…วันนี้เราจะพามารีวิวโปรดักส์ที่ไม่เหมือนใครในย่าน กับโครงการ Landmark at Kasetsart TSH Station ซึ่งมีความน่าสนใจในหลายๆอย่างเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทำเลและการออกแบบ โดยปัจจุบันทางโครงการก็กำลังจะเปิดให้จองรอบ VIP ภายในต้นเดือนเมษายนที่จะถึงนี้แล้วนะ และถ้าหากใครที่กำลังสนใจโครงการนี้อยู่ล่ะก็ ผมได้รวบรวมจุดเด่นหรือ Highlights ต่างๆเอาไว้ให้แล้วดังนี้เลยครับ
- ทำเลติดถนนใหญ่วิภาวดีฝั่งขาเข้าเมือง และติดรถไฟฟ้าสายสีแดง “สถานีทุ่งสองห้อง” ในระยะ 0 ม.
- เป็นโปรเจคมิกซ์ยูสแห่งแรกบนถนนวิภาวดีรังสิต ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและร้านค้าต่างๆภายในครบครัน
- แบบห้องห้องฝ้าเพดานสูงทั้งโครงการ บรรยากาศเหมือนอยู่บ้าน
- มีฟังก์ชันห้องอเนกประสงค์ให้ใช้งาน พร้อมห้องน้ำแบบ Powder Room ที่ชั้นบนทุกแบบ
ข้อมูลโครงการ
Landmark at Kasetsart TSH Station (แลนด์มาร์ค แอท เกษตรศาสตร์ ทุ่งสองห้อง สเตชั่น) ณ วันที่ 8 มีนาคม 2565
ชื่อโครงการ | Landmark at Kasetsart TSH Station (แลนด์มาร์ค แอท เกษตรศาสตร์ ทุ่งสองห้อง สเตชั่น) |
ชื่อผู้ประกอบการ | บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) |
SEGMENT CLASS | MAIN CLASS (รายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2021 ) |
โครงการตั้งอยู่ | ถนน วิภาวดีรังสิต เขต หลักสี่ |
ที่ดิน | 3-3-62 ไร่ |
ประเภทคอนโด | คอนโด High Rise 19 ชั้น 1 อาคาร / อาคารจอดรถ 1 อาคาร / Branded Residence 1 อาคาร |
จำนวนยูนิต | 437 ยูนิต (แบ่งเป็น ยูนิตพักอาศัย 428 ยูนิต และร้านค้า 9 ยูนิต) |
ยูนิตต่อชั้นสูงสุด | 14 ยูนิต |
ที่จอดรถ | 166 คัน หรือคิดเป็น 38% (แบ่งเป็นที่จอดแบบ Automatic Parking 135 คัน และที่จอดแบบปกติ 31 คัน ใช้งานร่วมกับ Branded Residence) |
เริ่มก่อสร้าง | ปี 2566 |
คาดว่าจะแล้วเสร็จ | ปี 2567 |
ประเภทห้องพัก |
|
ฝ้าเพดานสูง | 4.15 เมตร ในแบบห้องปกติ และ 4.9 เมตร ในแบบห้อง Co-Living |
ราคาเริ่มต้น | 2.99 ล้านบาท (หรือเริ่มต้นประมาณ 78,000 บาท/ตร.ม.) |
ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ | ประมาณ 95,000 บาท/ตร.ม. |
VIP Day | 2 เมษายน 2565 |
EIA (ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) | อยู่ในระหว่างดำเนินการ |
เว็บไซต์โครงการ | http://www.landmarkatkasetsart.com/ |
Call Center | 1306 |
ทำเลที่ตั้ง
Highlights:
- ติดถนนใหญ่วิภาวดีรังสิตฝั่งขาเข้าเมือง สามารถเดินทางไปทำงานในเมืองด้วยรถยนต์ได้สะดวก
- โครงการอยู่ติดกับสะพานลอยทางขึ้นรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีทุ่งสองห้อง ในระยะ 0 ม.
พิกัด Google Maps : 13.860743, 100.569176
หรือสามารถ : คลิกที่นี่
แผนที่จากทางโครงการครับ
โครงการ Landmark at Kasetsart TSH Station ตั้งอยู่ติดถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาเข้าเมือง เหมาะมากสำหรับคนที่อาจเป็นบุคลากรทำงานในม.เกษตร หรือเป็นพนักงานที่ SCB Park และตึกช้างแถวๆรัชโยธิน รวมถึงยังสามารถขับรถไปทำงานแถวห้าแยกลาดพร้าวก็ได้ ซึ่งแถวๆนั้นก็จะมีอาคารสำนักงานขนาดใหญ่อีกหลายแห่งเลยทีเดียวครับ นอกจากนี้เรายังสามารถใช้เส้นทางตัดใหม่ของถนนเลียบคลองบางเขน เพื่อลัดมายังถนนพหลโยธินตรงแถวๆศรีปทุม-รามอินทราได้อีกด้วย
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ที่ตั้งของโครงการนี้มีความน่าสนใจมากขึ้นคือ การเดินทางด้วยรถสาธารณะอย่าง “รถไฟฟ้าสายสีแดง” ที่เพิ่งเปิดใช้งานเมื่อไม่นานมานี้ โดยจะอยู่ติดกับบันไดทางขึ้นสะพานลอยไปรถไฟฟ้า สถานีทุ่งสองห้อง ที่เรียกได้ว่าเป็นระยะ 0 ม. เลยก็ว่าได้ หรือหากใครที่อยากนั่งรถเมล์/รถแท็กซี่ ก็สามารถโบกเรียกตรงหน้าโครงการได้เลยครับ ซึ่งถือข้อได้เปรียบสำหรับโครงการที่อยู่ติดถนนใหญ่ และไม่ต้องเสียเวลาขับรถเข้าซอยแบบนี้นั่นเอง
ถ้าลองซูมเข้ามาดูใกล้ๆก็จะเห็นว่า ตัวบันไดทางขึ้นสถานีจะตั้งอยู่ตรงบริเวณด้านหน้าที่ดินโครงการเลยครับ ซึ่งถือว่าสะดวกสำหรับคนที่ต้องการเดินทางด้วยรถสาธารณะมากๆ โดยมีระยะเดินบนสะพานเพียง 150 ม. เท่านั้น ก็จะถึงสถานีแล้วครับ
สภาพแวดล้อมรอบโครงการ
บริบทรอบๆโครงการ ส่วนใหญ่จะเป็นวิวที่ค่อนข้างเปิดโล่งครับ ซึ่งมีทั้งชุมชนแนวราบ โกดังสินค้า และโรงงานต่างๆอยู่บ้าง รวมถึงมีอาคารสูงประมาณ 10 – 20 กว่าชั้นอย่างตึกของเดลินิวส์ และโรงแรมรามาการ์เด้นส์อยู่ด้วย โดยสามารถสรุปได้ดังนี้
