รีวิวโครงการ
คิด.เรื่อง.อยู่ Ep.198 – รีวิวคอนโดตากอากาศ Centric Sea พัทยา
20 มีนาคม 2016
รีวิวฉบับที่ 571 … วันนี้เราไปดูอีกหนึ่งโครงการตากอากาศของ SC Asset กันบ้างครับ นั่นคือ Centric Sea พัทยา คอนโดมิเนียมวิวทะเล ในตัวเมืองพัทยา บนถนนพัทยาสายสองครับ โครงการนี้เป็นคอนโดภายใต้แบรนด์ “Centric” โครงการแรกเลยครับ ที่เป็น Centric แบบตากอากาศ ซึ่งแบรนด์นี้จะเป็นแบรนด์ระดับกลางของ SC Asset เค้า ในขณะที่เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนทาง SC Asset ก็เคยส่ง The Crest ที่เป็นแบรนด์ระดับ Hi-End ของตัวเองมาลงสังเวียนบ้านตากอากาศไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่อันนั้นจะชื่อว่า The Crest Santora หัวหิน ที่เป็นหมู่ตึกคอนโด Low-Rise ครับ ซึ่ง Mr.Oe เคยก็รีวิวให้ดูไปแล้ว (จริงๆแล้วยังมี Boulevard Tuscany ชะอำ-หัวหิน อีกโครงการหนึ่ง แต่เป็นบ้านเดี่ยว เราจะไม่พูดถึงละกันนะ) มาวันนี้คืนสังเวียนด้วยโครงการตากอากาศที่พัทยาบ้าง เรามาดูกันว่า Centric ที่ถูกเติมคำว่า “Sea” ลงไปในชื่อโครงการจะทำออกมาได้ดีแค่ไหน
Fact @ 20 APRIL 2014
- Centric Sea พัทยา (เซ็นทริค ซี พัทยา)
- SC Asset Plc.
- UPPER CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
- โครงการตั้งอยู่ที่ เมืองพัทยา, อำเภอบางละมุง, จ.ชลบุรี
- คอนโดมิเนียม 3 อาคาร
- อาคาร A สูง 44 ชั้น 451 ยูนิต ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 12 ยูนิต
- อาคาร B สูง 32 ชั้น 463 ยูนิต ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 17 ยูนิต
- อาคาร C สูง 7 ชั้น 85 ยูนิต ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 22 ยูนิต
เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วครับ
สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างครับ
พิกัด : 12.93953,100.88858
เริ่มต้นด้วยที่ตั้งของโครงการครับ ซึ่งจะอยู่บนถนนพัทยาสายสอง เป็นถนนที่ขนานกับถนนพัทยาสายหนึ่งที่เป็นถนนเลียบหาด
การเดินทางไปยังโครงการ ถ้ามาจากกรุงเทพ หลักๆก็คงใช้เส้นมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 วิ่งเลี่ยงเมืองชลบุรีมานะครับ มาเลี้ยวซ้ายเข้าสุขุมวิท หรือถ้ามาจากชลบุรีก็วิ่งสุขุมวิทตรงๆลงมาเลย จากถนนสุขุมวิท เลี้ยวขวาเข้าถนนพัทยากลาง และขับตรงต่อไปเรื่อยๆจนถึงถนนพัทยาสายสอง ก็เลี้ยวขวาอีกทีก็จะเจอตัวโครงการอยู่ทางขวามือครับ
ข้อดีของทำเลที่ตั้งของโครงการนี้ จัดว่าอยู่ในใจกลางเมืองพัทยาเลยก็ว่าได้ เนื่องจาก บนถนนพัทยาสายหนึ่งและสายสองนี้ เป็นจุดที่อยู่ใกล้หาดพัทยา จัดว่าเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว, เศรษฐกิจ และความเจริญหลักๆของเมืองพัทยาเลย ใกล้เคียงโครงการมีห้างสรรพสินค้า, ร้านอาหาร, ร้านค้า และโรงแรม บวกกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากมาย แน่นอนว่าย่อมมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การอยู่อาศัยหรือการมาพักผ่อนระยะสั้น นอกจากนี้ทำเลตรงนี้ยังอยู่ใกล้กับถนนหลักอีก 3 เส้นของพัทยา (ในระยะขับรถ) คือ พัทยาเหนือ-พัทยากลาง-พัทยาใต้ ซึ่งเป็นจุดที่มีสำนักงาน และสถานที่ราชการประจำเมือง อาจจะเหมาะกับบุคคลอีกกลุ่มที่ทำงานที่นี่ คิดจะมาอาศัยอยู่ในระยะยาว และต้องการการเดินทางในเมืองที่สะดวก
ส่วนข้อเสียของทำเลนี้ก็มีเหมือนกัน เพราะความเจริญของพัทยาในขณะเดียวกันก็หมายถึง ความพลุกพล่านวุ่นวาย เพราะมีความเป็น “City Life” ใกล้ชิดกับแสงสีเสียงของเมืองพัทยา ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ คนที่ชอบก็จะชอบเลย แต่ถ้าคนที่อยากได้ความสงบ Private และเป็นส่วนตัว ชอบการพักผ่อนแบบปลีกวิเวก ไม่ยุ่งกับใคร อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก และข้อเสียเปรียบอีกอย่างหนึ่งของที่ตั้งโครงการ คือ เป็นโครงการที่ไม่ได้อยู่ติดหาด เพราะอยู่บนถนนพัทยาสายสอง การที่จะไปเล่นน้ำทะเลหรือไปที่ชายหาดไม่ใช่ว่าเดินออกจากรั้วโครงการแล้วจะถึงหาดเลย จะต้องอาศัยการเดิน, ขี่จักรยาน หรือนั่งรถเอา ในระยะ 400-500 เมตร ซึ่งถ้าบวกกับแดดเปรี้ยงๆของฤดูร้อนแล้วอาจจะเป็นระยะที่เหงื่อแตกกันเลยทีเดียว ไม่สะดวกเหมือนโครงการที่อยู่ติดหาดครับ
ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา ที่ด้านบนเป็นโรงแรม Hilton
ในเรื่องการเดินทางด้วยรถยนต์บริเวณนี้ มีจุดสังเกตอยู่อย่างหนึ่งที่คนที่ไปพัทยาบ่อยๆจะเข้าใจดี นั่นคือถนนวันเวย์ครับ เนื่องจากถนนพัทยาสายหนึ่ง และถนนพัทยาสายสองนั้น เป็นถนนวันเวย์ทั้งคู่ (พัทยาสายสองจะมีเฉพาะช่วงที่เลยพัทยาใต้ไปแล้วที่ไม่ใช่วันเวย์) ซึ่งมันจะสร้างความปวดหัวให้กับเราเล็กน้อย แต่คิดว่าก็คงเป็นเรื่องที่ทุกคนที่อยากจะมาอยู่พัทยาคงจะทำใจไว้ก่อนแล้ว
อย่างเช่นถ้าเราขับรถออกจากหน้าคอนโดเรา เราก็จะถูกบังคับให้เลี้ยวขวาไปทางวงเวียนปลาโลมา ถ้าสมมติว่าเราอยากไปเซ็นทรัลเฟสติวัลพัทยาซึ่งอยู่ด้านหลังเรา ห่างออกไปแค่ประมาณ 700 เมตร (ดูแผนที่ก่อนหน้านี้ประกอบไปด้วย) เราก็ต้องวิ่งไปอ้อมวงเวียนอย่างเดียวเลย เพื่อไปเข้าพัทยาสายหนึ่ง จะวิ่งย้อนกลับมาทางพัทยากลางไม่ได้ เหตุที่เขาต้องทำให้ถนนสายหนึ่งกับสายสองเป็นถนนวันเวย์นี้ก็เพราะว่า ในบางเวลาปริมาณรถของถนนสองเส้นนี้มันเยอะมาก และรถก็จะติดมาก ถ้าไม่บังคับให้รถที่วิ่งไปมาถูกระบายไปในทางเดียวกัน มันอาจจะทำให้เกิดปัญหา “Dead Lock” ขึ้นมาได้ครับ คือเป็นรถติดแบบงูกินหาง ขยับไปไหนไม่ได้เลย เพราะรถไม่มีทางระบายออกครับ
ชายฝั่งจะอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของโครงการ ระยะทาง (แบบการกระจัด) จากหน้าโครงการ ไปถึงหน้าหาด ประมาณ 400 เมตรครับ เดินเอาพอได้ถ้าแดดไม่แรงมาก ส่วนถ้าวัดการกระจัดจากตัวตึกไปจนถึงหน้าหาดจะได้ระยะประมาณ 500 เมตรครับ แปลว่า ในห้องบางห้องที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก (และไม่โดนบังวิว) แค่เราอยู่ประมาณชั้น 10 ก็มองเห็นทะเลได้ค่อนข้างชัดเจนแล้วครับ ถ้าขึ้นไปชั้นสูงๆ เกินชั้น 20 ขึ้นไปจะได้วิวทะเลที่กว้างทีเดียว
ซูมแผนที่ลงมาดูอีกระดับหนึ่งให้เห็นแนวที่ดินของโครงการชัดๆ ถ้าเอา Master Plan มาเทียบก็จะได้ประมาณนี้ครับ ที่ดินของโครงการมีทางเข้าติดถนนพัทยาสายสอง และมีระยะ Setback ร่นเข้าไปประมาณ 100 เมตร ก่อนที่ที่ดินจะไปบานอยู่ข้างในเป็นลักษณะคล้ายๆตัว L แบบนี้ครับ โดยที่ดินผืนนี้มีขนาด 6 ไร่นิดๆ
จุดสังเกตที่ชัดเจนอย่างหนึ่งซึ่งถ้าใครไปดูโครงการด้วยตัวเองก็คงจะเห็น ก็คือด้านหน้าโครงการมีโรงแรมเก่าแก่อยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่า โรงแรมแกรนด์โซเล่ (Grand Sole Hotel) ซึ่งเป็นอาคารสูงประมาณ 15 ชั้น ตั้งอยู่ทางด้านหน้าของโครงการ เรียกว่าเกือบจะประชิดเลยก็ว่าได้ ทำให้เกิดการ Block วิวของตึกของ Centric ไปส่วนหนึ่ง เมื่อเห็นดังนี้ทางโครงการจึงมีการจัดวางผังที่ดินตามที่เห็น โดยนำตึกที่สูงที่สุด คือ
- ตึก A สูง 44 ชั้น นำมาไว้หลังโรงแรมเลย ชั้นล่างๆที่ต่ำกว่าชั้น 17-18 นี่เรียกว่าปล่อยให้โดนบังวิวทะเลไป แต่ยอมให้มีอีกประมาณ 20 ชั้นด้านบนให้เห็นวิวทะเลชัดๆ แล้วจัดให้มี Sky Facilities ให้ลูกบ้านทุกห้องสามารถขึ้นไปใช้ได้เหมือนกันที่ชั้นดาดฟ้าของตึก
- ตึก B สูง 32 ชั้น วางขยับออกมาหน่อย ยอมให้มีบางส่วนของตึก B ถูกอาคารด้านหน้าของโรงแรมบังวิวไป แต่ยังมีประมาณครึ่งนึงของตึก กับส่วนที่อยู่ชั้นสูงๆ ที่ยังไม่โดนบังวิว แล้วก็จัดให้มี Sky Facilities เช่นเดียวกันกับตึก A จะได้ไม่ต้องไปแย่งกันใช้ มีของใครของมัน
- ตึก C จัดให้แตกต่างออกไปเลย คือเป็นตึก Low Rise 7 ชั้น หันไปทางทิศตะวันออก มองไม่เห็นวิวทะเลเลย ได้แต่ City View ล้วนๆ ไม่เน้นวิวทะเล และจัดให้มียูนิตเฉพาะชั้น 4-7 ทำยูนิตแค่ 85 ยูนิต เป็นอาคาร Private สำหรับคนที่อยากได้แนวสงบๆ ปลีกวิเวก อินดี้ๆ แยกไปต่างหากอยู่ทางด้านหลัง มี Facilities ของตึกตัวเองแยกต่างหากเหมือนกันกับอีกสองตึก
ส่วนสภาพแวดล้อมรอบโครงการ ทิศใต้ของโครงการมีที่ดินเปล่าขนาดใหญ่อยู่อีกผืนหนึ่ง สามารถขึ้นโครงการสูงได้แน่ๆ และทางด้านทิศตะวันตก ตรงข้ามกับโครงการ ยังมีที่เปล่าขนาดค่อนข้างใหญ่อีก 2-3 แปลงที่น่าจะขึ้นเป็นตึกสูงได้เหมือนกัน เพราะอยู่ติดถนนใหญ่ แต่จะมีตรงที่ผมเขียนว่า “ลาน Event ให้เช่า” ที่ปัจจุบันจะเป็นลานจัดกิจกรรมเอนกประสงค์ เคยใช้เป็นที่จัดงานใหญ่ๆของพัทยา เช่น พัทยา Music Festival หรือ งานสงกรานต์ที่พึ่งผ่านไป อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะยังคงสภาพแบบนี้ต่อไปเมื่อไหร่นะครับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งสำหรับคอนโดที่ที่ดินไม่ได้อยู่ติดหาด
