ชั้น 2 ขึ้นไป ซึ่งชั้นล่างๆหรือห้องที่หันหน้าเข้ามายังอาคาร A จะเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยเน้นวิวในห้องพักมากนัก

The Ref Roof Garden จะเป็นพื้นที่นั่งเล่นแบบ Outdoor มีทั้งแบบโต๊ะเก้าอี้และเคาน์เตอร์บาร์ให้มานั่งพักผ่อนชิลๆกันได้ (ส่วนของจริงสร้างออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร ต้องรอชมกันอีกทีนะครับ)

แปลนชั้น 10 จะเป็นชั้นที่มีสะพานเชื่อมต่อระหว่างทั้ง 2 อาคาร และจะถูกจัดเป็นพื้นที่สวนให้มานั่งเล่นพักผ่อนกันได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยทำให้ห้องพักที่หันหน้าเข้ามาด้านใน มีวิวสวยๆให้ชมกันอีกด้วยนะครับ

ซึ่งก็จะการันตีเป็นวิวสวนและผืนน้ำแบบนี้ไปได้ตลอดยาวๆเลย แนะนำเป็นห้องพักอาศัยไม่เกินชั้น 14 – 15 กำลังดี เพราะจะมองเห็นสวนได้ชัดเจนแบบไม่ต้องก้มลงมาดูจากที่สูงมากนัก

บรรยากาศของสะพานทางเชื่อมอาคารครับ ซึ่งปกติหลายๆโครงการอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนนี้สักเท่าไหร่ ก็เลยมักจะเป็นแค่สะพานธรรมดาเฉยๆ

แต่โครงการ Referance สาทร – วงเวียนใหญ่ ไม่ใช่แบบนั้นครับ เพราะเค้ามองเห็นถึงความสำคัญของพื้นที่ส่วนนี้ที่คนจากทั้ง 2 อาคารจะได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะคนที่มีรถส่วนตัวของอาคาร B ยิ่งต้องเดินผ่านแทบทุกวัน

ดังนั้นก็เลยทำเป็นพื้นที่ใช้งานจริงจังแบบนี้ไปเลย โดยนอกจากจะมีหลังคาช่วยบังแดดบังฝนแล้ว ยังมีสวนให้แวะนั่งเล่นพักผ่อนกันได้อีกด้วย บอกเลยว่าตรงจุดนี้เป็นช่องว่างระหว่างอาคารที่มีลมแรงเย็นสบายดีสุดๆ เสียดายที่วันนี้แดดไม่ค่อยออกนะ เพราะผมคิดว่าถ้ามีแสงส่องก็จะมีเงาทอดยาวลงมาตามแนวเสา คงจะสวยงามกว่านี้มากๆแน่เลยครับ

เรามาดูทางด้านซ้ายมือกันก่อนครับ ฝั่งนี้จะทำเป็น Water Feature พร้อมกับมีจุดให้นั่งเล่นพักผ่อนและ Cresent Pavilion ให้มาใช้งานได้ด้วย

บริเวณด้านข้างจะมีทางเดินเชื่อมต่อไปยังจุดชมวิวที่อยู่ริมอาคาร และ Floating Terrace ที่อยู่อีกฝั่งได้ด้วยนะครับ

บริเวณนี้เรียกว่า Floating Terrace เราสามารถมานั่งเล่นชมวิวกันตรงนี้ได้

ส่วนภาพนี้จะเป็นบรรยากาศใน Cresent Pavilion ถือเป็นมุมส่วนตัวที่สามารถมองเห็นสะพานทางเชื่อมสวยๆได้แบบนี้เลย

ส่วนทางด้านขวาของทางเชื่อมอาคารจะเป็น Play Yard ที่เราสามารถพาน้องๆมานั่งเล่นตรงนี้ได้ โดยจะมีสไลด์เดอร์หินเล็กๆให้ใช้งาน และด้วยความที่เป็นชั้น 10 แนะนำให้ผู้ปกครองดูแลน้องๆหนูๆอย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยด้วยนะครับ

ปลายสุดของทางเดินจะเป็นประตูกระจกของอีกอาคารหนึ่ง ซึ่งเปิดไปก็จะเจอกับโถงลิฟต์พอดีครับ สามารถใช้ขึ้นไปยังชั้นพักอาศัย หรือขึ้นไปใช้งาน Facilities อื่นๆของแต่ละอาคารได้เลย

ตั้งแต่ชั้น 11 ขึ้นไปจะเป็นห้องพักอาศัยทั้งหมด โดยห้องพักในกรอบสีแดงจะมีความแตกต่างกันในแต่ละชั้น บางชั้นจะเป็นห้อง 1 Bedroom 2 ห้องปกติ / บางชั้นจะเป็นห้องแบบ Combine / บางชั้นจะเป็นห้อง 2 Bedrooms

ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นห้องมุมที่ได้ Take View 2 ฝั่งเลย เรียกได้ว่าเป็นตำแหน่งห้องแรร์ที่ดีเลยครับ ใครที่สนใจห้องในตำแหน่งเหล่านี้ก็สามารถเช็คได้ในแปลน หรือสอบถามกับโครงการเพิ่มเติมได้เลย

แปลนชั้น 31 สำหรับอาคาร A จะเป็นชั้นของ Facilities ที่อยู่ด้านบนสุด โดยจะเป็นฟังก์ชัน Active เน้นการออกกำลังกายต่างๆไม่ว่าจะเป็น Fitness / Yoga และ Pilates ใครที่เป็นคนชอบออกกำลังกายหรือใช้งาน Facilities เหล่านี้อยู่เป็นประจำ ก็สามารถเลือกพักอาศัยอยู่อาคาร A ได้ จะได้มาใช้งานได้สะดวกไม่ต้องข้ามตึกไป-มาครับ

ฟังก์ชันแต่ละส่วนจะมีโถงทางเดินและประตูกั้นแยกเป็นส่วนตัวทั้งหมด โดยเรามาเริ่มจากฝั่งของ Fitness กันก่อนครับ ซึ่งทางซ้ายมือจะเป็นผนังกระจกที่มองเห็นระเบียง Moon Deck ให้ออกไปใช้งานได้ด้วย

Moon Deck จะเป็นพื้นที่นั่งพักผ่อนแบบ Outdoor เวลาที่ออกกำลังกายเหนื่อยๆ แล้วอยากพักชมวิว ก็สามารถออกมาใช้งานพื้นที่ตรงนี้ได้เลย

ส่วนด้านใน Fitness มีขนาดค่อนข้างใหญ่ และมีอุปกรณ์ครบครันมาก เราชอบตรงที่ผนังทั้ง 3 ด้านเป็นกระจกที่ชมวิวได้แบบ 180 องศาเลยครับ

โดยเฉพาะโซน Cardio อย่างลู่วิ่งและเครื่องปั่นจักรยาน ก็จะหันหน้าออกไปรับวิวภายนอก ทำให้เราสามารถออกกำลังกายไปและชมวิวไปด้วยได้เพลินๆ

อีกจุดหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ ‘ห้องน้ำ’ ซึ่งจะอยู่อีกด้านของห้องแบบนี้ครับ ทำให้สามารถใช้งานได้สะดวกมากๆเลย