- ทิศเหนือ : ที่ดินจะติดกับถนนวิภาวดีรังสิต โดยภายในโครงการจะมีตึกสูงอย่าง Branded Residence (รอการพัฒนา) และอาคารจอดรถตั้งอยู่ด้านหน้าด้วยครับ
- ทิศใต้ : ติดกับ ที่ว่าง และวิวที่หันไปทางม.เกษตร-รัชโยธิน
- ทิศตะวันออก : ติดกับ อาคารสำนักงานเดลินิวส์ และโรงแรมรามาการ์เด้นส์ ที่มีความสูงประมาณ 10 – 20 กว่าชั้น แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระยะประชิด ซึ่งอาจมีห้องบางส่วนที่เห็นวิวทางถนนพหลโยธินได้ด้วย
- ทิศตะวันตก : ติดกับ Max Condominium สูง 8 ชั้น และโกดังสินค้า ส่วนระยะไกลจะได้วิวของทางฝั่งของงามวงศ์วาน-ประชาชื่น
ซึ่งนี่จะเป็นภาพบรรยากาศรอบๆที่ดินโครงการ ที่ผมถ่ายจากสะพานลอยมาฝากครับ จะเห็นได้ว่าโดยรอบส่วนใหญ่จะไม่ได้มีตึกสูงบังอยู่ในระยะประชิดมากนัก ดังนั้นถ้าเป็นห้องชั้น 4 – 5 ขึ้นไป (หรือเทียบเท่าตึกทั่วไปที่สูง 8 – 9 ชั้น เพราะโครงการนี้ทุกชั้นจะเป็นห้องฝ้าเพดานสูงหมด) ก็น่าจะได้วิวที่เคลียมากขึ้นแล้วนั่นเอง
ส่วนด้านหน้าโครงการก็จะอยู่ติดกับถนนใหญ่วิภาวดีรังสิตแบบนี้เลยครับ ซึ่งจะมีสะพานลอยที่สามารถใช้ข้ามถนนไปยังรถไฟฟ้าสายสีแดงได้อีกด้วย
เราลองมาเดินชมบรรยากาศของจริงกันดูสักหน่อย ด้วยการเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้ากันครับ เริ่มต้นที่ด้านหน้าโครงการจะเป็นตำแหน่งของป้ายรถเมล์พอดี ซึ่งเราก็สามารถเรียกรถสาธารณะจากตรงนี้ได้ง่ายๆเลย
นอกจากนี้ทางขึ้นสะพานลอยก็ยังมีบันไดเลื่อนให้ใช้งาน ซึ่งจะสะดวกมากๆเพราะไม่ต้องเดินขึ้นเองให้เหนื่อย แถมขากลับก็ยังมีบันไดปกติให้เดินลงทางเดิมได้อีกด้วยครับ
และเมื่อเราข้ามสะพานลอยมาก็จะสามารถเชื่อมต่อมายังรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีทุ่งสองห้อง ซึ่งมีระยะเดินประมาณ 150 ม. เท่านั้น ถือว่าค่อนข้างสะดวกและปลอดภัยมากๆครับ
สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น
ห้างสรรพสินค้า / ตลาด
- เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน ~ 4.9 กม.
- เซ็นทรัล ลาดพร้าว ~ 5.9 กม.
- โลตัส ลาดพร้าว ~ 6.1 กม.
โรงพยาบาล
- โรงพยาบาลวิภาวดี ~ 1.8 กม.
- โรงพยาบาลเปาโล เกษตร ~ 4 กม.
- โรงพยาบาลนนทเวช ~ 7.4กม.
โรงเรียน
- มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ~ 3 กม.
- มหาวิทยาลัยศรีปทุม ~ 4.3 กม.
- โรงเรียนหอวัง ~ 4.9 กม.
- มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ~ 5.7 กม.
- มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต ~ 9.6 กม.
สถานที่ทำงาน
- เดลินิวส์ ~ 50 ม. (ระยะเดิน)
- ตรีเพชรอีซูซุ สำนักงานใหญ่ ~ 4.4 กม.
- SCB Park ~ 5.1 กม.
- ปตท. สำนักงานใหญ่ ~ 6.4 กม.
- การบินไทย สำนักงานใหญ่ ~ 6.6 กม.
- ไทยรัฐ ~ 8.2 กม.
รายละเอียดโครงการ
Highlights :
- เป็นโปรเจคมิกซ์ยูสที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการครบ ซึ่งจะตอบโจทย์กับทำเลตรงนี้มาก เพราะเราไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปห้างในเมืองไกลๆนั่นเองครับ
- คอนโดเป็นห้องฝ้าเพดานสูงทั้งโครงการ
- ผังอาคารมีตำแหน่งที่ได้ความเป็นส่วนตัว ทั้งโถงทางเดินหน้าห้องแบบ Single Corridor และห้องมุมที่ผนังติดกับเพื่อนบ้านแค่ด้านเดียวหลายจุด
- Main Facilities อยู่บนชั้นสูงสุด สามารถขึ้นมาใช้งานและชมวิวมุมสูงรอบๆไปด้วยได้สบายๆ
Landmark at Kasetsart TSH Station เป็นโปรเจคมิกซ์ยูส 3 อาคารที่ประกอบด้วย Branded Residence / อาคารจอดรถ และคอนโดมิเนียม ซึ่งโครงการลักษณะนี้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆอยู่ภายในครบครันเลย ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า/ร้านอาหาร อีกทั้งยังมีบริการโรงแรมให้ใช้งานด้วยครับ
ซึ่งค่อนข้างเหมาะกับทำเลที่โครงการตั้งอยู่มากๆ เพราะเราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาขับรถไกลๆ เพื่อไปทานข้าว/จับจ่ายใช้สอยในเมืองให้เหนื่อย แต่สามารถลงมาหาของกินได้ที่ด้านล่างโครงการสบายๆแบบนี้เลย หรือบางคนอาจมีแขกบินมาหาบ่อยๆ ก็สามารถนั่งรถไฟฟ้าจากสนามบินดอนเมือง เพื่อมาพักใน Branded Residence ที่มีบริการโรงแรมคอยอำนวยความสะดวกครบครันก็ยังได้ครับ
Master Plan จะมีการวางคอนโดมิเนียมเอาไว้ด้านในสุด ซึ่งเป็นอาคารที่ต้องการความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีการนำอาคารจอดรถมาคั่นไว้ตรงกลาง ทั้ง 2 อาคารเลยสามารถมาใช้งานได้สะดวกพอๆกัน สามารถจอดรถได้ 166 คัน หรือคิดเป็น 38% (แบ่งเป็นที่จอดแบบ Automatic Parking 135 คัน และที่จอดแบบปกติ 31 คัน ใช้งานร่วมกับ Branded Residence) และยังทำให้คอนโดมิเนียมได้ความเป็นส่วนตัวจากโซน Branded Residence มากขึ้นอีกหน่อย เพราะอาคารนั้นจะเป็นแบบกึ่งสาธารณะ ซึ่งอาจมีบุคคลภายนอกเข้ามาใช้บริการอยู่ค่อนข้างบ่อยนั่นเองครับ
