รีวิวฉบับที่ 114 นี้ค่อนข้างพิเศษหน่อยครับ เพราะเป็นภาคต่อเนื่องของ Quattro by Sansiri ที่ทางเวปไซต์เคยรีวิวไปแล้วหนหนึ่ง วันดีคืนดีทางแสนสิริได้ติดต่อผมมาว่าห้อง Master Piece ทั้ง 9 ห้องของ Quattro ที่เคยแต่งออกมาช่วงปลายปี 2554 นั้นได้ขายไปเกือบหมดแล้วเหลือขายอยู่แค่ห้องเดียว ทางแสนสิริจึงให้บริษัทออกแบบชื่อดังอย่าง dwp, นักออกแบบเสื้อผ้าอย่างคุณหมู ASAVA และแรงบัลดาลใจจาก Frank Sinatra มาแต่งห้องอื่นๆเพิ่มเติม เป็นห้อง Master Piece ชุดใหม่อีก 3 แบบ แล้วชวนให้ทางทีมงาน Think of Living เข้าไปดูผลงาน … แล้วอย่างนี้ใครจะปฏิเสธได้ ?
ใครยังไม่ได้อ่านรีวิว Quattro by Sansiri ภาคแรกก็สามารถ คลิ๊กอ่านได้ที่นี่ นะครับเพราะเราจะไม่เขียนถึงเรื่องเก่าๆที่เล่าไปแล้ว เอาหนังเดิมมาขายซ้ำมันไม่ดีครับ
รอบนี้ห้องที่ทาง Think of Living พาไปดูทั้งสามห้องนั้น ตั้งอยู่ที่ตึก A ห้องหนึ่ง อยู่ที่ตึก B สองห้อง แต่ละห้องราคาประมาณตารางเมตรละ 190,000 ขึ้นไป ราคาขายตั้งแต่ 17 ล้านบาทขึ้นไปครับ
เพิ่มเติมข้อมูลทำเลรอบๆ BTS ทองหล่อได้ที่: มองหาทำเลน่าอยู่ใกล้รถไฟฟ้า: BTS ทองหล่อ (E6)
ถ้าอ่านแล้วชอบ ก็ช่วยกด Like กันหน่อยนะครับ
ห้องแรกเป็นห้อง 3 ห้องนอนที่ตั้งอยู่บนชั้น 18 ของตึก A ครับ ทางแสนสิริตั้งชื่อว่า dwp เพราะ dwp | architecture + interior design เป็นผู้ออกแบบ หนึ่งในงานที่บริษัทนี้ออกแบบและรู้จักกันดีก็คือ Sirocco ห้องอาหารสุดหรูบนยอดตึก State Tower ที่ชั้น 63 ครับ
นักออกแบบของ dwp ได้เล่าว่า ได้แรงบันดาลใจมาตกแต่งห้องมาจาก Alexander McQueen ซึ่งเป็น fashion designer ที่มีชื่อเสียงและมีแนวทางในการออกแบบเป็นของตัวเอง โดยกลุ่มลูกค้าที่จะชอบห้องนี้นั้นทางนักออกแบบคิดว่าน่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าที่ทันสมัยและหลงใหลในเรื่องของ fashion และ design
เริ่มจากมุมรับประทานอาหาร โต๊ะท๊อปหินอ่อน
โคมไฟข้างบนโต๊ะอาหารน่าจะสั่งทำพิเศษ ผมยังไม่เคยเห็นมาก่อน
มุมนั่งเล่น ด้านหลังเป็นกระจกสองชั้นแทรกสกรีนไว้ข้างใน
ห้องครัวที่ไม่ได้ตกแต่งเพิ่มเติมอะไรมาก ห้อง 3 Bedrooms ทั่วไปก็เป็นแบบนี้
สีของผ้าม่านที่ดีไซน์เนอร์เลือก
พรมยาว 6 เมตร ผืนนี้เป็นพรม “ทอมือ” ที่มีผืนเดียวในโลก Designer ของ dwp เป็นคนออกแบบลวดลายให้เข้ากับกระจกข้างหลังโซฟา ขนาดว่าสีบนพรมก็ยังใช้ย้อมมือเอา
