ธ สถิตย์ในดวงใจไทยนิรันดร์
บริษัท คิดเรื่องอยู่ จำกัด ร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
๑ ภาพเล่าเรื่องในหลวงในดวงใจ จากทีมงาน บริษัท คิดเรื่องอยู่ จำกัด
โดยทางทีมงานร่วมถ่ายทอดเรื่องราวในมุมมองของตนเองผ่านภาพพระบรมฉายาลักษณ์ที่สร้างแรงบันดาลใจ
” ทรงเป็นพุทธมามกะ ต้นแบบของชาวไทย “
” มีเรื่องเล่ากันมาว่า นักดนตรีเอกของโลกได้กล่าวถึงพระปรีชาสามารถในการทรงดนตรีว่า หากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ก็จะต้องทรงเป็นพระราชานักดนตรีของโลก แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นทั้งพระมหากษัตริย์และทรงเป็นนักดนตรีได้พร้อมกัน
หลายคนอาจยังไม่ทราบ ว่าที่จริงแล้วเพลงพระราชนิพนธ์แต่ละเพลงนั้น ล้วนแสดงออกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่าโดยถ้วนหน้า เช่น เพลงยามเย็น พระราชทานแก่สมาคมปราบวัณโรค เพื่อนำออกแสดงเก็บเงินบำรุงการกุศล เพลงยิ้มสู้ พระราชทานแก่โรงเรียนสอนคนตาบอด เพลงพรปีใหม่ พระราชทานแก่พสกนิกรเนื่องในวันปีใหม่ เพลงเกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย เพลงความฝันอันสูงสุด และเพลงเราสู้ พระราชทานแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติ เป็นต้น ”
ขอบคุณที่มาภาพ :
หอสมุดดนตรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และห้องสมุดดนตรีทูลกระหม่อมสิริธร
http://www.kingramamusic.org/th
” สิ่งที่ประทับใจสำหรับพสกนิกรชาวไทยที่เกิดในยุคแผ่นดินของในหลวงรัชกาลที่ 9 คือเรามีพระราชาที่ทรงงานหนักเพื่อประชาชนของท่านมาโดยตลอด พระราชาที่เข้าถึงทุกถิ่นทุรกันดารเพื่อเข้าถึงพสกนิกรชาวไทย ทำความเข้าใจและเรียนรู้กับปัญหาชาวบ้าน ท่านไม่ทรงละทิ้ง นำปัญหาที่ชาวบ้านได้รับมาแก้ปัญหา จนเกิดเป็นโครงการหลวงต่างๆ มากมาย ทั้งโครงการแก้มลิง โครงการชั่งหัวมัน โครงการฝนหลวง เป็นต้น ทำให้ชาวบ้านได้รับความรู้เพื่อนำมาปรับใช้ในการทำงาน สร้างรายได้ และความยั่งยืนอย่างแท้จริง “
ขอขอบคุณที่มาภาพ : https://sononui.com/king-photos/
“ในฐานะช่างภาพ ประทับใจในความสามารถในการถ่ายภาพฝีพระหัตถ์เป็นอย่างมาก ทำให้รู้สึกว่าภาพนี้เป็นภาพที่น่ารักและอบอุ่น ที่ในหลวงทรงเก็บความประทับใจโดยการถ่ายภาพคนที่ท่านรัก ด้วยฝีพระหัตถ์ของท่านเอง และรูปฝีพระหัตถ์ของในหลวงทุกรูปที่ถ่ายด้วยกล้องฟิล์มหรือดิจิตอลนั้น ล้วนแต่เป็นรูปที่มีความลงตัวทั้งการจัดวางของภาพและแสงที่เหมาะสม ทำให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถด้วยการถ่ายภาพของท่านเป็นอย่างมาก”
“ต้นแบบในการทำงานด้านการถ่ายภาพของผม”
“เด็กที่โตมาโดยมีฆ้อนไม้และตะปูเป็นของเล่น … พระองค์ท่านจึงทรงเรียบง่าย สัมผัสได้ถึงความทุกข์ของพสกนิกร เพราะทรงเป็นพระราชาที่ใช้สองมือปฏิบัติด้วยตัวเอง พวกเราคนไทยช่างโชคดีเหลือเกิน ที่เกิดเป็นพสกนิกรของพระองค์…”
“พ่อทรงงานหนัก ทรงอุทิศพระองค์อย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อพสกนิกรชาวไทยทุกคน”