ภาพบรรยากาศจำลองบริเวณด้านหน้าโครงการ ซึ่งจะมีการปลูกต้นไม้และจัดสวนดูร่มรื่นดีทีเดียว โดยทางเข้าจะอยู่ติดกับถนนวิภาวดีรังสิต และติดบันไดทางขึ้นสะพานลอยที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีทุ่งสองห้อง ได้แบบนี้เลยครับ
สำหรับอาคารคอนโดมิเนียมที่เราจะมีรีวิวกันในวันนี้ เป็นอาคาร High Rise สูง 19 ชั้น และมีเพื่อนบ้านเพียง 236 ยูนิตเท่านั้น ถือว่าค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านย่านเดียวกัน เพราะห้องพักอาศัยทั้งหมดจะเป็นห้องฝ้าเพดานสูง เลยได้ความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยบนอาคารนี้พอสมควร โดยฟังก์ชันส่วนกลางหลักๆจะอยู่ที่ชั้นบนสุด ซึ่งจะสามารถขึ้นไปใช้งานและชมวิวรอบๆไปด้วยได้นั่นเองครับ
แปลนชั้น 1 ของคอนโดจะประกอบด้วย Retail Shop (เป็นกรรมสิทธิ์ของ Siamese Asset เอง) แต่จะเป็นร้านค้าอะไรนั้นอาจต้องรอดูในอนาคตอีกทีนะครับ ซึ่งก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนที่อาศัยอยู่ที่ตึกนี้ได้ดีเลยทีเดียว และติดกันจะเป็น Lobby ที่สามารถไว้รับรองแขกที่มาหาได้ โดยจะสามารถเข้ามาได้จากทาง Drop Off ด้านหน้าเลยครับ
ภาพบรรยากาศจำลองบริเวณ Lobby ที่มีฝ้าเพดานสูงโปร่งโล่งมากๆ แถมด้านข้างยังมีช่องแสงขนาดใหญ่ ที่เราสามารถชมวิวสวนด้านนอกได้ด้วยครับ โดยจะตกแต่งด้วยโทนสีขาว-เทาดูสะอาดตาดีมากๆ และมีชุดโซฟาให้มานั่งเล่นพักผ่อน หรือใช้รับรองแขกที่มาเยี่ยมหาก็ได้
แปลนชั้น 2 จะเริ่มเป็นโซนพักอาศัยแล้วครับ โดยความพิเศษของชั้นนี้ก็คือ จะมีห้อง Type พิเศษที่เรียกว่า Duplex Flexi และ Duplex Grand ซึ่งจะมีเพียงยูนิตละ 1 ห้องเท่านั้น โดยจะมีความสูงฝ้าเพดานพิเศษกว่าชั้นอื่นๆอยู่ที่ 4.9 ม. แต่รายละเอียดอื่นๆหรือลักษณะแปลนห้องจะเป็นอย่างไรนั้น อาจต้องรอข้อมูลอัพเดตเพิ่มเติมจากทางโครงการเร็วๆนี้อีกครั้งนะครับ
แปลนชั้น 3 จะเป็นโซนพักอาศัยแบบเต็มชั้น ซึ่งมีทั้งหมด 14 ห้องด้วยกัน โดยแบบห้อง Co-Living ก็จะมีเฉพาะในชั้น 2 และ 3 นี้เท่านั้นอีกด้วยครับ แต่ก็เช่นเคยที่เราอาจต้องรอข้อมูลอัพเดตเพิ่มเติมจากทางโครงการอีกครั้งนะ
แปลนชั้น 4 – 18 จะเป็นแบบห้อง Nomal ที่มีจำนวนมากที่สุดในโครงการ ซึ่งตัวอาคารจะมีลักษณะเป็นรูปตัว L จึงไม่มีห้องไหนที่บังวิวกันเลย และยังวางโถงลิฟต์เอาไว้ตรงกลาง เลยทำให้ห้องในตำแหน่งต่างๆสามารถมาใช้งานลิฟต์ได้สะดวกพอๆ รวมถึงยังมีการเปิดช่องแสงและช่องระบายอากาศตรงริมทางเดิน ก็เลยทำให้มีความสว่างและอากาศถ่ายเทดีอีกด้วยครับ ส่วนตำแหน่งห้องที่ผมคิดว่าน่าสนใจจะมีดังนี้
- สีแดง : เป็นห้องที่ได้ความเป็นส่วนตัว เพราะบริเวณหน้าห้องจะได้เป็นโถงทางเดินแบบ Single Corridor ที่ไม่ต้องเปิดประตูมาเจอห้องฝั่งตรงข้ามเลยนั่นเองครับ
- สีฟ้า : เป็นห้องริมสุดที่จะไม่ค่อยมีใครเดินผ่านหน้าห้องบ่อยๆ แถมยังมีผนังอยู่ติดกับเพื่อนบ้านแค่ฝั่งเดียวเท่านั้น จึงช่วยลดปัญหาเรื่องเสียงรบกวนที่อาจดังมาจากห้องข้างๆไปได้ด้วย
- สีเขียว : เป็นเพียงห้องเดียวที่นอกจากจะอยู่เป็นห้องริมสุดแล้ว ก็ยังไม่มีผนังอยู่ติดกับห้องไหนเลยด้วย จึงเป็นตำแหน่งห้องที่ได้ความเป็นส่วนตัวมากที่สุดเลยก็ว่าได้ครับ
แปลนชั้น 19 จะเป็นชั้น Main Facilities ที่ประกอบด้วยฟิตเนสและสระว่ายน้ำ รวมถึงยังมีห้องน้ำแยกชาย-หญิงให้งานครบอีกด้วย
ซึ่งการที่พื้นที่ส่วนกลางมาอยู่ชั้นบนสุดแบบนี้ ยังทำให้เราสามารถขึ้นมาใช้งานไปด้วยและชมวิวรอบๆไปด้วยได้ครับ ถือว่าเป็น Value ที่สำคัญที่ทางโครงการได้จัดมาให้กับลูกบ้าน เพราะแทนที่จะนำชั้นสูงๆแบบนี้มาทำเป็นพื้นที่ขายที่อาจมีราคาค่อนข้างสูง แต่กลับเลือกที่จะนำมาทำเป็นพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อให้ลูกบ้านชั้นไม่สูงมากนักก็ยังสามารถขึ้นมาชมวิวสวยๆได้ด้วยนั่นเอง
ภาพบรรยากาศจำลองบริเวณสระว่ายน้ำ ซึ่งจะเป็นแบบกลางแจ้งและสามารถว่ายน้ำไป พร้อมกับชมวิวเปิดโล่งด้านข้างไปด้วยได้แบบนี้เลยครับ
ภาพบรรยากาศจำลองภายใน Fitness ซึ่งจะเป็นห้องฝ้าเพดานสูงโปร่ง และโดยรอบยังเป็นกระจกทั้งหมด สามารถขึ้นมาออกกำลังกายไปและชมวิวไปด้วยเพลินๆครับ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
ชั้น 1
- Lobby
- Retail Shop
ชั้น 19
- Fitness
- Swimming Pool ระบบเกลือ ขนาด 3.7 x 17.35 เมตร
- พื้นที่สวนพักผ่อน
- ลิฟต์โดยสาร 2 ตัว/อาคาร
