…วันนี้เราจะพามารีวิวโครงการ ASHER KOOP รัชดา คอนโด Low Rise ในซอย 20 มิถุนา แยก 7 และยังเป็นโครงการตัวที่ 8 ของบริษัท เอ พลัส เรียลเอสเตท ที่ถือว่าได้มีการพัฒนาและปรับรูปโฉมใหม่ ซึ่งต่างจากโครงการรุ่นพี่ก่อนหน้าเยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ โดยจุดที่ผมมองว่าเป็น Highlights หรือจุดเด่นหลักๆของโครงการจะมีดังนี้

  • ทำเล : อยู่ในย่านรัชดา-สุทธิสาร มีความอุดมสมบูรณ์ ใกล้ห้าง ใกล้อาคารสำนักงานหลายแห่ง และอยู่ไม่ไกลจาก MRT สุทธิสาร กับ MRT ห้วยขวาง รวมถึงยังสามารถเชื่อมต่อกับถนนสำคัญได้หลายสาย
  • การออกแบบ : แนวคิด Now & Future Urban Living มีการปรับฟังก์ชันส่วนกลางและห้องพักภายใน ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน และเป็นโครงการขนาดเล็กที่มีความเป็นส่วนตัวเพียง 77 ยูนิต
  • ห้องพักอาศัย : มีห้องให้เลือก 3 แบบ ทุกห้องได้ครัวปิด แต่ที่น่าสนใจคือแบบห้อง Extra ที่จะมีผนังส่วนยื่นออกมานอกอาคาร เหมาะที่จะทำเป็นมุมนั่งทำงานอยู่บ้านในช่วง WFH แบบนี้มากๆ
  • วัสดุ : มีการอัพเกรดวัสดุหลายๆอย่าง ที่มีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นกว่าโครงการก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นพื้น ชุดครัว และช่องประตูกระจกบานเลื่อนที่ใหญ่และโปร่งโล่งมากขึ้น

…อัพเดตห้องตัวอย่างใหม่ 1 Bedroom Plus Extra ขนาด 38 ตร.ม. (ณ วันที่ 23/02/2565)

ข้อมูลโครงการ

ASHER KOOP Ratchada (แอชเชอร์ คูฟ รัชดา) ณ วันที่ 19 พฤษจิกายน 2564

 ชื่อโครงการ  ASHER KOOP Ratchada (แอชเชอร์ คูฟ รัชดา)
 ชื่อผู้ประกอบการ  บริษัท เอ พลัส เรียลเอสเตท จำกัด
 SEGMENT CLASS  MAIN CLASS (รายละเอียดของ Segment คอนโดปี 2021 )
 โครงการตั้งอยู่  ซอย 20 มิถุนา แยก 7 เขตห้วยขวาง
 ที่ดิน  0-2-11 ไร่
 ประเภทคอนโด  Low Rise 8 ชั้น 1 อาคาร 77 ยูนิต
 จำนวนยูนิต  77 ยูนิต
 ยูนิตต่อชั้นสูงสุด  13 ยูนิต
 ที่จอดรถ  33 คันคิดเป็น 40% รวมจอดซ้อนคัน (แบ่งเป็น จอดในช่องปกติ 17 คัน / Auto Parking 11 คัน / จอดซ้อนคัน 5 คัน)
 เริ่มก่อสร้าง  Q3 ปี 2022
 คาดว่าจะแล้วเสร็จ  Q4 ปี 2023
 ประเภทห้องพัก
  • 1 Bedroom ขนาด 25 – 30.5 ตร.ม.
  • 1 Bedroom Exclusive ขนาด 30.8 – 35 ตร.ม.
  • 1 Bedrooms Plus ขนาด 35 – 38.5 ตร.ม.

 ฝ้าเพดานสูง  2.4 เมตร
 ราคาเริ่มต้น  1.95 ล้านบาท >> 1.89 ล้านบาท (อัพเดต 02/02/2023)
 ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ  ประมาณ 87,000 บาท/ตร.ม.
 เว็บไซต์โครงการ https://apluscondo.com/asher/koop-ratchada/
 Call Center 088-088-8449

 

ทำเลที่ตั้ง

Highlights :

  • ทำเลเชื่อมต่อถนนสำคัญหลักๆ 3 สาย มีทางลัดเลาะเข้า-ออกได้หลายทาง
  • อุดมสมบูรณ์ ใกล้ห้าง ใกล้ตลาด และอาคารสำนักงานหลายแห่ง
  • มีตัวเลือกในการเดินทางที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางด่วน 3 จุด และรถไฟฟ้าใต้ดิน

พิกัด Google Maps : 13.785493, 100.584444
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

ASHER KOOP รัชดา ตั้งอยู่ภายในซอย 20 มิถุนา แยก 7 ในย่านรัชดา-สุทธิสาร ซึ่งเป็นทำเลที่มีเส้นทางลัดเลาะเชื่อมต่อกับถนนหลักสำคัญหลายสายมาก โดยเฉพาะถนนรัชดานี่ถือว่าเป็นแหล่งรวมห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงานขนาดใหญ่อยู่มากมายเลยนะครับ จึงทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ที่ทำงาน ของมนุษย์เงินเดือนในย่านค่อนข้างสูง เพราะจะช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปได้มากเลยทีเดียว

ซึ่งคอนโดทำเลภายในซอย 20 มิถุนา ก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจของกลุ่มคนเหล่านี้มากๆครับ โดยเฉพาะเรื่องของ “ราคา” ที่จับต้องได้ง่ายกว่าโครงการที่อยู่ติดถนนใหญ่ โดยแลกกับการอยู่ถัดเข้ามาภายในซอยย่อย และอาจใช้วิธีเดินทางโดยการต่อรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อไปขึ้นรถเมล์/รถไฟฟ้าใต้ดินที่ถนนใหญ่ ก็ยังถือว่าสะดวกอยู่ไม่น้อย เพราะภายในซอยนี้ค่อนข้างคึกคักและอุดมสมบูรณ์ สามารถเรียกรถสาธารณะได้ง่าย หาของกินก็ไม่ยาก อีกทั้งยังเป็นซอยที่หลายๆคนมักใช้เป็นทางลัดเลี่ยงรถติดได้ดีอีกด้วยครับ

โดยผมขอยกตัวอย่างเส้นทางลัดของซอย 20 มิถุนา ที่โครงการของเราจะสามารถใช้เข้า-ออกถนนใหญ่ได้หลักๆ 5 เส้นทางคือ

  1. แยกสุทธิสาร : จะเป็นเส้นทางจากถนนใหญ่ที่ใกล้และสะดวกที่สุด มีระยะทางประมาณ 1.5 km. และยังมีรถไฟฟ้าใต้ดินที่ใกล้ที่สุดตั้งอยู่อีกด้วยคือ MRT สถานี สุทธิสาร
  2. ถนนลาดพร้าว : สามารถเข้า-ออกได้จากทางซอยลาดพร้าว 64 มีระยะทางประมาณ 2.6 km. เป็นเส้นทางที่ใช้ไปขึ้นทางด่วนรามอินทราได้ ไปห้าแยกลาดพร้าวก็ได้ หรือจะไปหาของกินอร่อยๆแถวโชคชัย4 ก็ได้ครับ
  3. แยกห้วยขวาง : ตรงปากซอยจะเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้โครงการอีกจุดหนึ่งคือ MRT สถานี ห้วยขวาง ซึ่งห่างจากโครงการประมาณ 1.8 km. อีกทั้งยังเป็นเส้นทางที่ใช้เดินทางไปห้างสรรพสินค้า หรือออฟฟิศแถวๆนั้นได้สะดวก รวมถึงใช้ข้ามฝั่งไปยังประชาสงเคราะห์-วิภาวดีได้อีกด้วยครับ
  4. ถนนประชาอุทิศ : สามารถเชื่อมต่อมาออกที่ถนนเลียบด่วนรามอินทรา (ถนนประดิษฐ์มนูธรรม) ได้ในระยะทางประมาณ 4.3 km. ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะใช้เป็นทางลัดมาขึ้นทางด่วนรามอินทรา หรือข้ามฝั่งไปโซนรามคำแหง โดยผ่านซอยรามคำแหง 39 (ซอยวัดเทพลีลา) ได้นั่นเอง
  5. ถนนพระราม 9 : เป็นเส้นทางเลี่ยงรถติดตรงแยกพระราม 9 เพื่อมาขึ้นทางด่วนศรีรัชได้ดีเลยครับ มีระยะทางประมาณ 5.3 m. โดยผ่านทางถนนประชาอุทิศ ถนนเทียมร่วมมิตร และถนนวัฒนธรรม ซึ่งพอมาออกบนถนนพระราม 9 ได้แล้วก็เตรียมขึ้นทางด่วนได้ง่ายๆเลย

ทางด่วนที่ใกล้ที่สุด :

Image 1/3
ทางด่วนจุดแรกคือ ทางด่วนรามอินทรา ซึ่งจะอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 6 km. สามารถมาได้จากทั้ง 2 เส้นทางครับ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถนนสุทธิสารมาออกที่ถนนลาดพร้าว หรือใช้ถนนประชาอุทิศมาออกที่ถนนประดิษฐ์มนูธรรมก็ได้

ทางด่วนจุดแรกคือ ทางด่วนรามอินทรา ซึ่งจะอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 6 km. สามารถมาได้จากทั้ง 2 เส้นทางครับ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถนนสุทธิสารมาออกที่ถนนลาดพร้าว หรือใช้ถนนประชาอุทิศมาออกที่ถนนประดิษฐ์มนูธรรมก็ได้