จึงทำให้เวลาที่เราเหนื่อย เราท้อ เรามองไปที่พระองค์
ก็จะเกิดกำลังใจในการทำงานและเป็นแรงบันดาลใจในการทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น
ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์”
“ความกตัญญูรู้คุณบิดามารดาเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ยึดถือและปฎิบัติตาม โดยมีพระองค์ท่านเป็นแบบอย่างของลูกที่มีความรักต่อแม่ ดังจะเห็นได้จากภาพที่ทั้งพระองค์ท่านทั้งสองสวมกอดกันทุกครั้งที่เจอหน้ากัน”
ขอขอบคุณที่มาภาพ : Wikimedia Commons
“พระองค์ทรงมีความเมตตาต่อสัตว์ …เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปเปิดศูนย์การแพทย์พระราม 9 เมื่อทอดพระเนตรทองแดงแล้ว ก็มีรับสั่งว่าให้นำเข้ามาเลี้ยง จากที่เคยเป็นลูกหมาจรจัด คุณทองแดง ก็เข้ามาอยู่ในวัง เป็นสุนัขทรงเลี้ยงประจำรัชกาล”
“ภาพพระบรมสาทิศลักษณ์ภาพนี้ ผมรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ ในภาพเป็นภาพของพระองค์ที่กำลังทรงวัยชรา วัยที่ผ่านชีวิต และการทรงงานที่ยากลำบากมามากมาย แต่ถ้าเราสังเกตดีๆจะเห็นว่า สีพระพักตร์ของพระองค์ไม่ได้ดูมีทีท่าที่จะเหน็ดเหนื่อยเลย สายพระเนตรของพระองค์เป็นสายพระเนตรที่ดูหนักแน่น มั่นคง และในขณะเดียวกัน ก็ยังดูอ่อนโยน และอบอุ่น ดุจสายตาของพ่อที่มีต่อลูกๆพสกนิกรชาวไทยทั้งปวง ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะได้เสด็จขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ให้ได้ทรงพักผ่อนอย่างเป็นสุข และพระองค์จะประทับอยู่ในใจของข้าพระพุทธเจ้าไปตลอดชั่วนิรันตร์”
ขอขอบคุณที่มาภาพ : พระบรมสาทิสลักษณ์ ผลงานโดย โอ ธีรวัฒน์ เทียรฆประสิทธิ์
“ในสมัยยังเด็กข้าพเจ้าได้มีโอกาสอ่านหนังสือ “พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เรื่อง ทองแดง” เป็นเรื่องราวของสุนัขทรงเลี้ยงประจำรัชกาลที่ 9 ทำให้ได้รู้จักกับ “คุณทองแดง” สุนัขพันทางที่ไม่ได้มีใบเพ็ดดีกรีอะไรสูงส่ง แต่เมื่อพระองค์นำมาเลี้ยงแล้วปรากฎว่ามีความฉลาดอย่างมาก รู้ภาษา และปฏิบัติหน้าที่คอยดูแล รักษาความปลอดภัยได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ทรงเคยรับสั่งว่า “ หมาพันทางบ้านเรา จริงๆ แล้วเป็นหมาที่ฉลาดมาก ถ้าเผื่อเราให้โอกาส เลี้ยงดูเขาดี สอนเขา เขาก็สามารถทำตามได้” ในความคิดหลังจากอ่านหนังสือจบนั้น รู้สึกชื่นชมในหลวง ร.9 เป็นอย่างมาก เพราะพระองค์แสดงให้เห็นถึงการให้โอกาสแก่ชีวิตที่เขาเลือกเกิดไม่ได้ ข้าพเจ้ารู้สึกภูมิใจมากที่ได้เกิดในสมัยของพระองค์ ผู้เป็นแบบอย่างของความเมตตาที่หาที่สุดมิได้
เครดิตภาพ: ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช”