- อัตราส่วนลิฟต์ตึก C (คอนโด) 118 : 1
- Service Lift 1 ตัว
- 166 คัน หรือคิดเป็น 38% (แบ่งเป็นที่จอดแบบ Automatic Parking 135 คัน และที่จอดแบบปกติ 31 คัน ใช้งานร่วมกับ Branded Residence)
- ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ CCTV / Key Card Access
แบบห้อง
Highlights :
- ห้องฝ้าเพดานสูง 4.15 ม. บรรยากาศเหมือนอยู่บ้าน และสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่แนวตั้ง เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของได้เยอะทีเดียว
- มีฟังก์ชันห้องอเนกประสงค์ทุกแบบ สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องทำงานหรือห้องนอนเพิ่มได้
- มีห้องน้ำ 2 ห้องทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ใช้งานได้สะดวกดี
- ลดทอนฟังก์ชันครัวออกไป เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอื่นๆให้กว้างขวางมากขึ้น แต่ก็เตรียมระเบียงขนาดใหญ่ไว้เผื่อทำเป็นครัวได้หากต้องการ
โครงการนี้จะเป็นห้องสไตล์ Loft หรือห้องแบบฝ้าเพดานสูงทั้งหมดครับ ขายแบบ Fully Fitted โดยให้เฟอร์นิเจอร์เฉพาะตู้เสื้อผ้า Built-in / เครื่องปรับอากาศ 2 เครื่อง / Wallpaper / กั้นห้องนอนที่ชั้นบน และได้สุขภัณฑ์ในห้องน้ำครบ
อ่านบทความ : LOFT vs DUPLEX ต่างกันอย่างไร
- Grand Type ห้อง 1 Bedroom + 1 ห้องอเนกประสงค์ ขนาดพื้นที่โฉนด 29.5 ตร.ม. พื้นที่ใช้สอยภายใน 44.5 ตร.ม.
เป็นห้องสไตล์ Loft หรือห้องฝ้าเพดานสูง และมีพื้นที่ใช้สอย 2 ชั้น จึงทำให้ได้บรรยากาศคล้ายอยู่บ้านเลยล่ะครับ เริ่มจากพื้นที่ชั้นล่างจะเป็น Common Area ขนาดใหญ่ ตรงบริเวณที่ได้ฝ้าเพดานสูง 4.15 ม. จึงมีความโปร่งโล่งมากๆ อีกทั้งยังมีห้องน้ำและห้องอเนกประสงค์ให้ได้ใช้งานด้วย
แต่จุดที่น่าสังเกตคือ ห้องนี้จะไม่มีครัวเลย ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่ถูกลดทอนออกไป เพื่อให้ส่วนอื่นๆภายในห้องมีพื้นที่ใช้สอยได้เต็มที่มากขึ้น เพราะคนที่อยู่คอนโดก็มักจะทานข้าวนอกบ้าน หรือสั่ง Grab มาทานจะค่อนข้างสะดวกกว่า แต่หากใครที่อยากทำครัวเองล่ะก็ สามารถทำเพิ่มได้ที่บริเวณระเบียงด้านนอกเลยครับ ซึ่งเค้าได้ออกแบบให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ไว้เผื่อเรียบร้อยแล้ว
ส่วนห้องนอนจะอยู่บนชั้น 2 ซึ่งจะทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังได้ความโปร่งโล่งอยู่ เพราะจะได้ผนังกระจกขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ชั้นล่างได้ด้วย รวมถึงยังมี Powder Room ให้ใช้งานที่ชั้นบนด้วย จึงช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ไม่ต้องเดินขึ้น-ลงเพื่อเข้าห้องน้ำบ่อยๆนั่นเองครับ
โดยภาพรวมห้องนี้เหมาะกับการอยู่อาศัย 1 – 2 คน อาจเป็นคนที่ชอบความสูงโปร่งของฝ้าเพดาน ได้บรรยากาศเหมือนอยู่บ้าน รวมถึงต้องการห้องอเนกประสงค์ ไว้ให้ปรับเปลี่ยนเป็นฟังก์ชันอื่นๆได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงานอยู่บ้าน ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในช่วง WFH แบบนี้ หรืออาจเป็นห้องนอนเล็กสำหรับลูกน้อยในอนาคตก็ได้อีกด้วย โดยบรรยากาศของจริงจะเป็นอย่างไร เราไปชมห้องตัวอย่างกันเลยดีกว่าครับ
เข้ามาภายในห้องเราจะเจอกับ Common Area ที่มีฝ้าเพดานสูง 4.15 ม. จึงมีความสูงโปร่งดีทีเดียวครับ อีกทั้งบริเวณด้านซ้ายของห้องก็จะมองเห็นบันไดทางขึ้นชั้น 2 ด้วย เลยทำให้ได้บรรยากาศเหมือนอยู่บ้านแบบนี้เลย
ส่วนวัสดุปูพื้นจะใช้เป็นพื้นไวนิลแบบ Click Lock (หรือแบบมีลิ้น) ที่สามารถติดตั้งได้ง่ายโดยไม่ต้องใช้กาวเป็นตัวเชื่อมประสาน ซึ่ง Backing ด้านหลังนี่แหละครับที่เค้าจะไม่ถูกกับน้ำ แถมยังค่อนข้างเสื่อมสภาพเร็วกว่าตัวพื้นอีกด้วย จึงทำให้พื้นชนิดนี้สามารถนำมาปูพื้นห้องน้ำส่วนแห้งเพื่อการตกแต่งได้ แล้วยังส่งผลให้ใช้งานพื้นไวนิลได้เต็มอายุการใช้งานมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งอาจอยู่ได้ถึง 15 – 20 ปีเลยทีเดียวครับ
บริเวณหน้าห้องจะเป็น Living Area ที่สามารถใช้โซฟาตัวใหญ่ 3 ที่นั่ง แบบที่นอนดูทีวีได้สบายๆเลยครับ โดยมีระยะดูทีวีอยู่ที่ประมาณ 3 ม. และสามารถใช้ทีวีจอใหญ่ๆ 50 – 60 นิ้วได้เลย
ถัดเข้ามาบริเวณกลางห้องจะมีพื้นที่ให้วางโต๊ะทานอาหารแบบ 4 ที่นั่งได้สบายๆ สามารถนั่งทานข้าวไปด้วยและดูทีวีไปด้วยได้ หรืออาจใช้เป็นโต๊ะอเนกประสงค์ นั่งทำงานอ่านหนังสือเล็กๆน้อยๆก็ได้เหมือนกันครับ