นอกจากห้องน้ำแยกชาย-หญิงแล้ว ยังมีห้องน้ำสำหรับผู้สูงอายุ และตู้ล็อคเกอร์ให้ใช้งานเก็บของด้วยครับ

เรามาต่อกันอีกหนึ่งฟังก์ชันคือ Pilates Room เป็นห้องที่มีอุปกรณ์ให้ใช้งานแบบนี้ และเราก็สามารถจองผ่าน Application เพื่อมาใช้งานได้แบบส่วนตัวด้วยนะครับ

ติดกันจะเป็นห้อง Yoga Room ที่สามารถจองหรือจัดเป็นคลาสออกกำลังกายกับเทรนเนอร์ได้ด้วย (ภายในห้องก็จะเป็นพื้นที่โล่งๆแบบนี้ ลูกบ้านสามารถจัดเตรียมอุปกรณ์ส่วนตัวมาด้วยตัวเองได้)

เบื้องต้นทางโครงการแจ้งว่า SCABLE ที่เป็นนิติบุคคลช่วยบริการหลังการขาย นอกจากจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ตามเทศกาลให้ลูกบ้านได้ร่วมสนุกแล้ว ยังมีการจัดคลาสออกกำลังกายตามแต่ละโอกาสให้อีกด้วย

ซึ่งค่อนข้างน่าสนใจดีนะครับ เพราะนอกจากจะสะดวกไม่ต้องหาครูมาสอนเองแล้ว ยังทำให้เราได้ทำกิจกรรมและมีโอกาสได้รู้จักเพื่อนบ้านที่มี Lifestyle ความชอบเหมือนกันได้อีกด้วยนะ

แปลนชั้น 32 – 49 จะเป็นห้องพักอาศัยที่จะมีเฉพาะอาคาร B นะครับ ใครที่ชอบวิวสูงๆ หรือชอบว่ายน้ำ/ขึ้นไปชมวิวที่ Sky Lounge บ่อยๆก็สามารถเลือกอยู่ที่อาคารนี้กันได้เลย

แปลนชั้น 50 จะเป็นชั้น Facilities ที่เป็นอีกหนึ่ง Highlight หลักของโครงการก็คือ Moon Cave Swimming Pool เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ของสระน้ำเกือบทั้งชั้นเลยครับ นอกจากนี้ยังมีห้องน้ำให้ใช้งานสะดวก และมีบันไดวนให้เดินเชื่อมต่อไปยัง Skylounge ที่อยู่ชั้นบนสุดได้ด้วย

และนี่ก็คือบรรยากาศของ Moon Cave Swimming Pool ซึ่งบริเวณ Lap Pool จะมีความยาว 10 x 30 m. เรียกได้ว่าสามารถว่ายออกกำลังกายได้จริงจัง โดยการดีไซน์ของผนังจะมีความโค้งเว้าที่สวยงามแปลกตา รวมถึงจะมีทั้งส่วนที่เป็นแบบกลางแจ้งและในร่มให้หลบแดดได้ด้วยครับ

และด้วยความที่เราอยู่บนชั้น 50 แบบนี้ ก็จะทำให้สามารถมองเห็นวิวโค้งแม่น้ำสวยๆได้แบบชัดเจน 180 องศาเลยทีเดียว

ด้านซ้ายมือของสระจะเป็นทางเดินเชื่อมต่อไปยัง Deck สำหรับนั่งพักผ่อนชมวิวปลายสระ และระหว่างทางก็จะมี Shower ให้ล้างตัวก่อนลงสระด้วยครับ

และนี่ก็คือ Deck ที่ของจริงจะมีการนำโต๊ะเก้าอี้ต่างๆมาวางเพิ่ม ให้สำหรับนั่งเล่นพักผ่อนกันได้นะครับ รวมถึงบริเวณนี้ยังเป็นจุดชมวิวโค้งแม่น้ำฝั่งเจริญนคร สามารถมองเห็น ICON Siam + Asiatique ได้ด้วย ซึ่งในช่วงมีงานเทศกาลสำคัญๆ เราอาจสามารถมองเห็นการจุดพลุเฉลิมฉลองได้จากบนนี้ด้วยครับ

ส่วนทางด้านขวาของสระว่ายน้ำจะเป็นทางไปบันไดทางเชื่อม Skylounge ที่อยู่ด้านบน รวมถึงยังมีห้องน้ำ และอ่าง Jacuzzi ให้ใช้งานอีกจุดหนึ่งด้วย

ซึ่งบริเวณโซนนี้ส่วนตัวเราชอบมากๆ เพราะนอกจากรูปร่างของผนังที่มีความสวยงามแปลกตา โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเส้นโค้งของพระจันทร์แล้ว ยังเป็นพื้นที่ในร่มแบบ Semi-Outdoor ที่สามารถมาใช้งานได้จริงตลอดทั้งวันอีกด้วย

จุดแรกจะเป็นพื้นที่นั่งเล่น มีโซฟาเก้าอี้หวายให้ใช้งาน สามารถมานั่งรับลมเย็นๆได้ตรงนี้

อีกด้านหนึ่งจะเป็น Jacuzzi สามารถชมวิวไปทางตลาดพลู-ท่าพระได้ครับ

แปลนชั้น 51 จะมี 2 ฟังก์ชันหลักๆคือ Fly-To-The-Moon Lounge และ Eclipse Onsen สามารถขึ้นมาชมวิว ณ จุดสูงสุดของโครงการได้แบบ Panorama โดยจะเน้นเป็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา และมองเห็นสถานที่สำคัญๆต่างๆ ที่อยู่ในละแวกตรงแถวๆริมแม่น้ำได้ทั้งหมดเลย ซึ่งการจะขึ้นมาใช้งานก็สามารถใช้ลิฟต์โดยสารปกติ หรือจะเดินขึ้นบันไดเชื่อมต่อมาจากชั้นสระว่ายน้ำก็ได้

โดยในครั้งนี้เราจะพาเดินขึ้นมาจากชั้นสระว่ายน้ำนะครับ ซึ่งผมว่ามุมนี้ก็สวยนะ สามารถใช้เป็นจุดถ่ายรูปเช็คอินเก๋ๆไม่เหมือนใครได้เลย (เอาจริงๆก็ไม่เหมือนใครสักมุมแน่นอน สำหรับการดีไซน์ของโครงการนี้)

เมื่อขึ้นบันไดมาจะเจอ Corridor ที่สามารถชมวิวมุมสูงที่อยู่เหนือสระว่ายน้ำได้แบบนี้

ขอบคุณรูปภาพเพิ่มเติมจากทางโครงการ

ติดกับบันไดจะเป็น Eclipse Onsen ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่ชาวต่างชาติโดยเฉพาะคนญี่ปุ่นชื่นชอบมากๆ แถมยังได้ข่าวมาว่ามีคนญี่ปุ่นเข้ามาสนใจที่นี่กันเยอะพอสมควรเลย

โดยบรรยากาศค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัว แถมยังมีช่องแสงขนาดใหญ่ให้เราชมวิวมุมสูงระหว่างแช่น้ำไปด้วยได้อีกครับ