ไปดูสภาพแวดล้อม โดยรอบโครงการกันครับ เริ่มต้นที่ตัวสำนักงานขายที่ตั้งอยู่ข้างๆ Site ก่อสร้างจริงของโครงการ (สำนักงานขายไม่ได้อยู่ในที่ดินของโครงการครับ)
ถนนพัทยาสายสองที่อยู่หน้าโครงการ เป็นถนนที่ขนานอยู่กับถนนเลียบหาด (สายหนึ่ง) ระยะทางจากถนนเส้นนี้ลงไปที่หาดอยู่ในระยะ 400-500 เมตร ยังพอเดินได้อยู่ ทำให้ถนนเส้นนี้ยังคงความคึกคักของ “ถนนใกล้หาด” เอาไว้ได้ แต่ก็น้อยกว่าพัทยาสายหนึ่ง ริมถนนก็จะมีร้านค้า มีมินิมาร์ทอยู่ตลอดสองข้างทาง
ใครที่เคยมาพัทยาบ่อยๆ หรืออาศัยอยู่ที่นี่เป็นประจำ ก็จะรู้ว่าแท็กซี่ในพัทยานั้นมีราคาสูงมาก ราคา Start เริ่มต้นอยู่แถวๆ 200 บาท ซึ่งกะฟันกำไรชาวต่างชาติเน้นๆ คนพื้นที่จริงๆ (หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวที่รู้ทันก็ตาม) จะนิยมนั่งรถกระบะสองแถวหน้าตาแบบนี้กันมากกว่า ราคาเบาๆ เริ่มต้นแค่ 10 บาทเท่านั้นแหละ รถสองแถวพวกนี้จะมี Loop ในการวิ่งอยู่ไม่กี่แบบ ถ้าเคยนั่งบ่อยๆก็จะเข้าใจ และเรียนรู้ได้ไม่ยาก นั่งเป็นแล้วจะเที่ยวพัทยาได้สนุกกว่าเยอะ เพราะบางทีที่จอดรถในพัทยาหายาก นั่งสองแถวเอา ราคาไม่แพง มีวิ่งตลอดเวลา และสะดวกกว่าเพราะไม่ต้องหาที่จอดรถ
ด้านหน้าโครงการ ถ่ายจากฝั่งตรงข้ามของถนน
สำนักงานขายเป็นอาคารชั้นเดียวเตี้ยๆ ที่สร้างไว้ชั่วคราว อยู่บนที่ดินข้างๆที่ติดกันกับ Site จริงของโครงการ
ตรงข้ามโครงการจะมีโรงแรมอยู่ 2-3 แห่งเรียงติดกัน ขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง อย่างอันนี้ชื่อว่า Twin Palms Resort เป็นโรงแรมขนาดเล็ก สูง 4 ชั้น แค่นั้นเอง
ส่วนถัดมาจะมี Hard Rock Hotel ที่จะเป็นโรงแรม + Rock Pub ชื่อดังในย่านนี้ กลางคืนชาวต่างชาตินิยมมาเที่ยวมาก ที่ผับอาจจะมีเสียงดังหลุดๆออกมาบ้าง แต่ว่าตัวอาคารของโรงแรมจะอยู่ลึกเข้าไปจากหน้าที่ดินพอสมควร ไม่ถึงกับรบกวนจนทนไม่ได้ แต่ยังไงคนที่คิดจะมาอยู่ที่พัทยาคงจะอยากได้แสงสีเสียงอยู่แล้วแหละ
ฝั่งเยื้องๆของโครงการจะมีที่ดินเปล่าๆ ว่างๆอยู่ ที่เห็นมีต้นไม้ขึ้นหนาๆ
ข้างๆกันมีลานเอนกประสงค์ สำหรับให้เช่าพื้นที่ จัด Event ต่างๆ เช่น Pattaya Music Festival ก็มาจัดที่นี่
ตัวถนนพัทยาสายสองนี้ พอเลยพัทยากลางมาแล้ว ความคึกคักจะน้อยลงไป ถ้าเทียบกับช่วงต้นๆของถนนที่ค่อนไปทางพัทยาใต้ ก่อนที่จะมาถึงพัทยากลาง (ใกล้ๆ Central Festival นั่นแหละ) จะมีความคึกคักกว่ามาก
ทางเข้าจริงๆของโครงการอยู่ทางด้านนี้ครับ ที่เป็นรั้ว Metal Sheet สูงๆล้อมเอาไว้
จากด้านหน้าถนนใหญ่ เข้าไปถึงตึกระยะทางเกือบๆ 100 เมตร แต่เราจะยังไม่เข้าไปดูนะ
ตึกสูงที่อยู่ด้านหน้านี้เป็นของโรงแรม Grand Sole (แกรนด์ โซเล่) ครับ เป็นอาคาร Mid-Rise สูงประมาณ 15 ชั้นได้ ซึ่งเป็นอาคารที่อยู่ตรงนี้มาก่อนแล้ว
สภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านหน้าโรงแรม
แถวๆด้านหน้าของโรงแรมมี 7-Eleven อยู่หนึ่งจุด สามารถเดินมาจากโครงการมาซื้อของกินของใช้เล็กๆน้อยๆได้
ลองแอบเข้าไปดูด้านหลังของโรงแรมซะหน่อย จะได้ดูว่าบังวิวไปเยอะแค่ไหน ที่เห็นอยู่ในรูปนั่นก็คือส่วนหนึ่งของอาคาร B ที่ไม่โดนบังนะครับ
มองดูจากรูปจริงๆแล้วจะดูยากนิดนึงนะครับ เพราะว่านี่ผมถ่ายเป็นมุมเงย เลยจะดูเหมือนว่าอาคารของโรงแรมสูงเกือบเท่าอาคาร A แต่จริงๆแล้ว อาคาร A อยู่สูงกว่ามากเลยครับ ระดับ 44 ชั้น เทียบกับโรงแรมที่อยู่ประมาณชั้น 17-18 ของตึก A เท่านั้น แต่ชั้นล่างๆนี่โดนบังไปเยอะพอสมควรเลย ทางด้านทิศตะวันตกนะครับ
ลำพัง ระยะห่างของตึก A กับ ตึก B ด้วยกันเองก็มีน้อยอยู่แล้ว ดังนั้นจะมีเรื่องที่ต้อง Concern อีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่อง Privacy ครับ โดยเฉพาะห้องด้านทิศใต้-ตะวันตกเฉียงใต้ของตึก B ที่จะอยู่ใกล้กับห้องทิศเหนือของตึก A ที่นอกจากจะโดนบังวิวแล้ว อาจจะได้วิวอื่นเพิ่มมาครับ คืออาจจะมองเห็นห้องข้างๆด้วย รู้หมดเลยใคร ทำอะไร ห้องไหน อย่างไร ถ้าใครไม่ถือก็ไม่เป็นไร แต่คนที่ไม่ชอบ ควรจะเลือกทิศตรงข้ามกันนะครับ
ส่วนตึก A ถึงจะโดนตึกของโรงแรมที่อยู่ข้างหน้าบังวิวในทิศตะวันตกไปแล้วก็ตาม แต่ด้วยความที่ตึกของโรงแรมมันเป็นรูปตัว L ครับ (ลองย้อนขึ้นไปดูที่แผนที่ด้านบนนะครับ) ซึ่งจะทำให้ตึก A ยังมองออกมาเห็นวิวทะเลในทิศตะวันตกเฉียงใต้แบบเฉียงๆได้นะครับ ทีนี้จะเห็นมากเห็นน้อยก็ต้องอยู่ที่การเลือกห้องของแต่ละคนแล้วล่ะครับ ว่าจะจิ้มถูกจุดรึเปล่า แต่ถ้าเลือกชั้นสูงเกินชั้น 20 ขึ้นไปน่าจะหายห่วงเรื่องวิว
ระยะห่างระหว่างอาคารฝั่งนี้มีอย่างน้อยๆ 25-30 เมตรแน่ๆแหละ ระยะจริงๆไม่ทราบนะครับ อันนี้กะเอาจาก Google Maps และด้วยสายตาตอนที่ไปดูเอง ซึ่งก็น่าจะโอเคอยู่ในเรื่องของ Privacy
ต่อไปเราเข้าไปดูสำนักงานขายกันต่อ เพื่อไปดูรายละเอียดโครงการด้านในครับ
คลิกที่รูปเพื่อดูขนาดใหญ่
เริ่มจากดู Master Plan แบบชัดๆก่อน (กดเข้าไปดูรูปใหญ่ได้) ที่ดินเป็นรูปตัว L หน้าตาประมาณนี้ มีระยะร่นจากด้านหน้าถนนเข้าไปประมาณเกือบๆ 100 เมตร ขนาดประมาณ 6 ไร่ วางตึก 3 ตึก ตามนี้ครับ
- อาคาร A สูง 44 ชั้น 451 ยูนิต ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 12 ยูนิต
- อาคาร B สูง 32 ชั้น 463 ยูนิต ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 17 ยูนิต
- อาคาร C สูง 7 ชั้น 85 ยูนิต ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 22 ยูนิต
และนี่คือโมเดลของโครงการ
มองจากด้านหน้า ซ้ายคือตึก B สูง 32 ชั้น และขวาคือตึก A สูง 44 ชั้น ระยะห่างระหว่างตึกทั้งสองตึกอยู่ที่ประมาณ 12 เมตร แต่หันหน้ากว้างของตัวตึกไปคนละทิศกัน
มองจากทางด้านขวา (ทิศใต้) ตึก A แทบจะบังตึก B ไปมิดเลย
ด้านหลังจะเห็นตึก C สูง 7 ชั้น วางอยู่แบบนี้ ไม่ต้องหวังเรื่องวิวทะเลเลยครับ แต่ตึกนี้จะมียูนิตน้อยกว่าชาวบ้านเขาหมด
ส่วนด้านนี้เป็นด้านซ้าย (มองจากทิศเหนือ)
การจัดวางตึก เรียกว่าใส่ลงไปเต็มที่ของขนาดที่ดินเลย ทำให้การจัดวางของตึกทั้ง 3 อยู่ชิดกันมาก แต่กระนั้นโครงการก็ระมัดระวังเรื่องระยะห่างระหว่างอาคารมาพอสมควร ทำการบ้านมาดี หลบหลีกกันเต็มที่ ไม่ให้บังวิวกันเอง หรือเสีย Privacy ของห้องไปมากนัก
ถ้าวัดระยะขอบตึก B ถึงขอบตึก C (รวมส่วนที่เป็น Podium ด้วย) จะมีระยะห่างอยู่ที่ประมาณ 6 เมตร เท่ากับขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดเลย แต่ถ้าวัดจากหน้าต่างห้องตึก B ไปถึงหน้าต่างห้องตึก C ส่วนที่ใกล้สุดจะประมาณ 12 เมตรครับ แต่จะอยู่ตรงกับสระว่ายน้ำตึก C พอดี ถ้าเราอยู่ห้องตึก B ตรงห้องมุมนี้ จะมองเห็นสระว่ายน้ำแทน ไม่ได้เปิดมาเจอห้องคนอื่นตรงๆ แต่จะมองเห็นแบบเฉียงๆ จริงๆก็ไม่ได้ถือเป็นข้อดีเท่าไหร่เพราะคนที่ว่ายน้ำอยู่ที่ตึก C จะเสีย Privacy ไปส่วนหนึ่ง แต่ต้องบอกว่าทางโครงการรับรู้ถึงจุดด้อยตรงนี้ และคิดเผื่อลูกบ้านมาดีพอสมควร
เรามาค่อยๆดู Floor Plan ไปทีละตึกนะครับ เริ่มจาก ชั้น G ของตึก A หลักๆเป็นส่วนของพื้นที่จอดรถใต้อาคารนิดหน่อย และส่วนที่เป็น Lobby อยู่ทางด้านหน้า เข้ามาใน Lobby นี้จะเจอยูนิต Shop อยู่ 1 ยูนิต ซึ่งมีทางเข้าอยู่ใน Lobby มีพื้นที่ 27 ตารางเมตร ซึ่งโครงการยังไม่ได้ระบุว่าจะทำเป็นอะไร
จากส่วน Lobby นี้จะมีทางเดินที่เชื่อมไปยัง Mail Box และ ห้องสำนักงานนิติบุคคลซึ่งอยู่ทางด้านหลัง ทางเข้าโถงลิฟท์จะมีประตูกั้น 1 ชั้น สำหรับลูกบ้านเท่านั้นที่จะแตะบัตรเข้ามายังโถงลิฟท์ได้
ลิฟท์มีทั้งหมด 3 ตัว รองรับลูกบ้านตึก A ทั้งหมด 451 ยูนิต มีอัตราส่วนลิฟท์ประมาณ 150:1 เทียบกับความสูงอาคารอยู่ที่ 44 ชั้น จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่พอใช้ได้สำหรับคอนโดตากอากาศที่ไม่ได้มีคนมาพักตลอดเวลา ถ้าเป็นคอนโดลักษณะเดียวกันนี้แต่อยู่ในกรุงเทพคงต้องบอกว่าน้อยเกินไป และนอกจากนี้มีลิฟท์บริการอีกหนึ่งตัวที่เข้าจากอีกด้านหนึ่ง ใกล้ๆกับสำนักงานนิติบุคคล