เส้นทางการเดินทาง

Image 1/9
วันนี้เราจะเริ่มการเดินทางจากแยกพระราม 9 โดยใช้เส้นทางผ่านถนนรัชดาภิเษก และเลี้ยวเข้าสู่ถนนสุทธิสารวินิจฉัย ซึ่งเราจะเจอสำนักงานขายของโครงการตั้งอยู่ระหว่างทาง ตรงใกล้ๆกับแยกของจุดตัดซอย 20 มิถุนาพอดีครับ และเมื่อเราเลี้ยวขวามาตามซอย 20 มิถุนาเรื่อยๆ ประมาณ 450 m. ก็ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ซอย 20 มิถุนา แยก 7 ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ในซอยทางขวามือครับ

วันนี้เราจะเริ่มการเดินทางจากแยกพระราม 9 โดยใช้เส้นทางผ่านถนนรัชดาภิเษก และเลี้ยวเข้าสู่ถนนสุทธิสารวินิจฉัย ซึ่งเราจะเจอสำนักงานขายของโครงการตั้งอยู่ระหว่างทาง ตรงใกล้ๆกับแยกของจุดตัดซอย 20 มิถุนาพอดีครับ และเมื่อเราเลี้ยวขวามาตามซอย 20 มิถุนาเรื่อยๆ ประมาณ 450 m. ก็ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ซอย 20 มิถุนา แยก 7 ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ในซอยทางขวามือครับ

และนี่จะเป็นหน้าตาของ Sale Gallery ของโครงการนะครับ โดยจะอยู่ติดถนนสุทธิสารก่อนถึงแยกของซอย 20 มิถุนา ซึ่งจะเป็นสำนักงานเดิมของ ASHER ก่อนหน้านี้นั่นเองครับ หากใครขับรถมาก็สามารถจอดได้ที่ด้านขวาของสำนักงานขายได้เลยนะ

สภาพแวดล้อมรอบโครงการ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้

ที่ดินของโครงการจะอยู่ติดกับถนนซอยย่อย 2 ซอย ที่ขนานและเชื่อมต่อกับได้ โดยจะมีทางเข้าออกหลักจากฝั่งซอย 20 มิถุนา แยก 7 เพียงแค่ด้านเดียว เพราะมีถนนที่กว้างและใช้งานได้สะดวกกว่าของแยก 9 รวมถึงบริเวณปากซอยแยก 7 ก็จะมีวินมอเตอร์ไซค์ตั้งอยู่ในระยะประมาณ 100 m. และมีตลาดนัดอยู่ห่างออกไป 200 m. ซึ่งเป็นระยะที่สามารถเดินไปใช้งานได้ไม่ยากนัก ส่วนบริบทโดยรอบโครงการจะเป็นชุมชนแนวราบ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวสูง 2 – 3 ชั้น บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบเหมาะแก่การอยู่อาศัย สามารถสรุปได้ดังนี้

  • ทิศเหนือ : เป็นทางเข้าหลักโครงการ ติดกับ ซอย 20 มิถุนา แยก 7 ฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น
  • ทิศใต้ : ติดกับ ซอย 20 มิถุนา แยก 9 ฝั่งตรงข้ามเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น
  • ทิศตะวันออก : ติดกับ บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม 2 ชั้น
  • ทิศตะวันตก : ติดกับ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น และที่ว่าง

ปัจจุบันที่ตั้งของโครงการจะมีการล้อมรั้วเอาไว้แล้วแบบนี้นะครับ

ส่วนทางด้านซ้ายจะติดอยู่กับบ้านและทาวน์โฮมสูง 2 ชั้น บรรยากาศภายในซอยค่อนข้างเงียบสงบดี

ส่วนทางด้านขวาก็จะอยู่ติดกับบ้านเดี่ยวสูง 2 ชั้นเช่นกันครับ และทางด้านนี้ก็จะมุ่งหน้าไปสู่ปากซอย 20 มิถุนา แยก 7

บริเวณปากซอยจะมีวินมอไซค์เล็กๆตั้งอยู่ ซึ่งผมเจอพี่วินและลองถามราคามาแล้ว ถ้าเรานั่งวินไปลงที่ MRT สุทธิสาร ราคาประมาณ 20 บาท ส่วนถ้าเป็น MRT ห้วยขวาง จะไกลกว่านิดนึงอยู่ที่ 25 บาท

หรือถ้าเราไม่เจอพี่วินประจำซอย ก็ยังสามารถโบกรถสาธารณะคันอื่นๆที่ขับผ่านไป-มาได้ง่ายเช่นกันครับ ซึ่งจะมีทั้งรถแท็กซี่ และพี่วินซอยใกล้เคียง แต่ราคาก็อาจแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละวินนะครับ

และถ้าเราเลี้ยวซ้ายมาจากซอย 20 มิถุนา แยก 7 ก็จะเจอกับร้านอาหารง่ายๆ 2 – 3 ร้าน และเดินต่อมาอีกประมาณ 100 m. ก็จะเจอกับตลาดนัดที่จะเปิดช่วงเย็นของทุกๆวัน ถือว่าเป็นทำเลที่หาของกินได้ไม่ยาก และยังอยู่ในระยะที่พอจะเดินถึงได้นะครับ

แถมอีกสักภาพกับบรรยากาศของซอย 20 มิถุนา แยก 9 ด้านหลังโครงการ จะเห็นว่าถนนมีความแคบมากกว่า ฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น และมักจะมีเพื่อนบ้านมาจอดรถไว้ริมทางตลอดเวลาแบบนี้เป็นปกติครับ

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

ห้างสรรพสินค้า / ตลาด

  • ตลาดนัดเมืองไทยภัทร ~ 1.7 km.
  • ตลาดห้วยขวาง ~2.4 km.
  • The Street รัชดา ~ 3.5 km.
  • เอสพลานาด รัชดา ~ 4 km.
  • บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า รัชดาภิเษก ~ 4.6 km.
  • เซ็นทรัล พระราม 9 ~ 4.7 km.
  • ฟอร์จูน ทาวน์ ~ 4.9 km.

โรงเรียน

  • KIS International School ~ 3 km.
  • Regent’s International School Bangkok ~ 3.7 km.
  • มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ~ 4.6 km.

สถานที่ทำงาน

  • อาคารเมืองไทยประกันชีวิต ~ 1.3 km.
  • CW Tower ~ 3.2 km.
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ~5.6 km.
  • อาคาร AIA ~ 5.7 km.

รายละเอียดโครงการ

Highlights :

  • เป็นโครงการขนาดเล็กเพียง 77 ยูนิต ได้ความเป็นส่วนตัวสูง
  • มีแนวคิด Now & Future Urban Living ที่นำมาปรับใช้และพัฒนาการออกแบบโครงการ เพื่อให้เหมาะกับยุคสมัย และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน
  • หน้าตาและสีสันของอาคารมีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ ผนังด้านข้างมีการยืด-หดที่ไม่เท่ากัน ซึ่งเกิดจากแบบห้อง Extra ที่เป็น Type พิเศษของโครงการ
  • ส่วนกลางส่วนใหญ่จะอยู่ที่ชั้นบนสุด มีฟังก์ชันหลักๆครบ และได้วิวที่ดี

ASHER KOOP รัชดา เป็นคอนโด Low Rise 1 อาคาร บนที่ดิน 0-2-11 ไร่ และมีเพื่อนบ้านอยู่เพียง 77 ยูนิตเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นโครงการขนาดเล็กที่มีความเป็นส่วนตัวมากที่สุดของย่าน ในบรรดาคอนโดใหม่ที่ยังมีห้องมือ 1 ขายอยู่ในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ครับ

โดยโครงการนี้ก็เป็นโปรเจคตัวที่ 8 ของบริษัท เอ พลัส เรียลเอสเตท ซึ่งได้มีการพัฒนาแบบมาจากโครงการก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา การใช้สีสันภายนอกอาคาร และยังมีการปรับฟังก์ชันภายในหลายๆอย่างด้วย โดยมีคอนเซ็ปต์ในการออกแบบคือ Now & Future Urban Living เพื่อให้กลายเป็นคอนโดที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในปัจจุบันให้มากขึ้น

โดยคำว่า KOOP ก็มาจากการเล่นคำของคำว่า Copper และ Coupe ซึ่งจะมีการใช้สีส้มอิฐที่เป็นลักษณะเฉพาะของทองแดงมาเป็นสีประจำอาคาร ประกอบกับการออกแบบ Facade ที่คำนึงถึงความเท่และความสวยงามเป็นหลัก ซึ่งเวลามองจากภายนอกแล้วจะดูโดดเด่น ทันสมัย และเป็นเอกลักษณ์มากๆ เหมือนเวลาที่เราเห็นรถ Coupe สีแจ่มๆบนท้องถนนก็จะสะดุดตานั่นเองครับ

Master Plan จุดที่น่าสังเกตอย่างแรกเลยก็คือ Grab Parking หรือจุดจอดรถสำหรับสาย Delivery ทั้งหลาย ซึ่งจะอยู่ใกล้ๆกับจุดรับ-ส่งสินค้า ที่ลักษณะจะเป็นช่องหน้าต่างกระจกบานเลื่อน โดยลูกบ้านสามารถเปิดรับของจากตรงโถงลิฟต์ได้เลย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการสัมผัส และเพิ่มความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินอ้อมผ่าน Lobby ออกมาเองที่หน้าคอนโดอีกต่อไป (บางทีชุดที่เราใส่อยู่บ้านก็อาจไม่เรียบร้อย หรือไม่พร้อมที่จะออกเจอคนเยอะๆด้วยนั่นเอง)