เข้ามาด้านในอาคารบริเวณนี้จะเป็นหน้าโถงลิฟต์โดยสาร ที่เราสามารถขึ้นตรงมาจากชั้นพักอาศัยได้สะดวกเลย ซ้ายมือเป็น Sky Lounge ส่วนขวามือเป็นบันไดลงไปยังสระว่ายน้ำเมื่อครู่

ภายใน Sky Lounge หรือมีชื่อเต็มๆว่า Fly-To-The-Moon Lounge จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ และมีชุดโซฟาให้เรามานั่งเล่นพักผ่อนกันได้หลายจุด

โดยจุดเด่นก็คือ ช่องแสงทรงโค้งขนาดใหญ่ที่ทำให้เราสามารถชมวิวได้เกือบ 360 องศาเลยทีเดียว ซึ่งก็จะเน้นเป็นวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาและฝั่งพระนครเป็นหลักครับ เรียกได้ว่าสวยงามดีทีเดียว

นอกจากนี้ทางโครงการก็มีฝากภาพบรรยากาศวิวช่วงกลางคืนมาให้เราได้ชมกันด้วย จะเป็นอย่างไรบ้างสามารถคลิกดูใน Gallery ได้เลยครับ

Image 1/15

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

Tower A

ชั้น 1

  • Moon Lobby
  • Lunar Lounge
  • Orbi Co-Space
  • Commercial Unit (Shop 3)
  • EV Charger Station 10 คัน
  • Muvmi / Taxi Drop 3 คัน

 

ชั้น 10

  • Cresent Pavilion
  • Floating Terrace
  • Play Yard

 

ชั้น 31

  • Over The Moon Active Club ประกอบด้วย

  • Fitness Room
  • Yoga Room
  • Pilates Room

  • Moon Deck
  •  

    Tower B

    ชั้น 1

    • Orbit Co-Space
    • Zero Waste (Deck นั่งเล่น & แปลงปลูกผัก Organic)

    ชั้น 50

    • Moon Cave Swimming Pool ระบบเกลือ ขนาด 10 x 30 m.

    ชั้น 51

    • Fly-To-The-Moon Lounge
    • Eclipse Onsen

     

    Tower C

    ชั้น 1

    • Commercial Unit (Foodland Supermarket)

    ชั้น 2

    • The Ref Roof Garden

     

    • ลิฟต์โดยสาร Tower A = 3 ตัว/อาคาร และ Tower B = 4 ตัว/อาคาร
    • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 112 :  1
    • Service Lift 1 ตัว/อาคาร
    • ประมาณ 45% แบบไม่รวมจอดซ้อนคัน
    • ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ  CCTV / Key Card / ระบบ RFID และ Smart Gate อ่านป้ายทะเบียนรถยนต์
    • Muvmi บริการรถรับ-ส่ง (จากโครงการไปยังจุดหมายกว่า 20 จุด รอบบริเวณ) ด้วยรถพลังงานไฟฟ้า
    • บริการดูแลหลังการขายจาก SCABLE
    • Ruejai Application (สามารถจองการใช้ส่วนกลาง และเชื่อมต่อ Home Automation ควบคุมการเปิด-ปิดไฟในห้องได้)

    แบบห้อง

    Highlights :

    • เน้นห้อง 1 Bedroom เหมาะกับการอยู่อาศัย 1 – 2 คนเป็นหลัก
    • ห้องนอนกั้นด้วยผนังทึบ ได้ความเป็นส่วนตัว
    • ขายแบบ Fully Furnished ให้เฟอร์นิเจอร์มาครบพร้อมเข้าอยู่ ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ Built-in มาให้พอดีกับขนาดห้อง ทำให้เก็บของได้เยอะ ใช้งานพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า
    • ช่องแสงและหน้าต่างเยอะ โดยเฉพาะห้อง 1 Bedroom ที่ได้ทั้งระเบียงเข้ามุม และหน้าต่างบานเล็กแยกกันต่างหาก ทำให้เปิดถ่ายเทอากาศได้ดี แถมยังเพิ่มความสว่างโปร่งโล่งอีกด้วย
    • มีห้องแบบใหม่ 2 Bedroom Combine พื้นที่ใช้สอยเยอะ Common Area ขนาดใหญ่ บรรยากาศเหมือนอยู่บ้าน

    แบบห้องของโครงการ Referance สาทร – วงเวียนใหญ่ จะมีให้เลือกทั้งหมด 5 Type สำหรับใครที่สนใจห้อง 2 Bedrooms ปัจจุบันจะเหลือเป็นห้องแบบ Combine ที่เป็นรูปแบบใหม่ที่ทางโครงการทำเพิ่มขึ้นมาในช่วงหลัง (มีแค่ 20 กว่ายูนิตเท่านั้น) เพราะเนื่องจากห้องไซส์ใหญ่ขายดีจัดๆ และ Sold Out ไปอย่างรวดเร็วเลยครับ โดยรูปแบบการขายจะเป็น Fully Furnished คือให้เฟอร์นิเจอร์มาครบเหมือนห้องตัวอย่าง พร้อมหิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย ประกอบด้วย

    • Studio ขนาด 24.19 – 27.94 ตร.ม.
    • 1 Bedroom ขนาด 31.24 – 31.88 ตร.ม.
    • 1 Bedroom Plus ขนาด 32.54 – 53 ตร.ม.
    • 2 Bedrooms Combine ขนาด 63.12 ตร.ม.
    • 2 Bedrooms ขนาด 70.08 – 72.85 ตร.ม. (Sold Out)

    วัสดุหลักภายในห้อง :

    • พื้น : กระเบื้องแกรนิตโต้ขนาด 60 x 60 cm. และพื้น SPC ลายไม้
    • ครัว : Built-in มาให้ครบ Top เคาน์เตอร์หินสังเคราะห์ พร้อมติดตั้ง Hop&Hood จาก Hafele
    • สุขภัณฑ์ : ยี่ห้อ Kholer พร้อมติดฉากกั้นอาบน้ำและ Rain Shower
    • ประตู-หน้าต่าง : กรอบอลูมิเนียมสีดำ พร้อมกระจกเขียวตัดแสง
    • เทคโนโลยี : ติดตั้งระบบ Home Automation เชื่อมต่อผ่าน Ruejai App

    • 1 Bedroom ขนาด 31.24 – 31.88 ตร.ม.