ชั้น 2 ของตึก เป็นส่วนของพื้นที่จอดรถทั้งหมด ที่ตึก A นี้จะจอดรถได้ 2 ชั้น คือ 55 คันในช่องจอด ไม่รวมซ้อนคัน (และไม่แน่ใจว่าซ้อนคันได้หรือเปล่าเมื่อดูจากพื้นที่) เทียบกับลูกบ้านตึก A อย่างเดียว คือประมาณ 12% แปลว่า ในช่วง High Season คนของตึก A อาจจะจอดในตึกตัวเองไม่พอ และต้องออกไปจอดที่ตึกอื่นๆ หรือ จอดนอกอาคารนะครับ ซึ่งก็จะไม่สะดวกเท่าไหร่ ถ้าโชคร้ายที่จอดรถในตึกตัวเองดันเต็มเสียก่อน โดยที่อัตราส่วนรวมของทั้งโครงการอยู่ที่ประมาณ 30% ซึ่งน่าจะพอเพียงที่จะรองรับลูกบ้านทั้งโครงการรวมกันได้ ในช่วง Low Season แต่ถ้าเป็นช่วง High Season อันนี้ต้องลุ้นกันอีกทีครับว่าคนที่อยู่ที่นี่จะชอบมาพักผ่อนกันเยอะแค่ไหน
ขึ้นมาที่ชั้น 3 ชั้นนี้จะเริ่มต้นชั้นพักอาศัยชั้นแรกของตึก A และเป็นชั้นที่มีพื้นที่สวนสำหรับเดินเล่น หรือนั่งพักผ่อน พร้อมทั้งเป็นพื้นที่สีเขียวให้กับโครงการ และสร้างทัศนียภาพให้กับชั้นล่างๆด้วย ที่ชั้น 3 นี้จะมีลูกบ้านอยู่ 12 ห้องที่สามารถเปิดประตู้ห้องเดินออกมาที่สวนได้เลยโดยไม่ต้องลงลิฟท์มาใช้
พื้นที่สวนชั้น 3 ใน Model
ชั้นที่เป็นชั้น Standard สำหรับตึกนี้ คือเริ่มเป็นห้องพักอาศัยล้วนๆก็จะเริ่มต้นตั้งแต่ชั้น 4 เป็นต้นไป ไปจนถึงชั้น 43 เลย โดยในแต่ละชั้นก็จะมี Unit Type ที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่ชั้นครับ แต่หลักๆก็จะหน้าตาแบบนี้แหละ โถงทางเดินทำเป็นรูปตัว F ทำให้เกิด “ห้องมุม” ทั้งหมด 5 ห้องด้วยกัน มีจำนวนห้องทั้งหมดประมาณ 12 ยูนิต จัดว่าค่อนข้างดี ไม่หนาแน่น เทียบกับราคาคอนโดประมาณ 80,000 บาทต่อตารางเมตร
สำหรับการเลือกห้อง ถ้าอยากได้วิวทะเลชัดๆ อันดับแรกให้เลือกห้องทางทิศตะวันตกเฉียงใต้นะครับ เพราะจะเห็นวิวดีที่สุดและโดนบังน้อยที่สุด จากรูปนี้ก็คือห้องมุม B3-03 ตำแหน่งซ้ายล่างนั่นแหละ รองมาก็จะเป็นห้องทางทิศตะวันตก ก็จะเห็นวิวได้ดีขึ้น มีโดนบังวิวไปบ้าง แต่ถ้าเป็นห้องทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือต้องเลือกห้องประมาณชั้น 17-18 ขึ้นไป ถึงจะได้วิวดีครับ เพราะทิศนี้ตรงกับตำแหน่งด้านหน้าโครงการ ซึ่งจะมีอาคารสูงของโรงแรม สูงประมาณ 14-15 ชั้นบังอยู่ ส่วนถ้าเกินกว่าชั้น 20 ขึ้นไปก็เลือกได้ตามสบายเลยสำหรับทิศตะวันตก ส่วนทิศเหนือกับทิศใต้ จะมองเห็นวิวทะเลอย่างไกลๆ ต้องเลือกชั้นสูงหน่อย ทิศเหนือจะมีห้องบางส่วนที่โดนตึก B และตึกของโรงแรมบังวิวไป ดังนั้น ทิศใต้จะมองเห็นวิวได้ดีกว่า ถ้าเทียบกันแล้ว ทิศใต้ประมาณชั้น 10 กลางๆก็จะเริ่มเห็นทะเลแล้ว ส่วนทิศเหนือต้องประมาณชั้น 20 ขึ้นไป ส่วนทิศตะวันออกนั้น เป็น City View ล้วนๆ แถมชั้น 3-8 จะโดนตึก C บังวิวด้วย ดังนั้นให้เลือกประมาณชั้น 9 ขึ้นไปนะครับ ถ้าเป็นคนชอบวิวแบบ City View
มาถึงชั้น 42 จะเป็นชั้นที่มีพื้นที่สีเขียวอีกหน่อยนึง เป็นสวนหย่อม Pocket Garden ให้สำหรับลูกบ้านออกมาเดินเล่นรับลมชมวิวได้ แต่โดยมากแล้วในทางปฏิบัติคนที่อยู่ชั้นอื่นๆก็คงจะไม่ค่อยขึ้นมาใช้สวนที่ชั้นนี้เท่าไรนัก ก็คงจะมีแต่ลูกบ้านในชั้นนี้เท่านั้นแหละที่จะได้ออกมาใช้
ในความเห็นแบบ ส่วนตั๊ว ส่วนตัว (ย้ำว่าส่วนตัว) ผมคิดว่าพื้นที่สวนแบบนี้ไม่ค่อยเหมาะกับคอนโดแบบบ้านพักตากอากาศเท่าไรนัก ด้วยเหตุผลในเรื่องการดูแลรักษา (แต่เข้าใจว่าต้องใส่มาเพื่อให้มีพื้นที่สีเขียวเพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด) เนื่องจากบ้านพักตากอากาศส่วนใหญ่ มีคนมาเข้าพักไม่มากในวันปกติ แต่ละชั้นบางทีมีพักอยู่แค่ 1-2 ห้อง หรือบางทีร้างทั้งชั้นก็มี ถ้าไม่ใช่ช่วงที่คนออกมาเที่ยวกันเยอะๆน่ะนะ … ทำให้พื้นที่ตรงนี้นานไปก็จะไม่ค่อยได้ใช้ และต้องกลายไปเป็นภาระให้กับนิติบุคคลที่จะต้องดูแลเปล่าๆ เสียเงินเสียเวลา จนสุดท้ายถ้านิติบุคคลบริหารแบบไม่ใส่ใจ (บวกกับลูกบ้านก็ไม่ได้เป็นหูเป็นตาให้ เพราะไม่ค่อยจะได้มาพักเท่าไรนัก) ก็อาจจะละเลยจนต้นไม้ไม่เขียวบ้าง เหี่ยวเฉาแห้งตายไปบ้าง หรือไม่รักษาความสะอาดบ้าง ฯลฯ และนานๆไปก็จะกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่น่าใช้ในที่สุด ดังนั้นถ้าอยากจะสงวนพื้นที่ตรงนี้เอาไว้ให้ใช้ได้ยาวๆ ก็ต้องขึ้นอยู่กับนิติบุคคลและลูกบ้านด้วยครับที่จะทำให้มันดี ไม่งั้นสู้ไม่มีสวนไปเลยยังจะดีกว่าไม่ต้องเปลืองค่าดูแลรักษาด้วย
ในโมเดลเราจะเห็นว่า สวนชั้น 42 มันจะหน้าตาประมาณนี้
ส่วน Facilities หลักๆของตึก A จะถูกนำขึ้นมาไว้ที่ชั้น 44 นี้ครับ ตรงนี้ก็จะมีสระว่ายน้ำแบบ Infinite-Edge Pool แบบไม่มีขอบ หรือท่ีเราชอบเรียกว่า “สระน้ำล้น” นั่นแหละครับ ที่จะสามารถว่ายน้ำไปด้วยแล้วก็ชมวิวทะเล หรือพระอาทิตย์ตกดินไปพร้อมๆกันได้ แล้วก็จะมี Deck นั่งชมวิว แบบ Semi-Outdoor อยู่ทางด้านทิศใต้ พร้อมกับ Sunken Seat สำหรับออกมานั่งชมวิวได้ ซึ่ง Facilities ตรงนี้จะได้ใช้ประโยชน์มากโดยเฉพาะในกรณีที่มีการจัดงานเฉลิมฉลองต่างๆ เช่น ช่วงปีใหม่ ที่เขาจะมีการจุดพลุ เล่นคอนเสิร์ต ต่างๆ เราก็ขึ้นมาชมวิวบนนี้ได้เลย
ภาพบรรยากาศจำลองของสระ Sky Infinity Edge Pool บนชั้น 44 ตึก A
ดูจากในโมเดลเราก็จะเห็นพื้นที่สระด้านบนเป็นลักษณะนี้
ที่ชั้น 44 นี้ยังมีชั้นลอยอีกครึ่งชั้นครับ ที่จะถูกทำเป็น Sky Lounge ครึ่งหนึ่ง ซึ่งอารมณ์ของตรงนี้จะแตกต่างจากชั้นล่าง เพราะเป็นพื้นที่ Indoor มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่ง จิบเครื่องดื่ม นั่งคุยกับเพื่อนๆ ไม่ร้อน ใช้รับแขก หรือพาเพื่อนมาที่บ้านได้ดี ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของชั้นลอยนี้จะเป็นห้องฟิตเนส สำหรับออกกำลังกายและรับวิวทะเลไปด้วย
บรรยากาศของ Sky Longe ตึก A
ถ้าดูจากในโมเดล เราจะเห็นห้องที่อยู่เหนือสระว่ายน้ำ นั่นแหละ Sky Lounge
กลับมาที่ชั้น G ของตึก B กันต่อ ชั้น G ของตึก B ก็จะคล้ายๆกับของตึก A ครับ หลักๆจะเป็น Lobby และ โถงลิฟท์ นอกนั้นก็จะเป็นพวกส่วน Service อื่นๆ ไม่มีออฟฟิศนิติ เพราะใช้ที่เดียวกันกับตึก A และมียูนิตร้านค้า ขนาด 30 ตารางเมตร 1 ยูนิต
สำหรับตึก B นี้ก็จะมีลิฟท์โดยสาร 3 ตัว และ Service Elevator 1 ตัวเช่นเดียวกับตึก A จำนวนยูนิตของตึกนี้อยู่ที่ 463 ยูนิต เยอะกว่าตึก A 12 ยูนิต อัตราส่วนลิฟท์ก็ประมาณ 154:1 พอๆกับตึก A แต่มีจำนวนชั้นน้อยกว่าอยู่ที่ 32 ชั้น ก็จัดว่าพอใช้ได้
ขึ้นมาที่ชั้น 3 จะเป็นชั้นสวนหย่อมของตึก หลักๆจะเป็นพื้นที่สวนให้ออกมาเดินเล่น เปลี่ยนบรรยากาศ แล้วก็จะมีที่นั่งวางอยู่ตามจุดต่างๆ ให้มานั่งพักผ่อนได้ ส่วนสระน้ำที่ให้เห็นในภาพ ลงว่ายไม่ได้นะครับ เป็นแค่การตกแต่ง Landscape เท่านั้น
ชั้น 3 เดียวกันนี้จะเป็นชั้นเริ่มต้นของห้องพักอาศัย ชั้นนี้มีห้องอยู่ 16 ยูนิต ซึ่งก็จะเป็นยูนิตที่เดินออกมาใช้ Facilities ได้ทันทีเหมือนกับชั้น 3 ตึก A
สวนหย่อมชั้น 3 ใน Model ของตึก B
ชั้นที่พักอาศัย Standard ของตึกนี้เริ่มต้นที่ชั้น 4 ครับ มีห้องพักทั้งหมด 17 ห้อง เป็นชั้นที่หนาแน่นที่สุดในตึก ความหนาแน่นระดับนี้ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้อยู่ครับ ยังไม่หนาแน่นเท่าไร เทียบกับคอนโดในคลาสเดียวกัน นี่เป็นข้อดีของการแบ่งคอนโดเป็นหลายๆตึก เนื่องจาก Facilities ของแต่ละตึกจะมีการแชร์กันใช้อย่างทั่วถึง และจำนวนห้องในแต่ละชั้นจะได้ไม่เยอะเกินไป
การเลือกห้องของตึก B นี้ จะต่างจากตึก A อยู่บ้างครับ ห้องที่วิวดีที่สุดที่เห็นทะเล จะเป็นห้องมุมทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ รองลงมาเป็นห้องทิศตะวันตก ที่อยู่ฝั่งเหนือๆหน่อย เทียบกับทิศตะวันตกเฉียงใต้จะมีตึกของโรงแรมมาบังอยู่ ห้องทิศเหนือจะวิวค่อนข้างดีและมองเห็นบางส่วนของทะเลได้ในชั้นที่สูงหน่อย (ประมาณ 10 กว่า) เพราะไม่มีอะไรบังเลย ในขณะที่ห้องทิศใต้ ถูกตึก A บังวิวไปครึ่งนึง ต้องเลือกมุมตะวันออกเฉียงใต้จึงจะไม่ถูกบังวิว แต่จะมองเห็นเป็น City View มากกว่า Sea View นะครับ ส่วนห้องทิศตะวันออกก็จะลักษณะเหมือนตึก A เลย คือเห็นเป็น City View ล้วนๆ ไม่เห็นทะเล และมีตึก C มาบังวิวในชั้นล่างๆไปหน่อย
ชั้นพักอาศัยของตึก B จะหน้าตาเหมือนๆกัน ไล่ขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงชั้น 28 ที่จะพิเศษหน่อยตรงที่จะมี Pocket Garden พร้อม Deck ไม้ ให้ได้นั่งเล่น กินลมชมวิวกันไป
ส่วนชั้น 32 ของตึก B จะเป็นชั้น Facilities ล้วนๆครับ ฟังก์ชั่นคล้ายกับตึก A อีกเหมือนกัน (เพื่อไม่ให้น้อยหน้าซึ่งกันและกัน) โดยจะได้เป็นสระว่ายน้ำระบบเกลือ แบบ Infinite-Edge Pool มองเห็นวิวทะเลเหมือนกัน ซึ่งตึก B นี้จะนำเอาด้านกว้างหันออกทะเล ทำให้สระว่ายน้ำที่ทอดตัวยาวตามแนวเดียวกับตึก สามารถมองเห็นวิวทะเลได้กว้างเลย (แต่จะอยู่เตี้ยกว่าตึก A ประมาณ 10 ชั้นได้) และนอกจากนี้ก็จะมี Sunken Seat และที่นั่งสำหรับพักผ่อน และรับวิวได้เหมือนกัน