ในส่วนของ Lobby ก็จะมีขนาดใหญ่ ซึ่งเราสามารถให้แขกภายนอกเข้ามานั่งคอยที่ด้านในเย็นๆก่อนได้ ซึ่งไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยนะครับ เพราะก่อนจะเข้ามาก็จะเป็นต้องผ่านพี่ๆ รปภ. ก่อนชั้นหนึ่ง รวมถึงทางเข้าโถงลิฟต์ก็จำเป็นต้องใช้ Key Card Access อีกชั้นหนึ่งด้วย ทำให้โซนพักอาศัยมีความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวพอสมควร นอกจากนี้ตรงบริเวณ Mail Box ก็จะมี Smart Locker เอาไว้คอยให้บริการด้วยนะครับ เพราะมีบางคนอาจไม่สะดวกมารับพัสดุกับนิติในช่วงกลางวัน หรือต้องเลิกงานกลับมาดึกๆทุกวัน ก็ยังสามารถมารับของได้เองที่ตู้อัตโนมัติตลอด 24 ชม. เลยครับ

นอกนั้นรอบๆก็จะเป็นพื้นที่จอดรถเป็นส่วนใหญ่ โดยจะเป็นการจอดในร่มเกือบทั้งหมด แบ่งเป็นจอดในช่องปกติ 17 คัน / Auto Parking 11 คัน / จอดซ้อนคัน 5 คัน รวมแล้วสามารถจอดได้ทั้งหมด 33 คัน หรือคิดเป็น 40% รวมจอดซ้อนคัน ซึ่งถือว่าค่อนข้างให้มาค่อนข้างเยอะพอสมควร เพราะมี Auto Parking เพิ่มเข้ามานั่นเองครับ

โดยการเข้า-ออกของจริงจะมีป้อม รปภ. และไม้กั้นกระดก ที่ใช้การแตะ Key Card Access ระยะใกล้เพิ่มเข้ามาครับ ส่วนทางด้านขวาของภาพก็จะเป็นพื้นที่สวน และ Outdoor Walking Track เอาไว้สำหรับมาเดินเล่นพักผ่อนได้ด้วย

ภายใน Lobby จะมีขนาดใหญ่ และได้เป็นฝ้าเพดานสูงแบบ Double Volume มีความโปร่งโล่ง และยังทำให้ดูดีไม่แพ้โครงการใหญ่ๆเลยครับ โดยที่ด้านบนจะมีอีกฟังก์ชันหนึ่งแยกออกไปอยู่ชั้น 2 ส่วนช่องหน้าต่างตรงกลางก็จะได้วิวสวน และ Outdoor Walking Track ที่อยู่ด้านนอกได้ด้วยครับ

ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในจุดที่มีการพัฒนา และได้มีการพัฒนาจากโครงการ ASHER ก่อนหน้านี้ ที่ทางผู้พัฒนาได้ให้ความสำคัญกับฟังก์ชันนี้มากขึ้น เพราะเป็นจุดแรกที่เราจะต้องเจอเมื่อกลับมาถึงบ้าน อีกทั้งยังเป็นจุดรับรองแขก และควรเป็นหน้าเป็นตาให้แก่เจ้าของบ้านไปด้วยในตัวได้ด้วยนั่นเอง

สำหรับชั้น 2 ในส่วนของโซนพักอาศัยและพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งจะอยู่แยกออกจากกันชัดเจนนะครับ โดย Co-Working Space จะสามารถเดินขึ้นมาได้ จากทางบันไดตรง Lobby ก่อนหน้านี้เท่านั้น ทำให้โซนห้องพักอาศัยของชั้นนี้ จะได้ความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากๆ เพราะมีเพื่อนบ้านร่วมชั้นเพียง 10 ยูนิตครับ

โดยก็แลกมากับเรื่อง “วิว” ที่อาจยังไม่พ้นระยะความสูงของบ้านเรือนที่อยู่โดยรอบสักเท่าไหร่นัก แต่ถ้าใครที่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องวิวในห้องอยู่แล้ว และอาจมีงบประมาณที่ค่อนข้างจำกัด ห้องพักบนชั้น 2 ก็ค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะคอนโดที่ชั้นล่างๆ มักจะทำราคาออกมาจับต้องได้ง่ายกว่าชั้นสูงๆ ที่จะได้วิวค่อนข้างดีกว่านั้นเองครับ

ส่วนภาพนี้คือ บรรยากาศจำลองของ Co-Working Space ซึ่งเมื่อเราเดินขึ้นบันไดมาจาก Lobby ก็จะเจอกับมุมโต๊ะนั่งทำงานริมหน้าต่าง ที่มาพร้อมกับปลั๊กไฟตามจุดต่างๆให้ได้ใช้งานสะดวกๆ

Image 1/3

แปลนชั้น 3 – 5 มีจำนวนยูนิตเท่ากันอยู่ที่ 11 ห้อง โดยจะเพิ่มขึ้นมาจากชั้น 2 ก่อนหน้านี้เพียงแค่ห้องเดียวครับ แต่จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของแบบห้อง Extra (ห้องที่มีส่วนพื้นที่ยื่นออกมาจากตัวอาคาร) ซึ่งจะเป็นการ Random ที่ไม่เหมือนกันในแต่ละชั้น โดยจะคำนึงถึงความสวยงามของรูปด้านภายนอกเป็นหลัก และส่วนใหญ่ก็จะเป็นห้องยูนิตเล็กๆครับ เพราะจะเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในให้ใช้งานสะดวกขึ้น รวมถึงทางโครงการก็ต้องการควบคุมราคาแพ็คเกจรวมของแต่ละห้อง ให้ยังอยู่ในระดับที่สามารถจับต้องได้ง่ายทั้งโครงการนั่นเองครับ

สำหรับห้อง Extra จะมีอยู่ในแบบห้องทุกๆแบบ ไม่ว่าจะเป็น 1 Bedroom / 1 Bedroom Exclusive และ 1 Bedroom Plus โดยจะเป็นส่วนของพื้นที่อเนกประสงค์ หรือมุมนั่งทำงานยื่นออกไปจากตัวห้อง ทำให้ภายในมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้น โดยส่วนตัวผมคิดว่ามีเหตุผลอยู่ 3 ประเด็นหลักๆด้วยกันคือ

  • ในแง่ของกฎหมายคุมคุมอาคาร : ผนังส่วนที่มีการเปิดช่องแสง จะถูกกำหนดให้ต้องมีการ Set Back หรือมีระยะถอยร่นจากแนวเขตที่ดินไม่ต่ำกว่า 2 m. ดังนั้นทางโครงการจึงใช้เป็นผนังทึบ เพื่อให้ตัวอาคารจะยังคงมีพื้นที่ใช้สอยภายในได้อย่างเต็มที่นั่นเองครับ
  • ในแง่ของการจัดฟังก์ชัน : หากพูดถึงการใช้ประโยชน์ของผนังทึบ จะสามารถทำได้หลากหลายมากกว่าผนังกระจก เพราะเราสามารถที่จะ Built-in เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของบนผนัง หรืออาจใช้แขวนจอคอมพิวเตอร์ติดกับผนังได้ด้วยครับ
  • ในแง่ของความเป็นส่วนตัว : แน่นอนว่าผนังทึบอาจทำให้ความโปร่งโล่งของห้องน้อยลงกว่าการใช้ผนังกระจก แต่กลับกันแล้วก็จะได้ในเรื่องของความเป็นส่วนตัวด้วยเช่นกันครับ ซึ่งก็จัดเป็นฟังก์ชันที่เหมาะกับห้องชั้นล่างๆ ที่ไม่ได้เน้นวิวอยู่แล้วนั่นเอง

ชั้น 6 – 7 จะเป็นชั้นที่ห้องพักอาศัยอยู่แบบเต็ม Floor มีทั้งหมด 13 ยูนิต โดยจะมีห้อง 1 Bedroom Plus ไซส์เล็กเพิ่มเข้ามาแทนส่วนที่เคยเป็น Auto Parking ซึ่งจะมีห้องมุมให้เลือกได้ด้วยนะครับ โดยลักษณะของห้องมุมในโครงการนี้ เราจะได้ช่องแสงด้านข้างเพิ่มขึ้นอีก 1 ด้าน ทำให้ภายในห้องสว่างและโปร่งโล่งกว่าปกติมาก ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ชั้น 8 จะเป็นชั้นที่มี Facilities อยู่ด้วยครับ ซึ่งชั้นสูงๆแบบนี้ปกติมักจะเป็นตำแหน่งที่ได้วิวดี และมีราคาค่อนข้างสูง แต่ทางโครงการกลับเลือกที่จะแบ่งมาทำเป็นพื้นที่ส่วนกลาง แทนที่จะเป็นพื้นที่ขายทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเค้าค่อนข้างให้ความสำคัญ กับฟังก์ชันเหล่านี้พอสมควรเลย ประกอบด้วย Fitness / Co-Living Space / Swimming Pool และมาพร้อมกับห้องน้ำส่วนกลางให้ใช้งานได้สะดวก ทำให้เราสามารถมานั่งทำงาน/ดูหนัง หรือมาใช้ชีวิตอยู่บนชั้นนี้ได้ยาวๆตลอดทั้งวันเลยครับ