    เป็นห้องมาตรฐานของโครงการที่มีให้เลือกเยอะที่สุด จุดเด่นคือ ห้องนอนจะกั้นด้วยผนังทึบแยกออกมาจาก Living Area ทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง รวมถึงห้องน้ำก็จะเข้าได้จากด้านใน ทำให้มีความสะดวกในการใช้งานช่วงกลางคืนมากๆครับ นอกจากนี้เรายังได้ห้องครัวปิดที่กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ทำให้พอจะทำอาหารจริงจังได้ระดับหนึ่งเลย

    แต่ที่ผมชอบมากๆของห้องนี้ก็คือ ‘ช่องแสง + ระเบียง’ เพราะนอกจากเราจะได้เป็นระเบียงแบบเข้ามุม สามารถชมวิวได้กว้างเหมือนอยู่ห้องมุมแล้ว ยังมีพื้นที่สำหรับช่องหน้าต่างเล็กๆข้างโซฟา ให้เราสามารถเปิดระบายอากาศได้ แบบไม่ต้องคอยเปิดประตูระเบียงเหมือนคอนโดทั่วๆไป ซึ่งส่วนตัวผมมองว่ามันเจ๋งมากๆ

    ทั้งนี้ห้อง 1 Bedroom จะมี Layout แปลนอยู่ 2 แบบนะครับ โดยอีกแบบหนึ่งจะเป็นระเบียงแบบเต็มความกว้างปกติ ไม่ได้เป็นแบบเข้ามุมยื่นออกไป และไม่มีหน้าต่างเหมือน Type นี้ แต่เราจะได้พื้นที่ในห้องนอนที่ใหญ่คืนมาแทน ดังนั้นเวลาเลือกก็อย่าลืมพิจารณาแปลนกันให้ดีๆอีกทีนะครับ เลือกในแบบที่ตัวเองชอบและตอบโจทย์การอยู่อาศัยของเรากันได้เลย

    ประตูทางเข้าห้องเป็นไม้บานทึบ พร้อมติดตั้ง Digital Door Lock + ตาแมว + Stopper กันกระแทกมาให้เป็นมาตรฐาน รวมถึงตรงธรณีประตูก็จะมีขอบพื้นสูงขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้เศษฝุ่นภายนอกเข้ามาในห้องครับ

    เข้ามาเราจะเจอกับห้องครัวเป็นอันดับแรก และยังคงได้แสงสว่างจากระเบียงส่องมาถึงอย่างเต็มที่ โดยฝ้าเพดานจะสูง 2.7 m. ทำให้มีความโปร่งโล่งดีทีเดียวครับ แถมเรายังสามารถ Built-in ตู้ให้สูงขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของแนวตั้งได้อีกด้วย

    พื้นครัวจะเป็นกระเบื้องครับ ทำให้มีความทนทานและสามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายเลย ซึ่งพอดีกับฟังก์ชันนี้ที่เป็นครัวและพื้นที่หน้าห้อง ที่มักจะสกปรกได้ง่ายอยู่แล้วนั่นเอง

    นอกจากนี้ยังเป็นครัวปิดที่กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ทำให้ช่วยกันกลิ่น/ควันจากการประกอบอาหารไม่ให้เข้ามารบกวนในห้องได้ รวมถึงยังมีส่วนช่วยกันเสียงรบกวนจากภายนอกห้องอีกชั้นหนึ่งได้ด้วยครับ

    ชุดครัวเราจะได้ Built-in ตามห้องตัวอย่างนี้เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นผนังกระจก Backsplash ที่สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย, Hob&Hood แบบดูดออกภายนอกจาก Hafele และ Top เคาน์เตอร์ครัวหินสังเคราะห์ รวมถึงด้านล่างก็จะมีถังขยะและลิ้นชักแบบ Soft Close ทั้งหมดอีกด้วย

    นอกจากนี้ยังมีอีก 2 ฟังก์ชันที่น่าสนใจคือ อ่างล้างจานแบบมีฝาปิด เอาไว้สำหรับเพิ่มพื้นที่ประกอบอาหารได้ รวมถึงยังมี Smart Plug ที่สามารถควบคุมผ่าน Home Automation ใน Application มือถือเราได้อีกด้วย เผื่อเวลาเราลืมถอดปลั๊กก็สามารถสั่งตัดไฟจากนอกบ้านได้เลยสะดวกสุดๆ

    ฝั่งตรงข้ามมีการ Built-in ตู้เก็บของเล็กๆบริเวณด้านหลังประตู สามารถเก็บรองเท้าและของใช้ที่จำเป็นต่างๆ ให้สามารถหยิบก่อนออกจากบ้านได้สะดวก

    แนะนำติดกระจกเงาบานใหญ่ตรงผนังด้านข้างเพิ่มเติม เพื่อเอาไว้ส่องดูความเรียบร้อยก่อนออกจากห้อง รวมถึงยังทำให้ห้องดูกว้างมากขึ้นด้วย ซึ่งเห็นห้องตัวอย่างหลายๆที่ชอบแต่งแบบนี้กัน เราว่าเจ๋งดีเลยเอามาแชร์ไอเดียบอกต่อกันครับ

    ข้างๆกันเป็นพื้นที่วางตู้เย็นกว้าง 70 x 70 cm. และด้านบนจะมีการ Built-in ตู้แขวนมาให้แบบนี้เลยครับ

    บริเวณผนังจะมีแผงควบคุม Home Automation ติดตั้งมาให้ด้วยแบบนี้ สามารถเชื่อมต่อ Application ในโทรศัพท์มือถือของเราได้ครับ

    Ruejai App :

    เป็นแอปพลิเคชั่นที่รวบรวมบริการและโซลูชั่นสำหรับการอยู่อาศัยจาก SC Asset ช่วยตอบโจทย์เรื่องการบำรุงรักษาบ้านและคอนโด รวมระบบ Home Autommation และสั่งงานผ่านแอปได้ทุกที่ทุกเวลา เช่น

    • ควบคุมการเปิด-ปิดแอร์ และไฟฟ้า
    • แจ้งสถานะ EV Charger
    • จองการใช้งานพื้นที่ส่วนกลาง

    เข้ามาด้านในห้องเราจะเจอกับ Common Area โดยจุดที่อยู่ติดกับครัวจะเป็นโต๊ะทานอาหารแบบ 2 ที่นั่งแบบนี้ครับ ส่วนวัสดุปูพื้นก็จะเปลี่ยนเป็น SPC หรือ Stone Plastic Composite ลายไม้ ซึ่งสามารถทนน้ำและความชื้นได้ดีกว่าพื้นลามิเนต

    ถัดมาจะเป็น Living Area ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งใน Highlight ของห้อง ที่จะอยู่ติดกับช่องแสง ทำให้ดูทีวีไปและชมวิวไปด้วยได้ โดยมีระยะดูทีวีกว้าง 2.35 m. สามารถใช้ทีวีขนาด 40 – 50 นิ้วได้ครับ

    นอกจากนี้เรายังได้เฟอร์นิเจอร์เหมือนกับห้องตัวอย่างนี้เลยครับ โดยเฉพาะโซฟาจะมีตู้เก็บของด้านล่างให้ด้วย ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของได้ดีเลยทีเดียว

    จุดเด่นที่สำคัญของห้อง Type นี้ก็คือ ‘ช่องหน้าต่าง’ ที่อยู่บริเวณข้างโซฟา ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความสว่างและโปร่งโล่งภายได้แล้ว ยังสามารถเปิดเพื่อให้มีอากาศไหลเวียนถ่ายเทได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเปิดประตูระเบียงเลยครับ โดยผมแนะนำให้ติดเป็นมุ้งลวดเพิ่มเติม เพื่อกันฝุ่นและแมลงเวลาที่ต้องการเปิดหน้าต่างระบายอากาศนะ