ภาพจำลอง สระว่ายน้ำชั้น 32 ตึก B ที่รับวิวได้ทั้งสองด้าน ทั้งด้านวิวทะเล และวิวเมือง สังเกตว่าตัว Sunken Seat จะลงไปอยู่ในน้ำ ให้ความรู้สึกเหมือนเราอยู่ในน้ำ แต่ไม่ต้องเปียกน้ำจริงๆ ซึ่งฟังก์ชั่นแบบนี้ตอนนี้ก็เริ่มมีให้เห็นในคอนโดตากอากาศยุคใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ให้ดูอีกรูป คนละมุม
ส่วนชั้น 32 ครึ่ง ก็จะเป็นชั้นลอย สำหรับ Fitness และ Sky Lounge อีกเช่นเดียวกับตึก A ครับ
ภาพจำลองตัว Sky Lounge ชั้น 32 ของอาคาร B ที่ผนังโดยรอบเป็นกระจกรอบด้าน
ในโมเดลหน้าตาแบบนี้ พื้นที่ครึ่งนึงเป็น Sky Lounge อีกครึ่งนึงเป็น Fitness หันหน้าออกคนละฝั่ง โดยที่ฝั่ง Fitness จะมองเห็น City View เป็นหลัก
ปิดท้ายด้วยโมเดลตึก C
ที่ตึก C นี้ชั้น 1-3 จะทำเป็นที่จอดรถทั้งหมด ไม่เหมือนตึก A-B ที่จอดรถได้แค่ 2 ชั้น และให้ห้องพักอาศัยเริ่มที่ชั้น 3 แต่ของตึก C จะเริ่มที่ชั้น 4 ครับ ที่จอดรถของตึกนี้มี 163 คันในช่องจอด ซึ่งเยอะกว่าจำนวนห้องของตึกนี้ที่มีอยู่แค่ 85 ยูนิตเสียอีก อัตราส่วนมากถึง 192% แปลว่าเขาทำเผื่อไว้แล้วสำหรับให้คนจากตึก A-B มาจอดด้วยแน่ๆ เพราะดูทรงแล้วอีกสองตึกน่าจะจอดกันไม่พอ
พื้นที่ด้านหลังของตึก C ไม่ได้ตัดถนนรอบตึกเอาไว้ แต่ทำเป็นพื้นที่สวนยาวตลอดแนวที่ดิน ขนานไปกับตึก C อยู่ทางด้านหลัง ซึ่งคนจากตึก A-B จะเดินมาใช้ก็ได้ แต่ในทางปฏิบัติก็ไม่น่าจะเดินมาเท่าไร ให้ตึก C ยึดเป็นเจ้าของไปอย่างเงียบๆ
ตึก C นี้จะแบ่งห้องพักอาศัยออกเป็น 2 Wings (เหนือ-ใต้) เชื่อมกันด้วย Facilities ตรงกลาง ที่ชั้น 4 ของตึก ซึ่งจะประกอบด้วยสระว่ายน้ำ, ห้องฟิตเนส และที่นั่งพักผ่อน มีเหมือนตึก A-B เลย แต่เป็นขนาดย่อส่วนลงมา นอกจากนี้ตึก C ยังเอา Lobby ส่วนกลางขึ้นมาไว้ที่ชั้น 4 นี้ด้วย และใส่ Pocket Garden ไว้ในชั้นเดียวกันอย่างเสร็จสรรพ ไม่ต้องไปชั้นอื่นอีก รวมกันอยู่ชั้นเดียวเลย ซึ่งก็น่าจะทำให้ Flow การใช้งาน สะดวกกว่าตึก A หรือ B ที่ต้องอยู่แยกๆชั้นกัน แต่อย่างไรก็ดี ตึก C ก็เป็นตึกเตี้ยแค่ 7 ชั้น ทำให้ขนาดของ Facilities อาจจะไม่ได้อลังการงานสร้างเท่ากับตึกสูงอีกสองตึกแน่ๆอยู่แล้ว
และที่ชั้น 4 นี้ก็ยังมีห้องพักอาศัยอยู่อีก 19 ห้อง ที่สามารถเดินมาใช้ Facilities ได้ทันที ไม่ต้องกดลิฟท์ใดๆ
ภาพจำลองสระว่ายน้ำชั้น 4
Model จำลองสระชั้น 4
ภาพจำลองสวนหย่อมชั้น 4 ของตึก C
ถ้าดูในโมเดลจะเห็นเป็นลักษณะนี้ ซึ่งจะอยู่แยกกันกับสระว่ายน้ำ ได้ความ Privacy ส่วนตัวกว่า
ห้องพักอาศัยของตึก C นี้จะมีทั้งหมด 85 ยูนิตเท่านั้น เรียกว่าน้อยกว่าเพื่อนเลย แถมหายากด้วยที่จะเราจะมีตึก 7 ชั้นที่มีห้องพักอาศัยแค่ 85 ห้อง (เพราะ 3 ชั้นแรกถูกทำเป็นที่จอดรถไปแล้ว) ชั้น 5 นี้มีห้องพักอาศัยอยู่ 22 ห้องด้วยกัน ฟังดูเหมือนจะเยอะ แต่เดี๋ยวก่อน เพราะตึก C นี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 Wings คือ เหนือ กับ ใต้ แยกกัน ให้ความรู้สึกเหมือนกับชั้นหนึ่งมีห้องแค่ 10-12 ห้องเท่านั้นเอง แถมยังใช้ลิฟท์คนละชุดกัน มีลิฟท์ให้ฝั่งละ 2 ตัว รวมเป็น 4 ตัว อัตราส่วนลิฟท์ 21:1 ถือว่าเป็นอัตราส่วนที่ดีมากเลย ไม่ต้องไปแย่งใครใช้ แถมห้องก็มีไม่เยอะ
ต่อไปเราจะพาขึ้นไปดูวิวของจริงกันครับ เดินเข้าไปดูไซต์ก่อสร้างกันเลย ที่นี่ใช้ผู้รับเหมาจาก Syntec นะครับ
จะเข้าไซต์ก่อสร้างก็ต้องสวมหมวกนิรภัยด้วยนะคร้าบ และอย่าเดินออกนอกลู่นอกทางตามที่เขากำหนดล่ะ
ขึ้นลิฟท์มาถึงชั้น 27 ที่ยังไม่มีผนังใดๆ…มีแต่โครงสร้างเสา-คาน
พี่ช่างคนนี้แกจัดการเตรียม “ที่ยืน” ให้ผมเรียบร้อยแล้วครับ วางอยู่บนนั่งร้านที่ถ้าเกิดตกลงไปนี่ก็ 20 ชั้นเลย …
มองเห็นวิวทะเลทางด้านทิศตะวันตกแล้ว
วิวแบบ Panorama ทางด้านทิศตะวันตกครับ ถ่าย ณ ชั้น 27 ของตึก A ได้วิวออกมาประมาณนี้ครับ ลองคลิกดูรูปใหญ่นะครับ
เรามาไล่กันไปทีละด้านเลยดีกว่า เริ่มจากด้านนี้เป็นวิวทิศใต้ก่อน ระลึกไว้นิดนึงว่าเป็นชั้น 27 ของตึก A นะครับ
อันนี้ทิศตะวันตกเฉียงใต้ มองเห็นทะเล และเซ็นทรัลอยู่ไกลๆ
ขยับมาทางทิศตะวันตกอีกหน่อย
ทิศตะวันตกตรงๆ
มองลงไปด้านล่างเห็นตึกของโรงแรม Grand Sole ที่เกิดมาเพื่อบังวิว (ชั้นล่างๆ)
ส่วนด้านนี้เป็นทิศเหนือ มองเห็นทะเลทางซ้าย ไกลๆ
ขยับมาทางตะวันออกนิดๆ ยังเฉียงเหนืออยู่
และสุดท้ายคือวิวทิศตะวันออก ไม่เห็นทะเลแล้ว แต่ก็ค่อนข้างโล่งนะครับ
สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก
- สระว่ายน้ำระบบเกลือ แบบ Infinite Edge Pool ที่ชั้น 44 ตึก A, ชั้น 32 ตึก B และ ชั้น 4 ตึก C
- Fitness+Sky Lounge ที่ชั้น 44 ตึก A, ชั้น 32 ตึก B และชั้น 4 ตึก C
- สวนหย่อม และพื้นที่นั่งเล่นที่ชั้น 3 ตึก A, ชั้น 3 ตึก B และชั้น 4 ตึก C
- Sunken Seat, Deck อาบแดด, พื้นที่นั่งพักผ่อนและรับวิวรอบสระว่ายน้ำ
- Pocket Garden ที่ชั้น 42 ตึก A และชั้น 28 ตึก B
- สวนหย่อมรอบโครงการ และด้านหลังตึก C
- ลิฟท์โดยสาร
- 3 ตัวที่ตึก A อัตราส่วน 150:1
- 3 ตัวที่ตึก B อัตราส่วน 154:1
- 4 ตัวที่ตึก C อัตราส่วน 21:1
- 55 คันที่ตึก A อัตราส่วนในตึกตัวเอง = 12%
- 80 คันที่ตึก B อัตราส่วนในตึกตัวเอง = 17%
- 163 คันที่ตึก C อัตราส่วนในตึกตัวเอง = 192%
ห้อง Type แรกที่จะรีวิวให้ดูกันคือ แบบ 1 ห้องนอน Type A3 ขนาด 34.70 ตารางเมตรครับ ดูจาก Unit Plan จะเห็นว่าห้องนี้แบ่ง Layout โดยให้น้ำหนักกับห้องนอน และ ห้อง Living Area เป็นหลักอย่างละเท่าๆกัน ดูได้จากการที่นำเอาห้องนอนกับห้องนั่งเล่นไปอยู่ติดหน้าต่างและระเบียงที่เชื่อมต่อกับผนังภายนอก และนำครัวกับส่วนรับประทานอาหารมาไว้หน้าห้อง โดยทำเป็นครัวแบบเปิดไม่ได้กั้นพื้นที่ครัวแต่อย่างใด ส่วนห้องน้ำก็นำไปไว้ในห้องนอนตามปกติ
ห้องนี้ขายแบบ Fully-Furnised แต่งมาให้เกือบจะเหมือนกับห้องตัวอย่างเลย เครื่องใช้ไฟฟ้าก็แถมให้บางส่วน เช่น แอร์ (ยี่ห้อ Daikin หรือเทียบเท่า) 2 ตัว, ตู้เย็น, ไมโครเวฟ, เครื่องซักผ้า
เริ่มจากประตูเข้าห้องก่อน หน้าตาประมาณนี้
มือจับประตูใช้เป็นแบบก้านโยก และใช้กุญแจไขธรรมดา
ด้านหลังของประตูเมื่อมองจากในห้องครับ สีประตูออกงาช้างเข้มๆหน่อย ไม่ขาว
First Impression ขณะที่ก้าวเข้ามาในห้อง ซึ่งจะเจอกับส่วนครัวก่อนเพื่อน และมีพื้นที่ Living Area อยู่ทางด้านใน
พื้นห้องเป็นพื้นลามิเนตสีพิเศษของ SC Asset เค้าครับ
มองกลับมาที่พื้นที่หน้าห้อง
แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งของหน้าประตูทางเข้ามาวางเครื่องซักผ้าตรงนี้ และก่อกำแพงทึบกั้นส่วนเครื่องซักผ้าเอาไว้
พื้นที่อยู่ใต้เครื่องซักผ้าถูกปูด้วยกระเบื้อง เพื่อป้องกันความชื้น และเพื่อความง่ายต่อการทำความสะอาด
พื้นที่ตรงนี้เผื่อระยะเปิดประตูไว้แล้ว
ถ้าเปิดประตูห้องมาจนสุดก็จะมี Door Stopper มารับแรงไว้ให้
พื้นที่ข้างๆตู้เก็บรองเท้ายังมีเหลืออยู่อีกหน่อย ถ้าใครคิดจะซื้อห้องไปแต่งเอง แนะนำว่าอย่าทำตู้เล็กๆเหมือนในรูป แต่ทำอันใหญ่ๆเต็มผนังไปเลย จะได้เก็บของได้เยอะหน่อย แต่ถ้าใครชอบแบบที่เขาให้มาก็ไม่มีปัญหา
มาพูดพื้นที่ครัวกันบ้าง ครัวจะเป็นลักษณะครัวเปิดครับ ไม่มีผนังกั้น คงจะไม่เน้นให้ทำอาหารหนักๆเท่าไหร่ พื้นของส่วนครัวก็เป็นพื้นลามิเนตเหมือนกับตัวห้อง ไม่ได้แยกเป็นพื้นกระเบื้องแต่อย่างใด
ตู้เย็นถูกวางชิดผนัง ใกล้กับทางเข้า สังเกตมือจับประตูตู้เย็นว่ามันจะอยู่ฝั่งซ้ายนะครับ ทำให้การเปิดตู้เย็นมันจะลำบากนิดนึง เพราะเอาตู้เย็นชิดผนังด้านซ้าย ตู้เย็นอันนี้เขาแถมมาให้ด้วยนะครับ ยี่ห้อ Electrolux
พื้นที่เคาน์เตอร์ครัวให้มาเล็กนิดนึง แทบไม่เหลือพื้นที่วางของเลย
พื้นที่เก็บของมีประมาณนี้ พอใส่อะไรได้นิดหน่อย ไม่เยอะมาก แต่อย่าลืมว่านี่คือคอนโดตากอากาศ เลยไม่เน้นพื้นที่ตรงนี้มากนัก ใส่ไว้แค่ให้มีเฉยๆ
ที่ดูดควันของ Teka ติดตั้งไว้ให้เรียบร้อย
ระบบดูดควันเป็นระบบแบบดูดไปปล่อยที่ระเบียง ด้านนอกอาคารนะครับ ไม่ใช่ระบบหมุนเวียนภายในห้อง
เตาไฟฟ้าเซรามิก 2 หลุม ของ Teka (บางทีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมลักษณะนามของเตาไฟฟ้าต้องเรียกเป็น “หลุม” 555+ แต่จะหาคำอื่นก็นึกไม่ออก “2 จุด?” “2 หัว?” “2 กลมๆ?”)