โดยห้องพักของชั้นนี้จะมีอยู่เพียง 8 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งถ้าใครที่เป็นสายชอบออกกำลังกายบ่อยๆ หรือมาใช้ส่วนกลางอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว การเลือกห้องที่ชั้นนี้ก็จะสะดวกมาก เพราะเราสามารถเดินมาใช้ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาขึ้น-ลงลิฟต์ให้ยุ่งยากเลยครับ และถึงแม้ว่าชั้นนี้อาจไม่ได้มีการกั้นประตู แยกโซนพักอาศัยออกจากโถงลิฟต์ก็ตาม แต่ด้วยความที่เป็นโครงการขนาดเล็ก และเส้นทางการเดินก็ไม่ได้ผ่านหน้าห้องพักเลย ผมจึงมองว่าไม่ได้วุ่นวายและไม่เสียความเป็นส่วนตัวมากนักนั่นเอง

ภาพจำลองบรรยากาศ Co-Living Space ซึ่งก็จะมีฟังก์ชันให้ใช้หลายอย่างอยู่ภายในครับ โดยตรงกลางจะเป็นชุดโซฟาขนาดใหญ่ ที่เราสามารถมานั่งเล่น/พบปะพูดคุยกับเพื่อนๆได้ ส่วนด้านขวาก็จะเป็นจอทีวีขนาดใหญ่อยู่ติดผนัง เป็นเหมือนกับ Theater ส่วนตัวของโครงการ ที่เราสามารถมานั่งดูหนัง หรือเชียร์ฟุตบอลร่วมกับเพื่อนบ้านหลายๆคนได้ครับ

อีกด้านหนึ่งจะเป็น Library Corner ซึ่งลักษณะจะเป็นโต๊ะยาวติดริมหน้าต่างแบบนี้ โดยเราสามารถมานั่งอ่านหนังสือ นั่งทำงานเล็กๆน้อยๆ และมองออกไปชมวิวภายนอกได้ด้วยครับ ส่วนทางด้านขวาของภาพจะเป็น Nespresso Coffee Corner หรือมุมชงกาแฟเล็กๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับคนวัยทำงานอย่างเราๆ โดยจะมีการเตรียมเครื่องชงกาแฟเอาไว้ให้บริการครับ (ในช่วงแรกๆทางโครงการจะเตรียมแคปซูลเอาไว้ให้ด้วย แต่ในอนาคตลูกบ้านอาจต้องเตรียมเอามาเอง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของนิติอีกครั้งนะครับ)

ถัดมาจะเป็นห้อง Fitness ซึ่งภายในก็จะมีอุปกรณ์หลักๆที่จำเป็นครบ ไม่ว่าจะเป็นลู่วิ่ง เครื่องปั่นจักรยาน และดัมเบล ส่วนทางด้านซ้ายของภาพจะเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ที่เรียกว่า Dance Fit เหมาะสำหรับการมาเต้นแอโรบิก หรือเอาเสื่อมาปูเพื่อเล่นโยคะก็ได้ครับ ซึ่งผนังด้านข้างก็จะมีการติดตั้งกระจกเงาไว้ให้ส่องดูความถูกต้องของท่าทางได้ด้วย

สุดท้ายคือ Infinity-Edge Pool ที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุด เป็นสระแบบไร้ขอบที่ด้านข้างเป็นผนังกระจก สามารถว่ายน้ำไปและชมวิวไปได้ด้วย ซึ่งถ้าใครที่อยากว่ายออกกำลังกายล่ะก็ อาจต้องว่ายไป-กลับหลายรอบอยู่สักหน่อยนะครับ เพราะขนาดของสระจะไม่ได้ใหญ่มากนัก ขนาดประมาณ 4 x 9 m. โดยจะเป็นสระแบบกลางแจ้ง ดังนั้นผมจึงแนะนำให้มาใช้งานตอนช่วงเย็นๆแดดร่มๆหน่อยก็น่าจะดีครับ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • Double Volume Lobby
  • Garden & Outdoor Walking Track
  • Co-Working Space (Working Pods)
  • Co-Living Space (Theater / Library Corner / Nespresso Coffee Corner)
  • Sky Fitness & Dance Fit
  • Sky Infinity-Edge Pool ขนาด 4 x 9 เมตร ลึก 1.2 เมตร
  • Mailbox (Smart Locker / UV Sterilize Function)
  • Delivery Spot (Food / Stuff)
  • ลิฟต์โดยสาร 1 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 77 :  1
  • ที่จอดรถ 33 คันคิดเป็น 40% รวมจอดซ้อนคัน (แบ่งเป็น จอดในช่องปกติ 17 คัน / Auto Parking 11 คัน / จอดซ้อนคัน 5 คัน)
  • ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ  CCTV / Key Card Access

 

แบบห้อง

Highlights :

  • แบบห้องดีไซน์ใหม่เป็น Extra Type เพิ่มส่วนพื้นที่ยื่นออกมานอกอาคาร เหมาะกับการทำเป็นมุมนั่งทำงานช่วง WFH แบบนี้มากๆ
  • มีการปรับฟังก์ชันและวัสดุให้ดีขึ้นจากตัวรุ่นพี่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพื้น ชุดครัว และประตูกระจกบานเลื่อน
  • ทุกยูนิตจะได้ครัวปิด สามารถทำอาหารได้จริงจัง และเน้นความเป็นสัดส่วน/ความเป็นส่วนตัวของแต่ละฟังก์ชันชัดเจน

แบบห้องของโครงการนี้มีทั้งหมด 3 แบบใหญ่ๆด้วยกันครับ ประกอบด้วย

  • 1 Bedroom ขนาด 25 – 30.5 ตร.ม.
  • 1 Bedroom Exclusive ขนาด 30.8 – 35 ตร.ม.
  • 1 Bedrooms Plus ขนาด 35 – 38.5 ตร.ม.

โดยแต่ละแบบก็จะมีหลากหลายขนาด และมีฟังก์ชันพิเศษ (Extra) ที่เป็นมุมอเนกประสงค์ข้างหน้าต่างให้เลือกด้วยครับ ซึ่งทางโครงการจะขายแบบ Fully Furnished คือให้เฟอร์นิเจอร์หลักๆครบ ได้แก่ ชุดครัว ชั้นวางทีวี โซฟา โต๊ะกลาง ฐานเตียง และตู้เสื้อผ้า ส่วนถ้าเป็นแบบห้อง Extra ก็จะได้ชุดโต๊ะอเนกประสงค์สำหรับนั่งทำงานแถมมาให้ด้วยครับ (ลักษณะอาจไม่เหมือนกับที่เห็นในห้องตัวอย่าง ลองสอบถามกับทางโครงการดูอีกครั้งนะ) ซึ่งเราก็ขาดเพียงแค่ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า กับเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวบางอย่างเพิ่มเติมก็เข้าอยู่ได้เลย

1 Bedroom ขนาด 25 ตร.ม. ลักษณะจะเป็นห้องตอนลึก ที่มีการกั้นฟังก์ชันเป็นสัดส่วนมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการกั้นประตูห้องครัวด้านหน้า ซึ่งนอกจากจะทำให้เราได้ครัวปิด สามารถป้องกันกลิ่นจากการประกอบอาหารในห้องครัว รวมถึงความชื้นในห้องน้ำไม่ให้เข้าไปรบกวนพื้นที่ภายในห้องได้แล้ว ยังมีส่วนช่วยป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกห้อง และเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับโซนพักผ่อนได้ดีขึ้นอีกด้วย

บริเวณตรงกลางห้องจะเป็น Living Area โดยจะกั้นฟังก์ชันด้วยประตูกระจกบานเลื่อนอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเป็นสัดส่วน และจำกัดพื้นที่เปิดแอร์ในช่วงกลางคืนได้เป็นอย่างดี ทำให้เราไม่ต้องเปลืองค่าไฟเยอะ แต่ก็ยังคงได้แสงสว่างและความโปร่งโล่ง จากภายนอกหน้าต่างได้อยู่เช่นเดิมเลย หรือถ้าเราเปิดประตูกระจกบานเลื่อนเอาไว้ ก็จะทำให้พื้นที่ทั้งหมดเชื่อมต่อกัน กลายเป็นห้องขนาดใหญ่ที่กว้างขวางได้ด้วยนั่นเองครับ

ถัดเข้ามาด้านในสุดจะเป็นห้องนอนที่อยู่ติดกับระเบียง ซึ่งถึงแม้จะเป็นแบบห้องมาตรฐาน แต่เค้าก็มีพื้นที่อเนกประสงค์ริมหน้าต่างให้ใช้งานด้วย เหมาะที่จะทำเป็นมุมนั่งทำงานอ่านหนังสือในช่วงยุค WFH แบบนี้มากๆเลย อีกทั้งยังมีพื้นที่รอบเตียงให้ใช้งานได้สะดวกอีกด้วย ภาพรวมจึงเป็นห้องที่เหมาะกับการอยู่อาศัย 1 – 2 คน โดยเฉพาะใครที่อาจต้องทำงานอยู่บ้าน หรือต้องการมุมอเนกประสงค์ไว้ทำงานอดิเรกส่วนตัวในห้องครับ

เรามาดูห้องตัวอย่างของจริงกันเลยครับ เมื่อเข้ามาภายในก็จะเจอกับส่วนครัวเป็นฟังก์ชันแรก ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหมือน Foyer หน้าห้องไปด้วยในตัว และจากมุมมองตรงนี้จะยังไม่เห็นพื้นที่ส่วนอื่นด้านในห้องเลย จึงทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวที่ดีทีเดียวนะ

โดยของจริงตรงประตูจะติดตั้ง Digital Door Lock มาให้เป็นมาตรฐานด้วยครับ ส่วนพื้นที่ใช้งานตรงครัวจะกว้างประมาณ 1 m. และใช้วัสดุปูพื้นเป็นกระเบื้อง SPC ลายไม้ ซึ่งมีคุณสมบัติทนน้ำและความชื้นได้ดีเลยทีเดียว สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายกว่าพื้นไม้ลามิเนตที่เค้าจะไม่ถูกกับน้ำมากนัก ส่วนฝ้าเพดานก็จะสูง 2.4 m.