    ส่วนระเบียงภายนอกกว้าง 2.1 x 85 cm. สามารถวางเครื่องซักผ้าได้พอดีๆ โดยจะเป็นพื้นที่หลบสายตาอยู่ด้านหลังผนัง และด้านบนก็ติด Condensing Unit เป่าลมร้อนออกไปด้านนอกครับ

    จุดเด่นของระเบียงห้องนี้ก็คือ เราจะได้ระเบียงแบบเข้ามุมที่สามารถชมวิวได้กว้างขวางมากขึ้น เหมือนกับว่าห้องนี้เป็นห้องมุมเลยทีเดียวครับ

    สำหรับห้องนอนจะถูกกั้นด้วยผนังทึบแยกออกไป จึงทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง

    ภายในห้องนอนมีขนาดใหญ่ทีเดียว สามารถวางเตียง 5 ฟุต แล้วยังมีพื้นที่รอบเตียงเหลือให้ใช้งานได้

    ด้านข้างของเตียงเป็นหน้าต่างขนาดใหญ่ สามารถนอนชมวิวสวยๆจากบนเตียงได้เลย รวมถึงเรายังติดทีวีแขวนผนังไว้ที่ปลายเตียงได้ด้วยนะครับ

    ซึ่งเหมาะมากเลยสำหรับการอยู่อาศัยแบบ 2 คน เพราะเราสามารถแบ่งกันดูทีวีเป็นส่วนตัวอยู่คนละห้องได้นั่นเอง เช่น สามีก็เชียร์บอลอยู่ที่ด้านนอก ส่วนภรรยาก็ดูกงยูอยู่ในห้องนอน เป็นต้น

    อีกหนึ่งข้อสังเกตก็คือ บริเวณมุมห้องจะมีการทำมุมผนังยื่นออกมา ซึ่งเป็นผลมาจากระเบียงที่ขยับกินพื้นที่เข้ามาบางส่วนในห้อง แต่ถ้าเป็นห้องที่ไม่ได้ระเบียงแบบเข้ามุมแบบนี้ ก็จะไม่เสียพื้นที่ตรงมุมห้อง และได้พื้นที่ใช้สอยด้านในที่กว้างขึ้นนั่นเอง

    พื้นที่ปลายเตียงกว้าง 45 cm. และข้างเตียงกว้าง 75 cm. พอจะลุกเดินรอบเตียงได้พอดีๆ

    อีกด้านหนึ่งของห้องจะเป็น Walk-in Closet และห้องน้ำครับ

    โดยชุดโต๊ะและตู้เสื้อผ้าต่างๆ เราจะได้ Built-in มาแบบห้องตัวอย่างนี้เลย รวมถึงได้เก้าอี้สตูและติดไฟส่องสว่างอัตโนมัติด้านในตู้ได้อีกด้วย

    ที่สำคัญคือ ผมคิดว่าปริมาณเสื้อผ้าที่ตู้ 2 ใบนี้จุได้ เพียงพอสำหรับการอยู่ 2 คนได้จริงๆ เพราะหลายๆครั้งเราเจอแบบแค่ตู้เดียว ก็ยังแอบคิดว่าอาจไม่เพียงพอก็ได้ แต่ที่นี่หายห่วงครับ

    ติดกันจะเป็นห้องน้ำที่เราจะได้ของภายในเหมือนห้องตัวอย่างทั้งหมดเลยครับ โดยสุขภัณฑ์จะเป็นของ Kholer มาพร้อมกับ Built-in ตู้เก็บของให้พร้อมใช้งาน

    แต่ที่เราแอบชอบเป็นส่วนตัวก็คือ ลักษณะของกระจกเงาที่เป็นรูปทรงโค้งของพระจันทร์ แสดงให้เห็นว่าโครงการนี้ค่อนข้างใส่ใจในรายละเอียดการออกแบบดีทีเดียว

    สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงตอนใช้งานก็คือ การเปิด-ปิดประตูที่อาจชนกันได้ง่ายครับ เพราะด้วยความที่ห้องน้ำมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แถมประตูของ Shower ยังเปิดออกไปด้านนอกอีก ก็เลยอาจชนเข้ากับประตูหลักได้ง่ายนั่นเอง

    และอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเปิดบานสวิง Shower ออกไปด้านนอกแบบนี้ ก็อาจทำให้พื้นที่ส่วนแห้งด้านนอกเปียกได้ง่าย เพราะหยดน้ำที่เกาะอยู่ตรงประตูจะไหลลงพื้นนั่นเอง ดังนั้นก็อย่าลืมเตรียมผ้าซับน้ำดีๆเอาไว้ด้วยนะ

    พื้นที่ยืนอาบน้ำกว้าง 90 x 85 cm. สามารถใช้งานได้แบบพอดีตัว โดยเราจะได้ติดฉากกั้นอาบน้ำกระจกบานเปลือยมาแบบนี้เลยครับ รวมถึงยังมี Hand Shower และ Rain Shower ด้วยนะ

    • 1 Bedroom Plus ขนาด 32.54 – 53 ตร.ม.

    เป็นอีกหนึ่งห้องที่มีความน่าสนใจครับ เพราะนอกจากห้องนอนจะมีความเป็นส่วนตัวด้วยผนังทึบเหมือนเดิมแล้ว ห้องน้ำก็ยังมีประตูที่สามารถเข้า-ออกได้ 2 ทางอีกด้วย การใช้งานจึงมีความสะดวกมากขึ้น รวมถึงเวลาที่มีแขกมาใช้ก็จะไม่ต้องเดินผ่านห้องนอนเลยด้วย แต่สิ่งที่แลกมาก็คือ เราจะได้ครัวเปิดที่เชื่อมต่อกับพื้นที่นั่งเล่นนั่นเอง

    จุดเด่นจริงๆของห้องนี้ก็คือ ‘ห้องอเนกประสงค์‘ ที่อยู่ตรงริมหน้าต่าง ซึ่งสามารถทำเป็นห้องเพิ่มเติมก็ดี ขยายพื้นที่ใช้สอยของ Common Area ให้กว้างขึ้นอีกก็ได้ หรือถ้าใครที่อยากได้ระเบียงขนาดใหญ่ พื้นที่นี้ก็สามารถเป็น Double Balcony เปิดพื้นที่แบบ Semi-Outdoor ได้ด้วยนะครับ แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ส่วนนี้มีความ Flexible ยืดหยุ่นมากเลยทีเดียว ใครที่กำลังมองหาห้องที่มีฟังก์ชันแบบนี้อยู่ต้องห้ามพลาดเลยครับ

    เข้าห้องมาเราจะเจอกับส่วนครัวก่อนเช่นเดิม โดยห้องนี้เราจะได้เป็นครัวปิดนะ แต่ถ้าใครที่ชอบทำอาหารก็สามารถกั้นผนังกระจกเพิ่มเติมเองได้เลย ซึ่งก็จะมีระยะให้เราสามารถทำได้สะดวกอยู่

    เคาน์เตอร์ครัวเราจะได้ Built-in มาครบเหมือนห้องตัวอย่างเช่นเดิม ที่เพิ่มเติมมาก็คือ ฝั่งตรงข้ามจะมีพื้นที่ให้วางของเพิ่มขึ้นอีกฝั่ง และเครื่องซักผ้าก็จะมาตั้งอยู่ตรงนี้แทนระเบียงครับ