อ้างล้างจานแบบฝัง (integrated-sink) ของ Teka เช่นเดียวกัน วัสดุท้อปเป็นหินสังเคราะห์ พื้นที่ข้างๆอ่างมีน้อย และไม่ได้เผื่อที่สำหรับผึ่งจาน, แก้ว ที่ล้างเสร็จแล้วไว้ให้ ดังนั้น อาจจะใช้งานไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่
หัวก็อกน้ำของ Teka อีกเหมือนกัน
ช่องด้านล่างสำหรับเก็บไมโครเวฟ ซึ่งแถมมาให้ ของ Electrolux
ถัดจากพื้นที่ครัว เป็นส่วนโต๊ะกินข้าว และถัดไปอีกเป็นโซฟาดูทีวี
โต๊ะกินข้าวสำหรับ 2 ที่นั่ง เผื่อพื้นที่สำหรับถอยเก้าอี้ไว้แล้ว ตำแหน่งวางเหมาะสมดี
ผนังด้านหลังโต๊ะกินข้าวในห้องตัวอย่างติดกระจกไว้ ของจริงเป็นผนังเรียบธรรมดา ทาสีขาว ไม่ติด Wallpaper
ต่อมาเป็นพื้นที่นั่งดูทีวี ระยะดูทีวีประมาณ 2 เมตรนิดๆ ไม่ได้กว้างมาก จัดทีวีขนาด 42-46 นิ้วกำลังพอดี สำหรับนั่งดูที่โซฟา
ฝ้าเพดานในห้องตัวอย่างตกแต่งโดยการดรอปฝ้าเอาไว้ และซ่อนไฟด้านใน แต่ของจริงจะเป็นฝ้าเรียบทาสีขาวธรรมดา โคมไฟก็ต้องซื้อมาติดเองนะ
ชั้นวางทีวีชุดนี้ แถมให้ หน้าตาแบบนี้เด๊ะๆ ส่วนทีวีไม่ได้แถมให้นะครับ
มีพื้นที่เก็บของใต้ทีวีอยู่หน่อยนึง หน้าบานเป็นสี Turquoise แบบนี้
ด้านบนทีวีมีชั้นวางของเล็กๆ จะวางกรอบรูปตามนี้ก็ได้ หรือวางของโชว์อื่นๆ
โซฟาที่แถมให้ก็สีฟ้าน้ำทะเลแบบนี้เลย เป็นแบบ 2 ที่นั่ง ถ้านั่งแค่ 2 คนก็สบายๆ แต่จะสังเกตว่ามีพนักพิงแค่ด้านเดียว เผื่อว่าจะใช้นั่งหันหน้าออกไปทางระเบียงเพื่อชมวิวทะเลได้ด้วย
พื้นที่ระหว่างโซฟากับโต๊ะกินข้าว ยังเหลืออยู่อีกนิดหน่อย เผื่อจะขยับขยายเฟอร์นิเจอร์ได้
พื้นที่ข้างโซฟาฝั่งที่ไม่มีพนักพิงก็ยังเหลืออีกหน่อย สังเกตว่าที่ผนังด้านหลังมีปลั๊กไฟด้วย จะเอาโต๊ะข้างมาวางแล้วต่อโคมไฟาตรงนี้อีกก็ได้ (แต่ส่วนใหญ่คงจะใช้ต่อ iPad แล้วนั่งเล่นบนโซฟาละมั้ง)
ส่วนของ Living Area นี้จะอยู่ติดกับประตูกระจกบานเลื่อน ที่เปิดออกไปยังระเบียงได้ ตรงนี้จะรับแสงธรรมชาติเข้ามาในห้อง และเป็นบานกระจกสูงตั้งแต่พื้นจนเกือบถึงฝ้า (ลดระดับจากฝ้ามาประมาณ 30-40 ซม.) เพื่อให้สามารถชมวิวทะเลได้เต็มที่
ประตูสไลด์ใช้กรอบวงกบอลูมิเนียมสีธรรมชาติ
พื้นที่ระเบียงกว้างประมาณ 90 ซม. ยาวประมาณ 2.30 เมตรได้
ราวกันตกเป็นเหล็กซี่ๆแบบนี้ เพื่อให้ยังมองเห็นวิวด้านนอกได้อยู่
ผนังด้านบนของระเบียงแขวนคอมฯแอร์ไว้ 2 ตัว หันออกนอกห้องและเป่าออกไป ทำให้ระเบียงไม่ร้อน และไม่เปลืองพื้นที่ระเบียง มี Grille บังสายตาเพื่อความสวยงามเมื่อมองจากภายนอก
ผนังระเบียงมีตำแหน่งเสาวางอยู่ เลยจะมีจุดที่ยื่นออกมาตามรูปเสา มี Floor Drain อยู่ที่ปลายสุด
มาถึงส่วนห้องนอนที่อยู่ติดกับส่วน Living Area กั้นด้วยประตูกระจกบานไสลด์ 3 ชิ้น เพื่อให้ห้องดูโปร่ง ดูสบายๆ แต่ว่าบางคนอาจจะไม่ชอบเนื่องจากอาจจะมองว่าไม่มี Privacy (กรณีมากันมากกว่า 2 คน หรือพาแขกมาบ้าน) มีทางแก้คือติดม่านช่วย ก็จะทำให้มี Privacy มากขึ้น (ปล.ตัววงกบของห้องตัวอย่างจะแตกต่างจากของจริงนิดนึงครับ ตรงที่ของจริงจะไม่ได้ติดวงกบด้านนอกมาให้ มันก็จะดูโล้นๆหน่อย ใช้งานได้ปกติ แต่ว่าถ้าอยากให้สวยงามขึ้นก็ไปซื้อมาติดเพิ่มเองนะครับ)
เมื่อเปิดออกจนสุดจะทำให้ห้องสองส่วนมีพื้นที่เชื่อมต่อกัน ทำให้ห้องดูโล่งขึ้น เพิ่ม Space ให้กับส่วน Living และ ส่วนห้องนอนไปพร้อมๆกัน แต่น่าเสียดายอย่างหนึ่งที่ ประตูไม่ได้สูงถึงฝ้าเพดาน เพราะจะทำให้ห้องดูมีปริมาตรมากขึ้นไปอีก ไหนๆก็ให้ระยะพื้นถึงฝ้ามาสูง 2.60 เมตรแล้ว
มองเข้าไปที่ห้องนอนที่อยู่ด้านใน
จากในห้องนอน เมื่อมองออกมาก็จะเห็นส่วนโซฟาดูทีวี ซึ่งถ้าเราติดทีวีให้มีขนาดใหญ่ขึ้นอีกหน่อย ประมาณซัก 50-60 นิ้ว เราก็จะสามารถนั่งดูทีวีบนเตียงได้สบายๆ โดยไม่ต้องเพ่งมาก ถ้าติด 42-46 นิ้วอาจจะเล็กเกินไปสำหรับการนั่งดูที่เตียง แต่ถ้าติดขนาดใหญ่กว่านั้นมาก ดูที่โซฟาก็อาจจะใหญ่เกินไปเนื่องจากระยะดูทีวีค่อนข้างแคบ อันนี้อาจจะต้องแลกกันว่าชอบแบบไหน
พื้นที่ห้องนอนให้มาประมาณครึ่งนึงของห้อง พอๆกันกับพื้นที่ Living
ในห้องตัวอย่างเขาแต่งแบบดรอปฝ้าเอาไว้ ของจริงเป็นเพดานเรียบๆธรรมดานะครับ
เตียงในห้องนี้ที่แถมมาให้กับแพ็คเกจ คือเตียง 5 ฟุต หน้าตาแบบนี้เลย แต่ถ้าคิดว่าไม่สะใจ นอนไม่สบาย ยังพอมีระยะข้างเตียงเหลือ จะใส่เป็นเตียง 6 ฟุตก็สามารถทำได้
ส่วนเตียง 5 ฟุตนี้จะยังมีพื้นที่ข้างเตียงเหลืออีกหน่อย จะวางของแบบนี้ก็ได้ หรือจะใส่โต๊ะข้างเตียงเพิ่มก็ได้ แต่เขาไม่ได้แถมให้นะจ๊ะ
พื้นที่ข้างเตียงอีกฝั่งนึงก็ยังเหลืออีกหน่อย
พื้นที่ริมหน้าต่าง โครงการ Built-in ให้ เป็นโซฟาสำหรับนั่ง+นอนเล่นหรืออ่านหนังสือ รับแสงธรรมชาติ
ใต้โซฟามีลิ้นชักสำหรับเก็บของได้เพิ่มอีก อาจจะเก็บพวกเครื่องนอนต่างๆที่นานๆจะใช้ทีก็ได้
ผนังกระจกที่อยู่ในห้องนอน มีความยาวตลอดผนังห้อง ยกสูงจากพื้นประมาณ 60 ซม. และมีบานหน้าต่างที่เปิดออกรับลมได้
บานกระทุ้งจะเปิดออกได้แคบๆ เพราะเป็นตึกสูง ลมจะแรง ถ้าเปิดออกกว้างอาจจะสั่นได้
มองย้อนกลับไปทางห้องนั่งเล่น
ด้านนี้เป็นทางเข้าห้องน้ำ และ ตู้เสื้อผ้า
ตู้เสื้อผ้าให้มาด้วย ขนาดตามที่เห็น ไม่ใหญ่มาก เพราะไม่ได้เน้นให้อยู่ยาวๆหลายๆวัน ใช้แค่นี้ 2 คน ก็น่าจะเพียงพอ
ทางเข้าห้องน้ำ กั้นด้วยธรณีก่อ ปิดผิวด้วยวัสดุหิน ด้านในห้องน้ำพื้นปูกระเบื้องขนาด 45×45 ซม. ผิวด้าน สีดำ
ห้องน้ำขนาดประมาณนี้
อ่างล้างหน้าสำเร็จรูปแบบกระจก ของ Cotto มีพื้นที่วางของด้านข้างนิดหน่อย และมีราวแขวนผ้าอยู่ด้านล่าง สำหรับแขวนผ้าเช็ดมือ
ที่ผนังติดกระจกเงามาให้แล้ว บานขนาดนี้เลย
ที่ผนังห้องน้ำ ปูกระเบื้องสลับสีให้แบบนี้
ผนังห้องน้ำใช้กระเบื้องขนาด 30×60 แบบมีลายแนวนอน
ตำแหน่งวางโถสุขภัณฑ์ และ กล่อง Shower Box พื้นที่แอบน้อยไปนิด
เนื่องจากพื้นที่จำกัด เลยต้องใส่ชุด Shower Box แบบสำเร็จรูปแบบนี้มาให้ เป็นกรอบพลาสติก แต่หน้าบานเป็นกระจกใส
เปิดบานเลื่อนโดยสไลด์ออกที่มุมแบบนี้ เพื่อให้เดินเข้าง่ายๆ
พื้นที่อาบน้ำประมาณ 80×80 ซม.เห็นจะได้ กั้นด้วยธรณีก่ออีกที
ชุดฝักบัวอาบน้ำแบบ Hand Shower ห้องนี้จะไม่ได้ติดเครื่องทำน้ำอุ่นเอาไว้ให้ ต้องไปซื้อมาติดเพิ่มนะครับ
หัวก็อกยี่ห้อ Cotto ทั้งชุด
หัวฝักบัวแบบนี้ และมีที่แขวนฝักบัวแบบปรับความสูงได้
เนื่องจากห้องน้ำห้องนี้ไม่ได้อยู่ติดกับผนังภายนอก ไม่มีช่องระบายอากาศ ดังนั้นในห้องน้ำก็จะติดพัดลมดูดอากาศมาให้
ต่อมาเป็นห้อง 2-Bedroom ขนาด 67.20 ตารางเมตร Type C2 ถ้าดูจาก Unit Plan จะเห็นว่าห้องนี้เป็นห้องหน้ากว้าง และเป็นห้องมุมด้วย ทำให้ห้องทุกห้องในห้องนี้ (ยกเว้นห้องครัว) มีส่วนที่ติดกับผนังภายนอกทั้งหมด ตั้งแต่ห้องนั่งเล่น, ห้องนอนเล็ก, ห้อง Master Bedroom รวมถึงห้องน้ำทั้งสองห้องด้วย มีข้อดีหลักๆคือจะช่วยเพิ่มปริมาณแสงธรรมชาติที่ส่องเข้ามาในห้องได้