ซ้ายมือเราจะได้ชุดเคาน์เตอร์ครัว Built-in มาให้แบบนี้เลยครับ ซึ่งตู้เก็บของที่ให้ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการอยู่อาศัย 1 – 2 คน ชั้นบนเอาไว้เก็บจาน/ชาม ส่วนชั้นล่างก็เก็บช้อน/ส้อม กับอุปกรณ์ทำครัวชิ้นใหญ่ๆได้ รวมถึงมีจุดให้วางเตาไมโครเวฟ และเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าที่ใต้เคาน์เตอร์ได้ด้วยครับ

โดยหน้าบานตู้จะปิดด้วยเมลามีน พร้อมทั้งติดตั้งระบบ Soft Close มาให้ทุกจุดเลยครับ สามารถปิดแรงๆได้โดยไม่ทำให้เกิดการกระแทกเสียงดัง บานตู้จะได้ไม่เสียหายง่าย และช่วยยืดอายุของเฟอร์นิเจอร์ได้ดีเลยทีเดียว

สำหรับเคาน์เตอร์ครัวจะได้ Top เป็นหินสังเคราะห์สีขาว ซึ่งจะทนความชื้นและความร้อนได้ดี แถมยังไม่เป็นคราบได้ง่ายด้วยครับ มาพร้อมกับ Hob&Hood ของ MEX แบบเตา 2 หัว และกรุกระเบื้องที่ผนังเป็น Backsplash ให้สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย หรือถ้าใครจะกรุที่ผนังด้านข้างเพิ่มอีกก็ทำได้เช่นกัน

ส่วนอ่างล้านจานจะมีการอัพเกรดเพิ่มขึ้นมาจากตัว ASHER รุ่นพี่คือ เราจะได้อ่างแบบที่มีฝาปิดด้านบนมาด้วยครับ ซึ่งเวลาไม่ได้ใช้งานก็สามารถนำฝาปิดเอาไว้ เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยบนเคาน์เตอร์ครัวได้ เวลาประกอบอาหารก็สามารถวาง/เตรียมพวกวัตถุดิบได้สะดวกมากขึ้นนั่นเองครับ

ส่วนข้างๆกันก็จะเป็นพื้นที่สำหรับวางตู้เย็น กว้างประมาณ 70 cm. และสามารถใช้เป็นตู้เย็นทรงสูงได้เลย หรือใครจะเพิ่มตู้/ชั้นวางของด้านบนเพิ่มเติมก็ได้นะครับ

ฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้องน้ำ ซึ่งเราก็จะได้ชุดสุขภัณฑ์ของ Cotto ครบตามที่เห็นในห้องตัวอย่างนี้ทั้งหมดเลยครับ พร้อมกับกั้นแยกโซนฟังก์ชันเอาไว้เป็นสัดส่วนด้วย โดยสิ่งที่ชอบอย่างแรกเมื่อก้าวเข้ามาก็คือ พื้นกระเบื้องห้องนี้จะมีความหยาบ ซึ่งสามารถช่วยป้องกันอุบัติเหตุจากการลื่นล้มได้ดีเลยทีเดียว

สำหรับพื้นที่ส่วนแห้งจะมีขนาดประมาณ 1.35 x 1.35 m. สามารถใช้งานได้พอดีๆ มีอ่างล้างหน้าพร้อมชั้นเก็บของด้านล่างแบบนี้ เอาไว้เก็บพวก Supply ในห้องน้ำเพิ่มเติมได้ ส่วนด้านข้างก็จะเป็นโถสุขภัณฑ์ครับ

บริเวณผนังจะมีพื้นที่ให้เก็บของเยอะเลย ไม่ว่าจะเป็นราวแขวนผ้าต่างๆ รวมถึงมีการเจาะช่องบนผนังด้วย ซึ่งถ้าใครที่มีของต้องวางเยอะๆ ก็อาจเพิ่มจำนวนชั้นในช่องด้วยตัวเองได้นะครับ และบนเพดานก็จะมีพัดลมดูดอากาศติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานเรียบร้อยแล้ว

ส่วนพื้นที่ยืนอาบน้ำจะมีการกั้นกระจกนิรภัย (Tempered Glass) แบบบานเปลือยมาให้ครับ ซึ่งก็ดูสวยงามดีทีเดียว พร้อมกับปิดซีลด้วยขอบยางตรงประตู เพื่อป้องกันน้ำไม่ให้ไหลมาด้านนอกได้ รวมถึงที่ผนังก็จะติด Stopper ป้องกันการเปิดประตูกระแทกมาให้ด้วยครับ และพื้นที่ภายในจะกว้างประมาณ 90 x 90 cm. สามารถใช้งานได้พอดีๆเลย

ด้านในติดตั้ง Hand Shower ที่ปรับระดับความสูง-ต่ำได้ตามต้องการ รวมถึงมีการเจาะช่องที่ผนังทางซ้ายอีกจุดหนึ่ง เพื่อให้วางสบู่/แชมพูได้ครับ แต่ถ้าใครที่อาจมีอุปกรณ์อาบน้ำเยอะหน่อย ก็สามารถเพิ่มจำนวนชั้นวางได้ตามต้องการเช่นเคยนะ

ก่อนจะเข้าไปด้านในห้องส่วนอื่นๆกันต่อ จะมีประตูกระจกบานเลื่อนกั้นอีกไว้ชั้นหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะทำให้ได้ครัวปิด คอยกันกลิ่น/ควันจากการประกอบอาหาร หรือความชื้นจากห้องน้ำ ไม่ให้เข้าไปรบกวนพื้นที่ภายในห้องพักแล้ว ยังมีส่วนช่วยป้องกันเสียงรบกวนจากคนที่อาจผ่านไป-มาหน้าห้องได้อีกด้วยครับ ซึ่งก็จะทำให้เกิดความเงียบสงบ และเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัยมากขึ้น โดยที่กรอบประตูจะเป็นอลูมิเนียมสีดำ พร้อมกระจกเขียวตัดแสงตามปกติครับ

ฟังก์ชันต่อมาคือ Living Area ซึ่งจะเห็นว่าห้องนี้จะไม่มีโต๊ะรับประทานอาหารเป็นสัดส่วนนะครับ โดยเราอาจต้องปรับฟังก์ชันมานั่งทานที่โซฟาหน้าทีวีนี้แทน ถือว่าเป็นการประหยัดพื้นที่ใช้สอย และทานข้าวไปก็สามารถดูทีวีไปด้วยในตัวได้นั่นเอง

และข้อดีของการจัดฟังก์ชันนี้ไว้กลางห้องอย่างแรกคือ จะได้ระยะดูทีวีที่กว้างเป็นพิเศษอยู่ที่ประมาณ 3 m. เพราะเราไม่ต้องเสียระยะความกว้างให้กับห้องน้ำอีกต่อไป และสามารถใช้ทีวีจอใหญ่ๆ 50 – 60 นิ้ว เพื่อให้นั่งดูหนังได้แบบจุใจเลยครับ

อีกข้อหนึ่งคือ เราจะได้ความเป็นส่วนตัวและมีสมาธิในการดูหนังดีมากขึ้น เพราะจะไม่ต้องได้ยินเสียงรบกวน หรือรู้สึกว่ามีเพื่อนบ้านเดินผ่านไป-มาหน้าห้อง หรือแม้แต่ตอนที่แฟนเราจะเดินไปเข้าห้องน้ำ/หาอะไรทานในครัว ก็จะไม่ต้องเดินตัดผ่านหน้าทีวีให้เสียอารมณ์นั่นเองครับ

ถัดมาจะเป็นประตูกระจกบานเลื่อนแบบ 3 ตอน ที่กั้นระหว่างห้องนอนและ Living Area โดยประตูจะมีความสูงจากพื้นเกือบถึงฝ้าเลยครับ จึงทำให้ภายในห้องมีความสว่างและโปร่งโล่งมากขึ้น ทำหน้าที่ทั้งช่วยจำกัดพื้นที่ในการเปิดแอร์ไม่ให้เปลืองทั่วทั้งห้อง รวมถึงยังสามารถเปิดออกเพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ให้กว้างมากขึ้นก็ได้ครับ

ภายในห้องนอนมีขนาดใหญ่ สามารถวางเตียง 5 ฟุต แล้วยังมีพื้นที่รอบเตียงเหลือให้ใช้งานได้สะดวกอยู่ครับ

โดยทางโครงการจะให้ฐานเตียงมาเป็นมาตรฐาน ซึ่งจะมีฟังก์ชันเก็บของด้านล่างมาให้แบบนี้ด้วย ทำให้ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของ และเหมาะสำหรับการอยู่อาศัยในคอนโดที่มีพื้นที่จำกัดแบบนี้ได้ดีทีเดียว