    ถัดเข้ามาตรงกลางห้องก็จะเป็นพื้นที่สำหรับวางโต๊ะทานอาหารเช่นเดิม นั่งได้ 2 คนพอดีๆ

    ติดกันจะเป็น Living Area ที่มีระยะดูทีวีกว้าง 2.3 m. สามารถใช้ทีวีขนาด 40 – 50 นิ้วได้สบายๆ และถึงแม้ว่าโซฟาจะไม่ได้อยู่ติดหน้าต่าง/ระเบียงเหมือนห้องก่อนหน้านี้ แต่ก็มีความสว่างโปร่งโล่งไม่แพ้กันครับ เพราะช่องแสงด้านในคือมีขนาดใหญ่มากๆ

    ห้องอเนกประสงค์จะกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน 3 ตอน ทำให้มีความเป็นสัดส่วนมากขึ้น ซึ่งเราสามารถติดม่านไว้เลื่อนปิดเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้ รวมถึงยังสามารถเปิดพื้นที่ให้เชื่อมต่อกันแบบนี้ เพื่อขยายพื้นที่ใช้สอยภายในให้กว้างขวางมากขึ้นได้ด้วยนั่นเอง

    ภายในกว้าง 2.3 x 2.8 m. พร้อมเปลี่ยนวัสดุปูพื้นเป็นกระเบื้อง ทำให้มีความทนทานไม่กลัวแดด/ลม/ฝน ซึ่งเราสามารถใช้พื้นที่นี้เป็นเหมือน Double Balcony แบบ Semi-Outdoor ได้ด้วยนั่นเอง เพราะหน้าต่างด้านในก็มีการทำราวกันตกเอาไว้ให้เรียบร้อย จึงทำให้พื้นที่ส่วนนี้มีความ Flexible ยืดหยุ่นเป็นอย่างมาก

    ซึ่งเราสามารถจัดฟังก์ชันให้ตรงกับ Lifestyle ความต้องการได้หลากหลายมากครับ เช่น ทำเป็นห้องนั่งทำงานสำหรับ WFH / ทำเป็นมุมนั่งเล่นอ่านหนังสือ / ทำเป็นห้องนอนลูกเล็ก / ทำเป็นระเบียงไว้ปลูกต้นไม้แบบในร่ม เป็นต้น

    ต่อมาเราจะไปดูห้องนอนกันบ้างครับ แน่นอนว่าจะกั้นด้วยผนังทึบแยกออกไปเป็นส่วนตัวเลย

    ภายในมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางดีทีเดียว รอบเตียงสามารถเดินได้สะดวก มาพร้อมช่องแสงขนาดใหญ่ที่ยิ่งทำให้ห้องนี้ดูสว่างโปร่งโล่งมากๆ

    อีกด้านหนึ่งจะเป็นห้องน้ำและมุมสำหรับแต่งตัว โดยทางโครงการจะ Built-in ตู้เสื้อผ้ามาให้แบบนี้เลยครับ ซึ่งก็จะพอดีกับมุมห้องเปะๆ และทำให้ได้ใช้งานพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่านั่นเอง

    สุดท้ายคือ ‘ห้องน้ำ’ ที่มีจุดเด่นคือ สามารถเข้า-ออกได้ 2 ทาง จึงทำให้มีความสะดวกมากขึ้น ส่วนสุขภัณฑ์ก็ยังเป็นของ Kholer ครบเช่นเดิม พื้นที่ยืนอาบน้ำกว้าง 1.5 x 0.9 m. สามารถใช้งานได้สะดวก

    • 2 Bedrooms Combine ขนาด 63.12 ตร.ม.

    เป็นห้องแบบใหม่ของโครงการที่ได้เพิ่มเข้ามาหลังจากที่ห้อง 2 Bedrooms ขายหมดเกลี้ยง แต่ก็ยังมีคนสนใจห้องไซส์ใหญ่กันเป็นจำนวนมาก ก็เลยนำห้องมา Combine กันระหว่าง 1 Bedroom ทั้ง 2 Type และเกิดเป็นห้องแบบใหม่นี้ขึ้นมา ที่ต้องบอกเลยว่าฟังก์ชันดูดีไม่น้อยเลย

    จุดเด่นของห้องนี้คือ Common Area ที่มีขนาดใหญ่มากๆ กินพื้นที่เท่ากับ 1 Bedroom ห้องหนึ่งไปเลย บรรยากาศมีความกว้างขวางให้อารมณ์เหมือนอยู่บ้าน โดยเราอาจต้องกั้นครัวเพิ่มเติมเองถ้าต้องการ ส่วนพื้นที่วางโต๊ะทานอาหาร ถ้าใครไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องมีโต๊ะใหญ่จริงจังแบบนี้ เราคิดว่ามีอีกไอเดียหนึ่งที่น่าสนใจคือ กั้นทำเป็นห้องนอนหรือห้องอเนกประสงค์เพิ่มเติมก็ได้ เพราะพื้นที่มีขนาดใหญ่สามารถทำได้สบายๆ

    อีกด้านหนึ่งจะเป็นโซนห้องนอน 2 ห้อง ที่จะมีโถงทางเดินแยกตัวออกไป ทำให้มีความเป็นส่วนตัว ห้องนอนเล็กจะแชร์ห้องน้ำร่วมกับส่วนกลาง และห้องนอนใหญ่ก็จะมีห้องน้ำ + ระเบียงเป็นของตัวเอง เรียกได้ว่ามีความเป็นส่วนตัวสุดๆ ดังนั้นห้องนี้จึงเหมาะกับครอบครัวเล็ก-กลาง อยู่ด้วยกัน 2 – 3 คน แน่นอนว่ารองรับคนที่มีลูกได้สบาย หรือจะอยู่แบบพี่น้องแยกห้องนอนกันก็ได้

    Image 1/7

    • Studio ขนาด 24.19 – 27.94 ตร.ม.

    เป็นห้องไซส์เล็กสุดของโครงการที่เราเคยเห็นกันไปเมื่อสมัยที่เป็น Sale Gallery ส่วนตัวเราคิดว่าห้องนี้จัดมาได้อย่างลงตัวมากๆ เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นห้อง Studio แต่ก็ยังสามารถจัดให้มี Walk-in Closet จริงจังได้ด้วย

    ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ เค้าใช้จุดเด่นของเฟอร์นิเจอร์แบบ Multi-Function ให้เกิดประโยชน์ได้ดี เพราะช่วยในการประหยัดพื้นที่ใช้สอยลงไปได้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทานอาหารที่พับเก็บได้ / พื้นยกสูงแบบญี่ปุ่นที่ใช้เก็บของก็ได้ วางเตียงหรือนั่งเป็นโซฟาก็ดี ซึ่งห้องนี้จะเหมาะกับการอยู่อาศัย 1 – 2 คนครับ

    Image 1/6

    **รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

    ราคา

    Reference สาทร – วงเวียนใหญ่ ราคา ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2567