Layout ของห้องนี้นำครัวมาไว้หน้าห้องเหมือนเดิม แต่มีผนังกั้นเป็นสัดส่วน ทำให้ได้เป็นลักษณะครัวปิด แต่ไม่มีหน้าต่าง ต้องระบายกลิ่นออกทางที่ดูดควันเท่านั้น, ห้องนั่งเล่นและส่วนรับประทานอาหารอยู่ด้วยกัน และติดกับระเบียง โดยที่ระเบียงของห้องนี้จะไม่มีคอมฯแอร์ เพราะมีห้องสำหรับเก็บคอมฯแอร์แยกออกไป ทำให้ระเบียงเป็นระเบียงที่ใช้งานได้เต็มพื้นที่, ห้องนี้มี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ โดย Master Bedroom จะมีห้องน้ำในตัว ส่วนห้องนอนเล็กใช้ห้องน้ำด้านนอก ร่วมกับส่วนรับแขก
เฟอร์นิเจอร์มาตรฐานที่แถมให้ของห้อง 2-Bed ให้มาเรียกว่าครบแบบถือกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย เพราะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ด้วยบางส่วน แต่ในห้องตัวอย่างห้องนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเฟอร์นิเจอร์ไปมากพอสมควร หน้าตาเฟอร์นิเจอร์ วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ จะไม่เหมือนกับห้องจริงหลายชิ้น (เฟอร์นิเจอร์ที่แถมจะหน้าตาคล้ายๆแบบที่แถมให้กับห้อง 1-Bed ครับ) ยังไงต้องลองเช็คดูกับทางโครงการนะครับว่าอะไรได้อะไรไม่ได้
เมื่อเราเปิดประตูเดินเข้าห้องมาแล้ว เราจะพบกับส่วนที่เป็น living area ก่อนอันดับแรก ด้านซ้ายเป็นพื้นที่นั่งกินข้าว ตรงกลางด้านในเป็นโซฟานั่งดูทีวีที่อยู่ติดกับระเบียง และทางขวาเป็นทางเดินไปยังครัว และ ห้องนอน
ให้ดูอีกมุมหนึ่งที่เป็นโถงทางเดินกลางห้อง สำหรับไปยังห้องนอน
หันมาทางหน้าห้อง ให้เห็นตำแหน่งประตูห้องครับ ถ้าสังเกตจะเห็นว่าห้องนี้เป็นห้องหน้ากว้าง ทำให้จัดพื้นที่ค่อนข้างง่าย เพราะมีพื้นที่ผนังห้องที่สัมผัสกับผนังภายนอกเยอะ
มุมห้องฝั่งนี้วางโต๊ะกินข้าวแบบ 4 ที่นั่ง มีพื้นที่ด้านข้างเหลืออีกนิดหน่อย สามารถขยายขนาดโต๊ะเพิ่มได้ เผื่อจะให้นั่งกัน 5-6 คน (กรณีพาเพื่อมาบ้าน)
นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวก็ยังสามารถมองเห็นทีวีได้ หรือจะมองออกไปทางหน้าต่างด้านนอกเพื่อรับวิวทะเลก็ได้
ชั้นวางทีวีตัวนี้ไม่ได้ให้มานะครับ ของจริงจะหน้าตาอีกแบบหนึ่ง และผนังด้านหลังก็จะเป็นผนังขาวเรียบๆธรรมดา ไม่ได้มีการเจาะช่องสำหรับวางของในลักษณะนี้
ระยะโซฟาดูทีวีจัดว่าไม่ได้กว้างมากเมื่อเทียบว่าเป็นห้อง 2-Bed ครับ ใส่ทีวีได้ประมาณ 50 นิ้ว
พื้นที่ระหว่างโซฟากับทีวีไม่ค่อยเยอะ ทำให้ใส่โต๊ะกลางได้ตัวเล็กๆแบบนี้ เพราะต้องเผื่อระยะให้เดินผ่านได้
โซฟาที่ให้มาก็ไม่ได้หน้าตาแบบนี้ แต่จะเป็นสีฟ้าน้ำทะเล แบบเดียวกับห้องแรกที่พาไปดู ซึ่งจริงๆแล้วฟังก์ชั่นของโซฟาอาจจะต้องบอกว่าเล็กไปหน่อย เพราะห้องนี้เป็นห้อง 2-Bed น่าจะอยู่กัน 3-4 คนได้ แต่โซฟานั่งได้แค่ 2 คนเอง ถ้า 3 คนจะเบียดเกินไป ถ้าเป็น พ่อ-แม่-ลูกตัวเล็กก็พอไหว แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ 3-4 คนนี่ไม่พอนั่ง ต้องขยายขนาดเพิ่มอีกสักหน่อย 20-30 ซม.พอได้ แล้วก็หาเก้าอี้มาเสริมอีกซักตัว น่าจะทำให้อยู่สบายขึ้น
ผนังด้านหลังโซฟาติดกระจกมาเต็มเลย ของจริงเป็นผนังเรียบสีขาวนะครับ
ฝั่งนี้เป็นประตูกระจกบานเลื่อน (เปิดจากซ้ายไปขวา) ที่เชื่อมออกไปยังระเบียง และเป็นช่องแสงที่ดึงให้แสงธรรมชาติเข้ามาในห้อง
เมื่อเปิเลื่อนประตูออกก็จะเป็นแบบนี้
ตัวประตูบานเลื่อนวางอยู่บนธรณีก่อสูง เพื่อกันน้ำจากระเบียงไหลเข้าห้อง แต่เดินเข้า-ออกระเบียงอย่ารีบมากนะครับ ระวังจะสะดุดหกล้มได้
พื้นที่ระเบียงกว้างประมาณ 110-120 ซม.ได้ ส่วนความยาวก็ประมาณ 2.80-2.90 เมตร จัดว่าค่อนข้างกว้างทีเดียวสำหรับห้อง 66.10 ตารางเมตร เหตุที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ระเบียงเยอะหน่อย อาจจะเป็นเพราะมีลูกค้าบางกลุ่มที่เป็นชาวต่างชาติที่ถามหาระเบียงกว้างๆด้วย
ด้านข้างมีทางให้น้ำไหลไปออก Floor Drain ที่อยู่ในผนังอีกฝั่ง
ผนังระเบียงอีกด้านหนึ่งฝังโคมไฟเอาไว้
ส่วนผนังด้านนี้ของระเบียง จะมีบานประตูที่เปิดได้
เมื่อเปิดออกมาแล้วจะเจอกับห้องเก็บ Compressor แอร์ ซึ่งกั้นส่วนไว้เลย เป็นจุดที่ต้องชมเลย เพราะการเอาคอมฯแอร์ไปเก็บไว้ในห้องนี้ทำให้ระเบียงไม่ร้อน และไม่มีคอมฯแอร์มาวางเกะกะๆ แถมยังลดเสียงรบกวนได้ด้วย ทำให้ระเบียงตรงนี้สามารถใช้งานได้เต็มที่ จะเอาชุด Coffee Table มาวางก็ได้ หรือจะใช้ปลูกต้นไม้ หรือจะตากผ้าชิ้นใหญ่ๆก็ทำได้เต็มที่เลย
ส่วนด้านในห้องเก็บคอมฯแอร์นี้ยังมีพื้นที่เหลืออีกหน่อย สามารถเอาผ้าชิ้นเล็กๆมาตากได้ เพราะมี Grille บังสายตาไว้ให้ด้วย จะตากชุดชั้นในอะไร ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะโจ่งแจ้งเกินไป หรือปลิวตกไปโดนหัวคนข้างล่าง (แถมอาจจะแห้งเร็วกว่าปกติเพราะมีไอร้อนของคอมฯแอร์ช่วยเป่า 555+)
คอมฯแอร์อีกสองตัวถูกแขวนไว้บนเพดานให้แล้ว
ฝั่งนี้มีช่องเปิดที่เชื่อมกับห้องน้ำห้องเล็ก สามารถเปิดระบายอากาศตรงนี้ได้ ทำให้ห้องน้ำไม่เหม็นอับ
ด้านนี้จะเป็นทางเดินเชื่อมจากส่วน Living ไปยังส่วนอื่นๆของห้อง
อันดับแรกคือครัว ที่วางไว้ใกล้กับทางเข้าห้องก็จริง แต่เป็นครัวปิด ที่กั้นด้วยประตูบานเลื่อนและผนังกระจก สามารถทำครัวจริงจังในนี้ได้เลย โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีกลิ่นออกมารบกวน (แต่ต้องไม่ลืมปิดประตูครัวและเปิดพัดลมดูดอากาศนะ)
ทางเข้าครัวกั้นด้วยประตูกระจกบานสไลด์
เมื่อเปิดออกจะเป็นแบบนี้
Sub-Frame หรือบัววงกบประตูนี้ ในห้องตัวอย่างติดตกแต่งไว้เฉยๆ ของจริงไม่มีให้
รางประตูด้านหลัง ตัวประตูจะแขวนรางไว้ด้านบน
จากในครัวสามารถมองออกไปเห็นคนที่อยู่ข้างนอกได้ด้วย เพราะพื้นที่ในครัวค่อนข้างแคบ เลยต้องเพิ่มความโปร่งให้กับพื้นที่ตรงนี้
รางด้านล่างก็มีนะ แต่จะเล็กกว่าข้างบน
พื้นที่ครัวจัดว่าแคบเลยแหละ ยืนได้ 1-2 คนเท่านั้นแต่ถือว่าจัดฟังก์ชั่นมาครบดี ใช้งานได้จริงจังระดับหนึ่ง
พื้นครัวของห้อง 2-Bed จะปูกระเบื้องแกรนิโต้ขนาด 60×60 ไว้ด้วย เพื่อให้สามารถทำความสะอาดได้ง่ายกว่า ในขณะที่ห้อง 1-Bed เป็นพื้นลามิเนต
พื้นที่วางตู้เย็นยังเหลืออีกหน่อย ถ้าไม่ชอบตู้เย็นที่เขาแถมมาให้อันนี้รู้สึกว่าเล็กไปไม่สะใจ ก็ไปซื้อมาเปลี่ยนได้นะแจ๊ะ
เคาน์เตอร์ครัวฝั่งนี้ยังแคบอยู่ดี หน้าตาเหมือนห้อง 1-Bed เด๊ะๆ
แต่ยังดีที่มีเคาน์เตอร์ Built-in เพิ่มมาให้ตรงนี้ ทำให้พื้นที่ครัวทั้งหมดมีลักษณะคล้ายๆตัว L แต่แยกส่วนกัน ด้านล่างวางเครื่องซักผ้า ส่วนด้านบนใช้เป็นพื้นที่เตรียมอาหารก็ได้ หรือจะวางภาชนะที่ใช้ในครัวก็ได้
ตรงข้ามกับห้องครัวเป็นห้องน้ำห้องแรก ที่ใช้ร่วมกันระหว่างห้องรับแขก กับห้องนอนเล็ก
ด้านในห้องน้ำมีพื้นที่เยอะพอที่จะจัดฟังก์ชั่นแบบนี้ได้ คือมี อ่างล้างหน้า โถสุขภัณฑ์ และ Shower Box อยู่เรียงกันแบบนี้ วัสดุพื้นและผนังเหมือนกับห้องน้ำของห้อง 1-bed
อ่างล้างหน้า และกระจกเงาที่ติดมาให้
พื้นที่วางโถสุขภัณฑ์