“ตอนเด็กๆ หลายคนมักจะได้ยินข่าวพระองค์เสด็จไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อทรงงาน ในตอนนั้นหลายคนอาจยังไม่ได้เข้าใจถึงความสำคัญของการที่พระองค์เสด็จไปยังสถานที่ต่างๆ แต่เมื่อเติบโตขึ้นจึงได้รู้ว่า ในช่วงชีวิตของพระองค์นั้นทรงคิดถึงแต่ความเป็นอยู่ของประชาชน เมื่อได้ค้นหาข้อมูลก็พบว่า ในช่วงแรกที่เสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์เสด็จเยือนภูมิภาคต่างๆ ในประเทศตลอด 10 ปี คิดเป็นระยะทางถึง 48,000 กิโลเมตรต่อปี แม้หลายๆ สถานที่จะอยู่ในถิ่นทุรกันดาลที่ยากจะเข้าถึง
ในสมัยนั้นทุกครั้งที่มีการเสด็จไปยังจังหวัดต่างๆจะมีประชาชนมารอเฝ้ารับเสด็จอย่างเนืองแน่น และพระองค์ก็ทรงใช้เวลาในการเดินเท้าหลายกิโลเพื่อพุดคุยอย่างเป็นกันเอง คอยซักถามถึงความเป็นอยู่และปัญหาความเดือดร้อน เพื่อนำไปแก้ไข พัฒนา ทำให้เกิดเป็นโครงการต่างๆ มากมาย โดยที่พระองค์ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยดังคำกล่าวที่ว่า “ทุกข์ของราษฎร คือ ทุกข์ของพระองค์” ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจและภูมิใจที่ได้เกิดมาในรัชกาลที่ ๙”
เครดิตภาพ: ภาพนี้เป็นภาพถ่ายฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ขณะทรงเยี่ยมราษฎร วัดวิเศษไชยชาญ จ.อ่างทอง วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2517
“หลายๆคนคงจะเคยสังเกตว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์นั้นเวลาเสด็จเดินทางไปไหนมาไหนหรือทรงพระงานตามสถานที่ต่างๆ มักจะมีกล้องถ่ายภาพคู่กายอยู่ตลอดเวลา เคยมีชาวบ้านได้มีโอกาสทูลถามพระองค์ว่า “ทรงกล้องคล้องพระศอทุกครั้ง เพื่อเก็บภาพอะไร” และได้คำตอบกลับมาว่า “ฉันไปที่แห้งแล้ง ฉันจะไปเล่าให้ใครฟังว่ามันแห้งแล้งยังไง ฉันเล่าไม่หมดหรอก กดชัตเตอร์หนึ่งครั้ง ฉันก็ได้ภาพละ” จากวันนี้เวลาผ่านไปเนิ่นนานทั้งประเทศจะไม่โอกาสได้ยินเสียงกดชัตเตอร์จากภาพถ่ายของพ่ออีกแล้ว ภาพที่เตือนให้คนไทยรู้ว่า เคยมีผู้ชายคนนึงที่ไปในที่ที่ลำบากที่สุด ที่ๆมีพสกนิกรลำบาก และภาพเหล่านี้ได้พลิกผืนดินที่แห้งแล้งกลายเป็นเม็ดดินที่ชุ่มฉ่ำ พลิกเขาหัวโล้นเป็นป่าต้นน้ำ หล่อเลี้ยงหลายชีวิตให้มีความสุข และทั้งหมดนี้เริ่มต้นจาก “ภาพถ่ายของพ่อ”
ที่มา : ในดวงใจนิรันดร์ (Amarin TVHD)
ที่มาภาพ : thaihealth.or.th และ บางกอกทูเดย์
“
“มีอยู่ครั้งหนึ่ง ชาวเขาทูลเชิญขึ้นไปบนบ้าน แล้วเอาหมอนที่นอนมาวางให้ประทัย แล้วเอาเหล้าทำเองมาให้เสวย พระองค์ท่านก็เสวยกับเขาอย่างดี ทั้งที่ถ้วยนั้นไม่ค่อยสะอาด ซึ่งผมก็เห็นถ้วย ผมก็กระซิบให้เสวยนิดหนึ่ง แล้วส่งที่เหลือมาให้ผม แต่ไม่ทรงทำ ทรงแกล้งรับสั่งว่าเหล้านี่ฆ่าเชื้อโรคหมด ถ้าไม่สะอาดก็ไม่เป็นไร แล้วก็เสวยหมดเลย “
-หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ประทานสัมภาษณ์ให้ Matichon Online“
“เป็นภาพที่ทำให้ข้าพเจ้าอมยิ้มในสีพระพักตร์ของทั้งสองพระองค์ ขณะกำลังทรงงาน ภาพพระราชินีข้างพระวรกายของรัชกาลที่ 9 ไปในทุกที่ เป็นภาพชินตาเสมอ ทราบว่ารัชกาลที่ 9 เป็นกษัตริย์ที่มีอารมณ์ขัน ถึงแม้จะไม่ค่อยได้เห็นรอยยิ้มของพระองค์บ่อยนัก แต่ข้าพเจ้าก็สามารถรับรู้ได้ โดยเฉพาะยามที่พระราชินีอยู่ข้างพระวรกาย “