ฝั่งตรงข้ามของโซฟาคือมุมทีวี ไม่ได้มีอะไรมาก เจาะรูผนังเข้าไปติดตั้งเป็น TV เฉยๆ ไม่ใส่ Sideboard วางทีวีด้วย ใช้แค่แผ่นไม้แผ่นเดียว
ให้ดู พรม+กระจก ชัดๆว่าจงใจทำมาคู่กัน สีของโซฟาก็จงใจเลือกให้ตัดฉับๆกับพรมและกระจก
ตลอดจนสีของหินอ่อนบนโต๊ะอาหารก็ยังเป็นโทนเดียวกันกับลายพรม … เรื่อยไปจนถึงสีของเก้าอี้ ยังเป็นสีเดียวกับดอกไม้บางดอกบนลายพรม
ปลายโต๊ะทานอาหารติดกระจกบานใหญ่เต็มผนัง ช่วยสะท้อนให้ห้องดูมีมิติและ “กว้างขึ้น” แต่ในขณะเดียวกันก็เสียประโยชน์ใช้สอยที่จะวางตู้ติดผนังไป
ห้องน้ำเหมือนเดิมไม่ได้แต่ง
ห้องนี้เป็นห้อง 3 Bedrooms โดยห้องนอนเล็ก ทาง dwp ได้แต่งให้เป็นมุมพักผ่อนอีกมุมหนึ่ง สงสัยกลัวแย่งดูทีวีกันมั้ง
มี Sofa กึ่งๆ Bed ไม่ยาวไม่สั้นตัวหนึ่งวางไว้ จะนั่งก็ได้นอนก็ได้ ข้างๆมี Side Table สีตัดกัน
มองจากมุมสูง ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่ารูปภาพข้างหลังเบาะนั่งก็เป็นสีโทนเดียวกับพรมข้างนอก
ให้ดูมิติทั้งห้องครับ จะประมาณนี้ ฝั่งปลายสุดของโซฟามีโคมไฟตั้งพื้นอยู่ 1 ชิ้น แขนโคมไฟสามารถยื่นและจัดปรับมุมได้ตามต้องการ เวลาอ่านหนังสือบนโซฟา
ห้องนี้เป็นห้องนอนใหญ่ เป็นห้องที่วางอยู่ระหว่างกระจก Corner ทำให้เห็นวิวกว้างเป็นพิเศษ การตกแต่งยังคุมโทนสีใช้สีเดิมเป็นหลัก
จุดเด่นก็คือโคมไฟทั้งสามดวงที่ยึดกับเพดานไว้ให้ห้อยลงมา แทนที่จะใช้โคมไฟตั้งบนโต๊ะข้างเตียงทั่วๆไป
ห้องนี้มีโต๊ะทำงาน สังเกตดีๆจะเห็นโคมไฟบนโต๊ะทำงาน เหมือนย่อส่วนมาจากโคมไฟของโซฟาห้องพักผ่อนข้างๆเด๊ะๆ ส่วนลวดลายของภาพที่แปะไว้ข้างฝาก็เป็นแนวเดียวกันกับห้องข้างๆเช่นกัน
ปลายเตียงห้องนี้ใช้ Sideboard วางทีวี ถ้าให้เดาก็เพราะว่าไม่สามารถทำแผ่นไม้ยื่นออกมาได้เหมือนห้องอื่นๆ เพราะติดกระจก
มุมห้องนี้เป็นทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ฝั่งนี้คือทิศตะวันออก วิวดีแต่ว่าติดตึก B ข้างๆ
ฝั่งนี้คือทิศเหนือที่หันไปทาง Eight ทองหล่อ แต่ต่อไปก็จะมีตึก HQ มาบังเพิ่มอีกตึก
ห้องนี้เป็นห้องนอน 2 ที่อยู่อีกฟากของห้องรับแขก วิวโดนตึก B บังเต็มๆ
ห้องนี้ให้บรรยากาศอบอุ่นกว่าห้องแรก อาจเป็นเพราะโทนสีที่นุ่มนวลขึ้น ผนังหลังหัวเตียงมีที่ใส่หนังสือได้ด้วย dwp ออกแบบให้มีฟังก์ชั่นเพิ่มเติมลงบนผนัง
สุดท้ายก็คือมุมทำงานของห้องที่สองครับ