พื้นที่ใน Shower Box ของห้องนี้กว้างกว่าของห้อง 1-Bed ทำให้สามารถใส่ฉากกั้นอาบน้ำแบบบานเลื่อน 3 ตอนในแนวนอนแบบนี้ได้ ไม่ต้องเปิดเข้าจากทางมุม
ด้านขวามีพื้นที่สำหรับนั่งอาบน้ำได้
ผนังห้องน้ำจะมีช่องหน้าต่างบานกระทุ้งให้เปิดได้เพื่อระบายอากาศและความชื้นในห้องน้ำ ไม่ให้ห้องน้ำเหม็นอับ และยังติดมาบานใหญ่พอที่จะให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาในห้องน้ำได้เพียงพอที่จะไม่ต้องเปิดไฟในตอนกลางวัน และใหญ่พอที่จะให้สามารถมองออกไปด้านนอกเพื่อรับวิวทะเลได้ด้วย
เมื่อเปิดบานกระทุ้งแล้วมองออกไปด้านนอก ก็จะไปเชื่อมอยู่กับพื้นที่ที่วางคอมฯแอร์ด้านนอก
ถัดเข้าไปด้านในสุดของห้อง จะเป็นห้องนอนทั้ง 2 ที่อยู่ติดกัน ซ้ายเป็น Master Bedroom ส่วนขวาเป็นห้องนอนเล็ก เดี๋ยวเราเข้าไปดูห้องนอนเล็กทางขวากันก่อน
ห้องนอนเล็กนี้จัดตกแต่งมาให้ดูเป็นไอเดียเฉยๆ แต่ของจริงที่ให้จะมีแค่เตียงเพียงอย่างเดียว ซึ่งเตียงที่ให้มาเป็นเตียงขนาด 3.5 ฟุต แต่สามารถขยายเป็นเตียงคู่ให้นอนสองคนได้แบบนี้พื้นที่ห้องตรงนี้ผมไม่แน่ใจว่าสามารถใส่เตียงคู่ได้หรือเปล่า เนื่องจากห้องนี้เป็นลักษณะแคบยาว มองแบบนี้พื้นที่ข้างเตียงยังเหลืออยู่ก็จริง แต่ว่าพื้นที่ปลายเตียงกับหัวเตียงเหลือน้อยแล้ว อาจจะยัดเตียง 5 ฟุตไม่ลง หรือถ้ายัดลงก็อาจจะทำให้ไม่มีพื้นที่ปลายเตียงเหลืออยู่เลย อันนี้ใครอยากรู้ต้องลองไปวัดดูนะครับ
ตู้เสื้อผ้าในห้องไม่ได้แถมมาอยู่แล้วจะใส่ยังไงก็ได้
พื้นที่เตียงมีเท่าที่เห็น
ห้องนี้นำเอาเตียงมาชิดผนังเลย ซึ่งจะทำให้คนที่นอนอยู่สามารถมองออกไปเห็นทะเลด้านนอกได้ ในมุมเฉียงๆ
พื้นที่ด้านปลายเตียงเขาติดตู้แขวนผนัง กับชั้นวางของเอาไว้ให้ดูเป็นไอเดีย จะทำตามก็ได้ หรือใครอยากจะมีทีวีอีกเครื่องก็สามารถนำมาติดแขวนผนังตรงนี้ได้
แม้จะขยายเตียงออกมาเป็นเตียงคู่แล้ว ก็ยังมีพื้นที่ระหว่างเตียงกับตู้เสื้อผ้าเหลืออยู่อีกหน่อย
พื้นที่ด้านหน้าก็ยังเหลืออีกนิด จะขยายขนาดตู้เสื้อผ้า ทำเป็นตู้ Built-in รูปตัว L เล็กๆ ก็ยังพอทำได้
ถัดมาเป็นห้องนอน Master Bedroom
เข้ามาในห้องนอนจากประตูทางซ้ายของรูป ตรงข้ามกับประตูทางเข้าห้องนอน จะเป็นประตูทางเข้าห้องนอน แล้วเดินเข้ามาอีกหน่อยจึงจะเป็นเตียง
เตียงใส่เตียง 5 ฟุตไว้ให้ แต่ของจริงจะใส่ 6 ฟุตก็มีพื้นที่เหลือให้วางได้สบายๆครับ
พื้นที่หัวเตียงวางเป็นโต๊ะข้างเตียงเพิ่มก็ได้ เพราะเตรียมตำแหน่งปลั๊กไฟไว้แล้ว สำหรับบางคนที่ชอบชาร์จมือถือที่หัวเตียงแล้วเล่นไปด้วยเนี่ย เหมาะเลย
ผนังตรงข้ามเตียงในห้องตัวอย่าง กรุผนังเป็นลายคลื่นแบบนี้ แต่ของจริงจะเป็นผนังเรียบทาสีขาวปกติครับ สามารถเอาทีวีไปแขวนที่ผนังได้ เพื่อนอนดูที่เตียง
ส่วนอีกครึ่งนึงจะเปิดออกมาเป็นตู้เสื้อผ้า ที่ทำให้ดูเนียนตาเวลาปิดอยู่ ตู้ของจริงจะไม่ได้ฝังลงไปในผนังแบบห้องตัวอย่างนะครับ จะเป็นตู้เสื้อผ้าลอยหน้าตาเหมือนในห้อง 1-Bed ไม่ใช่ Built-in เพราะผนังส่วนนี้มันจะเป็นระนาบเดียวกันกับหน้าต่างทางด้านซ้าย ไม่ได้มีส่วนเว้าเข้าไปแบบในห้องตัวอย่าง ดังนั้นมันจะเสียพื้นที่ในการวางตู้เพิ่มอีกหน่อยนะครับ แต่ห้องก็ยังเผื่อพื้นที่เอาไว้พอสมควร
ผนังด้านซ้ายเป็นผนังกระจกตลอดแนว และเป็นกระจกเข้ามุมแบบ Bay Window ด้วย
แต่ตัวผนังมีช่องเปิดเป็นบานกระทุ้งเล็กๆแค่นี้ครับ เพราะเป็นอาคารสูงที่อยู่ใกล้ทะเล ลมจะแรง ถ้าทำช่องเปิดใหญ่เกินไป อาจจะไม่ปลอดภัย+ไม่แข็งแรงพอ ด้วยวัสดุเดียวกัน
ผนังกระจกเข้ามุมแบบนี้ จะทำให้รับวิวทะเลในมุมเฉียงๆได้ด้วย
ต่อไปเราเข้าไปดูในห้องน้ำบ้าง
พื้นห้องน้ำกั้นด้วยธรณีก่อ ปิดผิวด้วยหินเช่นเดียวกัน
พื้นที่ห้องน้ำห้องนี้จะมีขนาดกว้างกว้างห้องน้ำเล็กอีกนิดหน่อย
พื้นห้องน้ำห้องนี้จะเปลี่ยนวัสดุเป็นกระเบื้องขาว แทนที่จะเป็นสีดำ และไม่ได้เป็นแบบด้าน
มีการเปลี่ยนวัสดุ Finishing อีกหน่อย เช่นตรงอ่างล้างหน้าจะติดกระเบื้องโมเสก ผิว Chrome เงาๆแบบนี้ ให้ดูหรูหราขึ้น
โถสุขภัณฑ์ของ Cotto
Shower Box ด้านในกั้นด้วยประตูกระจกบานสไลด์ 3 ชิ้น
เมื่อเปิดออกจะได้เปิดได้กว้างหน่อย ง่ายต่อการเดินเข้าเดินออก
พื้นด้านในส่วนอาบน้ำ จะเป็นพื้นกระเบื้องสีฟ้า เพื่อให้เข้า Theme ทะเล ฮ่าๆ
กั้นด้วยธรณีก่อ
พื้นที่อาบน้ำจะมี 2 ฟังก์ชั่น คือ เป็นทั้ง Shower Box แบบยืนอาบน้ำ กับอ่างอาบน้ำอยู่รวมกันเลย ใครจะอาบนอกอ่างก็ได้ อาบในอ่างก็ได้ ผนังฝั่งนี้จะติดกระเบื้องให้แบบที่เห็นนี้เลย
อ่างอาบน้ำอยู่ด้านใน ติดกับกระจกบานใหญ่ สำหรับเปิดรับวิวทะเลในเวลาที่อาบน้ำ บางคนอาจจะมองว่าติดแบบนี้ ไม่เสีย Privacy หรอ แล้วคนภายนอกมองเข้ามาจะเป็นยังไง อันนี้ก็แล้วแต่จะคิดนะครับ โดยปกติเราก็ควรจะติดม่านหรือมูลี่เพิ่ม เพื่อให้ดึงมาปิดได้ในเวลาที่ต้องการความ Private แต่ถ้าเราขึ้นไปอยู่ชั้น 44 ของโครงการ คงจะไม่มีใครมองเข้ามาเห็นละมั้ง ถ้าไม่ใช้กล้องส่องทางไกล ส่องมาจากตึกข้างๆ แล้วต้องเป็นตึกที่สูงระดับไล่เลี่ยกันด้วยนะถึงจะมองเห็น แต่ถ้าใครอยู่ชั้นล่างๆก็ติดม่านไปแหละ ไม่งั้นก็ต้อง “มั่นหน้า” พอสมควร
ผนังห้องน้ำจะเป็นส่วนที่ยื่นออกมา ทำให้ติดผนังกระจก Bay Window ได้เหมือนห้องนอน
ชุดฝักบัวอาบน้ำแบบ Hand Shower และหน้าต่างบานกระทุ้งที่อยู่ด้านข้าง
ชุดก็อกสำหรับอ่างอาบน้ำของห้อง Master Bath จะดู Premium ขึ้นมาหน่อย
มือจับฝักบัว
ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 27 APRIL 2014
- ตึก B และ C เปิดขายเมื่อปี 56 ราคาเริ่มต้นช่วงเปิดโครงการ 1.999 ล้านบาท (Studio 30 ตารางเมตร)
- ตึก A เปิดขายเมื่อวันที่ 4 เมษายน 57 ราคาเริ่มต้น 2.15 ล้านบาท ห้องชั้น 3 วิว City View
- ตึก A ห้อง 31.20 ชั้น 38 ห้อง Sea View ราคาประมาณ 4.4 ล้านบาท
- UPDATE พ.ค.57 – ตึก B ชั้น 11-14 ห้อง 27.50 ตร.ม. ราคาเดียว 2.19 ล้านบาท (Fully Furnished ไม่แถมเครื่องซักผ้า)
- 1 Bedroom อาคาร A ชั้น 3 ห้อง A031B02 เนื้อที่ 31.50 ตร.ม. ราคา 2.15 ล้านบาท หรือ 68,254 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom อาคาร A ชั้น 38 ห้อง A381B09 เนื้อที่ 31.20 ตร.ม. ราคา 4.4 ล้านบาท หรือ 141,025 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom อาคาร B ชั้น 3 ห้อง B031B04 เนื้อที่ 31.30 ตร.ม. ราคา 2.404 ล้านบาท หรือ 76,805 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom อาคาร B ชั้น 16 ห้อง B161B03 เนื้อที่ 34.80 ตร.ม. ราคา 3.611 ล้านบาท หรือ 103,764 บาท/ตร.ม.
- 2 Bedroom อาคาร B ชั้น 19 ห้อง B192B16 เนื้อที่ 65.30 ตร.ม. ราคา 5.642 ล้านบาท หรือ 86,401 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom อาคาร C ชั้น 4 ห้อง C041B13 เนื้อที่ 34.80 ตร.ม. ราคา 2.604 ล้านบาท หรือ 74,828 บาท/ตร.ม.
- 1 Bedroom อาคาร C ชั้น 7 ห้อง C071B13 เนื้อที่ 36.00 ตร.ม. ราคา 2.761 ล้านบาท หรือ 76,694 บาท/ตร.ม.