และด้วยความสูงของฝ้าเพดาน 4.15 ม. เรายังสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่แนวตั้งได้อีกด้วยนะ โดยอาจทำตู้ทรงสูงหรือชั้นวางของ เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของได้เยอะมากๆ หรือจะแขวนเป็นโคมไฟระย้าสวยๆแบบห้องตัวอย่างก็ทำได้สบายมาก
ติดกันจะเป็นประตูกระจกบานเลื่อนที่สามารถเปิดออกไประเบียงได้ โดยจะเป็นของยี่ห้อ Tostem ที่มีตัวล็อคมาให้ทุกชั้นเลยครับ ทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้น กรอบเป็นอลูมิเนียมพ่นสีน้ำตาล และได้เป็นกระจกตัดแสงที่ช่วยกัน UV กับความร้อนไม่ให้เข้ามาในห้องอีกด้วย
ระเบียงด้านนอกมีขนาด 2.4 x 1.3 ม. ซึ่งใหญ่พอให้เราสามารถออกมาใช้สอยได้เต็มที่เลยครับ อย่างคนที่ชอบทำอาหารก็อาจทำเป็นครัวเล็กๆตรงนี้ได้ หรือเราอาจทำเป็นมุมนั่งพักผ่อน เอาโต๊ะสนามตัวเล็กๆมาตั้ง และปลูกต้นไม้เพลินๆก็ทำได้เช่นกัน
ส่วนด้านบนก็จะแขวน Condensing Unit ไว้ค่อนข้างสูง เลยทำให้หลบมุมมองสายตาจากในห้องได้ดี และยังดูเรียบร้อยมากขึ้นด้วยครับ
อีกด้านหนึ่งของห้องจะมีการแบ่งฟังก์ชันออกเป็น 2 ชั้นเหมือนบ้านเลยครับ โดยชั้นล่างจะประกอบด้วยห้องน้ำและห้องอเนกประสงค์ที่อยู่ใต้ห้องนอนอีกที รวมถึงเราจะสัมผัสได้ถึงความโปร่งโล่งจากผนังกระจกชั้นบนอีกด้วยครับ
ภายในห้องน้ำจะมีการแบ่งฟังก์ชันเป็นสัดส่วน โดยพื้นที่ส่วนแห้งจะมีขนาดประมาณ 1.45 x 1.75 ม. ประกอบด้วยอ่างล้างหน้าจาก American Standard และโถสุขภัณฑ์จาก Cotto ครบพร้อมใช้งาน
ส่วนพื้นที่ยืนอาบน้ำจะมีขนาด 1.2 x 0.9 ม. สามารถใช้งานได้สบายๆ ซึ่งของจริงจะไม่มีฉากกั้นอาบน้ำให้นะครับ แต่ก็สามารถติดตั้งเพิ่มเติมเองได้ โดยจะมีทั้ง Hand Shower และ Rain Shower ให้เลือกใช้งานได้ตามต้องการ รวมถึงมีการเจาะช่องที่ผนังเพื่อวางอุปกรณ์อาบน้ำ และยังทำให้สามารถหยิบใช้งานได้สะดวกแบบนี้อีกด้วยด้วย
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบของคอนโด Siamese คือเค้าจะมีการเก็บงานที่ค่อนข้างเรียบร้อยมาก อย่างบริเวณท่อระบายน้ำก็จะใช้ฝาปิดแบบที่เป็นวัสดุเดียวกับพื้น และดูเนียนตาไปเลยครับ ซึ่งจะมีความสวยงามและดูดีมากทีเดียว
ถัดมาคือห้องอเนกประสงค์ที่จะมีความสูงฝ้าประมาณ 1.85 ม. โดยเค้าจะทำฝ้าแบบเปลือยและโชว์เป็นโครงเหล็กแบบนี้เลยครับ ซึ่งเราก็สามารถติดไฟส่องสว่างเพิ่มเติมเองได้นะ
ขนาดพื้นที่ห้องกว้างประมาณ 2.4 x 2.5 ม. ซึ่งเราสามารถจัดเป็นห้องทำงานช่วง WFH แบบนี้ หรือจะทำเป็นห้องนอนเพิ่มก็ได้อีกเช่นกัน โดยทางโครงการก็ได้ลองจัดเป็นห้องนอนมาให้ดูเป็นตัวอย่างครับ ด้วยการวางเตียง 5 ฟุตได้แบบพอดีๆ ส่วนทางด้านซ้ายของเตียงก็จะมีช่องว่างใต้บันได ที่เราสามารถทำเป็นตู้เสื้อผ้าหรือช่องเก็บของได้อีกด้วย
อีกด้านหนึ่งจะเป็นช่องแสงแบบกระจกบาน Fixed ไม่สามารถเปิดระบายอากาศได้ แต่ก็ทำให้มีแสงสว่างส่องผ่านเข้ามาเพียงพอ ส่วนผนังปลายเตียงเราก็สามารถติดทีวีแขวนผนังได้สบายๆเลยครับ
บันไดทางขึ้นชั้น 2 กว้างประมาณ 90 ซม. และเป็นโครงสร้างเหล็ก รวมถึงจะมีราวจับมาให้เกือบตลอดทางเลยครับ โดยเมื่อเราขึ้นมาด้านบนก็จะเจอห้องนอนที่อยู่ขวามือ ซึ่งจะกั้นห้องด้วยผนังกระจกและประตูบานเลื่อน เลยทำให้มีความโปร่งโล่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังได้ความเป็นสัดส่วน และเวลาเปิดแอร์ก็จะไม่เปลืองอีกด้วย (ไม่ต้องเปิดแอร์ทั่วทั้งห้องฝ้าเพดานสูงตลอดเวลา)
ภายในห้องนอนเราจะรู้สึกถึงความโปร่งโล่งเป็นพิเศษ เพราะมีช่องแสงกับผนังกระจกรวมกันถึง 3 ด้าน และมีความสูงฝ้าเพดานอยู่ที่ 2.15 ม. ทำให้ใช้งานได้ปกติ โดยไม่ได้รู้สึกว่าฝ้าเตี้ยเกินไปนักอีกด้วยครับ
ห้องนี้กว้างประมาณ 2.4 x 2.5 ม. สามารถวางเตียง 5 ฟุตได้แบบพอดีๆ ปลายเตียงมีผนังทึบให้ติดทีวีแขวนผนังเพิ่มเติมได้ ส่วนทางขวาของเตียงจะมีช่องแสง และหน้าต่างบานกระทุ้งให้เปิดระบายอากาศได้ด้วยครับ
อีกด้านหนึ่งจะเป็นผนังกระจกที่สามารถมองเชื่อมต่อไปยังชั้นล่างได้ ซึ่งจะทำให้มีบรรยากาศที่โปร่งโล่งดีมากๆครับ แต่ถ้าใครต้องการความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ก็อาจติดม่านไว้เลื่อนปิดในตอนที่เรามีแขกมาหาก็ได้นะ
ฝั่งตรงข้ามกับห้องนอนจะเป็นพื้นที่แต่งตัวหน้าห้องน้ำ ที่จะยกพื้นสูงขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เลยทำให้มีฝ้าเพดานสูง 1.85 ม. ซึ่งคนตัวสูงๆหน่อยก็อาจยืนใช้งานได้แบบพอดีความสูงนั่นเองครับ และมาพร้อมกับตู้เสื้อผ้ากระจกที่จะ Built-in มาให้แบบนี้เลย