Summary: โดยรวมของห้องนี้เป็นการออกแบบโดยใช้แนว Minimalism (แนวคิดที่ยึดว่า Less is More) มาผสมกับวัสดุ Handmade คุณภาพสูง พยายามตัดส่วนเกินของห้องออกไป เพื่อให้ห้องดูโล่งและกว้างที่สุด ดูเรียบง่าย แต่ก็ยังคงคุมโทนสีต่างๆให้เข้ากันทั้งห้อง … ซึ่งเป็นผลงานดีที่น่าจะคาดหวังได้จากดีไซน์เนอร์แสนแพงจากบริษัท dwp
If I were to live in this room: ถ้าถามว่าใช้งานจริงๆได้ไหม? … ก็คงได้อยู่แล้ว แต่ผมคงกลัวพรมแพงสุดๆผืนนั้นเลอะ เพราะวางพาดยาวตั้งแต่โต๊ะกินข้าวไปจนโซฟาห้องรับแขก ผมเป็นคนซุ่มซ่ามคงจะทำอะไรหกภายในสองสัปดาห์แน่ๆ ส่วนห้องนอนใหญ่กลัวว่าตอนนอนจะหลับหูหลับตาเอามือไปปัดป่ายโคมไฟหัวเตียงให้ร่วงลงมาละครับ การที่ออกแบบให้เป็น Minimalism มากๆนั้น ผู้อยู่อาศัยก็ต้องคิดเรื่องที่เก็บของหน่อยนะครับ เพราะการที่จะตัดโน่นนี่ออกให้เหลือพื้นที่กว้างๆในห้อง โปร่งๆ จะนำมาซึ่งปัญหาที่เก็บของเสมอ เช่นชั้นวางของรอบๆทีวีที่หายไปเพื่อแลกกับความโปร่งโล่งของพื้นที่ห้องรับแขกครับ
ห้องที่ 2 นี้ตั้งอยู่ที่ชั้น 12 ของตึก B เป็นห้องแบบ 2 Bedrooms ซึ่งผู้แต่งห้องเป็นดีไซน์เนอร์ คุณหมูจากแบรนด์ ASAVA ครับ
โทนสีของห้องนี้เป็นสีน้ำเงิน ขนาดประตูภายในยังทาสีใหม่ Wall Paper และผนังทั้งหมดใช้สีน้ำเงินเป็นหลัก สไตล์การตกแต่งเป็นแบบ Classic + Antique เอาของคลาสสิกมาผสมของโบราณ
มุมแรกที่บริเวณประตูเป็นโต๊ะทานอาหารแบบ 2 ที่นั่ง เก้าอี้ Armchair ลายคลาสสิก … แต่เนื่องจากห้องนี้เป็นห้องแบบ 2 Bedrooms การตั้งโต๊ะแบบนี้แสดงว่ามีผู้อยู่อาศัยเพียง 2 คน ห้องนอนที่ 2 จึงถูกนำไปทำห้องทำงานแทน กลายเป็นว่าพื้นที่ 80 ตารางเมตร ถูกออกแบบมาเพื่อคนสองคนเท่านั้นครับ
เราให้ดู Armchair ตัวนี้อีกรอบ รายละเอียดเยอะดีจริงๆ
ผนังด้านข้างโต๊ะรับประทานอาหารทำเป็นชั้นวางของสะสม เจาะช่องเข้าไปฝังไฟ ข้างในใส่กระจกเงา สะท้อนห้องให้ดูมีมิติมากขึ้น
มุมรับแขกเป็นแบบนี้ โซฟาทขนาด 2 ที่นั่งต่อ Stool เพื่อวางพาดขาหรือนอนยาวได้ Stool สามารถแยกชิ้นออกมาได้ ไม่จำเป็นต้องนั่งติดกันตลอดครับ
ผมไปลองนั่งดูแล้ว นั่งสบายครับ แต่ชีวิตจริงคงจะไม่ได้ใช้หมอนเยอะขนาดนี้ ต้องเอาออกไปหน่อยมันเกะกะพอสมควร
ชั้นวางทีวีใช้ตู้ไม้ลวดลาย Antique ชิ้นนี้โดดเด่นกว่าใครเพื่อน เรียกว่าเด้งออกมาเลยเวลากวาดสายตาผ่านไป ด้านข้างมีรูปปั้นตัวเล็กๆเป็น Prop ที่ดูโบราณเหมือนกัน โดยเฉพาะการที่เอาชั้นวางของสีดำสองชิ้นนี้มาแทน Low Table ยิ่งทำให้ดูโบราณเข้าไปอีก