- Fully Furnished – เฟอร์นิเจอร์ Built-in+ลอยตัว, แอร์ Daikin ในห้องนอนทุกห้องและห้องนั่งเล่น
- เพดานสูง 2.60 เมตร
- Kitchen & Sink + Hob & Hood + ตู้เย็น + ไมโครเวฟ + เครื่องซักผ้า
- ผ่อนดาวน์ 10%
- จอง 10,000 – 20,000 บาท
- ทำสัญญา 40,000 – 70,000 บาท
- ค่ากองทุน 550 บาทต่อตารางเมตร
- ค่าส่วนกลาง 55 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน
คอนโด Centric Sea พัทยา มีทำเลตั้งอยู่บนถนนพัทยาสายสอง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่คอนโดที่อยู่ติดทะเลเป๊ะๆ แบบเดินออกจากตึกแล้วลงหาดได้เลย แต่ก็ยังจัดว่าอยู่ใกล้ทะเล สามารถเดินไปที่ชายหาดได้ ในระยะทางประมาณ 500 เมตร ถามว่าไกลไหม? ก็ต้องตอบว่าควรจะไปลองเดินดูเองครับ ระยะนี้มันแล้วแต่คนจริงๆ บางคนจะบ่นว่าไกล บางคนก็รับได้ บางคนก็สบายๆ อันนี้ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อน แต่ถึงจะไม่ติดทะเล แต่ก็ถือว่าที่ตั้งของโครงการเข้ามาอยู่ในใจกลางเมืองพัทยาเลย มีความสะดวกและอุดมสมบูรณ์มาก ได้บรรยากาศของความเป็นเมืองที่อยู่ชายทะเล และอยู่ใกล้กับสถานที่ต่างๆในเมืองพัทยา ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า, สำนักงาน, ร้านค้า หรือสถานที่ราชการก็ตาม ทำให้นอกจากจะเหมาะกับคนที่อยากจะได้คอนโดตากอากาศที่พัทยาแล้ว อาจจะยังเหมาะกับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องทำงานหรืออยู่อาศัยที่พัทยาเป็นหลักในชีวิตประจำวัน
การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว มีอยู่สองแง่มุมที่ควรจะพิจารณา หนึ่งคือเรื่องระยะทาง ซึ่งจัดว่าสะดวก เพราะเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในเมืองพัทยา ไปไหนมาไหนถ้าขับรถก็ถือว่าระยะทางไม่ไกล ในรัศมีประมาณ 4-5 กิโลเมตรนี่ก็แทบจะครบทั้งเมืองแล้ว แต่ว่ามีประเด็นที่สองคือเรื่องถนนวันเวย์ ที่จะทำให้ความสะดวกลดลงไปบ้าง เพราะพัทยาสายหนึ่งกับสายสองเป็นถนนวันเวย์ทั้งคู่ แถมรถติดอีกต่างหาก ถ้าใครเคยไปพัทยาบ่อยๆจะเข้าใจว่าระยะทางของสถานที่ที่จะไปบางทีดูเหมือนไม่ไกล แต่พอต้องอ้อมไกลๆแล้วก็เหนื่อยเอาได้เหมือนกัน
ส่วนการเดินทางโดยไม่ใช้รถนั้น รถกระบะสองแถวคือสิ่งที่พึ่งพาได้มากที่สุดในการไปมาหาสู่ในเมืองพัทยา ซึ่งนอกจากจะราคาถูก สะดวก และเร็ว(ใช้ได้)แล้ว ยังมีให้เรียกตลอดเวลาด้วย ผ่านหน้าโครงการตลอด ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี เราก็แค่ต้องไปจำหน่อย ว่าแต่ละคัน แต่ละสาย วิ่งวนเป็น Loop แบบไหน จะได้ขึ้นถูก ส่วน Taxi ราคาแพงมาก ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรจะขึ้นเท่าไหร่ ปล่อยให้ชาวต่างชาติที่ไม่ค่อยรู้ทางเขาขึ้นกันไป จ่ายกันไป ส่วนถ้าใครอยากขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็ขึ้นได้เหมือนกัน มีวินอยู่หน้าโครงการเลย หรือจะไปเช่ามอเตอร์ไซค์มาขี่ก็ได้นะ ในพัทยามีเต็มเลย
การออกแบบโครงการ วางตึกมาเต็มพื้นที่ของที่ดินเลย เก็บพื้นที่ขาย (Saleable Area) มาครบทุกตารางนิ้ว ทำให้การวางตึกอยู่ชิดกันมาก ดูหนาแน่นพอสมควร ที่ดิน 6 ไร่ 3 อาคาร 999 ยูนิต ถามว่าเยอะไหม? ถ้าเป็นคอนโดในกรุงเทพทั่วๆไป ก็ยังจัดว่ากลางๆ ไม่ได้เยอะจนน่าเกลียด แต่พอเป็นคอนโดตากอากาศที่ผู้อยู่อาศัยคาดหวังความ “สบาย” ที่เพิ่มขึ้น จำนวนยูนิตขนาดนี้ก็ถือว่าเยอะไปหน่อย อย่างไรก็ดีคอนโดที่มีลักษณะแบบคอนโดตากอากาศแบบนี้ อาจจะไม่ได้มีผู้ที่เข้ามาพักตลอดเวลา ก็น่าจะทำให้ความหนาแน่นเมื่อมีคนอยู่อาศํยจริงมันลดน้อยลงไปได้บ้าง
ความหนาแน่นในระดับโครงการฟังดูค่อนข้างเยอะ แต่พอดูแยกเป็นตึกๆแล้วจะเห็นความแตกต่าง ตึก A 44 ชั้น 451 ยูนิต, ตึก B 32 ชั้น 463 ยูนิต, และตึก C 7 ชั้น 85 ยูนิต ถ้าเทียบอัตราส่วนยูนิตหารด้วยจำนวนชั้นแล้ว ตึกที่หนาแน่นมากที่สุดคือตึก B รองมาคือตึก C และตึก A ตามลำดับ
ตึกแต่ละตึกจะมีจุดขายของตัวเองที่แตกต่างกันไป อย่างเช่นถ้าอยากได้วิวสวยเป็นหลัก ราคาไม่เกี่ยง ต้องยกให้ตึก A เพราะเป็นตึกที่สูงที่สุด มี Facilities ลอยฟ้าที่สูงที่สุด จำนวนห้องต่อชั้นสูงสุดอยู่ที่ 12 ห้อง และวิวที่ได้จะเป็นทิศตะวันตกและทิศใต้เป็นหลัก ห้องบนๆราคาสูงที่สุดในบรรดา 3 ตึก ส่วนถ้าอยากได้วิวเหมือนกัน แต่ไม่ต้องอยู่ชั้นสูงมาก ราคาไม่ต้องแพงมาก ก็จะมาเป็นตึก B ที่จะได้วิวทิศตะวันตกและทิศเหนือเป็นหลัก แต่ตึกนี้จะวิวสวยไม่เท่าตึก A เพราะโดนโรงแรมข้างหน้าบังวิวไปเยอะกว่า และมีจำนวนห้องต่อชั้นสูงสุดอยู่ที่ 17 ห้อง ส่วนตึก C เป็นตึกที่ไม่เน้นวิวเลย แต่เน้นความ Privacy เป็นส่วนตัวเป็นหลัก ตัวตึกมียูนิตโดยรวมแค่ 85 ยูนิต มีห้องพักเฉพาะชั้น 4-7 และแบ่งเป็น 2 Wings เหนือ กับ ใต้ ใช้ลิฟท์แยกกัน จัดว่าเป็นตึกที่หนาแน่นน้อยที่สุดในบรรดา 3 ตึก และยังได้ประโยชน์อีกเรื่องคือเรื่องที่จอดรถ เพราะตึกนี้มีที่จอดรถ 3 ชั้น แถมมีช่องจอดเยอะกว่าจำนวนยูนิตของตัวเองด้วย ส่วนตึก A, B มีที่จอดรถแค่ 2 ชั้น ถ้าเต็มก็ต้องมาจอดที่ตึก C ถ้าอยากอยู่สบายๆ ไม่เน้นวิว ราคาต่อตารางเมตรไม่แพงมากก็ต้องตึก C นี่แหละ ชอบแบบไหนก็เลือกกันเองนะครับ
การออกแบบห้องจัดฟังก์ชั่นออกมาแบบคอนโดตากอากาศ มีครบแต่ไม่เน้นการทำครัว และเน้นให้ตัวห้องมีพื้นที่เปิดรับวิวได้เยอะๆ สังเกตได้จากการใช้ผนังภายในแบบบานกระจกของห้อง 1-Bed ขนาดห้องเริ่มต้นที่ 27.50 ตารางเมตร แต่ห้องทั่วๆไปขนาดประมาณ 31 ตารางเมตรขึ้นไป ซึ่งก็ถือว่าไม่เล็กมากในคอนโดสมัยนี้ อยู่อาศัยได้ 2 คนสบายๆ ในระยะเวลาสั้นๆแบบการมาพักผ่อนต่างจังหวัด แต่สำหรับคนที่อยากอยู่แบบจริงจังขึ้นมาหน่อย เช่นอยู่อาศัยแบบระยะยาว อาจจะมองเป็นห้อง 2-Bed ซึ่งมีประเด็นอยู่ที่ห้องครัว ซึ่งให้ฟังก์ชั่นครัวแบบครัวปิด ที่มีประตูกั้นเป็นสัดส่วน สามารถทำครัวได้จริงจังกว่า และมีพื้นที่ระเบียงที่ใช้งานได้เต็มที่กว่า เนื่องจากไม่ต้องเอาไว้วางคอมฯแอร์
วัสดุอุปกรณ์ในห้องให้มาแบบ Fully Furnished หิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย เพราะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ด้วย เตียงนอนมีฟูกให้ ซื้อแค่หมอนกับผ้าห่ม แล้วก็เครื่องทำน้ำอุ่น สเป็คของที่ให้ก็จะมีแอร์ Daikin 2-3 ตัว, เครื่องใช้ไฟฟ้า Electrolux, พื้นลามิเนต, ครัว MEX, เคาน์เตอร์ท้อปหินสังเคราะห์, อ่างแบบฝัง, ห้องน้ำ Cotto สเป็คแบบนี้สำหรับห้องชั้นล่างๆที่ราคาไม่เกินแสนบาทต่อตารางเมตรก็จัดว่ามาตรฐาน ให้มาดีสมราคาค่าตัว แต่ถ้าเป็นห้องชั้นบนๆที่ราคาเกินนี้จะถือว่าเริ่มแพงแล้ว เพราะที่จ่ายเงินเพิ่มไปไม่ใช่เรื่องวัสดุเลย เป็นเรื่องวิวทะเลล้วนๆ อันนี้ก็ต้องแลกกันนะครับ เพราะโครงการนี้มีราคาของห้องแต่ละชั้นแต่ละมุมที่แตกต่างกันมาก ตั้งแต่ 75,000-140,000 บาทต่อตารางเมตรเลย
สุดท้ายคือเรื่อง Facilities ของโครงการที่วางไว้บนยอดตึก A, B และชั้น 4 ตึก C มีแยกกันของแต่ละตึก แต่สามารถเดินไปใช้ที่ตึกไหนก็ได้ ถือเป็นเรื่องดี จัด Facilities ลอยฟ้าแบบรับวิวทะเลได้มาให้ด้วย เพื่อที่คนที่ซื้อชั้นล่างๆถ้าอยากจะได้วิวทะเลเหมือนกันก็ขึ้นไปใช้ได้ โดยรวมแล้วก็น่าจะพอเพียงกับการใช้งานและน่าจะใช้งานได้จริง ติดแค่เรื่องเดียวคือเรื่องที่จอดรถที่ให้มา 30% รวมทั้งโครงการ ซึ่งถ้าเป็นคอนโดตากอากาศทั่วไปคงจะไม่ค่อยเป็นห่วง เพราะอัตราการเข้าพักของลูกบ้านไม่ค่อยเยอะมาก แต่โปรเจคนี้วางตัวเองให้เป็นคอนโดกึ่งตากอากาศ กึ่ง City-Condo สำหรับการอยู่อาศัยระยะยาว อาจจะมีปัญหาเรื่องที่จอดรถไม่พอได้ ในช่วง High Season ที่คนเข้าพักเยอะๆพร้อมๆกันครับ และตำแหน่งของที่จอดรถนั้นจะเทไปทางตึก C ซะเยอะคิดว่าน่าจะมีรถจากตึก A และ B ที่ต้องไปจอดที่ตึก C แน่ๆ เพราะที่ตึกตัวเองเต็ม ซึ่งมันจะทำให้การใช้งานที่จอดรถไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควรครับ
Judgement
การตัดสินใจซื้อคอนโดตากอากาศ นอกจากจะใชเกณฑ์การพิจารณาในด้านความคุ้มค่าทางการเงินแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นเช่น ความชอบส่วนบุคคล ที่เป็นความคุ้มค่าทางอารมณ์ ที่ต้องพิจารณาร่วมกันในการตัดสินใจซื้อ ดังนั้นจะขอไม่ให้คะแนนความคุ้มค่า สำหรับโครงการนี้ครับ
BOTTOM LINE
คอนโด Centric Sea พัทยา เป็นโครงการที่เหมาะสำหรับคนสองกลุ่ม คือ คนที่อยากหาบ้านพักตากอากาศที่พัทยา แบบอยู่อาศัยชั่วคราว หรือ คนที่ต้องการที่อยู่อาศัยแบบระยะยาวในพัทยาก็ได้ โดยมองหาโครงการที่มีทำเลอยู่ในตัวเมือง เดินทางสะดวก มีความอุดมสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการติดทะเล แต่ได้ยังได้วิวทะเลพัทยาอยู่ มี Sky Facilities แบบมองเห็นทะเลจากมุมสูง และอาจจะอยากได้ห้องแบบ Fully-Furnished ไม่ต้องแต่งเยอะ
ถ้าเห็นว่ารีวิวนี้มีประโยชน์ ช่วยกด LIKE ให้ผมหน่อยนะครับ จะได้มีกำลังใจทำรีวิวถัดๆไปครับ