ทางด้านปลายเตียงจะเป็นพื้นที่สำหรับแต่งตัวครับ โดยซ้ายมือจะเป็นช่องว่างให้เราได้ทำเป็นมุมโต๊ะเครื่องแป้งสำหรับสาวๆได้ มีความกว้างประมาณ 1 m.ส่วนพื้นที่ทางเดินหรือพื้นที่ยืนแต่งตัวหน้าตู้เสื้อผ้า ก็จะกว้างประมาณ 45 cm. สามารถใช้งานได้พอดีตัวเลย

ตู้เสื้อผ้าที่ได้จะเป็นตู้ขนาดใหญ่กว้าง 1.2 m. ภายในสามารถเก็บเสื้อผ้าได้พอดีๆกับการอยู่ 1 – 2 คน และหน้าบานก็จะแบ่งเป็นกระจกเงาครึ่งหนึ่ง เพื่อให้เราใช้ส่องแต่งตัวได้ครับ

มาถึงมุมที่เรียกได้ว่าเป็น Highlight ของห้องนี้ก็คือ พื้นที่อเนกประสงค์ริมหน้าต่าง ซึ่งเราสามารถจัดเป็นมุมโต๊ะทำงานสำหรับช่วง WFH หรืออาจบิ้วเป็น Sofa Bed สำหรับนอนอ่านหนังสือเล่นชิวๆก็ได้นะครับ

โดยพื้นที่ส่วนนี้จะมีขนาดประมาณ 1.65 x 0.8 m. มาพร้อมกับช่องแสงขนาดใหญ่ ที่สูงจากพื้นเกือบถึงฝ้าเลยครับ แถมยังมีหน้าต่างบานกระทุ้งให้เปิดระบายอากาศได้อีกด้วย ซึ่งเราก็สามารถนั่งทำงานไปและชมวิวภายนอกไปด้วยได้นั่นเอง

สุดท้ายคือระเบียงครับ ซึ่งประตูที่ใช้จะเป็นกระจกบานเลื่อนแบบ 3 ตอน ทำให้สามารถเปิดออกได้กว้าง 65 cm. เวลาเดินเข้า-ออกก็จะสะดวกดี โดยพื้นที่ภายนอกจะกว้างประมาณ 1.25 x 0.7 m. พอที่จะออกมายืนสูดอากาศและตากผ้าเล็กๆน้อยๆได้ครับ ซึ่งด้านข้างจะมี Condensing Unit แขวนเอาไว้ พร้อมติดตั้งกริลแอร์เพื่อดันลมร้อนออกไปด้านนอกมาให้แบบนี้เลย


อัพเดตห้องตัวอย่างใหม่ (ณ วันที่ 23/02/2565)

1 Bedroom Plus Extra ขนาด 38 ตร.ม. เป็นห้องไซส์ใหญ่สุดของโครงการ เน้นพื้นที่ Common Area และห้องนอนขนาดใหญ่กว้างขวาง มีครัวปิดที่ทำอาหารจริงจังได้ รวมถึงมีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูงครับ โดยเฉพาะห้องนอนที่กั้นด้วยผนังทึบ และมีห้องน้ำที่เข้า-ออกได้ 2 ทาง รวมถึงยังมีห้องอเนกประสงค์ให้ใช้งานเป็นสัดส่วนอีกด้วย สมมุติว่าเราอยู่บ้านกับแฟนแล้วต้อง WFH ทั้งคู่ ซึ่งแต่ละคนก็จะสามารถมีพื้นที่ส่วนตัวในการทำงาน หรือประชุมแยกกันได้ เช่น คนนึงก็ทำงานในห้องอเนกประสงค์ ส่วนอีกคนหนึ่งก็อาจทำในห้องนอนก็ได้ เป็นต้น

โดยพื้นที่ในห้องนอนของ Extra Type นี้ ก็ได้ถูกออกแบบให้มีผนังส่วนหนึ่งยื่นออกไปนอกอาคาร เลยทำให้ภายในห้องมีพื้นที่ใช้สอยที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการที่เค้าใช้เป็นผนังทึบนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากเรื่องกฎหมายความคุมอาคาร และยังมีไอเดียที่อยากให้เราได้ใช้งานพื้นที่ผนังทึบ ให้เป็นประโยชน์มากขึ้นได้อีกด้วย โดยเราก็สามารถ Built-in ตู้/ชั้นวางของติดผนัง หรือจะแขวนจอคอมพิวเตอร์ก็ยังได้ รวมถึงยังมีการเปิดช่องแสงทางด้านข้างเพิ่มเติม ทำให้เรามีแสงสว่างเพียงพอต่อการใช้งาน และแสงก็จะไม่แยงตาเหมือนเวลาที่ส่องเข้ามาจากช่องด้านหน้าตรงๆอีกด้วย ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลยครับ

เริ่มกันที่ด้านซ้ายมือของประตูทางเข้าห้อง จะมีพื้นที่เว้าเข้าไปในผนังส่วนหนึ่ง ซึ่งเราสามารถ Built-in เป็นตู้เก็บของเท้าเพิ่มเติมได้ รวมถึงเราจะได้ตู้บนผนังหน้าตาแบบนี้มาเลยด้วยครับ สามารถแขวนกุญแจหรือวางสิ่งของที่ต้องใช้ประจำก่อนออกจากห้องได้ ส่วนด้านในตู้ของจริงก็จะเป็นเบรคเกอร์ซ่อนอยู่นั่นเองครับ

ภายในห้องเราจะเจอกับ Common Area ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งได้แสงสว่างที่ส่องผ่านมาจากทางห้องอเนกประสงค์ที่อยู่ด้านหลักเป็นหลัก อีกทั้งยังมีประตูกั้นแยกออกจากกันอย่างเป็นสัดส่วนดีเลยครับ จึงทำให้ห้องนี้ดูเรียบร้อยและเป็นส่วนตัวมากขึ้นครับ

จากห้องตัวอย่างเค้าได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน โดยมีระยะดูทีวีอยู่ที่ประมาณ 2.5 m. สามารถใช้ทีวีขนาด 40 – 50 นิ้วได้เลย ซึ่งเราก็จะได้ทั้งโซฟาและชั้นวางทีวีหน้าตาเหมือนในห้องตัวอย่างนี้อีกด้วยนะ

ส่วนบริเวณด้านหลังโซฟา เราก็จะได้โต๊ะทานอาหารแบบ 2 ที่นั่ง ซึ่งจะทำให้เราสามารถทานอาหารไปและดูทีวีไปพร้อมๆกันได้เลยครับ

อีกด้านหนึ่งจะเป็นห้องครัวที่กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ซึ่งจะคอยช่วยกันกลิ่น/ควันไม่ให้ลอยฟุ้งมาติดตามโซฟาหรือเสื้อผ้าตอนประกอบอาหารนั่นเอง

ภายในครัวเราจะได้ชุดเคาน์เตอร์ Built-in ตามที่เห็นในห้องตัวอย่างเลยครับ ซึ่งสเปคก็จะเหมือนกับห้องตัวอย่างแรกเลย ประกอบด้วย Top เคาน์เตอร์เป็นหินสังเคราะห์สีขาว / Hob&Hood ของ MEX และกรุผนังด้วยกระเบื้องเพื่อช่วยกันคราบต่างๆได้ดี ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าเราอาจต้องเตรียมตัวซื้อเข้ามาเองนะครับ

และแน่นอนว่าเราจะยังคงได้อ่างล้างจานแบบมีฝาปิด ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มพื้นที่ทำครัวบนโต๊ะให้กว้างมากขึ้นได้นั่นเองครับ

ส่วนขนาดพื้นที่ใช้สอยจะกว้างประมาณ 0.85 x 2.2 m. สามารถใช้งานได้พอดีๆ

ฝั่งตรงข้ามคือที่วางตู้เย็น มีขนาดประมาณ 1 x 0.65 สามารถใช้ตู้เย็นทรงสูงกว่านี้ได้สบายๆ หรืออาจ Built ตู้เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของได้ทั้งด้านบนและด้านข้างเลยครับ

ติดกันจะเป็นห้องน้ำที่มีการแยกพื้นที่เป็นสัดส่วน (ของจริงจะเข้า-ออกได้เพียงทางเดียวนะครับ) มาพร้อมได้ชุดสุขภัณฑ์ของ Cotto ครบตามที่เห็นในห้องตัวอย่างเลย

อีกทั้งยังมีการติดฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัย (Tempered Glass) แบบบานเปลือยมาให้ด้วยครับ ภายในมีขนาดประมาณ 1.2 x 0.85 m. สามารถใช้งานได้พอดีๆ

ส่วนตรงผนังก็จะติดตั้ง Hand Shower และเจาะช่องสำหรับวางสบู่หรือแชมพูมาให้แบบนี้ครับ ซึ่งเราอาจเพิ่มจำนวนชั้นให้สามารถวางของได้เยอะขึ้นก็ได้เหมือนกัน

ถัดมาจะเป็นห้องนอนที่มีขนาดใหญ่มาก สามารถวางเตียงขนาด 5 ฟุตไว้กลางห้อง แล้วยังมีพื้นที่รอบเตียงให้ใช้งานเหลือเฟือเลย

Highlight หลักของห้องตัวอย่างนี้ก็คือ บริเวณพื้นที่อเนกประสงค์ในห้องนอน ซึ่งจะเป็นส่วนของผนังทึบยื่นออกไปด้านนอก จึงยังคงได้ความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูง อีกทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์จากผนังทึบแบบนี้ได้หลากหลายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการ Built-in ตู้/ชั้นวางของติดผนัง หรือจะแขวนจอคอมพิวเตอร์ก็ยังได้