ซึ่งตู้แบบนี้เป็นไอเดียที่ทางโครงการต้องการให้เกิดความโปร่งโล่งมากที่สุดนั่นเอง แต่ในขณะเดียวกันก็จะทำให้สามารถมองเห็นเสื้อผ้า/ข้าวของภายในได้หมดเลย ดังนั้นเวลาใช้งานจริงๆก็อาจต้องคอยจัดเรียงเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อยอยู่ตลอดเสมอ หรือไม่เราก็อาจทำเป็นกระจกฝ้าก็น่าจะช่วยพรางสายตาได้พอสมควรครับ
ส่วนห้องน้ำด้านบนจะเป็นแบบ Powder Room คือจะไม่มีส่วนอาบน้ำครับ แต่ก็ทำให้เรามีความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น เช่น ตอนที่เราตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกก็ไม่จำเป็นต้องเดินขึ้น-ลงบันไดบ่อยๆนั่นเอง
ภายในมีขนาดประมาณ 1.4 x 1.4 ม. สามารถใช้งานได้พอดีๆ มีพื้นเป็นไวนิลที่เชื่อมต่อมาจากภายนอกห้องน้ำ ซึ่งสามารถใช้กับพื้นที่ส่วนแห้งบริเวณแบบนี้ได้ด้วย เพราะค่อนข้างทนความชื้นได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็อาจต้องคอยเช็ดหรือทำให้พื้นแห้งตลอดเวลา ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานของวัสดุดีที่สุดครับ
- Flexi Type ห้อง 1 Bedroom + 1 ห้องอเนกประสงค์ ขนาดพื้นที่โฉนด 25 ตร.ม. พื้นที่ใช้สอยภายใน 38 ตร.ม.
เป็นห้องไซส์เล็กสุดของโครงการ ซึ่งก็ยังเป็นสไตล์ Loft ที่มีฟังก์ชันห้องคล้ายกับแบบ Grand ก่อนหน้านี้เลยครับ เพียงแต่จะมีขนาดพื้นที่ Compact มากขึ้น และบันไดก็จะย้ายมาอยู่ทางด้านหน้า ซึ่งก็จะมีผลกับความกว้างของ Common Area ที่ลดลงนิดหน่อย แต่นอกนั้นเราก็จะได้ฟังก์ชันให้ใช้งานครบ
ไม่ว่าจะเป็นห้องอเนกประสงค์ชั้นล่าง มีห้องน้ำทั้ง 2 ชั้น กับห้องนอนชั้นบนที่เป็นส่วนตัว แน่นอนว่าฟังก์ชันครัวยังคงถูกลดทอนลงไปเหมือนเดิม เลยทำให้ห้องนี้เหมาะกับคนที่ชอบฟังก์ชันครบแบบนี้แหละครับ แต่อาจยังอยู่ในงบที่จับต้องได้ง่ายมากขึ้นสักล้านนึง ซึ่งเราสามารถนำเงินส่วนต่างนี้ไปใช้ตกแต่งห้อง ซื้อของเข้าบ้าน หรือนำไปลงทุนอื่นๆได้นั่นเองครับ
เข้ามาในห้องเราก็จะเจอกับ Common Area ที่มีฝ้าเพดานสูง 4.15 ม. แต่ฟีลลิ่งจะค่อนข้างแตกต่างจากห้องแบบ Grand ก่อนหน้านี้พอสมควรครับ ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะสีของวัสดุที่เป็นโทนอ่อนและสว่างมากขึ้น (ทั้ง 2 Type จะใช้คนละกัน) และส่วนตัวผมคิดว่าห้องนี้ให้ความรู้สึกที่ทันสมัย และมีพื้นที่ใช้สอยกะทัดรัดมากขึ้นด้วยนะ
ตำแหน่งการจัดฟังก์ชันของ Common Area ตรงกลางจะสามารถวางโซฟาขนาด 2 ที่นั่งได้พอดีๆครับ เพราะเราอาจต้องเผื่อพื้นที่ด้านข้างสำหรับวางโต๊ะทานอาหารและตู้เย็นด้วยนะ โดยระยะดูทีวีห้องนี้จะกว้างประมาณ 2.2 ม. สามารถใช้ทีวีขนาด 40 – 50 นิ้วได้ ส่วนโต๊ะทานอาหารก็อาจต้องวางแบบหันหน้าเข้าผนังเหมือนห้องตัวอย่างนี้ได้เลยครับ
อีกด้านหนึ่งของห้องก็จะเป็นประตูกระจกบานเลื่อน ที่เชื่อมต่อกับระเบียงเช่นเดิม ซึ่งคราวนี้โซฟาจะมาขยับเข้ามาอยู่ใกล้กับช่องแสงมากขึ้น เลยรู้สึกสว่างและน่านั่งใช้งานตลอดทั้งวัน
ระเบียงภายนอกมีขนาดใหญ่เหมือนเดิมครับ กว้างประมาณ 2.4 x 1.3 ม. เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย และเผื่อทำเป็นครัวได้นั่นเอง
ห้องอเนกประสงค์คราวนี้ทางโครงการจัดมาเป็นห้องทำงาน ซึ่งเหมาะสำหรับช่วง WFH แบบนี้มากๆครับ
โดยขนาดห้องจะกว้างประมาณ 2.6 x 2.6 ม. ยังสามารถวางเตียง 5 ฟุตและปรับเป็นห้องนอนได้แบบพอดีๆอยู่นะครับ รวมถึงยังมีพื้นที่เก็บของใต้บันไดให้ใช้งานแบบนี้ด้วย
กลับมาที่ด้านหน้าห้องก็จะมีห้องน้ำให้ใช้งานอยู่บริเวณหน้าบันไดด้วยครับ
ภายในมีการแบ่งฟังก์ชันเป็นสัดส่วน พร้อมสุขภัณฑ์จาก American Standard และ Cotto ครบเหมือนเดิม แต่อาจต้องติดฉากกั้นอาบน้ำเพิ่มเองนะครับ โดยพื้นที่ส่วนแห้งรูปตัว L จะกว้างด้านละประมาณ 90 ซม. และพื้นที่ส่วนเปียกกว้าง 1.5 x 0.9 ม. สามารถใช้งานได้แบบสบายๆ
บันไดกว้างประมาณ 90 ซม. และมีราวกันตกแบบทึบตามห้องตัวอย่างเลยครับ เนื่องจากเค้าต้องการให้สามารถติดทีวีแขวนผนังที่อีกด้านหนึ่งได้ด้วยนั่นเอง และแน่นอนว่าห้องนอนชั้นบนก็จะมีการกั้นห้องด้วยผนัง+ประตูกระจกเช่นเดิมครับ
สำหรับภายในห้องนอนเราจะได้ช่องแสงข้างเตียง และผนังปลายเตียงก็สามารถติดทีวีแขวนผนังเพิ่มได้เหมือนเดิมเลยครับ โดยฝ้าเพดานก็จะสูงประมาณ 2.15 ม. สามารถใช้งานได้ปกติ
มีขนาดประมาณ 2.5 x 2.6 ม. สามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุต แบบชิดริมผนังด้านหนึ่งได้พอดีๆ
อีกด้านหนึ่งก็จะมีผนังกระจก ที่สามารถมองเชื่อมต่อกับห้องด้านล่างได้แบบนี้เลยครับ
ด้านขวาของเตียงจะเป็นพื้นที่แต่งตัวหน้าห้องน้ำ กว้างประมาณ 1.1 x 1.1 ม. ซึ่งเค้าจะ Built-in ตู้เสื้อผ้ากระจกมาให้แบบนี้เลยครับ พร้อมกับยกพื้นสูงขึ้นจากห้องนอนเล็กน้อย ทำให้มีฝ้าเพดานสูง 1.85 ม.