    • Studio ขนาด 24.19 – 27.94 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.69 ล้านบาท
    • 1 Bedroom ขนาด 31.24 – 31.88 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท
    • 1 Bedroom Plus ขนาด 32.54 – 53 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท
    • 2 Bedrooms Combine ขนาด 63.12 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 9.9 ล้านบาท

    • รูปแบบการขาย Fully Furnished
    • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.7 เมตร
    • Kitchen & Sink / ท็อปหินสังเคราะห์
    • Hob & Hood / ของยี่ห้อ Hafele
    • จอง 5,000 บาท
    • ค่ากองทุน 550 บาท/ตร.ม.
    • ค่าส่วนกลาง 70 บาท/ตร.ม./เดือน (ส่วนกลาง 24 ชม.)
    • Promotion อื่นๆ เช่น แถมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ฯลฯ สามารถสอบถามเพิ่มเติมกับโครงการได้

    **ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ

    บทสรุป

    ทำเล : ตั้งอยู่ในซอยกรุงธนบุรี 2 บนถนนกรุงธนบุรี และไม่ไกลจากสะพานตากสิน สามารถใช้ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อเข้าเมืองไปทางสีลม-สาทร-พระราม 4 ได้ไม่ยาก แวดล้อมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ICONSIAM / The Mall ท่าพระ / Asiatique และตลาดต่างๆมากมาย นอกจากนี้การเดินทางด้วยรถสาธารณะก็สะดวกไม่แพ้กันเลยครับ

    ทีนี้เราลองมาพิจารณาตัวโปรดักส์กันสักหน่อย แน่นอนว่าหลายๆคนน่าจะมีการเทียบกับคอนโดที่อยู่ฝั่งสาทร-พระราม 4 กันด้วยแน่ๆ แล้วเหตุผลอะไรที่ทำให้คอนโด Reference ที่อยู่ฝั่งธนมีความน่าสนใจกันล่ะ? อย่างแรกเราคิดว่าเป็นเรื่องของ ‘ราคา’ ที่จับต้องได้ง่ายกว่าคอนโดในเมืองเป็นหลักแสน-หลักล้าน ซึ่งระยะห่างก็เพียงแค่ข้ามแม่น้ำมาเท่านั้นเอง

    ข้อที่ 2 เราคิดว่าเป็น ‘ความเงียบสงบและเป็นส่วนตัว’ เพราะฝั่งในเมืองจะมีความหนาแน่นของตึก และรถก็ติดเยอะกว่ามากๆ ซึ่งการข้ามฝั่งมาก็จะเหมาะกับการกลับมาพักผ่อนอยู่บ้านมากกว่านั่นเอง

    ข้อที่ 3 ผมมองว่าเป็นเรื่องของ ‘วิว’ ซึ่งคอนโดย่านฝั่งธนจะได้วิวที่เปิดโล่งมากกว่า และยังเห็นวิวแม่น้ำจากระยะไกลได้อีกด้วยนั่นเองครับ โดยหากใครที่คิดว่า 3 ข้อที่ผมกล่าวมาข้างต้นเข้าเกณฑ์ของตัวเองเหมือนกันล่ะก็ ลองพิจารณาโครงการนี้เป็นตัวเลือกกันได้เลยครับ

    การเดินทางโดยใช้รถ : มีความสะดวกมากๆครับ เพราะด้วยความที่เราอยู่ใกล้สะพานตากสิน แถมจุดกลับรถเข้าเมืองก็อยู่ใกล้เพียง 160 m. เท่านั้น ขากลับก็ลงสะพานมาก็ถึงแล้ว หรือถ้าใครที่มาจากวงเวียนใหญ่ก็จะมีทางลัดในซอยสมเด็จพระเจ้าตากสิน 11 มายังโครงการได้ด้วย โดยไม่ต้องเสียเวลาอ้อมไปกลับรถไกลที่สะพานตากสิน ซึ่งที่จอดรถจะมีอยู่ประมาณ 45% แบบไม่รวมจอดซ้อนคัน และอาจต้องรอดูเพื่อนบ้านจริงๆอีกทีว่าจะเพียงพอหรือไม่ เพราะโครงการนี้สะดวกทั้งการใช้รถยนต์และรถไฟฟ้า เราคิดว่าคนเดินทางน่าจะมีสัดส่วนพอๆกันเลยครับ

    การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : สะดวกมากๆ ใกล้รถไฟฟ้า BTS วงเวียนใหญ่ เพียง 130 m. ซึ่งตั้งอยู่บริเวณหน้าปากซอยโครงการนี่เอง สามารถนั่งตรงไปสาทร-สีลม-สยามได้สบายๆ หรือใครจะใช้บริการรถรับ-ส่ง Muvmi ก็ได้ครับ ซึ่งจะส่งจากโครงการไปยังจุดหมายกว่า 20 จุด รอบบริเวณได้เลย และป้ายรถเมลล์สำหรับเรียกรถสาธารณะก็อยู่เพียงปากซอยเช่นกัน

     การออกแบบโครงกาาร : เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่สุดของโครงการ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามจากคอนเซ็ปต์พระจันทร์ (Moon) ตกแต่งผนังด้วยเส้นโค้งต่างๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็น Art Gallery หรือ Museum เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากคอนโดทั่วไป โดยทั้งโครงการจะแบ่งออกเป็น 3 อาคาร ประกอบด้วย Commercial และอาคารพักอาศัยสูงอีก 2 อาคาร เพื่อนบ้านทั้งหมดรวม 789 ยูนิต ถือว่าไม่หนาแน่นมากนัก

    เราชอบที่เค้าวางผังห้องให้ส่วนใหญ่หันออกรับวิวโดยรอบ รวมถึงยังวางตำแหน่งห้องใหญ่เป็นห้องมุม ทำให้มองเห็นวิว 3 ด้านได้แบบ 180 องศาเลยครับ ส่วนห้องที่หันหน้าเข้ามาด้านในก็มีระยะห่างจากกันพอสมควร แถมยังมองเห็นสวนสวยๆที่โครงการจัดไว้ให้ที่ชั้น 10 ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการแบ่งโซนการใช้งานของฟังก์ชัน หรือส่วนกลางต่างๆ แยกออกจากกันชัดเจนมากในแต่ละตึก จึงทำให้ Flow ในการใช้งานก็อาจไม่ได้ต่อเนื่องกันสะดวกมากนัก

    เช่น เราอยู่ตึก B แต่ต้องไปจอดรถใต้ตึก A ก็ต้องเสียเวลาไปชั้นที่เชื่อมอาคารกันก่อน ไม่สามารถตรงขึ้นห้องได้เลย หรือจะเป็นฟังก์ชันส่วนกลางออกกำลังกายอย่าง Fitness และสระว่ายน้ำ ก็จะอยู่แยกกันคนละตึกอีก ดังนั้นเวลาเลือกว่าจะอยู่ห้องที่อาคารไหน ก็อาจเลือกตามฟังก์ชันส่วนกลางที่เราใช้งานบ่อยที่สุด เพื่อความสะดวกในการใช้งานในแต่ละวันก็ได้ครับ

