Khun-Srettha-Sansiri

นายเศรษฐา  ทวีสิน  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ภายหลังจากแสนสิริได้รับการไว้วางใจจากลูกค้าชาวไทยให้เป็น Thailand’s Most Trusted Brand จากการสำรวจของนิตยสารด้านการตลาดชั้นนำและบริษัทวิจัยหลายแห่งของประเทศไทยต่อเนื่องมาหลายปี ในปีนี้บริษัทวางแผนที่จะขึ้นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่เป็นที่หนึ่งในใจของลูกค้าต่างชาติ (Top of Mind Brand) เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระดับโลก ซึ่ง ณ ปัจจุบัน แสนสิริเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดของตลาดต่างชาติสูงสุดจากการเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยบริษัทเดียวที่เปิดการขายโครงการในต่างประเทศพร้อมกันในหลายประเทศ (Global Launch) และการทำกิจกรรมหลังการขายกับลูกค้าต่างชาติอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทสามารถสร้างยอดขายจากตลาดต่างชาติในช่วง 5 เดือนแรก (มกราคมพฤษภาคม 2559) ได้แล้วถึง 1,500 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมียอดขายประมาณ 800 ล้านบาทถึง 45%

ชาวฮ่องกงเป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อโครงการของแสนสิริสูงสุด โดยในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมามียอดขายแล้วกว่า 600 ล้านบาท รองลงมา คือ กลุ่มลูกค้าชาวจีนที่ซื้อคอนโดรวม 350 ล้านบาท และลูกค้าชาติตะวันตก เช่น สหราชอาณาจักร, เยอรมัน, ฝรั่งเศส, อเมริกา ฯลฯ ที่มียอดซื้อโครงการรวมกว่า 200 ล้านบาท โดยเหตุผลหลักในการซื้อของลูกค้าชาวฮ่องกงและจีน คือ เพื่อการลงทุน โดยสนใจโครงการที่อยู่ในกรุงเทพฯ หรือในเมืองท่องเที่ยวที่ให้ผลตอบแทนจากอัตราค่าเช่าในระดับที่น่าพอใจ ขณะที่ลูกค้าตะวันตกจะมองโครงการที่เป็นได้ทั้งเป็นบ้านพักตากอากาศและสามารถปล่อยเช่าผลตอบแทนสูงได้ในช่วงที่ไม่ได้มาพักอาศัย

โครงการโมริ เฮาส์ (Mori HAUS) คอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทใจกลางเมืองบนพื้นที่ T77 ของถนนสุขุมวิท 77 ภายใต้แนวคิด Trees of Life ที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียวได้รับความนิยมสูงสุด โดยมียอดขายไปถึง 700 ล้านบาทภายในเวลา 2 วันของวันพรีเซลส์ในฮ่องกง ญี่ปุ่นและสิงคโปร์หรือคิดเป็น 95% ของสัดส่วนโครงการที่ชาวต่างชาติสามารถถือครองได้ ซึ่งแสนสิริก็คาดหวังว่าโครงการนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวไทยในวันพรีเซลส์ในเมืองไทยในช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้เช่นกัน เพราะพื้นที่ T77 เป็นทำเลที่ทั้งชาวไทยและต่างชาติให้ความสนใจอย่างมากจากทำเลที่ตั้งและสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โรงเรียนนานาชาติ คอมมูนิตี้มอลล์ ทางด่วน รถไฟฟ้า ฯลฯ ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมตากอากาศในพัทยา ภูเก็ต และหัวหินก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากชาวต่างชาติเกินเป้า ด้วยยอดขายรวมที่ 500 ล้านบาท โดยโครงการที่ขายดีที่สุด คือ บ้านปลายหาด วงศ์อมาตย์ พัทยา, เดอะ เดค ป่าตอง, เดอะ เบส อัพทาวน์ ภูเก็ต และบ้านไม้ขาว ภูเก็ต

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า ปัจจัยสำคัญที่ลูกค้าต่างชาติมอบความเชื่อมั่นซื้อลงทุนในโครงการของคอนโดมิเนียมของแสนสิริ คือ

1.)ชื่อเสียงของแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับมายาวนานกว่า 30 ปีทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศว่าเป็นผู้นำอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้มอบแค่ที่อยู่อาศัยคุณภาพแต่มอบไลฟ์สไตล์แห่งการใช้ชีวิต

2.)การนำเสนอโครงการคอนโดมิเนียมที่ตอบสนองต่อรสนิยมและความต้องการของลูกค้าต่างชาติได้อย่างตรงจุดทั้งในการแง่การอยู่อาศัยและการลงทุน

3.)การมอบโปรแกรมการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและการลงทุน “EARN FROM THE HOLIDAYS” เพื่อให้ลูกค้าที่ซื้อลงทุนคอนโดมิเนียมได้รับผลตอบแทนค่าเช่าที่น่าพอใจ และยังสามารถใช้โควต้าพักอาศัยในห้องตัวเองหรือโครงการอื่นๆ ได้ทั่วประเทศซึ่งไม่เคยมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใดในประเทศไทยเคยทำมาก่อน และ

4.)บริการหลังการขายจากแสนสิริและบริษัทลูกอย่างพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในฐานะบริษัทที่ให้บริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรรายเดียวในเมืองไทย

ในช่วง 7 เดือนหลังของปี 2559 แสนสิริจะเปิดตัวโครงการใหม่ในต่างประเทศอีก 7 โครงการ รวมทั้งมีการทำโรดโชว์เพื่อขายโครงการพร้อมอยู่อื่นๆอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดหลักของเราในปีนี้ คือ ฮ่องกงและจีน เนื่องจากประเทศดังกล่าวมีความผันผวนของค่าเงินและราคาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศสูง ทำให้ลูกค้าเปลี่ยนมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยที่ให้ผลตอบแทนจากค่าเช่าสูงกว่าขณะที่มีราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ราคาน้อยกว่าฮ่องกงและจีนถึง 2-4 เท่าเพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน ซึ่งแสนสิริเชื่อมั่นว่ายอดขายต่างชาติในปีนี้จะอยู่ที่ 5,000 ล้านบาทหรือคิดเป็น 20% ของยอดขายรวมคอนโดมิเนียมทั้งหมดที่ 28,000 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน โดยในระหว่างวันที่ 11 – 12 มิถุนายนนี้     แสนสิริจะเปิดตัวโครงการเดอะ ไลน์ อโศกรัชดาแก่ลูกค้าชาวต่างชาติพร้อมกันใน 4 ประเทศ คือ ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และจีน และวางเป้ายอดขายรวมที่ 600 ล้านบาทภายใน 2 วันของการพรีเซลส์หรือคิดเป็น 100% ของโควต้าที่ชาวต่างชาติสามารถจะซื้อได้นายเศรษฐา ทวีสิน กล่าวสรุป