แน่นอนว่าห้องน้ำนี้ก็เป็น Powder Room ที่ไม่มีส่วนอาบน้ำนะครับ ภายในกว้างประมาณ 1.1 x 1.3 ม. มาพร้อมกับสุขภัณฑ์ครบ และพื้นก็จะเป็นไวนิลที่ต่อเนื่องมาจากภายนอกห้องเหมือนเดิมเลย
**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ
ราคา
Landmark at Kasetsart TSH Station ราคา ณ วันที่ 8 มีนาคม 2565
- Flexi ห้อง 1 Bedroom + 1 ห้องอเนกประสงค์ ขนาดพื้นที่ใช้สอยภายใน 38 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาท
- Grand ห้อง 1 Bedroom + 1 ห้องอเนกประสงค์ ขนาดพื้นที่ใช้สอยภายใน 44.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.8 ล้านบาท
- รูปแบบการขาย Fully Fitted
- ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 4.15 เมตร ในแบบห้องปกติ และ 4.9 เมตร ในแบบห้อง Co-Living & Duplex
- จอง n/a บาท
- ทำสัญญา 140,000 – 160,000 บาท
- ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ n/a งวด
- ค่ากองทุน n/a บาท/ตร.ม.
- ค่าส่วนกลาง n/a บาท/ตร.ม./เดือน
**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
บทสรุป
ทำเล : ติดถนนใหญ่วิภาวดีรังสิตฝั่งขาเข้าเมือง ทำให้สามารถขับรถไปทำงานในเมืองได้ง่าย ซึ่งย่านกรุงเทพทางตอนเหนือแบบนี้ ก็มีแหล่งงานขนาดใหญ่หลายแห่งเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลากรในมหาวิทยาลัยใกล้เคียงต่างๆ / พนักงานธนาคารของ SCB Park / ปตท.สำนักงานใหญ่ และอาคารสำนักงานอีกมากมายแถวห้าแยกลาดพร้าว หรือถ้าใครทำงานที่เดลินิวส์นี่ก็เรียกว่าเดินไปทำงานได้เลยทีเดียว
ซึ่งเราก็ไม่ได้เห็นคอนโดติดถนนใหญ่บนเส้นนี้กันมานานแล้วเหมือนกันนะครับ จะเรียกว่าเค้าไม่มีคู่แข่งโดยตรงเลยก็ว่าได้ แต่ถ้าเป็นทำเลใกล้เคียงหรือบนถนนเส้นรองก็ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง ซึ่งก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ทำเลนี้อาจไม่ค่อยมีห้างสรรพสินค้า หรือความอุดมสมบูรณ์ต่างๆอยู่ในระยะใกล้เท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่ทำให้ทำเลตรงนี้ปัจจุบันมีความน่าสนใจมากขึ้นก็คือ การมาของรถไฟฟ้าสายสีแดง ที่เพิ่งเปิดใช้งานเมื่อไม่นานมานี้นั่นเอง ที่เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ทำให้การเดินทางของย่านนี้สะดวกมากขึ้นครับ
การเดินทางโดยใช้รถ : ติดถนนใหญ่ไม่ต้องเสียเวลาเข้าซอย และเป็นฝั่งขาเข้าเมืองที่เดินทางไปทำงานได้สะดวก รวมถึงยังอยู่ในช่วงที่สามารถใช้ถนนเลียบคลองบางเขน เพื่อเชื่อมต่อมายังถนนพหลโยธินได้อีกด้วย แต่สิ่งที่อาจเป็นข้อจำกัดเล็กๆน้อยๆของถนนเส้นนี้ก็คือ จุดกลับรถจะค่อนข้างอยู่ไกลกันสักหน่อยประมาณ 4 – 5 กม. รวมถึงมีที่จอดรถ 166 คัน หรือคิดเป็น 38% (แบ่งเป็นที่จอดแบบ Automatic Parking 135 คัน และที่จอดแบบปกติ 31 คัน ใช้งานร่วมกับ Branded Residence)
การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : โครงการตั้งอยู่ติดทางขึ้นสะพานลอย ที่สามารถเดินเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีทุ่งสองห้อง ในระยะ 0 ม. อีกทั้งด้านหน้าทางเข้าก็ยังอยู่ติดถนนใหญ่ มีป้ายรถเมล์และสามารถเรียกรถสาธารณะได้ง่าย ถือว่าค่อนข้างสะดวกพอสมควรเลยครับ
การออกแบบโครงการ : เป็นโปรเจคมิกซ์ยูสที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆภายในโครงการครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Branded Residence ที่มีทั้งบริการโรงแรมและส่วนกลางอื่นๆให้มาใช้บริการเพิ่มเติมกันได้ รวมถึงยังมีร้านค้าและร้านอาหารต่างๆด้วยครับ ซึ่งคนที่จะเลือกโครงการแบบนี้ก็จะเป็นคนที่เน้นในเรื่องความสะดวกสบายเป็นหลัก โดยแลกกับความเป็นส่วนตัวที่ลดลงบ้าง เพราะอาจต้องมีคนภายนอกเข้ามาใช้บริการร่วมด้วยนั่นเอง
แต่ในส่วนของคอนโดมิเนียมนั้น เค้าก็พยายามจัดอยู่ในโซนด้านหลัง เพื่อให้ห่างไกลความวุ่นวายด้านหน้ามากที่สุดไว้แล้ว รวมถึงยังออกแบบผังอาคารให้ได้ความเป็นส่วนตัวด้วยครับ สังเกตได้จากหลายๆห้องที่ได้โถงทางเดินแบบ Single Corridor และห้องมุมที่มีผนังติดกับเพื่อนบ้านแค่ฝั่งเดียว ซึ่งจะช่วยลดปัญหาเสียงรบกวนจากห้องข้างๆลงได้ อีกทั้งยังเป็นห้องสแบบฝ้าเพดานสูงทั้งโครงการ เลยทำให้จำนวนชั้นมีไม่มาก มีห้องพักอาศัยเพียง 14 ยูนิต/ชั้น และรวมทั้งอาคารก็มีประมาณ 236 ยูนิต ถือว่าไม่ได้เยอะมากนัก