    การออกแบบห้องพักอาศัย : มีแบบห้องที่น่าสนใจเยอะเลยครับ แต่ส่วนใหญ่จะเน้นเป็นห้องไซส์เล็กที่เหมาะกับการอยู่อาศัยได้ 1 – 2 คน ตั้งแต่ห้อง Studio ที่จัดแปลนได้ดี มีพื้นที่ Walk-in Closet จริงจัง รวมถึงใช้เฟอร์นิเจอร์แบบ Multi-Function ให้เกิดประโยชน์และประหยัดพื้นที่ใช้สอยได้เยอะเลยทีเดียว

    ห้อง 1 Bedroom ก็จะได้ห้องนอนที่กั้นด้วยผนังทึบเป็นส่วนตัวทั้งหมด และยังมีระเบียงกับช่องหน้าต่างที่โดดเด่น สามารถเปิดระบายอากาศได้ดี ห้องก็โปร่งโล่งมากขึ้นด้วย / ห้อง 1 Bedroom Plus มีพื้นที่อเนกประสงค์น่าสนใจ สามารถเป็น Double Balcony เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น

    ห้อง 2 Bedrooms Combine เหมาะกับคนที่อยู่เป็นครอบครัวจริงจัง มาพร้อมกับห้อง Common Area ขนาดใหญ่ ให้บรรยากาศกว้างขวางเหมือนอยู่บ้าน ซึ่งนับว่าเป็นห้อง Rare สำหรับโครงการนี้ที่มีอยู่น้อยมาก และเป็นที่ต้องการของคนส่วนใหญ่ด้วยครับ ถ้าใครสนใจก็คงต้องรีบกันสักหน่อยนะ

    วัสดุ : ขายแบบ Fully Furnished ให้เฟอร์นิเจอร์ทั้ง Built-in และลอยตัวมาครบ ขาดแค่เครื่องใช้ไฟฟ้าก็หิวกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย เหมาะกับคนที่ต้องการประหยัดเวลาแต่งห้อง แถมการ Built-in มาให้มีขนาดพอดีกับห้อง ก็ช่วยทำให้เราสามารถใช้พื้นที่เก็บของได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้นด้วย สเปควัสดุเราว่าให้มาดีสมราคาเลยนะครับ

    ที่เราชอบเป็นพิเศษก็คือ วัสดุปูพื้นที่มีการเปลี่ยนให้เหมาะกับฟังก์ชันการใช้งาน โดยเฉพาะครัวและห้องอเนกประสงค์ ที่จะใช้เป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ เพราะจะต้องมีการเลอะง่าย/ต้องเช็ดทำความสะอาดบ่อยๆ ซึ่งแสดงถึงความใส่ใจและความเข้าใจในการออกแบบฟังก์ชันของโครงการได้เป็นอย่างดี

    อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบก็คือระบบ Home Automation ที่เชื่อมต่อกับ Rujai Application ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตกับเราได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการสั่งเปิด-ปิดไฟ และการจองส่วนกลาง เป็นต้น

    สาธารณูปโภค : ถือว่าให้มาเยอะดีเลยครับ แถมยังมี Foodland มาเปิดช่วยอำนวยความสะดวกมากขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญคือ Facilities 24 ชม. เอาใจคน Gen Y และคนสมัยใหม่นี้ที่มี Lifestyle การใช้ชีวิตที่ค่อนข้างจะหลากหลาย ซึ่งแลกมากับการที่เราต้องจ่ายค่าส่วนกลางในราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วย ถามว่าคุ้มหรือไม่? ก็ถ้าเป็นคนที่ใช้งานเป็นประจำ หรือต้องมาใช้งานช่วงกลางคืนจริงๆ ผมว่าค่อนข้างคุ้มอยู่นะ แถมส่วนกลางยังสวยงามมากๆอีกด้วย เอาแค่เรื่องการก่อสร้างที่เค้าทำออกมา ได้เหมือนภาพที่ออกแบบไว้ก็ยากมากๆแล้วครับ

    ส่วนกลางจะแบ่งออกเป็น 2 โซนหลักๆคือ โซนที่อยู่ชั้นล่างจะเน้นเป็นพื้นที่รับรองแขกอย่าง Moon Lobby / Lunar Lounge / Orbit Co-Space และ Meeting Room ทำให้เราไม่ต้องพาคนภายนอกขึ้นอาคารให้เสียความเป็นส่วนตัว ส่วนโซนชั้นบนอย่าง Fitness / Yoga / Pilates / Fly-To-The-Moon Lounge และ Eclipse Onsen ก็จะอยู่ชั้นบนสุด ซึ่งจะเน้นชมวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาแบบ Panorama 360 องศาได้เลย รับรองเลยว่าใครที่ได้มาเดินชมบรรยากาศส่วนกลางของโครงการนี้ จะได้รับประสบการณ์และแรงบันดาลใจใหม่ๆ ที่หาไม่ได้จากคอนโดไหนๆแน่นอน

    Judgement

    การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

    ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

    เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 140,000 บาท/ตร.ม., 15 พฤศจิกายน 2567

    • ทำเล 8/10 – ใกล้สะพานตากสิน เข้าเมืองง่าย โดยรอบอุดมสมบูรณ์ มองเห็นวิวแม่น้ำ
    • เดินทางด้วยรถ 7.75/10 – ใกล้จุดกลับรถและทางขึ้น-ลงสะพานตากสิน
    • ไม่ใช้รถ 8.25/10 – ใกล้รถไฟฟ้า 130 m. และมีบริการ Muvmi คอยรับ-ส่ง
    • วัสดุ 8/10 – Fully Furnished ให้วัสดุมาดี เหมาะสมกับราคาและการใช้งาน
    • แบบ 8.5/10 – มีแบบห้องให้เลือกเยอะ ห้องนอนกั้นผนังทึบเป็นส่วนตัว ช่องแสงขนาดใหญ่
    • สาธารณูปโภค 8.5/10 – ส่วนกลาง 24 ชม. เน้นชมวิวโค้งแม่น้ำ ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร

    • HIGH CLASS
    • 8.1 / 10.00

    Reference สาทร – วงเวียนใหญ่ เหมาะกับใคร

    โครงการ Reference สาทร – วงเวียนใหญ่ เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดย่านฝั่งธน ใกล้สะพานตากสินและใกล้รถไฟฟ้า BTS วงเวียนใหญ่ ในระยะเดินถึงได้สบายๆ เป็นคอนโดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมในส่วนกลาง ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจไม่เหมือนคอนโดทั่วไป ห้องพักเน้น 1 Bedroom อยู่อาศัย 1 – 2 คน มีความเป็นส่วนตัว ได้เฟอร์นิเจอร์ครบแบบ Fully Furnished พร้อมเข้าอยู่ได้ทันที รวมถึงยังมีส่วนกลางสวยๆ วิวปังๆ ให้ใช้งานได้ 24 ชม. อีกด้วย มีงบประมาณของบ้านเริ่มต้นที่ 3.69 – 9.9 ล้านบาทหรือมีกำลังผ่อนต่อเดือนที่ 26,000 – 69,000 บาท


    ThinkofLiving มี LINE Official Account แล้วนะ
    ไม่อยากพลาดข้อมูลข่าวสารก็ Add เลย > https://lin.ee/svACOxc