ผมเดินออกมาถ่ายภาพมุมกว้างให้ดู ก็พบว่าจุดเด่นคือภาพเขียนที่วางอยู่หลังโซฟา ช่วยสร้างบรรยากาศให้ห้องนี้เยอะมาก
ครัวที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร นอกจากที่ใส่ขวดไวน์ที่เอาออกมาตั้งโชว์ไว้บน Counter
ตามทางเดินจากโถงไปห้องทำงานและห้องนอนก็ประดับด้วยภาพวาดเช่นกัน
นี่เป็นภาพ First Impression ของห้องทำงานที่คุณหมู ASAVA เลือกเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นมาเอง ที่เด่นที่สุดดูเหมือนจะเป็นศีรษะรูปปั้นและโต๊ะทำงานตัวนี้ครับ
พื้นของโต๊ะทำงานเป็นไม้จริงต่อๆกันหลายๆแผ่นในแนวนอน ขอบโต๊ะเป็นโลหะหน้าตาแบบนี้เลย ดูเก่าๆสุดๆ
เก้าอี้สองตัวนี้ก็เหมือนของเก่า ทำจากไม้ล้วนๆ
ชั้นวางภาพเขียน
สมบัติต่างๆ รวมไปถึงจักรเย็บผ้าที่มีผ้าสีน้ำเงินเป็น Prop อยู่ด้วย
ผนังด้านข้างห้องทำงานยังติดรูปภาพอีก 4 รูป ด้านหลังห้องทำงานใช้กระจก มุกเดิมอีกแล้วสะท้อนให้มีมิติมากขึ้น
และนี่คือหีบสมบัติที่อยู่ใต้โต๊ะทำงานครับ
เรามาดูห้องนอนกันบ้าง สิ่งที่เตะตาที่สุดคงจะเป็นภาพวาดใหญ่ๆหลังหัวเตียงภาพนั้น สรุปว่าทุกห้องจะใช้ Painting และ Art Objects เป็นจุดดึงดูดสายตาเกือบทั้งหมด
หีบใส่ของ
โคมไฟสีน้ำเงินฉูดฉาดบนโต๊ะข้างเตียงทั้งสองตัว ผ้าห่มบนที่นอนยังใช้สีน้ำเงิน
ทีวีใช้แบบแขวน สายแหลมๆออกมาสงสัยยังเก็บรายละเอียดไม่เสร็จ
โคมเทียนนี้คงไม่ได้ใช้จริงนะ หรือเตรียมไว้เพื่อไฟดับ? 😛
Summary: ห้องของคุณหมู ASAVA นี้ค่อนข้างจะ Artist มากๆ โทนสีห้องก็ใช้โทนขรึมเฉดน้ำเงิน การตกแต่งทุกอย่างดูเหมือนจะจัดมาเพื่อคนๆเดียว ประเภทเดียว นั่นก็คือเจ้าของห้องนี้ นั่นก็คือถ้าไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน จะอย่างไรก็คงไม่สน แต่ถ้าเป็นคนประเภทคล้ายๆกัน เห็นปุ๊บคงจะชอบปั๊บ ส่วนที่เด่นที่สุดของห้องนี้คงจะหนี Paintings ไปไม่ได้ รอบๆห้องมีแรงบันดาลใจหลายๆอย่างจาก Art Object หลายๆชิ้น เหมาะสำหรับคนที่ทำงานประเภทศิลปะ ออกแบบ ใช้ความคิด อารมณ์สุนทรี และต้องชอบอาร์ทแนวเดียวกับเจ้าของห้องด้วยครับ
If I were to live in this room: สำหรับผมคงต้องบอกว่ายังไม่โดนเท่าไร เพราะว่าการแต่งห้องนั้นเอื้อคนแต่งมากเกินไปนิดนึง เป็น Indiviual Inspiration มากเกินไป ไม่ใช่ General Use ที่จะเหมาะกับคนทุกประเภท การเอาห้อง 2 Bedrooms มาแต่งให้เหลือ 1 Bedroom สำหรับการอยู่อาศัย 2 คนก็เป็นการลด Function การใช้งานลงพอควร แต่ถ้าถามเรื่องเซนส์การเลือก Art Object แต่ละชิ้น โทนสีของห้อง ภาพวาดที่เลือกมา ก็ต้องบอกว่าเลือกมาได้อย่างมีรสนิยมครับ