การออกแบบห้องพักอาศัย : เป็นห้องแบบฝ้าเพดานสูงทั้งโครงการประมาณ 4.15 ม. นอกจากจะได้ความสูงโปร่ง และมีบรรยากาศเหมือนอยู่บ้านแล้ว เรายังสามารถใช้ประโยชน์พื้นที่แนวตั้งเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของได้อีกด้วยครับ
โดยห้องทั้ง 2 แบบจะมีฟังก์ชันที่คล้ายๆกัน โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ “ห้องอเนกประสงค์ชั้นล่าง” ซึ่งมีขนาดใหญ่เท่ากับห้องนอนบนชั้นสองเลยครับ สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องทำงานช่วง WFH หรือทำเป็นห้องนอนที่ 2 สำหรับคนที่อาจมีลูกน้อยในอนาคตด้วยก็ได้ครับ
นอกจากนี้ยังมี “ห้องน้ำ 2 ห้อง” ให้ใช้ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานได้เป็นอย่างดี สำหรับพื้นที่ Common Area จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ และมีการลดทอนพื้นที่ครัวออกไป เพื่อให้มีพื้นที่ใช้สอยในบ้านให้กว้างขวางมากขึ้น แต่สำหรับคนที่ยังต้องการทำครัวเองล่ะก็ เค้าก็ได้เตรียมพื้นที่ระเบียงขนาดใหญ่ให้ใช้งานได้เต็มที่แล้วครับ
วัสดุ : ใช้วัสดุปูพื้นเป็นไวนิลแบบ Click Lock มีอายุการใช้งานยาวนาน แถมยังทนความชื้นได้ค่อนข้างดีอีกด้วยครับ ส่วนประตูหน้าต่างก็ให้ของดีมาเป็นแบรนด์จาก Tostem มีตัวล็อคหลายชั้นเพื่อความปลอดภัย และถึงแม้ว่าช่องแสงแต่ละจุดอาจไม่ได้ใหญ่มากเมื่อเทียบกับความสูงของห้อง แต่ก็ได้แสงสว่างที่เพียงพอต่อการใช้งานครับ ขายแบบ Fully Fitted ให้ตู้เสื้อผ้า Built-in / สุขภัณฑ์ในห้องน้ำจาก American Standard และ Cotto / Wallpaper และกั้นห้องนอนชั้นบนให้ ซึ่งเราจะต้องเผื่อเงินเพื่อซื้อของเข้าบ้านเพิ่มเติมด้วยนะ
สาธารณูปโภค : มีฟังก์ชันหลักๆให้ใช้งานครบ ประกอบด้วย Lobby , Fitness , Swimming Pool , พื้นที่สวนพักผ่อน และร้านค้าใต้คอนโด นอกจากนี้เรายังสามารถมาใช้งานในส่วนของ Branded Residence ด้านหน้าได้ด้วยนะครับ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีฟังก์ชันที่หลากหลายกว่านี้ แต่อาจต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของโครงการในอนาคตอีกครั้งนะครับ
Judgement
การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้
ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%
เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 95,000 บาท/ตร.ม., 8 มีนาคม 2565
- ทำเล 7.75/10 – ติดถนนใหญ่วิภาวดีฝั่งขาเข้าเมือง ใกล้แหล่งงานหลายแห่ง แต่ความอุดมสมบูรณ์ระยะใกล้ยังมีไม่มากนัก ต้องขับรถไป
- เดินทางด้วยรถ 8.25/10 – เดินทางสะดวก ขับเข้าเมืองไปทำงานได้ง่าย มีทางลัดไปพหลโยธินได้สะดวก
- ไม่ใช้รถ 8.5/10 – ติดรถไฟฟ้าสายสีแดง ถนนใหญ่หน้าโครงการเรียกรถสาธารณะง่าย
- วัสดุ 7.5/10 – Fully Fitted เหมาะสมกับราคา แต่ต้องเผื่อเงินแต่งห้องเพิ่ม
- แบบ 8.5/10 – เป็นโปรเจคมิกซ์ยูส เน้นความสะดวกสบายครบครัน ผังอาคารเป็นส่วนตัวหลายจุด ไม่บังวิวกันเอง แบบห้องฝ้าเพดานสูง บรรยากาศเหมือนอยู่บ้าน ทุกแบบมีห้องอเนกประสงค์ชั้นล่าง และได้ห้องน้ำ 2 ห้องใช้งานสะดวก
- สาธารณูปโภค 7.5/10 – ส่วนกลางอยู่ชั้นบนสุด สามารถชมวิวได้ มีฟังก์ชันหลักๆครบ แต่ถ้าอยากใช้งานนอกเหนือจากนี้ อาจต้องไปใช้ในส่วนของ Branded Residence ที่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนะครับ
- MAIN CLASS
- 7.95 / 10.00
Landmark at Kasetsart TSH Station เหมาะกับใคร
โครงการ Landmark at Kasetsart TSH Station เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดติดถนนใหญ่วิภาวดีฝั่งขาเข้า สามารถขับรถตรงไปทำงานในเมืองได้สะดวก และยังอยู่ติดกับรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีทุ่งสองห้อง ในระยะ 0 ม. ซึ่งเป็นอีกตัวเลือกในการเดินทางได้ โดยเป็นโครงการแบบมิกซ์ยูสที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในครบครัน
รวมถึงสนใจห้องแบบห้องฝ้าเพดานสูง ที่ให้บรรยากาศสูงโปร่งเหมือนอยู่บ้าน โดยห้องทุกแบบจะมีห้องอเนกประสงค์และห้อง Powder Room ชั้นบนให้ใช้งานสะดวกดีทีเดียว (เทียบเท่าห้องแบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ หรือเป็นห้อง 1 Bedroom Plus เลยก็ว่าได้) มีงบประมาณระดับ 2.99 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 21,000 บาท/เดือน
ThinkofLiving มี LINE Official Account แล้วนะ
ไม่อยากพลาดข้อมูลข่าวสารก็ Add เลย > https://lin.ee/svACOxc