ซึ่งขนาดของพื้นที่อเนกประสงค์ห้องนี้ก็คือ 2.4 x 0.8 m. สามารถทำเป็นมุมโต๊ะทำงานอ่านหนังสือ หรือมุมทำงานอดิเรกอื่นๆได้ตาม Lifestyle ของแต่ละคนได้เลยครับ

ซึ่งทางโครงการก็ได้ให้ช่องแสงมาขนาดใหญ่เกือบเต็มผนังเลยทีเดียว จึงทำให้มีบรรยากาศที่สว่างและโปร่งโล่งดี (แบบห้องของจริงจะไม่มีช่องแสงข้างโต๊ะอเนกประสงค์นะครับ)

ภาพประกอบใหม่จากทางโครงการ

ส่วนทางด้านซ้ายของเตียงก็จะเป็นพื้นที่แต่งตัวและตู้เสื้อผ้า ซึ่งจะอยู่ใกล้กับประตูทางเข้าห้อง จะได้ใช้งานต่อเนื่องมาจากห้องน้ำด้านนอกได้สะดวกครับ

สุดท้ายคือห้องอเนกประสงค์ที่อยู่ติดกับระเบียงภายนอก โดยเราสามารถปรับเป็นห้องทำงานแบบนี้ หรือจะใช้ห้องอเนกประสงค์อื่นๆก็ได้ ตามแต่ Lifesyle ของแต่ละคนเลยครับ

โดยขนาดของห้องนี้ก็คือ 1.6 x 1.9 m. อาจไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็ช่วยให้หลายเป็นห้องที่มีฟังก์ชันหลากหลาย และครบครับมากขึ้นเยอะเลยทีเดียว

ส่วนระเบียงภายนอกจะมีขนาดประมาณ 1.6 x 0.9 m. สามารถออกมาใช้งานได้พอดีๆ ซ้ายมือเป็นช่องกระจกที่เชื่อมต่อกับห้องนอนได้ ส่วนทางด้านขวาจะแขวน Condensing Unit ทั้งหมด 3 เครื่อง พร้อมกับติดกริลแอร์ดันลมร้อนออกไปด้านนอก ทำให้เราสามารถออกมาใช้งานพื้นที่ระเบียงได้สะดวกมากขึ้นนั่นเองครับ

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

แบบแปลน

  • 1 Bedroom ขนาด 25 – 30.5 ตร.ม.

เป็นแบบเดียวกับห้องตัวอย่างที่เราได้รีวิวกันไปก่อนหน้านี้นะครับ แต่อันนี้เอาผมมาให้ดูเพิ่มเติมด้วยว่า แบบห้อง Extra ก็จะมีลักษณะแปลนห้องที่คล้ายกันเลยครับ แต่จะต่างกันแค่บริเวณพื้นที่ริมหน้าต่างเท่านั้น ซึ่งจะมีส่วนที่ยื่นออกไปนอกอาคาร จึงทำให้ภายในห้องจะได้พื้นที่ใช้สอยเพิ่มเติม แถมโครงการยังมีการกั้นผนังกระจกให้มีความเป็นสัดส่วน และได้ความเป็นส่วนตัวเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษอีกด้วย ซึ่งก็เหมาะที่จะทำเป็นห้องทำอ่านหนังสือช่วง WFH แบบนี้มากๆเลยครับ

  • 1 Bedroom Exclusive ขนาด 30.8 – 35 ตร.ม.

ลักษณะของห้องนี้จะมีการกั้นฟังก์ชันห้องนอนด้วยผนังทึบ เลยทำให้มีความเป็นสัดส่วน และได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น รวมถึงยังจัดให้ครัวปิดอยู่ติดกับระเบียง จึงสามารถเปิดประตูระบายอากาศ และทำอาหารได้อย่างจริงจังมากขึ้นได้สบายๆเลยครับ และอีกหนึ่งความพิเศษของห้อง Type นี้ก็คือ เค้าจะเป็นตำแหน่งห้องมุม เลยทำให้บริเวณ Living Area ได้ช่องแสงด้านข้างเพิ่มเข้ามา ทำให้บรรยากาศดูโปร่งโล่งมากๆ แถมยังมีพื้นที่ให้วางโต๊ะทานอาหารเพิ่มเติมได้อีกด้วยครับ

ห้องน้ำเข้า-ออกได้ทางเดียว โดยมีพื้นที่เหมือนเป็น Walk-in Closet เล็กๆเพิ่มเข้ามาให้ใช้งานเป็นสัดส่วนครับ และแน่นอนว่าห้อง Type นี้ก็จะมีแบบห้อง Extra ให้เลือกด้วยเช่นกัน แต่จะมีขนาดที่กว้างใหญ่ขึ้น และมีการกั้นห้องแยกไว้เป็นสัดส่วนเหมือนเดิมเรียบร้อยครับ ภาพรวมของห้องนี้ก็เหมาะกับการอยู่อาศัย 1 – 2 คน โดยเน้นห้องนอนที่มีความเป็นส่วนตัว รวมถึงยังได้ห้องนั่งเล่นที่อยู่ติดช่องแสงขนาดใหญ่ มีความโปร่งโล่ง และทำอาหารได้เต็มที่เลยครับ

  • 1 Bedrooms Plus ขนาด 35 – 38.5 ตร.ม.

เป็นแบบห้องไซส์ใหญ่ที่สุดของโครงการ ซึ่งจะแตกต่างจากห้อง Exclusive ตรงที่ส่วนครัวจะอยู่ด้านในห้องแทน แต่เรายังได้ครัวปิดที่พอจะทำอาหารจริงจังได้อยู่นะครับ และห้องที่อยู่ติดกับระเบียงก็จะกลายเป็นห้องอเนกประสงค์ไปแทน เหมาะที่จะทำเป็นห้องทำงานแบบจริงจังเพิ่มเป็นจุดที่ 2 ได้สบายๆเลยครับ เช่น ถ้าเราอยู่กับแฟน 2 คน แล้วยังคงค้อง WFH อยู่บ้านทั้งคู่ ก็อาจแบ่งกันทำงานคนละมุมเป็นส่วนตัวไปเลยก็ได้ หรือบางคนก็อาจต้องทำงานที่ใช้พื้นที่เป็นสัดส่วนมากหน่อย เช่น Studio สำหรับถ่ายรูป/ไลฟ์ขายของ เป็นต้น ห้องอเนกประสงค์ลักษณะแบบนี้ก็จะเหมาะมากๆเลยครับ

ราคา

ASHER KOOP รัชดา ราคา ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2564

  • 1 Bedroom ขนาด 25 – 30.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.95 ล้านบาท
  • 1 Bedroom Exclusive ขนาด 30.8 – 35 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.59 ล้านบาท
  • 1 Bedrooms Plus ขนาด 35 – 38.5 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 3.05 ล้านบาท

  • รูปแบบการขาย Fully Furnished
  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 2.4 เมตร
  • Kitchen & Sink / ท็อปหินสังเคราะห์
  • Hob & Hood / ของยี่ห้อ MEX
  • จอง 5,000 บาท
  • ทำสัญญา 25,000 บาท
  • ค่ากองทุน 500 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 55 บาท/ตร.ม./เดือน

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ

บทสรุป

ทำเล : ตั้งอยู่ในซอย 20 มิถุนา แยก 7 ซึ่งเป็นทำเลที่มีความอุดมสมบูรณ์ ทั้งห้างสรรพสินค้า ตลาด และมีอาคารสำนักงานหลายแห่ง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์เงินเดือน ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยใกล้ออฟฟิศ และสามารถเดินทางได้สะดวก โดยซอย 20 มิถุนา สามารถเชื่อมต่อกับถนนหลักสำคัญได้หลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นถนนรัชดา ถนนสุทธิสาร และถนนลาดพร้าว เป็นต้น แต่สิ่งที่ทำให้คอนโดภายในซอยของย่านนี้ มีความน่าสนใจอย่างมากก็คือ “ราคา” ที่สามารถจับต้องได้ไม่ยาก ซึ่งพนักงานออฟฟิศทั่วไปก็ยังเอื้อมถึงได้นั่นเองครับ

การเดินทางโดยใช้รถ : ถือได้ว่าสะดวกมาก โดยซอย 20 มิถุนา มักถูกใช้เป็นซอยลัดเลี่ยงรถติดบนถนนใหญ่อยู่แล้ว เพราะสามารถเชื่อมต่อถนนหลักสำคัญได้หลายสาย และโดยรอบยังมีทางด่วนให้ใช้เข้า-ออกเมืองได้หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นทางด่วนฉลองรัช ทางด่วนศรีรัช และทางพิเศษเฉลิมมหานคร ซึ่งแต่ละจุดก็จะมีระยะทางพอๆกัน อยู่ที่ประมาณ 6 km. ส่วนตัวโครงการจะมีที่จอดรถ 33 คัน หรือคิดเป็นประมาณ 40% รวมจอดซ้อนคัน (แบ่งเป็น จอดในช่องปกติ 17 คัน / Auto Parking 11 คัน / จอดซ้อนคัน 5 คัน)

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ถึงแม้จะอยู่ภายในซอย แต่ยังถือว่าเดินทางด้วยรถสาธารณะได้สะดวกอยู่นะครับ เพราะปากซอยห่างจากโครงการเพียง 100 m. จะมีพี่วินมอเตอร์ไซค์ตั้งอยู่ หรืออาจเรียกรถแท็กซี่และวินคันอื่นๆที่ขับผ่านไป-มาได้ง่าย เพราะซอย 20 มิถุนาค่อนข้างมีรถผ่านคึกคักอยู่แล้ว และสามารถนั่งรถไปต่อ MRT สุทธิสาร / MRT ห้วยขวาง หรือต่อรถเมล์เพื่อไปทำงานได้ไม่ยากครับ