ห้องที่ 3 ซึ่งเป็นห้องสุดท้ายตั้งอยู่ที่ชั้น 27 ของตึก B เป็นห้องที่แต่งออกมาด้วยแรงบันดาลใจของ “Frank Sinatra” ซึ่งจัดว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดของศิลปินแนวเพลง Standard Jazz & Swing
ห้องนี้เป็นห้องหัวมุมเหมือนกัน โดยมีห้องนั่งเล่นอยู่บริเวณหัวมุมครับ การตกแต่งเป็นแนวย้อนยุคนิดๆ เรียกว่าคลาสสิกแบบร่วมสมัย ประมาณว่าแนวยุคที่เพลง Frank Sinatra กำลังดังติดตลาด ซึ่งจริงๆแล้วมี Period นานมาก ตั้งแต่ยุค 1940 – 1990 ครอบคลุมเกือบ 50 ปี และผลงานอมตะอย่าง “My Way” ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบเพลง Jazz & Swing ดังนั้นจะอินเป็นพิเศษ เรียกว่าได้จิตพิสัยไป +10
ผนังห้องระหว่างทางเดินประดับด้วยแผ่นเสียงและรูป Cover Album ของ Frank … ทำได้ดีครับ
โต๊ะไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าลบมุมตัวนี้ให้ความรู้สึกย้อนยุค แต่เงาที่ผิวโต๊ะและที่ขอบโต๊ะโดยรอบช่วยปรับให้มีภาพลักษณ์ที่ Modern มากขึ้น
โดยเก้าอี้นั่งรับประทานอาหารทุกตัวเป็น Armchair เบาะผ้าตัวเล็กๆ เหมือนสมัยก่อนครับ
ห้องนี้จะมีงานไม้มากเป็นพิเศษ ตู้ใส่ของที่วางอยู่ข้างประตูก็เช่นกันทำจากงานไม้
ชุดโซฟารับแขกสีครีมเรียบๆ เน้นความเป็น Earth Tone ให้เข้ากับวัสดุประเภทไม้ อย่าง Low Table และชุดโต๊ะอาหารเมื่อครู่ แต่ Armchair ตัวไกลๆทางซ้ายบุด้วยหนังสีเข้ม เพิ่มความเคร่งครึมและเพิ่มอายุให้กับเซ็ตรับแขกโดยรวม
มองอีกมุมในแนวตั้งจะเห็นโคมไฟ Chandelier หลุยส์มาแต่ไกล
ชั้นวางทีวีใช้วัสดุประเภทเดียวกับท๊อปโต๊ะอาหาร งานไม้เงาๆที่สะท้อนแสงช่อไฟได้ด้วย ด้านหลังของ Built-in เซ็ตนี้ก็ซ่อนหลอดไฟไว้ เวลาเปิดจะส่องออกมาจากใต้ชั้นวางของ ดูแล้วมีมิติและให้แสงสว่างให้หยิบของหาของได้ง่าย สองเด้งเลย … แต่ชั้นบนสุดไม่มีไฟนะ
ซูมไปที่ Armchair ชัดๆอีกครั้ง สีออกแดงเลยทีเดียว
สงสัยจงใจเลือกให้มาตัดกับสีโซฟาชุดนี้ที่ค่อนข้างจะ “กลืน” มากไปหน่อย
ลืมบอกไปว่าม่านบานเกล็ดของห้อง Frank Sinatra เป็นชนิดที่ติดตั้งแยกหน้าต่างเป็นบานๆไป สามารถเลือกที่จะปิดเปิดหรือปรับมุมในแต่ละบานให้ไม่เท่ากันได้อย่างเช่นภาพข้างบน และตัววัสดุทำมาจากไม้แท้ทุกแผ่นครับ
ครัวในมุมมองจากโต๊ะอาหาร ครัวไม่ได้แต่งครับ เหมือนเดิมเด๊ะ เหมือนจะหลุด Theme ออกไปบ้างเหมือนกัน
ห้องนอนเล็กของที่นี่ใช้วัสดุประเภทไม้อีกแล้ว หัวนอนบุด้วยผ้า เตียงกรอบไม้ โต๊ะข้างเตียงก็ใช้ดีไซน์ที่ล้อกันไปทั้งห้อง
โซฟาหรือที่นั่งปลายเตียงเป็นสีแดงล้อมาจาก Armchair ตัวข้างนอก ชั้นวางทีวีใช้วัสดุเดียวกันกับชั้นที่ห้องรับแขก
ให้ดูที่นั่งปลายเตียงอีกมุม ด้วยขนาดและความกว้างที่เหลือเป็นช่องทางเดินระหว่าง Bench กับทีวีแล้วคงจะไม่ได้นั่ง น่าจะเอาไว้วางของเสียมากกว่า
ห้องนอนใหญ่ยังคงล้อตาม Theme เดิม โต๊ะข้างเตียงใช้ผิวไม้เงาๆ
ผนังเป็น Wall Paper สีเข้ม โต๊ะไม้ในห้องและชั้นวางของก็ยังใช้ไม้ประเภทเดิม ส่วน Prop ก็เป็นแผ่นเสียงและโคมไฟที่ดูแล้ว Classic หน่อย
ชั้นวางทีวีไม้ตัวนี้เป็นแบบผิวด้าน ถ้าใช้ผิวมันอาจจะเลี่ยนมากเกินไป มีเบรคบ้างเป็นการตัดสินใจที่ดี
ที่แขวนเสื้อข้างทีวี
ขาโคมไฟยังเป็นลายเสาโรมันเลย
มุมจากเตียงมองไปยังทางเข้า
เก้าอี้ตัวนี้สีไม่แดงเหมือนสองห้องที่แล้ว แต่ยังคงแบบ Classic อยู่
ผนังห้องนอนใหญ่ประดับด้วยภาพรถยนต์โบราณ เซียนรถเก่าอาจจะตอบได้ว่ามันเจ๋งอย่างไร แต่ถ้าถามผมก็คงใบ้รับประทาน
เดินเข้าเดินออกมองแต่ชุดแผ่นเสียง ซึ่งแน่นอน ห้องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก Frank Sinatra นี่ครับ
Summary: ห้อง “Frank Sinatra” ดูแล้วเป็น Theme ล้อกันไปหมด ทั้งเรื่องวัสดุประเภทไม้และการแต่งห้องแบบ Modern Classic ที่ย้อนยุคแต่ก็ยังคุมไม่ให้ดู “แก่” มากเกินไป โดยเอาคอนเซปท์ของ Frank Sinatra ที่เป็นดนตรี Jazz & Swing สมัยเก่า คนร้องเสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังเป็นตำนานเป็นต้นแบบให้คนรุ่นหลังชอบจนถึงทุกวันนี้
If I were to live in this room: ห้องนี้แต่งออกมาใช้อยู่จริงได้พอสมควร ด้วยความที่เป็น Furniture ไม้เสียเยอะ จะทำให้ห้องดูอบอุ่น ดูแล้วเป็นบ้านมากกว่าเป็นที่พักอาศัยชั่วคราว การใช้โทนสี Earth Tone โดยมีแซมสีแดงมาบ้างก็นุ่มนวลดีเหมาะกับการออกแบบกลางๆเพื่อลูกค้าส่วนใหญ่ เก้าอี้บางตัวเช่น Bench ปลายเตียงในห้องนอนเล็กอาจจะใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่และทำให้ห้องดูแคบลง ก็แนะนำว่าให้ย้ายไปไว้ในจุดที่มันควรจะอยู่ เช่นหาผนังชิดเข้าไปจะดีกว่า โดยรวมจัดว่าดีแต่ก็ยังติดตรงที่ Storage ของห้องนี้ยังน้อยไปนิดครับ
ถ้าอ่านแล้วชอบ ก็ช่วยกด Like กันหน่อยนะครับ