การออกแบบโครงการ : เป็นโครงการขนาดเล็กที่เป็นส่วนตัวเพียง 77 ยูนิต และมีหน้าตา Facade ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ โดยผนังด้านข้างจะมีการยืด-หดที่ไม่เท่ากัน ซึ่งเกิดจากห้อง Type พิเศษที่มีพื้นที่ยื่นออกไป และผมชอบตรงที่เค้าใช้กฎหมายควบคุมอาคารให้เป็นประโยชน์ ด้วยการยื่นผนังทึบออกไปแทนผนังกระจก จึงทำให้ไม่ต้องเสียระยะร่นของอาคาร และยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในห้องได้อีกด้วย

นอกจากนี้คอนเซ็ปต์การออกแบบโครงการก็น่าสนใจไม่น้อยนะครับ โดย Now & Future Urban Living ถูกพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิต และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มฟังก์ชันนั่งทำงานที่บ้าน มีจุดรับ-ส่ง Delivery ที่ช่วงนี้หลายๆคนก็เริ่มนิยมสั่งสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น และสิ่งที่ผมชอบมากๆก็คือ ห้องมุมของโครงการนี้จะได้ช่องเปิด 2 ฝั่ง ทำให้มีความสว่างและโปร่งโล่งเป็นพิเศษเลยครับ

การออกแบบห้องพักอาศัย : มีแบบห้องหลักๆ 3 Type ซึ่งแต่ละแบบก็จะได้ห้องครัวปิด ที่สามารถทำอาหารได้จริงจัง โดยห้อง 1 Bedroom จะเป็นห้องตอนลึกที่เหมาะกับคนชอบบรรยากาศโปร่งโล่ง แต่ยังคงมีการกั้นฟังก์ชันเป็นสัดส่วน และที่ชอบคือการกั้นห้องครัวที่ด้านหน้าห้อง ซึ่งจะช่วยทำให้พื้นที่ภายในห้องส่วนอื่นๆ มีความเป็นส่วนตัวจากภายนอกห้องมากขึ้นได้ด้วย

ส่วนแบบห้อง 1 Bedroom Exclusive จะมีการกั้นห้องนอนด้วยผนังทึบ ทำให้มีความเป็นส่วนตัวแบบสุดๆ และห้องครัวก็จะย้ายมาอยู่ติดกับระเบียง สามารถเปิดระบายอากาศได้เต็มที่ ส่วนห้อง 1 Bedroom Plus จะมีห้องอเนกประสงค์ติดระเบียงเพิ่มเข้ามา เหมาะที่จะทำเป็นห้องทำงานอดิเรกจริงจังเพิ่มอีกห้องหนึ่ง หรือทำให้เรามีมุมนั่งทำงานเพิ่มขึ้นอีกจุดหนึ่ง สามารถแบ่งกันทำงานอยู่บ้านกับแฟนคนละมุมได้สบายๆเลยครับ

และนอกจากนี้ห้องทุกๆแบบ ยังจะมีห้องแบบ Extra Type ให้เลือกด้วยนะครับ ซึ่งลักษณะจะเป็นพื้นที่ส่วนของผนังที่ยื่นออกไปด้านนอกอาคาร สามารถทำเป็นมุมนั่งทำงานส่วนตัวที่บ้านได้สบาย อีกทั้งยังมีการคำนึงถึงการใช้ประโยชน์จากผนังทึบ ที่สามารถติด/แขวนเฟอร์นิเจอร์ได้ดีกว่าผนังกระจก และยังทำให้ได้ความเป็นส่วนตัวจากเพื่อนบ้านข้างๆ ซึ่งเหมาะกับชั้นที่ไม่สูงมากอีกด้วยนะครับ

วัสดุ : ในระดับราคานี้ถือว่าให้มาค่อนข้างดีเลยทีเดียว หลักๆจะเป็นวัสดุที่มีการอัพเกรดมาจากโครงการรุ่นพี่ ไม่ว่าจะเป็นพื้น SPC ลายไม้ที่ทนความชื้นได้ดี / ได้เคาน์เตอร์ครัว Top หินสังเคราะห์ ที่มีฝาปิดตรงอ่างล้างจานแถมมาให้ด้วย / ประตูกระจกบานเลื่อนในห้องมีขนาดใหญ่ และโปร่งโล่งขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ยังขายแบบ Fully Furnished โดยจะให้เฟอร์นิเจอร์หลักๆครบ เช่น โซฟา ชั้นวางทีวี โต๊ะกลาง ฐานเตียง และตู้เสื้อผ้า ขาดเพียงแค่บางชิ้นและเครื่องใช้ไฟฟ้าก็เข้าอยู่ได้เลย โดยโครงการตั้งใจอยากเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อได้มีสิทธิ์ ในเลือกหาของตามความชอบของตัวเองได้ด้วยนั่นเองครับ

สาธารณูปโภค : มีฟังก์ชันหลักๆให้ใช้งานครบ และส่วนตัวผมมองว่าเค้าพยายามให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย โดยจุดแรกเห็นได้จากการทำ Lobby ขนาดใหญ่ขึ้น ให้เราสามารถใช้เป็นส่วนต้อนรับแขกได้ไม่อายใคร รวมถึงยังมีพื้นที่นั่งทำงานหลายจุด และยกระดับส่วนกลางที่เหลือไปอยู่ชั้นสูงสุด เพื่อให้สามารถชมวิวไปได้ด้วย ทั้งๆที่จริงๆแล้วเค้าสามารถทำเป็นพื้นที่ขายราคาดีๆได้ด้วยซ้ำ โดยส่วนที่ผมชอบที่สุดคือ Co-Living Space ที่มีทั้งจอ Theater ขนาดใหญ่ มีมุมให้นั่งอ่านหนังสือ และมุมชงกาแฟในพื้นที่เดียวกัน เรียกได้ว่าอยู่ได้ทั้งวันเลยล่ะ ส่วนห้องออกกำลังกายและสระว่ายน้ำก็ยังมีให้ใช้งานครบนะครับ

Judgement

การให้คะแนน ให้แบบ Weight Average โดยมุ่งหาความคุ้มค่า เทียบกับราคาที่จ่ายไป โดยมีส่วนที่พิจารณาดังนี้

ทำเล 35%, การเดินทางโดยใช้รถ 15%, การเดินทางโดยไม่ใช้รถ 15%, วัสดุ 15%, การออกแบบ 10% และสาธารณูปโภค 10%

เทียบกับช่วงราคาเฉลี่ยแบบทั้งโครงการ AVG 87,000 บาท/ตร.ม., 19 พฤศจิกายน 2564

  • ทำเล 7.75/10 – อุดมสมบูรณ์ หาของกินง่าย ใกล้แหล่งงานออฟฟิศ ทำเลในซอยเงียบสงบ เหมาะแก่การอยู่อาศัย
  • เดินทางด้วยรถ 8/10 – ทำเลซอยลัด เชื่อมต่อถนนได้หลายเส้นทาง มีทางด่วนให้เลือกใช้ 3 สาย
  • ไม่ใช้รถ 7.5/10 – ปากซอยมีวินมอเตอร์ไซค์ และเรียกรถสาธารณะได้ในระยะ 100 m. สามารถต่อรถไปใช้ MRT ได้ในระยะ 1.5 – 2 km.
  • วัสดุ 7.75/10 – อัพเกรดมาจากรุ่นพี่เยอะ ถือว่าให้มาดีในระดับราคานี้ ขายแบบ Fully Furnished พร้อมเข้าอยู่
  • แบบ 8/10 – ยูนิตน้อย เป็นส่วนตัว เน้นห้อง 1 Bedroom และมีแบบห้อง Extra ที่เพิ่มมุมอเนกประสงค์มาให้เลือก
  • สาธารณูปโภค 7.5/10 – ให้มาครบ มีขนาดใหญ่น่าใช้งาน ส่วนมากจะอยู่ที่ชั้นบนสุด

  • MAIN CLASS
  • 7.75 / 10.00

ASHER KOOP รัชดา เหมาะกับใคร

โครงการ ASHER KOOP รัชดา เหมาะกับคนที่มองหาคอนโดในย่านรัชดา-สุทธิสาร ซึ่งอาจเป็นมนุษย์เงินเดือนแถวนั้นที่อยากหาที่พักใกล้ออฟฟิศ โดยยอมเลือกทำเลที่ขยับเข้ามาในซอยย่อย แล้วใช้วิธีต่อรถไปทำงานนิดหน่อย แต่มีราคาที่จับต้องได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงเป็นโครงการที่ยูนิตน้อย เป็นส่วนตัว และเน้นการออกแบบฟังก์ชันสำหรับคนวัยทำงาน หรือคนในยุคปัจจุบันที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ทำงานในส่วนกลาง และพื้นที่ทำงานในห้องพักอาศัยต้องมีให้ใช้พร้อม โดยเฉพาะแบบห้อง Extra ที่เป็นส่วนผนังยื่น และกั้นเป็นโซนทำงานส่วนตัวได้จริงจัง มีงบประมาณระดับ 1.89 – 3.05 ล้าน หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 14,000 – 21,000 บาท/เดือน


ThinkofLiving มี LINE Official Account แล้วนะ
ไม่อยากพลาดข้อมูลข่าวสารก็ Add เลย > https://lin.ee/svACOxc